สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
7.7
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
16.60K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) การพลิกวิกฤตของเหล่านักรบสาว : ตอนกลาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ และในที่สุดมื้ออาหารอันแสนอึดอัดก็ผ่านไปโดยที่ทุกคนต่างไม่ได้รับรสอาหารอย่างเต็มที่กันเอาเสียเลย ยกเว้นเพียงองค์ราชาและลิซ่าเท่านั้นที่เหมือนจะอิ่มเอมในอาหารมื้อนี้พอสมควร
ผมลุกขึ้นรวบรวมจากชามแล้วจึงผ้าเช็ดโต๊ะ แน่นอนว่ารู้สึกกดดันเมื่อต้องเข้าไปเช็ดโต๊ะตรงหน้าราชา เมื่อทำความสะอาดโต๊ะเสร็จแล้วจึงรวบรวมจานชามไปล้างในห้องครัวโดยที่มีความคิดจะหลบอยู่ภายในนั้นจนกว่าพ่อของลิซ่าจะกลับ แต่เหมือนเดเน่จะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เธอจึงรีบตามผมเข้ามาช่วยในทันที
“กดดันสุดๆเลยค่ะ...”
ผมพูดพลางถอดหายใจออกมาแล้ววางกองจานที่ซ้อนกันบนอ่างล้างจาน
“นั้นสินะ...”
เดเน่เองก็เห็นด้วยเธอเองก็วางจานลงบ้างแล้วพวกเราจึงเริ่มลงมือทำความสะอาดจานชามพวกนี้
“เดเน่ไม่เคยเจอท่านมาก่อนเหรอคะ...”
“ก็เคยอยู่นะ... แต่ตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่งานพิธีใหญ่ๆท่านไม่สนใจฉันหรอก”
“หมายความว่าเพิ่งจะเคยร่วมโต๊ะกันครั้งแรกสินะคะ...”
“อืม...แค่พูดคุยยังไม่เคยเลย...”
แสดงว่าเราเจอแจ็คพอตเข้าพอดีเลยสินะเนี่ย....
“ว่าแต่ทำไมท่านถึงมาที่นี่กันนะ หรือว่าจะพวกห่วงลูกสาวมากกว่าที่คิด...”
เธอพึมพำออกมาพลางนำจานที่ผมล้างเสร็จแล้วไปเช็ด
“จะว่าไปไม่เห็นองครักษ์ตามมาด้วยเลยนะคะ”
“ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ข้างนอกก็ได้นะ”
ก็จริงนะ... คนระดับผู้นำประเทศคงไม่มีทางมาเดินเล่นนอกปราสาทเพียงคนเดียวแน่นอน...
แต่ระหว่างที่พวกเราเพิ่งจะล้างจานกันได้เพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามาภายในห้องครัว วินเชสต้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจแล้วบอกกับผมว่าพ่อของลิซ่าต้องการพบ
ใจคอเริ่มไม่ดีแล้ว... หวังว่าเมื่อครู่จะไม่ได้ทำอะไรผิดใจท่านไปนะ...
ผมหยิบผ้ามาเช็ดมือก่อนจะเดินตามวินเชสต้าไป ทางเดเน่เมื่อเห็นว่าผมโดนเรียกก็รีบเช็ดมือแล้วตามมาเช่นกัน
ผมกลับมาหมายจะนั่งที่เดิมแต่ราชากลับชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆเขาแทนผมจึงเดินไปนั่งลงตรงนั้นอย่างช่วยไม่ได้ พอมองไปหาทุกคนโดยรอบก็ต่างทำสีหน้าลำบากใจจนผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผมถูกราชาเรียกมาทำไม
“เธอ...ชื่อเจร่าสินะ”
จู่ๆหญิงสาวผมแดงผู้นั่งอยู่ข้างๆผมก็เอ่ยขึ้นมา
“คะ...ค่ะ...”
“ฉัน... กราฟิสเซล อาร์ แดฟโฟดิล ยินดีที่ได้รู้จักนะ...”
เธอพูดแนะนำตัวพร้อมกับส่งมือมาให้ ผมเลิ่กลั่กก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างสั่นๆ ก่อนจะปล่อยมือออกด้วยความกังวลเล็กน้อย
“เธอทำอาหารอร่อยดีนะ...แต่เหมือนว่าเธอไม่ใช่คนในเมืองนี่สินะ มาจากที่ไหนเหรอ?”
“เอ่อ...ก็จากที่แสนไกลพอสมควรเลยน่ะค่ะ”
“เหรอ...”
กราฟิสเซลเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างแล้วเท้าคางหรี่ตามองผมเหมือนกำลังประเมิณอะไรบางอย่าง
“ได้ยินมาว่ามีเด็กผู้หญิงอายุน้อยโผล่มาช่วยบัญชาการในช่วงที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่...ไม่คิดว่าจะเป็นเธอได้เลยนะ...”
อีกฝ่ายพูดพลางเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย
“อ่า...ค่ะ...”
“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยพวกเราไว้...”
องค์ราชากล่าวขอบคุณด้วยร้อยยิ้ม นั้นทำเอาผมเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ช่วยเหลือในสิ่งที่พอจะช่วยได้”
“อื้ม...ความเสียสละและความกล้าหาญนั้นหาได้ยากยิ่งเลยล่ะ เพราะเราไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุกมานานแล้วถึงได้ขาดการรับมือ อ่ะ…ไม่ได้จะว่าอะไรพวกเธอนะ”
นั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมกองทัพของฝั่งเราถึงถูกโจมตีได้ง่ายนัก... พวกเธอขาดการฝึกซ้อมรับมือกับมอนสเตอร์อย่างที่กราฟิสเซลบอกมาจริงๆ...
กราฟิสเซลหันไปพูดกับอัศวินทั้งห้าที่นั่งอยู่พวกเธอต่างส่งยิ้มแห้งๆให้อย่างไม่คิดอะไร แต่ผมกลับครุ่นคิดอะไรบางอย่างในสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่
“พวกเธอทุกคนทำได้ดีแล้วล่ะ...”
ไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุก…รู้สึกแปลกๆแฮะ...
“ไม่เคยถูกโจมตีเลยเหรอคะ?”
เพราะจู่ๆผมเอ่ยออกไปทำให้ผู้ที่ถูกถามทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“อืม...เท่าที่มีบันทึกในรอบหลายร้อยปีมานี้ เมืองหลวงไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุกอย่างที่เธอเข้าใจนั้นแหละ”
หมายความว่า...เพิ่งจะมีกองทัพออร์คมาโจมตีเมืองครั้งแรกสินะ...
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
ลิซ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเอ่ยถามด้วยความสงสัย ผมเองก็สงสัยอะไรอยู่อีกเล็กน้อยเช่นกันจึงถามอีกไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
“ขอโทษที่ต้องถามแบบนี้นะคะ ไม่ทราบว่าการต่อสู้เมื่อตอนเย็นมีคนเสียชีวิตไหมคะ?”
“ไม่มีนะ”
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีล่ะนะ...
“ไม่มีคนศูนย์หายด้วยใช่ไหมคะ?”
“อืม...ใช่...”
“แล้วทำไมพวกมันถึงมาโจมตีล่ะคะ?”
“หมายความว่าไงเหรอ?”
เดเน่ที่นั่งข้างๆเอียงคอสงสัย
“ฉันหมายถึงว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไรถึงได้บุกมาโจมตีน่ะค่ะ?”
คำถามของผมทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปในทันที
“นั้นสินะเป้าหมายของพวกมันคืออะไรกัน?”
กราฟิสเซลเอนหลังติดเก้าอี้แล้วใช้มือจับคางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมจึงลองพูดข้อมูลอะไรบางอย่างออกไปให้ทุกคนได้ฟัง
“เท่าที่ฉันศึกษามา...ออร์คมันมักจะอยู่ในป่าแล้วบุกจู่โจมหมู่บ้านเล็กๆเสียมากกว่า ฉันว่าการที่มันมาบุกเมืองหลวงแบบนี้ไม่ค่อยจะฉลาดเอาเสียเลยนะคะ?”
“แต่ถ้าหากมันคิดจะจู่โจมจริงๆเป้าหมายคืออะไร? อาหาร? ทรัพย์สิน?”
ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของเอลเซ่แล้วจำเอ่ยกล่าวคำตอบ
“พวกมันไม่สนเรื่องของมีค่าหรอกค่ะ อาหารก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกมันเพราะมันสามารถหาสัตว์ป่าเป็นอาหารได้ แต่เพราะเป้าหมายของพวกมันคือมนุษย์เองนั้นแหละค่ะ”
“อย่าบอกนะว่ามันกินคนน่ะ?”
ลิซ่าพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เปล่าเลยค่ะ…เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกมันต่างหากล่ะ...”
รู้สึกเขินๆที่ต้องพูดเล็กน้อยแฮะ...แต่ดูแล้วทุกคนตั่งใจฟังกันจังเลย...
“พวกมันต้องใช้สิ่งมีชีวิตเพศหญิงจากเผ่าพันธุ์อื่นในการสืบพันธุ์ค่ะ”
“เพศหญิง?”
“เอ่อ...หมายถึงมนุษย์น่ะค่ะ”
ผมรีบตอบคำถามของกราฟิสเซลเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรมากเกินไป
“หืม...หมายความว่าเป้าหมายของการโจมตีคือเพื่อลักพาตัวคนไปสินะ...อ๊ะ!”
เหมือนว่าเดเน่จะเข้าใจแล้วว่าผมจะสื่ออะไรคนอื่นๆเองก็เช่นกัน
“เพราะฉะนั้นที่ไม่มีคนศูนย์หายเลยก็เป็นเรื่องแปลกไงล่ะคะ...”
“ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายจริงๆของพวกมันคืออะไรล่ะ...”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องอีกครั้ง ทุกคนต่างพยายามเรียบเรียงความคิดเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่กำลังเผชิญ ผมพยายามคิดว่า‘ถ้าหากตัวเองเป็นพวกออร์คจะพยายามโจมตีเข้ามาจนตัวเองตายให้มันได้อะไรขึ้นมา’
เดี๋ยวนะ...โจมตีเข้ามา...จนตาย...แล้วสิ่งที่จะได้...
“…เข้าใจแล้ว…”
ผมพึมพำออกมาเบาๆแต่ทุกคนกลับได้ยินและสนใจในทันที
“คืออะไรเหรอ?”
แครอลเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างรวดเร็ว
“ค่อนข้างเป็นปัญหาพอสมควรเลยค่ะ...”
“แล้วมันคือ…”
“ช่วงเย็นพวกมันไม่ได้ตั้งใจโจมตีอย่างจริงจัง...แต่เพียงแค่เช็คแมพ(check map)เท่านั้นค่ะ…”
“อ่ะ...หมายความว่าไงน่ะ?”
เผลอหลุดใช้ภาษาเกมออกไปซะแล้ว...
“หมายถึงสำรวจพื้นที่น่ะค่ะ…เพราะฉะนั้นแล้ว...”
ผมเว้นช่วงหายใจเล็กน้อยล่ะพูดต่อ
“พวกมันจะมาอีกแน่นอนค่ะ...”
กราฟิสเซลลุกขึ้นส่งเสียงเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง แล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ที่พูดมาจริงเหรอ?”
“คิดว่านะคะ… ถ้าฉันเป็นพวกมันก็คงจะมาอีกนั้นแหละค่ะ”
“เมื่อไหร่?”
ด้วยคำถามนั้นผมจึงปิดตาลงครุ่นคิดหาคำตอบ
พวกมันโจมตีตอนเย็น...เพื่ออะไร...ประเมินกำลังรบของทางเรา?...ไม่สิเพราะเป็นช่วงเย็นไงถึงได้โจมตี...แล้วช่วงต่อไปที่จะมาก็อาจจะเป็น...
“ช่วงประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนที่ชาวเมืองนอนหมดแล้ว…!?”
ผมรีบหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา หลังกระจกแผ่นเล็กนั้นบอกกลับมาเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม
แต่ก็น่าแปลกที่พวกมันมีสมองคิดแผนการได้ถึงขนาดนี่เลยเหรอ…?
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นปัญหาจริงๆแล้วน่ะสิ! ต้องเตรียมการแล้ว...เอลเซ่ที่ค่ายแห่งนี้มีห้องวางแผนบัญชาการไหม?”
“ค่ะ!...มีค่ะ!”
สถานการณ์ภายในห้องตึงเครียดขึ้นมาในทันที อัศวินสาวทุกนายต่างลุกขึ้นเพื่อเตรียมรับคำสั่ง ลิซ่าเองก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างพ่อของเธอ
“พาฉันไปทันทีเลย...”
กล่าวจบองค์ราชาก็รีบเดินไปเปิดประตูออกไปภายนอก ก่อนจะหันมาพูดกับผมที่กำลังนั่งมองทุกคนอยู่
“ทำอะไรน่ะพวกเธอก็ต้องมาด้วยนะ…”
ทั้งผมและเดเน่ต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกเดินออกไปตามคำสั่ง ภายนอกห้องมีอัศวินยืนอยู่ประมาณห้าคน กราฟิสเซลเริ่มสั่งการกับอัศวินทั้งห้า
“ไปยังค่ายทหารอื่นๆในเมืองแล้วบอกให้อัศวินระดับหัวหน่วยขึ้นไปทั้งหมดมาประชุมในห้องห้องวางแผนที่ค่ายนี้ อ๋อ!...แล้วก็สั่งให้ทหารและอัศวินคนอื่นๆที่ไม่ได้เข้าวางแผนเตรียมตัวรบให้เรียบร้อยด้วย”
เมื่อได้รับคำสั่งอัศวินทั้งห้าก็กระโดดขึ้นควบม้าแล้ววิ่งออกไปทำตามคำสั่ง
พวกเราเข้ามาในห้องห้องวางแผนบัญชาการภายในนั้นรวกกับภาพที่ผมเคยเห็นในหนังแนวประวัติศาสตร์ มีทั้งแผนที่ติดอยู่เต็มผนังและอุปกรณ์มากมาย แสงคบไฟภายในห้องก็ให้ความสว่างมากพอสมควร
ส่วนอัศวินกองที่34ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ายังไม่ได้สวมชุดให้เรียบร้อยก็รีบเดินกลับไปยังห้องแล้วเปลี่ยนชุดกันอย่างรวดเร็ว ในตอนแรก อัลม่า แครอล และ วินเชสต้า ต่างก็จะยืนรอข้างนอกแต่กราฟิสเซลกลับสั่งให้พวกเธอเข้าไปด้วยทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
เอลเซ่สั่งให้คนนำแผนที่มากางบนโต๊ะขนานใหญ่กลางห้องแล้วพวกเราจะเริ่มคุยถึงแผนการณ์และเรื่องต่างๆ ไม่นานนักเสียงควบม้าก็ดังขึ้นภายในค่ายอย่างต่อเนื่อง
เหล่าอัศวินระดับหัวหน้าผู้มีผ้าคลุมไหล่สีแดงเช่นเดียวกับเอลเซ่ต่างเดินเข้ามาภายในห้อง พวกถอดหมวกเหล็กเพื่อทำความเคารพราชาของพวกเธอแล้วจึงเดินมายืนรอบๆโต๊ะ
ผมสัมผัสได้ถึงสายตาของที่พวกเธอที่มองมาอย่างแปลกใจ แน่นอนล่ะเด็กสาวอย่างผมคงไม่มีทางมาอยู่ในที่แบบนี้ได้หรอก แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามออกมาเพราะผมกำลังพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกราฟิสเซลอยู่
ไม่นานนักประมาณสิบกว่านาทีอัศวินผู้เกี่ยวข้องทุกนายประมาณเกือบห้าสิบคนต่างเข้ามาพร้อมกับภายในห้องแห่งนี้ แต่ก็มีบางคนที่สวมผ้าคลุมไหล่สีฟ้าซึ่งเป็นของรองหัวหน้าซึ่งหมายความว่าเธอมาเป็นตัวแทนในการประชุม กราฟิสเซลจึงวางมือลงบนโต๊ะและเริ่มเปิดการประชุมในทันที
“เอาล่ะ...หลายๆคนคงจะสงสัยสินะว่าเรียกมาทำไมสินะ?”
แต่หลายต่อหลายคนต่างมองผมประมาณว่า ‘ตอนนี้สงสัยเรื่องเด็กคนนั้นมากกว่า...’
“พอดีว่ากำลังจะมีศึกใหญ่ก่อตัวขึ้นในเขตที่พักอาศัย ศึกต่อยอดกับออร์คเมื่อช่วงเย็นล่ะนะ”
“หมายความว่าไงคะท่าน?”
อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยถามขึ้น
“พวกมันจะกลับมาอีกเหรอคะ?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่ยังไงก็ต้องหาทางรับมือไว้ก่อน”
“แต่พวกมันก็ตายหมดแล้วนี่คะ?”
ยังคงมีคำถามมาจากอัศวินสาวอีกหลายนาย กราฟิสเซลยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยรอยยิ้มนั้นทำเอาผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ผมก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนอื่นฟังข้อมูลจากเด็กคนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ...”
นั้นไงล่ะ...มิน่าถึงเรียกเรามาด้วย...แต่เราคงจะจบหน้าที่แค่ให้ข้อมูลสินะ...
ผมเริ่มบอกข้อมูลทั้งหมดที่เคยพูดให้ทุกคนฟังในห้องพักกับอัศวินระดับหัวหน้าอีกครั้ง โชคดีที่ทุกคนต่างนิ่งเงียบตั้งใจฟังผมจึงพูดได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็กังวลเล็กน้อยเพราะไม่เคยต้องมาพูดต่อหน้าคนจำนวนมากถึงขนาดนี้จนมีหลายครั้งที่เผลอพูดติดๆขัดๆหรือไม่ก็กัดลิ้นตัวเอง
“...ก็อย่างที่ว่ามานั้นแหละ...ค่ะ...”
พอมองไปรอบๆห้องก็พบกับสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างตั้งใจผมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมากขึ้นไปอีกจึงหลบสายตาแล้วพูดต่อ
“...เอ่อ...คือ...ฉันคิดว่าพวกมันต้องมาอีกแน่นอนน่ะ...ค่ะ...คิดว่า...นะคะ...”
“ที่พูดมาก็พอมีเหตุผล...แต่พวกมันจะมาจริงๆเหรอ?”
“ตั้งรับเอาไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ”
กราฟิสเซลเอ่ยทักขึ้นมาทำให้คนคนต่างเงียบไปในทันที
“แล้วเราจะเชื่อเด็กคนได้จริงเหรอคะ?”
อุ...มาแล้วประโยคที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุด
“เฮ้! ระวังคำพูดหน่อยเด็กคนนี้ฝ่าบาทเป็นผู้เรียกให้มาร่วมด้วยตัวเองเลยนะ”
เอลเซ่ช่วยพูดแก้ตัวให้ก่อนที่ทุกจะเริ่มสงสัยในตัวผมมากไปกว่านี้
“อีกเรื่องคือเมื่อช่วงเย็น อัศวินที่เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนก็ได้เธอคนนี้แหละช่วยไว้”
นั้นเรียกความสนใจในตัวผมจนมีหลายคนส่งเสียงฮือฮาออกมา
“ก็อย่างที่ได้ยิน...ฉันว่าเราสามารถพึ่งความสามารถของเด็กคนนี้ได้มากเลยล่ะ”
เสียงสนับสนุนของราชาช่วยให้ความครางเครงใจภายในห้องหายไปบางส่วน
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้เจร่าวางแผนการทั้งหมดก็แล้วกันนะ…”
สิ่งที่องค์ราชาพูดออกมาทำเอาผมรีบหันไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เอาจริงเหรอ... เราเนี่ยนะ...
“ดะ...เดี๋ยวสิคะ...ฉันเหรอ? มะ...ไม่ไหวมั้งคะ…”
“ใครในที่นี้เห็นด้วยขอให้ช่วยยกมือขึ้นด้วย”
มะ...ไม่ได้สนใจฟังเราเลย...
ผมคิดว่าคงเป็นมีปัญหามากนักเพราะคงจะมีน้อยคนนักที่จะยกมือเห็นด้วย
“...ฉันเห็นด้วย เมื่อตอนเย็นก็ได้เห็นความสามารถนั้นแล้ว...”
สิ่งที่เธอพูดออกมาทำให้ผมรู้ว่าเธอคงจะเป็นหนึ่งในอัศวินที่ต่อสู้เมื่อช่วงเย็น
“...ฉันก็เช่นกัน ลูกน้องของฉันบอกว่าเธอเก่งมากเลยล่ะ…”
“…นั้นสินะการต่อสู้เมื่อเร็วๆนี่ก็ช่วยชี้จุดและแนะนำวิธีการต่อสู้ได้ดีเลยล่ะ…”
มีคนยกมือเห็นด้วยกว่าสิบคน พอมองไปยังเอลเซ่ที่ยืนอยู่ข้างๆราชาก็เห็นว่าพวกเธอทั้งสองต่างก็ยกมือขึ้นเช่นกัน ผมจึงเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือจากเดเน่และลิซ่าที่นั่งอยู่ข้างๆห้องก็พบว่าพวกเธอก็ยกมือขึ้นเช่นกัน
ไหนบอกว่าอย่าไปทำอะไรอันตรายๆไงล่ะคะพี่เดเน่...ตอนนี้ดันเห็นด้วยซะงั้นอ่ะ...
“มีประมาณยี่สิบกว่าคนสินะ อืม...ถ้าอย่างนั้นเรามาลองฟังแผนการของเธอก่อนก็แล้วกันนะ เพื่อว่าคนอื่นๆจะเปลี่ยนใจมาเห็นด้วย...”
เอลเซ่ได้ยินดังนั้นก็หยิบกล่องเหล็กมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดออกภายนั้นมีตัวหมากเหมือนกับไว้ใช้ในการวางแผนยุทธการ เธอเลือนมันมาตรงหน้าผมนั้นเป็นการสื่อว่าให้ผมลองร่างแผนการออกมา
ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตัวหมากออกมาจากกล่อง แล้วจึงเงยหน้ามองทุกคนรอบๆห้อง
อุ...สายตากดดัน... เอาสิของลองดูซักตั้ง... สู้เข้าตัวเรา...
“ถ้าอย่างนั้น...ก่อนอื่นขอรู้ขีดจำกัดกำลังพลของทางเราก่อนก็แล้วกันนะคะ”
“มีอัศวิน 50 กองแต่ตอนนี้เหลือประมาณ 46 แล้ว”
เอลเซ่หยิบเอกสารขึ้นอ่านพลางตอบคำถามของผม
หนึ่งกองมีประมาณห้าคนก็....สองร้อยสามสิบกว่าๆ...
ผมคาดการณ์โดยใช้หน่วยของเอลเซ่เป็นเกณฑ์ แล้ววางหมากบางส่วนลงบนแผนที่
“กำลังทหารล่ะคะ...”
“ประมาณเกือบห้าร้อยนาย”
มากพอสมควรแต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด...
“อาวุธที่อยู่ในคลังมีมากพอไหมคะ…”
“อัศวินทุกคนมีอาวุธประจำตัวอยู่ แต่ทหารส่วนใหญ่จะใช่เป็นดาบหรือไม่ก็หอกเท่านั้น…”
“อาวุธหนักอย่างเช่นปืนล่ะคะพอจะมีไหม?”
“หมายถึงปืนใหญ่เหรอ? เก่าเก็บอยู่ในคลังน่ะ”
กราฟิสเซลตอบคำถามด้วยคำถาม
“เอ่อ...หมายถึงอาวุธปืนสำหรับทหารทั่วไปน่ะคะ”
“ไม่เข้าใจในคำถาม?”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...รู้จักการใช้ดินปืนแต่ยังไม่รู้วิธีสร้างอาวุธปืนสินะ...อืม...เอาไว้ก่อนแล้วกันเรื่องนี้...
“งั้นก็คงจะมีดินปืนสินะคะ”
“จะใช้เหรอ?”
เอลเซ่เอ่ยด้วยความสงสัย ผมจึงถามต่อไปในทันที
“คิดว่าอาจจะนะคะ แล้วพวกน้ำมันมีไหมคะ แบบที่ใช้สำหรับจุดเชื้อเพลิงน่ะค่ะ...”
“มีสิ…”
“มากไหมคะ?”
“ก็คิดว่าเยอะอยู่นะ...”
อย่างน้อยก็มีอะไรไว้สำหรับตอบโต้แล้วล่ะนะ...
“ต่อไปก็กำลังพลของศัตรูทุกคนคิดว่าประมาณเท่าไหร่คะ?”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพลางหาคำตอบ แต่ก็มีเสียงเอ่ยขึ้นจากมุม
“ประมาณเกือบสองร้อยแต่ไม่น่าจะเกินนี้มากหรอก เพราะประเมินจากที่อยู่อาศัยของมันและดูจากแผนที่ดินแดนแล้วพวกมันไม่น่าจะมีกำลังพลมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
เดเน่ช่วยให้ข้อมูลในสิ่งที่จำเป็นพอสมควร
“ขอบคุณนะคะพี่เดเน่”
ผมก้มศีรษะให้ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับแผนที่บนโต๊ะ พลางหยิบหมากขึ้นมาในมือ
“ดูจากสถานการณ์แล้วเราเสียเปรียบอยู่พอสมควรนะคะ ต่อให้เราใช้คนทั้งหมดเข้าแลกก็ไม่คุ้มอยู่ดีอีกทั้งเป็นช่วงดึกเราจะเสียเปรียบกว่าออร์คที่เป็นมอนสเตอร์ เพราะพวกมันสามารถและดมกลิ่นได้ดีจึงจะรู้ตำแหน่งของเราได้”
“ถ้าอย่างนั้นมีแผนแล้วเหรอ?”
“ก็พอจะมีแล้วนะคะ...”
ผมเงยหน้าส่งยิ้มให้ทุกคนก่อนจะเอ่ยแผนการออกไป พร้อมกับวางหมากในมือลงบนแผนที่
“แผนที่ฉันคิดไว้คือ...”
ผมลุกขึ้นรวบรวมจากชามแล้วจึงผ้าเช็ดโต๊ะ แน่นอนว่ารู้สึกกดดันเมื่อต้องเข้าไปเช็ดโต๊ะตรงหน้าราชา เมื่อทำความสะอาดโต๊ะเสร็จแล้วจึงรวบรวมจานชามไปล้างในห้องครัวโดยที่มีความคิดจะหลบอยู่ภายในนั้นจนกว่าพ่อของลิซ่าจะกลับ แต่เหมือนเดเน่จะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เธอจึงรีบตามผมเข้ามาช่วยในทันที
“กดดันสุดๆเลยค่ะ...”
ผมพูดพลางถอดหายใจออกมาแล้ววางกองจานที่ซ้อนกันบนอ่างล้างจาน
“นั้นสินะ...”
เดเน่เองก็เห็นด้วยเธอเองก็วางจานลงบ้างแล้วพวกเราจึงเริ่มลงมือทำความสะอาดจานชามพวกนี้
“เดเน่ไม่เคยเจอท่านมาก่อนเหรอคะ...”
“ก็เคยอยู่นะ... แต่ตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่งานพิธีใหญ่ๆท่านไม่สนใจฉันหรอก”
“หมายความว่าเพิ่งจะเคยร่วมโต๊ะกันครั้งแรกสินะคะ...”
“อืม...แค่พูดคุยยังไม่เคยเลย...”
แสดงว่าเราเจอแจ็คพอตเข้าพอดีเลยสินะเนี่ย....
“ว่าแต่ทำไมท่านถึงมาที่นี่กันนะ หรือว่าจะพวกห่วงลูกสาวมากกว่าที่คิด...”
เธอพึมพำออกมาพลางนำจานที่ผมล้างเสร็จแล้วไปเช็ด
“จะว่าไปไม่เห็นองครักษ์ตามมาด้วยเลยนะคะ”
“ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ข้างนอกก็ได้นะ”
ก็จริงนะ... คนระดับผู้นำประเทศคงไม่มีทางมาเดินเล่นนอกปราสาทเพียงคนเดียวแน่นอน...
แต่ระหว่างที่พวกเราเพิ่งจะล้างจานกันได้เพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามาภายในห้องครัว วินเชสต้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจแล้วบอกกับผมว่าพ่อของลิซ่าต้องการพบ
ใจคอเริ่มไม่ดีแล้ว... หวังว่าเมื่อครู่จะไม่ได้ทำอะไรผิดใจท่านไปนะ...
ผมหยิบผ้ามาเช็ดมือก่อนจะเดินตามวินเชสต้าไป ทางเดเน่เมื่อเห็นว่าผมโดนเรียกก็รีบเช็ดมือแล้วตามมาเช่นกัน
ผมกลับมาหมายจะนั่งที่เดิมแต่ราชากลับชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆเขาแทนผมจึงเดินไปนั่งลงตรงนั้นอย่างช่วยไม่ได้ พอมองไปหาทุกคนโดยรอบก็ต่างทำสีหน้าลำบากใจจนผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผมถูกราชาเรียกมาทำไม
“เธอ...ชื่อเจร่าสินะ”
จู่ๆหญิงสาวผมแดงผู้นั่งอยู่ข้างๆผมก็เอ่ยขึ้นมา
“คะ...ค่ะ...”
“ฉัน... กราฟิสเซล อาร์ แดฟโฟดิล ยินดีที่ได้รู้จักนะ...”
เธอพูดแนะนำตัวพร้อมกับส่งมือมาให้ ผมเลิ่กลั่กก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างสั่นๆ ก่อนจะปล่อยมือออกด้วยความกังวลเล็กน้อย
“เธอทำอาหารอร่อยดีนะ...แต่เหมือนว่าเธอไม่ใช่คนในเมืองนี่สินะ มาจากที่ไหนเหรอ?”
“เอ่อ...ก็จากที่แสนไกลพอสมควรเลยน่ะค่ะ”
“เหรอ...”
กราฟิสเซลเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างแล้วเท้าคางหรี่ตามองผมเหมือนกำลังประเมิณอะไรบางอย่าง
“ได้ยินมาว่ามีเด็กผู้หญิงอายุน้อยโผล่มาช่วยบัญชาการในช่วงที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่...ไม่คิดว่าจะเป็นเธอได้เลยนะ...”
อีกฝ่ายพูดพลางเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย
“อ่า...ค่ะ...”
“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยพวกเราไว้...”
องค์ราชากล่าวขอบคุณด้วยร้อยยิ้ม นั้นทำเอาผมเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ช่วยเหลือในสิ่งที่พอจะช่วยได้”
“อื้ม...ความเสียสละและความกล้าหาญนั้นหาได้ยากยิ่งเลยล่ะ เพราะเราไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุกมานานแล้วถึงได้ขาดการรับมือ อ่ะ…ไม่ได้จะว่าอะไรพวกเธอนะ”
นั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมกองทัพของฝั่งเราถึงถูกโจมตีได้ง่ายนัก... พวกเธอขาดการฝึกซ้อมรับมือกับมอนสเตอร์อย่างที่กราฟิสเซลบอกมาจริงๆ...
กราฟิสเซลหันไปพูดกับอัศวินทั้งห้าที่นั่งอยู่พวกเธอต่างส่งยิ้มแห้งๆให้อย่างไม่คิดอะไร แต่ผมกลับครุ่นคิดอะไรบางอย่างในสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่
“พวกเธอทุกคนทำได้ดีแล้วล่ะ...”
ไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุก…รู้สึกแปลกๆแฮะ...
“ไม่เคยถูกโจมตีเลยเหรอคะ?”
เพราะจู่ๆผมเอ่ยออกไปทำให้ผู้ที่ถูกถามทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“อืม...เท่าที่มีบันทึกในรอบหลายร้อยปีมานี้ เมืองหลวงไม่เคยถูกมอนสเตอร์บุกอย่างที่เธอเข้าใจนั้นแหละ”
หมายความว่า...เพิ่งจะมีกองทัพออร์คมาโจมตีเมืองครั้งแรกสินะ...
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
ลิซ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเอ่ยถามด้วยความสงสัย ผมเองก็สงสัยอะไรอยู่อีกเล็กน้อยเช่นกันจึงถามอีกไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
“ขอโทษที่ต้องถามแบบนี้นะคะ ไม่ทราบว่าการต่อสู้เมื่อตอนเย็นมีคนเสียชีวิตไหมคะ?”
“ไม่มีนะ”
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีล่ะนะ...
“ไม่มีคนศูนย์หายด้วยใช่ไหมคะ?”
“อืม...ใช่...”
“แล้วทำไมพวกมันถึงมาโจมตีล่ะคะ?”
“หมายความว่าไงเหรอ?”
เดเน่ที่นั่งข้างๆเอียงคอสงสัย
“ฉันหมายถึงว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไรถึงได้บุกมาโจมตีน่ะค่ะ?”
คำถามของผมทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปในทันที
“นั้นสินะเป้าหมายของพวกมันคืออะไรกัน?”
กราฟิสเซลเอนหลังติดเก้าอี้แล้วใช้มือจับคางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมจึงลองพูดข้อมูลอะไรบางอย่างออกไปให้ทุกคนได้ฟัง
“เท่าที่ฉันศึกษามา...ออร์คมันมักจะอยู่ในป่าแล้วบุกจู่โจมหมู่บ้านเล็กๆเสียมากกว่า ฉันว่าการที่มันมาบุกเมืองหลวงแบบนี้ไม่ค่อยจะฉลาดเอาเสียเลยนะคะ?”
“แต่ถ้าหากมันคิดจะจู่โจมจริงๆเป้าหมายคืออะไร? อาหาร? ทรัพย์สิน?”
ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของเอลเซ่แล้วจำเอ่ยกล่าวคำตอบ
“พวกมันไม่สนเรื่องของมีค่าหรอกค่ะ อาหารก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกมันเพราะมันสามารถหาสัตว์ป่าเป็นอาหารได้ แต่เพราะเป้าหมายของพวกมันคือมนุษย์เองนั้นแหละค่ะ”
“อย่าบอกนะว่ามันกินคนน่ะ?”
ลิซ่าพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เปล่าเลยค่ะ…เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกมันต่างหากล่ะ...”
รู้สึกเขินๆที่ต้องพูดเล็กน้อยแฮะ...แต่ดูแล้วทุกคนตั่งใจฟังกันจังเลย...
“พวกมันต้องใช้สิ่งมีชีวิตเพศหญิงจากเผ่าพันธุ์อื่นในการสืบพันธุ์ค่ะ”
“เพศหญิง?”
“เอ่อ...หมายถึงมนุษย์น่ะค่ะ”
ผมรีบตอบคำถามของกราฟิสเซลเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรมากเกินไป
“หืม...หมายความว่าเป้าหมายของการโจมตีคือเพื่อลักพาตัวคนไปสินะ...อ๊ะ!”
เหมือนว่าเดเน่จะเข้าใจแล้วว่าผมจะสื่ออะไรคนอื่นๆเองก็เช่นกัน
“เพราะฉะนั้นที่ไม่มีคนศูนย์หายเลยก็เป็นเรื่องแปลกไงล่ะคะ...”
“ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายจริงๆของพวกมันคืออะไรล่ะ...”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องอีกครั้ง ทุกคนต่างพยายามเรียบเรียงความคิดเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่กำลังเผชิญ ผมพยายามคิดว่า‘ถ้าหากตัวเองเป็นพวกออร์คจะพยายามโจมตีเข้ามาจนตัวเองตายให้มันได้อะไรขึ้นมา’
เดี๋ยวนะ...โจมตีเข้ามา...จนตาย...แล้วสิ่งที่จะได้...
“…เข้าใจแล้ว…”
ผมพึมพำออกมาเบาๆแต่ทุกคนกลับได้ยินและสนใจในทันที
“คืออะไรเหรอ?”
แครอลเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างรวดเร็ว
“ค่อนข้างเป็นปัญหาพอสมควรเลยค่ะ...”
“แล้วมันคือ…”
“ช่วงเย็นพวกมันไม่ได้ตั้งใจโจมตีอย่างจริงจัง...แต่เพียงแค่เช็คแมพ(check map)เท่านั้นค่ะ…”
“อ่ะ...หมายความว่าไงน่ะ?”
เผลอหลุดใช้ภาษาเกมออกไปซะแล้ว...
“หมายถึงสำรวจพื้นที่น่ะค่ะ…เพราะฉะนั้นแล้ว...”
ผมเว้นช่วงหายใจเล็กน้อยล่ะพูดต่อ
“พวกมันจะมาอีกแน่นอนค่ะ...”
กราฟิสเซลลุกขึ้นส่งเสียงเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง แล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ที่พูดมาจริงเหรอ?”
“คิดว่านะคะ… ถ้าฉันเป็นพวกมันก็คงจะมาอีกนั้นแหละค่ะ”
“เมื่อไหร่?”
ด้วยคำถามนั้นผมจึงปิดตาลงครุ่นคิดหาคำตอบ
พวกมันโจมตีตอนเย็น...เพื่ออะไร...ประเมินกำลังรบของทางเรา?...ไม่สิเพราะเป็นช่วงเย็นไงถึงได้โจมตี...แล้วช่วงต่อไปที่จะมาก็อาจจะเป็น...
“ช่วงประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนที่ชาวเมืองนอนหมดแล้ว…!?”
ผมรีบหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา หลังกระจกแผ่นเล็กนั้นบอกกลับมาเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม
แต่ก็น่าแปลกที่พวกมันมีสมองคิดแผนการได้ถึงขนาดนี่เลยเหรอ…?
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นปัญหาจริงๆแล้วน่ะสิ! ต้องเตรียมการแล้ว...เอลเซ่ที่ค่ายแห่งนี้มีห้องวางแผนบัญชาการไหม?”
“ค่ะ!...มีค่ะ!”
สถานการณ์ภายในห้องตึงเครียดขึ้นมาในทันที อัศวินสาวทุกนายต่างลุกขึ้นเพื่อเตรียมรับคำสั่ง ลิซ่าเองก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างพ่อของเธอ
“พาฉันไปทันทีเลย...”
กล่าวจบองค์ราชาก็รีบเดินไปเปิดประตูออกไปภายนอก ก่อนจะหันมาพูดกับผมที่กำลังนั่งมองทุกคนอยู่
“ทำอะไรน่ะพวกเธอก็ต้องมาด้วยนะ…”
ทั้งผมและเดเน่ต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกเดินออกไปตามคำสั่ง ภายนอกห้องมีอัศวินยืนอยู่ประมาณห้าคน กราฟิสเซลเริ่มสั่งการกับอัศวินทั้งห้า
“ไปยังค่ายทหารอื่นๆในเมืองแล้วบอกให้อัศวินระดับหัวหน่วยขึ้นไปทั้งหมดมาประชุมในห้องห้องวางแผนที่ค่ายนี้ อ๋อ!...แล้วก็สั่งให้ทหารและอัศวินคนอื่นๆที่ไม่ได้เข้าวางแผนเตรียมตัวรบให้เรียบร้อยด้วย”
เมื่อได้รับคำสั่งอัศวินทั้งห้าก็กระโดดขึ้นควบม้าแล้ววิ่งออกไปทำตามคำสั่ง
พวกเราเข้ามาในห้องห้องวางแผนบัญชาการภายในนั้นรวกกับภาพที่ผมเคยเห็นในหนังแนวประวัติศาสตร์ มีทั้งแผนที่ติดอยู่เต็มผนังและอุปกรณ์มากมาย แสงคบไฟภายในห้องก็ให้ความสว่างมากพอสมควร
ส่วนอัศวินกองที่34ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ายังไม่ได้สวมชุดให้เรียบร้อยก็รีบเดินกลับไปยังห้องแล้วเปลี่ยนชุดกันอย่างรวดเร็ว ในตอนแรก อัลม่า แครอล และ วินเชสต้า ต่างก็จะยืนรอข้างนอกแต่กราฟิสเซลกลับสั่งให้พวกเธอเข้าไปด้วยทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
เอลเซ่สั่งให้คนนำแผนที่มากางบนโต๊ะขนานใหญ่กลางห้องแล้วพวกเราจะเริ่มคุยถึงแผนการณ์และเรื่องต่างๆ ไม่นานนักเสียงควบม้าก็ดังขึ้นภายในค่ายอย่างต่อเนื่อง
เหล่าอัศวินระดับหัวหน้าผู้มีผ้าคลุมไหล่สีแดงเช่นเดียวกับเอลเซ่ต่างเดินเข้ามาภายในห้อง พวกถอดหมวกเหล็กเพื่อทำความเคารพราชาของพวกเธอแล้วจึงเดินมายืนรอบๆโต๊ะ
ผมสัมผัสได้ถึงสายตาของที่พวกเธอที่มองมาอย่างแปลกใจ แน่นอนล่ะเด็กสาวอย่างผมคงไม่มีทางมาอยู่ในที่แบบนี้ได้หรอก แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามออกมาเพราะผมกำลังพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกราฟิสเซลอยู่
ไม่นานนักประมาณสิบกว่านาทีอัศวินผู้เกี่ยวข้องทุกนายประมาณเกือบห้าสิบคนต่างเข้ามาพร้อมกับภายในห้องแห่งนี้ แต่ก็มีบางคนที่สวมผ้าคลุมไหล่สีฟ้าซึ่งเป็นของรองหัวหน้าซึ่งหมายความว่าเธอมาเป็นตัวแทนในการประชุม กราฟิสเซลจึงวางมือลงบนโต๊ะและเริ่มเปิดการประชุมในทันที
“เอาล่ะ...หลายๆคนคงจะสงสัยสินะว่าเรียกมาทำไมสินะ?”
แต่หลายต่อหลายคนต่างมองผมประมาณว่า ‘ตอนนี้สงสัยเรื่องเด็กคนนั้นมากกว่า...’
“พอดีว่ากำลังจะมีศึกใหญ่ก่อตัวขึ้นในเขตที่พักอาศัย ศึกต่อยอดกับออร์คเมื่อช่วงเย็นล่ะนะ”
“หมายความว่าไงคะท่าน?”
อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยถามขึ้น
“พวกมันจะกลับมาอีกเหรอคะ?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่ยังไงก็ต้องหาทางรับมือไว้ก่อน”
“แต่พวกมันก็ตายหมดแล้วนี่คะ?”
ยังคงมีคำถามมาจากอัศวินสาวอีกหลายนาย กราฟิสเซลยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยรอยยิ้มนั้นทำเอาผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ผมก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนอื่นฟังข้อมูลจากเด็กคนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ...”
นั้นไงล่ะ...มิน่าถึงเรียกเรามาด้วย...แต่เราคงจะจบหน้าที่แค่ให้ข้อมูลสินะ...
ผมเริ่มบอกข้อมูลทั้งหมดที่เคยพูดให้ทุกคนฟังในห้องพักกับอัศวินระดับหัวหน้าอีกครั้ง โชคดีที่ทุกคนต่างนิ่งเงียบตั้งใจฟังผมจึงพูดได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็กังวลเล็กน้อยเพราะไม่เคยต้องมาพูดต่อหน้าคนจำนวนมากถึงขนาดนี้จนมีหลายครั้งที่เผลอพูดติดๆขัดๆหรือไม่ก็กัดลิ้นตัวเอง
“...ก็อย่างที่ว่ามานั้นแหละ...ค่ะ...”
พอมองไปรอบๆห้องก็พบกับสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างตั้งใจผมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมากขึ้นไปอีกจึงหลบสายตาแล้วพูดต่อ
“...เอ่อ...คือ...ฉันคิดว่าพวกมันต้องมาอีกแน่นอนน่ะ...ค่ะ...คิดว่า...นะคะ...”
“ที่พูดมาก็พอมีเหตุผล...แต่พวกมันจะมาจริงๆเหรอ?”
“ตั้งรับเอาไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ”
กราฟิสเซลเอ่ยทักขึ้นมาทำให้คนคนต่างเงียบไปในทันที
“แล้วเราจะเชื่อเด็กคนได้จริงเหรอคะ?”
อุ...มาแล้วประโยคที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุด
“เฮ้! ระวังคำพูดหน่อยเด็กคนนี้ฝ่าบาทเป็นผู้เรียกให้มาร่วมด้วยตัวเองเลยนะ”
เอลเซ่ช่วยพูดแก้ตัวให้ก่อนที่ทุกจะเริ่มสงสัยในตัวผมมากไปกว่านี้
“อีกเรื่องคือเมื่อช่วงเย็น อัศวินที่เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนก็ได้เธอคนนี้แหละช่วยไว้”
นั้นเรียกความสนใจในตัวผมจนมีหลายคนส่งเสียงฮือฮาออกมา
“ก็อย่างที่ได้ยิน...ฉันว่าเราสามารถพึ่งความสามารถของเด็กคนนี้ได้มากเลยล่ะ”
เสียงสนับสนุนของราชาช่วยให้ความครางเครงใจภายในห้องหายไปบางส่วน
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้เจร่าวางแผนการทั้งหมดก็แล้วกันนะ…”
สิ่งที่องค์ราชาพูดออกมาทำเอาผมรีบหันไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เอาจริงเหรอ... เราเนี่ยนะ...
“ดะ...เดี๋ยวสิคะ...ฉันเหรอ? มะ...ไม่ไหวมั้งคะ…”
“ใครในที่นี้เห็นด้วยขอให้ช่วยยกมือขึ้นด้วย”
มะ...ไม่ได้สนใจฟังเราเลย...
ผมคิดว่าคงเป็นมีปัญหามากนักเพราะคงจะมีน้อยคนนักที่จะยกมือเห็นด้วย
“...ฉันเห็นด้วย เมื่อตอนเย็นก็ได้เห็นความสามารถนั้นแล้ว...”
สิ่งที่เธอพูดออกมาทำให้ผมรู้ว่าเธอคงจะเป็นหนึ่งในอัศวินที่ต่อสู้เมื่อช่วงเย็น
“...ฉันก็เช่นกัน ลูกน้องของฉันบอกว่าเธอเก่งมากเลยล่ะ…”
“…นั้นสินะการต่อสู้เมื่อเร็วๆนี่ก็ช่วยชี้จุดและแนะนำวิธีการต่อสู้ได้ดีเลยล่ะ…”
มีคนยกมือเห็นด้วยกว่าสิบคน พอมองไปยังเอลเซ่ที่ยืนอยู่ข้างๆราชาก็เห็นว่าพวกเธอทั้งสองต่างก็ยกมือขึ้นเช่นกัน ผมจึงเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือจากเดเน่และลิซ่าที่นั่งอยู่ข้างๆห้องก็พบว่าพวกเธอก็ยกมือขึ้นเช่นกัน
ไหนบอกว่าอย่าไปทำอะไรอันตรายๆไงล่ะคะพี่เดเน่...ตอนนี้ดันเห็นด้วยซะงั้นอ่ะ...
“มีประมาณยี่สิบกว่าคนสินะ อืม...ถ้าอย่างนั้นเรามาลองฟังแผนการของเธอก่อนก็แล้วกันนะ เพื่อว่าคนอื่นๆจะเปลี่ยนใจมาเห็นด้วย...”
เอลเซ่ได้ยินดังนั้นก็หยิบกล่องเหล็กมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดออกภายนั้นมีตัวหมากเหมือนกับไว้ใช้ในการวางแผนยุทธการ เธอเลือนมันมาตรงหน้าผมนั้นเป็นการสื่อว่าให้ผมลองร่างแผนการออกมา
ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตัวหมากออกมาจากกล่อง แล้วจึงเงยหน้ามองทุกคนรอบๆห้อง
อุ...สายตากดดัน... เอาสิของลองดูซักตั้ง... สู้เข้าตัวเรา...
“ถ้าอย่างนั้น...ก่อนอื่นขอรู้ขีดจำกัดกำลังพลของทางเราก่อนก็แล้วกันนะคะ”
“มีอัศวิน 50 กองแต่ตอนนี้เหลือประมาณ 46 แล้ว”
เอลเซ่หยิบเอกสารขึ้นอ่านพลางตอบคำถามของผม
หนึ่งกองมีประมาณห้าคนก็....สองร้อยสามสิบกว่าๆ...
ผมคาดการณ์โดยใช้หน่วยของเอลเซ่เป็นเกณฑ์ แล้ววางหมากบางส่วนลงบนแผนที่
“กำลังทหารล่ะคะ...”
“ประมาณเกือบห้าร้อยนาย”
มากพอสมควรแต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด...
“อาวุธที่อยู่ในคลังมีมากพอไหมคะ…”
“อัศวินทุกคนมีอาวุธประจำตัวอยู่ แต่ทหารส่วนใหญ่จะใช่เป็นดาบหรือไม่ก็หอกเท่านั้น…”
“อาวุธหนักอย่างเช่นปืนล่ะคะพอจะมีไหม?”
“หมายถึงปืนใหญ่เหรอ? เก่าเก็บอยู่ในคลังน่ะ”
กราฟิสเซลตอบคำถามด้วยคำถาม
“เอ่อ...หมายถึงอาวุธปืนสำหรับทหารทั่วไปน่ะคะ”
“ไม่เข้าใจในคำถาม?”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...รู้จักการใช้ดินปืนแต่ยังไม่รู้วิธีสร้างอาวุธปืนสินะ...อืม...เอาไว้ก่อนแล้วกันเรื่องนี้...
“งั้นก็คงจะมีดินปืนสินะคะ”
“จะใช้เหรอ?”
เอลเซ่เอ่ยด้วยความสงสัย ผมจึงถามต่อไปในทันที
“คิดว่าอาจจะนะคะ แล้วพวกน้ำมันมีไหมคะ แบบที่ใช้สำหรับจุดเชื้อเพลิงน่ะค่ะ...”
“มีสิ…”
“มากไหมคะ?”
“ก็คิดว่าเยอะอยู่นะ...”
อย่างน้อยก็มีอะไรไว้สำหรับตอบโต้แล้วล่ะนะ...
“ต่อไปก็กำลังพลของศัตรูทุกคนคิดว่าประมาณเท่าไหร่คะ?”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพลางหาคำตอบ แต่ก็มีเสียงเอ่ยขึ้นจากมุม
“ประมาณเกือบสองร้อยแต่ไม่น่าจะเกินนี้มากหรอก เพราะประเมินจากที่อยู่อาศัยของมันและดูจากแผนที่ดินแดนแล้วพวกมันไม่น่าจะมีกำลังพลมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
เดเน่ช่วยให้ข้อมูลในสิ่งที่จำเป็นพอสมควร
“ขอบคุณนะคะพี่เดเน่”
ผมก้มศีรษะให้ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับแผนที่บนโต๊ะ พลางหยิบหมากขึ้นมาในมือ
“ดูจากสถานการณ์แล้วเราเสียเปรียบอยู่พอสมควรนะคะ ต่อให้เราใช้คนทั้งหมดเข้าแลกก็ไม่คุ้มอยู่ดีอีกทั้งเป็นช่วงดึกเราจะเสียเปรียบกว่าออร์คที่เป็นมอนสเตอร์ เพราะพวกมันสามารถและดมกลิ่นได้ดีจึงจะรู้ตำแหน่งของเราได้”
“ถ้าอย่างนั้นมีแผนแล้วเหรอ?”
“ก็พอจะมีแล้วนะคะ...”
ผมเงยหน้าส่งยิ้มให้ทุกคนก่อนจะเอ่ยแผนการออกไป พร้อมกับวางหมากในมือลงบนแผนที่
“แผนที่ฉันคิดไว้คือ...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ