พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 8 ความเชื่อมั่นของโฮเซ่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 8

ความเชื่อมั่นของโฮเซ่

 

                โซลิแทร์พากอร์รินมุ่งกลับไปยังกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด พยายามใช้ทางเดินที่มีหิมะปกคลุมเบาบาง เพราะรู้ว่ากอร์รินไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาว ไม่สามารถเดินบนผิวหิมะได้เหมือนตน กอร์รินสะพายเป้เดินตาม รู้สึกแปลกๆ ที่ได้เป็นแขกของเผ่าพันธุ์ที่ต้อนรับแขกน้อยที่สุด แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่คิดว่าจะพบกับผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลและเข้ากันได้ดีขนาดนี้ ชีวิตมักจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเสมอ

                “ข้าไม่เคยเห็นมังกรแบบนั้นมาก่อนเลย พันธุ์อะไรนี่” กอร์รินถามขณะเดินตามโซลิแทร์ไป “ตัวใหญ่เป็นบ้า ไฟก็ร้อนกว่าชนิดอื่นๆ ที่เคยพบมา ไฟสีน้ำเงิน ตะบองเพชรพินาศ!”

                “มังกรดำ ขนาดใหญ่ที่สุด ดุร้ายที่สุด และมีไฟที่อันตรายที่สุดในสัตว์ตระกูลมังกร” โซลิแทร์ตอบ “ความจริงแล้วมีไม่เยอะนักหรอกในดาวดวงนี้ แต่ก็อย่าคิดว่าจะไม่พบเจอเชียว เพราะพวกมันไม่ค่อยจะซ่อนตัวจากอะไรทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดอยากไปทำอันตรายพวกมันนัก ก็อย่างที่ทราบดีว่ามังกรคือสัตว์ที่อันตรายที่สุดในดาวดวงนี้ และมังกรดำก็อันตรายที่สุดในพวกมังกร เฉพาะมังกรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินะ ไม่นับพวกเฟลมฟอร์ส”

                “แล้วทำไมมันถึงไล่ล่าเราเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น”

                “มันหิวน่ะสิ เจ้าตัวนี้ท่าทางหิวจัดด้วย ยิ่งเวลามังกรหิวยิ่งได้กลิ่นเลือดไกลขึ้น มันคงได้กลิ่นเลือดจากศพพวกมนุษย์ที่ถูกท่านฆ่า อีกทั้งได้ยินเสียงเราต่อสู้กัน มันไม่รีรอที่จะมาหาแน่นอน” โซลิแทร์อธิบาย “มังกรดำจะจัดการกับเหยื่อที่ยังมีชีวิตก่อน เพื่อไม่ให้มีโอกาสหนี พวกมันฉลาดพอจะรู้ว่าเหยื่อที่ตายแล้วหนีไปไหนไม่ได้ สามารถกลับไปกินทีหลังได้ ขอต้อนรับสู่ฟรอสท์ไอรอนแคลดอย่างเป็นทางการ กอร์ริน เฮนิเคม เมืองนี้ไม่มีสัตว์สวยงามท่ามกลางธรรมชาติอันชวนเพลิดเพลิน สภาพเมืองที่หนาวเย็นแห้งแล้งแบบนี้ มีแต่สัตว์ดุร้ายหิวโหย”

                “แต่ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ท่านก็อยู่เมืองนี้มาตั้งนานแล้ว” กอร์รินพูด “และดูจะอยู่อย่างสบายด้วย”

                “มันกลายเป็นพื้นที่ของข้าไปเสียแล้ว ข้าใช้ชีวิตในเมืองนี้มากกว่าเมืองใดๆ ในโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์ว่า “ข้าผูกพันกับฟรอสท์ไอรอนแคลดอย่างลึกซึ้ง แม้ว่ามันจะเป็นเมืองที่น่าอยู่น้อยที่สุด แต่มันก็คือบ้านของข้า สำคัญกับข้า ยิ่งกว่าเมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนลเสียอีก”

                “ในฐานะผู้นำสูงสุด ข้าว่าท่านให้ความสำคัญผิดเมืองเสียแล้ว” กอร์รินบอก “นักปกครองทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เมืองหลวงควรเป็นศูนย์กลางของความสำคัญ”

                “ข้าไม่ใช่นักปกครอง ไม่ใช่นักการเมือง ข้าคือผู้นำ ผู้ชี้แนะแนวทาง ผู้เป็นแรงบันดาลใจ ข้าไม่ได้บังคับให้ประชาชนทำตาม ไม่ได้ควบคุมหรือจัดระเบียบประชาชน มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า หากท่านสังเกตดีๆ จะพบว่าเราใช้คำว่าผู้นำ ไม่ใช่ผู้ปกครอง” โซลิแทร์ชี้แจง “หน้าที่ของข้าแค่เกี่ยวข้องเฉพาะกับสงครามและการปกป้องอาณาจักรจากผู้บุกรุกเท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดระเบียบสังคม หรือเรื่องอื่นใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับสงคราม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะไปก้าวก่าย”

                “ถ้าอย่างนั้นเป็นหน้าที่ของใครล่ะ”

                “ประชาชนดาร์คเนสดีวิลยุคปัจจุบันค่อนข้างหัวแข็งและรักอิสระ เพราะเหลืออดกับการถูกพวกมนุษย์กดขี่มานาน พวกเขาจึงชอบที่จะดูแลตัวเอง อยู่ด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้ปกครอง เราจึงไม่มีเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองท้องถิ่นใดๆ ทั้งสิ้น เราสามารถปล่อยให้พวกเขาอยู่กันเองได้โดยไม่ต้องไปจัดระเบียบให้ยุ่งยาก แค่ยึดหลักไม่ให้ใครไปสร้างความเดือดร้อนแก่ใครก็เป็นพอ ซึ่งก็ถือว่าควรทำอย่างนั้น เพราะไปตีกรอบปีศาจรุ่นนี้มากๆ ไม่ได้ พวกเขาลุกฮือแน่” โซลิแทร์ชี้แจง “เผ่าพันธุ์เราใช้ระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม หัวใจสำคัญของมันคือความเท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ปกครองและประชาชนจะต้องมีน้อยที่สุดเท่าที่จะมีได้ ข้ารู้ว่ากับเผ่าพันธุ์ท่านคงใช้ระบอบสังคมนิยมไม่ได้ แต่เผ่าพันธุ์ของข้าเหมาะสมกับระบอบนี้มากที่สุดแล้ว เนื่องด้วยเผ่าพันธุ์เราไม่มีระบบเงินตรา ไม่มีสภาการเมืองหรือกระทรวงกรมไร้สาระใดๆ ทั้งสิ้น ระดับคุณภาพของประชาชนก็ใกล้เคียงกัน ไม่มีปัญหาอาชญากรรม เหล่าผู้นำก็ไม่ได้มีอำนาจกำหนดการกระทำของใคร อย่างที่บอก เราเป็นผู้ชี้นำแนวทาง ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา เน้นให้คนของเราเห็นด้วยมากกว่ายอมตาม อีกทั้งธรรมชาติของดาร์คเนสดีวิล คือรักสิทธิตนเอง และไม่ชอบละเมิดสิทธิใคร”

                “ท่านกับเหล่าผู้นำคนอื่นๆ แค่รับผิดชอบเฉพาะเรื่องสงคราม ส่วนเรื่องอื่นๆ ในอาณาจักรนั้นประชาชนดาร์คเนสดีวิลชอบที่จะจัดการด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพวกท่าน” กอร์รินทึ่งจัด “ฟังดูท่านไม่ต้องทำงานหนักเหมือนพี่ชายของข้านะ”

                “ถ้าพี่ชายของท่านต้องเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบสังคม รับรองได้ว่าเขาทำงานหนักกว่าข้าแน่ ตามความรู้สึกของข้า ไม่มีอะไรลำบากเท่ากับการควบคุมคนอื่นอีกแล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า “ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่ามันมีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรือเปล่า ตามความเห็นข้า ประชาชนของเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตสองมือสองเท้า และมีสมองบนหัวไม่ต่างกับเรา ไม่จำเป็นต้องไปจัดระเบียบพวกเขา พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตได้ ข้าคิดว่าการจัดระเบียบประชาชน มักเกิดจากผลประโยชน์ที่แอบแฝงของบรรดาผู้ปกครองเสมอ”

                “มันก็อาจจะจริงของท่าน แต่สิ่งที่ท่านควรเข้าใจคือ ประชาชนของข้าไม่เหมือนประชาชนของท่าน พวกเขาดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกสิทธินิยมเหมือนพวกท่าน บางคนก็โลภ บางคนก็กระหายอำนาจ บางคนก็ชอบที่จะกำหนดการกระทำของผู้อื่น ไม่ลังเลที่จะละเมิดสิทธิใคร” กอร์รินส่ายหน้า “เราจึงต้องใช้ระบอบเผด็จการในการปกครอง ใช้ระบอบสังคมนิยมอย่างพวกท่านไม่ได้แน่ ความเท่าเทียมจะทำให้แบร์ร็อคแตกเป็นเสี่ยงๆ”

                “ท่านรู้ไหม แม้เผ่าพันธุ์ของข้าจะถูกพวกมนุษย์เหยียบหัว และเผชิญกับความลำบากมาตลอด แต่ข้าคิดว่าตนเองโชคดีที่ได้เกิดเป็นเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล” โซลิแทร์กล่าว “เราอาจถูกผู้อื่นเหยียบ แต่เราก็ไม่เคยมาเหยียบกันเองเลย”

                “ซึ่งนั่นมันก็ทำให้พวกท่านแข็งแกร่ง จนกระทั่งช่วยกันผลักเท้าพวกมนุษย์ออกไปจากหัวได้” กอร์รินพูดอย่างอิจฉานิดๆ “ความเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่มีใครบังคับกำหนดกรอบ ไม่มีการเมืองการปกครองมาเกี่ยวข้อง เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะมีจุดร่วมเดียวกัน รวมเป็นหนึ่งด้วยความเท่าเทียม มันคงไม่มีอะไรจะทำให้เผ่าพันธุ์แข็งแกร่งได้มากกว่านี้อีกแล้ว”

                “มีปัญหาเรื่องประชาชนในอาณาจักรของท่านหรือ” โซลิแทร์พอสังเกตได้ “ข้าได้ยินว่ากบฏของพวกท่านถูกส่งไปยังเมืองซาโมโรว์”

                “อย่างที่บอกท่านไป เราใช้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ มันต้องตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีหลายปัญหาเข้ามาพร้อมกัน” กอร์รินพึมพำ “เรากำจัดผู้ที่เป็นปรปักษ์ทิ้งไป และมันก็ทิ้งช่องว่างไว้ให้แก่เผ่าพันธุ์ ช่องว่างที่เรายังหาอะไรมาซ่อมแซมไม่ได้ มันทำให้เราอ่อนแอเกินกว่าจะต่อกรกับพวกมนุษย์ ตอนนี้อาณาจักรของข้ากำลังประสบปัญหา ทัพเรือของเราแพ้ทัพเรือมนุษย์เสียยับเยิน และเราก็ไม่มีกองเรือที่แข็งแกร่งพอจะปะทะกับพวกมันได้อีกรอบ หากพวกมนุษย์ยกพลขึ้นชายฝั่งแบร์ร็อคได้ อาณาจักรจะเสียหายหนัก”

                “นับว่าเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่ง ที่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลไม่ติดทะเล” โซลิแทร์พูด “แม้จะทำให้แห้งแล้งหาอาหารลำบาก แต่อย่างน้อย ศัตรูก็ส่งกองเรือมาโจมตีไม่ได้”  

                แสงแดดที่ทึมๆ ครึ้มๆ อยู่แล้วยิ่งอ่อนแสงลง ยามเย็นกำลังมาเยือน อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น ยิ่งมืดจะยิ่งหนาว กอร์รินถูมือไปมาและพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือให้อบอุ่น ไอควันสีขาวลอยออกจากปาก เริ่มคิดในใจว่าไม่น่าถอดเสื้อกันหนาวทิ้งตอนสู้กับพวกมนุษย์เลย

                “ดาร์คเนสดีวิลไม่สวมขนสัตว์กันหรือ” กอร์รินถาม “ผ้าคลุมที่ท่านสวม ดูจะไม่หนาพอกันหนาวได้เลย”

                “อย่าคิดว่าชุดบางๆ จะไม่อุ่น สหายจากทะเลทราย” โซลิแทร์กล่าว “จริงอยู่ มันคงจะไม่อุ่นเท่าขนสัตว์ฟูๆ พองๆ แต่เราคือเผ่าพันธุ์แดนหนาว เป็นธรรมชาติของเราที่จะคุ้นเคยกับความหนาวเย็น เราชอบอากาศเย็น ไม่เคยมีดาร์คเนสดีวิลคนไหนหนาวตาย แต่ถ้าให้เราไปเจอสภาพอากาศร้อนๆ ที่แบร์ร็อค เราอาจขาดใจตายกันเกลื่อนได้”

                “ข้าว่าข้าเริ่มหนาวแล้ว”

                “เดี๋ยวเราก็จะถึงฐานทัพแล้ว ระหว่างนี้ก็อาศัยความอบอุ่นจากชุดเกราะหนาเตอะของท่านไปก่อน”

                “ท่านก็รู้ว่าความหนาของเกราะมันไม่ได้ช่วยลดความหนาว เกราะมันเป็นของแข็ง มันมีช่อง ยิ่งหนายิ่งมีช่องเยอะ”

                “ข้าไม่เคยถนัดสวมเกราะหนาๆ เลย มันเทอะทะ หนัก แล้วก็ทำให้เคลื่อนไหวช้าลง”

                “แต่มันก็ลดความคมของอาวุธศัตรูได้มาก” กอร์รินเคาะเสื้อเกราะตัวหนาของตน “ข้าว่าท่านสวมเกราะบางไป โดยเฉพาะเสื้อเกราะ เกราะส่วนอื่นของท่านเป็นเกราะแข็งยังพอรับได้ แต่เสื้อเกราะของท่านมันคือเกราะอ่อน ทั้งที่มันเป็นส่วนที่ควรทำให้แข็งมากที่สุด”

                “มันเป็นเกราะห่วงโซ่ ย่อมดูบางเป็นธรรมดา จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของมันอาจไม่มากเท่าเกราะแข็ง แต่มันก็ทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ต่อสู้ได้ถนัด” โซลิแทร์บิดตัวไปมา และหมุนตัวขณะเดิน “ข้าอยากจะบอกว่าสามารถเต้นรำขณะสวมเกราะชุดนี้ได้ แต่ข้าเต้นรำไม่เป็น แล้วก็เกลียดการเต้นรำยิ่งกว่ากินเล็บเท้าตัวเองเสียอีก ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าข้าเคยกินนะ”

                “มันก็จริง ที่เวลาต่อสู้ท่านเคลื่อนไหวเร็วและเงียบอย่างกับปีศาจในนิทาน” กอร์รินพูด “เผลอแปบเดียวก็เปลี่ยนตำแหน่งยืนแล้ว บางคนอาจคิดว่าท่านหายตัวได้”

                “ก็แค่กระโดดตีลังกา หรือม้วนตัว หรือกลิ้งตัว ในตอนที่สายตาของท่านไม่ได้มองมาที่ข้าก็เท่านั้นเอง ถ้าท่านจับจ้องที่ข้าตลอด ไม่เปลี่ยนสายตาไปไหน ก็จะพบว่าข้าไม่ได้หายตัวอะไรหรอก” โซลิแทร์อธิบาย “เกราะอ่อนมันทำให้ตัวเบา”

                “แต่เกราะห่วงโซ่มันไม่ค่อยช่วยลดแรงกระแทกเท่าไหร่นะ อาจช้ำในตายได้”

                “ความจริงแล้ว อาเรนัส มาร์คาร์ ช่างตีเหล็กยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ข้าบอกว่า เขาจะทำเสื้อเกราะพิเศษตัวใหม่ให้ข้า” โซลิแทร์ทวนความจำ “เป็นเกราะห่วงโซ่ก็จริง แต่มีความทนทานสูงกว่าเกราะแข็งหนาๆ เสียอีก อาจทนทานกว่าเสื้อเกราะตัวใดที่เขาเคยทำด้วยซ้ำ อีกทั้งน้ำหนักยังเบาราวกับไม่ใช่โลหะ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำยาก และต้องใช้เวลาทำนาน งานของเขาก็เยอะด้วย จะเป็นผู้นำสูงสุดหรือไม่ข้าก็ไม่ควรลัดคิว ฉะนั้น ข้าจึงต้องสวมเสื้อเกราะตัวนี้ไปก่อน ถึงอย่างไรมันก็เป็นเสื้อเกราะแข็งแกร่งมากเหมือนกัน ท่านอาจไม่ศรัทธากับรูปลักษณ์อันไม่หวือหวาของมัน แต่รับรองได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าที่ท่านเห็น”

                “งั้นข้าขอทดสอบโดยใช้ขวานของข้าได้ไหม”

                “ท่านก็รู้ว่าอาวุธประจำกายของคนที่มีเลือดพิเศษนั้น จะมีอำนาจการตัดสูงว่าอาวุธของคนปกติ เหล็กบางชนิดยังสามารถถูกมันฟันขาดได้ราวกับไม้” โซลิแทร์ส่ายนิ้วอย่างอารมณ์ดี “ยิ่งอาวุธของท่านเป็นขวานด้วย เสื้อเกราะจะแข็งแกร่งยังไงก็คงจะทานทนไม่ไหว แต่ถ้าเป็นสนับแขนคู่นี้” เขาเคาะสนับแขนติดกรงเล็บที่สวมอยู่ “มันเป็นเสมือนโล่ใบเล็กๆ สามารถทนคมขวานของท่านได้”

                “น่าสนใจ” กอร์รินปลดขวานออกจากเข็มขัดแล้วฟันใส่โซลิแทร์ทันที โซลิแทร์ยกสนับแขนขวารับไว้แทบไม่ทัน ล้มหงายหลังเพราะแรงกระแทกจากขวาน

                “น่าทึ่ง” กอร์รินหัวเราะชอบใจ ดึงแขนโซลิแทร์ให้ลุกขึ้นยืน “ท่านควรจะแขนขาดไปแล้วด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าโลหะชิ้นเล็กๆ จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ มันแข็งแกร่งพอๆ กับโล่ของคนที่มีเลือดพิเศษทีเดียว”

                “คิดเสียว่ามันคือโล่ ที่ออกแบบมาเหมือนสนับแขน ข้าใช้มันรับคมอาวุธข้าศึกได้ตลอดยามออกรบ” โซลิแทร์ปัดหิมะออกจากตัว ไม่ถือสาที่ถูกโจมตีกะทันหันสักนิด “มันเคยเป็นของลุงผู้ล่วงลับของข้า เป็นเกราะชิ้นเล็กที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา”

                “ท่านสวมเกราะบางและเบาเพื่อความคล่องตัว แต่สวมผ้าคลุมผืนใหญ่กว่านักรบคนใดที่ข้าเคยเห็น ข้าว่ามันขัดๆ กันนะ” กอร์รินออกความเห็น “น้อยคนจะสวมผ้าคลุมออกรบ เพราะมันเกะกะ และทำให้เคลื่อนไหวติดขัด ที่มีสวมบ้างก็ผืนสั้นนิดเดียว อาจมีบางคนที่สวมผืนยาวหน่อย แต่ทุกคนก็สวมมันคลุมแค่ด้านหลัง มีท่านคนเดียวที่ให้มันคลุมหมดทั้งตัว ไม่รู้สึกเกะกะบ้างหรือ”

                “ผ้าคลุมมันจะผืนใหญ่แค่ไหน มันก็ยังเป็นผ้าที่เบาและพลิ้วไหว ไม่ได้แข็งๆ ขัดๆ เหมือนเกราะเหล็ก” โซลิแทร์บอก “ไม่รู้สิสหาย ผ้าคลุมกับฮู้ดกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของข้าเสียแล้ว อาจเป็นเพราะข้าชอบสวมผ้าคลุมกับฮู้ดมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงคุ้นเคยกับมัน ไม่รู้สึกว่ามันเกะกะเลย จริงอยู่ที่ข้าสวมผ้าคลุมผืนใหญ่กว่านักรบทั่วไป ไม่มีใครเอามาห่มทั้งตัวแบบข้า แต่มันก็ไม่เคยถ่วงการเคลื่อนไหวของข้าสักนิด ตรงกันข้าม มันยังถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยต่อสู้ของข้า อย่างน้อยก็ช่วยปิดบังการเคลื่อนไหวของมุมไหล่และต้นแขน ทำให้คู่ต่อสู้เดาทางดาบของข้าได้ยากขึ้น”

                “ข้อนี้ข้ารู้ซึ้งทีเดียว” กอร์รินเห็นด้วย “ท่านรู้ไหม รวมๆ แล้วท่านเป็นคนที่แปลกประหลาดมาก ข้าสงสัยว่าดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ จะเป็นแบบท่านหรือเปล่า”

                “ท่านอาจไม่รู้จักดาร์คเนสดีวิลดีพอ” โซลิแทร์พูด “แต่ท่านก็น่าจะเดาได้ว่า ความประหลาดของข้ามันคงจะไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว”  

                ทั้งคู่หัวเราะไปด้วยกัน กอร์รินตบไหล่โซลิแทร์แรงๆ เกราะหัวไหล่ที่อยู่ใต้ผ้าคลุมกระทบกับแขนเสื้อเกราะเสียงดัง โซลิแทร์ไม่กล้าตบไหล่กลับเพราะเกราะที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายติดหนามเหล็กไว้เต็มไปหมด ทั้งคู่เดินมาด้วยกัน จนกระทั่งกลับมายังบริเวณที่เพิ่งเกิดศึกไป พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลทั้งดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์กำลังช่วยกันเก็บกวาดพื้นที่ เก็บเกราะและอาวุธจากศพพวกมนุษย์ขนใส่เกวียน เพื่อนำไปหลอมใช้ใหม่ ลากศพพวกมนุษย์มารวมกันเป็นกองๆ และเผาทิ้ง รวบรวมม้าที่ยึดได้มาผูกโยงไว้ด้วยกันเป็นแถวยาวเพื่อนำกลับฐานทัพ กัปตันมาซูลและเซซิลกำลังช่วยกันลากศพพวกมนุษย์ที่ถูกถอดเกราะแล้วมารวมไว้ในกอง ทั้งคู่หันมาเห็นโซลิแทร์และกอร์ริน สีหน้าค่อนข้างแปลกใจ เช่นเดียวกับดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ที่แอบชำเลืองมองกอร์รินขณะทำงานไปเรื่อยๆ

                “ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องการคำอธิบาย” โซลิแทร์เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน

                “แน่นอน ท่านหายไปนาน แล้วกลับมาพร้อมกับสหายต่างเผ่าพันธุ์” เซซิลว่า “เราทุกคนต้องการความกระจ่างแน่นอน”

                “ก่อนอื่น ข้าขอแนะนำให้รู้จักแขกของเรา” โซลิแทร์จับต้นแขนกอร์ริน “กอร์ริน เฮนิเคม รองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค เขาสะกดรอยตามกองทัพมนุษย์มาที่นี่ และฆ่าหน่วยลาดตระเวนของพวกมันถึงสิบคน มีส่วนทำกองทัพมนุษย์ติดกับเราได้ตามแผน”

                “ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น แต่ก็ยินดีที่มันส่งผลดีต่อพวกท่าน” กอร์รินยิ้ม โค้งศีรษะให้ทุกคน “ยินดีที่ได้รู้จักศัตรูของมนุษย์เพิ่มขึ้น เป็นเกียรติมากครับ”

                เซซิลและกัปตันมาซูลจับมือกับกอร์รินและแนะนำตัว โซลิแทร์อธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟังว่าไปพบกันได้อย่างไร กอร์รินขยับเข้าไปใกล้กองไฟสีเขียวที่กำลังเผาซากศพพวกมนุษย์ รู้สึกอบอุ่นสบายตัวขึ้นเล็กน้อย

                “มังกรดำ” กัปตันมาซูลส่ายหน้ายิ้มๆ “จะมีสักครั้งไหมท่านลอร์ด ที่ท่านไม่ต้องโผล่ไปเจอกับสิ่งอันตรายทุกครั้งที่หายไปคนเดียว”

                “ยังไงก็แล้วแต่ โฟรเซ็นทิเนลยินดีต้อนรับท่าน โฮซอร์เฮนิคม” เซซิลกล่าว “อภัยให้ด้วยหากไม่ได้รับความสะดวกสบายนัก ปกติแล้วเราไม่เคยต้อนรับใคร แต่เราคงละอายใจน่าดู หากทิ้งให้ผู้ที่ช่วยกำจัดหน่วยลาดตระเวนมนุษย์ได้ทนหนาวทนลำบากอยู่นอกกำแพง เรายินดีให้ท่านได้พักอยู่กับเรา จนกว่าท่านจะพร้อมเดินทางกลับแบร์ร็อค”

                “เรายึดม้ามาจากพวกมนุษย์ได้มากพอดู เราจะนำพวกมันไปแปลงสภาพเป็นม้าปีศาจ แต่เราก็จะเหลือตัวดีๆ ไว้สักตัวสำหรับท่าน” กัปตันมาซูลพูด “อาจต้องใช้เวลาหน่อย ม้าพวกนี้ถูกยึดมาจากพวกมนุษย์ ต้องใช้เวลาสักระยะให้พวกมันคุ้นเคยกับผู้ขับขี่ต่างเผ่าพันธุ์”

                “พวกท่านกรุณาต่อข้า ผู้นำสูงสุดของข้าจะได้ทราบถึงความมีน้ำใจนี้แน่นอน” กอร์รินพูดอย่างมีมารยาท แน่นอนว่าเขาเป็นชนชั้นสูงในเผ่าพันธุ์โฮเซ่ ย่อมถูกปลูกฝังเรื่องมารยาทมาไม่น้อย “หากไม่เป็นการรบกวนพวกท่านจนเกินไป จะเรียกข้าว่ากอร์รินก็ได้ครับ ข้าอาจเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค แต่ที่นี่ข้าอยากเป็นแค่มิตรของพวกท่าน เป็นเพื่อนของโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม”

                เขาหันไปหาโซลิแทร์ และพบว่าไม่อยู่ข้างๆ แล้ว แต่กลับไปอยู่ตรงกองศพพวกมนุษย์ที่ยังไม่ได้จุดไฟ กำลังลากศพมนุษย์สองคนเข้าไปรวมในกอง อย่าได้ประมาทความแข็งแรงของพวกดาร์คเนสดีวิลด้วยรูปร่างเพรียวๆ ของพวกเขาเชียว สามารถลากคอศพมนุษย์หนึ่งคนด้วยมือข้างเดียวได้สบายๆ  

                “ขอโทษทีสหาย ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่สุดในดาวดวงนี้ เรื่องมารยาทธรรมเนียม โดยเฉพาะเรื่องการต้อนรับนั้น ข้าไม่เคยรู้เรื่องสักนิด” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “รู้แต่ว่าหลังศึกครั้งนี้ ยังมีงานต้องเก็บกวาดอีกเยอะ ไม่ว่าอะไรใช่ไหมหากข้าจะคุยไปทำงานไป”

                “ข้าช่วยท่านได้นะ” กอร์รินเสนอ “ข้าอาจมาจากครอบครัวชั้นสูงก็จริง แต่ข้าก็รู้ว่าการลากศพมนุษย์มากองรวมกันแล้วเผานั้นทำยังไง อะไรที่เกี่ยวกับการทำลายมนุษย์ คืองานที่ข้าถนัด”

                “ข้าว่าข้าควรพาท่านเข้าไปในฐานทัพดีกว่า จะได้หาห้องพักว่างๆ ในป้อมปราการดำให้ท่านด้วย” โซลิแทร์ละมือจากกองศพ “ขออภัยล่วงหน้าที่มันคงไม่สะดวกสบายนัก เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเป็นเมืองหน้าด่านรับสงคราม ไม่เคยใช้ต้อนรับใครมาก่อน”

                “อย่าได้ใส่ใจที่ข้ามาจากตระกูลสูงศักดิ์เลย ถึงอย่างไรข้าก็เป็นนักรบ นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอด” กอร์รินโบกไม้โบกมือ “แค่ให้มันอบอุ่นกว่าตรงนี้สักหน่อย และปลอดภัยจากมังกรดำก็พอแล้ว”

                “ข้าจะนำม้าขบวนนี้กลับฐานทัพเอง” โซลิแทร์บอกเซซิลและกัปตันมาซูล เดินไปยังรถม้าศึกคันหนึ่งที่มีม้าหลายตัวผูกโยงกันต่อท้ายเป็นแถวๆ กอร์รินค่อนข้างทึ่งกับรูปลักษณ์ของม้าปีศาจสองตัวที่เทียมรถม้าอยู่ข้างหน้า มันดูน่ากลัวและไร้ชีวิตจิตใจพิกล โซลิแทร์ขึ้นไปบนรถม้าศึก และช่วยดึงแขนกอร์รินให้ขึ้นไปด้วย

                “นับว่าโชคดี ที่ท่านได้พบกับรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ผู้ซึ่งเป็นน้องชายของผู้นำสูงสุดเสียด้วย” เซซิลยื่นหน้ามากระซิบกับโซลิแทร์ ขณะที่กอร์รินกำลังยุ่งอยู่กับการปลดเป้สะพาย “รู้ใช่ไหม ว่ามันทำให้เราได้โอกาสอะไรบ้าง”

                “โฮเซ่คือศัตรูของมนุษย์ ที่ชำนาญเรื่องการต่อสู้นอกพื้นที่มากกว่าเรา” โซลิแทร์กระซิบกลับ “พวกเขาอาจเป็นคำตอบในการช่วยพวกพ้องของเราออกมาจากกรงขังของพวกมนุษย์ได้”

                “เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของท่านบินกลับฐานทัพแล้วนะ หลังจากที่เราไปเก็บม้าที่มันเฝ้ามาแล้ว เจอกันที่ฐานทัพ ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลยกแขนทำสัญลักษณ์กากบาท เซซิลก็ทำด้วย “เราคือกำแพง”  

          “เราคือกำแพง” โซลิแทร์ทำสัญลักษณ์นี้ตอบกลับ แล้วจึงสะบัดบังเหียน ม้าปีศาจสองตัวขยับเท้าลากรถม้าศึกที่มีขบวนม้ามนุษย์ผูกโยงต่อท้ายมา

          “คืออะไรหรือ สัญลักษณ์กากบาทนี้” กอร์รินทำแขนตามโซลิแทร์

          “เป็นการแสดงความเคารพระหว่างดาร์คเนสดีวิลด้วยกัน” โซลิแทร์ตอบ “หากท่านสังเกต จะพบว่าสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ของเราคือกากบาทสีดำ แอ็กนอสติกส์ครอส (Agnostics Cross) ชื่อของมัน”

          “มีหลายคนบอกว่าพวกปีศาจนั้นชอบขวางโลก ตอนนี้ข้าพอเข้าใจมากขึ้นแล้ว”

          “โลกมันเฮงซวยแบบนี้ มันต้องมีใครสักคนขวางอยู่แล้ว”

          “โซลิแทร์ ข้าคิดว่าข้าเห็นอาจารย์เซซิลของท่านลอยได้ล่ะ” กอร์รินสะกิดโซลิแทร์ ขณะหันคอไปมองข้างหลัง “จริงๆ นะ เขาลอยได้เหมือนปีศาจบางชนิดในเทพนิยาย”

          “เขาเป็นพวกดีวอเชอร์” โซลิแทร์อธิบาย “ลอยได้เพราะในร่ายกายมีก๊าซฮีเลียม ลอยไม่ได้สูงนักหรอก แต่ก็สามารถทำให้ตกจากที่สูงแล้วไม่เจ็บตัว”

          “ดีวอเชอร์อย่างนั้นหรือ”

          “หากท่านพิการ ร่างกายอ่อนแอ มีโรคประจำตัวร้ายแรง แต่อยากเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ดีวอเชอร์คือคำตอบของท่าน” โซลิแทร์ขยายความ “แม้การเป็นดีวอเชอร์จะทำให้ท่านมีร่างกายท่อนล่างแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนขาไม่ได้ ไปไหนมาไหนด้วยการลอยไปลอยมาเหมือนปีศาจบางชนิดในเทพนิยาย แต่มันก็ทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ในสภาพร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความแข็งแรง อีกทั้งยังสามารถถ่ายเทสารฮีเลี่ยมออกมาในรูปแบบของวงแหวนที่ร้อนจัด เป็นอาวุธที่อันตรายไม่น้อยทีเดียว ตอนเด็กๆ อาจารย์เซซิลเคยเป็นมะเร็งในกระดูก และเป็นโรคประจำตัวอีกสารพัดโรค อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นช่วงวัยรุ่น แต่การเปลี่ยนสภาพตนเองเป็นดีวอเชอร์นั้น ช่วยให้เขาหายขาดจากทุกอย่าง รักษาชีวิตไว้ได้ และทำให้เขาตามความฝันจนได้มายืนตรงจุดนี้”

          “น่าทึ่ง ที่พวกท่านสามารถคิดค้นการบำบัดที่เหมาะสมกับร่างกายปีศาจ” กอร์รินชม “ข้าเคยได้ยินการบำบัดด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยไม่ยินเรื่องการบำบัดด้วยก๊าซฮีเลี่ยมมาก่อนเลย”

          “แต่อย่าไปรักษาคนของท่านด้วยวิธีนี้ล่ะ อาจถึงตายได้นะ ร่างกายของดาร์คเนสดีวิลกับโฮเซ่ไม่เหมือนกัน” โซลิแทร์รีบเตือน “กระบวนการดีวอเชอร์ใช้ได้เฉพาะกับร่างกายปีศาจเท่านั้น”

          “แล้วพวกท่านทำยังไงหรือ ถึงจะเปลี่ยนสภาพตนเองเป็นดีวอเชอร์ได้”

          “เข้าไปมัดตัวเองในท่ายืน ในตู้แคบๆ ที่อบอวลไปด้วยก๊าซฮีเลียม หายใจเอาแต่ฮีเลียมเข้าไป อยู่ในนั้นราวสามชั่วโมง”

          “ตะบองเพชรพินาศ! นั่นไม่ตายเสียก่อนหรือ”

          “ยังไม่เคยมีปีศาจคนใดตายเพราะการทำสิ่งนี้ แต่ก็ออกมาจากตู้ในสภาพคางเหลืองกันทุกคน” โซลิแทร์ว่า “อาจารย์คนแรกของข้าเป็นคนคิดค้นโครงการนี้ขึ้นมาเอง เขาเป็นดีวอเชอร์คนแรกของดาวดวงนี้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าไพรม์ดีวอเชอร์ (Prime Dewatcher) อย่างน้อยก็เป็นชื่อเดียวของเขาที่ข้ารู้จัก ข้าไม่รู้จักชื่อจริงๆ ของเขาหรอก หน้าก็ยังไม่เคยเห็นเลย เขาสวมหมวกเกราะตลอดเวลา”

          “มิน่า ท่านถึงชอบสวมหน้ากากปกปิดหน้าตาตัวเอง”

          “มีหลายคนบอกว่าข้าซึมซับลักษณะนิสัยของเขามาหลายอย่างทีเดียว ทั้งบุคลิกเย็นๆ แข็งๆ ทั้งนิสัยเกลียดการตะโกนหรือพูดเสียงดัง” โซลิแทร์พูด “ข้าพยายามหลีกเลี่ยงการตะโกนหรือตะคอกตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่นี้”  

          “แล้วเวลาท่านสั่งการพวกนักรบในสงคราม ท่านทำยังไงหรือ”

          “ข้าเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ภาษาดาร์เคน ข้าสามารถประยุกต์เอาอำนาจของมันมาขยายเสียงเบาๆ ของข้าให้ได้ยินกันทั่ว” โซลิแทร์ตอบ

          “ท่านรู้ไหมว่า มีน้อยคนมากที่มีความสามารถเรื่องภาษาดาร์เคน และพวกที่เชี่ยวชาญถึงขั้นนำมาประยุกต์ใช้แบบท่านได้นี่ ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่” กอร์รินมองอีกฝ่ายอย่างประเมินค่า “ท่านมีความประหลาดอยู่ในตัวมากแค่ไหนกันนี่ ข้าคิดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลประหลาด แต่ยังไม่มีใครประหลาดเท่าท่านเลย”

          “ข้าชินแล้วกับการเป็นตัวประหลาด” โซลิแทร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ใช้ปมด้อยให้เป็นประโยชน์ เพื่อนข้า แล้วความประหลาดจะกลายเป็นความพิเศษ”

          “ดูเหมือนว่าท่านจะมีอิสระในการเป็นตัวของตัวเองมากทีเดียว” กอร์รินพูด มีความอิจฉาซ่อนอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย

          “แล้วท่านไม่หรือ” โซลิแทร์ถามกลับ พอจับน้ำเสียงได้

          “ท่านอาจเข้าใจเรื่องนี้ยากหน่อย จากลักษณะของท่านแล้ว ท่านน่าจะเติบโตมาอย่างเด็กไม่มีชนชั้น ไม่มีที่มาที่ไป เอ้อ! ข้าไม่มีเจตนาจะดูถูกดูแคลนนะ คือท่านพอเข้าใจข้าใช่ไหม” กอร์รินรีบเสริม ขณะที่โซลิแทร์โบกมืออย่างไม่เอาความ “ข้าเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ต้องประพฤติตัวตามแนวทางที่ถูกวางไว้ เป็นเรื่องยากที่จะทำอะไรตามใจตนเอง” โฮเซ่เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ท่านรู้ไหม ตอนเด็กๆ ข้าถูกบังคับให้ทำโน่นทำนี่ตามตาราง ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงตอนนอน ต้องทำกิจกรรมน่าเบื่อหลายอย่างที่ชนชั้นสูงทำกัน ต้องเรียนต้องศึกษาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ข้าก็ไม่เข้าใจว่าจะเรียนไปทำไม เอาไปใช้อะไรในชีวิตจริงได้ ท่านพอจะรู้จักทฤษฎีคำนวณวงกลม หรือสามเหลี่ยมในวงกลมหนึ่งหน่วย หรือสมการขั้นสูง หรือชีวะวิทยาขั้นสูง หรือกระบวนการเคมีขั้นสูง หรือวัฒนธรรมสมัยโบราณไกลโพ้น หรือการคำนวณบัญชี หรืออะไรบ้าบอคอแตกทำนองนี้ไหม”

          “แค่ได้ยินชื่อข้าก็หายใจไม่ออกแล้ว” โซลิแทร์หัวเราะกับท่าทีของอีกฝ่าย “ข้าไม่ปฏิเสธหรอกว่าการเรียนรู้สิ่งต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็รู้เท่าที่ได้ใช้ก็พอแล้ว ไปเรียนเจาะลึกเกินไปมันเปลืองพื้นที่สมอง เปลืองเวลา และที่สำคัญ เปลืองสุขภาพกายและสุขภาพจิต”

          “พ่อของข้าเป็นผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคในสมัยนั้น เขาเด็ดขาดและเจ้าระเบียบ จริงอยู่ที่กับลูกๆ ของเขานั้น เขาไม่ได้เคร่งครัดเหมือนที่เขาทำกับคนใต้ปกครอง แต่เขาก็ไม่เคยบกพร่องที่จะหยิบยื่นสิ่งที่เขาคิดว่าดีให้กับลูกๆ เลย” กอร์รินถอนใจอย่างเหนื่อยใจกับประโยคท้าย “เขาต้องการให้ลูกๆ เป็นส่วนหนึ่งของคณะปกครอง เขาคาดหวังพวกเราไว้สูง จึงยัดเยียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดว่าสำคัญมาให้พวกเราจนแทบอ้วก เทอร์รินพี่ชายของข้าทนรับได้ง่ายกว่าข้า เพราะเขาค่อนข้างมีวินัย มีความคล้ายคลึงกับพ่อหลายอย่าง ขณะที่ข้านั้น ต้องลำบากลำบนกับการรับสิ่งพวกนี้พอสมควร”

          “มันไม่ผิดหรอกที่ท่านจะแตกต่างจากพ่อ แล้วรู้สึกภูมิใจ” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “เพราะถ้าท่านผิด ข้าก็ต้องผิดด้วย”

          “พ่อของข้าเด็ดขาดและมีกฎเกณฑ์สูง เทอร์รินก็คล้ายๆ จะตามรอยเขา” กอร์รินพูดต่อ “ซึ่งท่านคงจะทราบดีว่าคนเข้มงวดมักจะขาดความคิดสร้างสรรค์ ดูสิว่าการที่เทอร์รินกับพ่อยึดแนวทางตามกรอบนั้น มันทำให้พวกเขาได้อะไร ปัญหากบฏในเผ่าพันธุ์และการแก้ปัญหาที่นำมาซึ่งความเสียหาย ตอนนี้ยังคิดกันไม่ตกเลยว่าจะทำยังไงให้เผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยช่องว่างนั้น จะแข็งแกร่งพอรับศึกพวกมนุษย์ได้”

          “ระเบียบมันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย” โซลิแทร์เอียงคอ “แต่ถ้ามีมากเกินไป มันจะทำให้คนโง่และด้อยคุณภาพ ส่งผลให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ”

          “ตอนนี้พ่อของข้าก็ตายไปแล้ว ข้าคิดถึงเขา ถึงอย่างไรเขาก็รักและดูแลเอาใจใส่ข้าอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง” กอร์รินพูดเสียงเบา “แม้ว่าความรักของเขา มันจะรวมไปถึงการยัดเยียดความกดดันและความลำบากโดยไม่จำเป็นให้ข้าบ้างก็ตาม”

          “พ่อแม่ของข้าตายไปตั้งแต่ก่อนข้าจะจำความได้ ข้าไม่รู้จักนิสัยใจคอพวกเขาสักนิด ไม่ได้มีโอกาสผูกพันอะไรกับพวกเขา จึงไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เท่าไหร่” โซลิแทร์พูดตรงๆ จากใจ “มันอาจฟังดูอกตัญญู แต่บางครั้ง การที่พ่อแม่ตายนั้นอาจเปิดโอกาสและอิสระให้เราได้ทำสิ่งที่มีความหมายแก่ชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะหากพ่อแม่ข้าเป็นคนเข้มงวดเจ้าระเบียบ อาจถือได้ว่าข้าโชคดีกว่าท่านที่ข้ากำพร้าตั้งแต่เล็ก บางที การที่ข้ามีชีวิตที่ดีอยู่ทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะการไม่มีพ่อแม่ก็ได้”

          กอร์รินหัวเราะชอบใจกับคำพูดของอีกฝ่าย โซลิแทร์เป็นคนที่มีมุมมองแตกต่างจากคนทั่วไป และมีเหตุผลอันสมควรเสมอ

          “ข้าเคยได้ยินแต่เรื่องเด็กอาภัพ พ่อแม่ตายหมด น่าสงสารเวทนา” กอร์รินว่า “แต่ท่านนี่ล่ะ ที่จะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายน้ำเน่าเหล่านั้นย่อยยับป่นปี้”

          “ดาร์คเนสดีวิลรุ่นใหม่คือแอ็กนอสติกส์ แอ็กนอสติกส์จะมีแนวคิดที่แตกต่างอยู่เสมอ และข้าก็มีความเป็นแอ็กนอสติกส์มากกว่าใคร” โซลิแทร์พูดสบายๆ “เราเกิดมามีชีวิตแค่หนเดียว ซึ่งชีวิตมันก็เฮงซวยพออยู่แล้ว อย่าทำให้มันแย่กว่าเดิม ดำเนินมันไปในทางที่เราเชื่อว่าเหมาะสมกับตัวเรา เมินสายตาคนอื่นบ้าง เพราะที่สุดแล้ว ใครจะรู้จักชีวิตเราได้ดีกว่าตัวเราเอง”

          ในวินาทีนั้น กอร์รินสะดุ้งสุดตัว รู้สึกราวกับเพิ่งทะลุผ่านบางสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วเขาก็ได้แต่จ้องไปข้างหน้า อ้าปากค้าง ขยี้ตาแล้วมองใหม่ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

          “นึกแล้วว่าท่านต้องทำหน้าเหมือนเห็นผี” โซลิแทร์ขำท่าทีของอีกฝ่าย

          ในแผนที่ดาวดวงนี้ ทั้งอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลจะถูกล้อมรอบด้วยเทือกน้ำแข็งที่สูงชัน ประดุจเป็นกำแพงกั้นทั้งอาณาจักร แต่จะเหลือช่องว่างบริเวณเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เป็นเส้นทางเดียวที่ใช้ผ่านเข้าออกอาณาจักร เมื่อสักครู่นี้กอร์รินยังเห็นมันเป็นช่องว่างอยู่ แต่ตอนนี้เขากลับเห็นกำแพงน้ำแข็งที่สูงลิบลิ่วทอดยาวปิดช่องเขามิดชิด เป็นกำแพงที่สูงมาก ลักษณะของมันหากมองไกลๆ จะคล้ายคลึงกับปีกเอเลนเซฟเวอรี่ พื้นผิวหน้ากำแพงมีเหลี่ยมมุมเหมือนด้านข้างปีก กำแพงเชิงเทินก็มีส่วนที่เป็นแหลมๆ แฉกๆ เว้นระยะเป็นช่วงๆ เหมือนขอบปีก เครื่องยิงกลไกตั้งอยู่ตามแท่นบนกำแพงเป็นจุดๆ  มีนักรบดาร์คเนสดีวิลประจำอยู่บนกำแพงประปราย คาดว่าเมื่อถึงเวลารับศึก คงแห่กันขึ้นไปบนกำแพงเป็นกองทัพ ความกว้างและความยาวของกำแพงนั้น มากพอที่จะให้กองทัพใหญ่ขึ้นไปประจำการได้เลยด้วยซ้ำ

          “มันโผล่มาได้ยังไง น้ำแข็งก้อนใหญ่ขนาดนี้” กอร์รินตะกุกตะกัก “เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว ข้ายังไม่เห็นมันเลย แล้วจู่ๆ มันมาปรากฏให้เห็นเสียดื้อๆ”

          “ใจเย็นๆ กำแพงมันไม่ได้โผล่มาเองหรอก ท่านต่างหากที่มองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้” โซลิแทร์หัวเราะ “เราใช้เกราะมนต์ดำพรางตามันเอาไว้ จากสายตาของพวกมนุษย์และพวกชอบสอดรู้สอดเห็น หากมองไกลๆ จะมองไม่เห็น ต้องทะลุผ่านม่านเกราะเข้ามาก่อน ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนทะลุผ่านอะไรสักอย่างเข้ามาเมื่อกี้น่ะ คือท่านเพิ่งผ่านเกราะเข้ามา”

          “เกราะมนต์ดำอย่างนั้นหรือ” กอร์รินกระซิบอย่างทึ่งจัด

          “ก็ไม่ใช่การแปลงพลังงานที่ทรงพลังอะไรนักหรอก มันแค่พรางสายตา ไม่สามารถป้องกันธนู กระสุนปืนใหญ่ หรือแม้แต่นกบินผ่านได้” โซลิแทร์เสริม ยื่นมือไปสัมผัสอากาศข้างหลัง อากาศบริเวณที่ถูกมือของเขาสัมผัสนั้นกระเพื่อมสั่นไหวเหมือนน้ำ “ข้าเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญมนต์ดำอีกหลายคนก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ก็แค่แปลงสภาพอากาศบริเวณที่ท่านทะลุผ่านมานั้น ให้มีลักษณะคล้ายภาพจำลอง คิดเสียว่ากำแพงถูกบังด้วยภาพวาดแผ่นใหญ่ที่ทำด้วยหมอก บางคนเรียกมันว่าหมอกลวงตา

          “ข้าเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องมนต์ดำเลยสักนิด ท่านต่างหากที่ดูจะเชี่ยวชาญถึงขั้นลึกซึ้ง” กอร์รินว่า “แต่เกราะพรางตานี้จะต้องมีแหล่งพลังงาน เช่นวัตถุเวทมนตร์ หรืออะไรสักอย่าง”  

          “ศูนย์รวมพลังงานของเกราะมนต์ดำนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง” โซลิแทร์บอก “ถ้ากำแพงพัง เกราะก็หายไป แต่ต่อให้มันไม่พัง เราก็สามารถปิดเกราะได้ชั่วคราวหากต้องการ มนต์ดำเป็นสิ่งลึกลับและมีพลังมหาศาลก็จริง แต่ก็สามารถควบคุมได้”

          “เกราะมนต์ดำเป็นแค่สิ่งที่แสนจะธรรมดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่มันพรางอยู่” กอร์รินจ้องมองไปยังกำแพงน้ำแข็งที่เห็นอยู่ไกลๆ “มันคือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของดาวดวงนี้”

          “เรียกว่าพวกมันดีกว่า เพราะกำแพงมีสามชั้น” โซลิแทร์แก้ไข

          “อะไรนะ ด้านหลังกำแพงที่เห็นอยู่นี้ ยังมีกำแพงอีกสองชั้นหรือ”

          “ก็ไม่ได้สูง กว้างขวาง หรือมีหอคอยและป้อมน้ำแข็งมาต่อเติมมากเท่าชั้นที่เห็นอยู่นี้ แต่รับรองได้ว่าแข็งแกร่งล้นเหลือ ไม่ด้อยกว่ากันมากนัก”

          “พวกท่านใช้เวลาสร้างนานไหม”

          “ราวๆ สิบเอ็ดปีได้ ซึ่งเรายังต่อเติมป้อมและหอคอยไม่สมบูรณ์เลย” โซลิแทร์ตอบ “แต่มั่นใจว่า ทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์ ก่อนเกิดศึกครั้งหน้าแน่นอน”

          “พวกท่านปกปิดพวกมนุษย์มาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง” กอร์รินถามอย่างแปลกใจ

          “ส่วนหนึ่ง ก็ต้องขอบคุณพวกท่านโฮเซ่ ที่ทำให้พวกมนุษย์มัวแต่ยุ่งทำสงครามอยู่อีกฝากหนึ่งของอาณาจักรโมราโซมอส จึงไม่ได้ใส่ใจเรานัก” โซลิแทร์พูด “อีกส่วนหนึ่ง ก็อย่างที่ท่านรู้ดี โฟรเซ็นทิเนลไม่ใช่ดินแดนที่น่าพิสมัย มันหนาวเย็น แห้งแล้ง ไร้ความสะดวกสบาย และเต็มไปด้วยอันตราย เมืองก็อยู่ในสภาพแตกๆ พังๆ จากการรับศึกพวกเฟลมฟอร์ส พวกมนุษย์ย่อมไม่อยากเหยียบเข้ามาในดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องคำสาปสำหรับพวกข้าราชการมนุษย์ เพราะการมาอยู่ที่นี่นั้น แทบจะลืมคำว่าก้าวหน้าไปได้เลย จะไม่มีการสนับสนุนปัจจัยหรืองบประมาณจากเมืองหลวงทั้งนั้น พวกมนุษย์ไม่ใส่ใจที่จะสร้างโครงการใดๆ ขึ้นที่นี่อยู่แล้ว พวกมันไม่เคยใส่ใจว่าเราจะลำบากจะเป็นจะตายยังไง ดังนั้น แต่ละคนจึงหลีกเลี่ยงที่จะแวะเวียนเข้ามาในโฟรเซ็นทิเนล ส่วนใหญ่จะแห่ไปทำสงครามกับพวกท่านโฮเซ่มากกว่า เพราะสงครามนั้นสามารถทำเรื่องของบประมาณได้ และยังมีผลประโยชน์แฝงอีกมากมาย สิ่งที่พวกมันต้องการจากเราก็แค่บรรณาการ ซึ่งพวกมันก็ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนมารับเอาที่นี่ ให้เราขนไปส่งถึงโมราโซมอสทีเดียว พวกมันคิดว่าเป็นความคิดที่ฉลาด นั่งสบายๆ ให้เราเอาทองคำเพชรพลอยไปประเคนให้ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง” เขาส่ายศีรษะอย่างขุ่นเคืองใจ “นั่นทำให้พวกมันละสายตาจากอาณาจักรของเราเป็นเวลานาน ถึงอย่างไรพวกเราก็กำลังเสียหายหนักจากการรับศึกพวกเฟลมฟอร์สครั้งสุดท้าย ผู้นำสูงสุดก็ไม่มี อาณาจักรก็มีแต่บาดแผล คงใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นตัวได้” เขาสะบัดบังเหียนในมือ ม้าปีศาจทั้งสองสาวเท้าลากรถม้าเร็วขึ้นเล็กน้อย “แต่สิ่งมีชีวิตที่ชอบดูถูกดูแคลนอย่างพวกมัน ย่อมคาดไม่ถึงว่าการที่เราเอาชนะพวกเฟลมฟอร์สได้นั้น มันทำให้เราเกิดศรัทธาในพลังของตนมากกว่าครั้งไหน มันทำให้เราแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา มันทำให้เราฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเกินจะคาดถึง เราก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่อย่างเงียบเชียบ พัฒนาตนเองอย่างที่ไม่เคยทำได้ สร้างความแข็งแกร่งให้กันและกัน อย่างที่พวกมนุษย์ไม่เคยทำเลย เราสร้างกำแพง สร้างกองทัพ สร้างทุกสิ่งที่จะปกป้องเราจากการคุกคาม กระทำโดยที่พวกมนุษย์ไม่เคยรู้” ไอควันสีขาวพุ่งออกมาจากหน้ากากของเขา บริเวณที่น่าจะเป็นปาก น่าแปลกใจที่มันสามารถระบายอากาศได้ เพราะดูเหมือนจะไม่มีช่องให้อากาศผ่านเลยสักนิด “จริงอยู่ พวกมนุษย์อาจส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบ้าง แต่ข้าก็ฆ่าทิ้งหมดทุกคนและทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะตกร่องน้ำแข็งตายบ้าง ถูกสัตว์ร้ายโจมตีบ้าง ทนความหนาวเย็นไม่ได้บ้าง ซึ่งท่านก็คงทราบดีว่า ในความจริงสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เหมือนกันในดินแดนที่แสนจะอันตรายนี้ จึงถือว่าเป็นการโกหกที่แนบเนียนมาก อีกทั้งเรายังปล่อยข่าวว่ามีโรคระบาดในอาณาจักรนี้อีก ข้าเคยเอาเลือดหมาป่าผสมสีดำมาทาตัว และแกล้งชักตายต่อหน้าพวกมนุษย์หลายครั้ง แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้มนุษย์ทุกคน ทั้งหลีกเลี่ยง ทั้งรังเกียจ ทั้งขยะแขยง ที่จะเข้ามาใกล้อาณาจักรเรา พวกมันจึงให้เราอยู่กันเอง ไม่ส่งคนมาที่นี่อีก พวกมันไม่ใส่ใจอะไรนัก ตราบใดที่ปริมาณบรรณาการแต่ละครั้งยังคงเท่าเดิม ที่เราต้องทำก็แค่ทนส่งบรรณาการให้พวกมันต่อไป ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ดำเนินการ หาทางปลดปล่อยตนเองจากพวกมัน”

          “แต่พวกมนุษย์ก็เป็นนักล่าอาณานิคมมืออาชีพ ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่น่าจะเสี่ยงปล่อยให้พวกท่านอยู่กันเองโดยไม่จับตามอง” กอร์รินออกความเห็น

          “พวกมนุษย์แต่งตั้งดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่งมาเป็นผู้ดูแลเรื่องบรรณาการ และคอยรายงานพวกมันหากมีอะไรผิดปกติ” โซลิแทร์ตอบ มีความไม่ชอบใจอยู่ในน้ำเสียง “เบนส์ ไทม์ เป็นดาร์คเนสดีวิลคนเดียวที่ครอบครัวมนุษย์ผู้ร่ำรวยนำไปปลูกฝังเลี้ยงดู ครอบครัวที่ว่านี่รู้สึกจะเป็นญาติกับเจ้าเมืองเนพเพอร์ เจ้ามนุษย์อ้วนจอมละโมบ นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่จะครอบครัวมนุษย์จะอุปถัมภ์ดาร์คเนสดีวิลสักคน โดยเฉพาะครอบครัวมนุษย์ที่มีศักดินาค่อนข้างสูง แต่ครอบครัวนี้ก็มีรสนิยมค่อนข้างแปลกอยู่แล้ว อีกทั้งพวกนักปกครองมนุษย์ก็เล็งเห็นประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกนั้นสามารถส่งไทม์กลับมาเป็นผู้ดูแลอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลให้อยู่ใต้อาณาณัติของอาณาจักรโมราโซมอส โดยที่พวกมันไม่ต้องเดินทางมาดูแลเอง หลายคนสงสัยว่าการนำปีศาจไปอบรบแบบมนุษย์ จะทำให้เหมือนมนุษย์ได้แค่ไหน กับปีศาจคนอื่นข้าไม่รู้ แต่กับเจ้าไทม์นี่ นับว่าวิธีของพวกมนุษย์ได้ผล ไทม์กลายเป็นดาร์คเนสดีวิลคนเดียวที่มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับมนุษย์มาก ชอบความหรูหราฟุ้งเฟ้อ เจ้าสำราญ โอ้อวด เห็นแก่ตัว วัตถุนิยม เจ้าชู้เสือผู้หญิง เห็นเงินทองเป็นใหญ่ มีทุกคุณสมบัติที่ดาร์คเนสดีวิลทั่วไปไม่มีกัน” โซลิแทร์นับนิ้วเต็มมือ “ในเมื่อพวกมนุษย์ต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาใกล้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล พวกมันก็มอบหน้าที่ให้ไทม์ดูแลแทน”

          “เรื่องชักจะน่าสนใจแล้ว” กอร์รินตบขอบรถม้า

          “ข้าเกลี้ยกล่อมให้ไทม์หลีกทางจากปฏิบัติการลับนี้” โซลิแทร์พูดต่อ “ให้เขาทำตัวปกติ ไม่ให้พวกมนุษย์สงสัย และปล่อยให้เราทำงานของเราไป”  

          “ข้าคิดว่า ข้าเริ่มรู้จักนิสัยท่านดีพอ จนเดาได้ว่า ไอ้คำว่าเกลี่ยกล่อมของท่าน มันอาจหมายถึงการขู่เอาชีวิต”

          “ใช่แล้วท่านเดาถูก และไทม์ก็กลัวตาย เขาจึงยอมตาม” โซลิแทร์พยักหน้า “ถึงอย่างไรเขาก็รู้แก่ใจว่าไม่สามารถพึ่งพาพวกมนุษย์ได้ เพราะก่อนศึกครั้งสุดท้ายกับเฟลมฟอร์ส พวกมนุษย์ก็ไม่เห็นให้ความช่วยเหลือหรือรับเขาไปอยู่ด้วยเลย เขารู้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ และพวกมนุษย์ก็ทิ้งเขาอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงยอมทำตัวตามปกติ อย่างที่ข้าบอกให้ทำ หุบปากเงียบ อย่างที่ข้าบอกให้เงียบ เขียนจดหมายรายงานพวกมนุษย์ อย่างที่ข้าบอกให้เขียน และข้าก็ปล่อยให้เขาอยู่อย่างสงบ ในบ้านที่เมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนล แน่นอนพวกมนุษย์กำลังยุ่งอยู่กับสงครามอีกฟากของอาณาจักร พวกมันไม่ระแคะระคายอะไรเรา ตราบที่ปริมาณบรรณาการยังคงมากมายเช่นเดิม อาจมีบ้างที่พวกมันส่งคนมาแอบสังเกตการณ์ชายแดนของเราอยู่ห่างๆ  ดูว่าเราสร้างกำแพงหรืออะไรที่จะเป็นปัญหาไหม แต่พวกมันก็ไม่เห็นอะไร เพราะเราใช้เกราะมนต์ดำพรางตาไว้ พวกมันไม่เห็นกำแพงน้ำแข็ง พวกมันเห็นแค่ช่องว่างๆ โล่งๆ ระหว่างหุบเขา ทำให้พวกมันตายใจ ตราบใดที่ไม่มีอะไรมาปิดช่องเขานี้ พวกมันก็สามารถยกทัพบุกมาปราบได้ง่ายๆ หากเราแข็งข้อ”

          “แต่พวกมันคงกลับไปนอนอาบยาแก้ปวดหัวแน่ ถ้าเห็นสิ่งที่ข้าได้เห็นตอนนี้” กอร์รินกวาดตามองกำแพง “รู้ไหม การที่พวกท่านจะมาถึงจุดนี้นั้น มันทั้งเสี่ยงและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เป็นปฏิบัติการที่คาดหวังได้น้อยมาก ข้าขอนับถือจากใจ พวกท่านทั้งอดทน ทั้งใจเย็น ทั้งมุ่งมั่น ทั้งกล้าได้กล้าเสีย ใครจะไปคิดว่าปีศาจจะมีพลังใจที่แข็งแกร่งขนาดนี้”

          “การหยุดยั้งเผ่าพันธุ์ที่รบเก่งที่สุดในดาวดวงนี้อย่างเฟลมฟอร์ส ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีพลังมหาศาล ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ไม่ว่าจะสิ่งใดก็ตาม ขอแค่เราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้” โซลิแทร์พูด “เราบอกตัวเองอย่างนี้ แล้วเราก็ทำสำเร็จ”

          “อย่างไรก็ตาม ท่านควรจะทราบว่า แม้ศึกครั้งนี้พวกท่านจะชนะ แต่พวกมนุษย์ก็ไม่มีทางเลิกราง่ายๆ พวกมันจะส่งกองทัพใหญ่กว่าเดิมมาโจมตีในอีกไม่นานนี้” กอร์รินเตือน

          “แน่นอน พวกมันทำแน่” โซลิแทร์พยักหน้า “แล้วเราก็พร้อมที่จะทำให้พวกมันได้ตระหนักว่า ดาบสีแดงของพวกมัน จะฟันโล่สีดำของพวกเราไม่เข้าอีกต่อไป”

          ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพง กอร์รินแหงนหน้ามองขึ้นไปตามความสูง การเข้ามามองในระยะใกล้แบบนี้ยิ่งรู้สึกว่ามันสูงเข้าไปใหญ่ อย่างน้อยก็สูงมากพอที่จะตกลงมาตายได้ บางทีพวกดาร์คเนสดีวิลคงมีพลังมหาศาลอย่างที่โซลิแทร์พูดจริงๆ สามารถสร้างประติมากรรมสงครามอันแสนมหัศจรรย์นี้ขึ้นมาได้

          “ข้าอาจเข้าใจผิด แต่รู้สึกว่ากำแพงของพวกท่านจะไม่มีประตูนะ” กอร์รินหันซ้ายหันขวา

          “ประตูคือส่วนที่ทำให้กำแพงอ่อนแอที่สุด” โซลิแทร์กล่าว “กำแพงจะแข็งแกร่งไร้ที่ติ หากไม่ต้องมีประตู”

          “ก็ถูก” กอร์รินเห็นด้วย “แต่ถ้าไม่มีประตู ท่านจะผ่านเข้าออกกำแพงยังไงล่ะ”

          โซลิแทร์เงยหน้ามองที่ขอบกำแพง จ้องตาไม่กระพริบ แล้วจู่ๆ กำแพงส่วนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ เลื่อนจมลงไปในพื้น กอร์รินมองตาค้าง กระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองตามกำแพงส่วนที่จมลงไปเรื่อยๆ มันจมลงไปตามการเลื่อนสายตาของโซลิแทร์ จนกระทั่งจมหายลงไปในพื้นหิมะอย่างไร้ร่องรอย ก่อให้เกิดช่องระหว่างกำแพง สามารถให้ขบวนม้าของพวกเขาผ่านเข้าไปได้ กอร์รินสะบัดหัวแรงๆ แล้วหันมามองหน้าโซลิแทร์ที่ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก

          “ท่านต้องทำหน้าตางี่เง่าทุกครั้งที่ประหลาดใจหรือ”

          “ตะบองเพชรพินาศ! ท่านทำได้ยังไง กำแพงนี้ไม่ใช่ของชิ้นเล็กๆ นะ”

          “ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่ทำได้ อาจารย์เซซิลก็เป็นอีกคนที่ทำได้” โซลิแทร์บังคับรถม้าให้ผ่านช่องกำแพงเข้าไป “อย่างที่บอกท่านไปแล้ว กำแพงนี้มีมนต์ดำเป็นส่วนประกอบ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของมันล้วนถูกร่ายมนต์ดำไว้ เสมือนว่ามีมนต์ดำเป็นกลไก จึงสามารถเลื่อนเปิดปิดได้เมื่อถูกเข้ารหัสด้วยมนต์ดำ”

          “ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกปีศาจจะฉลาดขนาดนี้” กอร์รินพึมพำ “ประยุกต์เก่งมาก นำแต่ละสิ่งที่มีพลังพอประมาณ มาดัดแปลงให้มีพลังมหาศาล”

          “สงครามมักจะทำให้คนฉลาดขึ้น สหาย จำคำข้าไว้” โซลิแทร์หันไปใช้สายตาเลื่อนกำแพงขึ้นมาปิดเมื่อนำขบวนม้าผ่านเข้ามาได้แล้ว “โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้อีกต่อไป”

          พวกดีเซ็นทรีและพวกดีวอเชอร์ที่เดินผ่านไปผ่านมานั้น หยุดทำแขนกากบาทแสดงความเคารพโซลิแทร์ ซึ่งโซลิแทร์ก็แสดงตอบกลับ หลายคนชำเลืองมองกอร์รินอย่างสงสัย ย่อมแปลกใจที่เห็นผู้นำสูงสุดของตนพาโฮเซ่แปลกหน้าเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม นักรบดาร์คเนสดีวิลเหล่านี้ไม่ใช่ทหารโง่ๆ ที่เอาแต่ทำตามคำสั่งคิดเองไม่เป็น พวกเขาฉลาดพอจะสังเกตเห็นริ้วธงที่หลังไหล่ขวาของกอร์ริน และทราบว่าเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ใครก็ตามที่โซลิแทร์ต้อนรับ แปลว่าจะต้องคู่ควรกับการต้อนรับจริงๆ เพราะปกติแล้ว โซลิแทร์เป็นดาร์คเนสดีวิลที่ต้อนรับคนต่างถิ่นน้อยกว่าใครในฐานทัพนี้

          “ท่านรู้ไหม ข้าคิดว่าพวกทหารของท่าน--”

          “พวกเขาเป็นนักรบ กอร์ริน ไม่ใช่ทหาร” โซลิแทร์รีบแก้ไข “ข้าแนะนำว่าอย่าเรียกพวกเราว่าทหาร พวกเราเกลียดคำนี้ ดาร์คเนสดีวิลไม่มีใครเป็นทหารสักคน พวกเรารบด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครถูกบังคับเกณฑ์มา ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง พวกเราเท่าเทียมกัน อย่างที่สังคมนิยมควรจะเป็น เราไม่ได้ทำตามคำสั่งหัวชนฝาเหมือนพวกทหาร เรารู้จักใช้หลักเหตุผลพิจารณาสิ่งที่ต้องทำ และกระทำด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่เพราะกฎระเบียบมาบังคับ แต่เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และร่วมทำให้มันมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด ดาร์คเนสดีวิลคนใดที่ไม่มีจุดมุ่งหมายเดียวกับเรา เราก็จะไม่บังคับให้มาร่วมรบ อิสระและการมีสมองคิดได้เอง คือสิ่งที่ทำให้นักรบแตกต่างจากทหาร”

          “ตกลง นักรบ” กอร์รินพยักหน้าหงึกๆ กับการแก้ไขอันยืดยาวของอีกฝ่าย “ข้าแค่จะบอกว่า พวกนักรบของท่านนั้น ดูจะสวมเกราะบางไปหน่อย อาจเป็นอันตรายได้”

          “พวกโฮเซ่นี่ให้ความสำคัญกับเรื่องความหนาจริงๆ นะ” โซลิแทร์ส่ายหน้าหัวเราะ “ใช่แล้ว นักรบของเรา ทั้งดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์สวมเกราะแข็งขนาดพอดีตัว ไม่เทอะทะ น้ำหนักไม่มาก มีความคล่องตัวสูง แม้จะสวมครบชุดทั้งตัวก็ยังสามารถเต้นรำได้ แต่อย่าประมาทความบางของมันเชียวสหาย แม้มันจะบาง แต่ข้ากล้าพูดได้ว่า มันแข็งแกร่งไม่แพ้เกราะหนาๆ ของนักรบโฮเซ่ เคล็ดลับมันอยู่ที่เนื้อโลหะและการตี อย่าให้ขนาดมาเป็นตัววัดความแข็งแกร่งได้เพื่อนยาก อย่าลืมว่าเหล็กท่อนยาว มันงอง่ายกว่าเหล็กท่อนสั้น”

          “ท่านนี่ชอบใช้สำนวนปรัชญาอยู่เรื่อย ข้าก็ต้องคิดตามหัวแทบแตก” กอร์รินอดขำไม่ได้ “แต่ถึงอย่างไรท่านก็คงจะพูดถูกเรื่องเกราะ เรื่องเครื่องโลหะต้องยกให้ดาร์คเนสดีวิล พวกท่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นอย่างดี เพราะพื้นดินอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมีแร่มากและหลากชนิดกว่าอาณาจักรอื่น”

          “เฉพาะพวกที่มีพรสวรรค์เรื่องแร่ใต้ดินและการเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้นล่ะ ที่มีความรู้ความสามารถ ส่วนปีศาจที่ไม่มีพรสวรรค์เรื่องนี้ เช่นข้า ก็ไม่ได้รอบรู้อะไรเท่าใดนัก” โซลิแทร์บอก “แต่สำหรับพวกแร่ที่ไร้ประโยชน์ นำไปใช้อะไรไม่ค่อยจะได้ เช่น ทอง เพชร อัญมณีที่พวกมนุษย์มองว่าสวยและสูงค่า เราทุกคนแทบไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เพราะแทบไม่เคยเอาไปใช้ทำอะไร เราจึงจัดให้อยู่ในประเภทแร่ขยะ”    

          “ทองและอัญมณีคือขยะของพวกท่านหรือนี่” กอร์รินตบหน้าผากตัวเอง

          “อะไรก็ตามที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ มันก็คือขยะไม่ใช่หรือ เรากินทองไม่ได้ นำเพชรมาหลอมทำอาวุธไม่ได้ นำทับทิมไปก่อสร้างเป็นกำแพงไม่ได้ นำมรกตไปเพาะปลูกไม่ได้” โซลิแทร์ชี้แจง “เราไม่ได้งี่เง่าเหมือนพวกมนุษย์ ที่เอาสิ่งไร้ประโยชน์พวกนี้ไปแลกกับสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอาหาร หรือเครื่องใช้ดำเนินชีวิตต่างๆ ระบบเงินตรามันคือความคิดไร้สาระที่สุดที่ดาวดวงนี้เคยมีมา และก่อให้เกิดความโลภความเห็นแก่ตัวมากที่สุด ทำให้คนกระจอกที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะดูแลตัวเองนั้น กลายเป็นคนที่มีอำนาจสูงส่งโดยที่ไม่ต้องใช้ความสามารถอื่นใดเลย นอกจากหาเงิน ท่านคิดว่ามันงี่เง่าไหมล่ะ ที่ทุกคนจะดิ้นรนเหยียบกันไปขัดขากันมา เพื่อทำให้ตัวเองมีวัตถุวาวๆ ไร้ประโยชน์เหล่านี้มากที่สุด สำหรับดาร์คเนสดีวิลแล้ว ขนมปังหนึ่งก้อน ยังมีค่ามากกว่าทองสิบกิโลกรัมเสียอีก”

          “ดาวดวงนี้มันก็ตลกดีนะ” กอร์รินถอนหายใจออกมาเป็นไอขาว “เผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช้ระบบเงินตราอย่างพวกท่าน กลับมีแร่ที่จำเป็นต่อระบบเงินตราอยู่ใต้เท้ามากมายมหาศาล ช่างสูญเปล่า”

          “ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุให้พวกมนุษย์คุกคามเราจนถึงทุกวันนี้” โซลิแทร์พึมพำ “อาณาจักรของข้าคิดว่าอาหารคือสิ่งมีค่ามากกว่าทองใดในดาวดวงนี้ หากเปลี่ยนแร่ขยะพวกนี้เป็นพื้นดินอุดมสมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกเป็นแหล่งอาหารได้ มันคงจะดีไม่น้อย”

          “พวกมนุษย์ก็ภาวนาเหมือนท่าน” กอร์รินขยับคิ้วผงกหัว “ต่างกันตรงที่ พวกมันภาวนาขอเปลี่ยนอาหารให้เป็นแร่ขยะแทน”

          โซลิแทร์ขับรถม้าผ่านกำแพงน้ำแข็งชั้นที่สอง ซึ่งเปิดช่องให้ผ่านไว้แล้ว มันคงจะเปิดไว้ตลอดให้คนเข้าออกได้สะดวก จะปิดก็ต่อเมื่อถึงเวลารับศึก เช่นเดียวกับช่องกำแพงชั้นที่สามที่เห็นอยู่ไกลๆ กำแพงสองชั้นสุดท้ายนี้ไม่สูง ไม่กว้างขวาง และไม่มีหอคอยหรือป้อมน้ำแข็งมาต่อเติมมากเท่ากำแพงชั้นแรก เครื่องยิงบนกำแพงก็มีน้อยกว่า แต่หากไม่นับกำแพงชั้นแรกแล้ว กำแพงสองชั้นหลังนี้ก็ยังเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดที่กอร์รินเคยเห็นมาอยู่ดี พื้นที่ระหว่างกำแพงทั้งสามชั้นนั้นเว้นระยะห่างเท่ากันพอดี มันกว้างขวางพอจะให้กองทัพใหญ่ๆ มายืนประจำการได้

          “เอาล่ะ” โซลิแทร์ลงจากรถม้าเมื่อขับมาถึงคอกม้าชั่วคราวด้านหลังกำแพงชั้นที่สอง เป็นคอกม้าที่สร้างขึ้นลวกๆ สำหรับพวกม้ามนุษย์ที่ยึดมาได้ ซึ่งก็มีจำนวนมากมายทีเดียว “เราจะนำม้าที่ยึดได้มาเก็บรวมกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้จึงจะนำไปแปลงสภาพเป็นม้าปีศาจ แต่เราจะเก็บตัวดีๆ ไว้สักตัว สำหรับให้ท่านใช้เดินทางกลับแบร์ร็อคเมื่อถึงเวลา รั้วคอกม้านี่เราทำไว้ลวกๆ ไม่ค่อยแข็งแรงนัก อย่าพลาดไปชนมันพังสักด้านล่ะ ม้าที่อยู่ในรั้วหลุดออกมาแล้วจะวุ่นวายใหญ่”

          “ดูเหมือนว่า ท่านกับผู้นำอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลอีกสองคนจะทำทุกอย่างเลยนะ ตั้งแต่งานของผู้บังคับบัญชา ไปจนถึงงานของผู้ใต้บังคับบัญชา” กอร์รินอมยิ้ม “ตั้งแต่ต่อสู้ในสงคราม ไล่จับม้า ลาดตระเวน เก็บกวาดพื้นที่ กำจัดศพ นำม้ามาเก็บ ท่าทางพรุ่งนี้คงจะต้องมาเก็บขี้ม้าด้วย”

          “แน่นอนอยู่แล้ว ปล่อยไว้ก็สกปรกน่ะสิ” โซลิแทร์เปิดประตูรั้ว ระมัดระวังไม่ให้ม้าที่อยู่ในคอกหนีออกมา “มันแปลกตรงไหนหรือ ผู้นำดาร์คเนสดีวิลเก็บขี้ม้านี่”

          “ข้าไม่เคยเห็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ไหนต้องมาทำงานทุกอย่างเองน่ะสิ” กอร์รินว่า “ไม่ต้องถึงขั้นผู้นำสูงสุดหรอก แค่คนที่มีอำนาจนิดๆ หน่อยๆ ก็มีคนคอยอำนวยความสะดวกให้เกือบทุกอย่างแล้ว เผ่าพันธุ์อื่นซึ่งรวมทั้งเผ่าพันธุ์ข้าด้วยนั้น เหล่าผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้ พวกเรามีหน้าที่บริหาร สั่งการ และจัดการดูแลเรื่องใหญ่ๆ ในสงคราม ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำนองนี้ก็สั่งให้พวกทหารจัดการแทนได้ มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้ปกครอง”

          “ทุกคนต่างเหนื่อยจากศึกที่เพิ่งจบสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์หรือพวกนักรบทั่วไป มันคงไม่ยุติธรรมหากแค่ไปพักผ่อนสบายๆ และสั่งให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาจัดการเก็บกวาดแทนตน” โซลิแทร์แกะบังเหียนม้าตัวแรกออกจากเชือกรถม้า แล้วจูงเข้าไปในคอก “เราไม่ต้องการให้คนของเราเคารพยำเกรง กอร์ริน เราต้องการให้พวกเขาเคารพศรัทธา เห็นเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา นี่คือหลักการแห่งความเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง เรามีสิทธิ์สั่งพวกเขาได้ แต่เราต้องมีส่วนร่วมในสิ่งที่เราสั่งเสมอ เราสั่งให้พวกเขาเคลื่อนพลไปข้างหน้า เราต้องอยู่แถวหน้าสุดและเดินนำพวกเขาไป เราสั่งให้พวกเขาเข้าไปเสี่ยงตาย เราต้องเป็นคนนำเข้าไปก่อน เราสั่งให้พวกเขาทำสิ่งที่ยากลำบาก เราก็ต้องมีส่วนร่วมในการทำสิ่งนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมเหล่าผู้นำดาร์คเนสดีวิลจะต้องยืนอยู่แถวหน้าสุดยามออกศึก มียกเว้นแค่กรณีเดียว ที่ผู้นำมีสิทธิ์สั่งโดยที่ไม่ต้องมีส่วนร่วมก็ได้ นั่นคือสั่งให้ถอยทัพหนีเอาชีวิตรอด หรือทำอะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อชีวิตของผู้นำเพียงผู้เดียว ไม่เสี่ยงต่อนักรบคนอื่นๆ”

          “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีผู้นำประเภทนี้อยู่ในดาวดวงนี้” กอร์รินปรบมือใหญ่ “นั่นคงทำให้เหล่าผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนลมีความสามารถที่หลากหลาย และทักษะการต่อสู้ค่อนข้างสูง อย่างท่านนี่ล่ะ ท่านสู้ได้เก่งเพราะท่านต้องอยู่แถวหน้าสุดของการปะทะตลอด”

          “ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมีจำนวนผู้นำสูงสุดและผู้นำเผ่าพันธุ์ในอดีตมากกว่าอาณาจักรอื่น อย่างเทียบกันไม่ได้” โซลิแทร์แกะสายบังเหียนม้าตัวอื่นๆ แล้วจูงเข้าคอกเรื่อยๆ “ตายกันเยอะ อยู่แถวหน้าสุดย่อมมีโอกาสสูงที่จะตาย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายคือกองทัพเฟลมฟอร์ส”

          “แต่พวกท่านไม่มีคนรับใช้ประจำตัวหรือ” กอร์รินถามต่อ

          “สี่เหลี่ยมหรือ” โซลิแทร์ทวนคำผิดๆ ด้วยท่าทางงงๆ (Squire = คนรับใช้ประจำตัวอัศวิน, Square = สี่เหลี่ยม บางสำเนียงจะออกเสียงค่อนข้างคล้ายกัน)

          “ไม่ใช่สี่เหลี่ยม โซลิแทร์” กอร์รินกุมหน้าผาก “คนรับใช้ประจำตัว”

          “ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย มันคืออะไร กินได้ไหม”  

          “คนรับใช้ประจำตัว มีหน้าที่ดูแลและทำโน่นทำนี่ให้พวกนักรบขุนนางหรืออัศวิน ทั้งในสงครามและเรื่องยิบย่อยทั่วไป” กอร์รินอธิบาย “อย่างที่พวกนักรบมนุษย์ชั้นสูงมี เช่นเดียวกับที่ข้าและพี่ชายของข้ามี รวมทั้งขุนนางนักปกครองคนอื่นๆ”

          “ข้าไม่ได้พิการ กอร์ริน และข้าก็แข็งแรง ดูแลสุขภาพตัวเองดี มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ แล้วก็ไม่ได้ปัญญาอ่อน เอ้อ! อย่างน้อยก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนถึงขั้นทำอะไรเองไม่ไหว ทำไมถึงจะต้องให้คนอื่นมาคอยทำโน่นทำนี่แทนด้วย ข้าสวมเกราะด้วยตัวเองมาตั้งแต่เกิด ขัดล้างทำความสะอาดอาวุธและอุปกรณ์สงครามด้วยตัวเองทุกครั้ง และเตรียมอาหารกินเองทุกมื้อ รสชาติมันอาจจะห่วย แต่ข้าก็กินได้ พาหนะของข้า อานของมัน หรืออะไรก็ตามที่ข้าเป็นคนใช้สอย ข้ามีปัญญาจัดการเองได้สบายมาก ข้าชอบดูแลชีวิตตนเอง มันให้ความรู้สึกเป็นผู้ควบคุมชะตาตนเองอย่างแท้จริง” โซลิแทร์กล่าว “เป็นธรรมชาติของดาร์คเนสดีวิลที่ชอบทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ชอบให้ใครมารับใช้ และไม่ชอบรับใช้ใคร อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับตัวเรา สิ่งของของเรา หรืออะไรก็ตามที่เราจัดสร้างขึ้นมา เราก็ควรจัดการด้วยตัวเอง ให้คนอื่นทำให้มากๆ มันจะยิ่งทำให้เราดูไร้ความสามารถ ความสบายที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากคนอื่น สหายโฮเซ่ผู้สูงศักดิ์ แต่เกิดจากตัวเรานี่ล่ะ ที่จะใช้สมองจัดการชีวิตให้มันง่ายขึ้นยังไง”

          “รู้ไหมโซลิแทร์ ตั้งแต่พบท่านจนถึงตอนนี้ ข้าคิดว่าท่านประหลาด เพี้ยน มีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร และเป็นโรคประสาทอ่อนๆ” กอร์รินจ้องมองโซลิแทร์อย่างพิจารณา “และข้าก็ได้ความคิดที่เข้าท่าและความกระจ่างจากท่านมามากมาย อย่างที่ข้าไม่เคยได้จากใครเลย”   

          “สังเกตดีๆ เพื่อนฝูง อัจฉริยะกับเพี้ยนนั้น แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย” โซลิแทร์พูดอย่างอารมณ์ดี “กลัวเพี้ยนให้น้อยลง แล้วท่านจะพบว่าตนฉลาดมากขึ้น”

          “นี่ ข้าช่วยท่านได้นะ จะได้เร็วขึ้น” กอร์รินแก้บังเหียนม้าส่งให้โซลิแทร์ “ในสงคราม ข้าคุ้นเคยกับม้าดี รวมทั้งอูฐด้วย”

          “ท่านไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ท่านเป็นแขกนะ” โซลิแทร์อดหัวเราะไม่ได้

          “ข้าเข้ามาในถิ่นปีศาจ ข้าก็ควรทำตัวให้คล้ายคลึงกับปีศาจ ถึงอย่างไรมันก็เป็นสิ่งเข้าท่า” กอร์รินแก้สายบังเหียนม้า คอยส่งให้โซลิแทร์จูงเข้าคอก “คำพูดของท่านทำให้ข้าตระหนักได้ว่า บางที ข้าก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างผู้สูงศักดิ์มากไป การมีส่วนร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาแค่ในสนามรบนั้น มันไม่ได้สร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นเพียงพอ มันก็ยังมีช่องว่างใหญ่โตระหว่างสองชนชั้นอยู่ดี บางที หากข้าและนักปกครองแบร์ร็อคคนอื่นๆ ได้ลดฐานะตัวเองลง เหมือนที่พวกท่านทำ เราอาจเข้าใจพวกพ้องของเรามากขึ้น และไม่ต้องเกิดปัญหาความแตกแยกเช่นที่เป็นทุกวันนี้”

          “งั้นแก้สายบังเหียนให้เร็วขึ้นหน่อยก็ดี สหายผู้สูงศักดิ์” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “ข้าอยากล้างเลือดพวกมนุษย์ออกจากตัวเต็มทนแล้ว”

 

*************

 

                สิ่งเดียวที่ระบอบการปกครองของอาณาจักรแบร์ร็อคมีเหมือนกับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล คือมีศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่คนกลุ่มเดียว ประกอบไปด้วยผู้นำสูงสุด รองผู้นำสูงสุด และสมาชิกในสภาปกครอง ซึ่งนับว่าเป็นสภาแห่งคนหนุ่ม เนื่องด้วยสมาชิกแต่ละคนอายุน้อยกันมาก เรียกว่าเป็นสภาที่มีสมาชิกอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แบร์ร็อคก็ว่าได้ ส่งผลให้ผู้ต่อต้านทั้งหลายนำมาเป็นประเด็นโจมตีว่า สมาชิกสภาแต่ละคนขาดประสบการณ์ อ่อนต่อโลก ได้รับตำแหน่งเพียงเพราะเป็นทายาทของสมาชิกสภารุ่นก่อนๆ  ประเด็นเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผลักดันให้เกิดกบฏในเผ่าพันธุ์ ซึ่งแม้กบฏเหล่านั้นจะถูกปราบปรามจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาใช้กำลังและความรุนแรงในการแก้ปัญหา วิธีการที่คนหนุ่มมักจะใช้กัน ผลที่ตามมาคือเผ่าพันธุ์ต้องเสียความมั่นคงไปบางส่วน และสร้างความตะขิดตะขวงใจแก่ประชาชน

                เมื่อเผ่าพันธุ์อ่อนแอ ศัตรูต่างเผ่าพันธุ์ย่อมมีช่องทางโจมตีมากขึ้น พวกมนุษย์ตั้งเป้าที่จะส่งกองทัพทัพขึ้นฝั่งอาณาจักรแบร์ร็อค หลังชนะศึกกลางทะเลครั้งล่าสุด ภาระการแก้ปัญหานี้จึงตกอยู่ที่สภาปกครองแห่งแบร์ร็อค เหล่าโฮเซ่หนุ่มจากตระกูลสูงศักดิ์

          ในวันนี้เทอร์ริน เฮนิเคมและสมาชิกอีกสี่คนยืนอยู่รอบแบบจำลองสงคราม คนหนึ่งคือซีราส ท็อกส์ฟ็อก อีกสามคนก็เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของเขา รุ่นราวคราวเดียวกันหมด แต่ละคนต่างถกหาวิธีรับมือกับกองทัพเรือมนุษย์ ที่พร้อมจะเคลื่อนพลเข้ามาในอีกไม่นาน

          “พวกมนุษย์จัดการปัญหาได้เร็วกว่าที่เราประเมินไว้” โฮเซ่หนุ่มในชุดเกราะสีน้ำเงินชี้ไปยังแบบจำลองเมืองซาโมโรว์ “กลุ่มกบฏของแซริคถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกมนุษย์ก็ไม่ได้ลงทุนหรือใช้กองกำลังไปกับการกำจัดมากนัก แผนการที่พวกมันจะบุกเข้าโจมตีชายฝั่งเรานั้นแทบจะไม่ชะลอเลย พวกมันส่งเรือสอดแนมมาประเมินสถานการณ์ เตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าบุกหาเราต่อไป”

                 “ศึกที่ผ่านมานี้ กองเรือของเราได้รับความเสียหายหนัก เราไม่มีกองเรือเพียงพอที่จะตั้งรับพวกมันกลางทะเลได้” โฮเซ่ในชุดเกราะสีเขียวจัดวางเรือจำลองในเส้นทางน้ำ “ต่อสู้กับพวกมันกลางน้ำ ยังไงเราก็แพ้ พวกมันมีเรือมากกว่า ในอัตราส่วนราวสามต่อหนึ่ง”

                “แต่เราก็ไม่ควรจะตั้งรับบนบก” โฮเซ่ในชุดเกราะสีเหลืองเสริม ลากนิ้วไปตามชายฝั่งแบบจำลอง “ถ้าพวกมนุษย์ยกพลขึ้นบก ความเสียหายจะเกิดแก่พื้นที่ของเรา และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันจะยกพลขึ้นบกที่เมืองใด” เขาเคาะนิ้วลงบนแผนที่ “เมืองหลวงแบร์ร็อคของเราก็มีพื้นที่ติดทะเลนะ”

                “ผู้ที่สามารถสู้รบได้ในอาณาจักรเรา มีไม่พอตามที่ต้องการ พวกแฮนดรัสก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับเรา” เทอร์รินพูดอย่างเคร่งเครียด เขาสวมชุดเกราะประจำกายสีน้ำตาล คาดริ้วธงสองผืนไว้ข้างหลังไหล่ เป็นสัญลักษณ์ของผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค “อาณาจักรของเราตอนนี้ เสมือนเกิดช่องโหว่ที่ไม่มีอะไรมาซ่อมแซม”

                “ท่านขับไล่กลุ่มกบฏของแซริคและกำจัดผู้ต่อต้าน ซึ่งนับว่ามีจำนวนมาก” โฮเซ่ในชุดเกราะสีเขียวกล่าว “แม้จะเป็นพวกคนกลุ่มน้อย แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมาก การตัดพวกนั้นออกไป ย่อมทำให้เกิดช่องโหว่”

                “การมีพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรา ก็ไม่ได้ทำให้มันต่างกันหรอก เกร็ฟเฟ็ท” ซีราส ท็อกส์ฟ็อกส์ออกหน้าแทนเทอร์ริน เขาสวมชุดเกราะประจำกายสีส้ม “แซริคและกลุ่มกบฏของเขาไม่ต่างจากคนเถื่อนและพวกอันธพาล เราไม่สามารถโน้มน้าวอะไรเขากับคนของเขาให้ทำเพื่ออาณาจักรได้”

                “ดูเหมือนว่าเราไม่ค่อยจะพยายามเท่าไรนักในการโน้มน้าวนะ” โฮเซ่เกราะเขียวบอก “การกำจัดตัดออกเป็นวิธีที่ง่ายกว่าเยอะ แต่แน่ล่ะ เมื่อตัดอะไรออกไป มันก็ควรจะมีอะไรมาแทนส่วนที่ขาด”

                “ท่านก็รู้ดีว่าเทอร์รินหมดสิ้นปัญญาที่จะทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นเชื่องแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องตัดเนื้อร้ายของอาณาจักรออก เขาทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อแบร์ร็อค” ท็อกส์ฟ็อกส์เริ่มขึ้นเสียง

                “ขอบคุณซีราส และท่านก็พูดถูกเกร็ฟเฟ็ท” เทอร์รินพยักหน้ายอมรับ “ข้าไม่ได้พยายามมากพอในการโน้มน้าวแซริค ข้าใช้วิธีเดียวกับพ่อของข้า คือหากคนกลุ่มใดกลายเป็นโรคร้ายแก่อาณาจักร การกำจัดทิ้งนั้นแก้ปัญหาได้เร็วกว่าและแน่นอนกว่าการพยายามรักษา แต่ทั้งข้ากับพ่อก็ไม่ได้นึกถึงว่า เมื่อกำจัดทิ้งแล้วก็ต้องหาสิ่งอื่นมาแทนที่ ซึ่งตอนนี้เราก็ไม่มีอะไรแทนที่ พวกแฮนดรัสปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับเรา”

                “เราอยู่ในภาวะสงคราม เพื่อนยาก” โฮเซ่เกราะเขียวตบหลังเทอร์ริน “บางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องรีบจัดการ หากพูดจริงๆ ท่านก็ทำถูกแล้ว ในเมื่อกองทัพเรือมนุษย์จ่อคอหอยเตรียมเล่นงานเราอยู่ เราก็ต้องจัดการเรื่องปัญหาภายในให้เร็วที่สุด”

                เทอร์รินจับขอบโต๊ะแบบจำลองด้วยมือทั้งสองข้าง ตามองไปตามกองเรือจำลอง อย่างน้อยเพื่อนของเขาก็พูดถูก กองทัพเรือมนุษย์เตรียมจะเล่นงานพวกเขาอยู่ ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพวกมนุษย์มีทัพเรือที่เก่งที่สุดในตอนนี้ การพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว

                “เรายังไม่พร้อมที่จะต้านทัพเรือของพวกมัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” เทอร์รินพูดเสียงเคร่งเครียด “เราต้องการเวลาสำหรับฟื้นฟูความแข็งแกร่งที่เสียไป ในเมื่อการส่งพวกกบฏไปก่อความวุ่นวายนั้นยังซื้อเวลาให้เราได้ไม่พอ เราอาจต้องคิดหาวิธีอื่น”

                “ซาโมโรว์ คือศูนย์กลางการส่งกองทัพเรือและอุปกรณ์สงครามทางน้ำ” โฮเซ่ชุดเกราะสีน้ำเงินชี้ไปที่แบบจำลอง “หากเราสร้างความเสียหายให้เมืองนี้มากพอ พวกมนุษย์จะส่งกองทัพเรือไปไหนไม่ได้อีกนาน ซึ่งนานพอที่จะให้เราฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมตั้งรับพวกมันใหม่”

                “แน่นอน ถ้าเราสามารถบุกไปสร้างความเสียหายให้ซาโมโรว์ได้จริงๆ” เทอร์รินว่า “แต่มันคงทำได้อย่างยากยิ่ง ใครก็รู้ว่าเมืองนั้นแข็งแกร่งและจัดส่งกองกำลังได้รวดเร็วแค่ไหน ซาโมโรว์เป็นเมืองที่ไม่มีกำแพง มีแค่ป้อมและหอคอยอยู่ตามจุดต่างๆ ของเมือง หลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าเมืองนี้ไม่แข็งแกร่ง แน่นอนว่าคิดผิดที่สุด แม้จะไม่มีกำแพงหรือป้อมปราการขนาดใหญ่ป้องกัน แต่เมืองนี้ก็เต็มไปด้วยค่ายทหารย่อยๆ ที่กระจายอยู่รอบๆ ค่ายบัญชาการใหญ่ ความโล่งของพื้นที่ส่งผลให้ค่ายแต่ละค่ายสามารถส่งกำลังไปสนับสนุนกันได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ท่านจะตีสักค่ายแตก ค่ายอื่นๆ ก็จะส่งกำลังมาสนับสนุน อาจกลายเป็นว่าท่านถูกขนาบโจมตีหรือถูกล้อมก็เป็นได้ ต้องยอมรับว่าพวกมนุษย์จัดระบบการส่งกำลังได้ดีมาก”  

          “อย่างน้อย แค่ทำให้ฐานทัพเรือและท่าเรือตามชายฝั่งซาโมโรว์เสียหายหนัก เราก็ถ่วงเวลาพวกมันได้มากโขแล้ว” โฮเซ่เกราะน้ำเงินเสนอ

          “กองเรือของเราอาจพอมีเหลือบ้าง แต่มันไม่มีทางเพียงพอที่จะผ่านกองทัพเรือมนุษย์เข้าไปใกล้แนวชายฝั่งซาโมโรว์ได้ เทียบอัตราส่วนกับพวกมันแล้ว เรามีน้อยเกินไป” เทอร์รินชี้แจง “มีแต่จะส่งไปให้พวกมันทำลายทิ้ง คราวนี้ชายฝั่งของเราจะไม่มีอะไรปกป้องจริงๆ แล้ว”

          “พวกมนุษย์ไม่ได้ทำสงครามกับเราฝ่ายเดียวนะ” โฮเซ่เกราะสีเหลืองเตือนความจำ “พวกมันยกทัพไปอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลด้วยไม่ใช่หรือ กองทัพขนาดใหญ่พอประมาณทีเดียว นั่นไม่ได้ช่วยถ่วงเวลาอะไรให้เราบ้างเลยหรือ”

          “ป่านนี้พวกดาร์คเนสดีวิลคงเละเป็นซากแล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทำเสียงดูถูก

          “ท่านคงจะไม่มีวันเลิกมีอคติกับพวกดาร์คเนสดีวิลใช่ไหม” โฮเซ่เกราะสีเหลืองส่ายหน้า

          “ป่านนี้ศึกที่โฟรเซ็นทิเนลคงจะจบลงแล้ว และกอร์รินจะกลับมารายงานผลให้เราทราบในอีกเร็วๆ นี้ เราจะได้วางแผนว่าควรทำอย่างไรต่อ” เทอร์รินตัดบท “แต่ข้าไม่คิดว่าสงครามระหว่างพวกมนุษย์และพวกดาร์คเนสดีวิลจะช่วยซื้อเวลาให้เราได้ พวกมนุษย์มีกองทัพมากพอที่จะจัดแบ่งไปโจมตีศัตรูแต่ละฝ่ายโดยไม่มีผลกระทบต่อกัน พวกมันสามารถพิชิตพวกดาร์คเนสดีวิลได้ พร้อมๆ กับที่บุกเข้าโจมตีชายฝั่งของเรา”

          “พวกมนุษย์คิดว่าพวกมันเก่งพอจะกำจัดศัตรูทุกฝ่ายได้” โฮเซ่เกราะเขียวพึมพำ “ข้าเกลียดจริงๆ ที่พวกมันคิดถูก”

          “แล้วถ้าหากศึกครั้งนี้ พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายชนะล่ะ” โฮเซ่เกราะสีเหลืองยกอีกตัวอย่าง

          “ไม่มีทาง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์แย้งขึ้นทันที

          “โปรดพักความชิงชังต่อพวกปีศาจไว้ก่อนซีราส แล้วลองมาใส่ใจกับสมมุติฐานข้อนี้ดู”

          “สมมุติว่าครั้งนี้ พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายชนะ พวกมนุษย์ก็ยังมีกองทัพมากพอที่จะใช้สอยต่อ พวกมันจะส่งกองทัพที่ใหญ่กว่าเดิมไปปราบปรามพวกปีศาจเป็นครั้งที่สอง แน่นอนว่าคราวนี้แม้แต่ท่านก็ยังสมมุติให้พวกปีศาจเป็นฝ่ายชนะอีกไม่ได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดรัวเร็ว “ข้อดีคือ มันส่งผลให้ชายฝั่งของเราถูกโจมตีช้าลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากพอที่จะให้เราฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ตามที่ต้องการ ยังไงถ้าทัพเรือมนุษย์บุกมาถึง เราก็เสียหายหนักอยู่ดี”

          “แล้วถ้าสมมุติอีกว่า กองทัพที่สองของพวกมนุษย์ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพวกดาร์คเนสดีวิลล่ะ” โฮเซ่เกราะสีเหลืองไม่ยอมแพ้

          “ท่านเอาแต่ตั้งสมมุติฐานที่เป็นไปไม่ได้มาทำไม ทอร์น” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เริ่มเหลืออด “ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านไม่ตั้งสมมุติฐานว่าเราป้องกันชายฝั่งโดยใช้ไก่งวงด้วยเลยล่ะ”

          “สมมุติว่าพวกมนุษย์ไม่สามารถเอาชนะพวกดาร์คเนสดีวิลได้” เทอร์รินตัดบทเป็นครั้งที่สอง “พวกมันก็แค่ปล่อยอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลทิ้งไว้ แล้วหันมาเล่นงานพวกเราต่อ แม้ว่ากองทัพมนุษย์ที่ส่งไปโฟรเซ็นทิเนลถูกทำลาย แต่พวกมันก็ยังเหลือกองกำลังเพียงพอที่จะบุกชายฝั่งเราได้ อย่างที่ซีราสพูดไป พวกมนุษย์มีกองทัพมากมาย กองทัพที่ใช้กับโฟรเซ็นทิเนลและใช้กับเรานั้นเป็นคนละส่วนกัน ไม่ได้มีผลกระทบต่อกันนัก ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่ต้องพะวงเรื่องที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะยกพลไปบุกเอาคืน ธรรมชาติของปีศาจนั้นอยู่ติดพื้นที่ หลีกเลี่ยงที่จะออกนอกอาณาเขตของตน ทำให้พวกปีศาจชำนาญเรื่องการรบแบบตั้งรับ ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรุกเข้าพื้นที่ศัตรู พวกดาร์คเนสดีวิลไม่เสี่ยงที่จะต่อสู้ในแบบที่ตนไม่ถนัดแน่”

          “พวกปีศาจมันขี้ขลาด” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พ่นลมออกจมูก

          “หมายความว่า ต่อให้พวกดาร์คเนสดีวิลจะแข็งแกร่งจนพวกมนุษย์พิชิตไม่ได้ มันก็ยังไม่ได้ส่งผลดีอะไรต่อเราเลยใช่ไหม” โฮเซ่ในชุดเกราะสีน้ำเงินสรุปความ

          “อาจทำให้พวกมนุษย์ยกทัพมาโจมตีเราช้ากว่าที่คาดเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะให้เราเตรียมการรับมือได้ทันแน่นอน” เทอร์รินพยักหน้า

          “พวกท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหม--” โฮเซ่เกราะสีเขียวเสนออย่างระมัดระวัง “--ที่พวกดาร์คเนสดีวิล อาจเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้อาณาจักรของเราปลอดภัยจากพวกมนุษย์”

          ทุกคนหันมามองหน้าเขาเป็นตาเดียวกัน

          “ในตอนนี้พวกมนุษย์พยายามปราบปรามพวกดาร์คเนสดีวิลอยู่ พวกท่านคิดว่าจะเป็นการดีไหม หากเรายื่นมือเข้าไปหยุดยั้งการปราบปรามนั้น” เขาว่าต่อ “ช่วยพวกปีศาจให้รอดพ้นจากการถูกพิชิต นั่นจะทำให้แผนของพวกมนุษย์ปั่นป่วน และบุกอาณาจักรเราช้าลงอีก”

          “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”

          “ซีราส โปรดอยู่ในความสงบ” เทอร์รินปรามเพื่อน แล้วหันไปหาเพื่อนอีกคน “ท่านจะเสนอวิธีการใดหรือเกร็ฟเฟ็ท”

          “มีอยู่วิธีการเดียว” โฮเซ่เกราะสีเขียวพูดตรงๆ “ยกพลไปช่วย”

          “คงจะเป็นไปได้ยาก” เทอร์รินแย้ง ชี้ไปยังแผนที่บนกระดานข้างๆ  “ประการแรก อาณาจักรของเรากับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลอยู่คนละซีกของแผนที่ หากจะเคลื่อนพลไปที่นั่นด้วยวิธีปกติ จะต้องเข้าใกล้อาณาจักรอื่นๆ ที่ไม่น่าจะเป็นมิตร” เขาลากเส้นจากแบร์ร็อคไปยังโฟรเซ็นทิเนลเป็นเส้นเฉียงตรง “เส้นทางที่ตรงที่สุด คือตรงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ทะลุผ่านอาณาจักรไอซ์เมสที่อยู่ตรงกลางแผนที่ ซึ่งแน่นอนว่าความหนาวเย็นและอันตรายของที่นั่นคงฆ่าเราตายก่อนเดินทางข้ามไปได้” เขาลากอีกเส้น เป็นเส้นโค้ง “เส้นทางที่สองคืออ้อมไปทางใต้ ผ่านอาณาจักรกาโกคอลที่เราไม่เคยเหยียบย่างเข้าไป อาจถูกธนูของพวกฟอเรสเทอร์ยิงไล่ออกมา” เขาลากเส้นโค้งอีกเส้น “ส่วนเส้นทางที่สามคืออ้อมไปทางตะวันตก คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่ามันผ่านอาณาจักรโมราโซมอส” เขาหันกระดานอีกด้านหนึ่ง เป็นแผนที่ดินแดนอีกครึ่งซีกของดาวดวงนี้ ดินแดนที่มีแต่ป่าและภูเขา ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดอาศัยอยู่ และมีอนุสาวรีย์ขนาดยักษ์อยู่กึ่งกลางของแผนที่ “หรือหากเราจะใช้วิธีที่ไม่ปกติ อ้อมไปยังดินแดนอีกครึ่งซีกหลังของดวงดาว ดินแดนระฟ้าที่ทุกคนเรียกกัน เราคงไม่มีวันเดินทางไปถึงโฟรเซ็นทิเนล ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดคุ้นเคยกับดินแดนส่วนซีกนี้ มันเสมือนเป็นพื้นที่ต้องห้าม”

          “ข้าไม่เคยนึกถึงพื้นที่ส่วนซีกนั้นอยู่แล้ว เรารู้ดีว่าควรปล่อยให้มันเป็นพื้นที่เงียบๆ ไป ข้ากำลังนึกถึงพื้นที่ส่วนซีกที่มีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ ส่วนที่กำลังเป็นพื้นที่สงคราม”

          “ซึ่งข้าก็อธิบายท่านแล้วว่า หากเราจะเคลื่อนพลไปยังโฟรเซ็นทิเนล เราต้องผ่านสายตาอาณาจักรอื่นๆ ด้วย”

          “อาณาจักรทุกอาณาจักรมันไม่ได้ติดกันนะ มันมีพื้นที่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของขั้นอยู่” โฮเซ่เกราะสีเขียวไล่นิ้วไปตามดินแดนร้างที่อยู่ระหว่างแต่ละอาณาจักร “เราสามารถใช้ช่องโหว่นี้ในการเคลื่อนพลได้ เหมือนอย่างที่กลุ่มของท่านกับกอร์รินใช้เดินทางไปสอดแนมที่ซาโมโรว์ และตอนนี้กอร์รินก็ใช้วิธีเดียวกันในการสะกดรอยตามพวกมนุษย์ไปยังโฟรเซ็นทิเนล”

          “นั่นเป็นแค่กองกำลังเล็กๆ ที่ยากต่อการสังเกต แต่ถ้าท่านคิดจะยกพลไปช่วยพวกดาร์คเนสดีวิล ท่านต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่กว่านั้น ซึ่งต้องมีคนสังเกตเห็นแน่นอน” เทอร์รินว่า 

          “ประการที่สอง” ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เสริมทันที “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลเลย ไม่ว่าจะเรื่องกลยุทธ์ทางสงครามที่พวกนั้นนิยมใช้ หรือเรื่องระบบปฏิบัติในกองทัพ คงไม่มีทางที่จะทำงานด้วยกันได้ สิ่งเดียวที่เรารู้เกี่ยวกับพวกนั้นคือ พวกนั้นไว้ใจไม่ได้ เป็นการกระทำที่เสี่ยงมากหากร่วมมือกับพวกนั้น พวกนั้นอาจเป็นศัตรูกับพวกมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นศัตรูกับเราด้วย ท่านเลี้ยงงูเห่าไว้ใกล้ตัว ท่านจะไม่มีวันปลอดภัย”

          “ท่านมีอคติกับพวกดาร์คเนสดีวิล เพราะพวกนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของท่านตาย และทำให้ชีวิตในวัยเด็กของท่านยากลำบาก” โฮเซ่เกราะสีเขียวพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว

          “ซึ่งมันเกิดขึ้น เพราะพ่อของข้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกดาร์คเนสดีวิล” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม “พ่อของข้าเป็นคนดี เขาเมตตาต่อสัตว์ร้ายสีดำ แล้วมันก็ฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น เราจะต้องไม่ซ้ำรอยเขา”

          “เราจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ เมื่อได้รับรายงานจากกอร์รินถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” เทอร์รินตัดบทอีกครั้ง “ระหว่างนี้ เราต้องเตรียมการรับศึก ด้วยสิ่งที่เรายังพอมีอยู่ ชายฝั่งของเราคือเป้าหมายหลักของพวกมนุษย์ ข้าอยากให้ทุกคนวางแนวป้องกันให้แน่นหนาและส่งกำลังมาสนับสนุนกองทัพเรือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ขวางพวกมนุษย์จากชายฝั่งของเรา”  

          ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่ง

          “เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องกองกำลังที่เราจะต้องใช้สำหรับป้องกันอาณาจักรดีกว่า” เทอร์รินหยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋าเอกสาร “พอร์ล็อค เมืองรีลร็อคของท่านสามารถส่งพลมาสมทบกับกองทัพเรือได้มากที่สุดแค่ไหน--”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา