พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

42) บทที่ 42 ประกาศิตอันเยือกเย็น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 42

ประกาศิตอันเยือกเย็น

           

            ในยามเช้าตรู่ ที่เมืองหลวงโมราโซมอส เมืองหลวงแห่งมวลมนุษย์ที่ใหญ่โตรุ่งเรือง ประชาชนจำนวนมากมายมหาศาลพากันมารวมตัวอยู่เบื้องหน้าหอคอยชั้นนอกของพระราชวังที่สูงตระหง่าน โดยมีบรรดาขุนนางและทายาทขุนนางยืนอยู่บริเวณแถวหน้า พระราชาจะกล่าวปราศรัยจากบนหอคอยแก่เหล่าพลเมืองมนุษย์ หลังจากไปพบปะกับพวกทหารมาแล้ว พระองค์คิดเอาเองว่ามันจะช่วยกระตุ้นความมั่นใจและแรงศรัทธาจากประชาชนได้ ชาวเมืองจำนวนมากถูกเกณฑ์มารับเสด็จอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็มีอีกมากมายที่มาอย่างสมัครใจ บ้างก็เคารพศรัทธาตามที่ถูกล้างสมองสอนสั่งมา บ้างก็มาด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะทำอะไรกันแน่ บ้างก็มาเพื่อเตรียมจะตะโกนด่าว่าด้วยความแค้น ซึ่งประเภทสุดท้ายนั้นบรรดาหน่วยรักษาความสงบได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ทหารติดอาวุธกระจายกำลังอยู่ทั่วบริเวณ ใครกล้าตะโกนด่าออกมา เป็นโดนดีแน่

            “เกณฑ์ให้คนมารอรับเสด็จ ตากแดดตากลมแต่เช้ามืด เด็กที่ไม่รู้ประสีประสาก็ยังถูกเกณฑ์มา พวกที่ชอบประจบประแจงก็บังคับให้คนอื่นทำตามด้วย” ซอร์โรร่าที่ยืนรวมอยู่ในแถวขุนนางบ่นพึมพำ “พวกนั้นเอาแต่หลอกตัวเองว่ารักพระราชาจากใจจริง ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าถ้าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ แต่เป็นแค่สามัญชนที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ พวกนั้นที่เอาแต่แหกปากว่าเรารักพระราชาถึงขั้นพร้อมยอมพลีกายถวายชีวิต จะยังคงมีการกระทำเหมือนเดิมหรือเปล่า”

            ฟิเร็นดา เกรซและซินิท โกลด์แมนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนักกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยิน อาร์รอสที่ยืนอยู่ข้างๆ ซอร์โรร่าหลับตาลงอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

            “ลูกสาว ไม่เอาน่า” เขาขอร้องซอร์โรร่า

            “ข้าไม่มีสิทธิ์จะพูดความจริงหรือคะพ่อ” เด็กสาวทำหน้างอ

          “ความจริงที่ลูกควรจะพูดมากที่สุดตอนนี้” อาร์รอสชี้ไปที่แผลแห้งๆ ตามต้นแขนและมือของลูกสาว มันโผล่ออกมาจากชุดกระโปรงแขนกุดของเธอ “ไปได้แผลจากพวกฟาร์ดาราสมาได้ยังไง ไหนว่าจะติดตามพวกดาร์คเนสดีวิลอยู่ห่างๆ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งที่ลูกตัดสินใจทำ ลูกจะอธิบายให้พ่อฟังได้เมื่อไหร่”

          “พูดจริงๆ เลยนะคะ ข้าว่าพ่อคงไม่อยากฟังเท่าไหร่หรอก” ซอร์โรร่ายิ้มอย่างขอโทษ แต่ก็กอดแขนพ่อเป็นการอ้อน “ยกโทษให้ข้านะคะที่ทำให้พ่อเป็นห่วง อย่างน้อยข้าก็ปลอดภัยกลับมา”

          “คนอื่นๆ อาจพูดถูก มันเป็นความผิดของพ่อ พ่อคงตามใจลูกเกินไปจนเสียนิสัยจริงๆ” อาร์รอสส่ายหน้า แต่ก็ซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่มิด

          “ข้ารักพ่อนะคะ รักที่สุดในดาวดวงนี้เลย” ซอร์โรร่าเอียงตัวซบแขนเขาอย่างน่ารัก “พวกเสแสร้งชอบพูดว่ารักพระราชา แต่ข้านี่ล่ะจะพูดอย่างจริงใจว่ารักพ่อ”

          “พ่อก็รักลูกเหมือนกัน แม่นางฟ้า” อาร์รอสหัวเราะ จัดรัดเกล้าสีแดงให้เธออย่างเอ็นดู “แต่ยังไงก็ตาม พ่อขอล่ะ ลูกช่วยลดการพูดจาสบประมาทพระราชาลงบ้าง อย่างน้อยก็ต่อหน้าพวกทหารรักษาพระองค์”

            หลังจากรออยู่นานจนใกล้เที่ยง พระราชาก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดหอคอย แต่งเครื่องแบบกษัตริย์เต็มยศ สวมเครื่องประดับสูงค่าเต็มตัว สวมมงกุฎทองคำประดับอัญมณี เหล่าประชาชนปรบมือโห่ร้องต้อนรับ ตามที่พวกขุนนางสั่งไว้ พวกที่ไม่ชอบพระราชาก็จำใจต้องโบกมือยืนปรบมืออย่างซังกะตาย เพราะพวกทหารทำท่าขู่ พระราชาจับขอบระเบียงหอคอยที่แขวนผืนธงประจำเผ่าพันธุ์ยาวเหยียด ยื่นหน้าลงไปมองยังมวลมหาประชามนุษย์เบื้องล่าง โบกไม้โบกมือให้ด้วยท่าที่สง่างาม บรรดาองครักษ์ยืนรักษาการณ์อยู่ที่บันไดชั้นล่างเพื่อไม่ให้รกหูรกตาประชาชน พระราชาดื่มด่ำกับเสียงสรรเสริญ “ทรงพระเจริญ”  ที่เปล่งออกจากปากประชาชนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยความเคารพ ถูกกดดัน หรือประชดประชัน คนที่เกรงกลัวพระราชามีมากมาย คนที่เคารพอย่างหัวชนฝาเพราะถูกสอนสั่งล้างสมองก็มีไม่น้อย คนที่ทำตัวประจบประแจงก็มีเต็มไปหมด เผ่าพันธุ์นี้ไม่ว่าคนจะชั่วจะเลวสักเพียงใด หากทำสองสิ่ง คือบวชเป็นสาวกของศาสนา หรือเอ่ยวาจาว่า “เรารักพระราชา”  จะถูกมองว่าเป็นคนดีทั้งสิ้น ตรงกันข้าม หากใครที่เป็นคนดี ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ไม่สามารถทำสองสิ่งนี้ได้ ก็จะถูกสังคมตราหน้าว่าเลวชั่ว เนรคุณแผ่นดิน ไม่สมควรจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ต่อไป ทั้งที่พวกเขาก็จ่ายภาษีทุกปี แผ่นดินที่อาศัยอยู่ก็เสียเงินซื้อมาและมีโฉนดเป็นหลักฐาน

          พระราชาโบกมือให้ประชาชนเงียบ ทุกคนเงียบกริบ แหงนหน้ารอฟังสุนทรพจน์จากพระองค์

          “ประชาชนชาวโมราโซมอสผู้มีเกียรติ” พระราชาเริ่มสุนทรพจน์ “ข้ามีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบปะกับพวกท่านในวันนี้ เป็นโอกาสที่ข้าจะได้พูดคุยกับพวกท่านอย่างใกล้ชิดมากขึ้น นานเหลือเกินที่ข้าไม่ได้ออกมาปรากฏตัวให้พวกท่านเห็น การที่ข้าออกมาพูดคุยกับพวกท่านครั้งนี้ก็เพราะเป็นห่วงว่าพวกท่านหลายคนจะเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอาณาจักรของเรา ในสถานการณ์เช่นนี้ ความกลัวและกังวลนับเป็นเรื่องธรรมดา สงครามเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนได้ยากหลายสิ่งที่พวกท่านเชื่อมั่นยึดถือมาตลอด ก็เริ่มจะได้รับความศรัทธาลดลง”

          พระองค์กางแขนอย่างวางท่าเพื่อให้ดูมีอำนาจ ซ้อมแบบนี้กับหน้ากระจกหลายครั้งแล้ว

          “แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” พระองค์กล่าวต่อด้วยเสียงมั่นใจ“ข้าขอรับรองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ทางเราสามารถควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง อาณาจักรของเราจะปลอดภัย บรรดาข้าศึกศัตรูทั้งหลายจะแพ้ภัยตัวเอง--”

          ก่อนที่พระองค์จะได้พูดอะไรต่อนั้น บรรดาประชาชนและขุนนางทั้งหลายก็พากันชี้ไปข้างหลังพระองค์อย่างตกใจ พระราชารีบหันกลับไปมองและทันเห็นอะไรบางอย่างสีเงินๆ บินเข้ามาชนเต็มแรงจนพระองค์กระเด็นข้ามระเบียงตกจากหอคอยไป ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด พระองค์คว้าผืนธงขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ริมระเบียง ประชาชนหวีดร้องกันดังลั่น ผู้นำเผ่าพันธุ์ของพวกเขากำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนความสูงนับร้อยฟุต เกาะผืนธงที่เริ่มจะฉีกขาด

          บางอย่างสีเงินนั่นร่อนลงบนเชิงเทินหอคอยอย่างนุ่มนวล แทนที่ตำแหน่งยืนพระราชาอย่างสง่างาม มันคือม้าที่สวมเกราะสีเงินทั้งตัว หมวกเกราะของมันออกแบบเป็นรูปหัวกะโหลกยาวๆ ร่างกายบางส่วนของมันที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้น ล้วนมีแต่โครงกระดูสีขาวโพลนที่ดูเหมือนจะลอยๆ ยึดเกาะกันได้ด้วยไอน้ำแข็งสีขาวตามข้อต่อ แผงคอและขนหางของมันขาวสะอาดและนุ่นลื่นราวกับใยไหม ดวงตากลวงโบ๋ของมันก็มีไอน้ำแข็งสีขาวโชยออกมาตลอดเวลา ข้อเท้าทั้งสี่ของมันมีปีกเล็กๆ ที่มีไอน้ำแข็งโชยตลอดเวลาเช่นกัน นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้มันวิ่งบนอากาศได้

          ม้าตัวนี้เป็นเพียงพาหนะ ยังมีผู้ขับขี่ร่างสูงนั่งอยู่บนอานของมัน จากโครงร่างแล้วน่าจะเป็นเพศชาย สวมเกราะโลหะสีเงินลายโครงกระดูกทั่วทั้งตัว เป็นเกราะแข็งที่ดูไม่หนาแต่แข็งแกร่ง คาดผ้าคลุมยาวสีเงินเลื่อมลื่นไว้ข้างหลัง สวมหมวกเกราะที่ดูคล้ายหัวกะโหลก มีโครงกระดูกปีกนกโลหะแนบอยู่สองด้านข้างหมวกเกราะ หัวกะโหลกติดกระดูกปีกนก หรือซิลเวอร์เดธ คือตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์เอลิล บนยอดหมวกเกราะนั้นติดพู่หางม้าสีขาวดุจหิมะที่ยาวงอนขึ้นไปเล็กน้อยและโค้งลงไปปรกหลังผ้าคลุม มันเป็นสีเดียวกับผมที่ยาวออกมาจากใต้หมวกเกราะ ปรกไหล่และหลังอย่างสวยงาม เรียบตรงนุ่มลื่นไม่แตกปลายไม่คดงอแม้แต่เส้นเดียว

          ร่างนั้นก้าวลงจากหลังม้าด้วยรองเท้าบู๊ตโลหะสีเงินยาวถึงเข่า ซึ่งติดสนับเข่ารูปกะโหลกเหล็กสีเงิน ม้าของเขาเปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำแข็งสลายหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เขายื่นมือไปทางประตูหอคอยที่ปิดอยู่ข้างหลัง เป็นมือที่สวมถุงมือเหล็ก มีสนับป้องกันหลังนิ้ว หลังมือ และหลังแขนเป็นรูปมือโครงกระดูก มีไอเย็นพุ่งผ่านออกจากถุงมือของเขาไปก่อตัวเป็นน้ำแข็งตามบานพับและช่องรอยต่อของประตู มันจับเกาะแน่นหนามาก พวกทหารองครักษ์พยายามจะเปิดประตูมาก็เปิดไม่ออก กระแทกใส่ประตูก็ขยับได้เพียงเล็กน้อย พวกเขาถูกขวางไว้ไม่ให้ออกมาที่ระเบียงดาดฟ้าหอคอยได้

          ร่างในชุดเกราะสีเงินถอดหมวกเกราะออก บรรดาขุนนางที่ยืนมองอยู่เบื้องล่างพากันตาเหลือกตาค้าง หลายคนร้องขึ้นพร้อมกันว่า

          “อโลบัส”

          แต่เขาไม่ใช่อโลบัสเจ้าชายมนุษย์อีกต่อไปแล้ว รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนแทบจำไม่ได้ ผมที่เคยเป็นสีบลอนด์กลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ผิวหน้าที่เคยดูขาวซีดนั้น ตอนนี้มันขาวซีดไร้สีสันยิ่งกว่าเดิมจนดูจางใส บางส่วนก็โปร่งใสจนมองไปเห็นกระดูกสีขาวโพลน อีกไม่นานคงโปร่งใสทั้งหมดจนเห็นเพียงกะโหลกเบ้าตาของเขามีกลุ่มควันสีดำปกคลุมตลอดเวลา กลุ่มควันนี้คือดวงตาของเผ่าพันธุ์เอลิล

          อโลบัสชักดาบที่คาดฝักอยู่ที่เข็มขัดออกมา เป็นดาบยาวสีเงินมีไอน้ำแข็งโชย และมีเกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นลายดาบ ดาบไอซ์แอคเซอร์  พระราชากำลังที่เกาะผืนธงข้างหอคอยถึงกับตาค้างเมื่อเห็นคนที่เคยมีสถานะเป็นบุตรชายของตนถืออาวุธแห่งเอลิล และมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์เอลิล หรือหากพูดให้ถูกคือ ความเป็นเอลิลที่แท้จริงปรากฏขึ้นมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้น

          แล้วคมดาบไอซ์แอคเซอร์ก็ฟันตัดผืนธงที่พระราชาเกาะอยู่ ผืนธงถูกตัดขาด พระราชาที่เกาะอยู่ร่วงตกลงไปด้วยความสูงนับร้อยฟุต ปากกรีดร้องไม่เป็นภาษา มนุษย์คนอื่นๆ ทั้งพวกขุนนางและพลเมืองได้แต่ยืนตะลึง ไม่มีใครคิดจะไปรับ ไปรับการตกลงมาจากความสูงขนาดนั้นก็คงตายทั้งคนร่วงคนรับ ทุกคนจึงได้แต่ยืนมองผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ตนตกลงมาร่างแหลกเหลวกับพื้นต่อหน้าต่อตา

          ชิ้นส่วนเครื่องประดับบางชิ้นที่พระราชาสวมใส่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น มงกุฎหักเป็นสองส่วนแบบไม่เท่ากัน ส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเด็นไปอยู่แทบเท้าแม็ค แรคแทนทิน และส่วนที่มีขนาดเล็กว่ากระเด็นไปอยู่แทบเท้าอาร์รอส ไอวิวรี่ ส่วนอัญมณีชิ้นใหญ่ที่สุดที่ประดับมงกุฎนั้นกระเด็นกลิ้งลอดขาหลายๆ คนหายเข้าไปในฝูงชน ประชาชนเริ่มต่อสู้กันเพื่อแย่งอัญมณีชิ้นนั้น และอีกส่วนหนึ่งก็ฝ่าพวกทหารไปแย่งชิงเครื่องประดับจากร่างไร้ชีวิตของพระราชา ถึงกับฉีกศพเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว พวกทหารส่วนหนึ่งเข้าอารักขาบรรดาขุนนางและชนชั้นสูง อีกส่วนพยายามควบคุมสถานการณ์ บอกให้อยู่ในความสงบ ยิงปืนยาวขึ้นฟ้าขู่ แต่สถานการณ์ก็ยังวุ่นวายเกินกว่าจะคุมอยู่ จึงเริ่มใช้กำลังใช้อาวุธกับพลเรือน เกิดจลาจลที่ใจกลางเมืองหลวงแห่งมวลมนุษย์ มีทั้งมนุษย์แตกตื่นหนีเหยียบกันตาย มนุษย์ที่ต่อสู้กับพวกทหาร และมนุษย์ที่ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงของมีค่า ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าสมเพชยิ่งนัก

          อโลบัสยืนนิ่งอยู่บนหอคอยตำแหน่งเดิม จ้องมองลงไปยังความโกลาหลเบื้องล่างอย่างไร้ความรู้สึก แสงแดดส่องกระทบชุดเกราะและผ้าคลุมของเขาเป็นประกายเจิดจ้าทั้งตัว ราวกับร่างเปล่งแสงได้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเขาเพราะกำลังวุ่นวาย แต่ก็มีบางส่วนโดยเฉพาะบรรดาขุนนางชนชั้นสูงที่สนใจ แม้จะต้องคอยระมัดระวังภัยจากจลาจลก็ตาม

          แล้วอโลบัสก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ ไร้ความรู้สึก แต่เปี่ยมไปด้วยพลังและดังชัดเจนไปทั่วทั้งบริเวณ ราวกับมีพลังอำนาจช่วยนำพาเสียง ซึ่งเสียงของเขาดังออกมาโดยที่เขาไม่ได้ขยับปากเลย

          “น้ำแข็งที่ละลายไปแล้ว แม้จะหลอมละลายไป แต่ก็สามารถกลับมารวมเป็นน้ำแข็งใหม่ได้” เขาลั่นประกาศิต“สิ่งที่เสื่อมอำนาจไป จะหวนคืนความโชติช่วง เปลวเพลิงที่มอดดับไปจะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความร้อนแรงยิ่งเดิม”

          พูดจบ เขาก็หันหลังก้าวเดิน ผ้าคลุมสีเงินขยับตามการเคลื่อนไหว มีไอน้ำแข็งปรากฏขึ้นตรงหน้าและเปลี่ยนสภาพเป็นม้าพาหนะของเขาอีกครั้ง เขาเก็บดาบไอซ์แอคเซอร์ลงฝัก ปีนขึ้นไปนั่งบนอาน แล้วสะบัดบังเหียนสีเงินในมือ เจ้าม้าผีน้ำแข็งทะยานขึ้นไปบนอากาศอย่างนิ่มนวลและรวดเร็ว ทิ้งไอน้ำแข็งจากปีกที่ข้อเท้าทั้งสี่เป็นทางยาวตามหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกองครักษ์พังประตูดาดฟ้าหอคอยผ่านมาได้ พวกเขาได้แต่มองตามไป  จนกระทั่งอโลบัสกับม้าหายลับเข้าไปในกลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอย

 

********************

 

            ภายหลังศึกครั้งใหญ่ที่กาโกคอล ทั้งพวกโฮเซ่ ฟอเรสเทอร์ และดาร์คเนสดีวิลต่างก็ทำการสดุดีผู้เสียสละชีวิต เริ่มวางโครงการฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไป และถือโอกาสปรับเปลี่ยนแก้ไขหลายสิ่งให้ดีขึ้นกว่าเดิม สำหรับเมืองหลวงกาโกคอลที่เพิ่งถูกใช้เป็นสมรภูมิรบนั้นจะได้รับการฟื้นฟู กำแพงที่เสียหายจะได้รับการซ่อมแซม ประตูกำแพงแต่ละชั้นจะถูกสร้างใหม่ด้วยหิน ต้นไม้เมฆสีครามสองต้นใหม่จะถูกนำมาปลูกแทนสองต้นเก่าที่ถูกโค่น มันจะเติบโตพอที่จะสร้างเมฆบังแดดให้แก่เมืองได้ภายในเวลาไม่นาน ด้วยความรู้ความสามารถในเรื่องการเกษตรและการปลูกป่า พวกฟอเรสเทอร์มีโครงการจะจัดการกับช่องว่างตัดผ่านป่านอกเมืองที่พวกเอลิลถางไว้ โดยจะขุดย้ายต้นไม้ใหญ่บางส่วนจากป่าหนาทึบบริเวณอื่นมาปลูกทดแทน แต่จะเหลือช่องให้เป็นถนนแคบๆ ไว้ให้พันธมิตรสามารถเคลื่อนพลผ่านไปสู่เมืองหลวงได้สะดวกในยามที่มาเยี่ยมเยือน แล้วจะโน้มยอดต้นไม้จากสองฝั่งถนนมาบรรจบกันเป็นซุ้มโค้งเพื่อบังแดด การมีถนนแคบๆ และมีซุ้มกิ่งไม้ใบไม้อยู่ข้างบนสูงๆ จะทำให้พวกฟอเรสเทอร์มีพื้นที่ซุ่มยิงมากมายในกรณีที่มีข้าศึกบุกผ่านมาทางนี้ พวกเขาจะเรียกถนนสายนี้ว่าฟอเรสท์โร้ด(Forest Road)

          สำหรับเหล่านักรบผู้พลีชีพทั้งหลายก็ถูกนำร่างไปประกอบพิธีกรรมอย่างสมเกียรติตามประเพณีของแต่ละเผ่าพันธุ์ ศพของนักรบโฮเซ่ถูกวางเหรียญตราสัญลักษณ์โฮเดเรียไว้บนหน้าผากและเผา ศพของนักรบดาร์คเนสดีวิลถูกนำไปฝังแล้วปลูกต้นทูมสโตนไว้บนหลุม ส่วนศพของพวกฟอเรสเทอร์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ทำจากใบไม้ ดอกไม้ เถาวัลย์ แล้วฝังลงดินคืนสู่ธรรมชาติ ไลคอลี่ ซิวาลินถูกนำไปฝังข้างๆ หลุมศพแม่ของโซลิแทร์ ทุกคนจะจดจำเขา ระลึกถึงคำพูดที่เขาเคยเตือนทุกคนไม่ให้หมดหวังตลอดไป

          ข่าวดีสำหรับพวกฟอเรสเทอร์ คือแอเมน่า สกายซีผู้นำสูงสุดของพวกเขาสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว แม้ว่ายังต้องใช้ไม้เท้าสักระยะหนึ่งความหวังและชัยชนะทำให้เธอมีกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อ ร่างกายของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพจิตใจ ผิวพรรณกลับมาเปล่งปลั่ง สีหน้ากลับมาสดใส แม้พวกฟอเรสเทอร์จะสูญเสียไปมาก แต่พวกเขาก็ยังรักษาส่วนที่เหลือไว้ได้ อาณาจักรและเผ่าพันธุ์ยังคงอยู่รอด และมันจะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับเป็นเหมือนเก่า ดังเช่นสภาพร่างกายของเธอ  

          เทอร์รินแต่งตั้งให้ไรมิน บุฟโฮปเป็นเจ้าเมืองเด็นร็อคแทนซีราส ท็อกส์ฟอกส์ประกาศยกเมืองเด็นร็อคให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกแฮนดรัสดังเดิมและมอบสถานภาพสิทธิทางพลเมืองให้แฮนดรัสทุกคนเทียบเท่ากับโฮเซ่ในแบร์ร็อค ซึ่งก็เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย หลังจากผ่านวิกฤตสงครามอันยากลำบากและการสร้างวีรกรรมอันน่าชื่นชม พวกแฮนดรัสก็กลายเป็นที่นิยมชมชอบของโฮเซ่ทั้งอาณาจักร ไรมินและพวกพ้องได้รับการยอมรับ เคารพ และให้เกียรติ ในฐานะคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน โฮเซ่ที่แตกแยกขัดแย้งกันมานาน บัดนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

          พวกดาร์คเนสดีวิลกลายเป็นวีรบุรุษของทุกเผ่าพันธุ์ พวกเขาจะได้รับการต้อนรับจากกาโกคอลและแบร์ร็อคเสมอ ขณะเดียวกัน อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลของพวกเขาก็จะเปิดรับคนจากทั้งสองอาณาจักรด้วย พวกดาร์คเนสดีวิลไม่เอาแต่เก็บตัวสันโดษอีกแล้ว พวกเขาเปิดใจที่จะผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่น ตอบรับมิตรภาพที่เพื่อนๆ ต่างเผ่าพันธุ์หยิบยื่นมาให้ เรียนรู้ที่จะทำตัวแข็งกระด้างให้น้อยลงและมีไมตรีจิตมากขึ้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีไม่น้อย ไม่สิ รู้สึกดีมากๆ ต่างหาก ในตอนนี้ดาร์คเนสดีวิล โฮเซ่ และฟอเรสเทอร์ได้เป็นพันธมิตรกันโดยสมบูรณ์แล้ว

          และในวันนี้ก็มีพิธีกรรมสำคัญที่เมืองหลวงกาโกคอล พิธีกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ดาวดวงนี้ นั่นคือการแลกเปลี่ยนลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ สมบัติประจำเผ่าพันธุ์ที่สูงค่าที่สุด แต่ละเผ่าพันธุ์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น การนำวัตถุเชิงสัญลักษณ์ที่มีค่าสูงสุดของเผ่าพันธุ์มาแลกเปลี่ยนกันนั้น ถือเป็นการแสดงตัวเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่น คือสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ

          ฝูงชนจำนวนมากมายรวมตัวกันอยู่หน้าปราสาทต้นไม้แห่งกาโกคอล แบ่งเป็นสามส่วน ฟอเรสเทอร์ ดาร์คเนสดีวิล และโฮเซ่ เหล่าผู้นำผู้ปกครองก็ยืนรวมอยู่ด้วย แต่ละคนยังมีร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ แต่ก็ดูมีความสุขกันทุกคน ท้องฟ้าเหนือบริเวณนี้ปกคลุมด้วยเมฆสีเข้มที่โซลิแทร์ปล่อยออกมาบังแสงแดดให้พวกฟอเรสเทอร์ มีแสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าคำรามเป็นระยะ ซึ่งทุกคนก็พอใจให้มันเป็นเช่นนี้ ในตอนนี้ไม่มีใครที่ไม่ชอบสายฟ้า ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นมัน ความหวังจะถูกสร้างขึ้นในหัวใจ เสมือนเป็นสิ่งที่จุดประกายพลัง ให้พวกเขาสามารถยืนหยัดต่อสู้กับทุกสิ่ง

          สำหรับผู้นำสูงสุดของแต่ละเผ่าพันธุ์นั้น พวกเขาไม่ได้อยู่กับฝูงชน แต่ยืนอยู่ด้วยกันบนระเบียงสูงของปราสาทต้นไม้ เสมือนเป็นเวทีให้ทุกคนได้มองเห็น แอเมน่าสวมชุดกระโปรงตัวบาง ประดับดอกไม้ใบไม้ ศีรษะสวมมงกุฎขนนกประจำตำแหน่งหัวหน้าเผ่า เธอกลับมาดูสวยสง่าอีกครั้งแม้จะมีไม้เท้าด้ามหนึ่งพยุงตัวก็ตาม เทอร์รินสวมเกราะสีน้ำตาลใหม่เอี่ยม ไม่พกอาวุธ ไม่สวมหมวกเกราะ ผมถูกจัดแต่งให้เป็นทรงอย่างดี ใบหน้ามีร่องรอยจากการต่อสู้ในสงคราม แม้แขนซ้ายจะเข้าเฝือกคล้องอยู่ที่คอ แต่ก็ยังดูสง่างามมีราศี ส่วนโซลิแทร์นั้นยังคงเหมือนเดิม สวมผ้าคลุมสวมชุดเกราะครบเครื่องเหมือนตอนออกรบ พกพาอาวุธทุกชิ้น ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์คาดฝักอยู่ที่เข็มขัด ดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่คุ้นเคยกับงานพิธีการ ไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องภาพลักษณ์ ชุดที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุดคือชุดแบบเดียวกับที่สวมออกรบ

          อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ไม่มีใครถือสาพวกดาร์คเนสดีวิลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้สักนิด พวกเขากลายเป็นที่ชื่นชม เทียบกับทุกสิ่งที่พวกเขาทำมา ภาพลักษณ์นั้นไม่สำคัญอะไรเลย อีกทั้งในวันนี้ โซลิแทร์ไม่สวมหน้ากาก สวมเพียงฮู้ดคลุมศีรษะ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงออกมาให้เห็นแจ่มชัด ผมสีทองคำที่โผล่ออกมาจากหมวกฮู้ดยาวลงมาปรกบ่านั้น สะท้อนกับแสงสายฟ้าเป็นเงา เขาเปิดเผยใบหน้าเพื่อแสดงความจริงใจ นั่นก็นับว่าน่าพอใจแล้ว แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยเขาก็พยายามทำตัวให้แตกต่างระหว่างในสงครามกับในงานพิธีวันนี้

          ในมือข้างหนึ่งของแอเมน่าและเทอร์รินถือลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ของตน ลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์มีต้นไม้สีเขียวมรกตอยู่ข้างในและเปล่งแสงสีเขียวสดยามแสงฟ้าแลบส่องกระทบ ส่วนลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์โฮเซ่มีตะบองเพชรโฮเดเรียสีน้ำตาลอยู่ข้างใน และเปล่งแสงสีน้ำตาลยามแสงฟ้าแลบส่องกระทบ

          โซลิแทร์ไม่มีลูกแก้ว ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์

          แอเมน่าและเทอร์รินก้าวไปยืนอยู่ที่ริมระเบียงเพื่อให้ฝูงชนได้มองเห็นอย่างชัดเจน ทั้งคู่แสดงความเคารพต่อกัน แอเมน่าถอนสายบัว เทอร์รินโค้งคำนับ ทั้งคู่ก็แลกลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์กัน จากนั้นก็หันไปยกชูพร้อมกันให้ฝูงชนดูด้วยท่าทางสง่างาม ลูกแก้วทั้งสองเปล่งแสงออกมาสองสียามกระทบแสงสายฟ้า ฝูงชนเบื้องล่างปรบมือและส่งเสียงกู่ร้อง วัตถุสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ถูกแลกเปลี่ยน พวกเขาเป็นพันธมิตรกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ทุกคนดีอกดีใจ พวกดาร์คเนสดีวิลแม้จะรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยที่ไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ไปแลกด้วย ทำให้ไม่แสดงอาการดีใจออกมามากนัก แต่ก็ยังปรบมือ ยิ้มอย่างมีความสุข แสดงความยินดีกับพันธมิตรทั้งสองด้วยความจริงใจ

          แอเมน่ากับเทอร์รินหันไปหาโซลิแทร์ที่ยืนปรบมือเก้อๆ อยู่ข้างหลัง พยักหน้าให้เข้ามาหา โซลิแทร์เบิกตางงๆ ไม่แม่ใจว่าอีกฝ่ายเรียกหรือเปล่า แอเมน่ากับเทอร์รินพยักหน้าอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเรียกให้ไปหา โซลิแทร์จึงก้าวเดินเข้าไปอย่างประหม่า เรื่องที่เป็นพิธีการใหญ่ๆ นั้นเขาแทบไม่มีประสบการณ์เลย จึงทำอะไรติดๆ ขัดๆ  กอร์รินและไมริฟที่ยืนมองอยู่ข้างล่างอมยิ้มอย่างขบขัน เซซิลและกัปตันมาซูลส่ายหน้ายิ้มๆ  อาร์ทูมิสเอียงคอยิ้มอย่างเอ็นดู

          โซลิแทร์ก้าวเข้ามาใกล้แอเมน่ากับเทอร์ริน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปยืนอยู่ตำแหน่งเดียวกันที่ริมระเบียง เพราะตนไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ ไปยืนตรงนั้นคงดูไม่เหมาะสมนัก แอเมน่ากับเทอร์รินยื่นมือข้างที่ว่างอยู่ไปหาเขา(เทอร์รินนำลูกแก้วไปถือในมือข้างที่เข้าเฝือกเพื่อจะได้ใช้ข้างที่ไม่บาดเจ็บยื่นออกไปได้) ทำท่าเหมือนรอรับอะไรสักอย่าง โซลิแทร์ได้แต่ยืนเก้อ เขาจะเอาอะไรไปให้

          “ลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลจ้ะ” แอเมน่ายิ้มอย่างเอ็นดูรักใคร่ เหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่ทำผิดยังไงก็น่ารัก “ส่งมันมาสิ”

          “เอาเลยน้องชาย” เทอร์รินพยักหน้า “แลกกับเราคนใดคนหนึ่ง ใครก็ได้”

          ฝูงชนข้างล่างเงียบกริบในทันที เช่นเดียวกับโซลิแทร์ที่ได้แต่ยืนนิ่ง แอเมน่ากับเทอร์รินมัวแต่ดีใจที่ได้ลูกแก้วของอีกฝ่าย จนลืมไปว่าดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์

          ทั้งคู่เริ่มนึกได้และหน้าเจื่อนลงอย่างรู้สึกผิด การกระทำโดยไม่ทันคิดของพวกเขาเสมือนไปตอกย้ำปมในใจของพวกดาร์คเนสดีวิล เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ เบื้องล่างก้มหน้าซึมๆ

          “อภัยให้ข้าด้วยท่านทั้งสอง ดาร์คเนสดีวิลไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์” โซลิแทร์ส่งยิ้มเศร้าๆ ให้ทั้งคู่ มันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “ข้าอยากมอบอะไรที่สูงค่าพอจะตอบแทนมิตรไมตรีที่พวกท่านมีต่อเราได้ แต่สิ่งที่ปีศาจเรามี เราก็มีอยู่แค่เท่าที่เห็น พวกท่านเปิดใจหยิบยื่นมิตรภาพให้แก่เผ่าพันธุ์ที่ชั้นต่ำ แข็งกระด้าง และไม่น่าคบอย่างเรา มันก็เกินกว่าที่เราสมควรจะได้รับแล้ว”

          แล้วเขาก็โค้งศีรษะให้ทั้งคู่ ก้าวถอยหลังไปอย่างนอบน้อม

          เทอร์รินกับแอเมน่าคว้าแขนเขาไว้

          โซลิแทร์หยุดยืนอย่างแปลกใจ ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก็เงยหน้ามองอย่างแปลกใจเช่นกัน แอเมน่ากับเทอร์รินมองหน้ากัน มองลูกแก้ว แล้วเงยหน้ามองกันอีกครั้ง ยิ้มให้กัน

          “รู้ไหม” แอเมน่าชูลูกแก้วในมือของตนให้ทุกคนได้ดู “สิ่งที่อยู่ในมือเรา มันอาจสูงค่าและมีเพียงหนึ่งเดียว แต่สิ่งที่มันเป็น ก็เป็นแค่วัตถุสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น มิตรภาพและคำว่าเพื่อนต่างหากคือสิ่งสูงค่าโดยแท้จริง เป็นสิ่งสูงค่าที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราก็ได้รับมันแล้ว จากพวกดาร์คเนสดีวิล มันมีค่ามากกว่าลูกแก้วนี่สักร้อยลูกพันลูกเสียอีก”

          “ลูกแก้วไม่ได้จับดาบต่อสู้เพื่อพวกเรา ลูกแก้วไม่ได้ส่องประกายความหวังให้เรายืนหยัดสู้ ลูกแก้วไม่ได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปได้หากเราเพียรพยายามจนสุดหัวใจ แต่เป็นพวกดาร์คเนสดีวิล เป็นพวกดาร์คเนสดีวิลทั้งหมด” เทอร์รินกวาดตามองทุกคนเบื้องล่าง แล้วหันมายิ้มให้โซลิแทร์ “เจ้าผิดแล้วที่บอกว่า ไม่มีอะไรสูงค่าพอจะมอบให้เรา เพราะสิ่งนี้--” เขาชี้มาที่โซลิแทร์ และชี้ไปยังบรรดาดาร์คเนสดีวิลที่ยืนอยู่เบื้องล่างทุกคน “--ไม่มีสิ่งใดจะสูงค่ากับเรามากไปกว่านี้อีกแล้ว”

          แล้วเทอร์รินกับแอเมน่าก็ยื่นลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ให้โซลิแทร์ทั้งสองลูก

          ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ยืนมองอย่างตกตะลึง พวกฟอเรสเทอร์และโฮเซ่หันมายิ้มให้พวกเขาและปรบมือให้ พวกเขาสมควรได้รับมันแล้ว โซลิแทร์รับลูกแก้วไปช้าๆ ถือไว้ในมือข้างละลูก เทอร์รินกับแอเมน่าจูงแขนเขาให้ไปยืนอยู่ที่ริมระเบียง ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่ โซลิแทร์หันไปยิ้มให้แอเมน่าที่ยิ้มตอบอย่างอบอุ่น หันไปยิ้มให้เทอร์รินที่ยิ้มให้อย่างเข้มแข็ง แล้วจึงมองตรงออกไปยังฝูงชนข้างหน้า วินาทีที่ท้องฟ้าคำรามและสว่างวาบด้วยสายฟ้า เขาชูลูกแก้วทั้งสองขึ้นให้ทุกคนเห็น

          ฝูงชนเบื้องล่างส่งเสียงกู่ร้องปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงด้วยความดีใจ ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ปีศาจ สิ่งมีชีวิตที่เคยแต่ถูกเหยียบย่ำ รังเกียจ หวาดกลัว และถูกมองเป็นฝ่ายไม่ดีมาตลอดแม้กระทั่งในนิทานนิยาย บัดนี้พวกเขาเป็นที่ยอมรับของทุกคน  เป็นวีรบุรุษตัวจริง เป็นเพื่อนที่แสนดี โซลิแทร์กวาดตามองเหล่าพวกพ้องและพันธมิตรเบื้องล่าง ลูกแก้วในมือทั้งสองเปล่งประกายสองสีรับแสงสายฟ้า กอร์รินยกนิ้วโป้งให้ ไมริฟป้องปากตะโกน เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างรักใคร่ อาร์ทูมิสมองด้วยสายตาภูมิใจ ตลอดจนคนอื่นๆ อีกมากมายที่แสดงความชื่นชม มันมีความหมายต่อเขามาก

          แล้วเขาก็มองต่อไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่ด้านหลังฝูงชนห่างออกไป แสงฟ้าแลบส่องสว่างให้เห็นใครสักคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ร่างในเสื้อคลุมสีกรมท่าอมเทา สวมหมวกทรงสูงที่ปีกหมวกทำด้วยใบไม้สีกรมท่า ถือไม้เท้าสีน้ำตาลคล้ายรากไม้ ใบหน้าและมือเป็นกระดูกขาวโพลนที่หุ้มด้วยเนื้อหนังโปร่งใส ดวงตาเป็นกลุ่มควันสีดำ ผู้มองไกลนั่นเอง

          กำจัดเซ็ทซาร์ดเดลิลวาสและเอาชนะสงครามกองทัพเอลิลที่ถูกเขาควบคุมอยู่ให้ได้ เป็นวิธีเดียวที่จะปลดปล่อยเอลิลจากการถูกชักใย คือสิ่งที่ผู้มองไกลขอให้โซลิแทร์ทำ ขอให้โซลิแทร์ได้ช่วยแก้ไขในสิ่งที่ตนทำผิดพลาดไป แม้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ โอกาสที่จะทำสำเร็จแทบไม่มี แต่ตอนนี้โซลิแทร์ก็ทำสำเร็จ เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความน่าจะเป็นไม่ใช่สิ่งสำคัญ แม้จะมีโอกาสน้อยนิดสักเพียงใด แต่หากเรายังเชื่อมั่นในพลังของตน ยืนหยัดสู้ต่อไป ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ผู้มองไกลโค้งศีรษะให้โซลิแทร์อย่างขอบคุณ เหมือนที่เคยทำเมื่อสิบเก้าปีก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มใบไม้สีกรมท่า ปลิวหายไปกับสายลม

          จากปีศาจเด็กชายตัวน้อยผู้แสนจะธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษเลิศเลอ ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกเหมือนพระเอกในนิยาย ได้แต่พยายามไขว่คว้าความฝัน ยืนหยัดต่อสู้กับโชคชะตาด้วยสิ่งที่ตนมี บัดนี้ เขาดูยิ่งใหญ่กว่าพระเอกในนิยายเรื่องไหนๆ รางวัลแห่งความมุ่งมั่นพยายาม จิตใจที่เข้มแข็ง คือความภาคภูมิใจชั่วกัลปาวสาน มันไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งที่เราเผชิญนั้นจะยากลำบากหรือเป็นไปได้ยากสักเพียงใด  มันสำคัญว่าเราจะยังคงมีหวังและยืนหยัดสู้จนถึงที่สุดหรือไม่  แสงจากสายฟ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินดวงโตของโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มเป็นประกายเจิดจรัส และมันส่องประกายอีกครั้งเมื่อเขายิ้มด้วยความหวัง

 

 

Blackblood

 

 

จบภาคที่ 1

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา