พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) บทที่ 40 ศึกกาโกคอล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 40

ศึกกาโกคอล

           

            พวกฟอเรสเทอร์เตรียมตัวรับศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ประตูกำแพงชั้นแรกถูกปิดตาย ค้ำยันด้วยคานไม้จำนวนมาก เครื่องโยนหินที่มีอยู่ไม่กี่เครื่องถูกนำมาประจำด้านหลังกำแพงชั้นแรก ส่วนบรรดานักรบก็เริ่มขึ้นไปประจำตำแหน่งบนกำแพง หรือไม่ก็จัดทัพอยู่ด้านหลังกำแพง เกือบทั้งหมดเป็นพลธนู ถือคันศรยาวๆ และสะพายลูกธนูคนละกระบอก บนกำแพงก็มีถังใส่ลูกธนูสำรองวางประจำอยู่เป็นจุดๆ  ตอนนี้หัวลูกธนูทุกดอกล้วนทำด้วยโลหะ เพื่อจะได้เจาะผ่านเกราะโลหะของข้าศึกได้ สำหรับนักรบที่พวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลแบ่งมาช่วยเสริมนั้น มีบางส่วนขึ้นไปประจำตำแหน่งอยู่บนกำแพงชั้นแรกร่วมกับพลธนูฟอเรสเทอร์แนวหน้า เตรียมพร้อมต่อสู้ระยะประชิดกับข้าศึกที่บุกขึ้นมาบนกำแพง ในตอนนี้ทุกคนในฐานทัพค่อนข้างตื่นเต้นและกดดัน กองทัพข้าศึกมีเป็นแสน พวกเขามีน้อยกว่ามาก มองไม่เห็นหนทางที่จะหยุดยั้งได้เลยสักทาง

            เซ็นแวนเดอร์เดินตรวจตราความเรียบร้อยขณะที่นักรบคนอื่นๆ เข้าประจำที่ เขาสวมเกราะหนังสีเขียวใบไม้ทั้งตัว ศีรษะคาดรัดเกล้าขนนกประจำตำแหน่งรองหัวหน้าเผ่า มือถือคันศรยาวอาวุธประจำกาย มันติดใบมีดไว้ที่ปลายทั้งสองด้านเผื่อไว้สำหรับต่อสู้ในระยะประชิด ที่หลังสะพายกระบอกใส่ลูกธนูสองกระบอก ดูไกลๆ คล้ายปีก เขาเป็นฟอเรสเทอร์ที่ยิงธนูเก่งที่สุด แน่นอนว่าต้องใช้ลูกธนูมากกว่าคนอื่น กอร์รินเดินเข้ามาสมทบ สวมเกราะเหล็กหนาสีน้ำตาลเต็มตัว พับหนามที่สนับแขน สนับแข้ง และเกราะไหล่ให้ตั้งขึ้นเตรียมพร้อม สวมหมวกเกราะติดหนามเหล็กห้าแฉกในมุมเฉียงที่หน้าผาก ผมสีน้ำตาลคล้ายรากไทรสะอาดเอี่ยมโผล่ออกนอกหมวกเกราะมาปรกหลัง หลังไหล่ขวาติดริ้วธงแคบๆ บ่งบอกตำแหน่งรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ขวานด้ามยาวที่มีใบแคบๆ ยาวๆ คล้ายเสี้ยวจันทร์โค้งขึ้นนั้น คาดอยู่ที่เข็มขัด

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่า” กอร์รินรายงาน “กองกำลังโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลเข้าประจำที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนหนึ่งอยู่ด้านหลังกำแพงชั้นแรก คอยเข้าสกัดหากข้าศึกพังประตูเข้ามาได้ อีกส่วนหนึ่งขึ้นไปประจำบนกำแพง คอยสนับสนุนพวกพลธนูฟอเรสเทอร์”

            “ทันทีที่ข้าศึกบุกมาประชิดตัว พลธนูของข้าจะต้องถอยหลัง ข้าต้องหวังพึ่งเจ้ากับกองกำลังของเจ้าแล้ว น้องชาย” เซ็นแวนเดอร์จับต้นแขนอีกฝ่าย จับไหล่ไม่ได้เพราะเกราะส่วนนั้นติดหนามแหลม “ที่ผ่านมาเราเคยแต่ซุ่มยิงในป่าตลอด ไม่เคยต่อสู้ในลักษณะนี้ ข้าศึกเข้าถึงตัวง่ายกว่า ซึ่งหากพลธนูของข้าถูกประชิดตัวด้วยดาบกับโล่ พวกเขาจะสู้ไม่ไหว”

            “โปรดวางใจ ข้ากับหน่วยรบระยะประชิดจะเป็นโล่ให้พลธนูของท่าน เท่าที่จะทำได้” กอร์รินให้คำมั่น “ขอเพียงอย่ายิงพลาดมาถูกเราก็พอ”

            “มันจะไม่พลาด” เซ็นแวนเดอร์สัญญา

            “ทำไมนักรบหญิงของท่านจะต้องเอาสีทาหน้าก่อนออกศึกครั้งนี้ด้วย” กอร์รินมองไปรอบๆ

            ศึกครั้งนี้ นักรบฟอเรสเทอร์หญิงทุกคนจะนำสีที่ได้จากดอกไม้มาแต้มตามใบหน้าและเนื้อตัวบางส่วน มีลวดลายและสีสันแตกต่างกันไป

            “เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ นักรบหญิงของเราจะแต้มสีที่หน้าและตามตัวก่อนออกรบในศึกใหญ่ทุกครั้ง ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้ที่มาหรอก เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าฟอเรสเทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ล้าหลัง และประเพณีคือสิ่งที่บ่งบอกถึงการยึดติด เผ่าพันธุ์ไหนมีมากก็ถือว่าล้าหลังมาก” เซ็นแวนเดอร์อธิบาย “หากให้ข้าเดา ข้าคิดว่าเป็นเพราะผู้หญิงฟอเรสเทอร์หน้าตาสวย ผิวพรรณสวยกันเกินไป มันไม่สร้างความน่าเกรงขามต่อข้าศึก ฉะนั้นต้องแต่งแต้มให้ดูน่ากลัวขึ้นบ้าง”

            “บอกตรงๆ ข้าไม่เห็นว่าจะดูน่ากลัวตรงไหนเลย” กอร์รินไม่ปิดบัง

            “มันก็เป็นแค่ประเพณี” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า “ถึงอย่างไร ศัตรูของเราก็กลัวไม่เป็นอยู่แล้ว”

            ไมริฟกับซิวาลินเดินเข้ามาสมทบกับทั้งคู่ ซิวาลินสวมเกราะหนังสีเขียวใบไม้ทั้งตัวเช่นเดียวกับเซ็นแวนเดอร์ คาดขนนกประจำตำแหน่งบนศีรษะ แต่กลับไม่ถืออาวุธติดตัวมาแม้แต่ชิ้นเดียว ไมริฟสวมเกราะหนังรัดรูปลายเถาไม้มีเขี้ยว เปิดเผยเนื้อหนังบางส่วน มีกิ่งไม้ใบไม้ประดับตามชุดเกราะ กริชโลหะสองเล่มที่ได้จากโฟรเซ็นทิเนลคาดอยู่ที่สายสะพายหลัง ขอบกระโปรงหนังตัวสั้นมีลูกดอกพิษพกอยู่รอบ เธอแต้มสีที่หน้า เนินอก ต้นแขน และต้นขา

            “ท่านไม่พกอาวุธสักชิ้นเลยหรือ” กอร์รินถามซิวาลิน

            ซิวาลินแบมือให้ดู มีน้ำแข็งถ่ายเทออกมาจากมือเขา แล้วรวมตัวอย่างรวดเร็วเป็นมีดสั้น เขาขว้างมันลงพื้น มันปักพื้นดินอย่างแข็งแกร่ง ดูจะมีความคมมาก

            “ท่านมีเลือดพิเศษธาตุน้ำแข็ง” กอร์รินประทับใจ “ดูจะมีอาวุธที่ใช้ได้ไม่จำกัดด้วย”

            “หวังว่ามันจะเจาะผ่านเกราะหนาๆ ของพวกฟาร์ดาราสได้” ซิวาลินพูด

            “พยายามเล็งใส่หัวของมันหลายๆ เล่ม น่าจะพอฆ่าได้” กอร์รินแนะนำ

            “ระมัดระวังด้วยนะ” เซ็นแวนเดอร์เตือนซิวาลิน “ท่านกับไมริฟจะต้องนำกองกำลังไวเวิร์นบินขึ้นไปต่อสู้กับทัพอากาศศัตรู พวกนั้นร้ายกาจนัก แล้วยังมีจำนวนมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้”

            “แน่ล่ะ เราคงต้านทัพอากาศของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่นาน เรามีไวเวิร์นอยู่แค่ไม่กี่สิบตัว” ซิวาลินยอมรับ “แต่ถ้าฝ่ายเราไม่ต้านด้วยหน่วยรบทางอากาศเหมือนกัน เราก็จะยิ่งเสียเปรียบ”  

            “ข้าดูเป็นยังไงบ้าง” ไมริฟขยับรัดเกล้าขนนกที่ประดับใบไม้และกิ่งไม้ให้ตรง

            “เหมือนท่านสะดุดล้มไปกลิ้งกับถังสี” กอร์รินตอบ

            ทุกคนหัวเราะกันเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาที่ไม่ได้หัวเราะมานานแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธว่าศึกครั้งนี้มันหนักเกินตัว พวกเขาสิ้นหนทาง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งซึมอยู่เฉยๆ พวกเขาควรยืดอกเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกำลังใจทั้งหมดที่มีและเสียงหัวเราะเพียงน้อยนิดในช่วงเวลาอันมืดมนเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่มีความหมายเหลือเกิน

            อาร์ทูมิสเดินเข้ามาหาทุกคน เธอไม่ได้ทาสีตามตัวเพราะไม่ใช่นักรบ ยังสวมชุดประโปรงยาวและสวมรัดเกล้าหมอผีตามเดิม

            “ข้ากับหน่วยพยาบาลจะคอยดูแลพวกเจ้าทุกคน” เธอบอก

            “ท่านหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างไรบ้างครับ” เซ็นแวนเดอร์ถาม

            “อาการไม่ค่อยดี” อาร์ทูมิสถอนหายใจ “เมื่อเธอรู้ว่ากองทัพศัตรูมีจำนวนเป็นแสน สภาพจิตใจของเธอก็แย่ลง ข้าบอกไปแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้จิตใจของเธอมีผลต่อร่างกายมาก และเธอกำลังสิ้นหวัง”

            “ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอก” เซ็นแวนเดอร์มองไปรอบๆ นักรบฟอเรสเทอร์หลายคนดูกังวลและตื่นกลัว เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังให้ได้ยินอยู่ไกลๆ ศัตรูเริ่มเคลื่อนทัพแล้ว

            “รักษาตัวด้วยทุกคน” อาร์ทูมิสน้ำตาซึม กอดทุกคน กอดกอร์รินด้วย “พ่อหนุ่มน้อย เจ้าก็ด้วยนะ”

            แล้วเธอก็เดินจากไป เซ็นแวนเดอร์และคนอื่นๆ พยักหน้าให้กัน แล้วจึงแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งของตน ซิวาลินกับไมริฟไปสมทบกับพวกหน่วยรบอากาศด้านหลังกำแพงชั้นที่สอง เซ็นแวนเดอร์กับกอร์รินขึ้นไปประจำบนกำแพงชั้นแรก บนนั้นหน่วยรบระยะประชิดโฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิลบางส่วนยืนตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบปะปนกับพวกพลธนูฟอเรสเทอร์ ด้านหลังกำแพงชั้นแรกก็เต็มไปด้วยพลธนูฟอเรสเทอร์เช่นกัน ทุกคนพยายามทำใจให้สงบ เฝ้ารอการปรากฏตัวของกองทัพข้าศึกจำนวนหนึ่งแสน

            แล้วเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะก็ดังเข้ามาเรื่อยๆ  ใครที่ยืนอยู่บนพื้นดินจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน บริเวณชายป่านอกเมืองที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้น แสงตะเกียงจำนวนมากปรากฏให้เห็นในสายตา พวกเอลิลเคลื่อนทัพมาแล้ว เคลื่อนทัพออกมาจากช่องถนนที่ตัดผ่านป่าออกมาสู่ทุ่งหญ้า พร้อมด้วยอาวุธหนักและเครื่องกลสงคราม พวกนั้นมีจำนวนมหาศาล ปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไม่หมดไม่สิ้นเสียที มีทั้งทหารราบและทหารม้า ทัพอากาศยังไม่ปรากฏตัว แต่แน่นอนว่าต้องมี และมีเยอะด้วย พวกฟอเรสเทอร์เริ่มเสียขวัญ ทหารเอลิลทุกคนสวมเกราะหนามิดชิดทั้งตัว อาวุธมีครบ แต่ละคนก้าวเดินพร้อมกันราวกับเป็นคนเดียวกัน เคลื่อนพลออกมาจากถนนในป่าแล้วขยายแถวจัดขบวนในทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็วเป็นระเบียบ เรื่องการจัดขบวนอย่างพร้อมเพรียงและรวดเร็วนั้น พวกเอลิลเก่งที่สุดพอๆ กับพวกเฟลมฟอร์ส

            ภายในเวลาไม่นาน เอลิลทั้งกองทัพก็เข้ามาจัดขบวนในทุ่งหญ้าเบื้องหน้ากำแพงเรียบร้อย เป็นกองทัพที่ดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทหารทุกคนหยุดยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ทุกอย่างเงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่ ไม่น่าเชื่อว่ากองทัพจำนวนเป็นแสนจะเงียบและสงบนิ่งได้มากขนาดนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพคือเดลิลวาส เซ็ทซาร์ดผู้เป็นผู้บัญชาการรักษาการกองทัพเอลิล เขายืนนิ่ง จ้องมองกำแพงของฝ่ายตรงข้ามอย่างประเมินค่า ยามนี้เป็นเวลาเช้า แต่ก้อนเมฆที่แผ่ปกคลุมเมืองนั้นช่วยกรองแสงให้ดูเหมือนเป็นเวลากลางคืน มันจะช่วยให้พวกฟอเรสเทอร์มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เมฆพิเศษนี้จะยังคงอยู่ ตราบที่ต้นไม้สีครามสองต้นด้านหลังกำแพงชั้นแรกยังไม่ถูกโค่น ต้นไม้ทั้งสองคือแหล่งพลังงานของเมฆก้อนนี้

            เดลิลวาสยกแตรสงครามแห่งไอซ์เมสขึ้นมาแล้วเป่า ไอน้ำแข็งสีขาวพวยพุ่งออกจากปากแตร ก่อตัวเป็นกลุ่มควันสีขาวเล็กๆ บนท้องฟ้า เปลี่ยนสภาพเป็นหิมะบางๆ โปรยลงมา รอบตัวเขามีเกล็ดหิมะพัดหมุนรอบตัวเป็นวงกลม มันคือสัญญาณโจมตี กองทัพเอลิลที่ยืนนิ่งเริ่มขยับเคลื่อนทัพ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงโดยมีเดลิลวาสเดินนำอยู่ข้างหน้า ศึกครั้งนี้เขาได้รับอนุญาตให้รบอยู่แนวหน้าได้ และเขาก็จะทำอย่างที่บรรดานายทัพเฟลมฟอร์สทำ นั่นคือนำหน้ากองทัพเข้าไปต่อสู้อย่างมีเกียรติ

            “ข้าศึกเคลื่อนไหวแล้ว เตรียมพร้อมสู้ศึก” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ หยิบลูกธนูออกมาถือไว้ดอกหนึ่ง

            ฟอเรสเทอร์ที่มีหน้าที่ส่งสัญญาณนั้นรัวกลองลั่น พลธนูฟอเรสเทอร์ทุกคนบนกำแพงหยิบธนูออกมาถือเตรียมคนละดอก สัญญาณกลองคืออีกสิ่งที่พวกชาวป่าใช้สื่อสารกันได้ดี

            “ข้าศึกไม่เร่งบุกเข้ามา” กอร์รินประเมินฝ่ายตรงข้าม “คงประเมินได้ว่าอาวุธหนักของเรามีรัศมีทำลายไม่กว้าง จึงเน้นรักษารูปขบวนให้หนาแน่น ไม่กระจายกลุ่มกัน จัดขบวนสำหรับรับมือกับธนูโดยเฉพาะ”

            “กำแพงติดล้อ ขึ้นหน้า” เดลิลวาสสั่ง

            กำแพงติดล้อทั้งหมดถูกเข็นขึ้นมาอยู่แนวหน้า ตั้งเป็นสองแถวหน้ากระดาน มีจำนวนมากทีเดียว กำแพงติดล้อคือสิ่งที่ใช้สำหรับป้องกันธนู พวกเอลิลเตรียมตัวมาสำหรับรับมือกับธนูโดยเฉพาะ เดลิลวาสเข้าไปเข็นกำแพงติดล้อร่วมกับพวกทหารเอลิลแถวหน้าสุด รักษาขบวนแถวให้พร้อมเพรียงกัน

            “ข้าศึกเข้ามาในระยะ” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ “เครื่องโยนหิน ยิง”

            เครื่องโยนหินด้านหลังกำแพงส่งก้อนหินใหญ่ลอยข้ามกำแพงออกไป มันตกใส่กองทัพเอลิลแนวหน้าแล้วกลิ้งชนบดขยี้ พวกเอลิลพยายามหลบหลีกโดยที่ยังรักษาขบวนแถวไว้ หลบพ้นบ้างไม่พ้นบ้าง เดลิลวาสตีลังกาหลบไปอยู่ข้างหลังกำแพงติดล้อตัวข้างๆ เมื่อกำแพงติดล้อของตนและพวกทหารเอลิลที่เข็นกำแพงถูกหินตกลงมาบดขยี้เป็นชิ้นๆ  กำแพงติดล้อหลายตัวพังยับ แต่เนื่องด้วยพวกเอลิลนำมามากมายจึงเปลี่ยนตำแหน่งมาเติมแถวให้กันได้เรื่อยๆ  การยิงอาวุธหนักระลอกแรกของพวกฟอเรสเทอร์ดูจะสร้างความเสียหายไม่มากเท่าที่ควร ถึงอย่างไรกระสุนก็เป็นแค่หินก้อนใหญ่ๆ ไม่ใช่วัตถุระเบิด รัศมีทำลายจึงค่อนข้างแคบ ไม่ยากนักที่จะหลบหลีก

            “ขบวนแถวของข้าศึกแทบไม่กระเทือนเลย” กอร์รินบอก “กำแพงติดล้อก็มีมากมาย ถ้าปล่อยให้นำเข้ามาประจำตำแหน่งได้มากๆ ข้าศึกจะมีแนวกำบังในการยิงต่อสู้กับเรามากขึ้น เครื่องโยนหินของพวกท่านยังสกัดทำลายกำแพงติดล้อได้ไม่เพียงพอ”  

            “เครื่องโยนหินมันก็ทำได้แค่นี้ แล้วมันก็มีอยู่แค่ไม่กี่เครื่อง ยิ่งเป้าหมายเคลื่อนที่ตรงเข้ามาตลอดเวลายิ่งคำนวณจุดตกยาก” เซ็นแวนเดอร์พูด “อย่างที่เคยบอกไป ฟอเรสเทอร์ไม่ได้มีประสิทธิภาพเรื่องการใช้เครื่องกล”

            “ให้เครื่องโยนหินหยุดยิง แล้วถอยหลังไปห้าสิบเมตร” กอร์รินแนะนำ

            “นั่นจะทำให้ระยะยิงของมันลดลงห้าสิบเมตรนะ” เซ็นแวนเดอร์ไม่อยากเชื่อ “เราควรจะให้มันยิงได้ไกลๆ ไม่ใช่หรือ”

            “สถานการณ์ตอนนี้ยิงไกลไปก็เท่านั้น ในเมื่อยิงแต่ละครั้งก็กำจัดศัตรูได้ทีละน้อย” กอร์รินว่า “เน้นให้มันยิงถูกส่วนสำคัญจะดีกว่า”

            “ก็ได้” เซ็นแวนเดอร์ยอมตาม “เครื่องโยนหินถอยหลังไปห้าสิบเมตร รอคำสั่งยิงใหม่จากข้า”

            พวกฟอเรสเทอร์ที่ประจำอยู่ตามเครื่องโยนหินต่างข้องใจ แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง เข็นเครื่องโยนหินแต่ละเครื่องถอยหลังไป

            “ข้าศึกกำลังจะเข้ามาในระยะธนู” เซ็นแวนเดอร์ขึ้นสายธนูเล็งไปข้างหน้า “พลธนูขึ้นสาย รอคำสั่งยิงจากข้า”

            บรรดาพลธนูฟอเรสเทอร์บนกำแพงขึ้นสายเล็งไปข้างหน้า พวกพลธนูหลังกำแพงก็ขึ้นสายเล็งเฉียงขึ้นฟ้า เตรียมยิงให้โค้งข้ามกำแพง

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์ โปรดรออีกสักนิด อย่าเพิ่งยิง” กอร์รินออกความเห็น

            “ถ้าไม่รีบยิง ข้าศึกแนวหน้าจะบุกเข้ามาได้เร็วขึ้นเพราะไม่มีอะไรสกัด” เซ็นแวนเดอร์ขมวดคิ้ว

            “แนวหน้าของข้าศึกมีกำแพงติดล้อขวางอยู่ ยิงไปก็ถูกกำบังได้ส่วนใหญ่” กอร์รินอธิบาย “เราจะทำได้แค่ชะลอให้ข้าเคลื่อนทัพช้าลงเล็กน้อย ซึ่งก็แทบไม่มีประโยชน์เลย”

            “เจ้าจะเสนออะไร”

            “ให้พลธนูหลังกำแพงอยู่เฉยไว้ก่อน” กอร์รินชี้แจง “ส่วนพลธนูบนกำแพงให้รอข้าศึกเข้ามาใกล้กว่านี้ แล้วยิงข้ามพวกข้าศึกแนวหน้าไปยังส่วนที่ไม่มีกำแพงติดล้อกำบัง เราจะยิงถูกเป้าหมายมากกว่า”

            “แล้วพวกแนวหน้าที่เข็นกำแพงเข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรสกัดล่ะ” เซ็นแวนเดอร์ท้วง “พวกนั้นไม่เข็นกำแพงมาประจำตำแหน่ง แล้วยิงตอบโต้เราได้อย่างสะดวกหรือ”

            “ข้ามีวิธีจัดการกับพวกนั้น โปรดเชื่อใจข้า” กอร์รินขอร้อง “จริงอยู่ ข้าเคยล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง ไม่เหมาะที่จะเชื่อใจ แต่โปรดให้โอกาสข้าครั้งนี้อีกสักครั้ง”

            “พลธนูหลังกำแพงเฉยไว้ก่อน” เซ็นแวนเดอร์หันไปสั่ง ยอมเชื่อใจกอร์ริน “พลธนูบนกำแพง เล็งให้สูง เป้าหมายคือแนวหน้าข้าศึกส่วนท้าย รอคำสั่งยิงจากข้า”

            คราวนี้ทุกคนข้องใจกันมากกว่าเดิม แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง เซ็นแวนเดอร์และพวกพลธนูบนกำแพงเล็งธนูเฉียงขึ้นสี่สิบห้าองศา รอให้ข้าศึกเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

            “ได้ระยะแล้ว” เซ็นแวนเดอร์ปล่อยศรดอกแรกออกไป “พลธนูบนกำแพง ยิง”

            ลูกธนูจำนวนมากถูกปล่อยออกไปในมุมสูง มันลอยข้ามแนวกำแพงติดล้อไปตกใส่พวกเอลิลที่อยู่บริเวณส่วนท้ายของแนวหน้า ส่วนที่ไม่มีกำแพงติดล้อกำบัง หลายคนล้มลงไปตาย บ้างก็ยกโล่กำบังไว้ได้ ส่วนพวกที่อยู่แนวหน้าก็เข็นกำแพงติดล้อใกล้เข้าไปได้เรื่อยๆ ในจังหวะที่สม่ำเสมอ ยิงสกัดแนวหลังแต่ไม่สกัดแนวหน้าแบบนี้ พวกฟอเรสเทอร์จะถูกโต้ตอบโดยไวแน่      

            “หวังว่าเจ้าคงรู้ตัวนะว่ากำลังทำอะไรอยู่” เซ็นแวนเดอร์หันไปหากอร์ริน

            แนวหน้าของกองทัพเอลิลเข็นกำแพงติดล้อเข้ามาจนได้ระยะที่เหมาะสม ช่องหน้าต่างกำแพงเปิดออกแล้วปืนยาวหลายกระบอกก็พาดเล็งผ่านช่องยิงสวนกลับทันที ฟอเรสเทอร์หลายคนถูกยิงตายตกกำแพง กอร์รินกับเซ็นแวนเดอร์ต้องย่อตัวหลบ ในเมื่อไม่มีอะไรคอยยิงสกัดแต่แรก แนวหน้าของพวกเอลิลก็เข้ามาจัดขบวนยิงตอบโต้ได้อย่างง่ายดายแม้ว่าส่วนที่อยู่ด้านหลังแนวกำแพงติดล้อจะถูกระดมยิงเสียรูปแถวไปบ้าง เดลิลวาสขยับออกมาจากด้านหลังกำแพงติดล้อแล้วขว้างลูกไฟขึ้นไปบนกำแพง มันกระจายไฟเผาพลธนูฟอเรสเทอร์ตายไปกลุ่มใหญ่

            “ข้าศึกเข้ามาในระยะยิงตอบโต้เร็วเกินไป เราเสียโอกาสเรื่องการยิงสกัดไปแล้ว” เซ็นแวนเดอร์ลุกขึ้นยืนตรง ยิงธนูลอดช่องหน้าต่างกำแพงติดล้อแคบๆ ไปปักหน้าผากพลปืนเอลิล ความแม่นยำของเขายังคงเหมือนเดิม พลธนูคนอื่นๆ บนกำแพงเริ่มเปลี่ยนมายิงต่อสู้กับพลปืนเอลิลข้างหลังกำแพงติดล้อเหมือนกัน แต่ความแม่นยำก็ไม่เท่าเซ็นแวนเดอร์ ลูกธนูมากมายถูกขวางโดยกำแพงติดล้อ

            “โปรดรอให้ข้าศึกนำกำแพงติดล้อมาประจำตำแหน่งให้หมด” กอร์รินยืนกราน “อย่ายิงโต้ตอบกับพวกแถวแรกๆ พวกนั้นมีกำแพงติดล้อกำบัง กลับไปยิงใส่แนวหลังเหมือนเดิม”

            “เจ้าก็เห็นอยู่นี่ว่าเมื่อเราไม่ยิงต่อสู้กับพวกแนวหน้า พวกนั้นก็เล็งยิงใส่เราได้อย่างสะดวก” เซ็นแวนเดอร์กัดฟันขณะยิงธนู เขาขึ้นสายธนูดอกใหม่เร็วมากและใช้เวลาเล็งเพียงนิดเดียวเท่านั้น “มีประโยชน์อะไรที่จะยิงใส่ข้าศึกที่อยู่ไกล ในเมื่อข้าศึกที่อยู่ใกล้กำลังยิงใส่เราอยู่”

            “โปรดอดทนอีกนิด” กอร์รินขอร้อง “หากมันแย่กว่าที่คาดไว้ ข้ายินดีให้ท่านประหารชีวิต ยิงข้าด้วยธนูของท่านได้เลย”

            พวกฟอเรสเทอร์จึงทนรอให้แนวกำแพงติดล้อของข้าศึกเข้ามาจัดแถวกันอย่างสมบูรณ์ คอยหลบหลีกกระสุนที่พวกข้าศึกแนวหน้ายิงมา แล้วโปรยธนูใส่ข้าศึกที่อยู่ด้านหลังแนวกำแพงติดล้อ พลธนูฟอเรสเทอร์ที่ถูกยิงตายนั้นจะมีพวกที่อยู่ด้านหลังคอยขึ้นมาแทนที่เรื่อยๆ ในตอนนี้แม้ศัตรูจะเข้ามายิงโต้ตอบได้เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่ด้วยความสามารถในการยิงธนูของพวกเขาทำให้สถานการณ์ไม่ลำบากนัก ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังอยู่ที่สูงกว่า ยังต่อสู้ในรูปแบบที่ค่อนข้างถนัด ยิงต่อสู้กันแบบนี้พวกฟอเรสเทอร์ไม่เป็นรองใคร

            “กำแพงติดล้อเข้ามาประจำตำแหน่งทั้งหมดแล้ว ข้าศึกมีแนวกำบังอย่างสมบูรณ์” เซ็นแวนเดอร์พูด “มันทำให้เรายิงใส่ลำบากขึ้นมาก”

            “ตอนนี้ล่ะเซ็นแวนเดอร์ ให้เครื่องโยนหินยิงได้” กอร์รินพยักหน้า

            “เครื่องโยนหิน” เซ็นแวนเดอร์ตะโกน “ยิง”

            เครื่องโยนหินทุกเครื่องส่งก้อนหินใหญ่ข้ามกำแพงไปอีกครั้ง ครั้งนี้จุดตกของมันสั้นลงห้าสิบเมตรเพราะถอยหลังจากตำแหน่งเดิมห้าสิบเมตร ซึ่งก็ตรงกับตำแหน่งแนวกำแพงติดล้อของพวกเอลิลพอดี กำแพงติดล้อหลายตัวพังยับ ทหารเอลิลที่ประจำอยู่หลังกำแพงติดล้อก็กระจัดกระจายถูกบดขยี้ไปตามๆ กัน เดลิลวาสต้องย้ายตำแหน่งเป็นครั้งที่สองเมื่อหินก้อนใหญ่พุ่งลงมาพังกำแพงติดล้อของเขา ขบวนแนวกำแพงติดล้อเกิดช่องเว้าแหว่งจากการโยนหินใส่ครั้งนี้ กลายเป็นว่าแนวกำบังของพวกเอลิลแนวหน้าเกิดช่องโหว่มากมาย

            “ตอนนี้ล่ะ พลธนู” เซ็นแวนเดอร์รีบขึ้นสายธนู “ระดมยิง”

            กองทัพพลธนูที่อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นแรกนั้น โปรยลูกธนูโค้งข้ามกำแพงเป็นห่าฝน เนื่องจากแนวกำแพงติดล้อถูกทำให้เกิดช่องเว้าแหว่งด้วยเครื่องโยนหิน พวกเอลิลแนวหน้าจึงมีที่กำบังน้อยลงและรับฝนธนูล้มตายกันระนาว พวกฟอเรสเทอร์ระดมยิงไม่หยุด เซ็นแวนเดอร์ถึงกับยิงทีละสองสามดอก บางดอกก็ใช้ความสามารถพิเศษให้มันแตกกระจายเป็นธนูไฟเกือบยี่สิบดอก เมื่อฝ่ายตรงข้ามกำลังเสียทีจะต้องถือโอกาสโจมตีให้หนักที่สุด แนวหน้าของพวกเอลิลถูกกระหน่ำจนแตกขบวนไม่เป็นท่า พวกที่ตามมาข้างหลังจะขึ้นมาเสริมก็ขาดตอนไม่เป็นระบบ เพราะก่อนหน้านี้ส่วนท้ายของแนวหน้าก็ถูกยิงจนเสียรูปขบวนหมดแล้ว จากที่พวกเอลิลถูกยิงสกัดตายน้อยกว่าที่คาด ตอนนี้ตายกันเกลื่อนกลาดโดยมีลูกธนูปักอยู่ที่ศพ

            “เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ น้องชาย” เซ็นแวนเดอร์หันไปตบหลังกอร์รินแล้วเหนี่ยวสายธนู “โยนหินใส่กำแพงติดล้อที่หยุดนิ่งอยู่รวมกัน มันเล็งง่ายกว่าตอนที่พวกมันเคลื่อนที่อยู่ พังแนวกำบังด้วยหินแล้วยิงใส่ด้วยธนู ฉลาดจริงๆ ขอโทษที่คลางแคลงใจก่อนหน้านี้ เทอร์รินพูดไว้ไม่ผิด เจ้ามีความสามารถสูงมาก”

            กอร์รินยิ้มตอบ ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพเต็มที่เสียที แทบไม่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญเลย ในตอนนี้ทุกคนเชื่อใจเขา ให้โอกาสนี้แก่เขา เขาจึงได้มีโอกาสแสดงศักยภาพอันเก่งกาจของตนออกมาให้เห็น

            เดลิลวาสหลบอยู่หลังกำแพงติดล้อที่ยังไม่พัง พยายามสั่งการให้กองทัพเอลิลด้านหลังรักษาขบวนและเดินหน้าต่อ ทหารเอลิลบางกลุ่มต่อโล่กันเป็นกระดองเต่าและเคลื่อนพลเข้ามาเพื่อกำบังลูกธนู ถูกธนูยิงผ่านช่องรอยต่อโล่ตายกันไปบ้าง ถึงอย่างไรมันก็กำบังได้ไม่แน่นหนาเท่ากำแพงติดล้อ พวกพลปืนยาวเอลิลพยายามยิงตอบโต้ โดยให้พวกที่มีโล่ยืนเป็นแนวกำบังให้ แต่การยิงต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ที่ยิงธนูเก่งที่สุดนั้นเป็นเรื่องลำบาก พวกฟอเรสเทอร์เล็งแม่น ยิงไว และยิงได้ไกล อีกทั้งยังอยู่ตำแหน่งที่ได้เปรียบ พวกนั้นอาจถูกปืนยิงโต้ตอบตายไปบ้าง แต่พวกเอลิลจำนวนมากถูกธนูยิงล้มตายเป็นเบือ

            แล้วอาวุธหนักของพวกเอลิลก็ถูกนำเข้ามาจนได้ระยะ ฐานยิงจรวดแต่ละเครื่องถูกจุดชนวนและส่งจรวดออกไป มันพุ่งเข้าระเบิดใส่บนกำแพง พุ่งข้ามกำแพงไประเบิดใส่กองทัพฟอเรสเทอร์ด้านหลังกำแพง พวกนักรบชาวป่ากระเด็นกระดอนตายไปตามๆ กัน ขบวนแถวบนกำแพงเริ่มเสียรูป จังหวะยิงธนูเริ่มไม่สม่ำเสมอ เซ็นแวนเดอร์กับกอร์รินต้องก้มตัวหลบเปลวไฟและรัศมีระเบิด นักรบฟอเรสเทอร์สองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ถูกไฟเผาลุกท่วมตัวตาย

            “อาวุธหนักของศัตรูเหนือกว่าเรามาก” เซ็นแวนเดอร์กัดฟันพูด “มันกำลังทำให้เราเสียรูปขบวน”

            เดลิลวาสยกแตรสงครามแห่งไอซ์เมสจ่อปาก เป่าส่งสัญญาณอีกครั้ง บางอย่างจำนวนมากมายปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า พวกมันกระพือปีกโปร่งใสตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง แต่ละตัวสวมเกราะหนาสีเงินเป็นเงาวับทั่วร่าง

            “ข้าศึกส่งทัพอากาศมาแล้ว” กอร์รินเครียดหนักขึ้น

            “ส่งหน่วยรบทางอากาศของฝ่ายเราเข้าสกัด” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ “พลธนูเตรียมพร้อมรับมือกับพวกฟาร์ดาราส พยายามเล็งที่หัวกับซอกคอใต้คาง”

            สัญญาณกลองรัวสนั่น แล้วซิวาลิน ไมริฟ และพลธนูฟอเรสเทอร์จำนวนหนึ่งก็ขี่ไวเวิร์นบินจากด้านหลังกำแพงชั้นที่สองขึ้นสู่ฟ้า ข้ามกำแพงชั้นแรกตรงเข้าหาพวกฟาร์ดาราสที่กำลังตรงเข้ามา พวกเขามีไวเวิร์นอยู่ไม่ถึงสามสิบตัว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีฟาร์ดาราสไม่รู้กี่ร้อยตัวกี่พันตัว แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต้องสู้ด้วยสิ่งที่พอจะมี

            ซิวาลินระดมร่อนใบมีดน้ำแข็งหลายเล่มปักเข้ากลางหน้าผากหมวกเกราะของฟาร์ดาราสตัวแรกร่วงตกลงไปตาย เขาขว้างได้เร็วและแม่นมาก พวกฟอเรสเทอร์ที่ขี่ไวเวิร์นก็ยิงธนูเข้าโจมตีพวกฟาร์ดาราส ยิงเสียบที่หัวที่ซอกคอฆ่าได้บ้าง ยิงติดเกราะส่วนที่หนาบ้าง อีกฝ่ายบินหลบได้บ้าง ส่วนพวกฟาร์ดาราสก็พ่นน้ำแข็งสอยพวกเขาลงไปได้บ้าง โฉบสังหารตายทั้งคนทั้งไวเวิร์นบ้าง ไมริฟแม้จะใช้กริชเป็นอาวุธแต่ก็ต่อสู้ได้ดี เธอคอยบังคับพาหนะบินขึ้นสูง อาศัยทักษะในการปีนป่ายคอยกระโดดไปเกาะหลังฟาร์ดาราสแต่ละตัวแล้วแทงกริชใส่หัวหรือคอของมัน ก่อนจะกระโดดกลับไปขี่ไวเวิร์นของตนที่บินมารอรับพอดี บางจังหวะก็ใช้ความสามารถพิเศษสาดกรดสีเขียวใส่พวกฟาร์ดาราส เล็งตามหัวและคอ ข้อดีของกรดคือเป็นของเหลว แม้ศัตรูจะสวมเกราะหนาแค่ไหนมันก็มีช่องให้ไหลผ่านได้ เป็นกรดที่ไม่มีผลต่อเกราะเหล็ก แต่มันกัดกร่อนเนื้อหนังและกระดูกรุนแรงมาก ฟาร์ดาราสแต่ละตัวที่ถูกสาดกรดต่างร่วงตกลงไปตายในสภาพเกราะยังสมบูรณ์ แต่หัวที่อยู่ใต้เกราะละลายไปบางส่วน

            นักรบขี่ไวเวิร์นเพียงหยิบมือเดียวไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกฟาร์ดาราส พวกฟอเรสเทอร์บนกำแพงและด้านหลังกำแพงต่างหากที่พวกมันเน้นโจมตีใส่ กรงเล็บเหล็กและน้ำแข็งแห้งเคลือบฟรีออนคอยพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างหนักหน่วง พวกฟอเรสเทอร์พยายามยิงธนูต่อสู้ แต่อีกฝ่ายก็สวมเกราะหนาและบินไปบินมา จะเล็งให้เข้าหัว ซอกคอ หรือตามช่องเกราะก็ยาก พลธนูส่วนหนึ่งบนกำแพงก็ต้องยิงต่อสู้กับพลปืนเอลิลข้างหน้ากำแพง จรวดก็คอยพุ่งเข้ามาเป็นระยะๆ สลายกลุ่มพวกฟอเรสเทอร์ไม่ให้จัดขบวนกันได้สะดวก ทัพอากาศเป็นหน่วยรบที่ต่อกรด้วยยาก พวกฟอเรสเทอร์เริ่มเป็นฝ่ายตายกันเยอะบ้าง

            เมื่อพวกเอลิลเห็นว่าขบวนแถวฟอเรสเทอร์บนกำแพงเสียหายเพียงพอแล้ว พวกฟาร์ดาราสก็โจมตีใส่บนกำแพงเบาลง ไปเน้นกระหน่ำโจมตีพวกที่อยู่ด้านหลังกำแพงแทน ฐานยิงจรวดก็เลิกยิงใส่บนกำแพง ปรับระยะให้ยิงข้ามกำแพงไปแทน การทำเช่นนี้หมายถึงพวกเอลิลเตรียมตัวที่จะลำเลียงพลขึ้นไปบนกำแพง เดลิลวาสเป่าแตรน้ำแข็งส่งสัญญาณ บันไดยาวจำนวนมากวางพาดกับกำแพง แล้วพวกเอลิลก็เริ่มไต่ขึ้นไป

            ทหารเอลิลที่ปีนอยู่คนแรกของบันไดแต่ละตัวนั้น ประกอบดาบกับฝักดาบที่คาดอยู่กับเข็มขัดเป็นง้าว เอาปลายง้าวเสียบเข้าที่ช่องริมซ้ายด้านหลังโล่ กลายเป็นท่ายกโล่กำบังเหนือศีรษะในมุมสี่สิบห้าองศา โดยมีง้าวที่เข็มขัดช่วยค้ำยันการถือ มันทำให้พวกเขาสามารถยกโล่กำบังขณะไต่บันไดได้ และกำบังให้พวกที่ไต่ตามมาด้วย กลยุทธ์นี้เคยใช้กับกำแพงโอมิลรอนมาแล้วและก็ได้ผลดี พวกฟอเรสเทอร์ยิงสกัดก็ติดโล่เสียส่วนใหญ่ ทิ้งก้อนหินใส่ก็ติดโล่เหมือนกัน มีไม่กี่คนที่จะพลาดถูกยิงตกลงไป เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ หากสกัดตอนที่กำลังปีนบันไดอยู่ไม่ได้ พวกเอลิลจะบุกขึ้นมาบนกำแพงได้มากมาย

            “เราสกัดข้าศึกได้น้อยเกินไป” กอร์รินก้มหลบกระสุนนัดหนึ่ง “เราควรทำอะไรสักอย่าง”

            “ใช้กลยุทธ์สลับเป้าหมาย” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ กลองสัญญาณตีรัวตามคำสั่ง

            พวกพลธนูฟอเรสเทอร์บนกำแพงเลิกยิงใส่ข้าศึกที่ปีนบันไดอยู่ข้างหน้าตน เพราะข้าศึกถือโล่กำบังอยู่ พวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายหันไปยิงใส่ข้าศึกที่ปีนบันไดตัวอื่นๆ อยู่ไกลๆ ทางซ้ายและทางขวาแทน พวกเอลิลยกโล่กำบังเหนือศีรษะอยู่ข้างหน้า แต่ไม่มีอะไรป้องกันด้านข้าง จึงถูกธนูสอยร่วงกราวตกจากบันไดไป พวกฟอเรสเทอร์อาจล้าหลัง แต่เรื่องยิงธนูนั้นพวกเขาเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ  แม้มุมยิงจำกัดและเป้าหมายอยู่ห่างไกล พวกเขาก็ยังยิงเข้าเป้ากันแทบทุกคน ครั้งนี้พวกเอลิลไต่บันไดลำบาก กลยุทธ์ยกโล่กำบังขณะปีนบันไดดูจะใช้ไม่ค่อยได้ผลกับพวกฟอเรสเทอร์ ส่งคนขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ถูกยิงจากด้านข้างร่วงตกลงมาเรื่อยๆ  การลำเลียงพลขึ้นไปบนกำแพงจึงถูกชะลอลงมาก     

            “ใครที่คิดว่าฟอเรสเทอร์จะพิชิตง่ายๆ ต้องคิดใหม่เสียแล้ว” กอร์รินพูดอย่างคึกคะนอง

            “ข้าศึกมีจำนวนมาก” เซ็นแวนเดอร์ยิงธนูสามดอกสอยทหารเอลิลสามคนร่วงตกบันไดพร้อมกัน “จะสกัดไว้ยังไง สุดท้ายก็คงบุกขึ้นมาได้อยู่ดี”

            “ดังนั้น เราต้องอาศัยช่วงที่กำลังได้เปรียบนี้โจมตีให้หนัก ลดจำนวนฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด” กอร์รินพูด

            แล้วเขาก็ตั้งสมาธิขว้างขวานออกไป มันลอยหมุนติดไฟไปตัดเฉือนพวกเอลิลที่ปีนบันไดอยู่ร่วงลงไปตามๆ กัน อำนาจการตัดของมันดูจะเพิ่มจากเดิมมาก จากนั้นก็ใช้สายตาบังคับให้มันบินไปปาดคอฟาร์ดาราสสองตัว แล้วให้มันบินกลับมาเข้ามือ

            แม้พวกเอลิลจะถูกสกัดตกลงไปตายกันมากมาย แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ยังไต่บันไดขึ้นมาได้เรื่อยๆ  เดลิลวาสปีนอยู่บนบันไดยาวตัวหนึ่ง มือสองข้างถือดาบสองเล่มคอยปัดป้องลูกธนูที่พุ่งมาหาและปีนต่อไป เกราะหนาๆ หนักๆ ดูจะไม่ถ่วงการปีนเลยสักนิด อีกทั้งมันก็แข็งแกร่งเสียจนธนูเจาะไม่เข้า พวกฟอเรสเทอร์ทิ้งหินใส่ เขาก็ใช้ด้ามดาบผลักมันให้เบี่ยงตกไปข้างๆ  ยิงธนูใส่ก็ติดชุดเกราะยิงไม่เข้า ครั้นเล็งให้เข้าหัวหรือส่วนที่เกราะบางก็หลบหลีกได้อีก เขาใกล้จะไต่ขึ้นไปถึงยอดกำแพงอยู่แล้ว

            เซ็นแวนเดอร์ที่อยู่ห่างออกไปทางขวานั้นง้างธนูยิงใส่เต็มเหนี่ยว เดลิลวาสใช้ดาบเล่มขวาปัดป้องออกไปได้ขณะปีน เซ็นแวนเดอร์จึงยิงใส่อีกพร้อมกันสองดอก เดลิลวาสก็ปัดป้องออกไปได้อีกทั้งสองดอก คราวนี้จึงยิงใส่พร้อมกันสามดอก เดลิลวาสปัดป้องได้สองดอกและหลบได้อีกหนึ่งดอก

            “เขากำลังจะขึ้นมาถึงอยู่แล้ว” เซ็นแวนเดอร์ร้อง “หยุดเขาที”

            กอร์รินตั้งสมาธิขว้างขวานออกไป มันลอยหมุนติดไฟแล้วโค้งโคจรเข้าหาเดลิลวาส แล้วในวินาทีที่มันเกือบจะเข้าถึงตัวเดลิลวาสนั้น เซ็ทซาร์ดก็กระโดดหันหลังออกจากบันไดหลบมันไป ซึ่งจังหวะนั้น ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งบินผ่านมามาพอดี เดลิลวาสเหยียบที่หลังฟาร์ดาราสตัวนั้นแล้วถีบตัวตีลังกากลับหลังขึ้นไปบนกำแพงอย่างสวยงาม ดาบในมือทั้งสองฟันแทงพวกฟอเรสเทอร์ล้มลงไปตายกันอย่างรวดเร็ว บางครั้งแกว่งดาบทีเดียวก็ฆ่าได้หลายคน เป็นอย่างที่กลัวไม่ผิด พวกฟอเรสเทอร์ส่วนใหญ่มีแต่พลธนู เมื่อถูกนักรบระยะประชิดของศัตรูเข้าถึงตัวจะตายกันเป็นเบือ การที่เดลิลวาสขึ้นมาบนกำแพงทำให้พวกฟอเรสเทอร์บริเวณนั้นต้องต่อสู้กับเขา ไม่สามารถยิงสกัดพวกเอลิลที่ปีนบันไดอยู่ได้ ดังนั้นพวกทหารเอลิลจึงเริ่มขึ้นมาสมทบกับเดลิลวาสได้หลายคน สร้างความวุ่นวายให้แก่ขบวนแถวฟอเรสเทอร์บนกำแพงไม่น้อย

            ทั้งความวุ่นวายที่พื้นที่ส่วนหนึ่งบนกำแพงถูกข้าศึกบุกขึ้นมา ประกอบกับที่พวกฟาร์ดาราสคอยโจมตีก่อกวนกองกำลังบนกำแพง พลปืนเอลิลหน้ากำแพงก็คอยยิงใส่ ส่งผลให้พวกฟอเรสเทอร์สกัดข้าศึกลำบาก พวกเอลิลเริ่มปีนบันไดขึ้นมาได้อีกหลายจุด ทันทีที่ขึ้นมาได้ก็เข้าต่อสู้ด้วยดาบกับโล่ทันที

            “พลธนูถอยหลัง” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ

            “หน่วยรบระยะประชิด ขึ้นหน้า” กอร์รินสั่งการ

            เซ็นแวนเดอร์และพวกพลธนูฟอเรสเทอร์บนกำแพงขยับถอยหลังไป กอร์รินและกองกำลังโฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิลบุกเข้าหาพวกเอลิลที่ไต่บันไดขึ้นมา ต่อสู้แบบประชิดตัว พวกพลธนูฟอเรสเทอร์ยังคอยยิงสนับสนุนอยู่ข้างหลัง รวมทั้งพวกที่อยู่ด้านหลังกำแพงด้วย ต้องชมในความแม่นยำเรื่องธนูของพวกฟอเรสเทอร์ สถานการณ์ต่อสู้แบบประจัญบานเช่นนี้ยังไม่พลาดถูกฝ่ายเดียวกัน แม้จะใช้เวลาเล็งนานขึ้นก็ตาม กอร์รินฟันขวานตัดหัวทหารเอลิลคนหนึ่ง หลบดาบแล้วกระแทกทหารเอลิลอีกคนด้วยด้ามขวานกระเด็นตกกำแพงไป กวาดขวานเป็นวงกว้างปาดคอทหารเอลิลสองคนพร้อมกัน ทหารเอลิลคนหนึ่งแทงง้าวใส่ เขาก็ตวัดขวานเบี่ยงออกไป แล้วเหวี่ยงสนับแขนติดหนามเหล็กแทงเข้าซอกคออีกฝ่าย จากนั้นก็ยกขวานแทงข้ามไหล่ไปข้างหลัง ปลายขวานส่วนบนเสียบทะลุหมวกเกราะของทหารเอลิลที่กำลังจะบุกเข้ามา ใบขวานมีลักษณะใกล้เคียงกับดาบจึงสามารถใช้แทงได้

            เมื่อพวกเอลิลเริ่มขึ้นมาบนกำแพงกันได้มากขึ้น พวกฟาร์ดาราสก็หยุดโจมตีใส่กำแพงเพื่อไม่ให้ถูกฝ่ายเดียวกัน เปลี่ยนไปโจมตีกองกำลังฟอเรสเทอร์ด้านหลังกำแพงเต็มกำลัง ซึ่งพวกพลธนูฟอเรสเทอร์ก็พยายามยิงต่อสู้เท่าที่จะทำได้ แต่อีกฝ่ายก็บินไปบินมาและสวมเกราะหนา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยิงให้ถูกจุดสำคัญ บางครั้งก็ต้องยิงให้เข้าจุดสำคัญหลายดอกกว่าจะฆ่าได้ สัตว์ปีกขนาดใหญ่มักมีความทนทานสูง เครื่องโยนหินของพวกเขาถูกพวกฟาร์ดาราสพังไปเกือบหมดแล้ว จรวดของพวกเอลิลก็ยิงข้ามกำแพงมาเป็นระยะ แต่ละครั้งก็เอาชีวิตพวกเขาไปไม่น้อย ที่ทำได้ก็คือโปรยธนูข้ามกำแพงสวนกลับไป มันก็เอาชีวิตพวกเอลิลไปได้ไม่น้อยเช่นกัน แต่ลูกธนูนั้นยังพอใช้โล่ป้องกันหรือหลบหลีกได้ จรวดระเบิดมันป้องกันไม่ได้และหลบหลีกยากกว่า พวกฟอเรสเทอร์ด้านหลังกำแพงต้องยืนกระจายกันเพื่อลดโอกาสการถูกระเบิดเป็นหมู่และเพื่อง่ายต่อการหลบหลีกมากขึ้น

            พวกเอลิลก็เหมือนกับพวกฟอเรสเทอร์ เมื่อฝ่ายตรงข้ามเสียทีก็ต้องถือโอกาสบุกใส่เต็มที่ เดลิลวาสโบกดาบส่งสัญญาณไปยังกองทัพเอลิลหน้ากำแพง พวกทหารเอลิลเข็นเครื่องกลโลหะเครื่องหนึ่งตรงเข้ามาหาประตูกำแพง ดูคล้ายเสากระทุ้ง แต่มีลักษณะแหลมเป็นเกลียวคมๆ คล้ายสว่านขนาดยักษ์ ที่แปลกก็คือมันเป็นเสากระทุ้งที่ไม่มีคานแขวนเสา เมื่อไม่มีคานแขวนเสาก็โยกมันกระแทกกับประตูไม่ได้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเสากระทุ้งแบบไหน หากมันพังประตูได้ กำแพงชั้นแรกมีโอกาสแตกสูงแน่

            ไมริฟถูกฟาร์ดาราสสองตัวไล่กวด นี่เป็นอีกครั้งที่เธอต้องบังคับพาหนะบินหนีการไล่ล่าทางอากาศ ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบดักหน้าพ่นน้ำแข็งใส่เธอ ไวเวิร์นของเธอหลบไม่ทันจึงรับก้อนน้ำแข็งเข้าไปตายกลางอากาศ โชคดีที่อยู่ใกล้กับกำแพงชั้นแรกพอดี ไมริฟจึงกระโดดไปยังเชิงเทินในจังหวะที่พาหนะร่วงตกลงไป กอร์รินที่ต่อสู้อยู่บนเชิงเทินรีบฟันขวานสังหารทหารเอลิลที่อยู่ตรงหน้า แล้ววิ่งมารับเธอไว้แทบไม่ทัน หนามเหล็กที่เกราะไหล่ของเขาบาดถูกแขนเธอเล็กน้อย

            “ทำไมพวกโฮเซ่ต้องสวมเกราะติดหนามด้วยนะ กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเป็นภูมิตะบองเพชรหรือ” เธอบ่น แต่ก็ยังตบแขนกอร์รินแสดงความขอบคุณ

            “ก็โฮเซ่ไม่รู้นี่ว่าต้องคอยรับฟอเรสเทอร์ที่ร่วงตกลงมาจากฟ้า” กอร์รินวางไมริฟลง ผลักเธอให้หลบไปข้างๆ พร้อมกับแทงขวานใส่ทหารเอลิลคนหนึ่งที่บุกตรงเข้ามา

            “บราวน์บีเซล” เซ็นแวนเดอร์ที่สู้อยู่ห่างออกไปตะโกนเรียก “ข้าศึกนำเครื่องกลมาชิดประตูแล้ว”

            “ข้าจะลงไปต้านไว้” กอร์รินวิ่งลงบันไดกำแพงทันที

            “ข้าไปกับเขาเองค่ะ” ไมริฟวิ่งตามไป เอากริชเชือดคอทหารเอลิลคนหนึ่งระหว่างทาง

            เซ็นแวนเดอร์หันไปยิงทหารเอลิลคนหนึ่งที่เพิ่งปีนบันไดขึ้นมาหงายตกกลับลงไป ปลดกระบอกลูกธนูที่ว่างเปล่าสองกระบอกออกจากหลัง แล้วหยิบสองกระบอกใหม่จากศพพลธนูฟอเรสเทอร์มาสะพาย ทหารเอลิลคนหนึ่งบุกเข้าประชิดตัวเขาก็ถูกเขาเอาปลายคันศรติดใบมีดแทงทะลุหมวกเกราะ ง้าวเล่มหนึ่งฟันใส่ เขาก็ม้วนตัวหลบและจ่อยิงธนูในระยะเผาขน จากนั้นก็ถอนธนูออกมายิงต่อก่อนที่ร่างอีกฝ่ายจะล้มถึงพื้นเสียอีก ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งพ่นน้ำแข็งใส่เขา เขากระโดดหลบไปข้างๆ และยิงธนูสวนกลับไปเสียบที่คอใต้คางของมันร่วงลงไปตาย อีกตัวโฉบมาอีกทาง เขาก็ยิงเสียบหน้าผากมันร่วงลงไปอีก ทหารเอลิลคนหนึ่งตรงเข้าหาเขาพร้อมกับยกโล่กำบังตัวมิดชิด แต่เมื่อกำบังส่วนบนก็ต้องเปิดช่องส่วนล่าง เขาจึงยิงธนูปักที่เข่าทหารคนนั้นล้มหน้าทิ่ม แล้วยิงซ้ำอีกดอกที่กลางหมวกเกราะ จากนั้นก็เข้าไปถอนธนู กระโดดเตะทหารเอลิลคนหนึ่งที่ปีนบันไดขึ้นมาร่วงตกลงไป แล้วหันไปยิงธนูใส่เดลิลวาสที่ต่อสู้อยู่ไกลๆ  เดลิลวาสถอนดาบออกจากหน้าอกทหารโฮเซ่แล้วฟันลูกธนูที่พุ่งไปหาหักเป็นสองเสี่ยง เซ็นแวนเดอร์ยิงใส่อีกดอกหนึ่ง เดลิลวาสก็ใช้ดาบปัดให้มันพุ่งเบี่ยงไปเสียบพลธนูฟอเรสเทอร์คนหนึ่งตายคาที่ ปกติแล้วดาบคู่มักจะเสียเปรียบธนูและอาวุธระยะไกลเพราะเป็นอาวุธที่มีความแคบ ใช้กำบังได้ยาก แต่ดูเหมือนทฤษฎีนี้จะใช้ไม่ได้กับคนที่มีฝีมือร้ายกาจอย่างเดลิลวาส

            “ข้าศึกกำลังจะกระแทกประตูเข้ามา” กอร์รินเข้าไปดันประตูกำแพงที่มีคานไม้แข็งแรงหลายตัวค้ำยัน นักรบฟอเรสเทอร์หลายคนเข้าไปช่วยดันด้วย

            แต่ประตูกลับไม่มีการถูกกระแทกอย่างที่คิด แค่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขูดขีดอยู่ที่กลางประตูเท่านั้น เบื้องหน้าประตู เสากระทุ้งประตูของพวกเอลิลที่มีรูปร่างคล้ายสว่านเกลียวนั้น กำลังหมุนเจาะเข้าที่ผิวประตูทีละน้อย ทหารเอลิลจำนวนมากช่วยกันหมุนมือหมุนท้ายเสาอย่างพร้อมเพรียง แม้ประตูจะทำด้วยไม้เนื้อพิเศษ มีความเหนียวแข็งแรง สามารถรับแรงกระแทกได้มาก แต่ไม้ก็ยังเป็นไม้ มวลของไม้มันไม่ได้เกาะกันหนาแน่นนักเมื่อเทียบกับของแข็งชนิดอื่นๆ  จึงหาเครื่องกลมาเจาะทะลุได้ไม่ยาก สว่านเกลียวแท่งยักษ์ค่อยๆ หมุนเจาะเข้าไปในเนื้อไม้เรื่อยๆ  จนกระทั่งเจาะทะลุมาถึงอีกด้านของประตู กอร์รินและพวกฟอเรสเทอร์ที่ดันประตูอยู่ต่างถอยออกมายืนดูอย่างงงงวย ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเอลิลพยายามจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ การมีสว่านแทรกตัวเข้ามาเช่นนี้ ทำให้ประตูบางส่วนมีรอยร้าว

            เมื่อแท่งเสาสว่านเกลียวเจาะผ่านประตูเข้ามาได้ราวครึ่งต้น พวกเอลิลก็นำฐานเหล็กสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนาๆ ไปประกอบที่ท้ายเสา ทำให้เสากลายเป็นรูปตัว T จากนั้นก็ช่วยกันนำท่อนซุงขนาดใหญ่สองต้นมากระแทกใส่ด้านหน้าฐานเหล็กทั้งสองด้าน พร้อมกันเป็นจังหวะ ทำให้เสาไม่ได้ถูกกระแทกไปข้างหน้า แต่ถูกกระแทกไปข้างหลัง แต่ละครั้งที่เสาเกลียวสว่านถูกกระแทก มันก็เกิดแรงกระชากประตูจากด้านหน้า ทำให้ประตูมีรอยร้าวเพิ่มขึ้น พวกเอลิลไม่ได้พังประตูด้วยการกระแทกเข้ามาอย่างที่ทำกันทั่วไป พวกนั้นทำสิ่งที่กลับกัน คือพังด้วยการกระชากประตูออกไป

            “ประตูร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ” กอร์รินยืนมองอย่างเคร่งเครียด

            “เราควรจะดันประตูไว้ไหม” ไมริฟเริ่มคิดอะไรไม่ออก

            “ดันไว้เพื่ออะไร ข้าศึกไม่ได้กระแทกประตูเข้ามา พวกนั้นพยายามกระชากประตูออกไป เข้าไปดันไว้ก็เหมือนช่วยเพิ่มแรงให้อีกฝ่าย” กอร์รินส่ายหน้า “คานไม้ที่ใช้คำยันประตูไว้ก็ช่วยอะไรไม่ได้สักนิด ตะบองเพชรพินาศ! พวกเอลิลคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”

            พวกฟอเรสเทอร์บนกำแพงพยายามหาช่องทางยิงสกัดการใช้งานเครื่องพังประตูเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ทำได้ยากยิ่งเพราะบนกำแพงมีทหารเอลิลบุกขึ้นมาเต็มไปหมด ทหารเอลิลที่ใช้ท่องซุงกระแทกฐานเสาเกลียวนั้นถูกยิงตายกันไปบ้าง แต่ก็มีคนอื่นมาแทนที่เรื่อยๆ  ประตูกำแพงก็ถูกกระชากร้าวขึ้นเรื่อยๆ  มันคงจะพังเป็นชิ้นๆ ในอีกไม่นาน ด้านหลังเครื่องกลตัวนี้ มีกองกำลังเอลิลตั้งขบวนเตรียมพร้อมสำหรับบุกเข้าไปทันทีที่ประตูพัง แบ่งเป็นสองแถวใหญ่ แต่ละแถวจัดความกว้างให้พอดีกับความกว้างของช่องประตูกำแพง แถวซ้ายเป็นทหารม้า แถวขวาเป็นทหารราบถือดาบกับโล่ มีพลปืนปะปนอยู่ด้วย

            “ประตูกำลังจะพัง เราต้องต้านข้าศึกที่กำลังจะบุกเข้ามา” ไมริฟกรีดร้อง “ข้าศึกมีทหารม้าด้วย พวกนั้นส่งเข้าปะทะเราแน่”

            “เช่นนั้นเราต้องต้านด้วยหอกยาว และมีพลม้าธนูเป็นกองกำลังสนับสนุน” กอร์รินพูด “ไมริฟ ท่านไปสมทบกับพวกพลม้าธนู ข้าอยู่แนวหน้ากับพวกหอกยาวเอง”

            ไมริฟพยักหน้าแล้ววิ่งแยกไป

            “พลหอกยาวขึ้นหน้า พลธนูอยู่แนวหลัง” กอร์รินสั่งการ ขวานในมือกำแน่น “เตรียมรับมือทหารม้าข้าศึก”

            นักรบฟอเรสเทอร์ถือหอกยาวจำนวนมากขยับไปตั้งแถวอยู่ด้านหลังกอร์ริน พาดหอกเรียงกันไปข้างหน้าเตรียมแทง ไม่ค่อยพร้อมเพรียงและไม่ค่อยมั่นคงนัก พวกฟอเรสเทอร์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ถนัดอาวุธระยะประชิด โดยเฉพาะอาวุธขนาดใหญ่ แต่ยังพอถูไถสำหรับหอกยาวเพราะมันเป็นอาวุธที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากนัก อาศัยแค่แรงแขนถือให้ถูกมุม แทงให้ถูกจังหวะ หรือไม่ก็แค่รอให้ศัตรูเข้ามาชนคมหอกเอง

            แล้วประตูกำแพงที่แตกร้าวขึ้นเรื่อยๆ ก็สุดจะทานทนการกระชากได้อีกต่อไป ในจังหวะสุดท้าย มันถูกกระชากแตกพังเป็นชิ้นๆ  คานไม้ที่ค้ำยันอยู่ด้านหลังประตูล้มระเนระนาดไปข้างหน้าอย่างไร้ประโยชน์ กอร์รินตะโกนคำว่า “เพื่อแบร์ร็อค” สองมือกำรอบด้ามขวาน พร้อมใช้ต่อสู้กับพวกทหารม้าข้าศึก

            แต่พวกเอลิลกลับไม่รีบบุกเข้ามาทันทีที่ประตูพัง ทั้งแถวทหารม้าและทหารราบ พวกนั้นรอสัญญาณจากเดลิลวาสที่ต่อสู้อยู่บนกำแพง ผู้ซึ่งปาดคอฟอเรสเทอร์คนหนึ่งแล้วชูดาบข้างขวาส่งสัญญาณ ทันทีที่ได้รับสัญญาณ แถวทหารม้าเอลิลก็เคลื่อนพลถอยหลีกทาง ส่วนแถวทหารราบเดินหน้าบุกผ่านช่องประตูเข้าไป ไม่ได้วิ่งกรูเข้าไปอย่างรีบร้อน แต่ก้าวเดินฉับๆ เข้าไปเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียง แนวหน้าจัดแถวประกอบโล่เป็นโดมครึ่งวงสำหรับกำบัง

            “ยิง” กอร์รินชี้ขวานไปข้างหน้า

            พลธนูฟอเรสเทอร์กระหน่ำลูกธนูข้ามไหล่พวกพลหอกเข้าใส่บรรดาข้าศึกที่บุกผ่านประตูเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็ยิงติดแนวโล่แถวหน้าสุดของพวกเอลิล โล่แต่ละใบขยับออกจากกัน เปิดเป็นช่องเล็กๆ หลายๆ ช่อง แล้วปากกระบอกปืนยาวก็โผล่ออกมาจากช่องเหล่านั้น ลั่นไกยิงใส่พวกฟอเรสเทอร์แนวหน้า ทั้งพลหอกยาวและพลธนูล้มตายไปหลายคน กอร์รินที่ยืนอยู่หน้าสุดทั้งก้มหลบและใช้ขวานปัดป้อง แต่ก็รับกระสุนเข้านัดหนึ่งที่ไหล่ เขาล้มลงไป เลือดสีขาวไหลออกจากบาดแผล หนามที่เกราะไหล่หายไปสองซี่

            เดลิลวาสวางแผนเอาไว้สองชั้น จึงได้แบ่งกองกำลังที่จะบุกผ่านประตูเป็นสองแถว ไม่ว่าพวกฟอเรสเทอร์จะเตรียมรับมือกับทหารม้าหรือทหารราบ เขาก็จะส่งหน่วยรบที่แก้ทางกันได้เข้ามาแทน

            แล้วพวกทหารราบเอลิลก็กระจายแถวบุกเข้าต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยดาบกับโล่ พวกพลหอกยาวฟอเรสเทอร์ดูจะทำอะไรไม่ถูก หอกยาวเป็นอาวุธสำหรับใช้รับมือกับทหารม้า แต่ไม่สะดวกที่จะรับมือกับทหารราบที่ใช้ดาบกับโล่ จึงถูกสังหารตายกันมากมายในตอนแรกเริ่ม กอร์รินลุกขึ้นฟันขวานต่อสู้กับพวกทหารเอลิล เตะสนับแข้งติดหนามใส่ก้านคอทหารเอลิลคนหนึ่งตายสนิท เจอกลยุทธ์ซ้อนกลยุทธ์ของเดลิลวาสเข้าไป กระบวนตั้งรับของเขาพังไม่เป็นท่า

            “พลธนูถอยหลังไป พลหอกยาวเปลี่ยนอาวุธ” เขาคำรามสั่งการ ขวานฟันแสกหน้าทหารเอลิลคนหนึ่ง “หน่วยรบระยะประชิด เข้าประจัญบาน”

            พวกฟอเรสเทอร์ที่ถือหอกยาวพากันวางหอกลงแล้วเปลี่ยนมาใช้อาวุธที่ตนถนัด ส่วนใหญ่คือธนู แล้วจึงถอยหลังไปสมทบกับกองกำลังพลธนูที่แนวหลัง คอยโปรยธนูสนับสนุน ขณะที่แนวหน้า กองกำลังโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลบุกเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดกับพวกเอลิลที่บุกผ่านกำแพงเข้ามาเรื่อยๆ พวกโฮเซ่ตะโกนว่า “เพื่อแบร์ร็อค” พวกดาร์คเนสดีวิลตะโกนว่า “เราคือกำแพง”

            หน่วยรบทางอากาศของพวกฟอเรสเทอร์ถูกกำจัดจนหมดตามคาด มีไม่ถึงสามสิบย่อมมีปัญญาต่อกรกับพวกฟาร์ดาราสไม่ได้นาน ซิวาลินต้องลงมาต่อสู้บนพื้นดิน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลแห้งกรังจากน้ำแข็งของพวกฟาร์ดาราส บนกำแพงชั้นแรกนั้น เซ็นแวนเดอร์เริ่มจะนำกองกำลังที่เหลือถอยลงมา ทั้งข้าศึกที่บุกขึ้นมาบนกำแพงได้มากมาย ทั้งข้าศึกที่หลั่งไหลผ่านช่องประตูเข้ามาได้ไม่ขาดสาย พวกเขาคงจะอยู่ต้านมันต่อไปไม่ไหว ดูเหมือนว่ากำแพงชั้นแรกกำลังจะถูกพวกเอลิลควบคุมในอีกไม่นาน

            ไมริฟและกองพลม้าธนูฟอเรสเทอร์กระจายกำลังไปตามจุดต่างๆ ของการต่อสู้ด้านหลังกำแพง คอยขี่ม้ายิงธนูสนับสนุนพวกเดียวกัน ช่วยได้ไม่น้อยทีเดียว เป็นหน่วยรบที่เคลื่อนที่ได้เร็วและโจมตีได้ไกล สามารถดัดแปลงให้ต่อสู้ได้หลายสถานการณ์ ไมริฟไม่ได้ใช้ธนู แต่เธอก็คอยขี่ม้าใช้กริชฟันแทงข้าศึกอย่างคล่องแคล่วและคอยเป่าลูกดอกโจมตีทีละคน เธอเปลี่ยนหัวลูกดอกเรียบร้อยแล้ว ให้มันทำด้วยโลหะและมีขนาดใหญ่ขึ้น แม้พิษจะไม่มีผลต่อเผ่าพันธุ์ที่มีเลือดเป็นธาตุอากาศอย่างพวกเอลิล แต่หากถูกลูกดอกหัวเหล็กปักจุดสำคัญก็ตายได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องเล็งให้ผ่านช่องเกราะเพราะลูกดอกเป็นอาวุธที่มีขนาดเล็ก เจาะผ่านเกราะอย่างดีของพวกทหารเอลิลไม่ได้เหมือนลูกธนู

            แม้จะมีกองกำลังโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลเป็นหน่วยรบระยะประชิดอยู่แนวหน้า แต่ก็ยังถือว่ามีน้อยเกินไป ทหารเอลิลบางส่วนสามารถทะลวงเข้าไปหาพวกพลธนูฟอเรสเทอร์แนวหลังได้ ทหารเอลิลหลายกลุ่มใช้วิธีประกอบโล่กันเป็นกระดองเต่าและเคลื่อนพลเดินหน้าบุกเข้าหา มันป้องกันลูกธนูได้ดีมาก เมื่อเข้าไปถึงระยะประชิดก็กระจายแถวบุกเข้าต่อสู้ ฟาดฟันพวกพลธนูที่ไม่สันทัดเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดล้มตายกันอย่างรวดเร็ว ไมริฟขี่ม้าไปสาดกรดใส่ทหารเอลิลกลุ่มใหญ่ที่กำลังจัดรูปเป็นกระดองเต่า กรดเหลวไหลผ่านช่องรอยต่อโล่แต่ละใบเข้ากัดกร่อนร่างเหล่าทหารเอลิลหลังโล่ล้มตาย และเสียหลักกันจนไม่เป็นขบวน ขวานไฟของกอร์รินร่อนเข้ามาตัดเฉือนซ้ำ สังหารตายเรียบทั้งกลุ่ม ขวานบินกลับไปเข้ามือกอร์รินพร้อมกับไฟที่ดับลง กอร์รินหันไปปาดคอทหารเอลิลคนหนึ่งทันทีที่คว้ามันได้

            “กำแพงและพื้นที่ส่วนนี้กำลังจะต้านไม่อยู่” เซ็นแวนเดอร์เข้ามาสมทบ ยิงธนูไปเรื่อยๆ ขณะก้าวถอยมา “เราต้องถอยไปอยู่ข้างหน้ากำแพงชั้นที่สอง ให้พลธนูบนกำแพงชั้นที่สองช่วยยิงสนับสนุน”

            “นั่นเท่ากับถอยหลีกทางให้ข้าศึกมีพื้นที่จัดทัพมากขึ้น หลังจากบุกผ่านกำแพงชั้นแรกเข้ามาได้” กอร์รินตวัดขวานเกี่ยวดาบของทหารเอลิลคนหนึ่งออกไป แล้วจามขวานใส่ศีรษะอีกฝ่าย

            “ไม่มีทางเลือก ยังไงเราก็กำลังถูกบีบให้ถอยอยู่ดี” เซ็นแวนเดอร์ปลดกระบอกธนูเปล่าสองกระบอกของตนออก แล้วหยิบอีกสองกระบอกใหม่จากศพพลธนูบนพื้นขึ้นมาสะพาย “ข้าถอนกำลังพลจากกำแพงชั้นแรกหมดแล้ว ข้าศึกก็บุกผ่านช่องประตูเข้ามาได้เรื่อยๆ กำแพงชั้นแรกแตกแล้ว”

            เซ็นแวนเดอร์พูดถูก พวกเขากำลังถอยหลังเรื่อยๆ เพราะต้านแรงบุกไม่อยู่ กอร์รินพยักหน้าเห็นด้วย

            “ถอยไปที่หน้ากำแพงชั้นที่สอง ปักหลักสู้ที่นั่น หน่วยรบระยะประชิดอยู่แนวหน้า พลธนูอยู่แนวหลัง ให้พลธนูบนกำแพงชั้นที่สองช่วยยิงสนับสนุนอีกแรง” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนสั่ง “แม้กำแพงชั้นแรกจะแตก แต่เรายังมีกำแพงชั้นที่สอง”

            นักรบทุกคนทำตามคำสั่ง ถอยหลังไปจัดขบวนต่อสู้อยู่หน้ากำแพงชั้นที่สอง ทิ้งกำแพงชั้นแรกและพื้นที่บางส่วนให้อีกฝ่ายควบคุม อย่างน้อยการถอยไปใกล้กำแพงชั้นที่สอง ก็ยังพอเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ที่ดีขึ้นได้บ้าง นั่นคือต่อสู้สกัดข้าศึกอยู่หน้ากำแพง หน่วยรบระยะประชิดอยู่แนวหน้า พลธนูอยู่แนวหลัง และมีพลธนูอีกส่วนบนกำแพงชั้นที่สองคอยยิงสนับสนุน

            กลยุทธ์นี้นับว่ามีประสิทธิภาพไม่น้อย ให้หน่วยรบระยะประชิดคอยต้านข้าศึกไว้ ไม่ให้เข้าถึงตัวเหล่าพลธนู ขณะที่เหล่าพลธนูระดมโปรยลูกศรใส่ข้าศึกอย่างต่อเนื่อง มันสกัดกองทัพเอลิลได้ระดับหนึ่งและกำจัดทหารเอลิลไปได้อีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะอย่างไรพวกฟอเรสเทอร์ก็มีพลธนูที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ หากไม่สามารถเข้าประชิดตัวพวกเขาได้ ก็เตรียมตายโดยมีลูกธนูปักทั่วตัวได้เลย

            แต่สิ่งที่สร้างปัญหาให้พวกฟอเรสเทอร์ไม่จบไม่สิ้นคือทัพอากาศ พวกมันบินอยู่บนฟ้า ไม่มีกำแพงหรือการจัดรูปขบวนทัพใดๆ ที่จะขวางกั้นพวกมันได้ พวกฟาร์ดาราสคอยพ่นน้ำแข็งและโฉบกรงเล็บใส่พวกเขา คอยโจมตีก่อกวนไม่ให้พวกพลธนูยิงได้สะดวก โดยเฉพาะพลธนูบนกำแพงชั้นที่สอง อยู่บนที่สูงและเป็นเป้านิ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกกระหน่ำโจมตีหนักกว่าตำแหน่งอื่น สิ่งที่พวกฟอเรสเทอร์พอทำได้คือยิงธนูขึ้นฟ้าตอบโต้ สอยลงมาได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเป้าหมายบินเร็วและสวมเกราะหนาทั้งตัว ความแม่นยำของพวกฟอเรสเทอร์ทำให้พอหวังผลได้มากกว่าการยิงของเผ่าพันธุ์อื่นๆ  แต่ก็ยังตอบโต้ได้น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับที่พวกมันโจมตีใส่พวกเขา พวกมันทำให้ทั้งกองกำลังบนกำแพงชั้นที่สองและหน้ากำแพงไม่เคยรักษารูปขบวนได้มั่นคงเสียที

            เดลิลวาสลงจากกำแพงชั้นแรกมาต่อสู้ข้างล่าง กำแพงชั้นแรกแตกแล้ว พวกเอลิลทยอยเคลื่อนพลผ่านกำแพงเข้ามาง่ายๆ  โดยเฉพาะเมื่อพวกฟอเรสเทอร์ถอยไปชิดกำแพงชั้นที่สอง มันทำให้พวกเอลิลมีพื้นที่ว่างสำหรับกลยุทธ์ที่กำลังจะใช้ ในตอนนี้แม้พวกฟอเรสเทอร์จะใช้หน่วยรบระยะประชิดสกัดทหารราบเอลิลไว้ และให้พลธนูโปรยลูกศรจากแนวหลังและบนกำแพง แต่ขบวนแถวของพวกเขาก็ค่อนข้างเสียรูป เนื่องจากถูกบุกเข้าหาเรื่อยๆ และมีทัพอากาศเอลิลคอยโจมตีจากด้านบน หน่วยรบระยะประชิดก็มีน้อยเกินไป ส่วนใหญ่ต้องมารวมแถวกัน คอยต้านพวกทหารราบเอลิลอยู่ข้างหน้า ส่งผลให้ปีกซ้ายและปีกขวาของเหล่าพลธนูฟอเรสเทอร์ขาดการป้องกัน ในเมื่อกลยุทธ์ของพวกฟอเรสเทอร์คือใช้พลธนูสร้างความเสียหาย หากเข้าไปจัดการกับพลธนูได้ ก็เท่ากับหักอาวุธของศัตรู

            “ทหารม้า” เดลิลวาสหันไปทำสัญญาณ ยกดาบไขว้กันเหนือศีรษะ แล้วแยกออกจากกัน

            กองทหารม้าเอลิล ที่ก่อนหน้านี้ถอยหลีกทางให้กองทหารราบบุกผ่านกำแพงชั้นแรกเข้ามาก่อนนั้น ตอนนี้จัดขบวนแถวอยู่หน้าช่องประตูเตรียมพร้อม เมื่อได้รับสัญญาณจากเดลิลวาส ก็เคลื่อนพลบุกผ่านกำแพงชั้นแรกเข้ามา แล้วกระจายแยกออกเป็นสองส่วน อ้อมไปทางซ้ายและทางขวาของกองทัพฟอเรสเทอร์ เป้าหมายคือปีกซ้ายและปีกขวาซึ่งปราศจากการปกป้องจากหน่วยรบระยะประชิด พวกพลหอกยาวฟอเรสเทอร์ก็ถูกพวกเอลิลส่งทหารราบมาจัดการจนหมดตั้งแต่ตอนที่ประตูพังแล้ว พวกหน่วยรบระยะประชิดก็กำลังติดพันอยู่ที่แนวหน้า

            พวกพลธนูฟอเรสเทอร์ได้แต่พยายามยิงสกัดอีกฝ่าย ยิงตายตกหลังม้าไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ทีทางเพียงพอ หน่วยรบที่ใช้ต่อกรกับพลธนูได้ดีที่สุดคือทหารม้าเกราะหนัก มันคือหน่วยรบที่แข็งแกร่ง เคลื่อนที่เร็ว เข้าถึงตัวเร็ว และโจมตีหนัก เป็นหน่วยรบที่พลธนูค่อนข้างแพ้ทาง  ม้าผีแต่ละตัวเร่งควบฝีเท้า ทหารเอลิลบนหลังม้ากำบังโล่ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างพาดง้าวไปข้างหน้า พร้อมแทงเมื่อเข้าใกล้ระยะ

            แล้วกองทหารม้าเอลิลก็เข้าปะทะกองพลธนูฟอเรสเทอร์ทั้งปีกซ้ายและปีกขวา พลธนูฟอเรสเทอร์ถูกชน เหยียบ บดขยี้ และฟันแทงด้วยง้าวตายไปเป็นทางๆ เมื่อพลธนูถูกเข้าถึงตัวโดยทหารม้า ผลที่ตามมาคือการล้มตายโดยแทบจะไร้ทางสู้ พวกฟอเรสเทอร์หน้ากำแพงเริ่มแตกขบวนอย่างชัดเจน พลธนูที่เป็นหน่วยสร้างความเสียหายหลักนั้น เป็นฝ่ายได้รับความเสียหายหนักเสียเอง

            “แนวหลังของเราถูกเจาะ” ซิวาลินตะโกนขณะขี่ม้าร่อนมีดน้ำแข็งสอยทหารม้าเอลิลไปสองคน ตอนนี้เขาร่วมต่อสู้กับไมริฟและกองพลม้าธนู

            แนวหลังถูกเจาะจากสองด้าน แนวหน้ากำลังจะต้านข้าศึกไม่อยู่ แม้แต่พวกพลธนูบนกำแพงชั้นที่สองและกองกำลังอีกบางส่วนที่อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่สองก็ถูกโจมตีโดยทัพอากาศฟาร์ดาราส พวกฟอเรสเทอร์กำลังประสบปัญหา

            ไมริฟควบม้าฟันทหารราบเอลิลคนหนึ่งด้วยกริช สาดกรดใส่อีกกลุ่มที่รวมกันอยู่ใกล้ๆ และในจังหวะกะทันหัน ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งก็ควบตรงเข้ามาเต็มฝีเท้าพร้อมกับแทงง้าวใส่เธอ เธอเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่พ้นเสียทีเดียว ปลายง้าวบาดเฉือนเข้าที่เนินอกขวาและตัดเกราะบริเวณหัวไหล่เป็นริ้วยาว เธอเสียหลักร่วงตกม้า มึนงง ทหารราบเอลิลสี่ห้าคนตรงเข้าหาเธอพร้อมอาวุธ กอร์รินที่กำลังสู้อยู่ไม่ไกลออกไปนั้นตัดสินใจขว้างขวานในมือออกไป มันติดไฟลอยหมุนไปตามการใช้สายตาควบคุมของเขา และตรงเข้าตัดเฉือนพวกทหารเอลิลที่กำลังบุกเข้าหาไมริฟตายทั้งกลุ่ม

            การใช้ความสามารถพิเศษมักมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะความสามารถพิเศษที่ต้องใช้สายตาแบบนี้ ในเมื่อสายตาของกอร์รินจับจ้องอยู่ที่ขวาน เขาจึงมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ดาบเล่มหนึ่งแทงเข้าที่ชายโครง ทำเขาชะงัก ละสายตาไปจากขวาน เมื่อไม่มีสายตาควบคุม ขวานก็ร่วงตกพื้นพร้อมกับไฟที่ดับลง เกือบจะร่วงลงหัวไมริฟทีเดียว ยังดีที่กอร์รินสวมเกราะหนาแข็งแกร่ง ปลายดาบจึงแทงเข้ามาไม่ลึกมาก แต่ก็ทำให้เขาทรุดลงเล็กน้อยพร้อมกับมีเลือดสีขาวหลั่งออกมา กอร์รินถอนร่างออกจากดาบ จับแขนที่ถือดาบของอีกฝ่ายหมุนบิดในท่าปลดอาวุธ แล้วใช้แขนอีกข้างรัดหมุนหักคอ ทหารเอลิลอีกคนบุกเข้ามาฟันดาบใส่ เขาก็เบี่ยงตัวหลบแล้วกระโดดถีบสองเท้าใส่โล่อีกฝ่ายให้หงายล้มไป ทหารเอลิลคนที่สามฟันง้าวใส่เขาจากด้านบน เขาใช้มือข้างหนึ่งคว้าด้ามง้าวไว้ พร้อมกันนั้นก็มีทหารเอลิลอีกสองคนถือดาบบุกเข้าหาเขาแบบไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัวได้

            ธนูดอกหนึ่งพุ่งเสียบทหารเอลิลที่ฟันง้าวใส่เขา และอีกสองดอกพุ่งเสียบอีกสองคนที่กำลังบุกเข้ามา เซ็นแวนเดอร์ที่อยู่ห่างออกไปไกลลดธนูลง ธนูสามดอกที่พุ่งมาช่วยเหลือกอร์รินถูกยิงมาพร้อมกันจากเขา

            “ชาร์ปชูเทอร์ ข้างหลัง” กอร์รินตะโกน

            เซ็นแวนเดอร์กระโดดม้วนตัวหลบไปข้างๆ ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งควบตรงเข้ามาแทงง้าวพลาดเขาไปอย่างฉิวเฉียด เซ็นแวนเดอร์ขึ้นสายธนูทันทีที่ม้วนตัวครบรอบ ยิงตามหลังไปเสียบท้ายทอยทหารคนนั้นร่วงตกหลังม้าผี

            ทหารเอลิลคนหนึ่งลุกขึ้นจากพื้น จะเข้าโจมตีกอร์รินจากด้านหลัง แต่ก็ถูกกริชของไมริฟแทงจากข้างหลังทะลุมาถึงหน้าอก กอร์รินหันไปมอง ไม่ริฟถอนกริชออกจากร่างทหารเอลิลแล้วโยนขวานคืนให้เขา

            “ขอบคุณ” กอร์รินพยักหน้าให้

            “เช่นกัน” ไมริฟพูดเหนื่อยๆ

            “ช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่งได้ไหม” กอร์รินถาม

            “อะไร”

            “ส่งขวานคืนให้ข้าอีกรอบที”

            แล้วเขาก็ขว้างขวานข้ามไหล่เธอไปเฉาะเข้ากลางหมวกเกราะทหารเอลิลที่บุกมาข้างหลังเธอ

            ซิวาลินควบม้าร่อนใบมีดน้ำแข็งจัดการกับข้าศึกไปเรื่อยๆ  เขาเคลื่อนไหวบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วมาก เนื่องจากไม่ต้องถืออาวุธเลยสักชิ้น บางครั้งก็นั่งหันไปทางด้านหลังม้า บางครั้งก็เกาะอยู่ที่สีข้างม้า บางครั้งก็ลุกยืนบนหลังม้า หลบหลีกคมอาวุธต่างๆ ที่ฟันแทงใส่ได้หมด บาดแผลที่ได้รับก็ดูจะน้อยกว่าคนอื่น ในตอนนี้เขากับพวกนักรบม้าธนูกระจายกลุ่มกัน พยายามช่วยเหลือกองทัพหลักของตนที่กำลังเสียเปรียบ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้มาก กระบวนทัพถูกฝ่ายตรงข้ามตีแตกยับเยินแล้ว

            “เซ็นแวนเดอร์ เรากำลังเสียหายหนัก ต้องถอยเข้ากำแพงชั้นที่สอง” ซิวาลินตะโกนบอก “ข้ากับพวกพลม้าธนูจะคอยยิงคุ้มกันให้ พวกเราเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าหน่วยรบอื่นๆ”

            เซ็นแวนเดอร์พยักหน้าให้ ซิวาลินสะบัดบังเหียนควบม้าไปอีกทาง

            “ถอยเข้ากำแพงชั้นที่สอง” รองผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลตะโกน

            กองทัพฟอเรสเทอร์ที่แตกขบวนไม่เป็นท่าต่างพากันถอยผ่านประตูกำแพงชั้นที่สองที่เปิดรับ พวกแนวหน้าก็ต่อสู้ถอยตามมาเรื่อยๆ  ซิวาลินกับพวกนักรบม้าธนูคอยควบวนไปวนมา ยิงสกัดและก่อกวนพวกเอลิลที่ตามรุกไล่ทัพหลัก ช่างเป็นหน่วยม้าที่มีความคล่องตัวสูง ม้าตัวเล็กผอมเพรียว ไม่สวมเกราะ วิ่งได้เร็วและกลับตัวเร็ว หากมีพื้นที่เพียงพอก็หนีทหารม้าเกราะหนักของพวกเอลิลได้สบาย บางจังหวะก็หันไปยิงธนูใส่ นับเป็นหน่วยรบก่อกวนชั้นยอด

            ด้านหลังกำแพงชั้นที่สอง บรรดาคนเจ็บถูกหามตรงเข้าไปในปราสาทต้นไม้ เพื่อให้หมอผีประจำเผ่าอาร์ทูมิส ไวท์วิสเพอร์และหน่วยแพทย์ของเธอคอยรักษา มีคนเจ็บนอนร้องโอดครวญเต็มไปหมด ส่วนคนที่ไม่บาดเจ็บมากก็ถูกรักษาพยาบาลเบื้องต้น แล้วกลับไปสู้ต่อ มีผู้บาดเจ็บมากมายที่อาการหนักเกินเยียวยาแล้วตายในเวลาต่อมา เป็นเรื่องปกติยามเกิดศึกสงคราม เนื้อตัวของอาร์ทูมิสชะโลมไปด้วยเลือดของเหล่าคนที่เธอรักษา เธอคอยวิ่งไปวิ่งมาเพื่อพยาบาลคนเจ็บที่มีมากเกินไป หน่วยแพทย์ทุกคนของเธอก็ทำงานกันไม่หยุด พรมหญ้ามอสในพื้นห้องโถงแดงฉานไปด้วยเลือดฟอเรสเทอร์

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าล่ะ” เธอมักจะถามนักรบบาดเจ็บใหม่ๆ ที่ถูกหามเข้ามา

            “ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขา เขายังต่อสู้อยู่ค่ะ ดูไม่ได้รับอันตรายมากมายนัก”

            อาร์ทูมิสถอนหายใจอย่างโล่งอกทุกครั้งที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอกลัวจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่ ยิ่งตอนนี้คนเจ็บดูจะถูกหามเข้ามามากขึ้นและต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ

            เซ็นแวนเดอร์และพลธนูอีกหลายคนคอยยิงคุ้มกัน ขณะที่คนอื่นๆ ต่อสู้ถอยจากพวกเอลิลมาเรื่อยๆ  ในตอนนี้ทัพหลักส่วนใหญ่ถอยเข้าไปในกำแพงชั้นที่สองกันหมดแล้ว ไมริฟก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอกำลังรัดแผลห้ามเลือดที่ขาอยู่ตรงบันไดกำแพงใกล้ๆ ประตู กอร์รินและพวกหน่วยรบระยะประชิดที่เหลือทั้งต่อสู้ทั้งถอยหลัง อาศัยพวกพลธนูคอยช่วยยิงคุ้มกัน และยังมีพวกพลม้าธนูคอยวนเวียนยิงช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง ซิวาลินดูเป็นตัวปัญหาสำหรับพวกเอลิลมาก เขาไวกว่าคนอื่น ขี่ม้าย้ายตำแหน่งไปๆ มาๆ ไม่หยุดนิ่ง โจมตีใส่ก็หลบหลีกได้หมด อีกทั้งยังโจมตีสวนกลับมาได้ไวราวกับสายลม มีดสั้นเป็นอาวุธที่มีความเร็วสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อมันผลิตออกมาจากมือของผู้ขว้างได้ทันทีทันใด

            ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งควบตะบึงเข้าหาซิวาลินด้วยความเร็วสูงสุด ถือง้าวในแนวนอนเตรียมแทง แขนอีกข้างยกโล่กำบังมิดชิดเพื่อป้องกันมีดสั้นของอีกฝ่าย ดูจะเป็นการกระที่ไม่เข้าท่านัก มันบังสายตาจากเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายผู้นี้ก็หลบเก่งเป็นพิเศษเสียด้วย ซิวาลินที่กำลังควบม้าตรงเข้าหาก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน อีกฝ่ายบุกมาในลักษณะนี้ คงจะหลบหลีกและสวนกลับไม่ยาก

            ในจังหวะที่เข้าถึงตัวกัน ทหารเอลิลคนนั้นก็แทงง้าวใส่เต็มเหนี่ยว แต่แทนที่จะแทงใส่ผู้ขี่ กลับแทงใส่ม้า เขารู้อยู่แล้วว่าซิวาลินตัวเล็กและหลบเก่ง จึงเล็งเป้าหมายที่ม้า ซิวาลินกระเด็นตกจากม้าที่ถูกแทงตาย ม้วนตัวตามแรงเหวี่ยงลุกขึ้นยืนได้ทันที พวกเอลิลคงคิดได้ว่าในเมื่อโจมตีคนขี่ม้าไม่ได้เสียที ก็กำจัดม้าเสียเลย อย่างน้อยให้ลงมาอยู่บนพื้นก็ลดปัญหาไปได้มาก

            แต่ใช่ว่าลงมาบนพื้นแล้วจะไม่สร้างปัญหา ใบมีดน้ำแข็งระดมพุ่งใส่พวกเอลิลราวกับเม่นสลัดขน ทั้งเร็ว ทั้งต่อเนื่อง ทั้งสังเกตยาก ทหารเอลิลบางคนยกโล่กำบังได้เล่มหนึ่งก็รับอีกเล่มหนึ่งเข้าไปแทน ยิงปืนยาวใส่ก็หลบได้แล้วปามีดสวนกลับมา ซึ่งการขว้างแต่ละครั้งก็แม่นมากเสียด้วย เจาะเข้าช่องเกราะหรือส่วนที่เกราะบางตลอด ทหารเอลิลคนหนึ่งกำบังโล่แทงดาบใส่ ซิวาลินก็กระโดดตีลังกาข้ามหัวและร่อนมีดสั้นเสียบท้ายทอยอีกฝ่าย อีกคนบุกเข้ามาจากทางซ้ายก็ถูกเขาสะบัดมีดปักเข้ากลางหน้าผากหมวกเกราะ เขากระโดดม้วนตัวลอดใต้ท้องม้าผีตัวหนึ่งที่วิ่งผ่านมา แล้วร่อนมีดสอยผู้ขับขี่ร่วงตกม้า หลบดาบอีกเล่ม เตะก้านคอผู้ฟันให้มึนงงแล้วร่อนมีดซ้ำ ทหารเอลิลสี่ห้าคนเดินหน้าบุกเข้าหาเขาเร็วๆ  เขากระโดดถอยหลัง ตีลังกาถอยหลัง ม้วนตัวถอยหลัง ระหว่างที่โยนมีดใส่อีกฝ่ายเรื่อยๆ  รักษาระยะห่างไม่ให้ศัตรูเข้ามาใกล้ ทำอย่างนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ทหารเอลิลแต่ละคนที่บุกหาเขาก็ลงไปนอนเป็นศพ พร้อมกับมีมีดน้ำแข็งปักตามตัว แม้แต่ฟาร์ดาราสที่โฉบมาพ่นน้ำแข็งใส่ เขาก็หลบได้ง่ายๆ แล้วโยนมีดหลายเล่มเสียบใต้คอสอยมันลงมา ยิ่งเขาตัวเล็ก ยิ่งเป็นเป้าเล็กสำหรับฝ่ายตรงข้าม 

            ในจังหวะที่เขาร่อนมีดเสียบทหารเอลิลคนหนึ่งล้มหงายไปนั้น ร่างขนาดใหญ่ในชุดเกราะหนาสีเงินตั้งแต่หัวจดเท้าก็ปรากฏให้เห็นข้างหน้า เดลิลวาสยืนจังก้าถือดาบคู่ จ้องมองมาที่เขา ชุดเกราะและอาวุธยังเงาวับเพราะมันป้องกันเลือดและฝุ่นละอองจับเกาะ ซิวาลินโยนใบมีดน้ำแข็งเข้าใส่พร้อมกันหลายเล่ม เดลิลวาสใช้ดาบทั้งสองปัดป้องออกไปได้หมด

            แล้วเซ็ทซาร์ดก็บุกตรงเข้าหาด้วยความเร็วสูง ซิวาลินกระโดด ตีลังกา และม้วนตัวถอยหลังไปพร้อมกับร่อนมีดใส่เหมือนที่เคยใช้กับทหารเอลิลห้าคน แต่เดลิลวาสก็กระโดด ตีลังกา และม้วนตัวตรงเข้ามาหลบมีดได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน ซิวาลินหยุดอยู่กับที่แล้วระดมขว้างปามีดใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วต่อเนื่องที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบมีดน้ำแข็งพุ่งออกไปติดต่อกันแทบจะดูเป็นสาย สองแขนของเขาเคลื่อนไหวเร็วจนดูแทบไม่ทัน เดลิลวาสควงดาบทั้งสองเล่มเป็นใบพัดปัดป้องออกไปได้หมด ขาก้าวฉับๆ เข้าหาฝ่ายตรงข้ามเรื่อยๆ และเมื่อใกล้เข้าประชิดตัว เซ็ทซาร์ดก็พุ่งม้วนตัวเข้าไปแทงดาบใส่ ซิวาลินกระโดดตีลังกาข้ามหัวเดลิลวาสเพื่อหลบดาบ ร่อนมีดใส่ทันทีที่เท้าถึงพื้น เดลิลวาสหมุนตัวไปหาและเอียงตัวหลบได้ ดาบเล่มขวาฟันใส่ ดาบเล่มซ้ายแทงใส่ ซิวาลินก้มหัวหลบการฟัน เบี่ยงตัวหลบการแทง และตีลังกาล้อเกวียนไปอยู่ทางด้านข้างของเดลิลวาส พร้อมทั้งร่อนมีดใส่ เดลิลวาสใช้ดาบปัดป้องออกไป พยายามฟันแทงใส่ซิวาลินอย่างรวดเร็ว แต่ฟอเรสเทอร์คนนี้ว่องไวพลิ้วไหวราวกับสายลม ยิ่งตัวเล็กยิ่งฟันถูกลำบาก

            ในจังหวะหนึ่ง ซิวาลินเตะใส่เดลิลวาส เดลิลวาสยกแขนกำบัง ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อก็ต้องหลบใบมีดสองเล่มและรับลูกเตะอีกหนึ่งครั้ง ซิวาลินเห็นอีกฝ่ายเสียจังหวะจึงกระโดดถีบใส่สองเท้า เดลิลวาสยกแขนกำบังได้ แต่แรงผลักก็ทำให้ล้มลงไป เขาม้วนตัวกลับหลังลุกขึ้นยืนได้ในทันที และใช้สองดาบปัดป้องใบมีดน้ำแข็งอีกสี่ใบ จากนั้นก็โผแทงสองดาบเข้าใส่ ซิวาลินกระโดดไปข้างๆ หลบได้ ขว้างสองมีดน้ำแข็งสวนกลับทันที เดลิลวาสใช้สองดาบปัดป้องออกไป แล้วตวัดสองดาบกลับมาฟันใส่อย่างรวดเร็ว ซิวาลินกระโดดหลบได้ ฟันใส่อีกครั้งก็กระโดดหลบได้อีก เมื่อฟันอีกในจังหวะที่สาม ซิวาลินก็หลบด้วยการกระโดดตีลังกาข้ามหัวเดลิลวาส ใบมีดสองเล่มเล็งใส่ท้ายทอยอีกฝ่ายขณะที่ยังตีลังกาลอยอยู่กลางอากาศ

            แต่เดลิลวาสไม่ได้ปัดป้องหรือหลบหลีกธรรมดา หนนี้เขาหลบด้วยการกระโดดตีลังกากลับหลังตามไปด้วย แทนที่ซิวาลินจะไปอยู่ข้างหลังเดลิลวาส กลับกลายเป็นเดลิลวาสไปอยู่ข้างหลังซิวาลิน ระหว่างที่ตีลังกาลอยอยู่ มือสองข้างก็เปลี่ยนมาจับดาบกลับหัว ซิวาลินผู้ซึ่งลงถึงพื้นก่อนหันไปร่อนใบมีดใส่อย่างทันท่วงที เดลิลวาสที่เท้าเพิ่งจะเตะพื้นนั้นหมุนตัวด้วยปลายเท้าข้างเดียว ใช้ดาบซ้ายที่จับกลับหัวปัดใบมีดออกไป ส่วนดาบขวาที่จับกลับหัวอยู่เหมือนกันก็แทงไปข้างหลังในจังหวะที่หมุนตัวหันหลังพอดี มันเสียบเข้าที่ท้องของซิวาลินทะลุออกหลัง

            เดลิลวาสถอนดาบออก แล้วควงดาบกลับมาจับแบบปกติเหมือนเดิม เดินไปต่อสู้กับศัตรูคนอื่นๆ  ซิวาลินล้มลง เลือดไหลออกจากปากและบาดแผล

            “ไลคอลี่” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนลั่น วิ่งตรงเข้าไปหา ธนูสามดอกยิงสังหารทหารเอลิลสามคนเพื่อเปิดทาง ก้มหัวหลบดาบเล่มหนึ่ง แล้วฟาดคันธนูสวนกลับไปโดยไม่มอง คว้าลูกธนูจากกระบอกสะพายขว้างไปเสียบซอกคอทหารม้าเอลิลคนหนึ่งหงายตกม้า จากนั้นก็ไถลตัวคุกเข่าไปอยู่ข้างๆ ซิวาลินที่กำลังนอนสำลักเลือดอยู่บนพื้น เขาเอื้อมมือเปื้อนเลือดมาจับแขนเซ็นแวนเดอร์ พยายามยิ้มให้เท่าที่จะทำได้

            “เซ็นแวนเดอร์” เขารวมรวมพลังเฮือกสุดท้ายในการพูด “อย่า หมด หวัง”

            แล้วเขาก็สำลัก กระตุกสองสามครั้ง แล้วแน่นิ่งไป เซ็นแวนเดอร์น้ำตาไหล ซิวาลินคอยบอกทุกคนเสมอว่าอย่าหมดหวัง บ่อยครั้งที่ประโยคนี้สร้างความรำคาญเสียเต็มประดา แต่เมื่อฟังตอนนี้ มันกลับทิ่มแทงความรู้สึกยิ่งนักซิวาลินอาจเป็นคนหัวโบราณที่เอาแต่บอกคนอื่นๆ ให้ยังคงหวังลมๆ แล้งๆ อย่างไร้เหตุผล แต่มันก็เป็นเพราะเขารักทุกคน และไม่อยากให้คนที่เขารักหมดสิ้นความหวัง เขายืนยันที่จะทำสิ่งนี้ จนวาระสุดท้าย

            “เซ็นแวนเดอร์ เราต้องไปกันแล้ว” กอร์รินพูดเสียงดัง แขนข้างหนึ่งโอบที่คอของเซ็นแวนเดอร์แล้วดึงตัวเขาให้ถอยตามไป เซ็นแวนเดอร์ยอมถอยตามไปแต่โดยดี ตายังมองที่ร่างไร้ชีวิตของซิวาลิน กองกำลังฟอเรสเทอร์กลุ่มสุดท้ายถอยผ่านเข้าไปในช่องประตูกำแพงชั้นที่สอง พวกพลธนูที่อยู่ด้านหลังและบนกำแพงคอยยิงคุ้มกันสกัดข้าศึกที่รุกไล่ตามมา เมื่อคนสุดท้ายผ่านประตูเข้าไปแล้ว ประตูก็ปิดสนิทพร้อมกับลงสลัก และถูกค้ำยันด้วยคานไม้จำนวนมากอย่างรวดเร็ว

            เซ็นแวนเดอร์ทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ ประตู หลับตาร้องไห้เงียบๆ แขนกอร์รินยังโอบอยู่ที่คอ กอร์รินเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบ มีคนเจ็บมากมายถูกหามเข้าไปในปราสาทต้นไม้ ส่วนที่ยังพอสู้ได้ก็ดูอ่อนกำลังทั้งกายและใจ พวกเขาสูญเสียกันมากมาย ล้มตายกันเหลือคณา ข้าศึกก็ต้อนพวกเขาเกือบจะจนมุมอยู่แล้ว กำแพงชั้นที่สองอ่อนแอกว่าชั้นแรก กองทัพที่เหลือป้องกันก็น้อยลงและอยู่ในสภาพเสียหาย หากกำแพงแตกอีกชั้น พวกเขาก็คงจะต้องถอยไปยังปราสาทต้นไม้ที่เต็มไปด้วยคนเจ็บ มันเสมือนเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรกาโกคอล หากมันถูกพิชิต กาโกคอลก็จะจบสิ้น ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิชิตหากผ่านกำแพงชั้นที่สองไปได้ ปราสาทต้นไม้ไม่ได้ถูกสร้างไว้สำหรับรับศึก

            “ไลคอลี่ล่ะคะ” ไมริฟเข้ามาถาม สีหน้าหวั่นวิตก

            เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า ปาดน้ำตา

            ไมริฟยกมือปิดปาก น้ำตาไหล

            กอร์รินวิ่งขึ้นไปบนกำแพงชั้นที่สอง ในตอนนี้ผู้นำทัพตายไปหนึ่ง อีกสองคนก็โศกเศร้า ตัวเขาจะต้องแสดงความมั่นคงทางจิตใจให้คนอื่นๆ เห็น เพื่อไม่ให้กองทัพเสียขวัญและกำลังใจไปมากกว่านี้ พวกเอลิลเว้นช่วงการบุกครู่หนึ่งเพื่อจัดทัพให้มั่นคง บันไดยาว เครื่องกล เกวียน และอุปกรณ์สงครามต่างๆ ถูกขนจากหน้ากำแพงชั้นแรกผ่านช่องประตูกำแพงเข้ามา เตรียมพร้อมใช้กับกำแพงชั้นที่สองซึ่งอ่อนแอกว่า

            เดลิลวาสสั่งให้พวกทหารเอลิลโค่นต้นไม้สีครามสองต้นที่อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นแรก นั่นคือต้นไม้ที่เป็นแหล่งพลังงาน คอยรักษาเมฆพิเศษที่คลุมเมืองหลวงกาโกคอลไว้ คอยกรองแสงแดดให้ส่องผ่านมาได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งในตอนนี้ เมื่อต้นไม้ทั้งสองถูกโค่นไปแล้ว เมฆก็จะต้องจางหายไปในเวลาไม่นาน

            “มีเวลาเพียงน้อยนิดสำหรับความโศกเศร้า แม้จะสูญเสียเพียงไร เราก็จะต้องสู้ต่อ เพราะศัตรูของเราไม่ได้หยุด”

            เสียงของเซ็นแวนเดอร์เอ่ยขึ้นข้างหลัง เขาก้าวมายืนข้างๆ กอร์ริน กอร์รินยิ้มให้กำลังใจ ไมริฟก้าวไปยืนอีกข้างของเซ็นแวนเดอร์ สีที่ทาหน้าเลือนออกไปบ้างเพราะเหงื่อและน้ำตา แต่เธอก็ยังมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง

            “พี่น้องจำนวนมากมายตายไป แต่พวกเราที่เหลือก็ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป” ไมริฟกล่าว

            ทั้งสองหันไปเห็นต้นไม้สีครามสองต้นถูกโค่น กำลังใจที่มีอยู่น้อยนิดก็ถดถอยลงไปอีก แต่ยังไงก็ยังไม่สิ้นหวัง ตามที่ซิวาลินขอร้องไว้ ในตอนนี้เมฆกรองแสงที่ปกคลุมทั้งเมืองหลวงกาโกคอลนั้นจางหายไปแล้ว โชคดีที่ยามนี้เป็นเวลากลางคืนพอดี พวกเขาจึงยังไม่ได้รับผลกระทบจากแสงแดด แต่หากศึกยืดเยื้อไปถึงเช้า พวกเขาจะรับแสงแดดเข้าไปเต็มที่ โดยไม่มีอะไรบัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา