พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) บทที่ 38 แฝดผู้น้อง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 38

แฝดผู้น้อง

 

            กองทัพดาร์คเนสดีวิลตั้งค่ายพักที่หุบเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่งในเมืองสตาติกสตอร์ม เมืองที่จองจำดาบแดนน้ำแข็งฟรอสท์ฟอร์เมอร์ พวกเขาอยู่ใกล้เมืองหลวงเดธแอเรียมากแล้ว นี่จะเป็นจุดพักทัพสุดท้าย จากนี้ไปเมื่อเคลื่อนทัพอีกครั้ง มันจะตรงไปยังฐานทัพเดธแอเรีย อากาศที่นี่หนาวเย็นมาก ท้องฟ้าก็มืดๆ ทึมๆ  แม้แต่เผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างดาร์คเนสดีวิลก็ยังต้องนั่งผิงไฟ ใบเล็ทเทรดจากพวกฟอเรสเทอร์นั้นแก้ปัญหาเรื่องเสบียงได้มาก ไม่มีใครหิวโหย ไม่ต้องเสียเวลาทำอาหาร ไม่ต้องมีเสบียงให้ขนย้าย แต่ทุกคนก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันถึงรสชาติอันยอดแย่ของมัน พวกเขากินมาหลายวันหลายมื้อแล้ว รู้สึกสะอิดสะเอียนเต็มที แต่มันก็คุ้มเมื่อแลกกับการลดความยุ่งยากไปได้มากโข ความหนาวเย็น ความแห้งแล้ง สภาพพื้นที่อันไม่ปลอดภัย การต้องทนกินใบไม้รสชาติแย่ๆ เพื่อประทังชีวิต ทั้งหมดนี้ไม่เป็นปัญหาแก่พวกดาร์คเนสดีวิลนัก พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชินกับความหนาวเย็นและความอดอยาก

          ความยากลำบากจริงๆ รอพวกเขาอยู่ที่เดธแอเรียต่างหาก พวกเขาต้องบุกเข้าหาศัตรูจำนวนมากกว่าที่อยู่บนป้อมและกำแพง มีอาวุธครบมือ มีอาวุธหนัก มีทัพอากาศ ไม่อยากนึกเลยว่าสภาพของพวกเขาจะกลายเป็นแบบไหน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ย่อท้อ เมื่อตั้งเป้าแล้ว จะต้องทำตามให้ถึงที่สุด

          โซลิแทร์ เซซิล และนักรบดาร์คเนสดีวิลจำนวนหนึ่งกำลังช่วยกันประกอบเครื่องกลโลหะชิ้นใหญ่ มันดูเหมือนคานงัดที่ด้านหนึ่งมีสว่านเกลียวขนาดยักษ์สำหรับให้เจาะลงพื้น

            “ประตูกำแพงของพวกเอลิลเป็นตะแกรงเหล็กแบบเลื่อนขึ้นเลื่อนลง ตะแกรงเหล็กมีข้อดีคือมันแข็งแกร่ง และมีช่องสำหรับให้ใช้อาวุธยาวๆ แทงผ่านหรือยิงผ่านไปก่อกวนข้าศึกที่อยู่หน้าประตูได้ โดยเฉพาะพวกที่พยายามจะพังประตู” โซลิแทร์อธิบายแก่พวกนักรบที่กำลังช่วยเขาประกอบเครื่องกล “แต่เราซึ่งเป็นฝ่ายโจมตีนั้น ก็ใช้ประโยชน์จากช่องเหล่านั้นได้เหมือนกัน มันทำให้เราสามารถสอดเครื่องกลเข้าไปงัดได้” เขาชี้ไปที่ส่วนหน้าของคานงัด “เครื่องกลของเราออกแบบให้มีคานสามตัวเพื่อเฉลี่ยน้ำหนัก แกนกลางของคานงัดจะมีแผ่นฝากำบังกระสุนปืนหรือหอกยาวที่ศัตรูจะแทงผ่านช่องตะแกรงมาก่อกวน ในเมื่อประตูเมืองของพวกเอลิลเป็นชนิดที่เลื่อนขึ้นเลื่อนลง เราก็จะงัดมันให้เลื่อนขึ้น”

            “ด้วยความเคารพครับ ท่านลอร์ดมืด” ดีวอเชอร์คนหนึ่งออกความเห็น “ประตูตะแกรงเหล็กทั้งหนักทั้งแข็งแกร่ง คานงัดมันช่วยผ่อนแรงก็จริง แต่ถ้าจะงัดประตูแบบนั้น เราต้องใช้แรงกดอย่างมหาศาล ซึ่งเครื่องกลตัวนี้ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือดูมีสิ่งผ่อนแรงนัก มันจะงัดขึ้นหรือครับ”

            “อย่าให้ขนาดหลอกตาได้ มันมีสิ่งผ่อนแรงอย่างมหาศาลทีเดียว” เซซิลขยับไปที่ด้านหลังคานงัด ส่วนที่มีสว่านเกลียวขนาดยักษ์สำหรับเจาะลงพื้น “หลักกลไกขั้นพื้นฐาน สว่านเกลียวคือตัวผ่อนแรงที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อใช้กับคานงัด หลักการเดียวกับแม่แรงที่ใช้กันอยู่ทั่วไป เราจะออกแรงงัดด้วยการหมุนสว่านเกลียวให้เจาะลงดิน” เขาวางมือบนส่วนท้ายสว่านที่ดูคล้ายพวงมาลัยเรือขนาดยักษ์ “โดยพวกเราหลายๆ คนจะช่วยกันหมุนตัวหมุนนี้ สว่านจะกดคานด้านหลังลง ทำให้คานด้านหน้างัดประตูขึ้น จนกระทั่งได้ระดับที่เราต้องการ และมันจะค้ำประตูให้เปิดไว้อย่างนั้น ต่อให้พวกเอลิลตัดตัวถ่วงน้ำหนักประตูออก มันก็ยังค้ำไหว”

            “หลังจากที่ประตูเปิด เหล่าทหารม้าปีศาจและยานเกราะจะบุกเข้าไป” โซลิแทร์พูดต่อ “การผ่านกำแพงและประตูไปได้ถือว่าสถานการณ์ของฝ่ายรุกดีมาก แต่ศึกครั้งนี้ข้าไม่อาจประเมินได้ อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าเรา”

            “เป็นไปได้ไหมครับ ว่าตอนนี้พวกเอลิลรู้แล้วว่าเรายกทัพมา” ดีเซ็นทรีคนหนึ่งถาม

            “เป็นไปได้” โซลิแทร์พยักหน้า “กองทัพจำนวนสามหมื่นไม่ใช่จะซ่อนจากสายตาใครได้ง่ายๆ พวกนั้นอาจเดาได้ตั้งแต่เราเคลื่อนทัพไปกาโกคอลแล้วด้วยซ้ำ”

            “แล้วพวกนั้นจะไม่บุกมาโจมตีเราระหว่างตั้งค่ายอยู่ที่นี่หรือครับ”

            “ไม่อย่างแน่นอน พวกผีฉลาดพอที่จะสู้ในแบบที่ได้เปรียบที่สุด” โซลิแทร์ตอบ “นั่นคือให้เราเป็นฝ่ายบุกเข้าหา โดยที่พวกนั้นอยู่บนป้อมและกำแพง มันสู้ง่ายกว่าเยอะ ฉะนั้น แม้ข้าศึกจะรู้ว่าเราตั้งค่ายอยู่ที่นี่ แม้ว่ากองทัพใหญ่เอลิลจะเคลื่อนพลผ่านไม่ไกลจากที่นี่ ยังไงก็จะไม่เข้าปะทะกับเรา”

            “หมายความว่าเรามีเวลาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ได้นานพอดู”

            “นานพอที่จะพักทัพให้หายเหนื่อย จัดการเรื่องต่างๆ ให้เสร็จสิ้น ก่อนจะเริ่มเคลื่อนทัพไปโจมตีฐานทัพเดธแอเรีย” โซลิแทร์พูด “ฉะนั้นพักผ่อนกันให้เต็มที่ เตรียมตัวให้พร้อม รวบรวมพลังให้มากที่สุด มันจะถูกใช้จนหมดเมื่อเราออกเคลื่อนทัพอีกครั้งอย่างแน่นอน”

            “ท่านลอร์ดมืดครับ” ดีเซ็นทรีอีกคนถามขึ้น “ในวันพรุ่งนี้ ท่านกับนักรบอีกยี่สิบสี่คนจะเดินทางไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งใช่ไหมครับ”

            “ใช่” โซลิแทร์ตอบ มีความรู้สึกกดดันอยู่ในน้ำเสียง

            “ได้โปรดให้ข้าเป็นหนึ่งในยี่สิบสี่คนนะครับ” ดีเซ็นทรีขอร้อง “เป็นไปได้สูงว่าท่านอาจทำไม่สำเร็จ ฉะนั้น ข้าขอเป็นหนึ่งในคนที่ได้ร่วมสู้รบครั้งสุดท้ายกับท่าน”

            “สไปค์ เจ้าอายุแค่ยี่สิบแปดปี อายุยังน้อย แต่กล้าหาญและเป็นนักรบที่ดีเยี่ยม ข้าดีใจที่ได้ร่วมรบกับเจ้า” โซลิแทร์จับไหล่อีกฝ่าย “แต่ทั้งยี่สิบสี่คนนั้นข้าจัดเตรียมไว้แล้ว แต่ละคนอายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า และมีขีดความสามารถสูงกว่าเจ้าในตอนนี้ อยู่ที่นี่เถอะ ร่วมรบกับพวกพ้องที่เหลือ หากข้าทำภารกิจไม่สำเร็จ อาจารย์เซซิลจะยิ่งต้องการเจ้า กองทัพของเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในสถานการณ์เช่นนี้ นักรบคนเดียวก็มีค่ามหาศาล”  

            กัปตันมาซูลขี่ม้าปีศาจตรงเข้ามาหา เลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น

            “เรียนท่านทั้งสอง” เขารายงาน “พบกองทัพใหญ่เอลิลแล้ว”

            “ข้าไปเอง” โซลิแทร์คว้ากล้องส่องทางไกล “อาจารย์เซซิล ท่านประกอบเครื่องกลให้เสร็จ”

            เซซิลทำแขนกากบาท โซลิแทร์ทำตอบกลับ แล้วปีนขึ้นม้าซ้อนท้ายกัปตันมาซูล ผู้ซึ่งสะบัดบังเหียนขี่พาออกไปจากค่ายอย่างรวดเร็ว

            พวกเขาขี่มาถึงเนินเขาลูกหนึ่ง สูงพอที่จะเห็นอะไรได้กว้างไกล ในตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เปลวไฟที่กีบเท้าม้าปีศาจของกัปตันมาซูลดับลงเพื่อพรางกาย ชุดเกราะสีดำของพวกเขาก็ช่วยพรางไปกับความมืดได้เป็นอย่างดี แว่วเสียงพื้นสะเทือนเป็นจังหวะ ฝีเท้าจำนวนมากก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือเสียงกองทัพขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนพล มีจำนวนมากพอจะพิชิตทั้งอาณาจักรได้ โซลิแทร์และกัปตันมาซูลลงจากหลังม้า หมอบคลานต่ำไปที่ขอบเนินอย่างเงียบเชียบชะโงกหน้ามองออกไป

            เหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองแม่น้ำสีเงินที่ยาวสุดสายตา กองทัพใหญ่เอลิล มีทั้งทหารราบ ทหารม้า พวกฟาร์ดาร์ราสที่บินอยู่เต็มท้องฟ้า ตลอดจนกองเกวียนลำเลียงอาวุธหนักและอุปกรณ์สงครามเกราะของทหารเอลิลทุกคนสะท้อนแสงดาวยามค่ำคืนเป็นประกาย ม้าผีพาหนะของพวกทหารม้าก็หุ้มเกราะหนากันทุกตัว ในตอนนี้ฟาร์ดาร์ราสทุกตัวมีเกราะสวมแล้ว เป็นเกราะที่หนาและแข็งแกร่งพอๆ กับเกราะของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ ไม่ต้องสงสัย ฝ่ายที่ต้องเผชิญกับกองทัพนี้จะลำบากสาหัสแน่

“นั่น” กัปตันมาซูลชี้มือ “เดลิลวาส”

            โซลิแทร์ส่องกล้องไปที่หัวขบวนกองทัพ เดลิลวาสเดินนำอยู่หน้ากองทัพ ชุดเกราะหนาสีเงินของเขาสะท้อนเปลวไฟบนไหล่ซ้ายโดดเด่นกว่าคนอื่น ศึกครั้งนี้เขาคือผู้นำทัพใหญ่

            “ท่านแพ้การต่อสู้ตัวต่อตัวเขามากี่ครั้งแล้วท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลถาม

            “ไม่ต่ำกว่าสอง” โซลิแทร์ตอบ “และมีอีกหลายครั้ง ที่เขาทำให้ข้าลงไปนอนบนพื้น”

            “แล้วใครในกาโกคอลจะสู้เขาไหว” กัปตันมาซูลพูดเสียงเครียด  

            “ที่ผ่านมาข้าทั้งฝึกซ้อมอย่างหนัก ทั้งศึกษาและประเมินรูปแบบการต่อสู้ของเขา ทั้งเรียนรู้ที่จะรับมือและตอบโต้ดาบคู่ แต่ข้าก็ยังแพ้เขาอยู่ดี” โซลิแทร์พูดอย่างขมขื่น “เชื่อว่าถ้าข้าได้ต่อสู้กับเขาอีกครั้ง ข้าก็คงจะแพ้อีก เขาเก่งเกินไปสำหรับข้า”

            “ท่านรู้ไหม กองทัพใหญ่นี้มีจำนวนมากกว่าที่เราประเมินไว้” กัปตันมาซูลส่องกล้องกราดมอง “มีประมาณหนึ่งแสนได้”  

            “ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ ว่าถ้ามีถึงหนึ่งแสน กาโกคอลแตกแน่” โซลิแทร์พึมพำ

            “กาโกคอลจะต้องแตกจริงๆ หรือ” กัปตันมาซูลหันมามองหน้า

            “เมื่อต้องสู้กับกองทัพนี้มันแตกแน่นอน” โซลิแทร์พยักหน้ากาก “ก็หวังว่าหลังจากที่มันแตก พวกฟอเรสเทอร์จะมีวิธีจัดการกับอนาคตของตนได้”

            “ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลเช็ดกระจกกล้อง “ดูนั่นสิ”

            โซลิแทร์ส่องกล้องไปในทิศทางที่กัปตันมาซูลชี้มือ เห็นใครสักคนอยู่บนภูเขาลูกตรงข้าม นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวสะอาด กำลังส่องกล้องมองกองทัพเอลิลเหมือนกัน เป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นผู้หญิง สวมชุดสีขาวเพื่อจะได้พรางไปกับหิมะ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่โซลิแทร์รู้สึกคุ้นตากับผมสีน้ำตาลทองของเธอมาก

            “นั่นมนุษย์” กัปตันมาซูลกระซิบ “เธอเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่”

            “แปลกมาก” โซลิแทร์ขมวดคิ้วผ่านกล้อง “มนุษย์ผู้หญิง มาทำอะไรที่นี่คนเดียว ในพื้นที่ที่มีแต่กองทัพเคลื่อนไปเคลื่อนมา”

            ทหารม้าเอลิลจากหน่วยลาดตระเวนคนหนึ่งขี่ม้าเข้าไปรายงานเดลิลวาส

            “เรียนท่านผู้บัญชาการรักษาการ เราพบเห็นควันไฟจากบนภูเขาลูกหนึ่ง”

            “เฉยไว้ทหาร ตอนผ่านมาข้าก็เห็น” เดลิลวาสเดินไปเรื่อยๆ “อาจเป็นพวกดาร์คเนสดีวิล กองทัพของพวกนั้นคงมาตั้งค่ายอยู่แถวนี้ เตรียมเคลื่อนพลไปตีฐานทัพของเราตามคาด ปล่อยให้พวกนั้นไปตามทางของพวกนั้น เราจะไปตามทางของเรา ปฏิบัติการจะได้ไม่ติดขัด เรื่องจัดการพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นหน้าที่ของกัปตันโพรเฟด”

            “กัปตันมาซูล” โซลิแทร์ส่องกล้องไปอีกทาง “ควันไฟนั่นมาจากไหน”

            มองเห็นควันไฟจางๆ บนภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ห่างจากตำแหน่งพวกเขาออกไปนัก

            “ผู้หญิงคนนี้เป็นคนก่อหรือเปล่า” กัปตันมาซูลส่องกล้องตาม

            “ไม่น่าจะใช่ เพราะตำแหน่งอยู่คนละทางกันเลย”

            “ไม่ใช่ควันไฟจากฝ่ายเรา” กัปตันมาซูลพูด “เผ่าพันธุ์เราก่อไฟด้วยแร่เชื้อเพลิง มันไม่เกิดควัน”

            “มันจะก่อขึ้นมาแบบไหนก็ไม่ควรถูกก่อขึ้นมา” โซลิแทร์หมอบคลานถอยออกจากขอบเนินแล้วลุกขึ้น ปัดหิมะออกจากชุดเกราะ “มันอาจดึงความสนใจจากหน่วยลาดตระเวนเอลิล ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเรา”

            ทั้งสองขึ้นม้าแล้วรีบควบตะบึงไปยังแหล่งกำเนิดควันบนยอดเขา มีกองไฟจริงๆ ด้วย มันก่อด้วยไม้จึงมีควัน จากสภาพแล้วคงถูกก่อขึ้นไม่นาน โซลิแทร์และกัปตันมาซูลลงจากพาหนะ ชักดาบออกมา ไม่เห็นใครอยู่แถวนี้

          “เราต้องรีบดับไฟ” โซลิแทร์ใช้เท้าเขี่ยหิมะกลบกองไฟ

          “ข้าขอแลกชีวิตกับพวกเจ้า พวกผีชั่วช้า”

          คนแคระในชุดเกราะสีแดงทองวิ่งออกมาจากด้านหลังก้อนน้ำแข็งพร้อมกับดาบสีแดงทองเล่มหนา โซลิแทร์และกัปตันมาซูลหันไปตั้งท่าเตรียมสู้ ทั้งหมดหยุดชะงักเมื่อเห็นหน้ากัน พวกเขาเคยพบกันมาก่อน

          “นี่ข้ามาพบอะไรเข้านี่” คนแคระมองโซลิแทร์และกัปตันมาซูลอย่างประหลาดใจ

          “เจ้า” โซลิแทร์ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยดาบอย่างไม่อยากเชื่อ

          ทรารุค สเคมโนส หัวหน้าคนแคระที่เคยพาพวกพ้องไปขุดสมบัติในเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้

          “ข้าคาดหวังว่าจะเป็นพวกเอลิล” สเคมโนสปักดาบลงพื้น “พวกท่านมาทำอะไรที่นี่”

          “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่” โซลิแทร์มองไปรอบๆ “แล้วคนแคระคนอื่นๆ อยู่ที่ไหน มาก่อกองไฟอย่างนี้ทำไม ความประมาทของพวกเจ้าจะทำกองทัพของข้าเดือดร้อน”

          “ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว มีข้าแค่คนเดียว” สเคมโนสพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น

          “แล้วผู้หญิงล่ะ”

          “ผู้หญิงไหน”

          “ผู้หญิงมนุษย์ ผิวขาวสะอาด ผมสีน้ำตาลทองหยักศก สูงประมาณนี้ ขี่ม้าตัวผู้สีขาว เธอไม่ได้มากับเจ้าหรือไง”

          “ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ ข้ายังไม่เห็นผู้หญิงสักคนเดียว มันเป็นเรื่องแปลกแน่ล่ะที่จะหาผู้หญิงเจอในดินแดนแบบนี้”

          “ท่านลอร์ด ข้าว่าคุยกันตรงนี้ไม่ค่อยปลอดภัย” กัปตันมาซูลเตือน “พากลับไปที่ค่ายของเรากันดีกว่า จะถามอะไรเขาค่อยถามให้ละเอียด”

          “ดีเหมือนกัน พอจะหาอะไรร้อนๆ ให้ข้าดื่มได้ไหม” สเคมโนสพูดอย่างมีความหวัง “แล้วข้าก็หิวจะแย่ ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน”

          “ควรพามนุษย์กลับไปที่ค่ายของเราหรือ” โซลิแทร์ไม่เห็นด้วย

          “หากว่ากันตามจริงแล้ว ข้าไม่ถือว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป ตั้งแต่พระราชาขับไล่ข้าและคนแคระคนอื่นๆ ออกจากโมราโซมอส--”

          “เอาเถอะ สโนฟ็อกซ์พูดถูก ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่คุยนานๆ” โซลิแทร์ตัดบท “เจ้ากลับไปค่ายกับเราได้ เจ้าจะได้รับอาหาร หลังจากนั้นข้าจะตัดสินใจเองว่าควรจะเอาดาบตัดคอเจ้าหรือไม่”

 

***************

 

            สเคมโนสดูมีความสุขมากขึ้นหลังจากได้นั่งผิงไฟและได้ดื่มทูมสโตนร้อนๆ  สภาพของเขาดูอิดโรยเหมือนเผชิญความยากลำบากมานาน ขอบตาคล้ำ หน้ามีริ้วรอยมากกว่าครั้งสุดท้ายที่พบ หนวดเคราแห้งกรอบ ชุดเกราะที่สวมก็ดูมีรอยขูดขีดมากขึ้น ขนสัตว์กันหนาวที่สวมก็ขาดๆ วิ่นๆ

            “เป็นเครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดื่มแล้วมีกำลังวังชา” เขาชูแก้วอย่างพออกพอใจ “แต่ไอ้ใบไม้นั่น บอกตรงๆ ว่ารสชาติแย่เป็นบ้า พวกท่านน่าจะมีเสบียงที่ดีกว่านี้นะ”

            โซลิแทร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกองไฟของสเคมโนส จ้องมองอีกฝ่ายผ่านเปลวไฟ เขาถอดหน้ากากออกเพื่อดื่มทูมสโตน แต่สีหน้าที่ปรากฏก็ไม่ได้แสดงความเป็นมิตรเลย ตาคมดุเรืองแสงอยู่ใต้หมวกฮู้ด ท่าทางของเขาพร้อมจะหยิบดาบที่วางอยู่ข้างตัวทุกเมื่อ

            “ยังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ ข้าไม่ใช่มนุษย์นะ” สเคมโนสยิ้มยิงฟัน “อย่างน้อยก็ไม่ใช่มนุษย์เต็มตัว”

            “นั่นคือเหตุผลที่เจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ โดยไม่มีดาบปักอยู่กลางหัวใจ” โซลิแทร์ตอบเสียงเย็น

            สเคมโนสไม่ว่าอะไร นอกจากยกแก้วขึ้นดื่ม

            “คนแคระคนอื่นๆ ไปไหนหมด” โซลิแทร์ถาม “ทำไมทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวที่นี่”

            “ตายหมดแล้ว” สเคมโนสพูดเสียงเบา “สองวันก่อน เราปะทะกับหน่วยลาดตระเวนเอลิล คนที่รอดมาได้ ไม่ตายก็บาดเจ็บหนัก สุดท้ายก็เหลือเพียงข้าแค่คนเดียว”

            “เสียใจด้วย” โซลิแทร์พูด

            “ท่านว่าอะไรนะ” สเคมโนสแทบจะไม่เชื่อหู

            “ข้าพูดไม่ชัดหรือไง ข้าบอกว่าเสียใจด้วย”

            “ข้าได้ยินชัด” สเคมโนสอดยิ้มไม่ได้ “แต่ไม่นึกว่าคำนี้จะออกมาจากปากท่าน ข้าคงมองท่านผิดไปจริงๆ บางทีท่านก็ไม่ร้ายอย่างที่เห็นนักหรอก”

            “ก็แค่” โซลิแทร์พึมพำ “บางอย่างที่ข้าซึมซับมาจากเพื่อนของข้า”

            “ถ้าเพื่อนทำให้ท่านเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ ข้าว่าท่านน่าจะมีตั้งนานแล้ว”

            “ข้ายังมีสิทธิ์ตัดคอเจ้าอยู่นะ” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “ตกลงเจ้ากับคนของเจ้าเดินทางมาทำอะไรที่นี่”

            สเคมโนสหุบยิ้ม ก้มหน้ามองแก้ว ถอนหายใจ นี่เป็นบุคลิกของเขาที่โซลิแทร์ไม่เคยเห็นมาก่อน จากคนแคระที่เพี้ยนๆ  ชอบทำอะไรเสียงดัง ดูเป็นพวกสมาธิสั้นอยู่นิ่งกับที่ไม่ได้ กลับกลายเป็นคนที่ดูเงียบขรึม น้ำเสียงของเขาที่พูดประโยคต่อมานั้นมั่นคงและสงบ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            “หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะขอเล่าอย่างละเอียดได้ไหม” เขาถาม “ไหนๆ ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว อย่างน้อยได้ระบายเรื่องของตนให้ใครสักคนฟังก็ยังดี มันมีเหตุผลนะที่ทำให้ข้ารู้สึกเสมอว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายมาก โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างข้าเลย”

            “เล่ามาสิ ข้าไม่ได้รีบร้อนไปไหนอยู่แล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า

            “จำได้ไหม ที่เดอะ สโนว์ฟ็อกซ์เคยถามข้าว่าทำไมพระราชาถึงเนรเทศข้าออกจากโมราโซมอส” สเคมโนสเตือนความจำ

            “ใช่ เขาเคยถาม” โซลิแทร์นึกได้ “แล้วก็จำได้ว่าเจ้าตอบคำถามแบบเลี่ยงๆ พวกเราเองไม่ค่อยสนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่น จึงไม่คิดจะซักไซ้ต่อ”

            “มันเริ่มจากที่ข้าต่อสู้ฝ่าฟันชีวิตมาจนประสบความสำเร็จ ข้าเป็นนักรบแห่งโมราโซมอสผู้เก่งกาจและมีชื่อเสียง ข้าเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมาย ได้เป็นข้าราชการระดับสูงคิดดูสิ เป็นคนแคระคนแรกที่สู้ทนการดูถูกดูแคลนจากพวกมนุษย์แท้ๆ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่มนุษย์แท้ๆ มากมายทำไม่ได้” สเคมโนสจับที่ชุดเกราะของตนยิ้มเศร้าๆ เมื่อระลึกถึงความหลัง“พระราชาก็ทรงโปรดปรานข้า ถึงขนาดไว้ใจให้ข้าเป็นที่ปรึกษาของพระโอรสองค์เดียว”

            “เจ้าชายอโลบัสใช่ไหม” โซลิแทร์ถาม “มนุษย์คนนี้แตกต่างจากมนุษย์คนใดที่ข้าเคยพบเจอ ตลอดเวลาที่ข้าเห็นเขา ข้าไม่มีความรู้สึกเหมือนเห็นมนุษย์เลย”

          “เขาเป็นคนที่พิเศษมาก” สเคมโนสพยักหน้า “เขาเรียนรู้ทุกอย่างได้เร็วกว่าคนทั่วไป เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและร่างกาย มีพรสวรรค์หลายด้าน แทบจะเรียกว่าเกิดมาเพื่อเป็นคนสมบูรณ์แบบก็ว่าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสอนเขาไปดูจะมีความหมายน้อยมาก เหมือนกับเขาสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องอาศัยข้า แต่เขาก็มีความผิดปกติที่ทำให้บรรดาคนใกล้ชิดงุนงง ยิ่งโตขึ้นก็ดูเหมือนเขาจะยิ่งห่างไกลความเป็นมนุษย์ เขากลายเป็นคนเฉยชาไร้อารมณ์อย่างเหลือเชื่อ นอนน้อยลง บริโภคน้อยลง ไม่สนใจเพศตรงข้าม ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่เคยโกรธแค้น ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยหัวเราะ และดูจะไม่มีความรู้สึกทางกายเลยมีข้าคนเดียวที่รู้ว่าเขาสามารถกลั้นหายใจได้เป็นวัน หรือบางที เขาก็ไม่ได้หายใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว ข้ารู้สึกว่ามันน่าจะมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ จึงพยายามค้นหาความจริงเท่าที่จะทำได้”

          คนแคระยกแก้วดื่มอึกใหญ่ โซลิแทร์รอฟังต่อไป

          “ข้าขุดคุ้ยหาความจริงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้” สเคมโนสเล่าต่อ “ข้าพบว่า อโลบัสกำเนิดมาจากเศษขี้เถ้าจากซากร่างของอันเซเมส หรือผู้ที่เราเรียกกันว่า ไอซ์ครีเอเทอร์

          “สรุปแล้วเจ้าชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเอลิล” โซลิแทร์กระซิบ “นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเดินบนผิวหิมะได้”

          “ข้าทูลเรื่องนี้แก่พระราชา เตือนพระองค์ เพราะตอนนั้นข้ารักและเคารพพระองค์” สเคมโนสพูดเรียบๆ  “แต่นั่นเป็นความผิดพลาดร้ายแรง พระองค์กลับโกรธแค้นเป็นอันมาก หาว่าข้าพูดโกหก ความจริงแล้วข้าคิดว่าพระองค์คงรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจมาตลอด แต่ไม่อาจยอมรับกับคนอื่นได้ ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของพระองค์จะป่นปี้ การสืบทอดบัลลังก็จะปั่นป่วน มันต้องปั่นป่วนแน่นอนอยู่แล้วเมื่อทุกคนรู้ความจริงว่าทายาทราชบัลลังก์อันดับหนึ่งเป็นเอลิล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความลับแพร่งพราย พระองค์จึงหาเรื่องใส่ความข้าและขับไล่ข้าออกไปจากโมราโซมอสอย่างถาวร” สเคมโนสพูดอย่างขมขื่น“หน้าที่การงานของข้า เกียรติประวัติผลงานต่างๆ ที่ข้าสร้างมา ทุกอย่างเป็นอันจบสิ้น ชีวิตมันตลกดีใช่ไหม คนคนหนึ่งผู้ซึ่งกำลังประสบความสำเร็จเต็มที่นั้น กลับต้องสูญเสียทุกสิ่ง เพราะความจงรักภัคดี”

          มือของเขาเอื้อมไปแตะที่ชุดเกราะ บริเวณที่เคยมีตราสัญลักษณ์เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ คาดว่าเขาคงกะเทาะมันออกตั้งแต่ถูกเนรเทศออกมา

          “นับแต่นั้น ข้าก็กลายเป็นคนเร่ร่อนอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่มีแผ่นดินของตนเอง ไม่มีที่ใดที่ข้าสามารถจะเรียกว่าบ้านได้ สิ่งที่ข้ามีก็คือบรรดาพรรคพวกคนแคระจำนวนหนึ่งที่ขอติดตามเดินทางมาด้วย” สเคมโนสยิ้มอย่างหดหู่ “ความจริงแล้ว คนแคระทั้งหมดที่เหลืออยู่ในโมราโซมอสต่างก็ขอติดตามข้ามา แต่ข้าขอร้องให้พวกเขาอยู่ที่เดิม ข้าไม่อยากให้คนแคระต้องมาเผชิญสิ่งเดียวกับข้ามากกว่านี้ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีที่ยืนสักแห่งในดาวดวงนี้ ใครไม่ได้พบเจอกับชะตากรรมนี้จะไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน มีชีวิตเคว้งคว้างอยู่ไปวันๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร”

          เขากระดกแก้วดื่มรวดเดียวหมด โซลิแทร์ยื่นกามารินเติมให้เขาอีก ปฏิบัติตัวดีด้วยขึ้นมาทันทีหลังจากได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขามากขึ้น

          “ข้าหวังว่าพวกพ้องคนแคระที่เหลืออยู่ในโมราโซมอสจะมีชีวิตที่ดีกว่าข้า แต่เปล่าเลย ข้าประเมินอคติของพระราชาต่อคนแคระต่ำไป” สเคมโนสดื่มจากแก้วอีกครั้ง “พระราชาขับไล่พวกเขาออกจากดินแดนแห่งเดียวที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน บีบให้พวกเขาเข้าไปวุ่นวายในดินแดนของพวกท่าน พระองค์ช่างเหี้ยมโหด ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่พระองค์ทำเช่นนี้เพราะยังรู้สึกแค้นเคืองข้าหรือเปล่า”

          “สเคมโนส” โซลิแทร์เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ข้า--”

          “รู้กันอยู่ว่าถ้าให้พวกพ้องของข้าเข้าไปทำวุ่นวายในโฟรเซ็นทิเนล พวกท่านจะต้องฆ่าพวกเขาหมดแน่ เรื่องนี้พระราชาก็รู้ดี และพระองค์ก็คงต้องการอย่างนั้น จริงอยู่ท่านฆ่าพวกเขา และข้าก็ไม่ได้บอกว่าท่านไม่ผิด แต่คนที่ผิดที่สุดนั้นไม่ใช่ท่าน” สเคมโนสดื่มอึกใหญ่ “ช่างเถอะ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”

          เขายื่นแก้วให้โซลิแทร์ขอเติมอีก โซลิแทร์รินเติมให้อีกทันที หากเป็นเหล้าป่านนี้คงเมาไปแล้ว

          “ข้าและบรรดาผู้ติดตามจึงกลายเป็นคนแคระกลุ่มสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในดาวดวงนี้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร เรายังคงเร่ร่อน หาที่ยืนสักที่ในดาวดวงนี้ไม่ได้ มีชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ไปที่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้องการ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือหาเหล้าดื่มและรอให้แต่ละวันมันหมดไป” สเคมโนสจ้องมองแก้วอย่างแน่วแน่ “จนกระทั่งข้าได้ทราบข่าวจากนาวิกโยธินบางคนที่ข้าเคยรู้จัก ว่าเจ้าชายอโลบัสล่องเรือไปไอซ์เมสบริเวณเมืองสกัลล์ฟิลด์ ข้าเริ่มคิดแล้วว่าความเป็นเอลิลที่ซ่อนอยู่ในตัวเขามานานอาจถูกเปิดเผยชัดเจนขึ้นเมื่อเขาได้ไปเหยียบดินแดนที่แท้จริงของตน และอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนั้น สภาพอากาศก็เปลี่ยนไป ดาวดวงนี้เสียความสมดุลเพราะดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อย มันชัดเจนสำหรับข้าแล้ว อโลบัสจะต้องเป็นคนปลดปล่อยมันอย่างแน่นอน”

          “ท่านมั่นใจเรื่องนี้ใช่ไหม” โซลิแทร์ขอคำยืนยัน

          “มั่นใจยิ่งกว่าสิ่งใดที่ข้าเคยมั่นใจมา” สเคมโนสยืนกราน “นั่น เป็นครั้งแรกตั้งแต่ข้าถูกขับไล่ออกจากโมราโซมอสที่ข้ารู้ตัวว่าควรทำอะไร ดาวดวงนี้เสียความสมดุลมันไม่ใช่เรื่องดี ข้าเคยเป็นที่ปรึกษาของอโลบัส อย่างน้อยข้าก็เคยใกล้ชิดกับเขามากกว่าคนอื่น มันควรมีอะไรสักอย่างที่ข้าพอทำได้ ข้าและเหล่าผู้ติดตามจึงตัดสินใจล่องเรือมาที่ไอซ์เมส ณ เมืองสกัลล์ฟิลด์ ใช้ทองที่ได้จากพวกท่านในการซื้อเรือ ข้าจะค้นหาอโลบัสให้พบ จะพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” เสียงของเขาบ่งบอกถึงความมุ่งมั่น“แต่ไม่ว่าเราจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบเขา พบแต่ความว่างเปล่า เพิ่งตระหนักได้ว่าอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้มันกว้างใหญ่แค่ไหน ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้ติดตาม พวกเราจึงได้แต่ตามหาไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งไปปะทะกับหน่วยลาดตระเวนเอลิลบริเวณเขตเมืองหลวงเดธแอเรียเราหนีมายังเมืองนี้ได้ แต่ก็ตายกันเกือบหมด ที่หนีรอดมาได้ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไปทีละคน สุดท้ายแล้วก็เหลือข้าเพียงคนเดียว” สเคมโนสยกแก้วกระดกรวดเดียว ไม่สนใจความร้อนที่จะทำให้ปากคอพอง “คนแคระคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในดาวดวงนี้ รอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ ช่างเป็นชีวิตที่น่าสมเพชยิ่งนัก อยู่ไปจะมีความหมายอะไร ดังนั้นข้าจึงก่อกองไฟ จะดึงความสนใจพวกเอลิลเข้ามาเพื่อจะได้ต่อสู้จนตัวตาย แต่กลับกลายเป็นว่าข้าได้พบพวกท่านแทน” สเคมโนสชูแก้วเปล่าให้โซลิแทร์ “นั่นคือเรื่องทั้งหมดของข้า ข้าเล่าทุกสิ่งทุกอย่างออกมาแล้ว หลังจากนี้หากท่านตัดสินใจที่จะตัดหัวข้าก็ทำเถอะนะ ชีวิตข้ามันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว”

          “ข้าเหนื่อยกับการฆ่าคนแคระแล้ว” โซลิแทร์ดื่มจากแก้วของตน

          “ไม่เรียกข้าว่ามนุษย์แล้วหรือ”

          “ไม่รู้สิ ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกแล้วว่าท่านไม่เหมือนพวกนั้น”

          “ว่าแต่ท่านยกทัพมาที่นี่ตั้งมากมาย จะทำอะไรกันแน่” สเคมโนสถาม

          “เข้าตีฐานทัพเดธแอเรีย”

          “บอกข้าทีว่าท่านจะเปลี่ยนใจไม่ทำอย่างนั้น”

          “ข้าเองก็หวังว่าตนเองจะเปลี่ยนใจเช่นกัน”

          “พวกเอลิลส่วนใหญ่อาจเคลื่อนพลออกจากฐานทัพไปแล้ว แต่ที่เหลือเฝ้าฐานทัพก็ยังมีจำนวนมากกว่าพวกท่าน” สเคมโนสว่า “ตามหลักการสงครามแล้ว ฝ่ายรุกควรมีจำนวนมากกว่าฝ่ายรับหลายเท่า เพราะฝ่ายรับมีป้อมมีกำแพง แต่นี่อะไร พวกท่านเป็นฝ่ายรุก แต่กลับมีจำนวนน้อยกว่า”

          “คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้หรือไง” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อหวังจะเอาชนะ แต่มาเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่พวกเอลิล ชะลอให้พวกนั้นปฏิบัติการได้ช้าลง”

          “แลกกับที่พวกท่านอาจจะตายกันหมด มันคุ้มค่าหรือ” สเคมโนสถามต่อ “พวกท่านทำเช่นนี้ทำไม”

          “ความหวัง” โซลิแทร์ตอบ “เพื่อให้เพื่อนๆ ของเรายังมีความหวังที่จะสู้ต่อ จริงอยู่ มันอาจช่วยอะไรได้ไม่มากนัก มันอาจเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้ ยังไงเราก็คงหลีกหนีความพ่ายแพ้ไม่ได้ แต่อย่างน้อย ตลอดช่วงเวลาที่เรายังไม่แพ้นั้น เรายังมีความหวังอยู่ มันก็มีความหมายมากแล้ว”

          “นั่นสินะ ความหวัง คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย การมีชีวิตอย่างสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่ามันเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าแค่ไหน” สเคมโนสถอนหายใจ “แต่รู้ไหม ข้านึกภาพดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายบุกเข้าหากำแพงและป้อมของศัตรูไม่ออกเลย คิดดูสิ ท่านถือดาบยาวๆ เล่มนั้นวิ่งนำหน้ากองทัพสีดำตรงเข้าไปหากระสุนปืนและจรวดที่พุ่งลงมาจากกำแพง”

          “ความจริงแล้ว” โซลิแทร์สูดหายใจลึกๆ อย่างกดดัน “ข้าอาจไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น”

          “หมายความว่ายังไง”

          “ในวันพรุ่งนี้ ข้ากับนักรบฝีมือดีอีกยี่สิบสี่คน จะไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งอีกเล่ม” โซลิแทร์บอก “ท่านก็คงรู้ดี โอกาสที่จะทำสำเร็จมันน้อยมาก หากข้าทำไม่สำเร็จ ก็หมายความว่าไม่ได้รอดกลับมานำทัพ เดอะ เจสเทอร์จะทำหน้าที่แทนข้า”

          โซลิแทร์นั่งเงียบไป ดื่มจากแก้วเพื่อลดความเครียด สเคมโนสดูมีท่าทีตื่นเต้น เหมือนได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ชีวิตควรจะทำแล้ว

          “ให้ข้าไปด้วยนะ” เขาขอร้อง

          โซลิแทร์ลดแก้วลง มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ

          “ข้ารู้ว่าในอุโมงค์แห่งนั้นมันอันตราย แต่ข้าไม่กลัวอันตราย ข้าไม่กลัวตาย ข้าก็เป็นนักรบเหมือนกัน นักรบฝีมือดีมากเสียด้วย ข้ามั่นใจว่าข้าเก่งกว่านักรบอีกยี่สิบสี่คนที่ท่านจัดเตรียมไว้” สเคมโนสพูดรัวเร็ว “เรื่องในอุโมงค์ควรมีคนแคระไปด้วยไม่ใช่หรือ”

          “เรื่องความสามารถของท่านข้าไม่สงสัย พวกมนุษย์ดูถูกดูแคลนและจำกัดสิทธิ์คนแคระมาตลอด ถ้าไม่เก่งจริงท่านคงไต่ระดับมาถึงขนาดนี้ไม่ได้” โซลิแทร์บอก “แต่นี่มันไม่ใช่การต่อสู้ของท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องสู้เพื่อสิ่งนี้”

          “แล้วยังมีสิ่งใดเหลือให้ข้าได้สู้เพื่อมันอีกล่ะ” สเคมโนสถามกลับ “ชีวิตข้ามันไม่เหลืออะไรอีกแล้วแบล็กไรดิงฮู้ด ข้ามันก็คนแคระแก่ๆ ที่อยู่อย่างสิ้นหวังไปวันๆ เท่านั้น แต่ข้าก็เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ความสมดุลของดาวดวงนี้กลับคืนมา นี่เป็นโอกาสที่ข้าจะได้สานต่อ”

          โซลิแทร์นั่งเงียบ จ้องมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

          “ได้โปรด แบล็กไรดิงฮู้ด” สเคมโนสอ้อนวอน “ตลอดเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าไม่เคยรู้ชัดว่าตนต่อสู้เพื่อสิ่งใด ขอให้มีสักครั้งในชีวิต ที่ข้าได้ต่อสู้ในสิ่งที่ตนรู้สึกว่ามีความหมายกับชีวิตบ้าง”

          โซลิแทร์ยังคงไม่เอ่ยปาก

          “เอาอย่างนี้ดีไหม มาให้โชคชะตาตัดสินอย่างที่เคยทำ” สเคมโนสหยิบเหรียญออกมา “ออกหัวข้าไม่ไป ออกก้อยให้ข้าไปกับท่าน”

          แล้วเขาก็โยนเหรียญขึ้นแล้วแบมือรับไว้ มันออกก้อย

          “หากนั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ” โซลิแทร์ยอมตาม “พรุ่งนี้ ท่านจะเป็นหนึ่งในยี่สิบห้าคนของเรา พักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมตัวให้พร้อม”

          “เยี่ยมที่สุด” สเคมโนสยื่นมือมาข้างหน้าขอจับมือด้วย “ตกลงนะ”

          “ข้าเคยพูดว่า” โซลิแทร์ยังไม่จับมือด้วย “ยื่นมือเข้าไปในเปลวไฟ ให้มันแผดเผาจนเหลือแต่กระดูกยังรู้สึกดีกว่ายื่นไปจับมือเพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับมนุษย์ และข้าก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่”

          “งั้นไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา” สเคมโนสถอยมือกลับ

          “ถามอะไรหน่อยสิ” โซลิแทร์สงสัย “ท่านบอกว่า รู้สึกว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายมาก โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างท่านเลย แต่ทำไมหลายต่อหลายครั้ง ท่านถึงฝากชีวิตของตนให้เหรียญนั่นตัดสิน”

          “แม้โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างข้า” สโคมโนสยกแก้วดื่ม “แต่ข้าเชื่อว่าบางครั้ง เราก็อาจสร้างโชคขึ้นมาเองได้”

          “พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ”

          “ช่างหัวมันเถอะ อย่าไปทำความเข้าใจอะไรกับโชคชะตานักเลย” สเคมโนสพูดอย่างสบายอารมณ์ “เพราะยังไงภารกิจในวันพรุ่งนี้ เราพึ่งพาโชคชะตาไม่ได้แน่”

 

**************

 

          ในยามสายของวันรุ่งขึ้น โซลิแทร์เดินออกจากกระโจมโดยสวมชุดเกราะติดอาวุธเตรียมพร้อมรบ มือข้างหนึ่งถือแผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ เขาพบสเคมโนสที่สวมชุดเกราะเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งผิงไฟหน้ากองไฟเงียบๆ  วันนี้เหมือนเขาจะปรับแต่งรูปลักษณ์ให้ดูดีกว่าที่ผ่านมา เคราและผมเผ้าถูกจัดแต่งให้เป็นทรง ชุดเกราะก็ดูเงาขึ้น ทำให้โซลิแทร์พอนึกภาพในช่วงที่เขาเคยเป็นข้าราชการมนุษย์ชั้นสูงออก เมื่อวานเขาดูสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก แต่วันนี้เขาดูกระตือรือร้นเหมือนว่ามันเป็นวันสำคัญในชีวิต

          “ท่านตื่นเช้ามาก” โซลิแทร์ทัก

          “ตั้งแต่ก่อนสว่าง เคยตื่นอย่างนี้ตั้งแต่ยังรับราชการอยู่ในโมราโซมอส” สเคมโนสตอบ แล้วมองไปรอบๆ ค่าย ดาร์คเนสดีวิลส่วนใหญ่เพิ่งออกมาจากกระโจม “ดาร์คเนสดีวิลนี่ตื่นสายนะ” 

          “เวลาดำเนินชีวิตเราต่างจากมนุษย์ เราใช้ชีวิตกันดึก” โซลิแทร์ตอบ “เชื่อข้าเถอะ การตื่นเช้ามันไม่ได้ทำให้การทำงานดีขึ้นหรอก”

          “ก็จริงของท่าน” สเคมโนสลุกขึ้นปัดหิมะออกจากชุดเกราะ “ระบบราชการมนุษย์มันห่วยแตกยิ่งกว่าสิ่งใดในดาวดวงนี้”

          “ท่านพร้อมนะ” โซลิแทร์ถาม “ทานอาหารเช้าแล้วใช่ไหม”

          “ไอ้ใบไม้นั่น ข้าหวังจริงๆ ว่าจะไม่ต้องกินมันอีก แต่ข้าก็พร้อมที่สุดเท่าที่จะพร้อมได้แล้ว” สเคมโนสพูดอย่างกระตือรือร้น เอื้อมมือไปแตะดาบเล่มหนาที่สะพายอยู่ข้างหลัง

            กัปตันมาซูลและเซซิลเดินเข้ามาหาทั้งสอง ดีเซ็นทรีสิบสองคนและดีวอเชอร์สิบเอ็ดคนตามมาด้วย ทุกคนสวมชุดเกราะติดอาวุธพร้อมนักรบทั้งยี่สิบสามคนนี้จะร่วมเดินทางไปปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอเมอร์ร่วมกับพวกเขา แต่ละคนทำแขนกากบาทแสดงความเคารพโซลิแทร์ โซลิแทร์ทำตอบกลับ พยักหน้าให้อย่างซึ้งใจ

            “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสู้กับพวกท่าน” โซลิแทร์กล่าว “พวกท่านเป็นนักรบฝีมือดีกันทุกคน”

            “เช่นกัน ท่านลอร์ดมืด” ทั้งยี่สิบสามคนกล่าวพร้อมกัน

            “เราไม่รู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ในอุโมงค์” โซลิแทร์กล่าว “อาจเป็นสิ่งที่ร้ายกาจจนคนทั่วไปไม่อยากเข้าใกล้ แต่เราทั้งยี่สิบห้าคนก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เราไม่หวาดหวั่นที่จะก้าวเข้าไป”

            “เราคือกำแพง” ทั้งยี่สิบสามคนพูดพร้อมกันเสียงดัง

            นักรบคนอื่นๆ ในค่ายเข้ามาล้อมรอบพวกเขาโดยไม่มีใครสั่ง ทุกคนต้องการจะมาให้กำลังใจ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าเห็นตากัน ทั้งยี่สิบห้าคนนี้อาจไม่ได้กลับออกมาจากอุโมงค์คำสาปอีกเลย

            “ทุกท่าน” โซลิแทร์พูดด้วยเสียงนุ่มนวลแต่เด็ดเดี่ยว มองไปรอบๆ “ข้าจะกลับมาปักดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ต่อหน้าพวกท่านทุกคน หรือไม่ ก็จะไม่มีวันได้กลับมาพบเจอกันอีก หากเป็นอย่างที่สอง ข้าก็ขอลาพวกท่านตรงนี้เลย”

            เขาทำแขนกากบาท นักรบดาร์คเนสดีวิลที่อยู่รอบตัวก็ทำแขนกากบากให้เขา เสียงเกราะกระทบกันดังระงมทั่วทั้งบริเวณ

          “เราสองคนจะไปส่งพวกท่าน” กัปตันมาซูลจับไหล่โซลิแทร์

          “ไปกันเถอะ” เซซิลจับไหล่อีกข้าง

          โซลิแทร์ดูแผนที่ในแผ่นคำสาปแล้วเดินนำทางทุกคนออกจากค่าย จุดหมายนั้นอยู่ไม่ห่างจากค่ายนักเพราะเขาศึกษาแผนที่ในแผ่นคำสาปมาก่อนและเลือกตั้งค่ายใกล้ๆ  อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องไต่ขึ้นภูเขาน้ำแข็งที่สูงชันและเสี่ยงอันตราย บ่อยครั้งที่โซลิแทร์ต้องดึงสเคมโนสขึ้นมาจากพื้นหิมะหนาเขาจมลงไปมิดหัว กว่าพวกเขาจะปีนขึ้นไปถึงยอดเขาได้ก็นับว่าเหนื่อยเอาเรื่องทีเดียว บนยอดเขาลูกนี้มีหมอกค่อนข้างมาก พื้นที่พวกเขายืนอยู่เป็นน้ำแข็งล้วนๆ  น่าแปลกที่มันไม่มีหิมะปกคลุมแม้แต่น้อย

          “ที่นี่ล่ะ” โซลิแทร์ตรวจดูแผนที่อีกครั้ง

            ทุกคนมองไปรอบๆ อย่างไม่แน่ใจนัก

          “ข้าไม่เห็นทางเข้าตรงไหนเลย” สเคมโนสพูด

            โซลิแทร์ยกแผ่นคำสาปขึ้นมาอ่านออกเสียงเป็นภาษาดาร์เคน มันเป็นเสียงระดับเดียว พูดเบาๆ แต่ได้ยินชัดไปทั่ว น้ำเสียงเย็นเยือกไร้ความรู้สึก เหมือนว่ามันทำให้อากาศเย็นลงอีก ชวนให้ขนลุกไม่น้อย ทุกคนมองเขาอ่านข้อความในแผ่นคำสาปจนจบ ไม่นึกว่าการใช้ภาษาดาร์เคนจะทำให้ใครสักคนดูมีอำนาจน่ากลัวขึ้นมาก

            พื้นน้ำแข็งที่อยู่กึ่งกลางยอดเขาค่อยๆ เลื่อนเปิดออกช้าๆ เป็นช่องหกเหลี่ยม  มีบันไดวนที่ทำด้วยน้ำแข็งทอดลึกลงไปในละอองหมอกสีขาวเบื้องล่าง สเคมโนสและนักรบดาร์คเนสดีวิลอีกยี่สิบสามคนมองลงไป สีหน้าตื่นเต้นนิดๆ  นี่คือที่ที่พวกเขาจะลงไป ไม่รู้ว่ามีอะไรรอยู่ข้างล่าง

            “ในตอนนี้ท่านรักษาการณ์ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล อาจารย์เซซิล ท่านสามารถใช้สัญญาณพลุได้” โซลิแทร์จับไหล่เซซิล “หากอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงข้าไม่กลับไปที่ค่าย ท่านนำกองทัพบุกเดธแอเรียได้เลย”

            เซซิลพยักหน้า ดูมีสีหน้าเศร้าสร้อย

            “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ศึกสงครามจะต้องดำเนินต่อไป” โซลิแทร์หันไปจับไหล่กัปตันมาซูล “จงเข้มแข็ง พี่ชายข้า ท่านอาจเคยเป็นคนขี้ขลาด แต่ตอนนี้ ท่านคือคนที่กล้าหาญที่สุดที่ข้าเคยพบมา”

          เซซิลและกัปตันมาซูลดึงโซลิแทร์เข้าไปกอด โซลิแทร์กอดทั้งสองแน่น ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ทั้งสองคือผู้ที่เขาเรียกว่าครอบครัว เป็นสิ่งที่มีความหมายมากสำหรับชีวิตอันโดดเดี่ยวของเขา

          แล้วโซลิแทร์ก็ถอยจากทั้งคู่ สูดหายใจลึกๆ ผ่านหน้ากาก ก้าวลงบันไดวนไปเป็นคนแรก สเคมโนสและนักรบดาร์คเนสดีวิลอีกยี่สิบสามคนเดินตามลงมา เซซิลและกัปตันมาซูลยืนมองจนกระทั่งนักรบคนสุดท้ายเดินหายลงไปในช่องอุโมงค์ แล้วช่องอุโมงค์ก็เลื่อนปิดอย่างรวดเร็ว ตัดขาดทุกสิ่งในอุโมงค์จากโลกภายนอก ทุกอย่างเงียบสงัดเหมือนทั้งยี่สิบห้าคนนั้นหายสาบสูญไปแล้ว

          ลึกลงไปที่สุดบันไดอุโมงค์นั้น ผู้กล้าทั้งยี่สิบห้าคนลงมาพบทางตัน ผนังรอบด้านพวกเขาเป็นน้ำแข็ง มันมีแสงสว่างออกมาเหมือนเป็นกระจกหน้าต่างรับแสงแดด ไม่ต้องใช้ตะเกียง ในอุโมงค์นี้สว่างไสวยิ่งกว่าแสงแดดจริงๆ นอกอุโมงค์เสียอีก

          “ทางตัน” สเคมโนสชี้ไปยังผนังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา มันมีข้อความภาษาดาร์เคนสลักอยู่ “ท่านอ่านออกไหมแบล็กไรดิงฮู้ด”

          โซลิแทร์แตะนิ้วที่ข้อความ ตัวอักษรเรืองแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้น แล้วผนังด้านนั้นก็เลื่อนเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นห้องใหม่อีกห้องหนึ่ง มีหมอกควันสีขาวหนาทึบจนมองสิ่งที่อยู่ในห้องไม่เห็น

          “ข้อความนั่นมีความหมายว่าอะไรหรือ” สเคมโนสถาม

          “ประมาณว่าให้ใช้นิ้วแตะ” โซลิแทร์ชักดาบออกมา “ทุกคน ตามข้ามา”

            เพียงแค่ก้าวขยับไปข้างหน้าเล็กน้อย หมอกควันสีขาวที่ล่องลอยบดบังอยู่ในห้องก็จางหายไป เผยให้เห็นห้องประหลาดที่มีหญ้ารกเต็มพื้น หญ้าสูงท่วมหัว ขึ้นเบียดเสียดกันแน่นหนา แต่ละคนมองป่าหญ้าด้วยความงงงวย หญ้าสีเขียวสดรกๆ อย่างนี้มาขึ้นบนพื้นหิมะที่เย็นจัดได้อย่างไร

          “ทุกคนรวมกลุ่มกันไว้และตามข้ามา” โซลิแทร์กระซิบ “อันตรายอาจมีอยู่รอบด้าน ข้าแน่ใจว่าห้องนี้ไม่ได้มีแต่หญ้า”

            เขาเดินลุยพงหญ้าใช้ดาบฟันหญ้าทิ้งไปพลางๆ  ทุกคนเดินไปอย่างระมัดระวัง รู้สึกแปลกๆ ราวกับกำลังถูกอะไรบางอย่างล้อมอยู่เงียบๆ

          “ทุกคนหยุดก่อน” โซลิแทร์ยกมือขึ้นห้าม “ข้าได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวในพงหญ้า”

            ทุกคนหยุดชะงัก พวกดีเซ็นทรีกระชับหอกสามง่ามในมือเตรียมสู้ พวกดีวอเชอร์ยกมือขวาเตรียมใช้วงแหวนฮีเลียม มีเสียงเคลื่อนไหวตามพงหญ้าจริงๆ  บางอย่างที่มีพลังและพลิ้วไหวเหมือนน้ำ มีจำนวนมากมายอยู่รอบตัวพวกเขา โซลิแทร์พอเดาได้ว่ามันคืออะไร แต่ก่อนจะทันได้บอกทุกคน อสรพิษร้ายที่มีตาสีเหลืองและมีปุ่มเรืองแสงเรียงกันอยู่บนหลังก็ผงกหัวขึ้นมาจะฉกกัดเขา แต่เขาตวัดดาบตัดคอมันได้ก่อน พร้อมกับฟันหญ้าหายไปแถบใหญ่

          “งูพิษเซอร์ฟาร์รู” โซลิแทร์บอก“ทุกคนระวัง เราไม่มีเซรุ่มแก้ใครถูกฉกจะตายภายในสิบวินาที”

          งูพิษอีกหลายตัวโผล่ขึ้นมาจะฉกกัดคนอื่นๆ เช่นกัน โชคดีที่พวกดีเซ็นทรีมีหอกสามง่ามยาวๆ อยู่คนละเล่ม จึงใช้มันแทงจัดการงูได้ก่อนที่พวกมันจะเข้ามาใกล้ โซลิแทร์ตัดคองูที่เลื้อยเข้ามาทีละตัว สเคมโนสฟันดาบใหญ่สังหารงูอย่างชำนาญ พวกดีวอเชอร์ปล่อยวงแหวนสีขาวใส่งูที่เลื้อยเข้ามาจนพวกมันกระจายเป็นชิ้นๆ  โล่ยาวในมืออีกข้างก็สับคอตัวที่เข้ามาใกล้ด้วยขอบโล่คมๆ  มีงูสองสามตัวฉกกัดพวกเขาได้ แต่กลับทำให้เขี้ยวยาวๆ ของพวกมันแทบหักเมื่อมันฉกไปโดนเกราะอันแข็งแกร่งของพวกดีเซ็นทรีหรือชายเสื้อคลุมแผ่นโลหะของพวกดีวอเชอร์ ปราการด่านนี้ดูจะไม่ยากอย่างที่คิด ทุกคนเดินลุยพงหญ้าไปอย่างไม่ยากเย็นและฆ่างูที่โผล่มาตามทาง จนกระทั่งมาถึงผนังห้องอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งหนนี้เป็นทางตันสนิทไม่มีข้อความใดๆ สลักไว้ แล้วพวกเขาจะผ่านด่านกันยังไง

          “ต้องฆ่างูในห้องนี้ให้หมด” โซลิแทร์กระทืบหักคองูตัวหนึ่งที่งับรองเท้าบู๊ตโลหะของเขา“แล้วข้อความจะปรากฏบนผนัง”

            ดังนั้น พวกเขาจึงลุยป่าหญ้ากลับเข้าไปใหม่และสังหารงูทุกตัว จนกระทั่งมีข้อความปรากฏขึ้นบนผนังห้องบ่งบอกว่าพวกเขาได้สังหารงูทุกตัวตายแล้ว โซลิแทร์เดินเร็วๆ ไปที่ผนังห้องด้านนั้น ทุกคนเดินตามไปไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียขวัญเลย

            “มิน่า หน่วยรบดาร์คเนสดีวิลถึงมีแต่พวกเกราะหนัก” สเคมโนสเช็ดเลือดงูออกจากดาบ “มีเหล็กหุ้มทั้งตัวขนาดนี้มันป้องกันอันตรายได้ไม่น้อย”

          “พวกเราโชคดีที่สวมเกราะแข็ง ด่านนี้จึงง่ายแต่ทุกคนอย่าเพิ่งลำพองใจ มันเป็นจิตวิทยาของพวกไซคัส ให้เราลดความระมัดระวังลง” เขาใช้นิ้วแตะตัวอักษร “เชื่อว่าด่านต่อไป มันจะไม่ง่าย”

            ผนังห้องด้านนั้นเลื่อนเปิดขึ้น พวกเขาก้าวเข้าไปในห้องใหม่ที่ปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาว แล้วผนังห้องก็เลื่อนปิดตามหลัง หมอกควันในห้องจางหายไป พวกเขาอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูงลิ่วเช่นเดียวกับห้องที่แล้ว เพียงแต่หนนี้ พื้นห้องส่วนหนึ่งเป็นน้ำทะเล สเคมโนสจ้องมองแอ่งน้ำทะเลอย่างพิศวง มันประหลาดกว่าห้องที่แล้วเสียอีก

          “ต้องมีอะไรอยู่ในน้ำ” โซลิแทร์เตือน “ทุกคนระวังด้วย”

            พูดยังไม่ทันขาดคำ สัตว์ประหลาดสี่เท้าจำนวนสิบตัวก็โผล่ขึ้นจากน้ำ พวกมันมีหัวและเขาเหมือนวัว มีเขี้ยวหน้าแหลมคมยื่นออกมานอกปาก เท้าทั้งสี่เป็นครีบแบบสัตว์ประหลาดน้ำ มีหางเหมือนปลา ดวงตาเป็นสีแดงก่ำดุจเลือด พวกมันคำรามออกมาพร้อมกันอย่างดุร้าย

          “เคลพี” โซลิแทร์ยกดาบตั้งท่า“ทุกคนรวมกลุ่มกันไว้”

          พวกเคลพีวิ่งตรงเข้ามาเป็นแถวหน้ากระดานด้วยความเร็วพอๆ กับม้า แต่ละคนต้องกลิ้งตัวหรือไม่ก็กระโดดหลบเพื่อไม่ให้ถูกชนถูกเหยียบตาย ดีเซ็นทรีคนหนึ่งถูกเคลพีขย้ำตาย ดีวอเชอร์คนหนึ่งก็เช่นกัน โซลิแทร์ตีลังกาม้วนตัวหลบการกระโจนของเคลพีตัวหนึ่งได้หวุดหวิด แต่ก็ถูกขาเคลพีอีกตัวเตะล้มลงไป ดาบกระเด็นหลุดจากมือ เขาพยายามจะชักกริชออกมาแต่เคลพีตัวนั้นก็เหยียบแขนซ้ายของเขาไว้ไม่ให้ขยับ แขนขวาของเขาก็ถูกตีนมันอีกข้างเหยียบ เจ้าเคลพีแยกเขี้ยวจะขย้ำเขา เขาใช้ขาสองข้างไขว้กันรัดคอมันในลักษณะของกรรไกร ทำให้มันหายใจไม่ออกจนคลายน้ำหนักตีนออกจากแขนซ้ายของเขา เขาจึงสลัดแขนซ้ายให้เป็นอิสระและชักกริชออกมาเชือดคอมันทันที เลือดแดงฉานไหลลงมาเปรอะชุดเกราะ เขาผลักร่างไร้ชีวิตของมันออกไป กลิ้งตัวไปหยิบดาบยาวที่ตกอยู่บนพื้นหันไปฟันเคลพีอีกตัวที่กระโจนตามมาคอขาดกระเด็น แล้วหันไปร่อนใบจักรเสียบหน้าผากเคลพีตัวที่สามที่ควบตรงมาทางขวาห่างไปไม่มากนั้น สเคมโนสกำลังแทงดาบสังหารเคลพีตัวหนึ่งตอนนี้มีเคลพีเหลืออยู่ห้าตัว มีตัวหนึ่งเพิ่งขย้ำดีเซ็นทรีตาย โซลิแทร์ร่อนใบจักรไปสังหารเคลพีตัวนั้น เคลพีที่เหลืออีกสี่ตัวตกอยู่ในวงล้อมของพวกดาร์คเนสดีวิล พวกดีวอเชอร์ใช้โล่ตั้งกำแพงล้อมทุกทิศทุกทาง พวกดีเซ็นทรีพาดหอกข้ามขอบโล่ไป ทุกคนนับจังหวะและแทงหอกพร้อมๆ กัน พวกเคลพีถูกรุมแทงตายจนหมด ข้อความสลักปรากฏขึ้นบนผนังห้องฝั่งตรงข้ามทันทีที่เคลพีตัวสุดท้ายตาย

          “เราเสียดีวอเชอร์ไปหนึ่งคน ดีเซ็นทรีอีกสี่คน” โซลิแทร์ลากศพมานอนเรียงกัน “พวกเขาสู้อย่างกล้าหาญ ข้าอยากจัดการกับศพให้ดีกว่านี้ แต่เรามีภารกิจต้องเดินหน้าต่อ”

            เขาเดินไปข้างหน้าแตะข้อความที่ผนัง ข้อความเรืองแสงสีเขียววาบขึ้นมาแล้วผนังก็เลื่อนเปิดขึ้นไป ทุกคนเดินเข้าไปในห้องใหม่ที่มีหมอกควันสีขาวปกคลุม เมื่อก้าวเข้ามากันหมดแล้วผนังด้านหลังก็เลื่อนลงมาปิดพร้อมกับที่หมอกควันในห้องจางหายไป คราวนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องสู้ด้วยนั้นปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าเลย เป็นมนุษย์ที่มีร่างท่อนบนเป็นวัวกระทิง มีจำนวนมากมาย ถือดาบ ขวาน กระบอง อาวุธต่างๆ ครบมือ พวกมันส่งเสียงคำรามออกจมูกเหมือนวัวกระทิง

          “ข้ารู้จักพวกนี้” สเคมโนสพึมพำ“มินอทอร์

            พวกมินอทอร์ก้มตัวกรูกันเข้ามาหาพวกเขาเหมือนกระทิงที่จะเข้ามาขวิด พวกดีเซ็นทรีพร้อมใจกันพุ่งหอกไปข้างหน้าสกัดสังหารมินอทอร์ได้หลายตนชักดาบคู่ออกมาพร้อมประจัญบาน บางคนเปลี่ยนเป็นหน้าไม้มายิงตามถนัด พวกดีวอเชอร์ปล่อยวงแหวนฮีเลียมสกัดไว้ในจังหวะแรกและขยับโล่ตั้งท่าเตรียมพร้อมในจังหวะที่สอง พวกมินอทอร์พุ่งเข้ามาขวิดใส่พวกเขา แม้พวกดีวอเชอร์จะยกโล่กำบัง แต่หลายคนก็กระเด็นเพราะแรงผลัก ทำให้แนวรบของพวกดาร์คเนสดีวิลแตกแถวและนำไปสู่การต่อสู้แบบตะลุมบอน สเคมโนสอาศัยที่ตัวเตี้ยกว่าแทงดาบใส่มินอทอร์ในแนวต่ำ โซลิแทร์โยนแผ่นคำสาปทิ้งไปข้างๆ แล้วจับดาบต่อสู้ด้วยสองมือ มินอทอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่แข็งแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปงัดพลังด้วย อีกทั้งพวกมันยังคล่องแคล่วว่องไว หลบอาวุธพวกเขาได้เก่งมาก บางตัวมีเกราะสวมเสียด้วย

            แต่ด้วยทักษะการต่อสู้ที่เหนือกว่าของพวกเขา มินอทอร์ทุกตัวก็ถูกฆ่าเรียบ พวกดาร์คเนสดีวิลตายไปหลายคน ที่เหลืออยู่นั้นบางคนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่หนักหนาสามารถสู้ต่อได้

          “ท่านเป็นคนที่ขว้างปาข้าวของเก่งที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา” สเคมโนสบอกโซลิแทร์ นั่งลงพักเหนื่อย “อาวุธลับหรืออาวุธใหญ่ ท่านโยนได้หมด”  

“ข้าชอบเล่นปาเป้าแก้เบื่อตั้งแต่เด็กเมื่อโตขึ้นก็เริ่มเปลี่ยนอาวุธที่ปาให้ใหญ่ขึ้น” โซลิแทร์ตามเก็บใบจักรจากศพมินอทอร์แต่ละตน “จากใบจักรเป็นมีด แล้วก็เป็นดาบ แล้วก็เป็นหอก”

            “ตอนนี้เราเหลืออยู่กี่คน” สเคโนสถามเหนื่อยๆ

            “สิบหกคน” โซลิแทร์ลากศพผู้เสียชีวิตมานอนเรียงกัน เลือดมินอทอร์แดงฉานไหลหยดออกจากชุดเกราะลงไปบนพื้นหิมะ “ดีเซ็นทรีหก ดีวอเชอร์แปด ข้าและท่าน”

            ทั้งหมดนั่งพักเหนื่อยกัน คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้รับการพยาบาล

            “เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะนะ” โซลิแทร์รัดแผลให้ดีวอเชอร์คนหนึ่งจนเสร็จ จากนั้นก็เดินไปหยิบแผ่นคำสาปบนพื้น เดินต่อไปยังผนังที่สลักข้อความภาษาดาร์เคน อีกสิบห้าคนตามเขามา เขาแตะที่ข้อความ ผนังเลื่อนเปิดขึ้น ทั้งหมดเดินเข้าไปในสายหมอกสีขาว ผนังห้องด้านหลังเลื่อนลงมาปิดพร้อมกับที่หมอกควันในห้องจางหายไป ห้องนี้สูงและกว้างใหญ่เป็นพิเศษ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อันตรายอีกครั้ง ซึ่งกำลังจะรู้ในอีกไม่กี่วินาทีเมื่อหมอกจางหายหมด

            สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้แต่ละคนตาค้าง มังกรสามตัวสามสียืนจ้องมองมายังพวกเขาด้วยสายตาดุร้าย แม้จะเป็นมังกรพันธุ์เล็ก แต่เทียบกับพวกเขาแล้วพวกมันไม่ได้ตัวเล็กเลย ตัวแรกสีแดง มีหนามสีเงินเรียงอยู่บนหลัง กำลังหายใจเอาประกายไฟออกมา ตัวที่สองสีฟ้า มีนอแหลมสีขาว กำลังพ่นไอน้ำแข็งเย็นเฉียบออกมาทางจมูก ตัวที่สามสีขาวมีหนามสีทองเรียงกันตั้งแต่สันจมูกจนถึงปลายหาง ประกายสายฟ้าสว่างวาบอยู่ในปากเมื่อมันคำราม

            “นึกแล้วว่าเราต้องเจอมังกรเข้าสักด่าน” สเคมโนสกระซิบ “มันเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุด”

            “นี่เป็นมังกรพันธุ์ตัวเล็กแล้วนะ” โซลิแทร์พูดเสียงเบา

            “นี่เรียกว่าเล็กแล้วหรือ”

            “สีแดงพันธุ์ไฟ สีฟ้าพันธุ์น้ำแข็ง สีขาวพันธุ์สายฟ้า”

            “เมื่อไหร่พวกมันจะเริ่มโจมตีล่ะ” สเคมโนสดูเชิงพวกมันอย่างเคร่งเครียด

            มังกรทั้งสามกางปีกโผบินขึ้นสูง ส่งเสียงคำรามดังสนั่น

          “ตอนนี้นี่ล่ะ” โซลิแทร์โยนแผ่นคำสาปลงพื้น ชักดาบออกมา “ทุกคนกระจายกันออกไปคนละทาง ทำให้พวกมันสับสน ฆ่าให้ได้ทั้งสามตัว ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถไปต่อได้

            เส้นสายฟ้าพุ่งออกจากปากเจ้ามังกรสีขาวเข้ากลางกลุ่มพวกเขาที่กำลังกระจายออกจากกัน ทุกคนหลบได้อย่างหวุดหวิด พื้นห้องเกิดหลุมขนาดใหญ่ เปลวไฟจากมังกรสีแดงและไอน้ำแข็งจากมังกรสีฟ้าพุ่งตามลงมาด้วย ดีวอเชอร์สองคนหลบไม่ทันต้องสังเวยชีวิตไป โล่เหล็กของพวกเขาต้านทานไม่ไหว โซลิแทร์และสเคมโนสวิ่งไปคนละทาง ถูกรัศมีของมันเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไปทั้งคู่ มังกรเป็นสัตว์ที่โจมตีหนัก หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากถูกพวกมันโจมตี ทั้งพวกดีเซ็นทรีและพวกดีวอเชอร์กระจายตำแหน่งกันยิงหน้าไม้และปล่อยวงแหวนโจมตีมังกรทั้งสามตัว ซึ่งแม้พวกมันจะไม่หนังเหนียวเท่ามังกรพันธุ์ตัวใหญ่ๆ แต่ก็นับว่าทนทานไม่น้อย เจ้ามังกรสีฟ้าถูกวงแหวนฮีเลียมหลายวงพุ่งเข้าใต้ลำตัว มันคำรามกึกก้องด้วยความโกรธและพ่นไอน้ำแข็งใส่ดีเซ็นทรีคนหนึ่งกลายเป็นเศษน้ำแข็งทันที เจ้ามังกรสีแดงถูกลูกศรสามง่ามปักเข้าตามตัว มันหันไปพ่นไฟเผาดีเซ็นทรีอีกหนึ่งคนแล้วลากไฟไปทางสเคมโนสที่อยู่ใกล้ๆ  สเคมโนสกระโดดหลบเท่าที่ขาสั้นๆ จะถีบตัวไปได้ เขาหลบทันแต่รัศมีของเปลวไฟก็ไหม้เคราไปบางส่วนมันส่งควันฉุยและกลิ่นเหม็นไหม้

          “เคราของข้า” สเคมโนสโวยวาย “อุตส่าห์ตกแต่งแทบตาย”

            โซลิแทร์ยืนนิ่งตั้งสมาธิหันมือไปยังเจ้ามังกรสีขาวที่บินโฉบมาพ่นสายฟ้าใส่เขาเขารู้ว่าสายฟ้าไม่อาจทำอันตรายเขาได้เพราะสายฟ้าเป็นส่วนประกอบของร่างกายเขา จึงยืนรับสายฟ้าไปเต็มๆ และไม่เป็นอันตรายจริงๆ  มือและปลายนิ้วของเขาปล่อยสายฟ้าสวนกลับไปทันที ปรากฏว่าเจ้ามังกรก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เช่นกัน ดูเหมือนว่ามันก็มีสายฟ้าเป็นส่วนประกอบของร่างกายเหมือนกัน

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ!” เขาพึมพำ “ไม่จบง่ายๆ แน่”

          เจ้ามังกรสีฟ้ายังอาละวาดต่อไป พวกดีวอเชอร์ระดมส่งวงแหวนเล่นงานมันจากทุกทิศทุกทางไม่ลดละ ดีวอเชอร์บางคนหลบไอน้ำแข็งไม่ทันต้องสังเวยชีวิตไป อย่างไรก็ตาม เจ้าสัตว์ร้ายก็เริ่มอ่อนกำลังลงเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ มังกรพันธุ์เล็กไม่ได้แข็งแกร่งเท่ามังกรพันธุ์ใหญ่ มันถูกฆ่าได้ง่ายกว่า ศีรษะและบริเวณคอหอยใต้คางคือจุดอ่อนของมังกร พวกดาร์คเนสดีวิลจะพยายามเล็งที่สองจุดนั้น

            เจ้ามังกรสีแดงบินไล่เผาสเคมโนสอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อเขาเอาหน้าไม้ของดีเซ็นทรียิงปักที่ท้องมัน คนแคระวิ่งหนีอยู่บนพื้นหิมะอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้นๆ จะทำได้และต้องวิ่งซิกแซกไปมาเพื่อไม่ให้เจ้าสัตว์ร้ายกะจังหวะเผาได้ พวกดีเซ็นทรีถือโอกาสพุ่งหอกใส่ปีกของมันทำให้มันบินเซไปชนผนังห้องด้านหนึ่งเต็มแรงและร่วงลงมากับพื้น สเคมโนสหันกลับไปแทงดาบเข้าที่คอหอยใต้คางของมันตายสนิท เขาถอนดาบออกมาชุดเกราะมีควันโชย ร่างกายมีแผลรอยไหม้เต็มไปหมด เคราละลายไปบางส่วน

            เจ้ามังกรขาวรู้ว่าสายฟ้าทำอะไรโซลิแทร์ไม่ได้จึงหันมาใช้เขี้ยวเล็บแทน มันคอยโฉบลงมาใส่เขาเรื่อยๆ จนเขาได้บาดแผลเพิ่มอีกหลายแผล สัตว์ตระกูลมังกรนี่น่ากลัว มักจะตามอาฆาตจนถึงตาย มันโฉบลงมาด้วยความเร็วสูงจนเขาพุ่งตัวหลบแทบไม่ทัน โซลิแทร์กลิ้งตัวยืนขึ้นถอดผ้าคลุมออกมาถือไว้ในมือซ้าย มือขวากำด้ามดาบแน่น ยืนนิ่งอย่างใจเย็น รอให้เจ้าสัตว์ร้ายโฉบลงมาอีกครั้ง มันโฉบลงมาอีกจริงๆ  กางกรงเล็บไว้เต็มเหนี่ยวเตรียมตะปบให้ตายคาอุ้งมือ

          ในวินาทีที่มันโฉบลงมาต่ำ โซลิแทร์ก็โยนผ้าคลุมไปคุลมหัวมันทำให้มันมองอะไรไม่เห็น พร้อมกันนั้นก็เบี่ยงตัวหลบและหมุนตัวเสยดาบเชือดคอมันทันที เจ้าสัตว์ร้ายไถลร่างไปกับพื้นหิมะตายสนิท

            เสียงโครมครามดังสนั่นไปทั่วห้องบอกให้รู้ว่าเจ้ามังกรน้ำแข็งถูกสอยร่วงลงมาตายเรียบร้อย ทุกคนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยปอดแทบฉีก ไม่มีใครเลยที่ไม่บาดเจ็บ สู้กับมังกรไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  แต่ละคนนั่งลงกับพื้นหิมะ เอาถุงหนังใส่น้ำมาดื่ม ต้องพักให้หายเหนื่อยเรียกกำลังกลับมา โซลิแทร์สวมผ้าคลุมเหมือนเดิม สวมหน้ากากปิดหน้าเมื่อดื่มน้ำเสร็จ

          “เราเหลือกันอยู่กี่คน” สเคมโนสถาม

          “รวมข้ากับท่านด้วยก็เก้าคน” โซลิแทร์เอื้อมมือไปหยิบแผ่นคำสาปที่ทิ้งไว้บนพื้น

          “นี่เราต้องลุยอย่างนี้ไปอีกกี่ห้องกัน” สเคมโนสถาม

          “ข้าไม่รู้” โซลิแทร์ตอบตรงๆ “หวังว่าคงเหลืออีกไม่กี่ห้อง”

          “ห้องนี้เราเจอมังกร ห้องต่อไปจะเป็นตัวอะไร” สเคมโนสพูดหวาดๆ

          “เราต้องไปต่อ” โซลิแทร์พูดเสียงเบา“ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ก็ตาม

          เขายืนขึ้น ช่วยพยุงแขนคนอื่นๆ ให้ลุกตาม เดินข้ามห้องไปยังผนังที่ปรากฏข้อความสลักอยู่ ทุกคนตามเขาไป เขายกนิ้วแตะที่ข้อความ ผนังห้องเลื่อนเปิดขึ้นตามระเบียบ ทั้งหมดก้าวเข้าไปในห้องใหม่ที่มีหมอกสีขาวปกคลุมหนาทึบ ผนังด้านหลังเลื่อนปิดลง หมอกควันเริ่มจางหาย โซลิแทร์โยนแผ่นคำสาปไปข้างๆ และชักดาบออกมา คาดไว้ว่าจะต้องพบกับอะไรร้ายๆ  ซึ่งเขาก็คิดถูก

          หุ่นน้ำแข็งสวมชุดเกราะจำนวนมากยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าพวกเขาอย่างเป็นระเบียบ แต่ละตัวมีลักษณะที่แตกต่างกันและถืออาวุธที่แตกต่างกันไป มีทั้งดาบ ขวาน โล่ ธนู ตลอดจนอาวุธอื่นๆ  แต่สิ่งที่พวกมันมีเหมือนกัน คือพวกมันมีชีวิตขยับเขยื้อนได้ ซึ่งพวกมันก็เริ่มจัดขบวนแถวเตรียมต่อสู้

          “อุโมงค์นี้มันคือศูนย์รวมตัวประหลาดอันตรายหรือไง” สเคมโนสบ่น

          “ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่าเรา” โซลิแทร์สั่งการ “จัดขบวนเตรียมรับการต่อสู้”

          หุ่นน้ำแข็งที่ถือธนูนั้นขึ้นสายระดมยิงใส่พวกเขาอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง พวกดีวอเชอร์เรียงแถวหน้ากระดานยกโล่กำบังให้คนอื่นๆ  โซลิแทร์และสเคมโนสควงดาบปัดป้องลูกธนูอุตลุด พวกหุ่นน้ำแข็งเริ่มกรูกันเข้ามา พวกดีเซ็นทรีเล็งหน้าไม้พาดขอบโล่ของพวกดีวอเชอร์แล้วเหนี่ยวไก พวกดีวอเชอร์หันโล่เปิดออกปล่อยวงแหวนเข้าโจมตี หุ่นน้ำแข็งถูกยิงสกัดล้มลงไปหลายตัว แต่บางตัวก็ใช้โล่กำบังไว้ได้ พวกดีเซ็นทรีทิ้งหน้าไม้ ยกหอกพาดข้ามขอบโล่ พวกดีวอเชอร์ขยับโล่กลับมาเป็นกำแพงมิดชิดเตรียมพร้อมปะทะ สเคมโนสเงื้อดาบตั้งท่าเหนือศีรษะ โซลิแทร์ยืนตัวตรง มือขวาถือดาบเหยียดเฉียงออกไปข้างลำตัว เป็นการตั้งท่าเตรียมรับการปะทะของเขา นักรบทั่วไปมักจะเอาดาบมาตั้งกำบังอยู่ข้างหน้าหรือไม่ก็เงื้อขึ้นเตรียมฟันแทง แต่โซลิแทร์นั้นจะตั้งท่าแตกต่างออกไป เขาจะถือดาบให้ห่างจากตัวและยืนตัวตรง มันทำให้มุมมองกว้างขวางและสามารถขยับตัวได้อย่างอิสระในจังหวะปะทะ คู่ต่อสู้จะคาดเดาการตอบโต้ของเขาได้ยาก

          และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  หุ่นน้ำแข็งตัวแรกบุกเข้ามาแทงดาบใส่เขา เขาตวัดดาบเป็นวงกลมเบี่ยงดาบของมันออกไปพร้อมกับฟันเข้าที่คอของมัน หากยืนตั้งท่าอย่างคนทั่วไปคงทำอย่างนี้ไม่ได้ สเคมโนสฟันจากมุมต่ำตัดขาศัตรูและแทงดาบซ้ำ บรรดาหุ่นน้ำแข็งเข้าปะทะกับกลุ่มดาร์คเนสดีวิล ชนกับกำแพงโล่และหอก บางตัวถูกหอกเสียบร่างทะลุ พวกดีวอเชอร์กระแทกโล่ใส่พวกมันล้มลงไปและสับด้วยขอบโล่คมๆ  แล้วทั้งสองฝ่ายก็กระจายแถวออก ต่อสู้แบบตะลุมบอน เสียงอาวุธต่างๆ กระทบกระแทกกันดังระงมรามกับศึกเล็กๆ ทีเดียว

          โซลิแทร์ฟาดฟันดาบอย่างว่องไว สังหารคู่ต่อสู้ที่บุกเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ดาบยาวเป็นอาวุธที่มีรัศมีการเหวี่ยงกว้างพอตัว ใช้ในการต่อสู้กลางกลุ่มศัตรูได้ดี สเคมโนสอาศัยความเตี้ยคอยก้มหลบอาวุธและฟันดาบสวนกลับไป ฝีมือการต่อสู้ของเขาเก่งกาจสมกับที่เคยเป็นนักรบมีชื่อ คนอื่นๆ นั้นถูกฆ่าตายบ้างและเป็นฝ่ายฆ่าบ้าง หุ่นน้ำแข็งพวกนี้ไม่ใช่นักรบมืออาชีพอย่างพวกดีวอเชอร์หรือดีเซ็นทรี ทักษะการต่อสู้ด้อยกว่า แต่พวกมันก็มีจำนวนมากมายจนพวกเขาสู้ลำบาก เส้นสายฟ้าพุ่งออกจากปลายดาบของโซลิแทร์ไปทำลายหุ่นน้ำแข็งได้จำนวนมาก พวกมันรวมกลุ่มกันหนาแน่นเช่นนี้ย่อมรับรัศมีสายฟ้าเข้าไปอย่างทั่วถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะใช้สายฟ้าสองสามครั้ง ฝ่ายตรงข้ามก็ยังเหลือจำนวนมากอยู่ดี พวกเขาต้องต่อสู้แบบถูกรุมถูกล้อมตลอดเวลา ธนูดอกหนึ่งพุ่งเสียบเข้าที่แขนของสเคมโนส เป็นส่วนที่เกราะบางมันเจาะเข้าไปไม่ลึกนักเพราะมีเกราะรองรับอยู่บ้าง แต่ก็ทำเอาเลือดไหลไม่น้อยตอนเขาถอนลูกธนูออกมา แต่ละคนเริ่มบาดเจ็บกันมากขึ้นและอ่อนแรงลง ข้าศึกมีจำนวนมาก สู้ยังไงก็ไม่หมดเสียที

          โซลิแทร์ยกสนับแขนรับดาบและแทงดาบสวนกลับไป นี่ถ้าเขาไม่สวมเสื้อเกราะตัวนี้คงบาดเจ็บหนักไปแล้ว คมอาวุธต่างๆ ตรงมาที่เขาไม่ขาดสาย ทั้งหอก ดาบ ขวาน ลูกธนู อะไรก็ตามที่พวกหุ่นน้ำแข็งมี มีครั้งหนึ่งที่เขาถูกฟันเข้าเต็มๆ  ถ้าเป็นเสื้อเกราะตัวเก่าป่านนี้ได้แผลไปเรียบร้อยหรืออย่างน้อยก็ต้องจุกเพราะถูกกระแทก แต่นี่เขาปลอดภัยไม่เป็นอันตรายใดๆ  มาร์คาร์พูดถูก เสื้อเกราะตัวนี้แข็งแกร่งมากและมีความยืดหยุ่นผ่อนแรงกระแทกแต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้คลุมทั้งตัว ส่วนอื่นๆ ของเขาที่หุ้มด้วยเกราะชนิดอื่นนั้นได้รับบาดแผลไปหลายรอย บางแผลมีเลือดสีดำไหลออกมาจากส่วนที่ชำรุด อาวุธของศัตรูมีมากเกินกว่าที่จะหลบหลีกปัดป้องได้หมด

          แต่หลังจากเวลาผ่านไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวกเขาสามารถกำจัดหุ่นน้ำแข็งได้จนหมดทุกตัวชิ้นส่วนเกราะและเศษน้ำแข็งกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น ทุกคนที่เหลืออยู่ล้วนบาดเจ็บและหมดแรง โซลิแทร์นำเศษผ้ามารัดห้ามเลือดตามแขนขาและคอ สเคมโนสกดปิดแผลที่ถูกลูกธนูยิง ตอนนี้เหลือเพียงแค่โซลิแทร์ สเคมโนส ดีวอเชอร์หนึ่งคน และดีเซ็นทรีอีกหนึ่งคนเท่านั้น พวกเขาทั้งสี่เริ่มจะหมดทั้งแรงกายและแรงใจ เกิดความรู้สึกท้อแท้ เหลือกันอยู่แค่นี้ ในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าข้างหน้าต้องเผชิญกับอะไรอีก

          “ทุกคนพักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะนะ” โซลิแทร์ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหิมะเย็นๆ ถอดหน้ากากถอดฮู้ดออก ผ้าคลุมมีรอยฉีกขาดเต็มไปหมด

          “การปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งนั้นยากลำบากแสนเข็ญจริงๆ” สเคมโนสดื่มน้ำไปอึกใหญ่ “ข้าได้แต่หวังว่าเราจะไปใกล้ดาบแล้ว”  

          “ข้าก็เหมือนกัน” โซลิแทร์ถอนหายใจ “ตามความเห็นท่าน คิดว่าพวกเราจะทำสำเร็จไหม”

          “ท่านอยากจะฟังคำตอบจริงๆ หรือ”

          “จริงๆ ก็ไม่ค่อยอยากนักหรอก”

          “ยังไงเราก็ถอยกลับไม่ได้อยู่แล้ว ต้องเดินหน้าสู้ต่อไป” สเคมโนสกวาดตามองทุกคนที่เหลืออยู่ “แม้จะเหลือกันแค่นี้ก็ตาม”

          “สหาย พี่น้องของข้า” โซลิแทร์หันไปหาดาร์คเนสดีวิลอีกสองคนที่เหลือ พวกเขาต่างก็เหนื่อยและบาดเจ็บ “ข้าเสียใจที่พาคนอื่นๆ มาตาย และพวกท่านก็ต้องมาตกอยู่ในความลำบากเช่นนี้ พวกท่านทุกคนเป็นนักรบที่เก่งและกล้าหาญ ข้าสู้มาไกลถึงตรงนี้ได้ก็เพราะพวกท่าน ข้าเป็นหนี้บุญคุณพวกท่าน”

          “ท่านไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใครทั้งนั้น ท่านลอร์ดมืด” ดีเซ็นทรีพูดอย่างแข็งขัน “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องเผชิญ เราเลือกมันเอง เราเลือกที่จะต่อสู้ในอุโมงค์คำสาปนี้เคียงข้างท่าน มันคือสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าเราจะต้องตายหรือลำบากสักเพียงใด มันก็เป็นสิ่งที่เราเลือก”

          “ทุกครั้งที่มีการสู้รบ ท่านจะต่อสู้อยู่เคียงข้างพวกเราเสมอมา ดาร์คเนสดีวิลทุกคนไม่ได้ต่อสู้เพราะเป็นหน้าที่หรือเพราะถูกบังคับ แต่เราต่อสู้เพราะเราเลือกที่จะต่อสู้ เราต่อสู้เพราะพี่น้องที่อยู่รอบข้างเราเลือกที่จะต่อสู้ เราต่อสู้เพราะท่านเลือกที่จะต่อสู้” ดีวอเชอร์กล่าวอย่างหนักแน่น “ดาร์คเนสดีวิลต่อสู้ เพราะเราผูกพันและเชื่อมั่นในกันและกัน เราเผชิญสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ล้มด้วยกัน ลุกด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ตายด้วยกัน นั่นคือวิถีทางของเรา ไม่ว่าในอุโมงค์แห่งนี้มันจะหนักหนาสาหัสสักเพียงใด หากเลือกได้อีกสักร้อยครั้งพันครั้ง ข้าก็จะขอเลือกลงมาเหมือนเดิม”

          “ข้าตระหนักแล้ว ว่าปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่แสนมหัศจรรย์” สเคมโนสพูดอย่างประทับใจ “ข้าคิดว่าส่วนหนึ่งที่มนุษย์เกลียดพวกท่าน เพราะลึกๆ แล้ว พวกนั้นอิจฉาพวกท่าน”

          “มนุษย์คนแคระก็มหัศจรรย์เช่นกัน” โซลิแทร์หันไปหาสเคมโนส “อภัยให้ข้าด้วยที่ก่อนหน้านี้ข้าทำไม่ดีกับท่าน ข้าตระหนักแล้วว่า ท่านคือคนที่น่ายกย่อง ข้าขอเคารพจากใจ”

          “แม้ในเผ่าพันธุ์ของข้าจะไม่มีใครนับถือข้า แต่อย่างน้อยพวกดาร์คเนสดีวิลก็นับถือ” สเคมโนสยิ้ม “บางทีชีวิตข้าก็ไม่แย่นักหรอก”

          “ความลำบากรออยู่ตรงหน้า” โซลิแทร์มองไปยังผนังที่มีข้อความสลักอยู่ “พร้อมไปต่อกันไหม”

“พร้อม” ทุกคนตอบพร้อมกัน

          โซลิแทร์ยิ้มอย่างอ่อนล้า หยิบหน้ากากขึ้นมาสวมและดึงฮู้ดลงมาคลุมศีรษะคว้าแผ่นคำสาป ลุกขึ้นยืน สูดหายใจลึกๆ  และเดินไปยังผนังห้องฝั่งตรงข้าม ทุกคนคว้าอาวุธและลุกเดินตามเขาไป โซลิแทร์แตะที่ตัวอักษรบนผนัง ตัวอักษรเรืองแสงและผนังก็ห้องเลื่อนเปิดขึ้น ทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในห้องที่มีหมอกสีขาวปกคลุมหนาทึบ ผนังด้านหลังเลื่อนปิดลง หมอกควันในห้องจางหายไปอย่างรวดเร็ว

          เบื้องหน้าพวกเขาเป็นพื้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ แต่มีเงาเคลื่อนไหวของสิ่งที่บินอยู่ในอากาศเต็มไปหมด ปลากระเบนสีเงินตัวใหญ่จำนวนมากกำลังแหวกว่ายอากาศอยู่ใกล้ๆ เพดานห้องที่สูงลิ่ว หางสีเงินเรียวยาวเป็นเงาวับของพวกมันขยับไปตามการเคลื่อนไหวราวกับโลหะเส้นอ่อน ดีเซ็นทรีขึ้นสายหน้าไม้ดีวอเชอร์ยกโล่ขึ้นเตรียมสู้ สเคมโนสเงื้อดาบขึ้นตั้งท่า โซลิแทร์วางแผ่นคำสาป หยิบใบจักรออกมาจากเสื้อนอกด้วยมือซ้ายตั้งดาบเป็นมุมสี่สิบห้าองศาด้วยมือขวา นักรบทั้งสี่กำลังรอให้เหล่าสัตว์ร้ายที่ไม่เป็นมิตรเริ่มโจมตีก่อน

          “ปลากระเบนควรจะอยู่ในน้ำไม่ใช่หรือ” สเคมโนสกระซิบ

          “กระเบนลม” โซลิแทร์กระซิบตอบ “ดุร้ายและอันตรายกว่ามาก”

          “เราต้องสู้กับพวกมันทั้งหมดใช่ไหม” สเคมโนสกระซิบอย่างท้อใจ “พวกมันมีมากมาย เรามีแค่สี่”

          “ใช่” โซลิแทร์พยักหน้า “ฟังนะ กระเบนลมเป็นหนึ่งในสัตว์อากาศที่อันตรายที่สุด หางของพวกมันคืออาวุธ พวกมันจะโจมตีจากมุมสูงฉะนั้นตั้งกำบังให้สูงเข้าไว้”

          “ไม่อยากทำลายขวัญหรอกนะ แต่ข้าคิดว่า หนนี้ใครรอดไปได้คงถือว่าปาฏิหาริย์” สเคมโนสพึมพำ

          “จะปาฏิหาริย์หรือไม่ก็ต้องสู้แล้ว” โซลิแทร์ยกดาบขึ้น

          กระเบนลมทั้งหมดเริ่มถลาลงมาหาพวกเขา โซลิแทร์ร่อนใบจักรสองใบสังหารกระเบนลมได้สองตัวแล้วก็ต้องก้มหัวหลบอย่างรวดเร็วเมื่อหางกระเบนอีกตัวตวัดเฉี่ยวหัวไป กระเบนลมสองตัวฟาดหางลงมาใส่สเคมโนสเป็นรูปกากบาทเขาก้มหัวหลบแล้วยกสองแขนกำบังศีรษะ หลังมือทั้งสองข้างจึงถูกปลายหางกระเบนตวัดเฉี่ยวเป็นแผลลึก ดีเซ็นทรียิงหน้าไม้จัดการกระเบนลมได้หนึ่งตัวก่อนจะคว้าหอกสามง่ามมาต่อสู้กับกระเบนลมตัวอื่นๆ  กระเบนลมจำนวนหนึ่งผลัดกันร่อนถลาลงมาฟาดหางใส่โล่ของดีวอเชอร์ไม่หยุดยั้ง เขาคอยกะจังหวะขยับโล่ออกแล้วปล่อยวงแหวนสังหารพวกมันทีละตัว

          กระเบนลมบางตัวสามารถบินหลบใบจักรของโซลิแทร์ได้ พวกมันบินวนล้อมรอบเขากับสเคมโนสและกระหน่ำโจมตีจากทุกทิศทุกทาง สเคมโนสทั้งหลบ ทั้งใช้ดาบปัดป้อง ทั้งฟันดาบสวนกลับไป โซลิแทร์ร่อนใบจักรด้วยมือซ้ายฟันดาบด้วยมือขวา กระเบนลมสี่ห้าตัวรวมกลุ่มกันดิ่งตรงมาที่เขาแต่เขาก็ปล่อยสายฟ้าจัดการพวกมันได้หมดการใช้ความสามารถพิเศษนั้นต้องอาศัยสมาธิและพลังงาน มันทำให้ความสามารถในการระวังตัวลดลง เขาจึงถูกปลายหางกระเบนตัวหนึ่งฟาดถากเข้าที่หน้ากาก มันชำรุดเป็นรอยยาว เกิดแผลค่อนข้างลึกบริเวณข้างแก้ม นี่ถ้าไม่มีหน้ากากเหล็กหน้าเขาคงเหวอะไปแล้ว สเคมโนสถูกปลายหางกระเบนตวัดเข้าที่กลางหลัง ชุดเกราะของเขาทะลุเป็นแนวยาว มีเลือดไหลออกมาแดงฉาน

          “ท่านมีอำนาจพิเศษสามารถสร้างเมฆฝนขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ” สเคมโนสใช้ดาบฟันกระเบนลมตัวหนึ่งร่วงตกลงมาตาย“ทำไมไม่เรียกพายุขึ้นมาเล่นงานกระเบนลมพวกนี้หรือทำฟ้าผ่าใส่พวกมัน”

          “เราอยู่ในอุโมงค์นะ” โซลิแทร์แทงกระเบนลมอีกตัว “มันไม่มีพื้นที่”

          “ระวัง” สเคมโนสตะโกนสุดเสียง

          ช้าไปแล้ว หางกระเบนลมตัวหนึ่งฟาดเข้าที่ท้องของโซลิแทร์เต็มแรงจนเขาล้มลงไป เสื้อนอกโลหะและผ้าคลุมบางส่วนฉีกขาดเป็นรอยคล้ายถูกดาบฟัน เขาดีดตัวยืนและฟันดาบสู้ต่อไปโดยไม่บาดเจ็บอะไร เสื้อเกราะตัวนี้ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแค่หางกระเบนจะฟาดไม่เข้าเขายังรู้สึกว่าได้รับแรงกระแทกน้อยลงด้วย ถ้าเป็นเสื้อเกราะตัวอื่นซี่โครงเขาอาจกระทบกระเทือนไปแล้ว

          ในขณะที่ดีเซ็นทรีกำลังวุ่นวายกับการฟันดาบต่อสู้กับกระเบนลมหลายๆ ตัว กระเบนลมตัวหนึ่งก็สะบัดหางฟาดใส่คอของเขาเต็มแรง หัวเขาขาดกระเด็น โซลิแทร์หันไปมองและส่ายหน้าเอาเถอะ อีกไม่นานตนก็อาจมีสภาพแบบเดียวกัน มาถึงขั้นนี้ไม่มีอะไรจะเสียอีก เขากับสเคมโนสยืนหันหลังชนกันและฟาดฟันดาบต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่อยู่รอบด้านอย่างสุดความสามารถตอนนี้กระเบนลมเหลืออยู่ไม่กี่ตัวแล้ว

            กระเบนลมสามตัวสุดท้ายฟาดหางใส่ดีวอเชอร์คนสุดท้ายที่ยกโล่กำลังไม่ทัน ร่างของเขาแบบจะขาดออกจากกัน สเคมโนสขว้างดาบในมือไปสังหารกระเบนลมตัวหนึ่งพร้อมกับที่โซลิแทร์ขว้างทั้งดาบยาวและกริชไปสังหารอีกสองตัวที่เหลือ ศัตรูในห้องนี้ถูกสังหารตายหมดแล้ว ข้อความสลักปรากฏขึ้นบนผนังห้องฝั่งตรงข้าม ทั้งสองพร้อมใจกันนั่งพักเหนื่อยบนพื้นหิมะเงียบๆ  ดื่มน้ำที่เหลืออยู่จนหมด สเคมโนสอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย โซลิแทร์ก็ไม่ต่างกัน

          “ทีนี้ก็เหลือเราแค่สองคนแล้วใช่ไหมพ่อหนุ่ม” สเคมโนสพูดเบาๆ

            โซลิแทร์พยักหน้า กดเศษผ้าบริเวณคอที่มีเลือดไหลค่อนข้างมาก คอเสื้อเกราะติดเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่นั้นฉีกขาด เกราะส่วนนี้เป็นส่วนที่บางที่สุดของเสื้อเกราะ

            “จากยี่สิบห้าคน เหลือแค่นี้” สเคมโนสชี้โซลิแทร์กับตัวเอง “แต่ท่านก็พาเราทุกคนมาได้ไกลได้ถึงขนาดนี้ ท่านเก่งมาก”

            “ท่านก็เหมือนกัน” โซลิแทร์ห้ามเลือดที่ใบหน้า เลือดสีดำไหลโทรมออกจากบาดแผลข้างแก้ม ทำเอาผมบางส่วนแห้งกรังและเป็นสีดำไปด้วย “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมต่อสู้กับท่าน”

            “ไปจบมันกันเถิดนะ” สเคมโนสลุกขึ้นยืน

            ทั้งคู่จัดการตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรวจสภาพชุดเกราะและเตรียมอาวุธ โซลิแทร์เก็บใบจักรจากศพกระเบนลมมาทุกใบ เก็บดาบยาว เก็บกริช เก็บแผ่นคำสาปที่วางทิ้งไว้ สวมหน้ากากกับหมวกฮู้ด แล้วเดินไปยังผนังห้องฝั่งตรงข้ามกับสเคมโนส หยุดยืนจ้องมองข้อความสลัก สเคมโนสพยักหน้าให้เขาเป็นเชิงบอกว่าพร้อมแล้ว เขาจึงแตะตัวอักษรบนผนัง ตัวอักษรเรืองแสงขึ้น ผนังห้องเลื่อนเปิดขึ้นเร็วๆ  แต่ครั้งนี้ แทนที่ห้องใหม่จะมีหมอกควันสีขาวปกคลุมอยู่ในช่วงแรกๆ เหมือนกับห้องที่ผ่านๆ มา มันกลับโปร่งโล่ง และสว่างไสวไปด้วยแสงที่ส่องมาจากผนังรอบตัว ทั้งสองก้าวเข้าไปในห้องมองไปรอบๆ  ผนังห้องเลื่อนปิดตามหลัง ห้องนี้กว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องทั้งหมด มีรูปปั้นขนาดยักษ์ที่ทำด้วยน้ำแข็งตั้งชิดผนังอยู่ตลอดแนวทั้งสองด้าน บนเพดานมีแสงส่องลงมาเป็นลำอย่างสวยงามแม้ว่าเวลานี้น่าจะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม โซลิแทร์วางแผ่นคำสาปไว้บนฐานรูปปั้นตัวหนึ่ง เก็บดาบลงฝัก ในห้องนี้เหมือนจะไม่มีศัตรูใดๆ เลย

            ที่สุดปลายห้อง มีสามร่างที่หุ้มด้วยเกราะเหล็กสีเทาทั้งตัวทุกตารางนิ้ว ดูว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรอยู่ใต้ชุดเกราะเลย เกราะสองตัวที่ยืนขนาบข้างซ้ายขวานั้นดูเป็นเกราะอัศวิน ความสูงระดับคนทั่วไป มือข้างหนึ่งถือโล่ อีกข้างถือกระบองหนาม ส่วนเกราะตัวที่อยู่ตรงกลางนั้นดูมีลักษณะประหลาด สูงราวสามเมตร หมวกเกราะดูยาวๆ เหมือนหัวของสัตว์เลื้อยคลาน มีครีบเหล็กอยู่ข้างบนเป็นแฉกๆ  ด้านหลังชุดเกราะก็มีเกราะยาวๆ ที่ดูคล้ายหาง ให้ความรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นชุดเกราะของสิ่งมีชีวิตเลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่ยืนสองขา มีโล่ใบมหึมากับกระบองหนามถืออยู่ในมือ  

          “จากลักษณะห้อง เราน่าจะมาถึงสุดปลายอุโมงค์แล้ว” โซลิแทร์มองไปรอบๆ   

          “ไหนล่ะ ดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์” สเคมโนสมองหา

            และแล้วก็มีเสียงที่เย็นเยียบจับใจดุจน้ำแข็งดังออกมา เป็นเสียงเรียบๆ ไร้ความรู้สึก พูดช้าๆ เนิบๆ

          “ดาร์คเนสดีวิลหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง เก่งกล้าสามารถยิ่งนักที่ผ่านทุกด่านจนมาถึงด่านสุดท้ายด่านนี้ได้”

          ทั้งคู่หันไปมอง เสียงนั้นดังมาจากชุดเกราะประหลาดที่ตัวใหญ่ที่สุด เกราะทั้งสามตัวเคลื่อนไหวได้ พวกมันมีชีวิต หรือไม่ก็มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้พวกมันมีชีวิต

          “การที่ท่านทั้งสองต่อสู้กับความโหดเหี้ยมของลินเลนธันจนถึงมาตรงนี้ได้ พิสูจน์แล้วว่าพวกท่านเก่งกาจน่ายกย่อง” ชุดเกราะเอ่ยต่อด้วยเสียงลากยาว ระดับเสียงแทบจะเป็นโทนเดียวกันหมด “คงจะเป็นเกียรติแก่ข้า หากได้ทราบนามของพวกท่าน”

          “ทรารุค สเคมโนส” สเคมโนสแนะนำตัว

          “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์แนะนำตัว

          “ทรารุค สเคมโนส โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม พวกท่านเก่งมาก” ชุดเกราะโค้งศีรษะด้วยท่าทางแข็งๆ ไม่อาจรู้เลยว่าสิ่งใดอยู่ใต้ชุดเกราะ มองผ่านช่องเกราะก็เห็นแต่ความมืด

          “ท่านคือผู้เฝ้าดาบ” โซลิแทร์เอ่ย

          “ข้าเคยถูกเรียกว่าเป็นอะไรมากมาย ไซคัส ยอดนักรบ คนทรยศ แม้กระทั่งชื่อของข้า แต่มันนานแสนนานจนข้าลืมเลือนทุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้ว หรืออาจเป็นเพราะคำสาปของลินเลนธัน คำสาปที่เปลี่ยนข้าให้กลายเป็นเสมือนสิ่งไม่มีชีวิต มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อปกปักรักษาดาบแดนน้ำแข็ง เป็นอย่างนี้ตลอดไปชั่วกัปชั่วกัลป์ จนกว่าจะมีใครมาปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระ ด้วยการมอบความตายให้ ทั้งหมดนี้เพื่อชดใช้ความผิดที่แตกหักกับลินเลนธัน และเข้าร่วมกับศัตรูของเขา”

          “ท่านเคยเป็นไซคัสมาก่อนหรือ” สเคมโนสถาม

          “เคยเป็นหนึ่งในไซคัสที่เก่งที่สุดเรื่องฝีมือการรบ ทั้งข้าและพี่ชายฝาแฝดของข้าเป็นบุตรชายของนักรบไซคัสที่เก่งที่สุด เก่งกว่าแม้กระทั่งลินเลนธัน” ผู้เฝ้าดาบพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ผู้ซึ่งต้องก้มหน้าก้มตารับคำสั่งมาตลอดชีวิต เดิมทีเขาเป็นคนมีความอดทนสูงและไม่ใช่คนมีความคิดปฏิวัติอะไร เขาทนรับคำสั่งจากลินเลนธันมาได้ตลอดมา แต่บางเรื่อง มันก็ทำให้เขาเหลืออดเหลือทน และเมื่อเขาระเบิดออกมา มันก็เป็นเปลวไฟที่แทบจะแผดเผาดางดวงนี้จนหมดสิ้น”

          “ท่านคือบุตรชายฝาแฝดคนหนึ่งของแอสแทริน” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้แอสแทรินแค้นเคืองลินเลนธัน จนสร้างมาร์กอลลอสกับเฮเวนล็อคขึ้นมา เพราะลินเลนธันสาปบุตรชายฝาแฝดทั้งสองของเขาให้เป็นผู้เฝ้าดาบแดนน้ำแข็ง”

          “ลินเลนธันเป็นคนโหดเหี้ยม กระหายความยิ่งใหญ่ และเป็นจอมเผด็จการ เขาเป็นคนเปิดศึกกับพวกเอลิลก่อน และจะเอาชนะให้ได้ไม่ว่าใครจะสูญเสียเพียงใดก็ตาม มีไซคัสบางส่วนที่เหลืออดเหลือทนกับเขา ข้าและพี่ชายฝาแฝดของข้าคือแกนนำ เราทั้งหมดตัดสินใจเข้าร่วมกับพวกเอลิล ปลดปล่อยตัวเองจากผู้นำไซคัสใจโฉดคนนี้ เพียงแต่ไม่นึกว่าไซคัสจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม” ผู้เฝ้าดาบเล่าความ “ก่อนหน้านี้พ่อของเราก็เหลืออดกับลินเลนธัน และต้องการจะวางมือจากการรบ แต่ในศึกครั้งสุดท้ายที่ไอซ์เมสนั้น เขายอมร่วมรบเพราะลินเลนธันสัญญาว่าจะไว้ชีวิตพวกเราหากชนะสงคราม ถูกแล้วลินเลนธันไว้ชีวิตเรา แต่สิ่งที่คนบ้าเผด็จการอย่างเขาเกลียดที่สุดคือผู้ต่อต้าน เขาไม่ฆ่าเรา แต่สาปเราสองพี่น้องให้เป็นผู้เฝ้าดาบที่ไร้ชีวิตจิตใจ มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเป็นเครื่องกลเฝ้ายาม อย่างนี้ตายไปเสียยังดีกว่า นั่นทำให้ความอดทนที่พ่อของเราเคยมีให้แก่ผู้นำของเขานั้นแตกระเบิดออก นำไปสู่สงครามเปลวไฟอันร้อนแรง”

          “ทั้งสองนี้” สเคมโนสชี้ไปยังชุดเกราะสองตัวที่ยืนขนาบข้างผู้เฝ้าดาบ “คือใคร”

          “ไม่ใช่ใครทั้งนั้น ก็แค่ชุดเกราะที่ได้รับพลังงานให้เคลื่อนไหวได้ ต่อสู้ได้ และต่อสู้ได้ดีมากด้วย” ผู้เฝ้าดาบตอบ “ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของข้า ช่วยข้าปกป้องดาบจากผู้ที่จะมาปลดปล่อย ดาบแดนน้ำแข็งจะไม่ปรากฏขึ้นมา ตราบที่ข้ากับองครักษ์ยังอยู่”

          “งั้นเราก็ต้องสู้กัน จนกว่าอีกฝ่ายจะตายหมด” โซลิแทร์พูดเสียงเครียด

          “ถูกต้อง” ผู้เฝ้าดาบพยักหน้า

          “เช่นนั้น” โซลิแทร์ชักดาบออกมา หายใจลึกๆ “คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว”

          ผู้เฝ้าดาบและองครักษ์ทั้งสองเริ่มย่ำหิมะตรงเข้ามาพร้อมกับโล่และกระบองหนาม โซลิแทร์ปล่อยสายฟ้าใส่ผู้เฝ้าดาบ มันปะทะกับโล่ใบใหญ่ที่ผู้เฝ้าดาบยกกำบัง แม้เขาจะถูกกระแทกให้เซเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ  นี่มันไม่ดีแล้ว โล่ของเขาสามารถป้องกันสิ่งที่รุนแรงเช่นสายฟ้าได้

          “คงต้องเก็บองครักษ์ทั้งสองของเขาก่อน” สเคมโนสพูด “เจ้าตัวเตี้ยทั้งสองนั่น”

            เจ้าตัวเตี้ยทั้งสองที่ว่านั่นตัวสูงเกือบสองเมตรองครักษ์ยกกระบองหนามขึ้นพร้อมๆ กัน สเคมโนสขยับเท้าก้าวไปข้างหน้า โซลิแทร์เงื้อดาบขึ้นด้วยสองมือและก้าวไปพร้อมกัน

            ทั้งสองกระแทกดาบกับโล่ขนาดใหญ่ที่องครักษ์ทั้งสองยกป้องกัน สเคมโนสเอี้ยวตัวหลบทันก่อนที่กระบองหนามจะเหวี่ยงเฉี่ยวจมูก โซลิแทร์ก็ต้องกระโดดหลบไปข้างๆ เมื่อกระบองหนามขนาดใหญ่ของผู้เฝ้าดาบฟาดลงมาใส่ เขาฟันดาบสวนกลับไปอย่างรวดเร็วผู้เฝ้าดาบก็ใช้โล่ป้องกันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน สเคมโนสชักมีดสั้นออกมาจากเข็มขัดและขว้างใส่องครักษ์คนที่อยู่ใกล้โซลิแทร์ องรักษ์คนนั้นตวัดกระบองปัดมีดสั้นออกไปอย่างง่ายดาย คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ผู้เฝ้าดาบมีฝีมือเก่งกาจ องครักษ์ทั้งสองของเขาก็เช่นกัน

          “แบล็กไรดิงฮู้ด หลบความสามารถพิเศษของผู้เฝ้าดาบ” สเคมโนสคำรามสุดเสียง

          โซลิแทร์ม้วนตัวพุ่งหลบได้ทันก่อนที่แท่งน้ำแข็งหลายแท่งจะพุ่งออกมาจากยอดกระบองของผู้เฝ้าดาบ มันพุ่งข้ามหัวเขาไปนิดเดียวเท่านั้น แต่ละแท่งคมกริบ สเคมโนสมัวแต่ห่วงโซลิแทร์จึงถูกหนามกระบองขององครักษ์ฟาดขูดเข้าที่เกราะหัวไหล่ ได้แผลลึกพอควรทีเดียว

          “เป็นอะไรหรือเปล่า” โซลิแทร์แทงดาบใส่โล่ของผู้เฝ้าดาบ

          “โชคดี มันไม่ได้เคลือบพิษไว้” สเคมโนสกัดฟันพูด “ให้ตายสิ! พวกนี้สู้เก่งเป็นบ้า”

            โซลิแทร์ฟันดาบใส่องครักษ์คนหนึ่งพร้อมกับที่อีกฝ่ายฟาดกระบองสวนมา ผลที่ได้คืออาวุธทั้งสองกระแทกกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ ผู้เฝ้าดาบเงื้อกระบองฟาดใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ใช้เท้าซ้ายถีบแขนขวาของผู้เฝ้าดาบให้กระบองเบี่ยงไปอีกทาง

          ทั้งหมดต่อสู้กันอยู่นาน สเคมโนสได้แผลเพิ่ม โซลิแทร์เองก็ได้อีกหลายแผล มาร์คาร์พูดถูก เสื้อเกราะตัวนี้ไม่สามารถทนต่อคมอาวุธที่มีความพิเศษได้มากนัก ผ้าคลุมของเขาขาดวิ่นจนดูไม่ได้ ตามหลังและอกมีรอยแผลถูกหนามกระบองขูด เสื้อเกราะชำรุดเป็นริ้วๆ ตอนนี้สเคมโนสกำลังต่อสู้กับผู้เฝ้าดาบ โซลิแทร์ต่อสู้กับองครักษ์ทั้งสอง แท่งน้ำแข็งคมๆ จำนวนมากของผู้เฝ้าดาบพุ่งเฉี่ยวหัวสเคมโนสและเฉี่ยวหลังโซลิแทร์ไปอย่างน่ากลัว สเคมโนสเบี่ยงตัวหลบกระบองของผู้เฝ้าดาบและหันไปขว้างขวานสั้นสองเล่มที่พกติดตัวใส่องครักษ์สองคนที่โซลิแทร์ต่อสู้อยู่ องครักษ์ยกโล่กำบังไว้ได้ทั้งคู่ โซลิแทร์รีบถือโอกาสปล่อยสายฟ้าข้ามหัวสเคมโนสไปปะทะโล่ของผู้เฝ้าดาบเต็มๆ จนเซถอยหลัง สเคมโนสฟาดดาบซ้ำสุดแรงในจังหวะที่ผู้เฝ้าดาบเสียหลักอยู่ แต่ผู้เฝ้าดาบก็ยกกระบองปัดป้องออกไปได้แม้จะเสียหลักถอยหลังไปอีกหลายก้าว ใบจักรอีกสองใบจากโซลิแทร์ร่อนตามมาในจังหวะต่อเนื่อง ผู้เฝ้าดาบยกโล่กำบังไว้ได้ดูเหมือนที่เขาบอกว่าเคยเป็นยอดนักรบระดับต้นๆ ของไซคัสนั้นคงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ฝีมือการต่อสู้ของเขาเก่งกาจไร้ที่ติ

          “ไม่ไหว” สเคมโนสพูดเหนื่อยๆ “ทั้งสามเก่งเกินไปสำหรับเรา”

            ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามต่อสู้ด้วยวิธีใด นักรบประหลาดทั้งสามก็สามารถหาวิธีรับมือได้หมด โซลิแทร์พยายามงัดทีเด็ดทั้งหลายทั้งปวงออกมาต่อสู้ ทั้งฟันดาบและร่อนใบจักร ทั้งกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่เขาคิดขึ้นมาเองและกลยุทธ์ที่เพิ่งคิดออกเดี๋ยวนั้นแต่ผู้เฝ้าดาบและสององครักษ์ก็รับมือได้หมดสเคมโนสสะดุดหิมะล้มลง โซลิแทร์ลากเขาหลบกระบองใหญ่ของผู้เฝ้าดาบได้อย่างหวุดหวิด เสียงกระบองกระแทกพื้นดังสนั่น เศษหิมะเศษน้ำแข็งกระจัดกระจาย

            “ข้าตัดสินไม่ได้เลยว่าระหว่างข้ากับท่านนั้นโชคชะตาทำทารุณกับใครมากกว่ากัน” สเคมโนสคำรามขณะลุกขึ้นยืน “ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังดวงซวยลื่นล้มอีก ถ้าเปลี่ยนโชคร้ายของเราให้เป็นโชคดีได้ ป่านนี้เราสองคนคงได้ครองดาวดวงนี้ไปแล้ว”

            แล้วโซลิแทร์ก็ได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา

            “เราสองคนครองดาวดวงนี้ไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อย เราอาจใช้ประโยชน์จากโชคร้ายในการต่อสู้ครั้งนี้ได้” เขาเอ่ยขึ้น ดาบฟันแทงต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม “เราต้องมาสู้อยู่ใกล้ๆ กันมากกว่านี้ อย่าแยกกัน”

            “ทำเช่นนั้น อีกฝ่ายได้ล้อมกรอบเราเป็นสามเหลี่ยมน่ะสิ” สเคมโนสยกดาบเหนือศีรษะและกระหน่ำฟันในการพูดแต่ละคำ “อย่างนั้นสู้ลำบากนะ”

            “จำเป็นต้องเสี่ยง หากสู้ต่อไปอย่างนี้เราแพ้แน่” โซลิแทร์หลบโล่ที่องครักษ์ฟาดใส่ “เหล่าศัตรูเก่งเกินไป ต้องใช้กลยุทธ์ที่ไม่คาดฝัน จึงจะพอต่อกรได้”

          ทั้งสองจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ กัน หันหลังชนกันต่อสู้กับศัตรูยอดนักรบทั้งสามที่ขยับเข้ามาล้อมกรอบเป็นสามเหลี่ยม การต่อสู้แบบตกอยู่ในกรอบล้อมเช่นนี้ทั้งเสียเปรียบและเสี่ยงอันตราย โซลิแทร์และสเคมโนสต้องเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นเพื่อปัดป้องหลบหลีกอาวุธของฝ่ายตรงข้าม แทบจะไม่มีจังหวะตอบโต้เลย ดูๆ แล้ววิธีนี้เหมือนจะไม่ค่อยเข้าท่า

          จู่ๆ โซลิแทร์ก็สะดุดเซเสียหลักเอาดื้อๆ  ผู้เฝ้าดาบได้ทีหวดกระบองใส่สุดแรง

          แต่กลับกลายเป็นว่าโซลิแทร์แสร้งทำเป็นเสียหลัก เมื่ออีกฝ่ายฟาดมาเต็มเหนี่ยว เขาก็ย่อตัวหลบทันเพราะเตรียมตัวไว้ กระบองเหวี่ยงข้ามหัวเขาไป ข้ามหัวสเคมโนสที่อยู่ข้างหลังด้วยเพราะตัวเตี้ยแล้วมันก็ข้ามไปกระแทกกับโล่ขององครักษ์คนหนึ่งอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ องครักษ์คนนั้นเสียหลักถอยหลังไปหลายก้าว ถูกแยกออกจากการต่อสู้ไปสองสามวินาที โซลิแทร์รีบใช้สองมือแทงดาบใส่องครักษ์อีกคนในมุมต่ำ ซึ่งลดทั้งโล่และกระบองลงมาป้องกันแทบไม่ทัน ทำให้มุมสูงขาดการป้องกัน สเคมโนสจึงฉวยโอกาสแทงดาบเข้าใส่ทางศีรษะ การถูกคนตัวสูงแทงใส่จากมุมต่ำและถูกคนตัวเตี้ยแทงใส่จากมุมสูงในจังหวะกะทันหันนั้น มันทำให้องครักษ์คนนั้นปัดป้องหลบหลีกไม่ทัน จึงรับดาบของสเคมโนสเข้าไปเต็มหมวกเกราะแล้วร่างของเขาก็แหลกเป็นโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “กลยุทธ์บ้าอะไรของท่านนี่” สเคมโนสคำรามขณะฟันดาบต่อสู้กับผู้เฝ้าดาบ

          “อย่างน้อยมันก็สำเร็จ” โซลิแทร์เข้าไปต่อสู้กับองครักษ์อีกคนที่เหลือ “อีกฝ่ายเก่งเกินไป ต้องใช้กลยุทธ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้นจึงจะพอสู้ได้”

          “อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกนะ”

          “ทำไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายคงจับทางได้แล้ว”

          ตอนนี้เหลือฝ่ายละสองเท่ากันแล้ว แม้จะกำจัดไปได้หนึ่ง แต่อีกสองที่เหลือก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเรียนรู้กลยุทธ์การต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม สเคมโนสต่อสู้กับผู้เฝ้าดาบ ขณะที่โซลิแทร์ต่อสู้กับองครักษ์ แต่ละคู่ยังทำอะไรกันไม่ได้เสียที

          “ต้านผู้เฝ้าดาบไว้ก่อน” โซลิแทร์พูดอย่างไม่แน่ใจ “ข้าจะพยายามกำจัดองครักษ์ของเขา”

          “ข้าคงประมือกับเขาได้ไม่นานนักหรอก” สเคมโนสหลบกระบองผู้เฝ้าดาบ “เขาเก่งเป็นบ้า”

            การต่อสู้ที่ยืดเยื้อไม่เป็นผลดีต่อโซลิแทร์และสเคมโนส พวกเขาเริ่มอ่อนแรงเพราะต่อสู้มาหลายด่านแล้ว บาดแผลก็มีเต็มตัว บางแผลเลือดยังไหลไม่หยุด สารรูปดูไม่ได้ทั้งคู่ องครักษ์อาจฝีมือไม่ร้ายกาจเท่าผู้เฝ้าดาบ แต่โซลิแทร์ก็รู้สึกว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งมาก ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็รับมือได้หมด และโจมตีมาแต่ละครั้งโซลิแทร์ก็รับมือลำบากทั้งนั้น แทบจะหาช่องทางเอาชนะไม่ได้ มิหนำซ้ำอาจจะแพ้เอาเสียด้วย หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างสเคมโนสจะต้านผู้เฝ้าดาบไม่ไหว

            แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  หลังจากต่อสู้ไปสักพัก สเคมโนสก็ถูกกระบองหวดใส่ดาบที่เขายกขึ้นมากำบังอย่างแรงจนถอยหลังล้มลงมาอยู่ใกล้ๆ ส้นรองเท้าบู๊ตของโซลิแทร์ โซลิแทร์หันไปมอง องครักษ์ที่ต่อสู้อยู่กับเขาฉวยโอกาสหวดกระบองใส่เต็มเหนี่ยว แต่โซลิแทร์ก็ย่อตัวก้มหัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมกันนั้นก็ปล่อยสายฟ้าเข้าปะทะโล่ของฝ่ายตรงข้ามในระยะประชิด องครักษ์เสียหลักถอยหลังไปหลายก้าว สเคมโนสกลิ้งตัวเข้าหาและลุกขึ้นฟาดดาบใส่กระบองขององครักษ์ให้เบี่ยงออกไปข้างๆ  เปิดช่องให้โซลิแทร์แทงดาบเข้ากลางหัวใจ ความรู้สึกเหมือนใช้ดาบแทงเหล็ก รับรู้ว่าสิ่งที่ดาบเจาะทะลุไปนั้นแข็งมาก ร่างขององรักษ์แตกสลายกลายเป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหลือผู้เฝ้าดาบเพียงคนเดียวแล้วตอนนี้

          “แบล็กไรดิงฮู้ดทางขวา” สเคมโนสตะโกนสุดเสียง ยกดาบขึ้น

            ช้าไปเล็กน้อยกระบองหนามของผู้เฝ้าดาบฟาดขูดเข้าที่ไหล่ขวาของโซลิแทร์ที่เบี่ยงหลบได้ส่วนหนึ่ง ยังดีที่เกราะหัวไหล่และเสื้อเกราะของเขาช่วยบรรเทาได้บ้าง แต่เขาก็ล้มลงกับพื้น เลือดไหลออกมาเปรอะหิมะจนเป็นสีดำ สเคมโนสกระแทกดาบต่อสู้กับผู้เฝ้าดาบอย่างทุลักทุเล ทั้งเขาและโซลิแทร์ต่างอ่อนแรงและบาดเจ็บ ขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีทักษะการต่อสู้สูงมาก

          ในจังหวะที่โซลิแทร์ปักดาบยันตัวลุกขึ้นยืนนั้น สเคมโนสก็ถูกโล่ของผู้เฝ้าดาบกระแทกล้มลงไปบนพื้น หมดสติแน่นิ่งหมวกเกราะกระเด็นหลุดออกจากศีรษะที่มีแผลแตก

          ผู้เฝ้าดาบเงื้อกระบองขึ้นเตรียมประหาร แต่โซลิแทร์ก็ชักกริชออกมาขว้างสกัดเขาไว้ ผู้เฝ้าดาบยกโล่ป้องกันแทบไม่ทัน โซลิแทร์เดินหน้าเข้าไประดมฟันใส่เป็นชุด สู้อย่างจนตรอก รู้ดีว่าไม่มีทางเอาชนะได้ในสภาพแบบนี้ ผู้เฝ้าดาบใช้กระบองปัดป้องคมดาบของเขาอย่างชำนาญและใช้โล่ฟาดใส่เขาเต็มเหนี่ยว โซลิแทร์กระเด็นล้มลงกับพื้น แล้วก็ต้องกลิ้งตัวหลบแท่งน้ำแข็งคมกริบจำนวนมากที่ผู้เฝ้าดาบปล่อยตามมา มันปักเรียงแถวตามการกลิ้งหลบของเขาอย่างน่าหวาดเสียว โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน ปลายดาบขีดกากบาทที่พื้น เป็นการบอกตัวเองว่า แม้จะสู้ไม่ได้แต่ก็จะสู้จนตาย ผู้เฝ้าดาบบุกตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและโจมตีอย่างหนักหน่วง โซลิแทร์ทั้งปัดป้อง ทั้งหลบหลีก ทั้งตอบโต้กับ เท่าที่จะมีปัญญาทำได้

          แล้วในจังหวะที่ผู้เฝ้าดาบฟาดกระบองลงมาใส่ โซลิแทร์ก็เบี่ยงตัวหลบแล้วแทงดาบสวนกลับ ผู้เฝ้าดาบยกโล่กำบังไว้ได้และยกเท้าถีบใส่ ความว่องไวของโซลิแทร์ลดลงเพราะทั้งอ่อนแรงและบาดเจ็บ จึงหลบไม่ทันถูกถีบเข้าเต็มหน้าอกกระเด็นล้มลงไป ดาบกระเด็นหลุดจากมือไปปักปลายที่เสาน้ำแข็งด้านหลัง

          โซลิแทร์ตะเกียกตะกายจะถอยไปหยิบดาบ แต่ผู้เฝ้าดาบก็ร่อนโล่มาสกัดเขา ขอบโล่ส่วนหนึ่งปักอยู่กับพื้น อีกส่วนที่เป็นส่วนเว้านั้นกดลำตัวและแขนซ้ายของเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน โซลิแทร์พยายามจะดันโล่ออกไปจากตัว แต่มันก็ทั้งใหญ่ทั้งหนักและปักอยู่ที่พื้นแน่น ถอนออกไม่ไหว จะเอื้อมมือขวาไปให้ถึงดาบก็สุดเกินเอื้อม มันปักอยู่ที่เสาเหนือหัวห่างมือออกไปเป็นฟุต ผู้เฝ้าดาบย่างสามขุมตรงมาพร้อมกับกระบองหนามในมือโซลิแทร์หยิบใบจักรออกจากกระเป๋าเสื้อนอกร่อนใส่อย่างไม่ยอมแพ้ ผู้เฝ้าดาบใช้กระบองปัดป้องได้ ร่อนใส่อีกใบก็หลบได้อีก เขาตรงเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ โซลิแทร์รู้สึกว่าวาระสุดท้ายของตนกำลังจะมาถึง ถูกโล่ยักษ์ตรึงไว้กับพื้นอย่างนี้ไม่สามารถขยับหลบไปไหนได้ ที่ขยับเขยื้อนได้มีเพียงแขนขวา เขาล้วงเข้าไปในเสื้อนอกโลหะเพื่อจะหยิบใบจักรออกมา พบว่ามันไม่เหลือสักใบแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือแอปเปิลมีรอยกัดรูปสายฟ้าเคลือบโลหะที่เขานำติดกระเป๋ามาด้วย เด็กหญิงมนุษย์คนหนึ่งเคยมอบมันให้เขาด้วยความจริงใจ และมันก็เป็นเครื่องเตือนใจให้เขายืนหยัดต่อสู้สิ่งที่เหนือกว่า ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ตลอดมา

          ผู้เฝ้าดาบอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต แขนข้างหนึ่งเงื้อกระบองขึ้นเตรียมพิฆาต ส่วนโซลิแทร์ถูกตรึงนอนอยู่กับพื้น มีเพียงแอปเปิลแหว่งในมือ

          และในวินาทีนั้น โซลิแทร์ก็โยนแอปเปิลขึ้นเหนือศีรษะ มันไปกระทบกับด้ามดาบของเขาที่ปักอยู่เหนือหัว ดาบถูกสะกิดหลุดจากเสาตกลงมา เขาคว้ามันไว้ได้กลางอากาศและรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายขว้างมันออกไปสุดแรง อย่างที่พ่อของเขาขว้างดาบไอซ์แอคเซอร์ใส่เฮเวนล็อค ดาบลอยหมุนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงและเสียบเข้ากลางอกผู้เฝ้าดาบที่ยกกระบองปัดป้องไม่ทัน ผู้เฝ้าดาบเซถอยหลัง ดาบของโซลิแทร์ปักทะลุร่าง

          เขาหันหมวกเกราะมาหาและพูดด้วยเสียงอันเบา เป็นเสียงที่แตกต่างจากเดิม มันดูมีชีวิตชีวาและมีความสุข  

          “ข้าเป็นอิสระแล้ว ขอบคุณ”

          แล้วร่างของผู้เฝ้าดาบก็แตกกระจายออกเป็นเศษเหล็กและเศษน้ำแข็ง โซลิแทร์ยกแขนป้องศีรษะ เศษเหล็กและเศษน้ำแข็งมากมายปลิวว่อนและตกลงบนพื้นเสียงดัง โล่ที่กดทับร่างเขาอยู่ก็แตกสลายเป็นเศษเหล็กเช่นกัน มีโลหะสีดำชิ้นหนึ่งตกลงมาข้างตัวเขา มันคือชิ้นส่วนดาบของเขาน่าใจหาย อาวุธคู่กายที่ผ่านสงครามกับเขามาหลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว

            โซลิแทร์นอนนิ่ง สะบักสะบอมจนแทบไม่อยากลุก พื้นหิมะใต้ตัวดำสนิทด้วยเลือดของเขา ห่างออกไปไม่ไกลนัก สเคมโนสเริ่มฟื้นแล้ว

          “แบล็กไรดิงฮู้ด” เขาค่อยๆ คลานเข้ามาหาอย่างทุลักทุเลเพราะบาดเจ็บเหมือนกัน โกยเอาเศษเหล็กกับเศษหิมะออกจากร่างของโซลิแทร์ ดึงหน้ากากเหล็กที่มีรอยถูกหางกระเบนลมฟาดออกให้ โซลิแทร์นอนหอบหายใจอยู่บนพื้น ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองเพดานห้องอย่างอ่อนล้า

          “เราทำสำเร็จแล้วใช่ไหม” เขาถามเสียงเบา “เราผ่านด่านสุดท้ายจนได้”

          “ใช่” คนแคระยิ้มอย่างภูมิใจ “มาเถอะพ่อหนุ่ม ท่านต้องดูสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าท่าน”

          สเคมโนสออกแรงพยุงตัวโซลิแทร์ให้ลุกขึ้นยืน โซลิแทร์ต้องยืนเอียงไปข้างหนึ่งเพราะอีกฝ่ายเตี้ยกว่ามาก เขาคว้าแอปเปิลเหล็กเก็บใส่กระเป๋าเสื้อนอกสารรูปของเขาค่อนข้างแย่ ผ้าคลุมขาดวิ่น เกราะตามตัวชำรุดและเปรอะไปด้วยเลือดของตน ใบหน้าและเส้นผมก็เลอะเลือดสีดำเช่นกัน

          แต่เมื่อเขามองตรงไปข้างหน้า ดวงตาสีน้ำเงินของเขาก็เบิกกว้างเป็นประกายด้วยความยินดี

          สุดปลายห้อง บริเวณที่มีแสงสว่างส่องลงมาจากเพดาน บัดนี้มันปรากฏแท่นสี่เหลี่ยมสีเทาที่เต็มไปด้วยข้อความสลักเป็นภาษาดาร์เคน ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง มีแท่งกางเขนยาวๆ สีเงินเรียบๆ ปลายแหลมคมวางอยู่บนแท่น

          “ฟรอสท์ฟอร์เมอร์” โซลิแทร์กระซิบ “แฝดผู้น้อง”

          “ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นมัน” สเคมโนสพูดอย่างดีใจ

          คนแคระวิ่งไปหยิบแผ่นคำสาปที่โซลิแทร์วางไว้บนฐานรูปปั้น แล้ววิ่งกลับมายื่นส่งให้โซลิแทร์ สีหน้าปิติยินดีเหมือนคนที่ฝ่าฟันความยากลำบากจนประสบความสำเร็จ ความรู้สึกนี้คงห่างหายไปนานตั้งแต่เขาถูกขับไล่ออกจากโมราโซมอส การได้รู้สึกเช่นนี้อีกครั้ง มันช่างเป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่งนัก

          “รีรออะไรอยู่ล่ะพ่อหนุ่ม ปลดปล่อยดาบกันเถอะ” เขาบอก

          โซลิแทร์อ่านข้อความในแผ่นคำสาปเป็นภาษาดาร์เคน น้ำเสียงของเขาเรียบเย็น มีพลัง ไร้ความรู้สึก ชวนให้ขนลุก แต่คงจะไม่มีครั้งใดที่ภาษาดาร์เคนจะน่าฟังเท่าครั้งนี้อีกแล้ว หลังจากดิ้นรน พยายาม กระเสือกกระสน ต่อสู้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ในที่สุดพวกเขาก็ทำสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เมื่ออ่านจนจบข้อความที่จารึกอยู่บนแท่นวางดาบก็เปล่งแสงขึ้นมาแผ่นคำสาปในมือถูกดึงตกลงไปบนพื้น

          สเคมโนสยืนมองแท่นวางดาบที่เปล่งแสงและดาบที่วางนิ่งอยู่บนแท่น คาดว่ามันน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้

          “ทำไมดาบยังไม่ถูกปลดปล่อยล่ะ” เขาหันไปหาโซลิแทร์

          โซลิแทร์กลับมีสีหน้าเศร้าหมอง รอยยิ้มแห่งความสุขที่ต่อสู้ฝ่าฟันจนสำเร็จนั้นหายไป เขาจ้องมองที่แท่นวางดาบ ดวงตาของเขาเศร้าสร้อย

          “เกิดอะไรขึ้น” สเคมโนสถามอย่างไม่แน่ใจ

          “ขั้นตอนสุดท้ายในการปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง จะต้องมีใครสักคนสัมผัสแท่นวางดาบ” โซลิแทร์กระซิบ “สังเวยชีวิต แลกกับการปลดปล่อยดาบ”

          สเคมโนสนิ่งอึ้งไปเป็นนาทีพวกเขามัวแต่ดีใจที่ฝ่าฟันมาถึงดาบได้ จนลืมนึกถึงเงื่อนไขข้อนี้ไป ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหันไปมองดาบอย่างนึกเศร้าใจ ถ้าจะปลดปล่อยดาบ จะต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย

          หลังจากเงียบกันไปนาน ในที่สุดสเคมโนสก็เอ่ยขึ้น

          “รู้ไหม เราสองคนเหมือนกันตรงไหน” เขายิ้มฝืดๆ “เหมือนตรงที่โชคไม่เคยเข้าข้างเลย”

          “นั่นสินะ” โซลิแทร์ยิ้มเศร้าๆ

          “ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เรามีเหมือนกัน เรามาให้โชคชะตาตัดสินดีกว่า ว่ามันจะเข้าข้างใครน้อยกว่ากัน” สเคมโนสหยิบเหรียญออกจากกระเป๋า “เหรียญนี้จะเป็นผู้เลือกว่าระหว่างท่านกับข้า ใครจะไปแตะแท่นวางดาบแล้วจบชีวิตที่นี่ และใครจะเป็นคนที่รอดชีวิตนำดาบออกไป”

          “ไม่ว่าใครจะเป็นผู้รอดชีวิตนำดาบออกไป ดาบก็จะถูกปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ ความสมดุลของดวงดาวและสภาพอากาศจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ถือว่าจุดประสงค์ภารกิจของเราลุล่วง” โซลิแทร์พยักหน้า “ตกลง มาให้เหรียญของท่านตัดสินกัน ออกหัวท่านตาย ออกก้อยข้าตาย”  

          “ข้าขอเลือกก้อยดีกว่า” สเคมโนสบอก

          “ก็ได้ ออกหัวข้าตาย ออกก้อยท่านตาย”

          แล้วสเคมโนสก็โยนเหรียญขึ้นสูง มือรองรับอยู่ข้างล่าง ทั้งเขากับโซลิแทร์จ้องมอง รอให้มันตกลงมา และเมื่อมันตกลงมา มันจะออกหัวหรือออกก้อยหนอ

          เสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะตกลงบนมือของสเคมโนส โซลิแทร์ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า เขาคว้าเหรียญไว้กลางอากาศ นำมาพลิกดูทั้งสองด้าน

          เหรียญนี้เป็นเหรียญที่หล่อขึ้นมาผิดพลาด มันไม่มีด้านหัว ไม่เคยมีด้านหัว มีแต่ด้านก้อยทั้งสองด้าน

          โซลิแทร์เงยหน้าขึ้นจากเหรียญ พบว่าสเคมโนสขยับไปอยู่หน้าแท่นวางดาบแล้ว มือเอื้อมไปข้างหน้า ห่างแท่นวางดาบไปเพียงไม่กี่นิ้ว

          “อย่า” โซลิแทร์ห้าม

          สเคมโนสหันมายิ้มให้เขา

          “แม้โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างข้า แต่ข้าเชื่อว่าบางครั้ง เราก็อาจสร้างโชคขึ้นมาเองได้ ตลอดเวลาที่ข้าโยนเหรียญนี้ตัดสิน ข้าหลอกทุกคนมาตลอดล่ะ ข้าไม่เคยคิดพึ่งพาโชคหรอก คนอับโชคอย่างเราจะพึ่งพาอะไรโชคได้ เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หากเราต้องการโชค เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง”

          “โปรดถอยห่างออกจากแท่นวางดาบก่อน” โซลิแทร์ขอร้อง “มันไม่ควรจะจบแบบนี้”

          “มันควรแล้วที่จะจบแบบนี้” สเคมโนสยืนกราน “คนที่ควรจะก้าวเดินต่อไปคือท่าน ไม่ใช่ข้า บทบาทของท่านต้องดำเนินต่อ มีคนมากมายฝากความหวังไว้ที่ท่าน มีสิ่งสำคัญที่ท่านต้องกลับไปหา แต่สำหรับข้ามันไม่มีแล้ว พวกพ้องของข้าตายหมด เผ่าพันธุ์ของข้าไม่ต้องการข้า ไม่มีพื้นที่ใดสำหรับข้าในดาวดวงนี้อีกแล้ว ข้าไม่เคยรู้สึกว่าตนมีความสำคัญและเป็นที่ต้องการเลย” เขาแตะที่อกเสื้อเกราะตัวเอง “จนกระทั่งข้าได้ช่วยท่านทำภารกิจนี้จนสำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่า ได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง”

          “ข้าจะทนอยู่กับตัวเองได้อย่างไร หากให้ท่านสละชีวิตเพื่อข้าในครั้งนี้” โซลิแทร์พูด

          “ความตายไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า หากเราได้ใช้ชีวิตก่อนตายอย่างคุ้มค่า ได้ทำสิ่งที่เราคิดว่ามีความหมาย” สเคมโนสกล่าว “ตลอดเวลาที่ข้ารบเพื่อมนุษย์ ข้าประสบความสำเร็จ และข้าก็หลอกตัวเองว่า นั่นคือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตข้า ทั้งที่ในใจลึกๆ แล้ว ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่ ข้าต่อสู้เพื่อเผ่าพันธุ์ที่โลภหลง เห็นแก่ตัว โหดเหี้ยมไร้ยางอาย บางทีการที่ข้าถูกขับไล่ออกมา มันก็อาจเป็นเรื่องที่ดีแล้ว มันเหมือนกับข้าใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมน ข้าไม่เคยรู้หรอกว่าข้าควรต่อสู้เพื่ออะไร จนกระทั่งตอนนี้” เขามองโซลิแทร์อย่างขอบคุณ “ท่านเป็นปีศาจที่พิเศษยิ่งนักแบล็กไรดิงฮู้ด สิ่งที่ท่านเป็นเสมอมาคือยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ ในยามที่ทุกคนสิ้นหวังล้มลง ท่านคือคนเดียวที่ยังมีหวังและยืนหยัดต่อไป คอยดึงมือให้ทุกคนกลับขึ้นมายืนอีกครั้ง ท่านคือสายฟ้าที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แม้มันจะทำได้แค่ส่องสว่างเพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็ทำให้ทุกคนยังมีหวังที่จะมองหาหนทาง ข้าช่วยให้ท่านฝ่าฟันอุปสรรคอันใหญ่หลวงครั้งนี้สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่จะทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

          “ท่านเป็นคนแคระคนสุดท้ายนะ” โซลิแทร์กระซิบ

          “จงอย่าได้อาลัย ถ้าสิ่งสุดท้ายมันจะหมดสิ้นไป มันไม่เจ็บปวดนักหรอก การเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ต่างหากที่เจ็บปวด” สเคมโนสยิ้มอย่างอบอุ่น “พวกไซคัสสร้างเรามาแบบนี้ เราเพิ่มประชากรไม่ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราก็จะหมดจากดาวดวงนี้ไป แต่ต้องขอบคุณท่านที่ทำให้คนแคระคนสุดท้ายได้รู้ว่า อย่างน้อย ก่อนที่คนแคระจะหมดจากดาวดวงนี้ไป ยังมีคนแคระคนหนึ่งได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ข้าไม่เสียใจเลยที่จะตาย เพราะข้าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายแล้ว”

          โซลิแทร์พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายอย่างเศร้าใจ

          “เส้นทางของข้ามันสิ้นสุดที่ปลายอุโมงค์นี้ แต่เส้นทางของท่านยังต้องดำเนินต่อไป ในตอนนี้ทุกคนล้มลงไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงท่านคนเดียวที่ยังยืนอยู่ และท่านจะต้องดึงมือให้พวกเขาลุกขึ้นยืนใหม่ แบล็กไรดิงฮู้ด ท่านต้องก้าวต่อไป” สเคมโนสพูดอย่างหนักแน่น “ก้าวต่อไปเพื่อพวกเขา ส่องประกายสายฟ้าให้พวกเขา เป็นความหวังให้พวกเขา”

          มนุษย์คนแคระคนนี้คือผู้มีเกียรติอย่างแท้จริง เขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามนุษย์ไม่ได้เห็นแก่ตัวกันหมด บางครั้ง ท่ามกลางสิ่งย่ำแย่ที่สุด อาจมีสิ่งที่ดีที่สุดแฝงอยู่ด้วย เหมือนกับพายุอันมืดมัวที่มีสายฟ้าสว่างปรากฏขึ้นประปราย โซลิแทร์อยากจะพูดอะไรดีๆ กับสเคมโนสสักประโยคสองประโยค แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนแข็งกระด้าง โดยเฉพาะกับมนุษย์นั้น มันทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี ที่ทำได้ก็แต่ยื่นมือออกไปข้างหน้าช้าๆ  ขอจับมือกับอีกฝ่าย

          “คาดไม่ถึงเลยนะนี่” สเคมโนสมองมือโซลิแทร์อย่างแปลกใจ “ไหนท่านบอกว่า ยื่นมือเข้าไปในเปลวไฟ ให้มันแผดเผาจนเหลือแต่กระดูก ยังรู้สึกดีกว่ายื่นไปจับมือ เพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับมนุษย์”

          “บางที ข้าคงเริ่มนึกได้แล้วว่าตนใจแคบเกินไป” โซลิแทร์บอก “มนุษย์ไม่ได้เลวร้ายทุกคน แล้วมันก็ไม่เลวร้ายนักหรอกที่จะจับมือกับมนุษย์ดีๆ สักคน ความจริงแล้ว มันยอดเยี่ยมทีเดียว”

          สเคมโนสยิ้ม จับมือกับโซลิแทร์ นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปีพันปี ที่ดาร์คเนสดีวิลและมนุษย์จับมือกันอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าชายไททอสและเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มเคยจับมือกัน

          “ขอบคุณ” ปีศาจหนุ่มกระซิบ ปล่อยมือสเคมโนส

          “ไม่” สเคมโนสส่ายหน้า รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนหน้า มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุข “ขอบคุณ”  

          แล้วเขาก็เอื้อมมือไปแตะแท่นวางดาบ ทันใดนั้น มือของเขาก็กลายเป็นน้ำแข็งและลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด โซลิแทร์จ้องมองอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำแข็ง จนกระทั่งกลายเป็นน้ำแข็งทั้งร่าง แล้วแตกสลายเป็นเศษน้ำแข็งไปต่อหน้าต่อตา สเคมโนสหายไปแล้ว ไม่เหลืออะไรเอาไว้ โซลิแทร์มองเหรียญที่มีด้านก้อยสองด้านในมืออย่างสะเทือนใจ นี่คือสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่

          น้ำแข็งที่ห่อหุ้มดาบและแท่นวางดาบแตกกระจายออกไป ข้อความภาษาดาร์เคนบนแท่นวางดาบหยุดเปล่งแสง แล้วค่อยๆ ลบเลือนหายไปจนเหลือแต่แท่นเกลี้ยงๆ  

          โซลิแทร์ก้าวไปยังแท่นวางดาบ หยิบดาบขึ้นมาถือ รับรู้ถึงความหนักของมัน และความเย็นที่แผ่ซ่านออกมา

          จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งนาที รูปร่างของดาบก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง น้ำหนักของมันเบาลงจนเหมือนไม่ใช่โลหะ ความยาวความกว้างของมันปรับเปลี่ยนจนเหมาะสมกับความถนัดของเขา กลายเป็นดาบยาวสำหรับใช้ด้วยสองมือ สีของมันเปลี่ยนเป็นสีดำ รายละเอียดเริ่มปรากฏขึ้นมาทีละอย่าง ท้ายด้ามดาบเป็นรูปกรงเล็บปีศาจถือหัวกะโหลกในอุ้งมือ ด้ามดาบสลักลายปีก เขี้ยว และกรงเล็บปีศาจ กระบังดาบเป็นปีกเอเลนเซฟเวอรี่สยายกว้าง หัวทั้งสามของมันพาดอยู่ที่โคนดาบ ใบดาบเรียบและคมกริบ ปลายดาบแคบแหลมเฉียบ การที่ดาบอยู่ในมือของโซลิแทร์ทำให้มีเกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมบนดาบ มันปรากฏเป็นตาของเอเลนเซฟเวอรี่บนโคนดาบ ตาของหัวกะโหลกที่ท้ายด้ามดาบ และเป็นลวดลายบนใบดาบรูปเส้นสายฟ้าประดับด้วยเขี้ยวและกรงเล็บเอเลนเซฟเวอรี่ รวมทั้งเป็นตัวอักษรภาษาดาร์เคนที่สลักจากโคนดาบเรียงลงไปทีละตัวจนถึงกลางดาบ สลักเป็นชื่อของดาบเล่มนี้ ฟรอสท์ฟอร์เมอร์ เหมือนกันทั้งสองด้าน และเมื่อใบดาบเคลื่อนไหวผ่านอากาศก็มีประกายเส้นสายฟ้าเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา บ่งบอกว่ามีพลังงานสายฟ้าวิ่งอยู่บนใบดาบ โซลิแทร์ลองขยับดาบ กวัดแกว่งไปมา ควง และโยนขึ้นรับกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก รูปร่าง หรือรูปลักษณ์ มันเหมาะสมกับเขาที่สุด เป็นอาวุธที่ถนัดมือที่สุดที่เขาเคยสัมผัสมา

          บาดแผลตามตัวของเขากลับมาผสานกันสนิท ความอ่อนล้าและความเจ็บปวดหายไป กลับมารู้สึกแข็งแรงมีพลังเต็มที่ ดาบเล่มนี้กับตัวเขาเชื่อมโยงกันแล้ว ทั้งเขาและดาบต่างถ่ายทอดความเป็นตัวเองให้แก่กัน ถ่ายทอดพลังให้แก่กัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนมันจะมีความสมบูรณ์มากขึ้น กระฉับกระเฉงมากขึ้น ว่องไวมากขึ้น และมีพละกำลังมากขึ้น

          แผ่นคำสาปที่ตกอยู่บนพื้นค่อยๆ หลอมละลาย กลายเป็นฝักดาบสีดำ ลักษณะคล้ายหางเอเลนเซฟเวอรี่ โซลิแทร์ปลดฝักดาบอันเก่าออก ประกอบฝักดาบอันใหม่เข้ากับเข็มขัด มันเป็นโลหะที่เบามากเช่นเดียวกับดาบ

          แล้วแท่นวางดาบตรงหน้าก็แปรสภาพเป็นบันไดวนทอดยาวขึ้นไปจนสุดเพดาน เพดานเลื่อนเปิดออกเป็นช่องหกเหลี่ยม มีแสงส่องผ่านลงมา มันคือทางออกจากอุโมงค์ เสมือนเปิดต้อนรับผู้กล้าที่ฝ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่างมาจนสำเร็จ

          โซลิแทร์สุดหายใจลึกๆ  แล้วก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกับดาบฟรอสท์ฟอเมอร์ที่กำแน่นในมือขวา แสงสว่างจากด้านบนส่องกระทบใบหน้า ดวงตา และเส้นผมของเขาเหมือนมีรัศมีเปล่งประกาย ดาบแดนน้ำแข็งเล่มที่สองถูกปลดปล่อยจากคำสาปพันธนาการในที่สุด อีกยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้สภาพอากาศของดวงดาวจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา