พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า
เขียนโดย Blackblood
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.
แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) บทที่ 34 แยกอาวุธ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 34
แยกอาวุธ
พระราชาแห่งโมราโซมอสยืนกางแขนกางขาให้บรรดาคนรับใช้ถอดชุดเกราะออก ดูเหน็ดเหนื่อยเหมือนเด็กที่ได้เล่นสนุกมาทั้งวัน ชุดเกราะของพระองค์มีสีสันโดดเด่น ตกแต่งสวยงาม แน่นอนว่าจะต้องมีราคาแพง สวมแล้วทุกคนที่มองเห็นจะรู้ทันทีว่านั่นคือพระราชา มันจะเป็นชุดเกราะที่มีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด ใช้ในสนามรบจริงได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะพระองค์แค่สวมสำหรับการไปกล่าวปราศรัยต่อหน้ากองทัพเท่านั้น ในสนามรบจริงๆ พระองค์ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้
“เจ้าเห็นสีหน้าของพวกทหารไหม เห็นที่พวกเขาส่งเสียงสรรเสริญข้าไหม แสดงว่าพวกเขายังศรัทธาในตัวข้าอยู่” พระองค์ทิ้งร่างเหี่ยวๆ ลงบนเก้าอี้ หลังจากชุดเกราะถูกถอดออกทุกชิ้นแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกุ้งแก่ๆ ที่ถูกปอกเปลือกอย่างไรพิกล สีเสื้อผ้าที่พระองค์สวมยิ่งทำให้ดูเหมือน
“พวกทหารต่างปิติยินดีเป็นล้นพ้นพะยะค่ะ ที่พระองค์ทรงมีเมตตาเดินทางไปเยี่ยมพวกเขา” เลขาส่วนตัวของพระราชาได้ทีประจบใหญ่ “พระองค์คือพ่อของแผ่นดิน คือผู้ที่อยู่ในใจของปวงประชา พวกทหารต่างได้รับกำลังใจที่พระองค์ได้ไปพบปะด้วย”
ความจริงก็คือ ทหารพวกนั้นต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ตำแหน่งสูงกว่า เมื่อได้ข่าวว่าพระราชาจะสร้างภาพด้วยการเดินทางไปพบปะทหาร เหล่าผู้บังคับบัญชาก็จะสั่งการให้พวกทหารเตรียมพร้อมแสดงท่าทางอะไรก็ตาม ที่ทำให้พระราชาเข้าใจไปว่าทหารเหล่านี้ดีใจเสียเหลือเกิน ปลาบปลื้มยินดีเสียเหลือเกิน ที่พระเจ้าแผ่นดินผู้ซึ่งเอาแต่สั่งพวกตนไปตาย และยังเก็บภาษีพวกตนจนแทบไม่เหลืออะไรให้ครอบครัวกินนั้น มาเดินลอยหน้าลอยตาไปทั่ว และกล่าวคำปราศรัยที่สวยหรู แต่ไม่ได้ช่วยให้พวกตนได้อะไรที่ดีขึ้นเลย ทหารแต่ละคนจำต้องไปรอรับเสด็จแต่เช้า ยืนตั้งแถวตากแดดตากลมกันแต่เช้า รอให้พระราชาเดินทางมาถึงในตอนบ่าย กว่าจะเสร็จพิธีการก็ค่ำมืด ธรรมเนียมปฏิบัติเป็นเช่นนี้มาทุกครั้งที่พระองค์เสด็จออกพบปะเหล่าทหารเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (ซึ่งในความจริงก็ไม่เห็นจะสร้างได้) ที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือ พระองค์ทรงโง่หรือทรงแกล้งโง่ที่เข้าใจว่าทุกคนเต็มใจและยินดีเสียเวลาและทนลำบากมาเฝ้ารับเสด็จพระองค์ทุกๆ ครั้ง พระองค์จะทรงไตร่ตรองไม่ออกเชียวหรือว่าไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่มีความสุขกับการทำอะไรไร้สาระเช่นนี้ แต่ในเมื่อธรรมเนียมนี้ยังไม่ถูกยกเลิกไปเสียที ก็แสดงให้เห็นว่าพระองค์โง่จริงๆ หรือไม่ก็หลอกตัวเองได้หน้าด้านหน้าทนกว่าที่คิด
“จะว่าไปแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงก็แนะนำได้เข้าท่านะ ข้าควรไปพบปะพวกทหารและประชาชนบ้าง” พระองค์รับเครื่องดื่มจากคนรับใช้ นานๆ จะเห็นพระองค์อารมณ์ดี “ดูสายตาที่ทหารแต่ละคนมองข้าสิ (พระองค์คงจะดูไม่ละเอียด) สวมชุดเกราะพกอาวุธแล้วข้ารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง ถึงอย่างไรข้าก็สืบเชื้อสายนักรบจากเหล่าบรรพชน”
แร็กซ์ริงก็แค่พูดไปอย่างนั้นเพื่อแก้ตัวให้คำสบประมาทของอาร์รอส เขาไม่เคยคิดหรอกว่าพระราชาจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทหารและพลเรือนได้อย่างจริงจัง ประโยชน์แท้จริงของการมีพระราชาองค์นี้อยู่ คือช่วยไม่ให้มนุษย์แตกแยกกันมากกว่านี้ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความขัดแย้งกันมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่ตอนนี้แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเป็นสองฝ่าย ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ไม่ลงรอยกัน ราวกับอีกฝ่ายเป็นข้าศึกจากต่างแผ่นดินก็ไม่ปาน แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายมีเหมือนกันหมดคือกลัวพระราชา เพราะพระองค์มีอำนาจมีอิทธิพล จะสร้างความลำบากให้ใครก็ได้ และพระองค์ก็ไม่ชอบให้ใครมาเห็นต่างด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะฝั่งใดฝ่ายใด จะขัดแย้งแตกต่างกันเพียงใด ก็จำใจต้องทำสิ่งเดียวกัน คือก้มหัวทำตามพระราชา
“ทุกคนล้วนจงรักภัคดีต่อพระองค์พะยะค่ะ แม้แต่หัวก็ยอมถวาย” เลขาประจบไม่หยุด ว่ากันว่าพระราชามนุษย์ ไม่มีองค์ใดที่ไม่บ้ายอ คนที่ประจบประแจงเก่งๆ จึงมักได้ดิบได้ดี เป็นเหตุให้สังคมมนุษย์มีแต่คนชอบประจบประแจง
“ข้าคิดว่าการพบปะแบบนี้เป็นวิธีที่เข้าท่า ในยามที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤตศรัทธา” พระราชาจิบเครื่องดื่มในแก้ว “ข้าพบปะฝ่ายทหารไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นด้านฝ่ายพลเรือน”
“หม่อมฉันจะจัดหาวันเวลาที่เหมาะสมพะยะค่ะ” เลขาจดลงในสมุดบันทึก “อาจต้องใช้เวลาในการจัดสรรสักพัก เพราะพลเรือนของอาณาจักรเรามีมากกว่าทหาร และต่างคนก็ประกอบอาชีพหลากหลาย มีความคิดที่แตกต่างกัน หากจะจัดการให้พระองค์ได้พบปะ ก็ต้องเตรียมการอีกแบบหนึ่ง”
“เอาเถอะ จัดการยังไงก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนมาก เพราะข้าก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร” พระราชาพูดสบายๆ “ข้าเองก็จะได้พักเหนื่อยจากวันนี้ และมีเวลาเตรียมสุนทรพจน์ด้วย”
“พะย่ะค่ะ” เลขาโค้งคำนับ
“ข้าได้รับรายงานมาว่า พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลกำลังขัดแย้งกัน” พระราชาชวนคุย “ดีแล้ว สมน้ำหน้าพวกมัน ก่อนหน้านี้รวมหัวกันเล่นงานอาณาจักรข้า ตอนนี้เริ่มจะตีกันเองเสียแล้ว ถือเป็นข่าวดีนะนี่ ศัตรูของเราสองฝ่ายต่อสู้กันเอง”
“นี่ขนาดอยู่ห่างกันคนละซีกแผนที่ ก็ยังอุตส่าห์มาขัดแย้งกันจนได้ น่าสมเพศจริงๆ พะยะค่ะ” เลขาช่วยเสริม “พวกนั้นปะทะกันครั้งแรกไปแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลชนะ พวกโฮเซ่จึงคงอยากแก้มือ ส่งกองกำลังออกนอกแบร์ร็อคอีกครั้ง ครั้งนี้มีธงของผู้นำสูงสุดด้วย ดูเหมือนว่าเทอร์ริน เฮนิเคมจะออกโรงเอง”
“ปล่อยให้พวกมันรบรากันไป ขอให้บานปลายจนถึงขั้นเกิดสงคราม เราจะคอยดูพวกมันพังพินาศกันไปทั้งคู่นี่แหละ” พระราชาพออกพอใจ “เห็นไหม อาณาจักรที่ปกครองด้วยคนหนุ่มมันน่าสมเพช สมองยังโตไม่เต็มที่ก็ริอาจทำงานผู้ใหญ่ คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ ทะเลาะกันตามสัญชาตญาณหนุ่ม”
“แล้วเรื่องพวกเอลิลล่ะพะยะค่ะ” เลขาถาม “ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าพวกนั้นก็เป็นศัตรูกับเราเหมือนกัน”
“เหตุการณ์ที่โอมิลรอนนั้น ข้าเดาออกว่าพวกเอลิลแค่พยายามสร้างความเสียหายแก่เรา เพื่อให้เราเก็บกองทัพไว้ป้องกันอาณาจักร ไม่ยกออกไปสร้างปัญหาอะไรให้พวกนั้น” พระราชาตอบ “ฉะนั้นเราก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำ อยู่เฉยๆ ให้ศัตรูแต่ละฝ่ายของเราถูกกำจัดไปทีละฝ่าย สบายไหมล่ะ ปล่อยให้พวกเอลิลทำงานแทนเรา จนกระทั่งพวกเอลิลกำจัดศัตรูจนหมดทุกฝ่าย เราก็ฉวยโอกาสกำจัดพวกเอลิลเสีย”
“แต่ถึงเวลานั้น พวกเอลิลอาจแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเราจะกำจัดได้นะพะยะค่ะ” เลขาเตือน
“เหลวไหล” พระราชาเถียง “กว่าจะถึงเวลานั้น ทางฝ่ายของเราจะฟื้นฟูตัวเองจนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ขณะที่พวกเอลิลเสียหายจากการผ่านสงครามหนักๆ มา พวกนั้นสู้เราไม่ได้แน่”
“พะยะค่ะ” เลขาโค้งศีรษะ
“วันนี้ข้าเหนื่อยมามากแล้ว จะอาบน้ำเสียหน่อย เจ้าไปพักผ่อนได้แล้วไป” พระราชาโบกมือ
“หม่อมฉันทูลลาพะยะค่ะ” เลขาโค้งคำนับอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป
พระราชาลุกจากเก้าอี้ เปิดประตูบานเลื่อนงาช้างเข้าไปในห้องอาบน้ำ มีสระทองคำที่ประดับด้วยไข่มุก น้ำในสระโรยด้วยกลีบกุหลาบ ในสระนั้นมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีรูปร่างดีหลายคนเปลือยกายแช่อยู่ในสระ แต่ละคนส่งยิ้มหวานให้พระราชา มีสองคนที่เป็นฝาแฝดกันขึ้นจากน้ำ เข้ามาหาพระราชา
“พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยกับราชการแผ่นดินมามากแล้ว โปรดให้พวกเราแบ่งเบาภาระพระองค์ ช่วยพระองค์ถอดเสื้อผ้านะพะยะค่ะ”
พระราชายิ้มจนหางตาย่นทีเดียว
“ก็ทำเสียสิ” พระองค์กางแขนออก
*********************
ในพื้นที่ดินแดนร้างที่อยู่นอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลไปเล็กน้อย บริเวณที่เป็นทุ่งหญ้า สถานที่ตายของซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์และทหารโฮเซ่หนึ่งร้อยคนที่ยกมาก่อนหน้านี้ กองกำลังโฮเซ่ชุดใหม่อีกหนึ่งร้อยคนยืนจัดแถวกันอย่างเป็นระเบียบ พร้อมจะทำการต่อสู้แก้มือให้พวกพ้องที่ล่วงลับไป กระโจมค่ายที่เห็นอยู่ด้านหลังไกลๆ คือกองกำลังโฮเซ่อีกส่วน ที่จะคอยทำหน้าที่มาเก็บศพหลังการต่อสู้ รวมทั้งพยาบาลคนเจ็บในกรณีที่ชนะ แต่ถ้าหากแพ้ ก็จะเก็บศพเพียงอย่างเดียว รวมทั้งศพผู้นำสูงสุดของพวกตนด้วย
ห่างออกไปข้างหน้าที่เห็นอยู่ไกลๆ คือกองกำลังดาร์คเนสดีวิลหนึ่งร้อยคน มีเซซิลและกัปตันมาซูลรวมอยู่ด้วย พวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าต่อสู้เช่นกัน นักรบทุกคนล้วนเคยร่วมรบกับเอโมลิลหรือไม่ก็มีเอโมลิลเป็นแรงบันดาลใจชีวิต บางคงถึงกับพกหนังสือที่เอโมลิลเขียนติดตัวมาด้วย เช่นเดียวกับพวกโฮเซ่ทั้งหนึ่งร้อยคนที่จงรักภัคดีต่อตระกูลท็อกซ์ฟ็อกซ์ ต่อเจ้าเมืองซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ผู้ล่วงลับและพ่อผู้ทรงเกียรติของเขา ศึกครั้งนี้คือศึกที่ว่าด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีอีกครั้ง
ณ พื้นที่กึ่งกลางระหว่างสองกองกำลังนั้น เทอร์ริน เฮนิเคม และโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มต่างลงจากพาหนะของตน เดินตรงเข้าหากัน ผ้าคลุมของโซลิแทร์และริ้วธงติดหลังไหล่ของเทอร์รินโบกสะบัดไปทิศทางเดียวกันตามแรงลม
“เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” เทอร์รินแนะนำตัว
“โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์แนะนำตัว
“ขอขอบคุณ ที่ตอบรับจดหมายท้ารบจากข้า” เทอร์รินพูดอย่างมีมารยาท
“ตามวิถีแห่งนักรบ เมื่อมีการท้าต่อสู้อย่างมีเกียรติ ก็ต้องมีการตอบรับ” โซลิแทร์กล่าว “ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนของท่านด้วย เขาเป็นนักรบที่มีเกียรติ มีทักษะที่เก่งกาจ มีความกล้าหาญ”
คำว่าเสียใจ มันไม่ได้ทำให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ฟื้นขึ้นมา และมันมีความหมายน้อยมากเมื่อออกมาจากปากผู้ที่เป็นคนลงดาบสังหารเขา มันไม่ได้ทำให้อคติของเทอร์รินที่มีต่อโซลิแทร์นั้นลดลงเลย เขาไม่ชอบดาร์คเนสดีวิลคนนี้ แล้วเขาก็จะไม่ลังเลหากถึงยามที่จะฟันขวานลงที่คอของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม เทอร์รินฉลาดและสุขุมกว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์มาก เขาเก็บอาการและรักษามารยาทไว้ได้ตามเดิม
“เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า แม้จะใจร้อนมุทะลุบุ่มบ่าม แต่เขาก็ทุ่มเทเพื่อเหล่าเพื่อนพ้องและเผ่าพันธุ์เต็มที่เสมอ” เทอร์รินพูด “ทั้งเขาและพ่อของเขาเป็นชายผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรี ดังนั้น ข้าจะขอกอบกู้เกียรติและศักดิ์ศรีคืนให้พวกเขา”
กลุ่มควันสีดำปรากฏขึ้นบนถุงมือหุ้มเหล็กของโซลิแทร์ แล้วเปลี่ยนเป็นม้วนกระดาษ โซลิแทร์กางให้ดู มันเขียนด้วยข้อความภาษามนุษย์ ด้านล่างประทับตราสัญลักษณ์สีดำรูปเอเลนเซฟเวอรี่สยายปีก พาดทับด้วยสายฟ้าสองเส้นเป็นกากบาท มีหมวกฮู้ดเป็นฉากหลัง ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของโซลิแทร์
“นี่คือหนังสือยืนยันทุกสิ่งเกี่ยวพ่อของเพื่อนท่าน ข้าร่างมันด้วยตนเอง” โซลิแทร์พูด “หากฝ่ายของท่านชนะการต่อสู้ ท่านจะได้มันไป”
ตามความคิดของเทอร์รินนั้น เขามีสิทธิ์จะได้หนังสือนั่นโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรเสียด้วยซ้ำ เพราะพ่อของท็อกซ์ฟ็อกซ์บริสุทธิ์จริง ส่วนเอโมลิลก็ผิดจริง พวกดาร์คเนสดีวิลต่างหากที่ปกปิดความจริงอันน่าอับอายของพวกเดียวกันไว้ ยิ่งเสริมอคติในใจมากขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อยังไงการต่อสู้ก็ต้องเกิด จึงไม่จำเป็นจะต้องทักท้วงอะไรเรื่องนี้
“เราสองเผ่าพันธุ์มีศัตรูเดียวกัน ทั้งพวกมนุษย์และพวกเอลิล หากความขัดแย้งระหว่างเราบานปลายใหญ่โต ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือศัตรูทั้งสองนั่น” เทอร์รินกล่าวต่อ “ฉะนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าต้องการยุติปมขัดแย้งระหว่างเรา ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือแพ้ ขออย่าได้เคียดแค้นอาฆาตกันอีก ให้มันจบลงในการต่อสู้ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก”
“จบเรื่องอย่างลูกผู้ชาย เลิกแล้วต่อกันไป” โซลิแทร์พยักหน้า
แม้ว่าความบาดหมางครั้งนี้จะจบลงที่การต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างเลิกแล้วต่อกันไป แต่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีสักฝ่ายที่เสียผู้นำสูงสุด หรือไม่ก็เสียกันทั้งคู่ ฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนรู้คือไม่ว่าผลจากการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร โฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิลจะไม่ขัดแย้งกัน แต่ก็จะไม่มีความเป็นมิตรต่อกัน หรือจะทำสิ่งใดร่วมกันได้อีกแล้ว
“พบกันอีกครั้งในสนามรบ” เทอร์รินโค้งศีรษะ
“พบกันอีกครั้งในสนามรบ” โซลิแทร์โค้งศีรษะ
แล้วทั้งคู่ก็หันหลังแยกกันไปขึ้นพาหนะ ขี่ตรงกลับไปสมทบกับกองกำลังของตนที่จัดแถวรอ ลงจากพาหนะ ก้าวไปประจันหน้ากับทหารนักรบของตนทั้งหนึ่งร้อยคน พวกซึ่งจะตามตนเข้าไปต่อสู้ในการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้
“สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้” เทอร์รินกล่าวแก่กองกำลังของตน
“เคยเกิดขึ้นมาแล้ว” โซลิแทร์กล่าวแก่กองกำลังของตน
“ครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย” เทอร์รินกล่าว
“ที่ดาร์คเนสดีวิล” โซลิแทร์กล่าว
“ที่โฮเซ่” เทอร์รินกล่าว
“จะบาดหมางกันในเรื่องนี้อีก” โซลิแทร์กล่าว
“เราจะจบเรื่องนี้อย่างลูกผู้ชาย” เทอร์รินกล่าว
“ด้วยโลหิตและเหล็กกล้า” โซลิแทร์กล่าว
“กำจัดดาร์คเนสดีวิลทั้งหนึ่งร้อยหนึ่งคน” เทอร์รินกล่าว
“กำจัดโฮเซ่ทั้งหนึ่งร้อยหนึ่งคน” โซลิแทร์กล่าว
“หรือไม่ก็เป็นฝ่ายถูกกำจัดทั้งหนึ่งร้อยหนึ่งคน” เทอร์รินกล่าว
“จับอาวุธ แล้วจบเรื่องนี้เสีย” โซลิแทร์กล่าว
เทอร์รินเป่าแตรสงครามแห่งแบร์ร็อคเสียงกึกก้องกังวาน
โซลิแทร์ยิงพลุสีน้ำเงินส่องประกายสว่างวาบทั่วฟ้า
“เพื่อแบร์ร็อค” เทอร์รินชักขวานสองหน้าออกมาจากเข็มขัด โล่ที่ติดแขนซ้ายยกขึ้นกำบังข้างหน้า แล้วออกวิ่ง
“เราคือกำแพง” โซลิแทร์ชักดาบยาวออกมาจากฝัก ออกวิ่งไปข้างหน้า โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แขนขวาที่ถือดาบเหยียดเฉียงออกข้าง ผ้าคลุมโบกสะบัดอยู่ข้างหลัง
กองกำลังโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลฝ่ายละหนึ่งร้อยคนต่างออกวิ่งตามผู้นำสูงสุดของตน พวกโฮเซ่ตะโกนว่า “เพื่อแบร์ร็อค” พวกดาร์คเนสดีวิลตะโกนว่า “เราคือกำแพง” กองกำลังสีน้ำตาลและสีดำบุกเข้าหากันด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ลดระยะห่างกันเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสูง เทอร์รินและโซลิแทร์วิ่งนำหน้ากองกำลังของตนค่อนข้างห่าง พวกเขาจะเข้าปะทะกันเป็นคู่แรก ซึ่งก็กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาที
ในวินาทีอันฉุกละหุก ร่างหนึ่งก็ขี่ม้าทะยานตรงเข้ามาในสนามรบ ร่างนั้นรีบลงจากหลังม้า วิ่งไปยืนขวางกลางระหว่างเทอร์รินและโซลิแทร์ที่กำลังจะเข้าปะทะกัน มือซ้ายยกห้ามไปทางพวกโฮเซ่ มือขวายกห้ามไปทางพวกดาร์คเนสดีวิล นับว่าใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนักที่เข้ามาขวางกลางระหว่างสองกองกำลังที่ใกล้จะปะทะกันเช่นนี้ เพราะหากทั้งสองฝ่ายไม่หยุด คนที่อยู่ตรงกลางคือผู้ที่จะตายเป็นคนแรก
แต่เทอร์รินกับโซลิแทร์หยุด
ผลที่ตามมาคือความโกลาหล เมื่อทั้งสองกองกำลังที่วิ่งเต็มฝีเท้าต่างต้องหยุดกะทันหัน พวกที่อยู่ข้างหลังชนกับพวกข้างหน้า บางคนเสียหลักล้ม บางคนเท้าไถลไปกับพื้น ถอนเอาต้นหญ้าขึ้นมาเป็นแนว เสียงเกราะเหล็กกระทบกระแทกกันดังระงม อาวุธที่ถืออยู่ในมือก็ต้องเบี่ยงหลบไม่ให้ไปถูกพวกเดียวกันเข้า
เซ็นแวนเดอร์หายใจหนักด้วยความตื่นเต้น แต่ก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นบ้างที่หยุดการปะทะได้ แขนสองข้างยังยกห้ามพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิล เขายืนอยู่ระหว่างเทอร์รินกับโซลิแทร์
“ท่านเป็นใคร” เทอร์รินคำราม
“ท่านเป็นใคร” โซลิแทร์ถามเสียงเย็น
“เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์ รองหัวหน้าเผ่าแห่งอาณาจักรกาโกคอล” เขาแนะนำตัว สายตาของเทอร์รินและโซลิแทร์ปราดไปที่รัดเกล้าขนนกบนศีรษะของเขาทันที
“ท่านกำลังทำสิ่งที่อันตรายมาก” เทอร์รินว่า
“ท่านเข้ามาขวางการต่อสู้” โซลิแทร์ว่า
“ได้โปรด ท่านทั้งสอง อย่าสู้รบกันเองอีกเลย” เซ็นแวนเดอร์ลดแขนสองข้างลง “เราทั้งสามฝ่ายมีศัตรูเดียวกัน ซึ่งก็เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมาก และกำลังจะชนะพวกเราทุกเผ่าพันธุ์ แต่ละครั้งที่ดาบของพวกท่านฟาดฟันใส่กัน มันยิ่งเป็นการช่วยให้ศัตรูก้าวหาชัยชนะได้เร็วขึ้น”
“ท่านเป็นคนกล้าหาญ ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ ท่านยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อขัดขวางการต่อสู้ครั้งนี้” โซลิแทร์นับถือ “แต่ท่านก็กำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ท่านควรหลีกไปเสีย”
“การต่อสู้ดำเนินไปแล้ว และมันก็จะดำเนินต่อไป” เทอร์รินพูด “นี่เป็นเรื่องระหว่างโฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิล กรุณาถอยห่างจากสิ่งที่ท่านไม่เกี่ยวข้องด้วย”
“เผ่าพันธุ์ของข้ากำลังจะถูกกำจัด หัวหน้าเผ่าของข้ากำลังจะตาย ประชาชนของข้าต่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง ได้โปรด ข้าแบกรับชะตากรรมของพวกเขาอยู่” เซ็นแวนเดอร์วิงวอน “ข้ามองไม่เห็นทางออกใดๆ ให้พวกพ้องอีกแล้ว พวกเอลิลแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าฝ่ายของข้าหรือฝ่ายของพวกท่านก็ไม่อาจต่อกรด้วยได้ ร่วมมือกันเท่านั้น ถึงจะพอมองเห็นความหวัง”
“ไม่ว่าท่านมีความต้องการอันใด ขอให้มันผ่านพ้นการต่อสู้ไปเสียก่อน” โซลิแทร์พูด
“การต่อสู้จะต้องดำเนินต่อไปจนจบ” เทอร์รินพูด
“แล้วยังไงต่อล่ะ หนึ่งในพวกท่านจะต้องตาย หรือไม่ก็ตายทั้งคู่ รวมทั้งพวกพ้องของพวกท่านทั้งสองร้อยคนที่จะต้องตายกันเกลื่อนกลาด มันได้อะไรขึ้นมา นอกจากทำให้พวกเอลิลได้สิ่งที่ต้องการ แต่ละเผ่าพันธุ์จะแยกออกจากกันเหมือนครั้งที่เราทำสงครามกับพวกเฟลมฟอร์ส และจะถูกกำจัดทิ้งไปทีละเผ่าพันธุ์” เซ็นแวนเดอร์ย้อนถาม “โปรดมองข้ามทิฐิของพวกท่าน โปรดลดดาบที่บดบังสายตาออก ฟอเรสเทอร์เราอ่อนแอและโง่เขลา เราจึงจะทำสิ่งที่เหมาะสมกับเผ่าพันธุ์อ่อนแออย่างเรา นั่นคือลดทิฐิของเรา และวิงวอนของร้องพวกท่าน”
เทอร์รินและโซลิแทร์ยืนเงียบ เช่นเดียวกับโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลทั้งกองกำลัง ลึกๆ แล้วพวกเขารู้สึกละอายใจ
“หากพวกท่านยืนกรานที่จะสู้กันต่อไป” เซ็นแวนเดอร์คุกเข่าลง “ก็โปรดปลิดชีพข้าเสียก่อนเถิด อย่างน้อยตายเพราะพยายาม ก็ยังดีกว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
โซลิแทร์จ่อดาบที่คอหอยของเซ็นแวนเดอร์
“ข้าจะไม่พูดซ้ำสอง กรุณาหลีกทางด้วย ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์” เขาเตือนด้วยเสียงเย็นเยียบและเด็ดขาด “เอาชีวิตท่าน ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากทำ แต่ก็มีหลายสิ่งที่ข้าจำต้องทำยามถูกกดดัน และข้าก็เป็นคนที่พูดจริงทำจริงเสมอ”
“ข้าเองก็เช่นกัน” เซ็นแวนเดอร์เชิดคออย่างแน่วแน่ แม้จะพยายามข่มความตื่นกลัวไว้ แต่ก็ไม่หวั่นเกรงที่จะตาย “ความสิ้นหวังเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด อาจเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็ว่าได้ และข้าก็ไม่อาจกลับไปมองเห็นความสิ้นหวังในดวงตาทุกดวงของพวกพ้องได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าจะขอขวางอยู่ตรงนี้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อแยกอาวุธของพวกท่านออกจากกัน แม้จะต้องแยกมันด้วยคอของข้าก็ตาม”
“หากเป็นเช่นนั้น” เทอร์รินกระชับขวานสองหน้าในมือขวา
แล้วเขาก็เงื้อขึ้น ฟันเข้าใส่ท้ายทอยเซ็นแวนเดอร์เต็มเหนี่ยว
เสี้ยววินาทีสุดท้าย เทอร์รินหยุดขวานเอาไว้ ใบขวานคมกริบจ่ออยู่ที่ท้ายทอยของเซ็นแวนเดอร์ ผมสีน้ำตาลดำยาวสลวยถูกตัดไปบางเส้น เซ็นแวนเดอร์ยังคงนั่งคุกเข่าเชิดคอ ขวานของเทอร์รินจ่ออยู่ที่หลังคอ ดาบของโซลิแทร์จ่ออยู่ที่หน้าคอ อาวุธทั้งสองถูกขั้นกลางด้วยคอของเขา แต่แววตาของเขาก็ไม่มีตกใจ ไม่มีกลัว ไม่มีการกล่าวโทษ มีเพียงความอ้อนวอนที่จ้องมองทั้งคู่สลับไปมาดังเช่นเดิม
เทอร์รินลดขวานลง ประคองแขนเซ็นแวนเดอร์ให้ลุกขึ้นยืน โซลิแทร์เอาดาบออกจากคอของเซ็นแวนเดอร์ ทั้งคู่มองเซ็นแวนเดอร์ด้วยสายตาชื่นชมนับถือ เช่นเดียวกับพวกโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลอีกสองร้อยคน ฟอเรสเทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนโยนรักสงบ แต่ก็มีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
“บางที มันก็จริงของท่าน ศักดิ์ศรีหรือทิฐิ แต่ละเผ่าพันธุ์ที่ก้าวหน้ามักจะแยกสองสิ่งนี้ไม่ออก กลับมีเพียงเผ่าพันธุ์ล้าหลังอย่างฟอเรสเทอร์ที่แยกออก” เทอร์รินกล่าว “มันคุ้มแล้วหรือที่จะรบรากันเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ลดละทิฐิ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้อะไรเลย นอกจากทำให้ศัตรูที่แท้จริงมีหนทางชนะได้มากขึ้น พ่อข้าเคยขับไล่พวกแฮนดรัสออกจากอาณาจักร ตัวข้าเองก็ทำแบบเดียวกันนี้กับกลุ่มกบฏ ไม่เคยใส่ใจที่จะประนีประนอมสักนิดเพราะมีทิฐิบังตา ได้แต่หาข้ออ้างต่างๆ นาๆ ว่าตนไม่มีปัญญาประนีประนอม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพยายามไม่เพียงพอ แล้วผลที่ตามมาคืออะไร ความอ่อนแอของอาณาจักร และความได้เปรียบที่ศัตรูมีมากขึ้น”
เขาเก็บขวานลงเข็มขัด พวกทหารโฮเซ่เก็บอาวุธตามเขา แต่โซลิแทร์และพวกดาร์คเนสดีวิลยังคงถืออาวุธอยู่ในมือ ดูลังเลชั่งใจ
“ข้าไปขอให้พวกแฮนดรัสมองข้ามทิฐิ แล้วกลับมารวมเป็นเผ่าพันธุ์โฮเซ่เหมือนเดิม พวกนั้นปฏิเสธ ซึ่งมันสมควรแล้ว เพราะตัวข้าเองยังมองข้ามทิฐิไม่ได้ พวกเขาจะมีความเชื่อถืออะไรให้ข้า ข้าบอกพวกเขาว่า หากเผ่าพันธุ์จะมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทุกคนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ในช่วงเวลาที่ข้าพูดนั้น ข้ากลับแตกหักกับพวกกบฏ ช่างน่าละอายยิ่งนัก” เทอร์รินจับบ่าเซ็นแวนเดอร์ “ต้องขอบคุณท่าน ที่ทำให้ข้าสำนึกได้ในวันนี้ ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าตนผิดพลาดอะไรไป บางทีลึกๆ แล้ว ข้าก็คงรู้ตัวมาตลอด เพียงแต่ข้ามีทิฐิเกินกว่าจะยอมรับมัน” เขาหันไปกล่าวแก่ทุกคนอย่างหนักแน่น “ทุกคนล้วนทำผิดพลาดได้ แต่ลูกผู้ชายคือคนที่ยอมรับ และพยายามแก้ไขให้ถูก ข้าเป็นคนมีทิฐิสูง อาจจะลดไม่ได้โดยง่าย แต่อย่างน้อย ข้าก็ขอทำให้มันลดเท่าที่จะทำได้”
แล้วเขาก็ชูสองนิ้วแยกจากกัน หันเฉียงไปที่พวกดาร์คเนสดีวิล เป็นสัญลักษณ์กรรไกร สัญลักษณ์ขอยอมแพ้ พวกดาร์คเนสดีวิลถึงกับอึ้งกันทั้งกองกำลัง
“พอแล้วกับการฆ่าฟันกันเองเพื่อให้ศัตรูที่แท้จริงได้เปรียบ พอแล้วกับการให้ศักดิ์ศรีบดบังตาจนมืดบอด ข้าขอยุติมัน” เทอร์รินประกาศ “หากการต่อสู้จะต้องมีผลแพ้ชนะ ข้าจะขอเป็นฝ่ายยอมแพ้”
แม้ดาร์คเนสดีวิลทุกคนจะมีสิ่งปิดหน้าปิดตา แต่ก็มองออกว่าพวกเขาล้วนมีสีหน้าละอายใจ แต่ละคนเก็บอาวุธของตน ยืนเงียบ
“ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ โฮเซ่จะขอเข้าร่วมกับท่าน” เทอร์รินหันไปหาเซ็นแวนเดอร์ “เมื่อใดก็ตามที่ท่านพร้อมจะหารือ ข้าจะไปหาทันที”
“ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร” เซ็นแวนเดอร์ซาบซึ้ง
เทอร์รินตบไหล่เซ็นแวนเดอร์เบาๆ หันไปทำสัญญาณให้กองกำลังเตรียมเคลื่อนพลกลับไป
“โปรดรอก่อน”
โซลิแทร์เดินเข้าไปหาเทอร์ริน ยื่นม้วนกระดาษให้ มันคือหนังสือยืนยันความบริสุทธิ์ของพ่อท็อกซ์ฟ็อกซ์ และยอมรับความผิดของเอโมลิล
เทอร์รินรับไป พยักหน้าให้โซลิแทร์ แต่ก็ไม่มองหน้าหรือแสดงความขอบคุณ เห็นชัดว่ายังมีอคติอยู่ เขายังคงคิดว่าโซลิแทร์ควรจะมอบมันให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะทุกสิ่งในม้วนกระดาษแผ่นนี้คือความจริง และการที่พวกดาร์คเนสดีวิลดื้อดึงไม่ยอมรับความจริง ทำให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องตาย เขาอาจลดทิฐิไม่รบรากับพวกดาร์คเนสดีวิล แต่เขาก็ยังไม่อาจอภัยให้โซลิแทร์ได้ ซึ่งจะว่าไปก็มีเหตุผลสมควรอยู่
เทอร์รินนำกองกำลังของตนถอยกลับไป โซลิแทร์ก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้ากองกำลังของตน สูดหายใจลึกๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้มากขึ้น ปกติแล้วเขาจะมีความมั่นอกมั่นใจมากยามพูดปลุกระดมกองทัพ แต่ในเรื่องที่เขาจะพูดครั้งนี้ มันต้องรวบรวมความกล้าพอสมควร
“โฮซอร์เฮนิเคมพูดถูก บางครั้ง เราก็แยกศักดิ์ศรีกับทิฐิไม่ออก เราต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี หรือเราต่อสู้เพราะมีทิฐิกันแน่ ความจริงก็คือความจริง เราต้องมองข้ามทิฐิและยอมรับความจริง ทุกคนล้วนทำผิดพลาดได้ แต่ลูกผู้ชายคือคนที่ยอมรับ และพยายามแก้ไขให้มันถูก” โซลิแทร์กล่าว “เดอะ โนเวลิสท์คือบุคคลตัวอย่างของเรา เขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่พวกพ้องของเราหลายต่อหลายคน ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกเรา เป็นเพื่อนที่ดีของเรา และทำคุณความดีให้แก่เผ่าพันธุ์ของเรามากมาย เรื่องนี้เราทุกคนยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน” เสียงของเขาเริ่มเบาลงอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ยังชัดเจนเข้มแข็ง “แต่เมื่อเขาทำผิดพลาด เราก็ต้องยอมรับเช่นกัน ความสะเพร่าของเขาก่อให้เกิดโศกนาถกรรมใหญ่หลวง เขาฆ่าท็อกซ์ฟ็อกซ์ อดีตรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ผู้ซึ่งช่วยชีวิตเขา และทำให้ชื่อเสียงของตระกูลท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องด่างพร้อย ด้วยปลายปากกาที่เขาเขียนหนังสือให้เราทุกคนอ่าน รวมทั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พวกมนุษย์ก่อสงครามกับพวกโฮเซ่ ข้าขอยืนยันว่าเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มผิดจริงในเรื่องนี้ ท็อกซ์ฟ็อกซ์คือผู้บริสุทธิ์ และเป็นวีรบุรุษผู้โชคร้าย”
พวกดาร์คเนสดีวิลถอดหมวกเกราะออก แต่ละคนมีสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวัง พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนที่ศรัทธาเอโมลิล เคยใกล้ชิดกับเอโมลิล มีเอโมลิลเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต บัดนี้พวกเขาได้รับรู้อีกมุมหนึ่งของบุคคลตัวอย่างของพวกเขาแล้ว และมันชวนให้รู้สึกน่าอับอายยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคำยืนยันออกมาจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน ผู้ซึ่งเป็นหลานรักของเอโมลิล หมวกเกราะจำนวนมากถูกทิ้งลงพื้น ตามด้วยอาวุธที่ถูกปลดวางลง บางคนที่พกหนังสือของเอโมลิลติดตัวก็ทิ้งมันลงพื้นด้วยเช่นกัน พวกเขาเดินจากไปด้วยท่าทางผิดหวัง จากหนึ่งร้อยคน เหลือเพียงเซซิลกับกัปตันมาซูลเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ส่วนคนอื่นๆ ต่างทิ้งอาวุธ ไม่มีกะจิตกะใจจะรบอีก โซลิแทร์จำต้องปล่อยพวกเขาไป ดาร์คเนสดีวิลไม่เคยบังคับให้ใครรบ เมื่อพวกนักรบต้องการวางมือ ก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขา บรรดานักรบเก่าๆ ที่เลื่อมใสศรัทธาเอโมมิลยังมีอีกมากในฐานทัพ ทันทีที่พวกเขารู้ว่าโซลิแทร์ออกมายืนยันเช่นนี้ พวกเขาก็จะพากันผิดหวังทั้งในตัวเอโมลิลและโซลิแทร์ คงจะทิ้งอาวุธเลิกรบด้วยเช่นกัน บางส่วนของกองทัพดาร์คเนสดีวิลจะหายไป
โซลิแทร์ก้มหน้า เซซิลและกัปตันมาซูลเข้ามาจับไหล่เขาคนละข้างอย่างให้กำลังใจ
“ข้าทำถูกแล้วใช่ไหม” โซลิแทร์ถามเศร้าๆ
“เอโมลิลคือเพื่อนที่ข้ารักที่สุด หากจะมีใครที่ไม่อยากได้ยินเกี่ยวกับเขาในแง่ลบมากที่สุด ก็ต้องเป็นข้า” เซซิลพูด “แต่ลูกผู้ชายก็ต้องยอมรับความจริง ผิดก็ต้องยอมรับผิด”
“ข้านึกอยู่แล้วว่าจะต้องมีคนมากมายที่พากันเสียศรัทธาและวางอาวุธเลิกรบ” โซลิแทร์กระซิบ ความผิดครั้งเดียว มักจะลบล้างความดีที่ทำมาหลายครั้งได้เสมอ”
“คนเหล่านี้เคยอยู่ในยุคสมัยของเอโมลิล เคยร่วมรบ ร่วมใช้ชีวิตด้วย พวกเขาเป็นคนรุ่นเก่า มักมีความคิดที่แคบและยึดติดมากว่าคนรุ่นใหม่” กัปตันมาซูลพูด “เมื่อศรัทธาพวกเขาสั่นคลอน มันจึงมีผลต่อพวกเขามากเป็นพิเศษ โปรดอย่าถือสาคนแก่พวกนั้นเลยนะ พวกเขาทำเพื่อเรามาแล้วมากมาย บางทีพวกเขาก็อยากจะหยุดไปทบทวนความคิดตัวเองบ้าง”
“ข้าหวังแค่ว่า พวกเขาจะอภัยให้ข้า กับสิ่งที่ข้าทำในวันนี้” โซลิแทร์ถอนหายใจ
“โซลิแทร์” เซ็นแวนเดอร์เอ่ยขึ้นเสียงเบา
โซลิแทร์ เซซิล และกัปตันมาซูล หันหลังไปมองเซ็นแวนเดอร์ รู้สึกประหลาดใจ
“ท่านรู้ชื่อต้นของข้าได้อย่างไร” โซลิแทร์ถาม
“ไมริฟบอกข้า แม่ของเธอเป็นน้องสาวแม่ของข้า” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “และแม่ของท่าน”
โซลิแทร์นิ่งอึ้ง เซซิลและกัปตันมาซูลมองหน้าเขา
“หมายความว่า ข้ากับท่านคือญาติกันหรือนี่” โซลิแทร์กระซิบ
“ญาติสนิท สายเลือดที่ใกล้ชิด เลือดฟอเรสเทอร์ที่ไหนเวียนอยู่ในตัวท่าน แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่มันก็เป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้าด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ไหลเวียนอยู่ในตัวไมริฟ เราทุกคนมีสายเลือดเดียวกัน” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ข้าคิดว่าสายเลือดเดียวกับข้าตายหมดแล้ว” โซลิแทร์พูดเสียงเบา
“ยังเหลืออยู่” เซ็นแวนเดอร์บอก “กาโกคอลแผ่นดินเกิดของข้า คือสถานที่ที่ท่านเกิด แม่ของข้าคือคนที่ทำคลอดท่านออกมาสู่โลก แม้ว่าท่านจะมีความเป็นฟอเรสเทอร์อยู่เพียงน้อยนิด ได้ข้องเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เป็นฟอเรสเทอร์เพียงน้อยนิด แต่ข้าก็เชื่อว่า มันมากพอที่จะสร้างมิตรภาพระหว่างเราได้”
โซลิแทร์มีเลือดดาร์คเนสดีวิลร้อยละเก้าสิบห้า มีเลือดฟอเรสเทอร์เพียงร้อยละห้า ส่วนที่เป็นฟอเรสเทอร์เพียงน้อยนิดในตัวเขาไม่เคยเป็นที่ใส่ใจสักครั้ง แต่วันนี้ เซ็นแวนเดอร์เสมือนเป็นภาพสะท้อนความเป็นฟอเรสเทอร์ร้อยละห้าของเขาให้มันปรากฏชัดเจนขึ้นมา ให้เขาได้รับรู้ถึงส่วนเล็กๆ ของตน ที่ตนไม่เคยรับรู้หรือใส่ใจมาก่อน
“ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์--” โซลิแทร์เอ่ยขึ้น
“เซ็นแวนเดอร์” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มให้อย่างอบอุ่น “เรียกข้าว่าเซ็นแวนเดอร์ก็พอ เราเป็นญาติกันไม่ใช่หรือ”
“เซ็นแวนเดอร์” โซลิแทร์พูด “ท่านพูดถูก เทอร์ริน เฮนิเคมพูดถูก เราต่างมีศัตรูคนเดียวกัน และเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมาก ร่วมมือกันเท่านั้นถึงจะพอมีหวัง ฉะนั้น ดาร์คเนสดีวิลจะขอร่วมมือกับท่าน เมื่อใดก็ตามที่ท่านพร้อมจะหารือ ข้าจะไปหาทันที”
เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างขอบคุณ เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและเปี่ยมไปด้วยความหวัง
*******************
ไกลทุ่งหญ้าออกไป บนภูเขาสูงลูกหนึ่ง เดลิลวาสจับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าระหว่างพวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิล รับรู้ว่ามีฟอเรสเทอร์คนหนึ่งเข้าไปขัดขวางการต่อสู้และทำสำเร็จ การต่อสู้ถูกยกเลิก พวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลจะไม่สู้กันอีก เขาลดกล้องส่องทางไกลลง จุดคบไฟด้วยเปลวไฟที่ลุกอยู่บนไหล่ซ้าย แล้วปักคบไฟลงที่พื้น
“รายงานสถานการณ์ครับ” เดลิลวาสพูดกับเปลวไฟที่จุดขึ้น
“พร้อมรับรายงาน” เสียงเหี้ยมๆ ดังออกมาจากเปลวไฟ
“เรียนหัวหน้าฟอลมิไนท์ สถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาดเล็กน้อย พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลยุติการต่อสู้เพราะมีฟอเรสเทอร์ขัดขวาง” เดลิลวาสรายงาน “คาดว่าทั้งสามเผ่าพันธุ์คงตัดสินใจที่จะมาร่วมมือกันในที่สุด”
“แล้วเจ้าประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปว่าอย่างไร” เสียงของฟอลมิไนท์ถาม
“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับ แม้พวกนั้นจะรวมตัวกัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว” เดลิลวาสมั่นใจ “แผนการของเรากำลังดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ทั้งสามเผ่าพันธุ์กำลังอ่อนแอและพวกเอลิลก็กำลังแข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่เราวางไว้ก็เตรียมพร้อมสำหรับในกรณีที่ข้าศึกมารวมตัวกันโดยเฉพาะ ข้าขอประเมินว่า เรายังสามารถยืมมือพวกเอลิลกำจัดข้าศึกทั้งสามฝ่ายได้ตามเดิม”
“และทำให้มั่นใจด้วยว่าในปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเอลิลก็จะต้องได้รับความเสียหายมากจนไม่สามารถเป็นปัญหาแก่เราในอนาคตด้วย” ฟอลมิไนท์กำชับ “พวกผีเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถสูงมาก พวกโฮเซ่ พวกฟอเรสเทอร์ และพวกดาร์คเนสดีวิลรวมกัน ยังไม่น่ากลัวเท่าเอลิลเผ่าพันธุ์เดียว”
“ตราบที่ท่านและพี่น้องเซ็ทซาร์ดคนอื่นๆ ยังควบคุมสิ่งที่พวกเอลิลต้องการอยู่ ข้าก็จะยังสามารถชักใยพวกเอลิลได้ต่อไปจนภารกิจสำเร็จครับ” เดลิลวาสพูด
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น พวกเราที่เหลือทำหน้าที่ส่วนของเราอย่างดีไม่มีบกพร่อง มีเพียงเราเซ็ทซาร์ดเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งที่พวกเอลิลต้องการ มันถูกซ่อนอยู่ที่ไหน และตราบใดที่เราจับตามองมันอยู่ จะไม่มีใครเข้าใกล้มันหรือรับรู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมันได้” ฟอลมิไนท์ให้ความมั่นใจ “ทำหน้าที่ของเจ้าต่อไปเดลิลวาส พวกเราที่เหลือจะคอยสนับสนุนเจ้าอย่างที่เคยเป็น”
“แน่นอนครับหัวหน้า” เดลิลวาสรับคำ
“และในตอนนี้ สถานการณ์สำหรับฝ่ายเราค่อนข้างทรงตัว ฉะนั้นนับจากนี้ เจ้าได้รับอนุญาตให้ต่อสู้อยู่แนวหน้าได้เดลิลวาส” ฟอลมิไนท์เพิ่มเติม “ดำเนินการต่อสู้ในวิธีที่เจ้าต้องการ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับหัวหน้า”
“เจ้าทำงานได้ยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในเฟลมฟอร์ส ข้าและพี่น้องคนอื่นๆ ภูมิใจในตัวเจ้า” ฟอลมิไนท์ชม “เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพยิ่งของเฟลมฟอร์ส อย่างที่เจ้าเป็นมาตลอด”
“ข้าได้รับการสนับสนุนจากท่านและบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ครับ” เดลิลวาสกล่าว
“จำให้ขึ้นใจเดลิลวาส เราเซ็ทซาร์ดทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเสมอ เราแค่แปดคนสามารถล้มศัตรูได้ทั้งกองทัพ ในบรรดาคนที่มีความสามารถสูงที่สุดในดาวดวงนี้ เราทั้งแปดรวมอยู่ในนั้น” ฟอลมิไนท์ย้ำเตือน “เราคือทรัพยากรบุคคลที่ดีที่สุดที่ท่านจอมทัพมาร์กอลลอสจอมพิชิตมี เราคือสุดยอด”
“เซ็ทซาร์ดคือสุดยอด” เดลิลวาสคำราม
“ขอให้โชคดีกับภารกิจที่เหลือ” ฟอลมิไนท์อวยพร “เมื่อทุกอย่างลุล่วง เผ่าพันธุ์ของเราจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”
“รับทราบครับ” เดลิลวาสดับคบเพลิง เป็นอันเลิกติดต่อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ