พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 ความวุ่นวายของกาโกคอล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 3

ความวุ่นวายของกาโกคอล

 

                ทั้งพวกมนุษย์ พวกดาร์คเนสดีวิล และพวกโฮเซ่ ต่างวุ่นวายกับเรื่องสงคราม พระราชาแห่งโมราโซมอสทรงพิโรธจนอาการชราแทบกำเริบ เมื่อรู้ข่าวว่าเรือคลังแสงของพระองค์ถูกพวกเอเลนเซฟเวอรี่ทำลายเรียบทั้งแปดลำ ขณะที่ลอร์ดมืดโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มนั้นพออกพอใจกับผลงานของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยิ่งนัก และพร้อมจะใช้พวกมันอีกเมื่อมีโอกาส ส่วนโฮซอร์เทอร์ริน เฮนิเคมนั้น ยังคงรู้สึกขบขันที่พวกมนุษย์ถูกฉีกหน้ารุนแรงขนาดนี้

                ในเมื่ออาวุธหนักและดินปืนส่วนที่จะใช้โจมตีโฟรเซ็นทิเนลเกือบทั้งหมดถูกทำลายแล้ว ต้องรอเวลาผลิตใหม่ ครั้นจะแบ่งมาจากทัพส่วนอื่นก็ยุ่งยากเกินจำเป็น พวกมนุษย์จึงหันมาเน้นที่กำลังทหารแทน พวกเขาเสียหน้ามามากพอแล้ว ต้องกู้ศักดิ์ศรีคืนโดยเร็ว อัศวินผู้เก่งกล้าและทหารม้าจำนวนมากถูกเรียกตัวมารวมกัน และยังมีพวกทหารราบอีกมากมาย ทุกคนสวมเกราะติดอาวุธกันครบถ้วน เตรียมพร้อมจะกำราบพวกดาร์คเนสดีวิลให้หลาบจำ ซึ่งนับตั้งแต่ท่าเรือซามาโรว์ถูกโจมตี ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลก็ไม่มีมาเข้าหูเข้าตาพวกมนุษย์อีกเลย เดาว่าเหล่าปีศาจเก็บตัวเงียบ เตรียมพร้อมรับมือกับกองทัพผู้บุกรุก พวกโฮเซ่ก็เงียบกริบไม่ส่งกองทัพเข้าปะทะกับพวกมนุษย์อีก ระหว่างที่สงครามกำลังระอุนั้น การที่ศัตรูจู่ๆ ก็เงียบไป ถือเป็นสัญญาณอันตราย ความเงียบมักมาก่อนการปะทะที่รุนแรงเสมอ

          แต่ความวุ่นวายของทั้งสามอาณาจักรนี้ ไม่ได้มีผลกระทบต่ออีกอาณาจักรหนึ่งเลย พวกฟอเรสเทอร์ยังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรกาโกคอลอย่างสงบสุข ไม่ต้องทำสงครามใดๆ นับตั้งแต่พวกเฟลมฟอร์สถูกทำลายลง พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าอันแสนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด สรรพสัตว์ ต้นไม้ใหญ่ และธารน้ำแสนสะอาดใสบริสุทธิ์ ป่าส่วนใหญ่ในอาณาจักรนี้ค่อนข้างทึบ มีแสงส่องผ่านได้น้อย แทบแยกกลางวันกลางคืนไม่ออก ฟอเรสเทอร์ทุกคนพอใจกับการอยู่อย่างสงบ ท่ามกลางความมืดมิดของป่า มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่รบกวนใครและไม่มีใครรบกวน

                แต่กฎธรรมชาติมันค่อนข้างโหดร้าย ไม่มีสิ่งใดจะเงียบสงบไปตลอดได้ เมื่อมีสงบก็ต้องมีวุ่นวาย เพียงแต่ครั้งนี้ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันผิดธรรมดาไปเสียหน่อย จากเสียงตะโกนที่ดังกึกก้องจากกลางป่าแล้ว คำว่าวุ่นวาย คงจะเป็นคำที่จะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดีทีเดียว

          “หยุดได้แล้วเอเมส ทิ้งอาวุธ หมอบลงกับพื้น”

          “ไม่มีทาง ข้าไม่มีวันจะกลับไปที่กรงขังนั่นอีก” เสียงทุ้มต่ำคำรามก้อง

          “ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ ชีวิตคนทั้งชีวิตนะ ที่เจ้าพรากไป”

          “ข้าไม่ได้ตั้งใจ เมทัสเข้ามาขวางข้ากะทันหัน ข้ายั้งตัวไม่ทัน” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำพยายามอธิบาย “ข้าสาบานได้ เซ็นแวนเดอร์ ข้าไม่เจตนา”

          “ก็เพราะเจ้าดื่มยาอันตรายนั่นเข้าไปน่ะสิ มันทำให้เจ้าควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ เจ้าต้องถูกควบคุมตัว จนกว่าจะหาทางควบคุมตัวเองได้”

          “ไม่! อย่ามายุ่งกับข้า!”

          “ระวัง! เขาจะหนีแล้ว!”

                ชายกลุ่มใหญ่ที่มีผมสีเข้มยาวสลวย สวมเกราะหนังสีเขียวใบไม้ทั้งตัว กำลังไล่ตามใครสักคน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฟอเรสเทอร์เหมือนพวกเขา แต่บัดนี้กลับมีสภาพที่ต่างไปราวกับคนละเผ่าพันธุ์ ผมเปลี่ยนเป็นสีเทายาวกระเชิงถึงแผ่นหลัง กล้ามเนื้อล้ำสัน ผิวหนังบางส่วนถูกปกคลุมด้วยเกล็ดเลื่อมสีเทา เขาก้มหัวหลบลูกธนูที่กลุ่มคนในชุดเกราะหนังสีเขียวยิงใส่อย่างฉิวเฉียด เตรียมจะกระโจนไปข้างหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าตนเองถูกล้อมทุกทิศทุกทางแล้ว อีกฝ่ายตีวงเข้ามาเรื่อยๆ  เล็งธนูมายังฟอเรสเทอร์ประหลาดคนนี้เป็นจุดเดียวกัน

          “พอได้แล้วเอเมส อย่าให้มันวุ่นวายไปกว่านี้” ชายร่างสูงที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดสองมือง้างคันศรอย่างมั่นคง “เราไม่อยากจบเรื่องนี้ด้วยการใช้กำลัง”

          “ข้าบอกแล้วไง เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์” เอเมสตะคอก “อย่ามายุ่งกับข้า! ข้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าเมทัส”

          “ทำผิดแล้วต้องได้รับโทษเอเมส ข้าต้องทำตามหน้าที่” เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์ชี้แจง“การฆ่าคนถือเป็นอาชญากรรม แล้วคนที่เจ้าฆ่า ก็เป็นรองหัวหน้าเผ่าด้วย”

                เซ็นแวนเดอร์เป็นชายผิวขาว มีผมสีดำมันวับเรียบตรงสนิทยาวปรกหลัง นัยน์ตาสีเขียวสว่างคมกริบกำลังจ้องเอเมสอย่างเอาเป็นเอาตาย มือทั้งสองง้างเล็งธนูที่มีหัวบางคมนิดเดียว คล้ายหัวลูกดอก

          “วางอาวุธลงเถอะ” เขาเกลี้ยกล่อม “ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อไป”

                แต่ดูเหมือนเอเมสจะไม่อยากวางอาวุธเท่าไรนัก มือขวากำรอบกระบองหนามด้ามสั้นไว้แน่น มือซ้ายถือโล่ทรงกลมขึ้นมาบังตัว ท่าทีพร้อมสู้เต็มที่ นัยน์ตาสีเงินเหมือนโลหะของเขากลอกไปมาอย่างระแวดระวัง

          “ข้าเหน็ดเหนื่อยที่จะเกลี้ยกล่อมเจ้าเต็มทนแล้วนะ” เซ็นแวนเดอร์ชักเสียงแข็ง “ถ้าฉลาดก็จงวางอาวุธลงเลีย แล้วให้ความร่วมมืออย่างสงบ”

          “งั้นข้าก็จะขอเป็นคนโง่” เอเมสคำรามสนั่นป่า “ข้าเกลียดคุกนั่น”

                เขากระโจนเข้าหาเซ็นแวนเดอร์พร้อมกับกระบองเหล็กในมือขวา แต่ก็ต้องล้มคะมำไปบนพื้นหญ้า เมื่อถูกลูกธนูของเซ็นแวนเดอร์ปักเข้าที่หัวเข่า ไม่เป็นอันตรายมากเนื่องจากหัวธนูบางเฉียบและตื้นนิดเดียว เขารีบถอนธนูออก ลุกขึ้นตั้งหลัก แต่จู่ๆ ก็เริ่มโซเซ ยืนแทบไม่อยู่ มือทั้งสองข้างปล่อยอาวุธมากุมที่หัวเข่า ดวงตาเบิกค้าง ร่างกายเริ่มชา

          “ลูกศรอาบยา” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “อย่ากังวล มันใช้สำหรับจับกุม ไม่ใช่สังหาร มันไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก แค่ทำให้สงบลงสักพัก”

                โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าพิษชนิดนี้ไม่ได้มีผลต่อเอเมสเท่าที่ควรจะเป็น แม้เขาจะตื้อชาและเสียศูนย์ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มลงกับพื้นเลย มือขวาพยายามเอื้อมไปหากระบองหนาม บ่งบอกถึงลางร้าย เซ็นแวนเดอร์เองก็เริ่มใจไม่ดี

          “เร็วเข้า” เขาสั่งการ “สกัดเอเมสให้อยู่ห่างๆ อาวุธ”

                บ่วงบาศเถาวัลย์สามเส้นโยนมาคล้องร่างเอเมสอย่างแม่นยำ พวกฟอเรสเทอร์ช่วยกันดึงเขาให้ออกห่างกระบองและโล่ เอเมสล้มลงกับพื้นเพราะถูกกระชาก แขนสองข้างก็ถูกบ่วงบาศรัดแน่นจนแนบติดกับลำตัว ขยับไม่ได้

          “ตาข่าย” เซ็นแวนเดอร์เร่ง “พันธนาการเขาไว้”

                ฟอเรสเทอร์สามคนขี่ม้าป่ามาพร้อมกับตาข่ายเถาวัลย์คนละผืน ทอดตาข่ายคลุมร่างเอเมส แล้วดึงเชือกเถาวัลย์กระชับเส้นตาข่ายให้แน่นหนา เอเมสพยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่ยิ่งดิ้นตาข่ายก็ยิ่งรัดแน่น อุปกรณ์ดักจับของพวกฟอเรสเทอร์นั้นมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง เอเมสดิ้นจนเริ่มอ่อนแรงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกไปได้

          “หยุดดิ้นเถอะ เอเมส” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้าอย่างสงสารปนสมเพช “เจ้าจะอ่อนแรงเปล่า”

                แล้วเด็กสาวฟอเรสเทอร์คนหนึ่งก็ก้าวฉับๆ มาพร้อมกับน้ำตาและความแค้น เธอรูปร่างสันทัดสมส่วน ผิวขาวสะอาด ผมดำสนิทยาวจดเอว  สวมเสื้อเปิดเอวและสวมกระโปรงตัวสั้นที่ทำด้วยหนังสัตว์ คงหน้าตาสะสวยทีเดียวหากมันไม่เลอะเทอะไปด้วยสีเขียนขอบตาผสมน้ำตา สองมือถือกริชหินสีเขียวโค้งคมยาวหนึ่งศอกข้างละเล่ม กระแทกเท้าตรงไปยังเอเมสที่นอนติดตาข่ายอยู่

          “ฆาตกร” เธอกรีดร้องเสียงแหลม นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเขียวหลั่งน้ำตาลงมาอาบแก้ม ทำเอาสีดำที่เขียนอยู่ไหลลงมาเป็นทาง

                เซ็นแวนเดอร์รีบไปยืนขวางเอเมสที่ถูกตาข่ายรัดอยู่บนพื้น มือซ้ายที่ว่างอยู่ยกห้ามเธอไว้

          “ท่านขวางข้าทำไม” เด็กสาวสะอื้นด้วยความโกรธแค้น “เขาฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกัน เขาฆ่าพ่อของข้า เขามันฆาตกร”

          “เขาไม่ได้ตั้งใจ ไมริฟ” เซ็นแวนเดอร์รีบพูด “เขาควบคุมตัวเองไม่ได้”

                ไมริฟกระโจนเข้าใส่เอเมสอย่างหมายชีวิต เซ็นแวนเดอร์รีบคว้าเอวเธอไว้แทบไม่ทัน เด็กสาวดิ้นรนหนักพอๆ กับที่เอเมสติดตาข่ายก่อนหน้านี้ แต่เธอดิ้นรนเพื่อต้องการไปให้ถึงเป้าหมายตรงหน้าให้ได้

          “มันเป็นความผิดของเขาที่ดื่มยาผสมเลือดไซคัสเข้าไป” เธอตะโกนด้วยเสียงเล็กแหลม “เขามันพวกบ้าพลัง บ้าดีเดือด บ้าเลือด บ้าการวิวาท จนไปสรรหายานั่นมาดื่มเพื่อจะให้อำนาจพิเศษแก่ตัวเอง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา เขาฆ่าพ่อข้า”

          “ข้าสัญญา เขาจะได้รับโทษ” เซ็นแวนเดอร์ยืนยัน “เราจะนำเขาไปคุมขังไว้ที่ดินแดนระฟ้า อยู่ในคุกใต้ดิน นับแต่นี้ ตราบชั่วชีวิต”

          “ขังเขาทำไม ข้าต้องการให้เขาถูกประหาร” ไมริฟไม่ฟัง “พ่อของข้าเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล เจ้าฆาตกรเอเมสสังหารคนสำคัญของเผ่า เขาควรถูกประหาร”

          “เอเมสถูกจองจำตลอดชีวิต ไม่ให้เห็นโลกภายนอก ไม่ให้ใครพูดคุยด้วย” เซ็นแวนเดอร์รีบพูด “มั่นใจได้เลยว่า สำหรับเขา เป็นโทษหนักพอๆ กับตาย”

          “ทำไมท่านถึงยังปกป้องเจ้าฆาตกรคนนี้” ไมริฟโวยวาย

          “ข้าสาบานได้ ข้าแค่ทำตามหน้าที่” เซ็นแวนเดอร์ชี้แจง “ตามคำสั่งของท่านหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิล ผู้นำสูงสุดของเรา”

                ฟอเรสเทอร์ชายสี่คนวิ่งเอาคานไม้สองลำสอดไว้กับตาข่ายที่มัดตัวเอเมส แล้วออกแรงยกขึ้นไปไว้บนเกวียนเทียมม้าป่า มีสองคนเข้ามาหยิบอาวุธทั้งสองชิ้นของเอเมสไป

          “พวกเขาเอาอาวุธไปทำไม” ไมริฟตวัดเสียงถาม

          “เอาไปให้เอเมสใช้ในการควบคุมพลังของตน” เซ็นแวนเดอร์ตอบเสียงเบา “เขาจะต้องเรียนรู้การใช้อำนาจพิเศษที่ได้มาครั้งนี้ และจะต้องหาทางควบคุมตนเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลร้ายต่อเขา”

          “ก็ให้มันส่งผลไปสิ” ไมริฟตวาดลั่น “เขาเป็นฆาตกร แต่ท่านกลับส่งอาวุธคืนให้เขาอย่างนั้นหรือ”

          “ไมริฟ ข้าเอาหัวเป็นประกัน เอเมสไม่มีทางใช้อาวุธนั่นในการหลบหนีออกจากที่คุมขังได้” เซ็นแวนเดอร์พยายามทำให้อีกฝ่ายสงบ

          “ข้าไม่ต้องการหัวของท่าน ข้าต้องการหัวของเขา” ไมริฟกัดฟันคำราม “ข้าต้องการให้เจ้าฆาตกรตาย”

          “ไมริฟ ข้าอยู่ในเหตุการณ์ โปรดเชื่อที่ข้าพูด” เซ็นแวนเดอร์อ้อนวอน “เมื่อเอเมสดื่มยานั่นเข้าไป ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนสภาพ พ่อของเจ้าพยายามจะบุกเข้าไปจับกุมเขา เอเมสแกว่งกระบองขู่ โชคร้ายที่มันบังเอิญไปฟาดถูกพ่อของเจ้าเข้าพอดี เขาไม่ได้เจตนา มันเป็นอุบัติเหตุ”

          “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนฆ่าพ่อของข้า” ไมริฟละล่ำละลัก “เขาไม่เคยลงรอยกับพ่อข้าตั้งแต่สมัยเด็ก”

          “ข้ารับประกันได้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่ลงรอยระหว่างพวกเขา” เซ็นแวนเดอร์รู้สึกว่าการทำให้ไมริฟสงบนั้น ยากกว่าทำให้เอเมสสงบเสียอีก “ไมริฟ ลูกพี่ลูกน้องของข้า น้องสาวของข้า ได้โปรด อย่าเพิ่งขาดสติทำสิ่งวู่วาม”

                เอเมสที่ถูกมัดอยู่บนเกวียนเทียมม้าป่านั้นเริ่มถูกขับพาห่างออก ไมริฟจ้องมองตามไม่วางตา ฟันขบกันแน่น เซ็นแวนเดอร์ยังคงรั้งเอวเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอตามไป

          “แม่ของข้าตายด้วยเซ็ทซาร์ด ส่วนพ่อของข้าตายด้วยความบ้าคลั่งของพวกเดียวกัน” ไมริฟหันไปซบบ่าเซ็นแวนเดอร์ น้ำตาไหลพรากด้วยความแค้น “เซ็นแวนเดอร์ ลูกพี่ลูกน้องของข้า พี่ชาย ท่านยอมให้เจ้าฆาตกรนั่นถูกพาไปจากการแก้แค้นของข้าหรือ”

          “ไมริฟ ข้าขออ้อนวอน การแก้แค้นของเจ้าจะยิ่งสร้างความทุกข์โศก โปรดเห็นแก่หัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิลที่ดีต่อเจ้าและพ่อของเจ้าตลอดมา” เซ็นแวนเดอร์ลูบหลังญาติสาว “เอเมสเป็นน้องชายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยลงรอยกับน้องชายนัก แต่เขาก็ทนให้เจ้าฆ่าน้องชายเขาไม่ได้แน่”

          “แล้วจะให้ข้าทนอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหน” เด็กสาวเงยหน้า มองเซ็นแวนเดอร์ด้วยดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตา “ข้าขอสัญญา ไม่ว่าเอเมสจะตายด้วยอาวุธของข้า ของใคร หรือเน่าตายอยู่ในที่คุมขังนั่น ข้าจะเป็นหนึ่งในคนที่มองดูเขาตาย”

          ความอาฆาตของเด็กสาวเลือดร้อนนั้นรุนแรงยิ่งนัก เซ็นแวนเดอร์ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะทำให้มันสงบยังไง ที่ทำได้ ก็แค่เช็ดน้ำตาให้ญาติสาวและจูบกระหม่อมเธอเป็นการปลอบใจ

                เสียงย่ำใบไม้ดังมาจากดงป่าข้างๆ แล้วหญิงสาวฟอเรสเทอร์ผมดำยาวสลวย ผิวขาวผ่อง ก็ก้าวออกมาหาพวกเขา หากเธอยิ้ม เธอคงจะดูสวยน่ารักมาก แต่เธอกลับมีสีหน้าที่เศร้าหมอง น้ำตาอาบแก้ม เธอไม่พูดอะไร นอกจากดึงไมริฟเข้าไปกอด สร้อยกระดูกที่เธอห้อยอยู่เต็มข้อมือนั้นกระทบกันเบาๆ

                “เด็กน้อยที่น่าสงสาร” เธอลูบหลังไมริฟที่สะอื้นใส่บ่าของเธอ “ไม่เป็นไรนะหลานรัก ป้าอยู่นี่แล้ว พ่อของหลานเป็นคนที่ดีมากสำหรับป้า น้องเขยที่ดีที่สุด”

                “ป้าอาร์ทูมิส ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว” ไมริฟร้องไห้สะอื้น “ครอบครัวข้าตายหมดแล้ว”

                “อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะเด็กน้อย ป้ารักหลานเสมอ เซ็นแวนเดอร์ก็รักหลาน” อาร์ทูมิสกระซิบอย่างอบอุ่น “เราสองคนไม่สามารถแทนที่พ่อของหลานได้ แต่เราจะดูแลหลานอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้จ้ะ”

                “ใช่แล้วไมริฟ แม่ของข้าพูดถูก” เซ็นแวนเดอร์จับไหล่เธอจากด้านหลัง “เจ้าเป็นหลานของแม่ข้า และเป็นน้องสาวของข้า เราจะดูแลเจ้าเอง”

                หากไม่บอกก็คงไม่ทราบว่าอาร์ทูมิสเป็นแม่ของเซ็นแวนเดอร์ เพราะทั้งคู่ดูจะอยู่ในวัยใกล้เคียงกันทีเดียว เซ็นแวนเดอร์อยู่ในวัยราวยี่สิบห้าปี ส่วนอาร์ทูมิสก็ดูแก่กว่าเพียงสองสามปี นี่คือสิ่งที่ชวนสับสน สำหรับเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีการแก่ชราอย่างฟอเรสเทอร์

                “พวกท่านช่างกรุณาค่ะ” ไมริฟปาดน้ำตา “แต่ข้าดูแลตัวเองได้ค่ะ ข้าโตแล้ว อายุหนึ่งร้อยสามสิบห้าปีแล้ว”

                “แต่หลานหยุดอายุตอนวัยเพียงสิบแปดปีเท่านั้นนะจ๊ะ ฮอร์โมนและระดับอารมณ์ของหลานยังคงอยู่ในลักษณะของสาวรุ่น หลานต้องการคนปรึกษา” อาร์ทูมิสบอก “ตายละ ป้าเอาคำพูดน่าเบื่อทางการแพทย์มาใช้อีกแล้ว ขอโทษทีนะจ๊ะ”

                “ก็ป้าเป็นหมอผีประจำเผ่าของเรานี่คะ” ไมริฟสะอื้น จับสร้อยกระดูกที่ห้อยเต็มข้อมือสองข้างของอาร์ทูมิส

                “แต่ป้าก็ยังเป็นป้าที่รักหลานเสมอ และคิดว่าสาวน้อยคนนี้คือคนพิเศษสำหรับป้ามาก” อาร์ทูมิสปาดน้ำตาให้ไมริฟ “เราจะช่วยให้หลานผ่านพ้นความยากลำบากจากการสูญเสียนี้เองจ้ะ”

                “ข้าไม่รู้จะขอบคุณยังไงค่ะ” ไมริฟหลับตา ปาดน้ำตาเร็วๆ ด้วยสองมือ

                “แค่บอกว่ารักเราสองคนก็พอแล้วจ้ะ ไหนพูดซิ หลานรักป้าอาร์ทูมิสและลูกพี่ลูกน้องเซ็นแวนเดอร์”

                “ข้ารักป้าอาร์ทูมิสและลูกพี่ลูกน้องเซ็นแวนเดอร์ค่ะ”

                “เด็กดี” อาร์ทูมิสจูบกระหม่อมไมริฟ “ไปพักอยู่ที่บ้านป้าก่อนนะจ๊ะ ป้าต้มเปลือกไม้ไว้ในหม้อ ตักมาดื่มสักแก้วนะ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น ทำตัวให้อุ่นๆ เข้าไว้นะจ๊ะ เดี๋ยวป้าตามไป ต้องคุยอะไรกับเซ็นแวนเดอร์ก่อน”

                ไมริฟยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเดินไปอย่างว่าง่าย เด็กสาวก็คือเด็กสาว ยามเจ็บช้ำสูญเสียย่อมต้องการที่พึ่ง การปลอบโยนอันอบอุ่นคือยารักษาที่ดีที่สุด เซ็นแวนเดอร์มองตามเธอไป ส่ายหน้าถอนหายใจ

                “สาวน้อยที่น่าสงสาร” เขาว่า “เป็นโศกนาถกรรมอันน่าเศร้าจริงๆ”

                “ลูกชาย” อาร์ทูมิสขยับเข้ามาใกล้ พูดเสียงเบา “โศกนาถกรรมครั้งนี้ มันส่งผลวุ่นวายกว่าที่ลูกคิดเสียอีก”

                “หมายความว่ายังไงครับท่านแม่” เซ็นแวนเดอร์ขมวดคิ้ว

          “หัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิล ผู้นำสูงสุดของเรา สละตำแหน่งเป็นการไถ่บาป ที่เขาไม่สามารถควบคุมเอเมสน้องชายได้ โศกนาถกรรมครั้งนี้สะเทือนใจเขามาก เมทัสเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดที่สุดของเขา” อาร์ทูมิสอธิบาย “เขากำลังขับเกวียนพาครอบครัวของตนและเอเมสมุ่งหน้าออกจากอาณาจักร”

                แล้วเธอก็ชี้ไปยังเกวียนเล่มที่มีเอเมสถูกมัดอยู่ ซึ่งตอนนี้ไปไกลลิบแล้ว เซ็นแวนเดอร์อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขาไม่ทันสังเกตว่าคนขับเกวียนก็คือผู้นำของเขาเอง อดีตผู้นำ หากจะกล่าวให้ถูก

                “เปล่าประโยชน์ที่จะตามเขากลับมา” อาร์ทูมิสส่ายหน้า “เขาไม่กลับมาหรอก”

                “นี่น่ะหรือไถ่บาป มันกำลังจะกลายเป็นความวุ่นวายต่างหาก” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเครียด “ท่านแม่ทราบใช่ไหมว่านี่หมายถึงอะไร”

                “เผ่าพันธุ์ของเราขาดผู้นำ” อาร์ทูมิสพูด “และเราไม่สามารถแต่งตั้งใครขึ้นมาทำหน้าที่แทนได้ เผ่าพันธุ์ของเราปกครองด้วยประบอบประชาธิปไตย”

          “เราคงต้องเรียกประชาชนในเผ่ามาชุมนุมเพื่อเลือกผู้นำคนใหม่” เซ็นแวนเดอร์กุมหัว “วุ่นวายกันทั้งป่าแน่”

          “ปัญหาที่ตามมาก็คือ ใครจะลงสมัครให้ประชาชนเลือกบ้าง” อาร์ทูมิสว่าต่อ “ก็รู้กันดีว่าชาวป่าอย่างพวกเราต่างรักความสงบ ความสบาย และความเรียบง่าย ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอำนาจการปกครองมากนัก แม้จะเป็นการปกครองในป่าที่ไม่ซับซ้อนเท่าเผ่าพันธุ์อื่นก็ตาม จะว่าพวกเราขี้เกียจก็ใช่ กลัวการเปลี่ยนแปลงก็ใช่ แต่มันคือธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เรา”

          หากว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อำนาจและเงินตราเป็นใหญ่อย่างพวกมนุษย์นั้น รับรองได้ว่ามีผู้สมัครนับร้อยนับพันแน่ แต่เผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียบง่าย รักความสงบ มีวิถีชีวิตตามทิศทางของธรรมชาติ หากินกับการล่าสัตว์ เก็บของป่า และเพาะปลูก ไม่มีเงินทองเป็นสื่อกลาง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่มีวัตถุฟุ่มเฟือยไร้ความจำเป็น แทบไม่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมเลย ดังนั้นตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจนัก ไม่วายจะเป็นภาระให้แก่ชีวิตอันเรียบง่ายของพวกเขาเสียอีก

          “เผ่าพันธุ์ของเราขาดผู้นำนานไม่ได้” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างจริงจัง “ในยามนี้อาจไม่มีปัญหามากนัก แต่หากเกิดภาวะสงครามขึ้นมา อาณาจักรได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แน่”

          “หรือลูกควรจะ--”

          “ไม่ครับท่านแม่” เซ็นแวนเดอร์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าอาจเป็นหัวหน้าคนสักกลุ่ม หรือเป็นนักรบนักล่าได้ แต่ข้าไม่สามารถเป็นผู้นำสูงสุดได้ ข้าไม่มีความพร้อม ข้าไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีความสามารถเพียงพอ”

          “ลูกอาจประเมินความสามารถของตนต่ำไปก็ได้” อาร์ทูมิสจับใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชาย “ใครจะไปรู้ว่าหากลูกได้ทำหน้าที่นี้ ลูกอาจทำได้ดีทีเดียว”

          “ข้าไม่ขอเสี่ยงครับ” เซ็นแวนเดอร์ยืนกราน “ข้าไม่อยากได้ชื่อว่านำพาให้เผ่าพันธุ์ไปพบกับความลำบากความสับสน”

          “ถ้าอย่างนั้น เราก็ได้แต่ภาวนาว่าจะมีสักคนที่ยินดีจะรับหน้าที่นี้” อาร์ทูมิสว่า “และขอให้ทำหน้าที่ได้ดีด้วย”

          มีเสียงฝีเท้าย่ำใบไม้ดังมาจากข้างหลัง เด็กสาวฟอเรสเทอร์วัยเดียวกับไมริฟก้าวมาถอนสายบัวให้ทั้งคู่ แล้วยื่นจดหมายแผ่นหนึ่งให้อาร์ทูมิส จดหมายปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งสีเขียวประทับตราอย่างดี

          “เรียนท่านหมอผีไวท์วิสเพอร์” เด็กสาวรายงาน “ท่านอดีตหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิลฝากจดหมายฉบับนี้มาถึงท่าน ก่อนที่เขาจะจากไปค่ะ”

          อาร์ทูมิสเปิดซองจดหมาย อ่านเร็วๆ เด็กสาวถอนสายบัวแล้วเดินจากไป

          “มัฟฟาซิลบอกว่า แม้เขาจะลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาก็มีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ปล่อยให้อาณาจักรได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้” เธอสรุปความให้ลูกชายฟัง “เขาสามารถหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเขาได้ หากทางฝ่ายเราไม่สามารถหาคนได้”

          “ทางฝ่ายของเราไม่สามารถหาคนได้แน่นอน ไม่มีใครลงสมัครแน่” เซ็นแวนเดอร์มั่นใจ “คนที่มัฟฟาซิลกล่าวนั้น เขาเป็นใคร มาจากไหน”

          “ไม่ใช่เขา เธอต่างหาก” อาร์ทูมิสแก้ไข “เธอเป็นเพื่อนเก่าของมัฟฟาซิล อายุเจ็ดร้อยปีได้ ยังถือว่าอายุน้อยกว่ามัฟฟาซิล และมีความคิดก้าวหน้ามากกว่า ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิล (Forest Angel) มาแล้ว ที่ผ่านมานั้นเธอใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนระฟ้า ทั้งทำความเข้าใจธรรมชาติ ศึกษาดวงดาว และเฝ้ามองความเป็นไปต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดาวดวงนี้ เขาได้ส่งข่าวไปหาเธอแล้ว คาดว่าเธอน่าจะมาถึงในอีกสามสี่วัน เธอชื่อแอเมน่า สกายซี

          “เคยได้ยินมัฟฟาซิลพูดถึงชื่อนี้บ่อยๆ” เซ็นแวนเดอร์ทวนความจำ “ไม่เคยเห็นเธอสักครั้ง”

          “แม่ก็ไม่เคยเห็นเธอ แต่เชื่อว่าเป็นคนที่เผ่าพันธุ์เราน่าจะพึ่งพาได้” อาร์ทูมิสบอก “มัฟฟาซิลกล่าวถึงเธอในแง่ดีเสียขนาดนั้น”

          “หวังว่าเธอจะเป็นอย่างนั้น” เซ็นแวนเดอร์พึมพำ “เพราะเราแทบจะยืนยันได้เลยว่า เธอจะเป็นผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลคนต่อไป”

 

***************

 

                เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด การชุมนุมครั้งใหญ่แห่งกาโกคอลก็ได้เริ่มขึ้น พวกฟอเรสเทอร์จัดการประชุมขึ้นที่ต้นไม้ใหญ่กลางเมือง ต้นใหญ่มหึมา กว้างเหมือนปราสาทหลังใหญ่และมีความสูงเสียดฟ้า เสมือนเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวงและอาณาจักร ทุกคนเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่าปราสาทต้นไม้ เพราะข้างในต้นไม้เป็นปราสาทจริง มีไว้สำหรับให้เหล่าผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอลได้ใช้ทำงาน มีประตูหน้าต่างและระเบียงปราศรัยตามกิ่งก้าน ซึ่งในวันนี้ ประธานการประชุมได้ขึ้นไปยืนบนระเบียงปราศรัย ท่ามกลางฝูงชนชาวฟอเรสเทอร์มหาศาลเบื้องล่าง แต่ละชุมชนส่งตัวแทนมาทั้งหญิงและชายบ้าง มากันเป็นจำนวนมหาศาล ทุกคนล้วนมีผมสีเข้มและผิวสีขาวทั้งสิ้น

                ประธานในที่ประชุมเป็นฟอเรสเทอร์ร่างเตี้ย แต่ก็ผอมเพรียวตามลักษณะฟอเรสเทอร์ทั่วไป ผมสีดำสนิทรวบเป็นเปียอยู่ข้างหลัง เขามองลงไปยังเหล่าประชาชนด้วยท่าทางกังวลใจ

                “มีวี่แววของเธอบ้างไหม” เขาหันไปถามเซ็นแวนเดอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดูกังวลไม่แพ้กัน “ในจดหมายของมัฟฟาซิลบอกว่า เธอน่าจะเดินทางมาถึงไม่เกินวันนี้”

                “ไม่ส่งข่าวคราวใดมาเลย ไม่มีสัญญาณว่าเธอจะมาวันนี้” เซ็นแวนเดอร์บอก “เราเลื่อนการชุมนุมไม่ได้ ประชาชนอุตส่าห์มารวมตัวกันแล้ว และวันนี้ก็ตรงกับฤกษ์ยามอันดีด้วย”

                พวกฟอเรสเทอร์เป็นชาวป่า มีความคิดค่อนข้างล้าหลังเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น ย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องโชคลางและฤกษ์ยามเป็นธรรมดา

                “พวกนางไม้ไม่มาร่วมชุมนุม” อาร์ทูมิสที่ยืนอยู่ข้างๆ เซ็นแวนเดอร์มองกวาดลงไปเบื้องล่าง “ไม่แปลกใจเลย วันๆ มัวแต่ร้องรำทำเพลงเล่นสนุกไปตามป่าตามเขา ช่างเถอะ ไม่ได้หวังให้พวกนี้มีส่วนร่วมเรื่องการปกครองเท่าไหร่นัก พวกนี้เป็นเสมือนไม้ประดับของเผ่าพันธุ์มากกว่า”

                “แม่ไม่ค่อยชอบนางไม้” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างรู้ทัน “ทั้งที่แม่เองก็มีเชื้อสายนางไม้นะ”

                “ฟอเรสเทอร์เพศหญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยชอบพวกนางไม้นักหรอก” ชายร่างเตี้ยยังไม่หยุดกวาดตามองฝูงชน “แต่พวกนางไม้จะมาหรือไม่มา ข้าไม่สนใจ ข้าต้องการให้แอเมน่า สกายซีปรากฏตัวมาต่างหาก ถ้าเธอไม่มา เราจะทำยังไง”

                “ประชาชนพร้อมแล้ว เราถ่วงเวลานานกว่านี้ไม่ได้” อาร์ทูมิสเร่ง “ต้องเปิดการชุมนุมแล้ว”

                ชายร่างเตี้ยสูดหายใจลึกๆ หยิบกระบอกทรงกรวยที่ทำด้วยเขาสัตว์กลวงๆ มาจ่อปาก แล้วพูดผ่านกระบอกกรวย กรวยนี้ช่วยขยายเสียงของเขาให้ได้ยินกันทั่วพื้นที่

          “ทุกท่าน ข้า ไลคอลี่ ซิวาลิน หนึ่งในผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์” เขาประกาศแนะนำตัว “วันนี้เป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับกาโกคอล เพราะเป็นวันเลือกตั้งผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล โดยการลงคะแนนของพวกท่านทุกคน ในตอนนี้อาณาจักรของเรากำลังเสี่ยงต่อความวุ่นวายเพราะเราขาดผู้นำ ผู้นำคนที่อยู่กับเรามานาน ท่านหัวหน้าเผ่ามูเฟียส มัฟฟาซิล ได้เกษียณตัวเองสละตำแหน่งนี้จากไปแล้ว”

                มีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งพื้นที่ เซ็นแวนเดอร์ยังเหลียวซ้ายแลขวา ได้แต่หวังว่าแอเมน่า สกายซีจะโผล่มายืนข้างๆ

          “ท่านอดีตหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิลไม่ได้จากไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ เขาได้แนะนำผู้ที่มาเป็นตัวเลือกให้แก่พวกท่านได้ ผู้ที่พวกท่านสามารถแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนท่านมัฟฟาซิลได้ แอเมน่า สกายซี” ซิวาลินพูดต่อ ชาวกาโกคอลทั้งหลายเริ่มมีท่าทีโล่งใจ “แต่หากมีใครเสนอตนเองมาร่วมสมัครเป็นหนึ่งในตัวเลือก เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอให้เขาหรือเธอผู้นั้นโปรดแสดงตัวด้วย ใครก็ได้ที่ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลมาแล้ว”

                น่าขันตรงที่เสียงเซ็งแซ่ต่างเงียบหายไปทันใด ทุกคนหุบปากเงียบสนิท ไม่มีใครเสนอตัวสักคนเดียว ซิวาลินหันมามองเซ็นแวนเดอร์และอาร์ทูมิสที่ยืนก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด พวกเขาก็ไม่ต้องการเสนอตัวเช่นกัน จึงหุบปากเงียบเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

          “ไม่มีใคร” ซิวาลินประกาศถามอย่างขอความหวัง “ต้องการที่จะเป็นหัวหน้าเผ่าเลยหรือ ข้าทราบว่าผู้ที่ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลนั้นมีน้อย แต่เป็นไปไม่ได้ว่าที่ยืนอยู่เบื้องล่างนั้นจะไม่มีเลยสักคน”

          “ให้แอเมน่า สกายซีเป็นสิ เธอตกลงกับมัฟฟาซิลแล้วไม่ใช่หรือ”

          “ใช่แล้ว ให้แอเมน่า สกายซีรับหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ไป”

          “แอเมน่า สกายซีเหมาะสมกับเรื่องนี้มากที่สุด เรายินดีเลือกเธอ”

          เสียงจากชาวกาโกคอลตะโกนตอบขึ้นมา ซิวาลินหันไปมองเซ็นแวนเดอร์ที่กำลังกุมขมับ ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี

          “บอกความจริงกับพวกเขาไป ไลคอลี่” อาร์ทูมิสพยักหน้า

          ซิวาลินหันกลับไปมองเหล่าประชาชน มือจับขอบระเบียงไม้ รวบรวมความกล้าสักพัก แล้วจึงยกกระบอกเขาสัตว์จ่อปากอีกครั้ง

          “ดูเหมือนว่าแอเมน่า สกายซีจะไม่มา” เขาสารภาพ “อาจเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เราไม่อาจทราบได้”

          สิ้นประโยคนั้น เสียงแสดงความไม่พอใจจากเหล่าประชาชนก็ดังระงม ดังเช่นที่พวกเขากลัว

          “พวกท่านสักคนก็เสนอตัวสิ เราจะลงคะแนนให้”

          “ใช่แล้ว พวกท่านต่างก็ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลกันทุกคน”

          “พวกท่านเป็นเหล่าผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอลนะ ขยับตำแหน่งตนเองให้สูงขึ้นอีกนิดจะเป็นไรไป”

          “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” ซิวาลินกระซิบเสียงเครียด “เราสักคนคงต้องเป็นผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล”

          “เราทั้งสามคนต่างก็กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการเป็นผู้นำความคิดของใคร กลัวสิ่งใหม่ๆ” อาร์ทูมิสพูดอย่างประสาทเสีย “นี่ไม่ใช่อย่างที่เราเตรียมการไว้เลย ก่อนหน้านี้มีฟอเรสเทอร์คนหนึ่งที่มีความคิดก้าวหน้ากว่า เปิดรับสิ่งใหม่ๆ มากกว่า และกล้าเสี่ยงมากกว่า เขาคือผู้ที่จะมาแทนหากมัฟฟาซิลลงจากตำแหน่ง”

          “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะมาตายแบบนี้” เซ็นแวนเดอร์พูด “เราต่างคิดกันว่าเมทัสจะขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดหากเกิดอะไรขึ้นกับมัฟฟาซิล แต่ประเด็นก็คือเมทัสตาย”

          “เราต้องแสดงความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอล” ซิวาลินพูดอย่างจริงจัง “เสนอตัวกันทั้งสามคนนี่ล่ะ แล้วให้ประชาชนตัดสินว่าจะให้ใครเป็นผู้นำสูงสุดคนต่อไป”

          “ยุติธรรมดี” อาร์ทูมิสพยักหน้า

          “บอกพวกเขาเลย” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้าด้วย

          “ทุกท่าน” ซิวาลินหันไปประกาศอีกครั้ง “โปรดอย่ากังวลว่าอาณาจักรของเราจะไร้ผู้นำสูงสูด เราไม่ปล่อยกาโกคอลให้ตกอยู่ในสภาพเสี่ยงเช่นนั้นแน่ ข้าให้สัญญาว่าวันนี้จะมีคนให้พวกท่านได้เลือก--”

          “ข้าขอเสนอตัว สมัครเป็นหนึ่งในตัวเลือกผู้นำสูงสุด”

          เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ท่ามกลางกลุ่มประชาชนกาโกคอล น้ำเสียงใสน่าฟัง แต่เปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งและพลัง ทุกคนเงียบกริบ รีบหันไปมองจนแทบจะเป็นตาเดียวกัน แล้วเธอก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากฝูงชน ยกนิ้วเรียวยาวเปิดหมวกขนสัตว์ออก และแหงนหน้าจ้องมองซิวาลินบนระเบียงปราศรัย ผมสีดำสะบัดยาวลงมาปรกเอว ผิวหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา ร่างสูงระหง วัยไม่น่าจะเกินสามสิบ อย่างมากก็สามสิบต้นๆ

          “ท่านหรือ” ซิวาลินยังไม่หายประหลาดใจ “ก่อนอื่น ขอให้ท่านทราบว่าผู้ที่จะมีสิทธิ์ลงสมัคร หรือเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะปกครองได้นั้น จะต้องผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลมาแล้ว พิธีกรรมทดสอบสำหรับผู้ปกครองชาวป่าน่ะ”

          “ข้าผ่านแล้ว” หญิงสาวเปิดสายเสื้อเผยร่องไหล่ทั้งสองข้างให้ดู ทำเอาฟอเรสเทอร์เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กลืนน้ำลายตาไม่กระพริบ ร่องไหล่ทั้งสองข้างของเธอมีรอยสักรูปต้นไม้สีเขียวติดปีกสีขาว รอยสักนี้ ทั้งซิวาลิน เซ็นแวนเดอร์ และอาร์ทูมิสต่างก็มีกันทุกคน

          “เชิญขึ้นมาบนนี้เลยครับ” ซิวาลินพูดอย่างยินดี

          ยามหน้าปราสาทต้นไม้เปิดประตูใหญ่ให้เธอเข้าไปข้างใน และนำทางเธอ ซิวาลินหันไปพูดกับเซ็นแวนเดอร์และอาร์ทูมิสอย่างโล่งใจ

          “ท่าทางเธอใช้ได้ ดูเข้มแข็ง ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลมาแล้วด้วย” เขาพูด “หากประชาชนมากกว่าครึ่งลงคะแนนสนับสนุนเธอ เธอก็สามารถเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไปได้”

          “ไม่ต้องกังวลเรื่องแอเมน่า สกายซีแล้ว ให้เธอเป็นแทนนี่ล่ะ” อาร์ทูมิสบอก “ดูเธอมีความพร้อมดี ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน”

          “เธอมาแล้ว ขึ้นมาเร็วมากเลย เดินนำหน้ายามนำทางเสียอีก อย่างกับรู้จักปราสาทต้นไม้นี้ดี” เซ็นแวนเดอร์เอียงคอ

          หญิงสาวคนนั้นเข้ามาถอนสายบัวให้ทุกคนและยิ้มอย่างเป็นมิตร

          “ขอทราบชื่อด้วยครับ” ซิวาลินกล่าว

          เธอไม่พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากก้าวเท้าไปยังระเบียงปราศรัย มองไปยังฝูงชนเบื้องล่าง แล้วจึงหยิบกระบอกเขาสัตว์ขึ้นมาประกาศแก่ทุกคน

          “ทุกท่านคะ” เธอแนะนำตัว “ข้าชื่อแอเมน่า สกายซี”

          ไม่น่าเชื่อว่าเสียงจากคนนับไม่ถ้วนนั้นเงียบกริบลงทันใด เงียบจนได้ยินเสียงนกเสียงแมลงและเสียงลมชัดเจนทีเดียว ซิวาลิน อาร์ทูมิส และเซ็นแวนเดอร์อ้าปากค้าง

          “อภัยให้ข้าด้วยค่ะ ที่ไม่ได้แสดงตัวก่อนหน้านี้ ข้าเพียงอยากทราบว่าหากไม่มีข้าแล้ว จะมีใครที่อาสาเป็นผู้นำสูงสุดหรือไม่” แอเมน่าว่าต่อ “ซึ่งข้าพบว่าผู้ที่เต็มใจจะเป็นจริงๆ นั้น คงจะไม่มี”

          เป็นอีกครั้งที่ทุกคนเงียบกริบ

          “แต่อย่าคิดว่าข้ากล่าวโทษพวกท่านค่ะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เราคือรักความสงบ หลีกหนีการเปลี่ยนแปลง ไม่ทำอะไรเกินตัว มีวิถีชีวิตอย่างผู้ที่ไม่ต้องการอะไรมาก นั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีของฟอเรสเทอร์ ทำให้กาโกคอลเป็นอาณาจักรที่สงบสุขที่สุดอยู่ทุกวันนี้” แอเมน่าส่งยิ้มให้ทุกคน “ไม่มีใครอยากเป็นผู้มีอำนาจ ย่อมดีกว่ามีแต่คนอยากที่จะเป็นผู้มีอำนาจ ข้าได้เฝ้ามองอาณาจักรอื่นๆ รอบข้าง และพบว่าการฝักใฝ่อำนาจนำมาซึ่งความขัดแย้ง ความสูญเสียความแตกแยก สงคราม และโศกนาถกรรมมากมาย ข้าขอพูดจากใจว่า ข้าภูมิใจในตัวพวกท่านมาก ที่เลือกจะหลีกหนีอำนาจมากกว่าแย่งชิงมัน ทำให้เผ่าพันธุ์ของเรามีความเสมอภาคค่อนข้างสูง มีความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน เหมาะสำหรับประชาธิปไตย” เธอโค้งศีรษะให้ฝูงชนอย่างให้เกียรติ “ขณะที่เผ่าพันธุ์ผู้เจริญก้าวหน้าอย่างมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยผู้โลภหลง ผู้ทะเยอทะยาน ลัทธิวัตถุนิยม สินบน ความฟุ้งเฟ้อ และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้น ไม่อาจใช้ระบอบประชาธิปไตยปกครองได้ หากฝืนใช้ก็มีแต่จะถอยหลังลงคลอง ไม่อาจเป็นประชาธิปไตยแท้จริงได้ พวกนั้นไม่มีวันภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตน เหมือนที่ข้าภูมิใจในพวกท่าน”

          เสียงโห่ร้องปรบมือดังมาจากประชาชน แอเมน่าถอนสายบัวเป็นการขอบคุณ

          “อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เผ่าพันธุ์ของเรากลัวการเปลี่ยนแปลงเกินไป และค่อนข้างจะหลีกหนีสิ่งใหม่ๆ แน่นอนว่าเป็นวิสัยของชาวป่า แต่เราก็ต้องยอมรับว่าสิ่งรอบนอกอาณาจักรของเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ก้าวกระโดดเกินไป” เธอว่าต่อ “ในวันนี้เราอาจใช้ชีวิตตามวิถีเดิมๆ อย่างมีความสุขได้ แต่เมื่อใดที่อิทธิพลของพวกนั้นแผ่ขยายเข้ามาในดินแดนของเรา ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เราก็ต้องพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านั้น” เธอกวาดตามองเหล่าประชาชนด้วยความจริงใจ “ประชาชนฟอเรสเทอร์ที่รักทุกท่าน จงอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงจนเกินไป เราสามารถมีวิถีชีวิตและความคิดเดิมๆ ได้หากเราต้องการความสงบ แต่เราก็สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ๆ ได้เช่นกันหากมีความจำเป็น เราไม่ต้องปรับตัวทุกเรื่องหากเราไม่ต้องการ แต่เราก็ควรปรับตัวเท่าที่จะสร้างความอยู่รอดให้กับเผ่าพันธุ์ของเรา ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย”

          “พูดจาฉลาด” อาร์ทูมิสกระซิบบอกซิวาลิน “ข้าได้กลิ่นนักปกครอง”

                “ประชาชนชื่นชอบเธอ” ซิวาลินกระซิบตอบ “คะแนนเสียงคงท่วมท้น”

                “อย่างน้อยมัฟฟาซิลก็คิดถูกที่ส่งเธอมาแทน” เซ็นแวนเดอร์กระซิบบ้าง “คุณสมบัติผู้นำเชิงประชาธิปไตยค่อนข้างสูง มัฟฟาซิลเองไม่มีทางชักจูงประชาชนได้แบบนี้แน่”

                “แต่อย่ากังวลว่าข้าจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่พวกท่านมากเกินไปค่ะ” แอเมน่าประกาศต่อไป “ข้าเองก็เป็นคนรุ่นเก่า ยังมีความคิดหลายอย่างที่ยึดติดกับเหตุผลเก่าๆ และก็ไม่ใช่พวกที่มีพรสวรรค์เรื่องความคิดสร้างสรรค์ด้วย ข้าก็เป็นฟอเรสเทอร์คนหนึ่งเช่นเดียวกับพวกท่าน อีกทั้งยังเป็นประเภทสูงอายุ ข้าไม่แปลกใจแน่ หากพวกมนุษย์ พวกโฮเซ่ และพวกดาร์คเนสดีวิลเรียกข้าว่ายายแก่หัวโบราณ ความคิดเต่าล้านปี” เธอเสริมอย่างขบขัน เรียกเสียงหัวเราะจากประชาชนสนั่นทีเดียว “แต่จากการศึกษาโลกภายนอกมาเป็นเวลานานพอควร ข้าเชื่อว่าจะสามารถส่งเสริมให้พวกท่านเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ในระดับเหมาะสม สอดคล้องกับวิถีชีวิตเดิมของเรา หากมีอิทธิพลจากนอกเผ่าพันธุ์เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งเหล่านั้นได้ แล้วอาณาจักรของเราจะอยู่อย่างสบายและสงบ ในวิถีชีวิตที่เราชื่นชอบ”

                เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องแสดงความพอใจดังสนั่นกึกก้อง ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นอีกแล้ว คะแนนเสียงของเธอท่วมท้นแน่

          “เอาล่ะ ทุกท่าน” ซิวาลินก้าวมายืนอยู่ข้างๆ เธอ “ใครคิดว่าท่านแอเมน่า สกายซีเป็นคนที่เหมาะสมแก่การเป็นผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล โปรดยกมือขึ้น”

                ไม่มีใครเลยที่ไม่ยกมือ

“ผู้ที่ไม่เห็นด้วย โปรดยกมือขึ้น” ซิวาลินพูด

                ตามที่คิด ไม่มีใครยกมือเลยสักคนเดียว

          “เมื่อเป็นเช่นนั้น” ซิวาลินตะโกนสุดเสียงด้วยความยินดี ชูแขนแอเมน่าขึ้น “ขอต้อนรับ หัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์คนใหม่ แอเมน่า สกายซี”

                ทุกคนส่งเสียงกู่ร้องลั่นสนั่นไปทั่วป่า เสียงปรบมือเกรียวกราวยาวนาน เซ็นแวนเดอร์และอาร์ทูมิสเข้าไปแสดงความยินดีกับแอเมน่า

                “ท่านคงเป็นหมอผีประจำเผ่า” แอเมน่าจับไหล่อาร์ทูมิสอย่างเป็นกันเอง

                “อาร์ทูมิส ไวท์วิสเพอร์ ยินดีรับใช้ค่ะ” อาร์ทูมิสถอนสายบัว “นี่คือลูกชายของข้าค่ะ”

                “เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์ ยินดีรับใช้ครับ” เซ็นแวนเดอร์โค้งคำนับ “ท่านหัวหน้าเผ่า”

                “ท่านอดีตหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิลเขียนจดหมายแนะนำเจ้ามาดีมาก ข้าเองก็เคยรู้จักพ่อของเจ้านะพ่อหนุ่ม เจ้าเหมือนเขามากทีเดียว ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้น” แอเมน่ายิ้มอย่างอบอุ่น “ทั้งเขาและเจ้ามีความสามารถสูง กล้าหาญ รับผิดชอบ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ มีความเป็นผู้นำ แต่ไม่ชอบเป็นหัวขบวน ฉะนั้น ข้าคิดว่าข้ามองเห็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว” เธอจับบ่าเซ็นแวนเดอร์ทั้งสองข้าง “อยากเป็นรองหัวหน้าเผ่าไหม ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว”

                เซ็นแวนเดอร์กระพริบตา หันไปมองแม่ที่ยิ้มให้ และหันไปมองซิวาลินที่พยักหน้า

          “ข้ายินดีครับ” เซ็นแวนเดอร์โค้งศีรษะ “ขอบคุณท่านหัวหน้าเผ่า”

          “ในตอนนี้ ทุกท่านโบกมือให้ประชาชนด้วยค่ะ” แอเมน่ายิ้มหวาน “พวกเขากำลังแสดงความพอใจพวกเราอยู่”

          เซ็นแวนเดอร์ อาร์ทูมิส และซิวาลิน ขยับมายืนเคียงข้างแอเมน่า และโบกมือยิ้มรับเสียงร้องสนับสนุน ประชาธิปไตยคือความพอใจของประชาชน และตอนนี้ประชาชนกำลังพอใจพวกเขา

 

**************************

 

                เรือรบโฮเซ่ลำใหญ่จำนวนห้าลำเข้าจอดเทียบฝั่ง ณ เกาะแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากอาณาจักรแบร์ร็อคนัก  เกาะนี้มีสภาพภูมิประเทศเป็นทะเลทรายแห้งแล้งแทบทั้งเกาะ พืชชนิดเดียวที่ขึ้นตามชายฝั่งคือพืชทนแดดทนแล้ง ฝนคงไม่ตกลงมาที่นี่เป็นเวลานานแล้ว พื้นมีแต่ทรายกับหินและต้นไม้แห้งๆ พวกโฮเซ่ลำเลียงพลลงจากเรือ และเริ่มสร้างกระโจมตั้งค่ายริมชายฝั่ง ทหารแต่ละคนสวมชุดเกราะหนา สวมหมวกเกราะติดหนามรอบหมวกแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ความเป็นตะบองเพชร ธงประจำเผ่าพันธุ์ที่เป็นรูปตะบองเพชรสีน้ำตาลปักอยู่หน้าค่าย พวกทหารราบลงมือตั้งค่ายชั่วคราวกันอย่างแข็งขัน ส่วนพวกทหารม้าบางส่วนก็ออกลาดตระเวนพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อสำรวจ เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคขี่ม้าทะเลทรายนำหน้าหน่วยลาดตระเวน ครั้งนี้เขาดูสง่ามีราศีมาก เนื่องจากไม่ได้สวมชุดพรางกาย แต่สวมชุดเกราะหนาสีน้ำตาลครบชุดพร้อมออกศึก อกเสื้อเกราะมีตราสัญลักษณ์ตะบองเพชรสีน้ำตาล ไหล่สองข้างติดเกราะป้องกันที่เต็มไปด้วยหนามเหล็ก หมวกเกราะที่เขาสวมก็มีหนามเหล็กยาวๆ เรียงกันเป็นแนวตรงตั้งแต่กระหม่อมจดท้ายทอย แขนซ้ายติดโล่กลม สลักลายเป็นรูปหน้าเหยี่ยว มือขวาถือขวานสองหน้าสีทอง ริ้วธงประจำเผ่าพันธุ์ผืนแคบๆ ที่เขาติดไว้หลังเกราะไหล่ทั้งสองข้างนั้น ปลิวสะบัดอย่างสวยงามขณะที่เขาควบพาหนะ ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคเท่านั้นที่จะติดริ้วธงแบบนี้

                เมื่อลาดตระเวนพื้นที่ใกล้เคียงและพบว่าปลอดภัยแล้ว เทอร์รินก็พาหน่วยลาดตระเวนตรงกลับค่าย พวกทหารโฮเซ่ยังคงช่วยกันตั้งกระโจมอยู่ บางส่วนก็กำลังขนข้าวของลงจากเรือแต่ละลำ ทหารแต่ละคนหยุดทำความเคารพเมื่อเทอร์รินควบพาหนะผ่าน

                “เรียนโฮซอร์เฮนิเคม” ทหารโฮเซ่คนหนึ่งรายงาน เทอร์รินหยุดพาหนะ กองลาดตระเวนที่ควบตามหลังมาก็หยุดตาม “ท่านเจ้าเมืองท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องการรายงานสภาพพื้นที่ตั้งค่าย และขอคำปรึกษาจากท่านครับ”

                “เขาอยู่ไหน” เทอร์รินถาม

                ทหารชี้มือบอก เทอร์รินสะบัดบังเหียน ออกควบพาหนะนำหน้าหน่วยลาดตระเวน ตรงไปหาโฮเซ่หนุ่มคนหนึ่งที่กำลังควบคุมการตั้งค่าย เขารุ่นราวคราวเดียวกับเทอร์ริน หนุ่มฉกรรจ์ ร่างใหญ่ล่ำสัน ดูใจร้อนและมีความกระตือรือร้นสูง สวมเกราะหนาสีส้ม สวมหมวกเกราะติดหนามรอบด้านข้างหมวก เมื่อเทอร์รินลงจากพาหนะเดินเข้าไปหา เขาก็เอื้อมมือมาตบต้นแขนแรงๆ อย่างเป็นกันเอง เห็นชัดว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

                “เกาะแฮนดรัสแห้งแล้งเกินไป แดดแรง อากาศร้อน หาอาหารและน้ำดื่มค่อนข้างยาก เราคงตั้งค่ายอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดเร็วๆ

                “เราไม่อยู่ที่นี่นาน ธุระของข้าใช้เวลาไม่เกินสองวัน เสบียงที่เรานำมาด้วยมีเพียงพอแน่นอน” เทอร์รินบอก “หากจำเป็นจริงๆ ข้ารู้ว่าต้องหาเพิ่มที่ไหน เกาะนี้ไม่ได้แห้งแล้งทั้งเกาะ มันมีโอเอซิสอยู่ตรงกลาง ซึ่งพวกแฮนดรัสอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น บริเวณเดียวกับที่ข้ากำลังจะไป”

          “ท่านจะไปเจรจากับไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าของพวกนั้น” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถามย้ำความแน่ใจ “แค่เจรจาพูดคุยใช่ไหม”

          “นั่นคือจุดประสงค์ที่ข้ามา” เทอร์รินพยักหน้า “ท่านข้องใจอะไรหรือ”

          “แน่นอนข้าข้องใจ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ผายมือไปยังพวกทหารที่กำลังตั้งค่าย “ท่านมาเพียงเพื่อเจรจาพูดคุย แต่กลับนำกองทหารติดอาวุธมาที่นี่ด้วย แล้วเราแต่ละคนก็สวมชุดเกราะติดอาวุธพร้อมรบตลอดเวลา”

                “เราไม่อาจแน่ใจได้ว่า พวกแฮนดรัสคิดยังไงกับเรา จึงต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน” เทอร์รินเก็บขวานในมือขวา โดยเสียบด้ามไว้กับห่วงเหล็กที่เข็มขัด “ต้องไม่ลืมว่าพ่อข้าขับไล่พวกนั้นมาเผชิญความลำบากที่นี่”

          “พ่อของท่านสร้างศัตรูไว้ไม่น้อย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดยิ้มๆ “กบฏที่เราเพิ่งขับไล่ไปซาโมโรว์ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ข้าแน่นอน ข้าชอบเขา”

                “คร่ำเคร่งกับงาน เด็ดขาดกับผู้ใต้บัญชา เป็นมิตรกับเพื่อนๆ ของลูก โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกของเพื่อนเขาอย่างท่าน นี่ล่ะคุณสมบัติของพ่อข้า” เทอร์รินกล่าว “และอีกคุณสมบัติที่สำคัญคือ สร้างความเกลียดชังให้พวกแฮนดรัส เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่นอน ข้าไม่แน่ใจว่าความเกลียดชังที่พวกนั้นมีต่อพ่อข้า จะตกทอดมาถึงข้าด้วยหรือไม่ ฉะนั้นซีราส” เขาจับบ่าที่ติดเกราะรูปตีนหมีติดหนามของท็อกซ์ฟ็อกซ์ “หากภายในสองวันข้าไม่กลับมาที่นี่ ท่านสามารถนำทหารบุกเข้าพื้นที่ของพวกแฮนดรัสได้เลย หวังว่าจะไม่ถึงขั้นนั้น ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำสงคราม”

                “รับทราบ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์โค้งศีรษะรับคำสั่ง

                เทอร์รินเดินกลับไปหาหน่วยลาดตระเวน ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนพาหนะจากม้าเป็นอูฐกันหมด เทอร์รินปีนขึ้นหลังอูฐตัวหนึ่ง โบกมือทำสัญญาณ ทหารขี่อูฐนายหนึ่งถือธงสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มาด้วย

                “โฮซอร์ ทำไมเปลี่ยนจากม้าเป็นอูฐล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกส์ร้องถาม “ม้าวิ่งเร็วกว่าอูฐนะ”

                “ข้ามั่นใจว่าเราต้องเดินทางไกลในทะเลทรายแล้งๆ” เทอร์รินตอบกลับ “อูฐอดทนเดินทางได้ไกลกว่าม้า”

                “ระวังด้วย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เตือน “ทะเลทรายบนเกาะแห่งนี้มีแต่สิ่งอันตรายอยู่เต็มไปหมด”

                “ข้าถึงนำอาวุธและชุดเกราะมาด้วยยังไงล่ะ” เทอร์รินสะบัดบังเหียน อูฐของเขาออกวิ่งนำหน้า กลุ่มทหารโฮเซ่ขี่อูฐมุ่งตรงออกจากค่าย ทิ้งฝุ่นทรายฟุ้งกระจายอยู่เบื้องหลัง

          พวกเขาเคลื่อนพลตัดผ่านทะเลทรายด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาและผืนทรายอันร้อนระอุ อูฐวิ่งไม่เร็วเท่าม้าดังที่ท็อกซ์ฟ็อกซ์บอก แต่ก็วิ่งได้เร็วพอใช้ มันเป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูง หากจะเดินทางไกลในทะเลทราย อูฐถือเป็นพาหนะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เมื่อวิ่งไปได้สักระยะหนึ่ง พวกโฮเซ่ก็ชะลอพาหนะจากวิ่งเป็นเดิน เพื่อให้พวกมันได้พัก เบื้องหน้าพวกเขายังเป็นทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา แม้แต่พืชแห้งๆ ตายๆ ก็ยังไม่มีให้เห็นสักต้น เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งอะไรเช่นนี้ แม้พวกพวกโฮเซ่ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสายพันธุ์พืชแดนแล้ง มีความอดทนต่อความร้อนและความแห้งแล้งค่อนข้างสูง ก็ยังรู้สึกว่าเกาะนี้มันแห้งแล้งเกินไป หลายคนเริ่มคว้าถุงหนังใส่น้ำมาดื่มกันคนละอึกสองอึก ยังดีที่พวกโฮเซ่ไม่มีเหงื่อออกตามรูขุมขน จึงไม่สูญเสียน้ำมาก น่าแปลกใจที่พวกแฮนดรัสสามารถอาศัยอยู่ในเกาะที่มีสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ หรือว่าพวกเขาตายหมดแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็มั่นใจได้เลยว่า พวกเขาเกลียดพ่อของเทอร์รินมากแน่

          “ขออนุญาตออกความเห็นครับโฮซอร์” ทหารคนที่ถือธงเอ่ยขึ้นขณะขี่อูฐตามมา

          “อนุญาต” เทอร์รินพยักหน้า ตามองเข็มทิศในมือ

          “เราจะแน่ใจได้อย่างไรครับ ว่าพวกแฮนดรัสยังมีชีวิตอยู่” ทหารตั้งข้อสงสัย “พวกเขาอาจตายกันหมด หรือย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้”

          “เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกแฮนดรัสยังอาศัยอยู่ที่นี่ หรือตายหมดแล้ว เราได้แต่ภาวนาให้พวกเขายังสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะพวกเขาแข็งแรงและอดทนต่อความร้อนความแห้งแล้งได้สูงกว่าเรา” เทอร์รินตอบ “แต่มั่นใจได้เลยว่า พวกเขาไม่ย้ายไปไหนแน่ ไม่มีที่สำหรับพวกเขาอีกแล้ว”

          “แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรครับ ว่าพวกเขาจะยินดีต้อนรับเมื่อพบเรา” ทหารหนุ่มถามต่อ

          “ข้อนี้ยิ่งไม่แน่ใจ” เทอร์รินว่า “ข้าถึงให้พวกเราแต่งชุดเกราะถือธงประจำเผ่าพันธุ์ เพื่อแสดงการไปเยือนอย่างให้เกียรติ ไรมิน บุฟโฮฟหัวหน้าแฮนดรัสเคยเป็นนักรบแห่งแบร์ร็อคมาก่อน เขาย่อมรู้ว่านี่เป็นการให้เกียรติ”   

                พวกเขาเดินทางกันนานแล้ว แต่ก็ยังมองไม่เห็นวี่แววของความอุดมสมบูรณ์เลย เกาะนี้กว้างใหญ่กว่าที่คิด โดยเฉพาะทะเลทรายในเกาะ แดดก็ร้อนจัดจนเกิดภาพพื้นทรายเคลื่อนไหวได้เอง มีเพียงอูฐของพวกเขาที่ยังไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนใดๆ เพราะพวกมันปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้สบาย ทหารโฮเซ่หลายคนสงสัยว่าอากาศร้อนกำลังทำให้พวกเขาเห็นภาพลวงตา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่

          “เรียนโฮซอร์” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ชี้นิ้วไปด้วยขณะพูด “ข้าคิดว่าข้าเห็นภาพลวงตาครับ เหมือนกับพื้นทรายตรงนั้นถูกแหวกผ่านเป็นทางๆ”  

          “น่าประหลาดที่ข้าก็เห็นด้วยครับ” ทหารอีกคนว่า “ท่านเห็นมันด้วยหรือเปล่าครับโฮซอร์”

                เทอร์รินหันหน้าไปมองตามการชี้ของทหาร และเห็นรอยแหวกของพื้นทรายเป็นทางยาวกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว เขายกมือซ้ายขยี้ตาและมองตรงไปยังจุดเดิมอีก ซึ่งสิ่งที่เขามองเห็นนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่นิดเดียว

          “ทุกคนตั้งแถว” เขาสั่งเสียงเครียด “เตรียมรับมือกับฉลามทะเลทราย

                พวกทหารโฮเซ่หันพาหนะไปทางรอยแหวกทราย มือกำด้ามอาวุธแน่น เทอร์รินชักขวานออกจากเข็มขัดด้วยมือขวา เตรียมจู่โจม มือซ้ายขยับโล่ติดแขนขึ้นมาตั้งท่าป้องกันตัว อูฐที่เขาขี่อยู่เริ่มกระสับกระส่ายเมื่อรอยแหวกทรายเข้ามาใกล้ ฉลามทะเลทรายตัวนี้คงมีขนาดใหญ่พอสมควรทีเดียวหากวัดจากความกว้างของรอยแหวกทราย แต่ก็ยังไม่มีใครมองเห็นตัวมัน ทุกคนมองเห็นแต่รอยแหวกเท่านั้น

          “คอยดูมันไว้” เทอร์รินบอกเสียงต่ำ “อย่าให้คลาดสายตา”

                พูดยังไม่ทันขาดคำ รอยแหวกทรายก็หายไปเฉยๆ ทุกคนกวาดตามองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย เทอร์รินเริ่มหันซ้ายหันขวา

          “มันหายไปไหน” ทหารคนหนึ่งถามอย่างระแวง

          “คงดำลึกลงไปในพื้นทราย” เทอร์รินตอบ ตายังกวาดไปรอบๆ

                ทันใดนั้น ปากฉลามขนาดใหญ่ก็โผล่พรวดขึ้นจากพื้นทราย และงับเข้าที่ขาของทหารโฮเซ่คนนั้นอย่างรวดเร็ว ทหารร้องเสียงหลงขณะถูกฟันที่มีลักษณะโค้งคมเหมือนตะขอลากตกจากพาหนะลงไปบนพื้นทราย แล้วจมหายไปเฉยๆ

          “เจ้าสัตว์ร้าย ฆ่าคนของข้า เจ้าต้องชดใช้” เทอร์รินคำรามอย่างโกรธจัด

                พวกทหารเงื้อขวานยกโล่ตั้งท่าเตรียมอย่างประสาทเสีย

                “มันจะเลือกเหยื่อเล็กๆ ก่อน พาหนะของเราจึงปลอดภัย จนกว่าเราจะถูกลากลงไปกันหมด” เทอร์รินบอก “จับตาดูดีๆ มันกลับมาอีกแน่”

                เป็นจริงดังคำพูด มันโผล่ขึ้นมาลากทหารอีกคนลงไปโดยที่เหยื่อตั้งตัวไม่ทัน เจ้าฉลามทะเลทรายตัวนี้ยังไม่กินเหยื่อที่ลากลงไปได้ตอนนี้ มันจะฆ่าพวกเขาให้หมดก่อนเพื่อสะสมอาหาร เป็นธรรมชาติของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายอันอดอยาก ถือว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวมาก เพราะมันจะไม่หยุดจนว่าจะฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด

          “เราอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบครับโฮซอร์” ทหารคนหนึ่งหันซ้ายหันขวา “เรามองไม่เห็นตำแหน่งที่แน่นอนของมัน ทำให้รับมือการโจมตียาก เราจะต่อกรกับมันได้อย่างไร”

                เทอร์รินไม่ตอบ แต่กระโดดลงจากหลังพาหนะและเดินออกไปจากกลุ่มเฉยๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับมือซ้ายที่ว่างอยู่ ซึ่งหากทุกคนสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าบริเวณฝ่ามือข้างนั้นมีแสงสีส้มเข้มเปล่งออกมาเล็กน้อย

          “โฮซอร์” พวกทหารร้องลั่น “ท่านจะทำอะไร”

          “พวกฉลามทะเลทรายจะโจมตีอะไรก็ตามที่แตกออกจากฝูงเป็นอันดับแรก เหมือนปลาใหญ่ซึ่งจะคอยจับปลาเล็กที่แตกออกจากฝูงกินก่อน ข้าไม่ยอมให้มันฆ่าทหารข้าอีกคนแน่ ข้าจะจัดการกับมันเอง” เทอร์รินพูด “ถ้าหากเราใช้อาวุธจัดการมันไม่ทัน ข้าก็จะใช้ความสามารถพิเศษจัดการกับมัน”

                ก่อนที่ทุกคนจะทันได้พูดอะไรต่อนั้น เจ้าฉลามทะเลทรายตัวร้ายก็โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นทราย และอ้าปากกว้างหมายจะงับขาเทอร์รินลากลงไปเช่นเดียวกับทหารเคราะห์ร้ายทั้งสองคน แต่เทอร์รินความรู้สึกไวมาก เขากระโดดหนีได้ก่อนที่ฟันคมๆ ของมันจะทันได้สัมผัสขาของเขา พร้อมกันนั้น มือซ้ายก็หงายขึ้น หันส่วนที่เรืองแสงไปยังฉลามทะเลทรายตัวนั้น

                ของเหลวติดไฟที่ดูคล้ายลาวาพุ่งออกจากฝ่ามือของเทอร์ริน ตรงเข้าใส่หัวฉลามทะเลทรายตัวนั้น เจ้าสัตว์ร้ายดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่ง หัวของมันถูกไฟเหลวเผาจนลุกเป็นไฟ เทอร์รินถอยกลับไปรวมกลุ่มกับพวกทหารเหมือนเดิม หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อยเพราะใช้พละกำลังไปกับความสามารถพิเศษ ฉลามทะเลทรายค่อยๆ หยุดดิ้น และจมหายลงไปในพื้นทรายราวกับถูกดูดลงไป พวกทหารที่เหลือยืนตัวแข็ง ยังคงตกใจกับเหตุการณ์กะทันหันเบื้องหน้า

                “ทุกคน แสดงความเคารพต่อสองทหารผู้พลีชีพ” เทอร์รินโค้งศีรษะ “พวกเขารับใช้แบร์ร็อคในฐานะผู้กล้า”

                ทหารแต่ละคนโค้งศีรษะตามคำสั่ง เทอร์รินปีนกลับไปขึ้นหลังอูฐของตน มองไปรอบๆ ตรวจดูความเรียบร้อยของพื้นที่อีกครั้ง

          “จูงพาหนะสองตัวของสองทหารผู้ตายไปด้วย” เขาสั่ง “เราต้องออกเดินทางกันต่อ”

                หลังจากที่เทอร์รินฆ่าฉลามทะเลทรายแล้ว พวกโฮเซ่ก็ลืมเรื่องหิวน้ำไปเสียสนิท แต่ละคนพะวงหน้าพะวงหลังว่าจะมีตัวอะไรโผล่ขึ้นมาเล่นงานพวกเขาอีกหรือไม่ เดินทางไปมองหน้ามองหลังไป จะว่าพวกเขาก็ไม่ได้เมื่อเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่พิสมัยไป อย่างไรก็ตาม มันก็เริ่มทำให้เทอร์รินรำคาญ

          “พวกทหารมนุษย์เป็นกองทัพ พวกเจ้ายังไม่กลัวเลย นี่แค่เจ้าสัตว์ประหลาดทะเลทรายตัวเดียวนะ” เขาบ่นพวกทหารหนุ่ม “อย่าทำตัวเป็นเด็กไป พวกเจ้าอายุน้อยกว่าข้าแค่ไม่กี่ปี”

          “เราไม่ได้กลัวครับโฮซอร์ แต่เราจำเป็นต้องระมัดระวัง พวกมนุษย์ก็ไม่ได้เล่นทีเผลอแบบนี้” ทหารคนหนึ่งตอบ “เราต้องแน่ใจว่าฉลามทะเลทรายอีกตัวจะไม่โผล่ขึ้นมาเมื่อเราเผลอ”

          “มันไม่โผล่หรอก น้องชาย” เทอร์รินบอก “ฉลามทะเลทรายจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างกันมาก จะได้ไม่กินกันเอง ฉะนั้น บริเวณนี้โล่งแล้ว”

          “แต่ก็อาจมีสัตว์อื่นที่ไม่ใช่ฉลามทะเลทรายโผล่ขึ้นมาก็ได้นี่ครับ อะไรที่เกือบจะร้ายเท่า”

          “ไม่มีสัตว์ไหนมาป้วนเปี้ยนบนพื้นแถวๆ นี้แน่” เทอร์รินมั่นใจ “พวกมันกลัวถูกฉลามทะเลทรายกิน--”

                เขาเงียบเสียงก่อนจะทันจบประโยค เงี่ยหูฟังอย่างเต็มใจเต็มที่ พวกทหารโฮเซ่ต่างมองไปรอบๆ อย่างประสาทเสียอีกครั้ง

          “ทุกคนนอนราบกันพื้น” เทอร์รินกระซิบ “เอาทรายกลบตัวไว้ด้วย”

                พวกทหารทุกคนทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เทอร์รินเองก็นอนราบลงกับพื้นและเอาทรายร้อนๆ กลบตัวไว้เช่นกัน อูฐของพวกโฮเซ่เงยหน้ามองขึ้นฟ้า เริ่มกระสับกระส่ายอีกครั้ง ส่งเสียงครางในลำคอราวกับรับรู้การมาของอะไรบางอย่าง เทอร์รินชี้มือให้ทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า

                ทุกคนตาเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายนกยักษ์หลายตัวบินผ่านมา มีทั้งสีแดง สีเหลือง และสีอื่นๆ อีกหลายสี บางตัวก็มีลวดลายตามปีกตามขนเต็มไปหมด เมื่อพวกมันโฉบผ่านมาใกล้ พวกเขาก็มองเห็นว่าแท้จริงพวกมันไม่ใช่นกยักษ์ แต่เป็นเหล่าหญิงสาวที่มีปีกเป็นนก ครึ่งตัวท่อนล่างของพวกเธอเป็นขานกที่มีกรงเล็บคมกริบ ดวงตาเป็นสีแดงน่ากลัว มือขวาของแต่ละคนถือเปลวไฟสีแดงไว้ในอุ้งมือ

                หญิงสาวเหล่านี้ชำเลืองมองมายังพวกอูฐบนพื้น ก่อนจะบินจากไปอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงแหลมเหมือนนกทิ้งท้าย เทอร์รินมองตามจนแน่ใจว่าพวกเธอบินจากไปไกลแล้ว จึงลุกขึ้นปัดทรายออกจากตัว พวกทหารลุกตาม แต่ละคนมองฟ้ากันใหญ่ มือทั้งสองกำขวานกำโล่แน่น

          “พวกนั้นคืออะไรหรือครับโฮซอร์” พวกทหารแทบจะถามพร้อมกัน

          “ฮาร์พี” เทอร์รินตอบ “ครึ่งมนุษย์ครึ่งนกยักษ์”

                “คล้ายๆ กับเงือกที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาน่ะหรือครับ”

                “ใช่แล้ว แต่พวกฮาร์พีไม่ฉลาดเท่าเงือก และมีสัญญาณสัตว์ที่ดุร้ายกว่า” เทอร์รินตอบ “เราโชคดีที่ไม่ต้องปะทะกับพวกมัน ผู้หญิงที่ดุร้ายน่ะ น่ากลัวกว่าผู้ชายที่ดุร้ายนัก”

          “แล้วทำไมพวกมันถึงไม่เล่นงานอูฐของเราล่ะครับ ดูเหมือนจะกลัวด้วยซ้ำ”

          “เพราะอูฐเป็นหนึ่งในสัตว์ที่รสชาติแย่ที่สุดน่ะสิ แค่กลิ่นก็สุดจะทนแล้ว” เทอร์รินอธิบาย “คงมีเพียงสัตว์ร้ายหิวโหยอย่างฉลามทะเลทรายเท่านั้นที่ทนกินอูฐได้”

          “แต่พวกฮาร์พีไม่รู้หรือครับ ว่าแถวนี้ไม่ได้มีแค่อูฐ เพราะอูฐพวกนี้สวมบังเหียนและผ้ารองนั่งบนหลัง พวกฮาร์พีน่าจะเดาได้ว่ามีผู้ขับขี่อูฐซ่อนอยู่แถวนี้”  

          “พวกฮาร์พีอาจดูคล้ายมนุษย์ แต่พวกมันก็แทบจะไม่ต่างจากสัตว์เลย” เทอร์รินอธิบาย “โง่กว่าพวกเซ็นทอร์เสียอีก สมองก็น้อยใกล้เคียงกัน จำไว้หนุ่มๆ อะไรที่เป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งมักไม่ฉลาด เพราะมนุษย์แทบไม่เคยคิดอะไรอื่นนอกจากความโลภ ความฟุ้งเฟ้อ ความหรูหรา เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปและเอาความเป็นสัตว์มาใส่แทน สมองมนุษย์ก็แทบไม่มีอะไรเหลือเลย”

          พวกเขาปีนกลับขึ้นไปบนหลังอูฐ และกระตุ้นให้พวกมันออกเดินทางต่อ ระมัดระวังมากขึ้นอีก เกาะนี้ไม่เพียงแห้งแล้งกันดาร ยังมีสิ่งมีชีวิตที่หิวโหยและอันตรายเต็มไปหมด มั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครเต็มใจมาอยู่ที่นี่แน่ ยิ่งเป็นการย้ำชัดให้แน่ใจว่าพวกแฮนดรัสจะไม่มีวันอภัยให้พ่อของเทอร์ริน

          หลังจากใช้เวลานานแสนนานในการเดินทาง ผ่านแดดร้อนๆ และความแห้งแล้ง พวกเขาก็เข้าสู่ป่าแห้งแล้ง แม้ว่ามันจะแห้งแล้ง แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าอย่างน้อยก็มีน้ำมีธาตุอาหารให้ต้นไม้ขึ้นบ้าง โอเอซิสคงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว ยิ่งลึกเข้าไปในป่า ต้นไม้ก็ยิ่งหนาทึบขึ้น พืชบางชนิดเริ่มมีสีเขียวสดแล้ว

          “ใกล้แล้ว” เทอร์รินให้กำลังใจพวกทหาร “อีกนิดเดียวก็สบายแล้ว”

          ดวงดาวฤกษ์อิลิมิน่าเริ่มอ่อนแสงลง บรรยากาศยามสายัณห์กำลังจะแผ่ครอบคลุมทั่วทั้งทะเลทราย สภาพอากาศตอนกลางคืนจะต่างจากตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิงนั่นคือหนาวจัด พวกเขาควรทำเวลาให้ไปถึงโอเอซิสก่อนจะค่ำเกินไป คงไม่สะดวกหรือปลอดภัยนักหากตั้งแคมป์บริเวณนี้ ยิ่งเป็นพื้นที่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคยด้วย ใครจะไปรู้ว่านอนๆ กันอยู่จะมีอะไรโผล่มาทำร้ายหรือเปล่า

          “ใกล้จะมืดแล้ว เราอาจต้องจุดคบไฟ” เทอร์รินเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านกิ่งก้านต้นไม้แห้งๆ

          “หากมืดเกินไป เราจะหยุดตั้งแคมป์ไหมครับ โฮซอร์” ทหารคนหนึ่งถาม

          “ข้าไม่อยากตั้งแคมป์แถวๆ นี้” เทอร์รินมองไปรอบๆ “พื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างทึบ การสังเกตการณ์ค่อนข้างแคบ หากมีสิ่งอันตรายจริงๆ เราจะถูกซุ่มโจมตีได้ง่าย”

          “มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ครับ” ทหารอีกคนออกความเห็น “เราลุยป่าแห่งนี้มาตั้งนานแล้ว ยังไม่พบสัตว์ร้ายหรือสิ่งอันตรายสักอย่าง”

          “เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจกลัวเรา ไม่ใช่สัตว์ประหลาดทุกตัวจะดุร้ายเหมือนฉลามทะเลทรายหรอก” เขาพูดหวาดๆ “ได้แต่หวังว่า จะไม่ใช่เพราะมีสิ่งอันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่า ทำให้พวกมันเผ่นหนีกันหมดนะ--”

          โครม!

          ต้นไม้แห้งๆ กลวงๆ ต้นใหญ่โค่นล้มลงมาขวางหน้าอูฐของเทอร์ริน ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อครีบชักอาวุธตั้งท่าป้องกันตัว พวกทหารโฮเซ่ต่างบังคับพาหนะมารวมกลุ่มกัน ขวานกับโล่ในมือทั้งสองยกขึ้นพร้อมต่อสู้ มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นรอบตัวพวกเขา เสียงเหยียบกิ่งไม้กรอบแกรบบอกให้รู้ว่า พวกเขาถูกล้อมจากสิ่งที่มีจำนวนมากกว่าราวสองเท่าได้

          “อย่าเพิ่งทำอะไรจนกว่าข้าจะสั่ง” เทอร์รินพึมพำบอกพวกทหาร

          ต้นไม้แห้งๆ รอบตัวพวกเขาแยกออกจากกัน และล้มครืนลงไปข้างๆ ร่างขนาดสองเมตรครึ่งจำนวนสามสิบเอ็ดร่างตีวงล้อมพวกเขาจากทุกทิศทุกทาง แต่ละร่างสูงใหญ่กำยำ พวกนั้นดูคล้ายโฮเซ่อย่างพวกเขา มีเขาม้วนเป็นวงที่หูเหมือนกัน แต่ตัวใหญ่กว่ามากและมีผิวที่ดูคล้ายเปลือกไม้ ไม่เรียบเนียนเหมือนแก่นไม้อย่างผิวโฮเซ่ ผมกับหนวดก็ดูคล้ายรากอากาศของต้นไม้ จมูกยื่นยาวออกมาคล้ายกิ่งไม้ที่ถูกตัดปลาย ขาใหญ่แข็งแรง เท้าช่างดูเหมือนตอไม้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ละคนสวมเกราะหนาหนักแบบที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดแข็งแรงพอจะสวมได้

          ส่วนที่น่ากลัวก็คืออาวุธของพวกนั้น เป็นค้อนใหญ่ด้ามยาวเหมือนหอก อาวุธสำหรับนักรบที่ร่างใหญ่แข็งแรง มันทำด้วยเหล็กหนักอึ้ง หากต้องต่อสู้กัน โล่ของพวกโฮเซ่คงป้องกันแรงทุบของมันไม่ไหว กระดูกแตกกันพอดี

          พวกแฮนดรัสคำรามเสียงดัง และกระแทกด้ามค้อนลงพื้น

          “ทำไมถึงไม่พบสัตว์ร้ายสักตัวน่ะหรือ” แฮนดรัสที่ทำต้นไม้ล้มขวางหน้าเทอร์รินคำราม ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม “ก็เพราะพวกมันกลัวพวกเราแฮนดรัสน่ะสิ พวกมันจะหนีเวลาพวกเรามาแถวนี้”

          เทอร์รินสั่งให้ทหารของตนลดอาวุธลง พวกทหารโฮเซ่ค่อยๆ ลดอาวุธลงอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนพวกแฮนดรัสนั้นยังคงถืออาวุธไว้มั่น ไม่ลดอาวุธตาม

          “โฮเซ่จากแบร์ร็อคสิบสี่คน” แฮนดรัสคนเดิมคำรามขู่ “มาทำอะไรที่นี่”

          เทอร์รินลงจากหลังม้า ก้าวออกไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย พยายามแสดงการให้เกียรติ

          “ข้าชื่อเทอร์ริน เฮนิเคม” เขายื่นมือไปข้างหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายจับ “พวกนี้เป็นทหารของข้า”

                นอกจากแฮนดรัสคนนี้จะไม่จับมือกับเขาแล้ว คนอื่นๆ ยังคำรามด้วยความโกรธ

          “เฮนิเคมอย่างนั้นหรือ” แฮนดรัสหัวหน้ากลุ่มเน้นเสียง “ท่านเป็นญาติกับราร์ร็อค เฮนิเคม จอมเผด็จการใช่ไหม”

          “ไม่ใช่” เทอร์รินตอบ “ข้าเป็นบุตรชายคนแรกของเขา”

                ด้ามค้อนยาวกว่าสามสิบด้ามกระแทกลงพื้นอย่างโกรธแค้น เทอร์รินพยายามวางตัวให้สงบ หันไปทำท่าห้ามพวกทหารที่เกือบจะชักอาวุธออกมา เวลานี้ไม่เหมาะแก่การทำอย่างนั้นเป็นที่สุด หากมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากระตุ้น อาจก่อให้เกิดการปะทะได้

                “ถ้าเช่นนั้น ท่านคงจะเดาได้ว่า เราแฮนดรัสไม่สะดวกที่จะต้อนรับท่าน เทอร์ริน เฮนิเคม บุตรแห่งราร์ร็อค เฮนิเคม” แฮนดรัสหัวหน้ากลุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “มาทางไหนจงกลับไปทางนั้น”

                “ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนมีเหตุผล แฮนดรัสทุกคนมีเหตุผล” เทอร์รินกล่าวอย่างระมัดระวัง “คนมีเหตุผลอย่างพวกท่าน ย่อมรับฟังว่าข้าดั้นด้นเดินทางมาที่นี่เพื่ออะไร”

                “ท่านมีธุระอะไรที่นี่”

                “ข้าต้องการพบไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าของพวกท่าน หากเขายังมีชีวิตอยู่” เทอร์รินตอบ

                “โฮซอร์ของเรายังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านมีธุระอะไรกับเขา”

                เทอร์รินหยิบกระบอกสารที่แขวนอยู่บนหลังพาหนะ ส่งให้อีกฝ่าย มีแผ่นสารที่ทำด้วยหนังม้วนอยู่ในกระบอก

                “นี่คือหนังสืออภัยโทษ ยกเลิกการเนรเทศแฮนดรัสทุกคน” เทอร์รินอธิบาย “ทุกข้อบัญญัติที่พ่อข้าใช้กับพวกท่านนั้นเป็นอันยกเลิก พวกท่านสามารถกลับไปอาศัยอยู่ในอาณาจักรแบร์ร็อคตามเดิม หนีจากความยากลำบากของเกาะแห่งนี้ กลับไปยังบ้านที่แท้จริงของพวกท่าน”

                แฮนดรัสแต่ละคนมองหน้ากันตื่นๆ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะพบกับเรื่องนี้

                “มีแต่ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันเท่านั้น ที่จะยกเลิกข้อบัญญัติของผู้นำสูงสุดคนก่อนได้” หัวหน้ากลุ่มแฮนดรัสมองกระบอกสารในมือ ยังประหลาดใจไม่หาย

                “ท่านเข้าใจถูกแล้ว มั่นใจได้ว่า มันถูกยกเลิกโดยผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน” เทอร์รินหันริ้วธงที่ติดหลังไหล่ให้ดู “ข้าเอง”

                แฮนดรัสแต่ละคนมองหน้ากันอีกครั้ง หนนี้มองกันอยู่นานทีเดียว

                “เรื่องนี้ มันอยู่นอกเหนือหน้าที่ตัดสินใจของข้า โฮซอร์บุฟโฮปจะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้เอง ข้าจะพาพวกท่านไปพบเขา” แฮนดรัสหัวหน้าคืนกระบอกสารให้เทอร์ริน “ข้าคือกัปตันวอร์ดิว เป็นรองหัวหน้าแฮนดรัส”

          พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แสงดาวนับล้านทอประกายส่องแสงสีขาวเย็นตา ทะเลทรายแห่งนี้ไม่ร้อนอีกต่อไป แต่มันเริ่มเย็นลงและทำท่าจะหนาวในอีกไม่นาน เทอร์รินเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้แห้งๆ มาสองอัน หลั่งไฟเหลวออกมาจากมือเหมือนที่ใช้กับฉลามทะเลทราย จุดไฟที่ปลายกิ่งไม้ และส่งกิ่งหนึ่งให้กัปตันวอร์ดิวใช้เป็นคบไฟ

          “ขอบคุณ” กัปตันวอร์ดิวยกคบไฟขึ้นสูงเพื่อส่องไฟ “ท่านเป็นพวกเลือดพิเศษธาตุไฟหรือ”

          “ใช่” เทอร์รินพยักหน้า “ข้าสามารถใช้ความสามารถพิเศษปล่อยไฟเหลวออกมาจากร่างกายได้ ไม่ได้พิเศษอะไรนักหรอก เพื่อนๆ ข้าทั้งกลุ่มก็มีความสามารถนี้”

          “ข้าเองอยากมีเลือดพิเศษ เสียดายที่ข้าไม่ได้เกิดมาแบบนั้น” กัปตันวอร์ดิวพูดอย่างอิจฉา “มันยากไหม ที่จะเรียนรู้การควบคุมความสามารถพิเศษในตอนแรกเริ่ม”

          “แน่นอน ตอนเริ่มต้นมันก็ยากทั้งนั้นล่ะ แต่มันก็ไม่ยากจนเกินไป” เทอร์รินบอก “ข้าเองก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอีกสิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญด้วย อำนาจพิเศษ ได้มาตอนที่ยังเป็นต้นตะบองเพชรโดยบังเอิญ มันทำให้ข้าสามารถมองเห็นและได้ยินสิ่งที่อยู่ไกลๆ ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งมันยังทำให้ข้ามีประสาทสัมผัสที่ไวมาก”

          “ท่านมีทั้งเลือดพิเศษและอำนาจพิเศษ โชคดีจริงๆ” กัปตันวอร์ดิวพูด

          “ท่านไม่จำเป็นต้องมีเลือดพิเศษหรอก ท่านแข็งแรง รบเก่ง และมีความคิดที่ดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์ความสามารถพิเศษพรรค์นั้นเลย” เทอร์รินว่า “ท่านยังสามารถสร้างสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้อีกมาก อายุท่านยังน้อยอยู่”

          “แต่ก็ไม่อายุน้อยเท่าท่าน”

          “ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว กัปตันวอร์ดิว”

          “สี่สิบหกปี”

          “มากกว่าข้าแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ท่านควรมีอนาคตที่ดีกว่าการติดอยู่ที่เกาะนี้นะ”

          “อย่างที่ข้าบอกท่านไป เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโฮซอร์บุฟโฮป ข้ามีหน้าที่เพียงพาท่านไปพบเขา”

                ยิ่งลึก ป่าก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์มากขึ้น คงเริ่มเข้าเขตโอเอซิสแล้ว พื้นที่พวกเขาย่ำอยู่มีหญ้าสีเขียวขึ้นเป็นหย่อมๆ  ต้นไม้รอบตัวก็เป็นสีสด แม้พื้นจะเป็นดินปนทรายเสียส่วนใหญ่ แต่ข้างใต้จะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่มากพอควร ด้านหลังเทอร์ริน พวกทหารของเขากับพวกนักรบแฮนดรัสกำลังพูดคุยกันแก้เบื่อ ความตึงเครียดเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายดูเป็นมิตรกันมากขึ้น เช่นเดียวกับเทอร์รินและกัปตันวอร์ดิว ถึงอย่างไรก็เผ่าพันธุ์โฮเซ่เหมือนกัน ความจริงแล้ว พวกแฮนดรัสกับพวกโฮเซ่จากแบร์ร็อคก็เข้ากันได้ดีทีเดียว หากรู้จักกันดีพอ

          “ข้าไม่ค่อยชอบต้นเถาวัลย์หนามๆ นั่นเลย” ทหารของเทอร์รินชี้มือไปยังพืชหน้าตาหน้ากลัวชนิดหนึ่ง “ท่าทางจะมีพิษแรง”

          “ไม่ๆ ท่านกำลังเข้าใจผิด” แฮนดรัสคนหนึ่งรีบพูด “ต้นไม้นั่นเป็นสมุนไพรทะเลทรายชั้นยอด มันช่วยรักษาน้ำในร่างกายของท่านไม่ให้ระเหยออกไปจากร่างกาย ทำให้สดชื่นด้วย”

          “แล้วมีพืชชนิดไหนที่ไล่ฉลามทะเลทรายได้ไหม”

          “พวกท่านเจอฉลามทะเลทรายหรือ”

          “เจอตัวหนึ่ง มันเขมือบพวกเราไปสองคน แต่เราก็ฆ่ามันได้ ข้าหมายถึงโฮซอร์เฮนิเคมเป็นคนฆ่ามันน่ะ”

          “อย่างน้อยพวกท่านก็ไม่ต้องสู้กับพวกฮาร์พีทั้งฝูง”

          “เราเจอกลุ่มหนึ่งด้วยเหมือนกัน ยังดีที่หาทางหลบพวกมันได้”

          ในที่สุด หลังจากที่เดินทางต่อราวยี่สิบนาที กัปตันวอร์ดิวก็ยกมือบอกให้ทุกคนหยุด เบื้องหน้าพวกเขาคือม่านเถาวัลย์แห้งๆ ที่ทอดยาวไปตามแนวต้นไม้ใหญ่สูงชะลูด กัปตันวอร์ดิวผ่านม่านเข้าไป พยักหน้าเรียกเทอร์ริน เทอร์รินกระตุ้นให้อูฐของตนตามเข้าไป แล้วกวาดตามองดูรอบๆ แม้จะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่านี่คือหมู่บ้านแฮนดรัส แต่ก็ไม่นึกภาพว่าจะเป็นแบบนี้

          “หมู่บ้านแฮนดรัสของเรา” กัปตันวอร์ดิวแหวกม่านเถาวัลย์ให้ทหารโฮเซ่คนอื่นๆ ขี่อูฐตามเทอร์รินเข้ามา “มันไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดใช่ไหม”

          “ไม่เป็นยังไงหรือ” เทอร์รินมองไปรอบๆ

          “ไม่เอาน่า ข้ารู้ดีว่าโฮเซ่ในแบร์ร็อคอย่างพวกท่านคิดกับเรายังไง” กัปตันวอร์ดิวส่ายหน้าเบื่อๆ “พวกท่านคิดว่าเราเป็นโฮเซ่ที่มีลักษณะของพืชมากกว่าสิ่งมีชีวิตระดับมันสมอง คิดว่าเราไม่ค่อยฉลาด มีดีแค่พละกำลัง ไม่ค่อยมีอารยะธรรม คงคิดว่าเราอาศัยอยู่ในถ้ำ ไม่คิดว่าเราจะสร้างบ้านสร้างหมู่บ้านอยู่กันแบบนี้ใช่ไหม จะบอกอะไรให้ว่า แม้เราจะไม่ฉลาด ไม่เจริญ ไม่เล่ห์เหลี่ยมเยอะเท่าพวกท่าน แต่เราก็มีอารยะธรรมของเรา และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกท่านเลย”

          “เป็นความจริงที่ข้าไม่ได้คาดหวังว่าพวกท่านจะสร้างหมู่บ้านดีๆ อยู่กัน และเป็นความจริงที่โฮเซ่ในแบร์ร็อคส่วนใหญ่ดูแคลนพวกท่าน” เทอร์รินไม่ปิดบัง “แต่ตอนนี้ พวกท่านก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกท่านไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด”  

                ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ทะเลทรายอันแห้งแล้งและอันตรายแห่งนี้ จะมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้อยู่ ต้นไม้และพืชแปลกประหลาดเต็มไปหมด ต่างก็มีสีสันสดใส แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ มีบ่อน้ำพุและบ่อน้ำแร่ธรรมชาติเสียด้วย ทางเดินโรยกรวดที่พวกเขากำลังเดินย่ำอยู่นี้มีเสาแขวนตะเกียงเรียงเป็นแนวยาว สลับกับเสาธงที่แขวนธงเป็นรูปกำปั้นหนามสีน้ำตาล พวกแฮนดรัสใช้สัญลักษณ์นี้ตั้งแต่ถูกบังคับให้แยกตัวจากแบร์ร็อค

          “โฮซอร์” ทหารของเทอร์รินที่ถือธงเรียก “ดูกระท่อมแฮนดรัสสิครับ”

                เทอร์รินกวาดตามองไปยังกระท่อมแต่ละหลังที่สร้างด้วยไม้เรียงรายเต็มไปหมด บางหลังก็มีม่านเถาวัลย์คลุมหลังคาห้อยยาวจนปิดประตูบ้าน แต่กระท่อมทุกหลังล้วนมีลักษณะเหมือนกันหมด คือเป็นรูปสามเหลี่ยมยาวๆ คล้ายเต็นท์ จะต่างกันเพียงแค่ขนาดเท่านั้น เนื่องจากช่วงนี้ยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่ พวกแฮนดรัสจึงยังไม่เข้านอนกัน หลายคนนั่งผิงไฟอยู่หน้าประตูบ้าน นั่งอยู่คนเดียวบ้าง จับกลุ่มกันบ้าง หรือไม่ก็คอยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกระท่อมใกล้ๆ

          “ถ้าข้าเป็นพวกเขา ข้าจะไม่ผิงไฟหรอกนะ” เทอร์รินพูด “วันนี้อากาศดี”

          “มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว” กัปตันวอร์ดิวอธิบาย “กองไฟคือกิจกรรมในช่วงหัวค่ำของพวกเรา มันเป็นวิถีชีวิตของพวกเราชาวแฮนดรัส”

                หน้ากระท่อมหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด มีแฮนดรัสร่างใหญ่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่กองไฟคนเดียวเงียบๆ ถัดไปอีกสองบ้าน มีแฮนดรัสท่าทางสูงอายุสามคนกำลังนั่งล้อมกองไฟและดื่มเหล้า แลกเปลี่ยนเรื่องราววีรกรรมในสมัยที่ตนยังเป็นหนุ่มๆ ให้เพื่อนแก่ๆ ฟัง และบ้านข้างๆ นั้น แฮนดรัสหนุ่มท่าทางไฟแรงห้าคนกำลังนั่งล้อมวง ผลัดกันเล่าเรื่องน่าสยดสยองน่าเกลียดน่ากลัวกันอย่างคึกคัก แฮนดรัสหนุ่มพวกนี้คงอายุน้อยกว่าเทอร์รินมาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถสรรหาเรื่องราวน่าสยดสยองชวนขนหัวลุกมาเล่าให้กันฟัง ชนิดที่ว่าเทอร์รินไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต

          “ไรมิน บุฟโฮปอยู่กระท่อมหลังไหนหรือ” เทอร์รินถามกัปตันวอร์ดิว

          “เขาจะอยู่ที่กลางหมู่บ้านพอดี” กัปตันวอร์ดิวตอบ “ไปอีกนิดเดียว”            

                เทอร์รินคาดไว้แล้วว่าเขาและพวกทหารของเขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจในที่สุด สายตาแฮนดรัสจากบ้านแต่ละหลังเริ่มหันมามองเขา มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกระซิบกระซาบในหมู่แฮนดรัสเริ่มดังระงม บางกลุ่มก็ไม่คิดจะลดเสียงลงเลย เห็นชัดว่าไม่เกรงใจและไม่ค่อยพอใจ ยิ่งเข้าไปในกลางหมู่บ้านมากขึ้นเท่าไหร่ จำนวนสายตาจากแฮนดรัสก็มีมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกของพวกแฮนดรัสในตอนนี้ คือประหลาดใจที่เห็นโฮเซ่จากแบร์ร็อคเดินทางมาที่นี่ และไม่พอใจที่ได้เห็น

                “กัปตันวอร์ดิว พวกเขามาทำอะไรที่นี่” แฮนดรัสคนหนึ่งร้องถามอย่างอดรนทนไม่ไหว

                “พวกเขามีธุระต้องเจรจากับโฮซอร์บุฟโฮป” กัปตันวอร์ดิวบอกทุกคน “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทำกิจกรรมของพวกเจ้าต่อเถอะ”

                อย่างน้อย พวกโฮเซ่ก็คิดถูกที่มาพร้อมกับชุดเกราะเต็มยศและธงประจำเผ่าพันธุ์ มันแสดงให้พวกแฮนดรัสเห็นว่า พวกเขามาอย่างเป็นทางการ มาอย่างเปิดเผย มาอย่างให้เกียรติ ไม่ได้มองพวกแฮนดรัสเป็นชนชั้นสอง แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความประทับใจมากนักหรอก

                พวกเขามาหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่ง เดาได้ว่าเป็นบ้านของไรมิน บุฟโฮปหัวหน้าแฮนดรัส เพราะมีธงสีน้ำตาลแขวนอยู่หน้าประตู เบื้องหน้ากระท่อมหลังนี้เป็นลานกว้างโล่ง มีกองฟืนกองใหญ่พิเศษอยู่กลางลาน ดูเหมือนจะเป็นที่ประชุมหมู่บ้าน

          “ท่านเห็นกองฟืนนั่นไหม” กัปตันวอร์ดิวชี้นิ้วไปยังกองฟืนกลางลานกว้าง “หากมีการประชุมสำคัญ เราจะจุดไฟที่ฟืนกองนั้น แล้วเราทุกคนในหมู่บ้านจะมานั่งล้อมกองไฟกันที่นี่ เพื่อทำการประชุม”

          “ไรมินไม่มานั่งผิงไฟนอกบ้านเหมือนคนอื่นๆ หรือ” เทอร์รินถาม เขาและเหล่าทหารของเขาลงจากหลังอูฐ

          “ระยะหลังๆ นี้เขาชอบนั่งอยู่ในบ้านเงียบๆ” กัปตันวอร์ดิวเดินไปเคาะประตูบ้านหลังที่ติดธงหน้าประตู “คนแก่ก็อย่างนี้”

                พวกทหารของเทอร์รินยืนจูงอูฐเฝ้าอยู่หน้ากระท่อม เทอร์รินหยิบกระบอกสารจากหลังพาหนะ แล้วตามกัปตันวอร์ดิวไปที่หน้าประตู ประตูกระท่อมเปิดออก แฮนดรัสร่างใหญ่ไว้หนวดเคราค่อยๆ ก้าวออกมา แม้กิริยาท่าทางของเขาจะบ่งบอกถึงความอาวุโส แต่ก็ทราบกันอยู่ว่าเผ่าพันธุ์โฮเซ่นั้นไม่มีวันแก่ชรา ร่างกายยังคงแข็งแรงไม่ร่วงโรย ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ชราโดยนิสัยมากกว่า

                “เรียนโฮซอร์บุฟโฮป” กัปตันวอร์ดิวแนะนำ “เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค เขามาที่นี่เพื่อต้องการเจรจาธุระกับท่าน--”

                “ขอบใจมากกัปตันวอร์ดิว ข้าพอทราบเรื่องนี้ ข้ามองเห็นเขาจากหน้าต่างกระท่อมตอนที่เจ้าพาเขาเข้ามาในหมู่บ้าน และได้ยินเสียงพูดคุยจากคนในหมู่บ้านของเรา” ไรมิน บุฟโฮปพูดด้วยเสียงของคนมีอายุ แต่ยังคงมีความเข้มแข็งอยู่มาก มือขนาดใหญ่ยื่นไปหาเทอร์ริน“ขอต้อนรับ โฮซอร์แห่งแบร์ร็อค”

                “เป็นเกียรติที่ได้พบท่าน” เทอร์รินจับมือกับอีกฝ่าย มือของไรมินกำมือของเทอร์รินมิดทีเดียว

                “เชิญเข้ามาข้างใน” ไรมินเปิดประตูให้กว้างขึ้น

                “ข้าจะรออยู่ข้างนอกนะครับโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวบอกไรมิน

                ข้างในกระท่อมดูจะกว้างกว่าที่คิด ห้องที่เห็นอยู่นี้คงเป็นห้องนั่งเล่น มีประตูเปิดสู่ห้องอื่นอีกสองสามห้อง กลางห้องมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมและมีเก้าอี้หินขนาดใหญ่รอบโต๊ะ ฝาผนังห้องแขวนตะเกียงสองสามดวง รวมทั้งแขวนเสื้อคลุม แขวนแผนที่ และมีค้อนยาวอาวุธประจำกายของไรมินวางพิงอยู่ เทอร์รินถอดหมวกเกราะออก นั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง รู้สึกถึงความแข็งของเก้าอี้หินยามที่แผ่นเกราะบังต้นขากระทบกับมัน มันทำด้วยหินเพื่อให้แข็งแรงพอสำหรับรับน้ำหนักแฮนดรัสได้ จึงไม่ใช่เก้าอี้ที่นั่งสบายนัก ถังไม้ใบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่งกลิ่นแอลกอฮอล์มาเข้าจมูก มีแก้วไม้ใบหนึ่งวางอยู่ข้างๆ ไรมินคงกำลังดื่มมันก่อนที่พวกเขาจะมา

          “เหล้าต้มเอง ตามแบบฉบับของแฮนดรัส จะเรียกว่าเหล้าเถื่อนก็ได้” ไรมินชี้ไปที่ถังไม้“ท่านต้องการสักแก้วไหมพ่อหนุ่ม หรือข้าควรเรียกว่าโฮซอร์เฮนิเคมดี”

          “ข้ายินดีดื่มสักแก้วครับ” เทอร์รินพยักหน้า “แต่โปรดเรียกข้าแค่เทอร์รินก็พอ ข้าไม่ใช่คนถือตัว ที่นี่ ถิ่นของท่าน หมู่บ้านของท่าน ท่านคือโฮซอร์”

                พูดจาฉลาด สมเป็นผู้นำสูงสุด นับว่าเดินแต้มได้ไม่เลว แม้ไรมินจะไม่แสดงท่าทีอะไร แต่เขาก็รับรู้ความแตกต่างระหว่างเด็กหนุ่มคนนี้กับราร์ร็อค เฮนิเคม เทอร์รินมีความนอบน้อมกว่า ฉลาดเฉลียวกว่า และไม่ใช่จอมเผด็จการ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่แสดงนิสัยเผด็จการออกมา ไรมินเดินข้ามห้องไปเปิดประตูด้านหลัง และกลับมาพร้อมแก้วไม้เปล่าอีกใบ วางแก้วลงบนโต๊ะข้างหน้าเทอร์ริน ก่อนจะยกถังไม้เทของเหลวใส่แก้ว

          “เหล้าชนิดนี้หากใช้แก้วไม้ มันจะให้รสสัมผัสที่ดี” ไรมินนั่งลง และหยิบแก้วให้ของตนขึ้นมาถือไว้ “รสชาติดีมาก”

                แต่เทอร์รินถึงกับชะงักทันทีที่ดื่มเข้าไป ปกติแล้วพวกโฮเซ่มักไม่ระคายเหล้าแรงๆ เพราะเป็นเผ่าพันธุ์สายพันธุ์พืช มีร่างกายที่แข็งแกร่ง อาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่เมาเหล้ายากที่สุดในดาวดวงนี้ด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปนึกว่าเหล้าของพวกแฮนดรัสจะแรงขนาดนี้ ทั้งขึ้นจมูกและแสบคอ คงใช้ล้างแผลหรือเป็นเชื้อเพลิงได้ดีทีเดียว

                “ทุกอย่างที่เป็นของแฮนดรัสก็อย่างนี้ล่ะ” ไรมินกล่าว “ค่อนข้างกระด้าง ไม่นุ่มนวล ไม่คุณภาพดีชั้นสูง เหมือนสิ่งต่างๆ ในแบร์ร็อค”

                คนฉลาดอย่างเทอร์รินย่อมรู้ว่าประโยคนี้มีความหมายประชดประชัน

                “อย่างไรก็ตาม ข้าก็เห็นแล้วว่าพวกท่านปรับตัวได้เก่งมาก ข้านับถือ” เทอร์รินพูด “พวกท่านสร้างหมู่บ้านสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาในเกาะแล้งๆ แห่งนี้ และสามารถอยู่กันได้ดีทีเดียว”

          “ก็ไม่ดีนักหรอก” ไรมินตอบเรียบๆ “อย่างที่ท่านคงจะทราบดี มันทุรกันดาร แห้งแล้ง อีกทั้งยังค่อนข้างอันตราย แต่ในเมื่อไม่มีที่อื่นสำหรับแฮนดรัส เราก็ต้องอยู่ที่นี่ เท่าที่จะอยู่ได้”

          “ท่านเคยอยู่ในเมืองเด็นร็อคมาก่อน” เทอร์รินเอ่ยขึ้น

          “ข้าและแฮนดรัสทุกคน” ไรมินแก้ไข

          “เป็นเมืองที่ค่อนข้างยากแค้น แต่ก็เป็นเมืองสำคัญสำหรับอาณาจักรแบร์ร็อคมาก มันเป็นเมืองหน้าด่าน” เทอร์รินว่า “ว่ากันว่าท่านและเหล่าแฮนดรัสคุ้นเคยกับเมืองนั้นมากที่สุด พวกท่านอยู่อาศัยในเมืองนั้นมาหลายรุ่นแล้ว”

          “ใช่ จนกระทั่งพ่อของท่านขับไล่เราออกมา” ไรมินต่อประโยคให้ “นอกจากพวกเราแฮนดรัสแล้ว มีโฮเซ่ไม่มากหรอกที่จะมีความคุ้นเคยกับเมืองนั้น ตอนนี้ท่านให้ใครเป็นคนดูแล”

          “ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์” เทอร์รินตอบ

          “เข้าใจเลือกใช้คน” ไรมินชม “นอกจากแฮนดรัสแล้ว คนจากตระกูลท็อกซ์ฟ็อกซ์นี่ล่ะที่จะสามารถดูแลเมืองนั้นไหว เด็นร็อคเป็นเมืองที่ดูแลลำบากหากไม่มีความคุ้นเคย แต่ตระกูลนี้ก็มีความคุ้นเคยและมีเส้นสายกับเมืองไม่น้อย เชื่อว่าเขาจะต้องทำได้ดี น่าเสียดาย ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ เขาน่าจะไปได้ไกลกว่าการต้องมาเป็นเจ้าเมืองหน้าด่าน เขาเป็นเพื่อนสนิทของท่านด้วยใช่ไหม”

          “สนิทที่สุด” เทอร์รินบอก “เขายอมทิ้งความก้าวหน้าของตน อาสาทำหน้าที่นี้ ก็เพื่อระบบการปกครองของข้าจะได้ไม่สั่นคลอน”

          “เป็นเพื่อนที่ประเสริฐยิ่งนัก” ไรมินกระดกแก้วเหล้า

          “พวกท่านคิดถึงอาณาจักรแบร์ร็อคไหม” เทอร์รินถาม

          “สำคัญด้วยหรือ” ไรมินกระดกแก้วรวดเดียวหมด

          “สำคัญสำหรับข้า” เทอร์รินยืนกราน

          “แล้วอะไรทำให้มันสำคัญสำหรับท่านล่ะ” ไรมินยกถังไม้รินเติมเหล้าให้ตัวเองด้วยมือข้างเดียว เขาแข็งแรงมาก

          “เพราะมันเป็นเรื่องที่ข้าดั้นด้นเสี่ยงอันตรายมาพบท่านในวันนี้” เทอร์รินวางกระบอกสารลงบนโต๊ะ

          ไรมินเปิดกระบอกสาร หยิบแผ่นหนังออกมาอ่าน

          “หนังสืออภัยโทษ ยกเลิกการเนรเทศแฮนดรัส” เทอร์รินอธิบาย “พวกท่านทุกคนสามารถกลับไปอาศัยอยู่ในอาณาจักรแบร์ร็อคได้ตามเดิม ด้วยสิทธิอันชอบธรรม”

          ไรมินอ่านแผ่นหนังอย่างพิจารณา ในหัวคงใช้ความคิดหนัก นานทีเดียวกว่าเขาจะวางแผ่นหนังลง แล้วหันกลับมามองหน้าเทอร์ริน

          “เราแฮนดรัสมีสิทธิ์ที่จะกลับไปอยู่อาณาจักรแบร์ร็อคได้ตามเดิมหรือ” ไรมินถาม

          “ข้ารับรองได้” เทอร์รินให้ความมั่นใจ “ที่นั่นก็เป็นบ้านของพวกท่าน เหมือนกับที่เป็นบ้านของข้า”

          “แล้วพวกท่านต้องการให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ” ไรมินถามต่อ

          “ข้าต้องการให้เป็นอย่างนั้น” เทอร์รินพยักหน้า “ความแตกแยกของเผ่าพันธุ์โฮเซ่ทำให้อาณาจักรขาดเสถียรภาพ การรวบรวมพวกพ้องที่กระจัดกระจายให้กลับมานั้น จะทำให้อาณาจักรเป็นปึกแผ่นมากขึ้น”

          “ข้าหมายถึง พวกท่านทุกคน” ไรมินขยายความให้ชัดเจน “โฮเซ่ทุกคนในแบร์ร็อค พวกเขาไม่ได้มีผลประโยชน์ทางการเมืองการสงครามเหมือนท่าน พวกเขาจะอยากให้เรากลับไปอยู่ร่วมด้วยหรือ ในเมื่อพ่อของท่านปลุกระดมให้ประชาชนในอาณาจักรมองเราแฮนดรัสในแง่ร้ายกันหมดแล้ว แทบจะกลายเป็นคนละเผ่าพันธุ์เสียด้วยซ้ำ”

          “ทัศนคติสร้างได้ก็เปลี่ยนได้” เทอร์รินพูด

          “แล้วเรื่องสถานภาพสิทธิทางพลเมืองล่ะ” ไรมินเน้นเสียง เน้นความสำคัญ “เราจะได้มันเท่าเทียมกับพวกโฮเซ่ในอาณาจักรแบร์ร็อคหรือเปล่า”

          “ข้าอยากจะให้มันเป็นเช่นนั้น” เทอร์รินว่า “แต่ในตอนนี้ยังติดปัญหาหลายๆ ปัจจัย พลเมืองในอาณาจักรแบร์ร็อค โดยเฉพาะในเมืองหลวงยังมีความคิดที่ยึดติด--”

          “นั่นไง” ไรมินพ่นลมออกจากจมูก หัวเราะอย่างไม่สบอารมณ์ “นึกแล้วว่ามันดีเกินไป ที่แท้พวกท่านอยากให้เรากลับไปอยู่ ในฐานะชนชั้นสอง”

          “ข้าสัญญา พวกท่านจะไม่ต้องทนต่อการเป็นชนชั้นสองตลอดไป” เทอร์รินรีบให้คำมั่น

          “นานแค่ไหนล่ะ บอกได้ไหม”  

          “ข้ายังไม่อาจบอกได้ แต่ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกท่านได้รับสถานภาพสิทธิทางพลเมืองที่เท่าเทียม” เทอร์รินยืนกรานหนักแน่น “ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ทัศนคติของพลเมือง พวกเขายังมีความคิดยึดติดอยู่ แต่หากพวกท่านแสดงให้ประชาชนเห็นว่าพวกท่านเป็นประโยชน์ต่อแบร์ร็อค พวกเขาก็จะยอมรับพวกท่าน และลดอคติในความคิดลง”

          “ท่านหมายถึง เราจะต้องพยายามทำตัวให้เหล่าคนที่ไม่ชอบเรามาชอบอย่างนั้นหรือ” ไรมินถาม “เราจะต้องทำตัวให้เป็นที่พอใจ เพื่อคนที่ไม่พอใจเราอย่างนั้นหรือ”

          “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เทอร์รินพูดเสียงเบา

          “ท่านหมายความเช่นนั้น ชัดๆ เลย”

          นิ่งเงียบกันไปนานทีเดียว เทอร์รินจ้องมองอีกฝ่าย ยกแก้วเหล้าจิบเล็กน้อยแก้เครียด ไรมินกระดกเหล้าหมดแก้วและรินเติมอีก ดูไม่กระตือรือร้นกับเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้านัก

          “ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว พ่อหนุ่ม” ไรมินเอ่ยถามหลังจากเงียบไปสักพัก

          “สามสิบหกปี” เทอร์รินตอบ

          “อายุน้อยมาก สำหรับการเป็นผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” ไรมินว่า “บางที เมื่อท่านเริ่มแก่ตัวไป ท่านอาจมานั่งเสียดายวัยหนุ่มในภายหลัง เหมือนที่ข้าเป็น ท่านรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างไหม”

          “ท่านหมายความว่ายังไง” เทอร์รินขมวดคิ้ว

          “ทั้งสงครามกับพวกมนุษย์ และพวกกบฏในแบร์ร็อค” ไรมินพูด “ตั้งแต่พ่อของท่านตาย ก็มีการก่อกบฏขึ้นในแบร์ร็อคหลายฝ่าย”  

          “มีคนมากมายที่ไม่ลงรอยกับพ่อของข้า เรื่องนี้ท่านคงทราบดีกว่าใคร เมื่อเขาตาย คนเหล่านั้นจึงได้โอกาสแสดงความก้าวร้าว” เทอร์รินบอก “พวกเขามีอคติว่าข้าจะเป็นจอมเผด็จการเหมือนกับพ่อ และต่อต้านข้า ก่อนที่ข้าจะทันได้ทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องกังวล กบฏเหล่านั้นได้ถูกจัดการให้เข้าที่เข้าทางแล้ว”

          “แล้วท่านจัดการยังไง” ไรมินถามต่อ

          “ท่านก็คงทราบดีอยู่แล้ว” เทอร์รินบอก “นำกองกำลังเข้าปราบปราม และขับไล่ออกจากอาณาจักร”

          “ท่านอาจพูดว่า ท่านไม่ใช่จอมเผด็จการเหมือนพ่อของท่าน” ไรมินยกแก้วดื่ม “แต่ข้าก็อดสังเกตไม่ได้ว่า ท่านก็ใช้วิธีการคล้ายๆ กับเขา ในอดีตพ่อของท่านขับไล่เราออกจากแบร์ร็อค ส่วนตอนนี้ ท่านก็ทำแบบเดียวกันกับพวกกบฏ”

          “หวังว่าท่านจะเข้าใจว่า ข้าไม่มีทางเลือก” เทอร์รินพูดอย่างอดทน “ซึ่งท่านคงจะเข้าใจมากกว่านี้หากได้รู้จักนิสัยของแซริคหัวหน้ากบฏ ว่าเขาดุดัน มุทะลุ หัวชนฝา ไร้ระเบียบ ใช้กำลังตัดสินทุกอย่าง และปรารถนาการนองเลือด เขากับคนของเขาประพฤติตัวไม่ต่างจากโจรชั่วโฉด ข้าหมดสิ้นปัญญาที่จะใช้เหตุผลกับเขาได้”

          “นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ท่านอยากให้เรากลับไป” ไรมินสรุป “การตัดพวกกบฏออกไปมันก่อให้เกิดช่องว่าง เผ่าพันธุ์โฮเซ่ขาดเสถียรภาพ ท่านจึงต้องการให้เราแฮนดรัสไปแทนที่ ซ่อมแซมช่องว่างนั้น”

          “นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของเรา” เทอร์รินรีบแก้ตัว

          “ซึ่งหากเรายอมกลับไปแบร์ร็อคจริงๆ เราก็จะต้องไปอยู่ในฐานะชนชั้นสอง เข้าถึงทรัพยากร อำนาจทางการเมือง และสิทธิเสรีภาพได้น้อยกว่าโฮเซ่ชนชั้นสูงกว่า เราจึงต้องทำสิ่งที่สร้างความพอใจแก่พวกเขา เพื่อให้ไต่รับดับขึ้นได้ เราจะถูกกดดันให้สร้างวีรกรรมสักอย่าง” ไรมินพูดต่อ “คงจะหนีไม่พ้นการช่วยพวกท่านทำสงครามกับพวกมนุษย์ ท่านฉลาดมากเทอร์ริน ฉลาดกว่าพ่อของท่านเยอะ แต่ข้าจะใคร่ขอเตือนว่า การที่เราถูกใช้เป็นเครื่องมือน่ะ มันไม่ได้ทำให้ประชาชนแบร์ร็อคชื่นชมในตัวเรานักหรอก”

          “โปรดอย่ามองเจตนาของข้าในแง่ลบ” เทอร์รินรีบพูด “ข้าไม่ได้มีจุดประสงค์ใช้พวกท่านเป็นเครื่องมือ--”

          “จะมีหรือไม่มีข้าไม่รู้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองการสงครามหากตอบตกลง” ไรมินกล่าวเรียบๆ “ข้าเสียใจเทอร์ริน แต่ไม่ว่าท่านจะตกแต่งคำพูดให้สวยหรูเพียงไร มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้”

          “แบร์ร็อคต้องการพวกท่าน” เทอร์รินพูดจริงจัง “เราต้องการพวกท่าน”

          “ต้องการไปในฐานะพลเมืองชั้นสอง และยามที่ไม่ต้องการเราก็คงขับไล่เรากลับมาอยู่บนเกาะนี้เหมือนเดิม”

          “ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงแล้ว ข้าไม่ใช่พ่อของข้า” เทอร์รินยืนยัน “โปรดลืมเรื่องอดีตสักพัก แล้วให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ตัวเอง”

          “แล้วผลที่ตามมามันต่างกันตรงไหน ไม่ว่าจะยังไง เราแฮนดรัสก็จะถูกนำไปใช้อุดช่องโหว่ที่พวกท่านตัดเอาพวกกบฏออกไป”

          “มันจะทำให้เผ่าพันธุ์ของเรากลับมาเป็นปึกแผ่น มีความเข้มแข็งอีกครั้ง”

          “ตราบใดที่ประชาชนในแบร์ร็อคไม่เต็มใจที่จะยอมรับเรา ตราบที่สถานภาพพลเมืองของเราไม่ทัดเทียมกัน มันก็เป็นปึกแผ่นได้ไม่นานหรอก” ไรมินวางแก้วไม้ลงบนโต๊ะแรงกว่าปกติเล็กน้อย “ฟังนะพ่อหนุ่ม ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังทำสงครามกับพวกมนุษย์อยู่ และการที่เผ่าพันธุ์ขาดเสถียรภาพนั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการรบลดลงไปด้วย แต่ข้าขอแนะนำว่า ท่านไม่จำเป็นต้องใช้เราก็ได้ มนุษย์มีศัตรูเต็มไปหมด ไปขอความร่วมมือจากอีกหนึ่งศัตรูของมนุษย์สิ”

          เขาชี้ไปยังอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลในแผนที่แขวนผนังใกล้ๆ

          “เราไม่อาจไว้วางใจพวกนั้นได้ พวกนั้นเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์” เทอร์รินพูด “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นเลย ทั้งจุดประสงค์ การดำเนินงาน ประสิทธิภาพความสามารถ”

          “นั่นทำให้ท่านไว้ใจเรามากกว่า” ไรมินว่า “หรือเป็นเพราะมั่นใจว่าเราก็เป็นเพียงแค่เศษส่วนเผ่าพันธุ์ที่ถูกขับไล่ออกมา ควบคุมได้ง่ายกว่า ไม่มีที่ไป ไม่มีพิษมีภัยเท่า”

          “นั่นไม่ใช่เลย เหตุผลก็เพราะพวกท่านเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา” เทอร์รินแย้งเสียงแข็ง “เพราะพวกท่านเป็นโฮเซ่เหมือนกับพวกเรา และข้ารู้ว่าลึกๆ แล้ว พวกท่านยังคงห่วงใยเผ่าพันธุ์และอาณาจักร”

          “อย่างที่ข้าบอกไป ความรู้สึกนั้นมันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว” ไรมินเน้นเสียง “ตอนนี้ข้ามีสิ่งสำคัญที่ควรห่วงใยจริงๆ นั่นคือความเป็นอยู่ของพวกพ้องแฮนดรัส”

          “ท่านพูดได้หรือ ว่าบนเกาะนี้คือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ในเมื่อมันทั้งแห้งแล้ง กันดาร และอันตราย” เทอร์รินโต้ “ที่เมืองเด็นร็อค เมืองที่พวกท่านเคยอยู่อาศัยกันมาก่อน พวกพ้องของท่านจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลำบากน้อยลง เสี่ยงภัยน้อยลง และได้รับการคุ้มครองภายใต้กำลังทหาร”

          “เราคุ้มครองตนเองได้ เรามีปัญญา เรามีกำลัง” ไรมินตอบกลับ “ข้ามั่นใจว่าพวกพ้องของข้ายอมที่จะทนลำบากกายอยู่ที่นี่ แต่สบายใจ ดีกว่ากลับไปสบายกายที่แบร์ร็อค แต่ต้องอึดอัดใจแทบบ้า เคยได้ยินคำกล่าวไหมว่า ลำบากกายทนง่าย ลำบากใจทนยาก”

          เทอร์รินหลับตาถอนหายใจ แล้วลืมตามองแก้วเหล้าตรงหน้า ยังเหลือเหล้าอยู่ครึ่งแก้ว เขายกมันกระดกเข้าปากรวดเดียวและวางแก้วลงบนโต๊ะ

          “คงจะไม่มีวิธีใด ที่ข้าจะพูดให้ท่านเปลี่ยนใจกลับไปแบร์ร็อคอีกแล้ว” เขาพึมพำ

          “ข้าเสียใจที่ทำให้ท่านมาเสียเวลาที่นี่” ไรมินนำแผ่นหนังสืออภัยโทษม้วนใส่กระบอกแล้วส่งคืนเทอร์ริน “ข้าหวังว่าเมื่อท่านกลับแบร์ร็อค ท่านจะสามารถหาทางจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องอาศัยพวกเรา”

          “เก็บมันไว้เถิด” เทอร์รินลุกขึ้นยืน เลื่อนมันกลับไปให้ไรมิน “ไม่ว่าจะยังไง พวกท่านก็มีสิทธิ์กลับอาณาจักรแบร์ร็อคได้ตามเดิม มันเคยเป็นบ้านของพวกท่าน และก็ยังคงเป็นอยู่ หากวันใดพวกท่านเปลี่ยนใจ ข้าก็ยินดีต้อนรับเสมอ สำหรับในตอนนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะอยู่ต่อ ข้าขอตัวกลับไปยังค่ายของข้า”

          “กลุ่มของกัปตันวอร์ดิวจะไปส่งท่านกับคนของท่านที่ชายป่าแห้งแล้ง พวกท่านจะได้รับการปกป้องจากสัตว์อันตราย” ไรมินรินเหล้าเติมอีกแก้ว

          เทอร์รินคว้าหมวกเกราะมาสวม เปิดประตูกระท่อมออกไป กัปตันวอร์ดิวยืนรออยู่หน้ากระท่อม กลุ่มทหารของเทอร์รินยังยืนจูงอูฐอยู่ที่เดิม ไรมินพยักหน้าให้กัปตันวอร์ดิวเป็นเชิงบอกให้ไปส่งเทอร์ริน

          “ทางนี้เลย โฮซอร์เฮนิเคม” กัปตันวอร์ดิวผายมือ

          “เสียใจที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้” ไรมินบอกเทอร์รินขณะนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะ “แต่ท่านไม่เหมือนพ่อของท่าน ท่านมีความสามารถหลายอย่างที่เขาไม่มี ข้าจึงหวังว่าท่านจะสามารถหาทางเติมเต็มส่วนที่เว้าแหว่งของเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จ”

          “ไม่ว่าข้าจะมีความสามารถมากมายเพียงใด ข้าก็ไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว แน่นอนว่าไม่มีใครทำได้” เทอร์รินหันกลับไปตอบ “เพราะหากเผ่าพันธุ์จะมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทุกคนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”

          แล้วเขาก็พยักหน้าบอกลาไรมิน ก้าวออกจากกระท่อม ปิดประตูตามหลัง ไรมินมองตามประตูที่ปิด แล้วจึงยกแก้วเหล้าในมือสาดเข้าลำคอรวดเดียว

          “หากเผ่าพันธุ์จะมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทุกคนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน” เขาพ่นลมออกจากจมูก คว้ากระบอกสาร โยนไปในหีบใส่ของที่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกแตะต้องมานานจนฝุ่นเกาะ “ถ้ามันทำได้ง่ายๆ ก็ดีสิ”

 

 

 

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา