พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า
เขียนโดย Blackblood
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.
แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2 การเริ่มต้นแห่งอำนาจมืด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2 การเริ่มต้นแห่งอำนาจมืด
เซซิลเปิดประตูเข้าไปในห้องทรงกลมที่มีตู้หนังสือ แผนที่ และเครื่องมือเครื่องใช้เต็มไปหมด พบร่างสวมผ้าคลุมฮู้ดสีดำสนิทจนเกือบกลืนไปกับความมืดนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับหน้าต่างบานเล็กทรงสี่เหลี่ยม ร่างนั้นหันหลังให้เขา จ้องมองหน้าต่างบานเล็กไม่ขยับตัว ที่ประหลาดคือหน้าต่างบานนั้นแทนที่จะแสดงให้เห็นวิวทิวทัศน์นอกห้องเหมือนกับหน้าต่างบานอื่นๆ มันกลับแสดงภาพการทำศึกระหว่างพวกเฟลมฟอร์สกับพวกปีศาจ ไพรม์เดวอทเชอร์สิ้นชีพในสนามรบ มาร์กอลลอสจอมพิชิตตกลงไปในหลุมพลังมืด และการล่มสลายของเฟลมฟอร์ส ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่แสดงออกมาจากหน้าต่างบานนี้
“ท่านจอมมาร” เซซิลเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตสอดแทรก
“สวัสดียามใกล้รุ่ง อาจารย์เซซิล” ร่างในผ้าคลุมแบบมีฮู้ดทักทายโดยไม่ได้หันมามอง เป็นเสียงห้าวๆ เข้มๆ ของชายหนุ่ม
“เราส่งบรรณาการไปให้พวกมนุษย์แล้ว” เซซิลรายงาน “ป่านนี้คงไปถึงมือพวกเจ้าหน้าที่การคลังแห่งโมราโซมอสเรียบร้อย”
“ก่อนหน้านี้พวกมันบ่นกันนักไม่ใช่หรือว่าเราส่งบรรณาการล่าช้าบ้าง ไม่ได้ปริมาณที่ต้องการบ้าง” ร่างนั้นพูดเสียงเย็น “หวังว่าคราวนี้จะบ่นเรื่องเหล่านี้น้อยลง”
“ทันทีที่พวกมันเปิดหีบ พวกมันจะบ่นเรื่องเหล่านี้น้อยลงแน่” เซซิลว่า “ก่อนหน้านี้พวกมันก็เริ่มระคายในความกระด้างกระเดื่องของพวกเราที่มีมากขึ้นทุกวัน”
“ระคายช้าไปแล้ว สงครามทางทะเลกับพวกโฮเซ่ส่งผลให้พวกมันละความสนใจจากพวกเรา” ร่างในผ้าคลุมกล่าวเรียบๆ “คงคิดไม่ถึงว่าอาณาจักรของเราจะฟื้นตัวจากสงครามในอดีตได้เร็วขนาดนี้ ปีศาจไม่ได้ดีแต่ถูกกดหัวเหมือนเมื่อก่อนแล้วอาจารย์เซซิล เราปฏิวัติความคิด ดึงเอาทุกความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวปีศาจทุกคนออกมาใช้อย่างเต็มที่ เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น เวลานี้เหมาะสมแล้วที่พวกมนุษย์จะเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของสิ่งที่กำลังเหยียบย่ำอยู่”
“แล้วมันจะสั่นสะเทือนจนพวกมนุษย์ล้มหงาย” ใบหน้าซูบตอบของเซซิลมีรอยยิ้ม
“อีกไม่นานเกินรอ อาจารย์เซซิล” ชายหนุ่มให้คำมั่น “พวกมนุษย์จะล้มหงายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
เซซิลปิดประตูห้องและลอยเข้าไปหาชายในผ้าคลุมฮู้ดช้าๆ จ้องมองจากข้างหลัง
“ท่านเคยเห็นใบไม้สีกรมท่าไหม อาจารย์เซซิล” เขาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคย และไม่คิดว่าใบไม้ใดในดาวดวงนี้จะมีสีกรมท่าด้วย” เซซิลพูดอย่างข้องใจ “ท่านพูดเหมือนเคยเห็นเลย”
“ช่างมันเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย ข้าถามโง่ๆ”
“ท่านนอนไม่หลับหรือ” เซซิลถาม “หรือว่าตื่นเช้า”
“ไม่ใช่ทั้งคู่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า กลางคืนทำให้ข้ามีสมาธิ แต่ระยะหลังๆ นี้ข้านอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันควร” ชายหนุ่มชี้มือไปที่หน้าต่าง มือที่ปกคลุมด้วยถุงมือสีดำสนิท “ช่วงหลังๆ ข้ามาดูหน้าต่างบานนี้บ่อยแล้วก็มีเรื่องให้คิดมาก เป็นคนที่มีอดีตเลวร้ายอยู่มากมายน่ะ”
“เช่นนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะดู การจ่อจมอยู่กับอดีตมันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรนัก โดยเฉพาะกับคนที่มีอดีตเลวร้าย” เซซิลแนะนำ “อย่าลืมสิว่าเราเป็นปีศาจ ย่อมมีอดีตที่เลวร้ายเป็นพิเศษ”
“ทำยังไงได้ ข้าเป็นคนความจำแย่ บางความทรงจำที่เป็นประโยชน์ก็จำได้รางๆ หน้าต่างบานนี้ก็ช่วยฟื้นฟูให้มันละเอียดแจ่มชัด” ชายหนุ่มแตะศีรษะที่คลุมด้วยหมวกฮู้ด “เพียงแค่มองมัน เราก็จะได้เห็นความทรงจำในอดีต แม้แต่สิ่งที่เราแทบจะจำไม่ได้ แต่นั่นล่ะ จิตใต้สำนึกไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้ง่ายๆ บางความทรงจำที่ไม่อยากทบทวนก็โผล่ขึ้นมาด้วยเสียดื้อๆ” เขาส่ายหน้าถอนหายใจ “ไพรม์เดวอทเชอร์เคยห้ามไม่ให้ข้ามองหน้าต่างนี่ จนกว่าจะมีวุฒิภาวะเพียงพอสำหรับจัดการความคิดของตน วุฒิภาวะอีกแล้ว” เขาทวนคำขำๆ “ซึ่งตอนนี้ข้าคิดว่าตนมีพอแล้ว จึงมองมันอย่างที่เคยอยากมองในตอนเด็ก และพบว่าเขาพูดถูก หลายความทรงจำมันไม่น่าทบทวนเลย หากข้าเด็กกว่านี้ ข้าอาจจัดการกับอารมณ์ของตนไม่ได้ บางความทรงจำมันก็ฝังลึกอยู่ในสมองจนความเจ็บปวดในอดีตสามารถย้อนกลับมาเล่นงานเราได้ในปัจจุบัน”
“มันผ่านมาตั้งสิบแปดปีแล้วท่านจอมมาร สงครามครั้งนั้น” เซซิลส่ายหน้ายิ้มๆ “ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว โฟรเซ็นทิเนลแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็น คนของเราก็มีพัฒนาการที่น่าพอใจ ทั้งความคิดและความสามารถ อำนาจกดขี่ของพวกมนุษย์ถูกผลักออกไปไกลทุกวันๆ ขณะที่อำนาจความแข็งแกร่งของปีศาจค่อยๆ ผงาดขึ้นอย่างสง่างาม และท่าน เด็กชายธรรมดา ผู้มีหัวใจกล้าแกร่งเกินธรรมดา บัดนี้คือผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของเรา รับช่วงต่อจากอาจารย์ของท่าน ไพรม์เดวอทเชอร์อาจไม่ได้อยู่ภูมิใจท่าน แต่ข้าขอถือวิสาสะภูมิใจในตัวท่านแทนเขา”
โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มยกมือขวาเปิดฮู้ดออกจากศีรษะ หันหน้ามามองเซซิล การที่เขาเติบโตขึ้นส่งผลให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากตอนอายุสิบสี่ปี รูปหน้าคมสมสัดส่วน ดวงตาสีน้ำเงินดวงโตที่เคยมีแววไร้เดียงสานั้นบัดนี้มันคมกริบเจิดจรัสมากกว่าเดิม ที่ไม่เปลี่ยนเลยคือมันยังคงเรืองแสงในที่มืดเหมือนประกายสายฟ้า ขนตาหนางอนยาวเหมือนขนตาผู้หญิง หางตาคม คิ้วเข้ม จึงทำให้ดูเป็นตาที่หวานซึ้ง เศร้า และดุรวมอยู่ด้วยกัน ผมดกหนายาวปรกบ่าทอประกายเจิดจ้า เป็นผมสีทองคำไม่เหมือนใครปนกับสีเงินโลหะแบบปีศาจทั่วไปดูคล้ายกับเป็นลายเส้นสายฟ้า ปลายผมงอนโค้งไปมาอย่างสวยงาม ยิ่งมีผมมาปรกหน้าผากบางส่วนด้วยแล้วยิ่งทำให้หน้าหวานจนแทบแยกไม่ออกว่าผู้ชายหรือผู้หญิง สิ่งที่ทำให้แยกออกคือร่างกายที่สูงใหญ่และบุคลิกอันแข็งกระด้างเย็นชา ตอนนี้โซลิแทร์อายุสามสิบสองปีแล้ว หมายความว่าร่างกายเขาอยู่ในวัยสิบหกปีเนื่องจากปีศาจเจริญเติบโตช้ากว่ามนุษย์สองเท่า น้ำเสียงของเขาแตกห้าวตามวัย ผิวขาวสะอาด ใบหน้าเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยแม้จะเคยผ่านประสบการณ์สุดโหดมาก็ตาม
“สองปีก่อน ท่านแต่งตั้งข้าเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์ว่า “บอกตามตรงว่าตอนนั้นข้าไม่รู้สึกพร้อมเลย”
“ก็การให้ท่านได้มาสัมผัสหน้าที่จริงๆ นี่ล่ะคือการทำให้ท่านพร้อม” เซซิลว่า “หลังจากไพรม์เดวอทเชอร์ตายตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลก็เว้นว่างมาสิบหกปี นานกว่านี้คงไม่ต้องแต่งตั้งใครแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นข้า” โซลิแทร์หนุ่มท้วง “คงเป็นเพราะเหตุผลเดิมๆ ข้ากำจัดเฟลมฟอร์ส”
“นั่นก็ใช่” เซซิลยอมรับ “จะว่าไปก็เป็นเหตุผลส่วนใหญ่ด้วย”
“จะให้ข้าย้ำอีกรอบไหมว่านั่นมันเรื่องบังเอิญ แล้วสิ่งที่ทำลายจอมพิชิตไม่ใช่สายฟ้าของข้า มันคือพลังมืดของเฮเวนล็อคต่างหาก เรื่องนี้ปีศาจทั้งอาณาจักรรู้ดี” โซลิแทร์ก้มมองสิ่งที่ถืออยู่ในมือ มันคือผลแอปเปิลสีดำ มีสองรอยกัดทิ้งพื้นที่เป็นรูปเหมือนเส้นสายฟ้าไว้ตรงกลาง เดิมทีมันก็เป็นแอปเปิลปกติ แต่ที่เป็นสีดำก็เพราะเขาเคลือบโลหะเพื่อรักษาสภาพของมันไว้ สิบแปดปีแล้วที่ได้มันมา
“และท่านก็คงรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าท่านทำลายจอมพิชิตยังไง หรือท่านเป็นคนทำลายจอมพิชิตหรือไม่” เซซิลเน้นเสียง “แต่เราชนะพวกเฟลมฟอร์สเพราะการยืนหยัดจนวินาทีสุดท้ายของท่าน ท่านเป็นแรงบันดาลใจต่อปีศาจเลือดใหม่ๆ รวมทั้งพวกเลือดเก่าๆ อย่างข้า ท่านทำให้พวกเราเชื่อมั่นที่จะยืนหยัดเพื่อตนเองและศรัทธาในพลังของตนเอง นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจแข็งแกร่งในวันนี้”
“อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นข้า ผู้นำสูงสุดควรจะเป็นท่าน ไม่ใช่ข้า” โซลิแทร์เก็บแอปเปิลใส่กระเป๋าเสื้อ “ข้ารู้สึกเหมือนเด็กเก้งก้างที่ก้าวกระโดดขึ้นมาโดยไม่แน่ใจว่าพร้อมหรือไม่”
“กายภาพของท่านอาจยังไม่เป็นหนุ่มเต็มตัว แต่อายุของท่านเมื่อเทียบกับพวกมนุษย์ถือว่าเข้าใกล้วัยกลางคน ข้ารู้ว่าร่างกายที่ยังเติบโตไม่เต็มที่มันก็ชะลอวุฒิภาวะและความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง แต่ประสบการณ์ชีวิตมันก็สะสมมาตามอายุแล้ว” เซซิลสั่งสอน “บทเรียนและการสอนสั่งที่ข้ามอบให้นั้นมันไม่ใช่สำหรับเด็ก ความยากลำบาก การล้มลุกคลุกคลาน และบาดแผลต่างๆ ที่ท่านได้รับควรทำให้ท่านตระหนักว่าตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉะนั้นเลิกคิดว่าตนยังเป็นเด็กหนุ่มเสีย ความเยาว์วัยทางร่างกายไม่ใช่ข้ออ้าง สามสิบสองปีถือว่าแก่แล้วนะ จงทำตัวให้เหมาะสมด้วย”
“ถึงกระนั้นก็เถอะ ข้ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือ”
“ท่านไม่ได้มีคุณสมบัติเลิศเลอทุกอย่างแน่นอน มีหลายอย่างที่ท่านแสนจะไม่ได้เรื่อง” เซซิลบอกตามตรง “แต่ท่านมีทุกคุณสมบัติที่หน้าที่นี้ ณ เวลานี้ต้องการพอดี นั่นล่ะประเด็น การนำใครสักคนไปทำในสิ่งที่เขาคนนั้นถนัดและมีความชอบ รับรองได้ว่าผลงานจะออกมาดีเยี่ยม อย่าปฏิเสธเชียวนะว่าท่านไม่ชอบงานนี้ นิสัยของท่านจะทุ่มเทให้เฉพาะกับสิ่งที่ชอบ ซึ่งข้าไม่เคยเห็นใครทุ่มเทให้กับงานนี้เท่าท่านมาก่อนเลย”
“ก็เพราะข้าคิดว่าถ้าข้าไม่ทำงานพวกนี้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ คงเป็นแค่เจ้าโง่ที่ไร้ความสำคัญในชีวิต” โซลิแทร์ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เก่งรอบด้านอาจารย์เซซิล แล้วก็ไม่ได้มีความชอบความสนใจกว้างขวางนัก สิ่งที่ข้าชอบและทำได้ดีจริงๆ มันมีแค่ไม่กี่สิ่ง”
“ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมข้าถึงเอาเจ้าโง่ที่มีความสามารถไม่กี่อย่างมาใส่ในช่องที่ต้องการความสามารถไม่กี่อย่างพอดี” เซซิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี “คติประจำใจของไพรม์เดวอทเชอร์ ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์ จงนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้เหมาะสมและตรงประเด็น มันจะเกิดประโยชน์มากมาย ซึ่งตอนนี้ปีศาจเรากำลังทำในสิ่งที่ตรงประเด็นอยู่ เราจึงแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว”
“แต่คุณสมบัติท่านก็ตรงประเด็นกับที่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดตอนนี้ต้องการเหมือนกันไม่ใช่หรือ” โซลิแทร์ย้อนถาม “ท่านเองก็จะทำงานนี้ได้ดีเช่นกัน”
“แล้วงานที่ข้าทำมันต่างจากที่ท่านทำนักหรือไง” เซซิลย้อนกลับ “มันแทบจะไม่ต่าง”
“มันก็จริงของท่าน”
“ฉะนั้น สิ่งที่เราสองคนควรทำคือหุบปากและทำสิ่งที่เราถนัดต่อไป” เซซิลต่อยบ่าโซลิแทร์อย่างชื่นบาน “ซึ่งแน่นอนว่าเรากำลังทำได้ดี สองปีที่ผ่านมานี้ยังไม่มีอะไรให้ท่านพิสูจน์ตัวเองมากนัก แต่นับจากวันนี้ วันที่เริ่มเป็นจุดผกผันของเผ่าพันธุ์เรา ท่านและปีศาจทุกคนจะได้พิสูจน์ตัวเองแน่นอน”
โซลิแทร์ยิ้ม โอกาสจะได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่รออยู่ตรงหน้านั้นสูบฉีดความกระตือรือร้นของเขา เขากระหายที่จะพิสูจน์ตนเอง กระหายที่จะนำศักยภาพของตนมาใช้อย่างเต็มที่
“ข้าเคยร่วมงานกับพ่อของท่าน เขาไม่มีอะไรเหมือนท่านเลย” เซซิลระลึกความหลัง เขาเป็นเหมือนพี่ชายที่ดีของข้า แต่อย่าว่ากันนะ เขาเป็นผู้นำสูงสุดที่ไม่ค่อยได้เรื่อง ซื่อบื้อไปหน่อย ขี้ขลาดด้วย”
“ขี้ขลาดหรือ” โซลิแทร์เอียงคอยิ้มๆ
“ไม่ใช่ขี้ขลาดแบบกลัวตายกลัวเจ็บนะ นั่นมันสโนว์ฟ็อกส์ตอนหนุ่มๆ” เซซิลหัวเราะ “แต่เขาขี้ขลาดที่จะคิดนอกกรอบ คิดในเชิงสร้างสรรค์ คิดในแนวคิดที่เป็นกบฏ เขาเป็นเหมือนพวกคนยุคเก่าๆ ที่ถนัดยอมจำทนทำตามมากกว่า นั่นเป็นเหตุให้ในยุคนั้นพวกมนุษย์สามารถกดหัวใช้เราได้สบาย คนที่ยอมทนทำในสิ่งที่ตนเกลียด เหมาะที่จะเป็นทาสมากที่สุด”
“จริงของท่าน เขาขี้ขลาดเป็นบ้า” โซลิแทร์พูดตามตรง
“แน่ล่ะ เขาขี้ขลาด แต่ก็เพราะเป็นห่วงว่าปีศาจคนอื่นๆ จะถูกพวกมนุษย์เล่นงานหากเขาปลุกระดมให้แข็งข้อ เขาไม่กล้าเสี่ยงเหมือนพวกเราตอนนี้” เซซิลอธิบาย “สิ่งที่น่าชื่นชมของซีเมลิลคือเขารักและเป็นห่วงเป็นใยพวกพ้อง เขารักข้าและคณะผู้นำปีศาจคนอื่นๆ เสมือนพี่น้อง เขารักท่านด้วยท่านจอมมาร แม้จะมีเวลาอยู่กับท่านน้อยมากก็ตาม”
“แต่ข้าไม่เคยรู้จักอะไรเขาเลย สารภาพว่าไม่ได้รู้สึกผูกพันมากนัก เพราะข้าจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้สักนิด” โซลิแทร์พูดเรียบๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา “ต้องขอบคุณพวกมนุษย์ที่ส่งเขาไปตายตอนที่ข้าอายุเพียงสามปี ซึ่งเขาก็ยอมฝืนทำตาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็ไม่มีโอกาสรอด”
“คิดในแง่ดี อย่างไรเสียก็ต้องมีคนหยุดยั้งเฮเวนล็อคสักคน” เซซิลชี้ให้เห็น “หากเฮเวนล็อคปลดปล่อยอาวุธแดนน้ำแข็งไอซ์มาครอบครองสำเร็จ ดวงดาวจะเสียความสมดุล ทุกเผ่าพันธุ์ย่อมได้รับผลกระทบ”
“แค่ปลดปล่อยอาวุธแดนน้ำแข็งสักเล่มของเอเลียสผู้สร้างน้ำแข็ง ดวงดาวก็ถึงกับเสียสมดุลเลยหรือ”
“เสียความสมดุลไม่ใช่เพราะพลังจากอาวุธ แต่เป็นพลังงานคำสาปที่พวกไซคัสสาปมันไว้ต่างหาก ท่านรู้ประวัติศาสตร์ใช่ไหมว่าพวกไซคัสสร้างอนุสาวรีย์ยักษ์ขึ้นมาเป็นแหล่งเสริมพลังให้แก่ธรรมชาติ จึงต้องการปกป้องมันทุกวิธีทาง หนึ่งในนั้นคือนำอาวุธแดนน้ำแข็งฝาแฝดไอซ์และโฟรเซ็นของผู้สร้างน้ำแข็งไปสาปจองจำแยกกันในอุโมงค์ลับสองแห่ง ตราบที่พวกมันยังไม่ถูกปลดปล่อยทั้งสองเล่ม จะไม่มีใครทำอันตรายอนุสาวรีย์ได้” เซซิลเท้าความ “แต่ท่านก็รู้จักพวกไซคัส นึกอยากจะสร้างอะไรก็สร้าง แต่สร้างแล้วก็ไม่มีปัญญาดูแล และไม่คำนึงผลกระทบ พวกนั้นไม่รู้เลยว่าหากอาวุธแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อยโดยที่อีกเล่มยังถูกจองจำอยู่ หนึ่งวันต่อมาดวงดาวจะเสียความสมดุล เหมือนกับตาชั่งเอียง อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมของดาวดวงนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบระยะยาวต่อระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิต ทางแก้เดียวคือต้องปรับตาชั่งให้ตรง ด้วยการไปปลดปล่อยอีกเล่ม แล้วหนึ่งวันต่อมาความสมดุลจะกลับมาเหมือนเดิม ปัญหาเรื่องความสมดุลไร้สาระนี้คงไม่เกิดถ้าพวกไซคัสไม่นำอาวุธทั้งสองไปจองจำแต่แรก ไม่เห็นจำเป็นต้องปกป้องอนุสาวรีย์ขนาดนั้นเลย เพราะนอกจากการจองจำอาวุธก็ยังมีพลังงานอันทรงพลังอื่นๆ ปกป้องอยู่ก่อนแล้ว”
“แล้วเฮเวนล็อคต้องการปลดปล่อยอาวุธไอซ์เพื่ออะไร” โซลิแทร์สงสัย
“มีแต่การคาดเดา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขามีจุดประสงค์อะไร” เซซิลบอก “แต่เรื่องที่น่าจะจริงที่สุดคือเขาต้องการมันเป็นวัตถุดิบพลังงาน เนื่องจากเขามีความสามารถด้านการประยุกต์ใช้พลังงานมากกว่าใครในดาวดวงนี้ หากได้อาวุธมาทั้งสองเล่มอาจประยุกต์พลังงานออกมาใช้ได้มหาศาลใกล้เคียงกับมาร์กอลลอสจอมพิชิตผู้เป็นน้องชายทีเดียว”
“สองคนนี้ทำสงครามเย็นกันหรือ”
“เป็นแค่ข่าวลือ แต่ก็มีเหตุผล” เซซิลอธิบาย “แม้ทั้งคู่จะถูกสร้างขึ้นพร้อมกันแต่สายพันธุ์ของมาร์กอลลอสคือมังกร ส่วนสายพันธุ์ของเฮเวนล็อคคือ---ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ รู้แค่เขากำเนิดมาจากควัน เป้าหมายของมาร์กอลลอสคือรักษาเผ่าพันธุ์มังกร ขณะที่เฮเวนล็อคที่ไม่มีสายพันธุ์มังกรนั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักนิด เขาอยากสร้างเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นมาบ้าง อยากสร้างกองทัพที่เก่งกล้าขึ้นมาได้เหมือนเฟลมฟอร์ส แน่นอนว่าพลังอำนาจของเขาไม่มีมากมายเท่ามาร์กอลลอส แต่สามารถทำให้เท่าได้หากได้พลังงานจากแหล่งอื่นมาประยุกต์เสริม ท่านคิดดูสิ ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง เฮเวนล็อคได้อาวุธแดนน้ำแข็งไปทั้งสองเล่มและประยุกต์พลังงานออกมาใช้ได้จริงๆ จะมีอีกเผ่าพันธุ์ไร้เทียมทานปรากฏขึ้นมาควบคู่กับเฟลมฟอร์ส ยิ่งถ้าสองเผ่าพันธุ์นี้ทำสงครามกัน ดาวดวงนี้คงลุกเป็นไฟ”
“ที่ผ่านมามันก็ลุกเป็นไฟแล้ว” โซลิแทร์ว่า
“ที่ผ่านมาเฮเวนล็อคกับมาร์กอลลอสไม่แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อกันตรงๆ เพราะต่างฝ่ายก็เป็นอันตรายใหญ่หลวงแก่กันได้หากแสดงความเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย แม้เฮเวนล็อคจะไม่ทรงพลังเท่ามาร์กอลลอสแต่ท่านก็เห็นแล้วว่าหลุมพลังมืดของเขาสามารถทำลายมาร์กอลลอสได้” เซซิลพูดต่อ “ทั้งสองไม่กล้าทำสงครามกันตรงๆ จึงทำในรูปแบบสงครามเย็น และที่เฮเวนล็อคถูกพ่อของท่านสังหารนั้น พวกเฟลมฟอร์สก็มีส่วนเกี่ยวข้อง”
“นั่นล่ะปัญหาคาใจข้า” โซลิแทร์ขมวดคิ้ว “พ่อของข้าทำยังไงถึงฆ่าเฮเวนล็อคได้ ในเมื่อฟังดูแล้วเฮเวนล็อคไม่น่าจะใช่คนที่ถูกฆ่าง่ายๆ และคนอย่างพ่อข้าก็ไม่น่าจะมีปัญญาแตะต้องเขาได้ด้วยซ้ำ”
“มีคนในเหตุการณ์เล่าให้ข้าฟังอีกที” เซซิลบอก “จะบิดเบือนจากความจริงยังไง ไปขุดศพเขามาขึ้นต่อว่าเอาเอง ข้าเป็นแค่คนเล่าต่อ”
“ใครเป็นคนเล่าให้ท่านฟังล่ะ ข้าจะได้ไปขุดศพถูกหลุม”
“เพื่อนสนิทที่ข้ารักที่สุด” เซซิลพูดเสียงเบา “เอโมลิล น้องชายคนสุดท้องของพ่อท่าน อาของท่าน”
“ท่านหมายถึงเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์เลิกคิ้ว “นักประพันธ์ (The Novelist)”
“ใช่แล้ว นักเขียนปีศาจ หนึ่งในคณะผู้นำอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลสมัยนั้น นักรบผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้หอกสามง่าม” เซซิลนึกถึงอย่างรักใคร่ “จอมดื้อจอมซนจอมกวนประสาท ผู้ที่แกล้งกับข้าได้ทุกวี่ทุกวัน”
“ท่านนี่น่ะหรือเคยแกล้งเล่นซนกับใคร” โซลิแทร์จินตนาการเซซิลตอนดื้อซนไม่ออก ไม่จริงน่า เขาเคร่งขรึมเย็นชาจะตาย แม้แต่การหัวเราะก็ยังหัวเราะขรึมๆ
“ขุดอาของท่านขึ้นมาถามสิว่าใครทำให้เขาหัวเราะได้มากที่สุดในชีวิต ใครที่เขาถึงกับตั้งฉายาให้ว่า เดอะ เจสเทอร์ (The Jester)”
“ถ้าขุดขึ้นมาแล้วเขาพูดกับข้าได้ก็ดีสิ” โซลิแทร์พึมพำ หลับตาลงด้วยความรู้สึกผิด “มีใครสักคนต้องการขอโทษเขา”
“ทุกคนที่เดินทางร่วมไปกับพ่อของท่านครั้งนั้นล้วนตายหมด เขาเป็นหนึ่งในพวกที่รอดชีวิตกลับมา แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็ตาย ซึ่งตายเพราะบาดเจ็บเกินเยียวยามากกว่าเพราะเหตุอื่น” เซซิลเน้นเสียงอย่างจริงจัง ขณะที่โซลิแทร์ก้มหน้าถอนหายใจ “เอโมลิลเล่าว่าพวกเขาตามเฮเวนล็อคเข้าไปในอุโมงค์ที่จองจำอาวุธไอซ์ เกิดการต่อสู้ตลอดทาง เฮเวนล็อคปลดปล่อยมันได้ แต่ยังไม่ทันได้แตะต้องมัน เขาจะครอบครองมันได้ก็ต่อเมื่อปลดปล่อยมันและถือมันไว้สักระยะหนึ่งให้มันและเขาถ่ายเทพลังงานถึงกันโดยสมบูรณ์ แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เขากับคนของเขาสามารถสู้กับกองกำลังของพ่อท่านได้โดยไม่ต้องใช้มัน พ่อของท่านถูกเฮเวนล็อคทำร้ายปางตาย เขาล้มลงกับพื้น บังเอิญไปล้มอยู่ข้างๆ อาวุธไอซ์ที่ตกอยู่บนพื้นพอดี จึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายคว้ามันขึ้นมาขว้างใส่เฮเวนล็อค เฮเวนล็อคถูกมันทิ่มแทงทะลุร่างตาย ส่วนพ่อของท่านก็ตาย”
หลังจากถูกเรียกว่าเป็นคนที่ยอมก้มหน้าทนต่อทุกสิ่งมานาน ในที่สุดพ่อของเขาก็เลือกที่จะยืนหยัดต่อสู้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
“สรุปแล้วอาวุธแดนน้ำแข็งมันเป็นอะไรกันแน่ หอก ดาบ ขวาน มีด ง้าว ทวน” โซลิแทร์สงสัย “มันทิ่มแทงทะลุร่างเฮเวนล็อคได้แสดงว่าจะต้องมีความแหลมคม”
“มันเป็นได้ทั้งหมดที่ท่านกล่าวมาเลย เพราะมันจะเปลี่ยนชนิดเปลี่ยนรูปร่างไปตามความถนัดของผู้ครอบครอง มันถึงถูกจำกัดความรวมๆ ว่าอาวุธไง” เซซิลตอบ “บางคนคาดว่ารูปร่างก่อนถูกครอบครองของมันน่าจะเป็นแค่แท่งโลหะแหลมคมเรียบๆ แต่ก็แน่ล่ะมันก็ยังคงเป็นโลหะพิเศษที่แข็งแกร่งและมีอำนาจทะลุทะลวงตัดผ่านสูงมาก ถึงสามารถทะลุร่างเฮเวนล็อคได้”
โซลิแทร์ลองจินตนาการว่าถ้าตนเป็นผู้ครอบครองมันจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธชนิดไหน ต้องดาบยาวแน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นอาวุธที่เขาถนัด
“ความรุนแรงทั้งหมดส่งผลให้อุโมงค์ที่จองจำอาวุธถล่ม แต่ละคนลากร่างกายที่บาดเจ็บของตนออกจากอุโมงค์แทบไม่ทัน” เซซิลเล่าต่อ “เอโมลิลคือคนเดียวที่ตะเกียดตะกายออกมาทัน แม้จะออกมาเพียงเพื่อตายในภายหลังก็ตาม บาดเจ็บหนักกันทุกคน เชื่อว่าทุกคนที่เข้าไปในอุโมงค์ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงข้ามนั้นตอนนี้คงตายกันหมดแล้ว”
“แล้วไอซ์ล่ะ” โซลิแทร์ถามต่อ
“ถูกทิ้งไว้ที่เดิม ไม่มีใครทันได้เก็บมันไป”
“อย่างนี้ดวงดาวไม่เสียความสมดุลหรือ อาวุธเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อยไปแล้ว”
“โชคดีที่บางคำสาปของพวกไซคัสก็มีประโยชน์” เซซิลพูด “มันสาปไว้ว่า หากอาวุธถูกปลดปล่อยแต่ไม่มีใครมาครอบครอง ภายในหนึ่งวันมันจะกลับไปถูกจองจำเหมือนเดิม ดังนั้นตอนนี้ไอซ์ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในอุโมงค์นั่น พร้อมด้วยสิ่งต่างๆ ที่ปกป้องมันอยู่ก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิม แม้แต่อุโมงค์ที่ถล่มไปแล้ว ข้าเชื่อว่ามันก็คงซ่อมแซมตัวเองให้กลับไปอยู่ในสภาพดีใกล้เคียงกับแบบเดิมทีเดียว”
“เรื่องคำสาปบ้าๆ ต้องยกให้พวกไซคัส” โซลิแทร์ทำท่าไม่พอใจ “มีคำสาปอะไรที่ประหลาดกว่านี้อีกไหมนี่”
“พวกไซคัสร่ายคำสาปที่รุนแรงมากไว้กับอาวุธแดนน้ำแข็งทั้งสอง” เซซิลเพิ่มเติม “ผู้ครอบครองอาวุธจะต้องคำสาปไปกับมันด้วย ราวกับจะต้องตัดแบ่งชีวิตส่วนหนึ่งให้อาวุธและนำอาวุธมาแทนที่ชีวิตส่วนที่ถูกแบ่งไป ข้อสำคัญคือหากได้ครอบครองมันแล้ว ห้ามเว้นว่างจากการแตะต้องมันนานเกินหนึ่งวัน ไม่อย่างนั้นจะต้องคำสาปให้ตาย”
“หมายความว่าถ้าข้าครอบครองมัน แล้วลืมแตะต้องมันเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ข้าจะตายหรือ” โซลิแทร์ย้ำความแน่ใจ
“ใช่”
“เพื่ออะไรกัน” โซลิแทร์บ่น “อะไรทำให้พวกไซคัสร่ายคำสาปใส่อาวุธไว้มากมายขนาดนี้”
“เพื่อให้ทั้งสองเล่มถูกมองว่าเป็นอาวุธอัปมงคลจะได้ไม่มีใครต้องการ จะได้ไม่มีใครไปปลดปล่อยพวกมันแล้วลดอำนาจป้องกันอนุสาวรีย์ลง” เซซิลชี้แจง “สังเกตดูสิว่าแทบจะไม่มีใครอยากค้นหาอาวุธทั้งสองนี้เลยเพราะไม่คุ้มกับอันตรายที่จะฝ่าไปและไม่คุ้มกับการต้องคำสาปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากไม่ใช่ผู้มีความสามารถในการประยุกต์พลังงานซับซ้อนอย่างเฮเวนล็อค การได้อาวุธมาก็ไม่ได้ทำให้มีพลังมากกว่าเดิมเลย มันไม่ใช่สุดยอดอาวุธไร้เทียมทานอะไรสำหรับคนทั่วไป”
“พวกไซคัสทำสำเร็จ ข้ารู้สึกอยากอยู่ห่างอาวุธสองเล่มนี้เป็นบ้า” โซลิแทร์ว่า “ใครจะอยากได้อาวุธที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่งที่แก้ไขไม่ได้”
“ใช่แล้ว มันรุนแรงและแก้ไขไม่ได้” เซซิลพยักหน้า “รุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ครอบครองจะไม่ต้องคำสาปอื่นใดอีกเพราะต้องคำสาปจากอาวุธไปแล้ว มันรุนแรงกว่าคำสาปใดๆ”
“ป้องกันคำสาปอื่นๆ ด้วยการเอาตัวเองไปต้องคำสาปที่แรงที่สุดหรือ” โซลิแทร์โบกไม้โบกมือ “ขอบคุณ แต่ข้าชอบป้องกันตัวเองจากคำสาปด้วยการหลีกเลี่ยงที่จะต้องคำสาปใดๆ ทั้งสิ้นเสียดีกว่า”
“เอโมลิลเล่าให้ฟังอีกว่า ขณะที่เขาพยายามหนีออกจากอุโมงค์ เขาเหลือบไปเห็นแผ่นรหัสที่เฮเวนล็อคใช้ปลดปล่อยอาวุธไอซ์ เขาพยายามจะคว้ามันไว้ แต่ไม่ทัน” เซซิลเล่าต่อ
“แผ่นรหัสหรือ”
“แผ่นโลหะที่สลักรหัสไว้เต็มไปหมด ต้องใช้มันเพื่อเข้ารหัสปลดปล่อยอาวุธแดนน้ำแข็ง” เซซิลอธิบาย “พวกไซคัสสร้างแผ่นรหัสขึ้นมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งไว้ใช้ปลดปล่อยไอซ์ อีกแผ่นไว้ใช้ปลดปล่อยโฟรเซ็น จะปลดปล่อยอาวุธแดนน้ำแข็งได้จะต้องใช้แผ่นคำสาปเท่านั้น ซึ่งตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ทั้งสองแผ่น”
“เราคงมีอยู่แผ่นหนึ่งแล้ว ถ้าเอโมลิลคว้ามันทัน” โซลิแทร์พูดอย่างเสียดาย
“เขาคงคว้ามันทัน ถ้าไม่มีมืออื่นมาชิงคว้าไปเสียก่อน”
“เขามองเห็นไหมว่าใครเป็นคนคว้า”
“ไม่ใช่ฝ่ายเรา ฉะนั้นหมายความได้อย่างเดียว ต้องเป็นเซ็ทซาร์ดสักคน” เซซิลสรุป เพราะพวกนั้นก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านอาจฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพวกเซ็ทซาร์ด เฮเวนล็อคคงฆ่าคนของเราทั้งหมดสบายๆ แล้วปลดปล่อยอาวุธสำเร็จไปแล้ว”
“เซ็ทซาร์ด นักรบกลุ่มแรกสุดที่มาร์กอลลอสจอมพิชิตสร้างขึ้น สุดยอดกลุ่มนักรบที่เชื่อกันว่าเก่งกาจที่สุด” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น พอจับได้ว่ามีความแค้นแฝงอยู่ในน้ำเสียง “ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายหรอกหากจอมพิชิตจะส่งพวกนั้นไปหยุดยั้งเฮเวนล็อค ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกนั้นจะพากันไปหยุดยั้งอะไรสักอย่าง”
“ความอาฆาตเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอย่างเรา แต่อย่าปล่อยให้มีมากเกินไป” เซซิลเตือนยิ้มๆ “เพราะมันจะทำร้ายเรามากกว่าคนที่เราต้องการทำร้าย”
“ข้าควรอาฆาตอยู่ หลังจากที่พวกมันทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพนี้” โซลิแทร์ยกมือสองข้างที่สวมถุงมือมิดชิดให้ดู “มีชีวิตในฐานะตัวประหลาดแบบนี้” เขาชี้ผมและดวงตา “และกลายเป็นคนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยสงคราม”
“มันก็สวยดีนะ ผมกับตาของท่านน่ะ” เซซิลพยายามยกแง่มุมที่ดี “พลังแปลกปลอมก้อนเมฆนั่นทำให้ท่านดูดีขึ้นนะรู้ไหม แล้วก็เป็นพลังแปลกปลอมที่มีประโยชน์ด้วย พวกเซ็ทซาร์ดคงรู้สึกแย่มากที่ท่านใช้มันทำลายเฟลมฟอร์ส เพราะพวกนั้นเป็นต้นเหตุให้ท่านได้มันมา”
“โดยการไล่ล่าข้ากับแม่ข้าเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน ตอนที่เธอขี่ม้าพาข้าหนีสงครามจากกาโกคอล” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นดังเดิม “อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์แม่หรอก ก็รู้อยู่ว่าที่ผ่านมาเธอเป็นแม่ที่แย่แค่ไหน แต่นั่นคงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอทำหน้าที่แม่ที่ดี และสิ่งที่เธอได้รับจากการกระทำนี้คือถูกเซ็ทซาร์ดทุกคนไล่ล่าจนเกือบจะถึงโฟรเซ็นทิเนล แล้วเธอก็ถูกลูกดอกคำสาปของหัวหน้าเซ็ทซาร์ดตาย ทำข้าพลัดหลุดมือ” เขาหันไปมองครอบแก้วบนโต๊ะ ข้างในวางลูกดอกสีทองที่มีก้านเป็นหัวมังกร ยังเก็บมันมาจนบัดนี้ “โชคดีที่หิมะบนพื้นหนา มิฉะนั้นข้าอาจเติบโตมาพิการ แต่มันก็ทำให้ข้ากลายเป็นตัวประหลาดอยู่ดี” เขามองมือของตนอีกครั้ง “อาจารย์เซซิล ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกเซ็ทซาร์ดต้องไล่ล่าข้ากับแม่ด้วย เรามีความสำคัญอะไร”
“เรื่องนี้ยังไม่มีใครเดาออก ที่ข้าพอรู้คือเธอเคยเป็นเลขานุการของผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล แต่นั่นก็ไม่น่าจะสำคัญสำหรับพวกเซ็ทซาร์ดถึงขั้นยอมทิ้งเกียรติไล่ล่าผู้หญิง ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร” เซซิลรีบเสริมเมื่อโซลิแทร์ทำท่าจะแย้ง “ใช่ เทียบกับนักรบเฟลมฟอร์สคนอื่นๆ พวกเซ็ทซาร์ดไม่ลำบากใจนักที่จะฆ่าผู้หญิงหรือเด็กหากมันส่งผลดีต่อเผ่าพันธุ์ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้สนุกกับการฆ่าผู้หญิงและเด็กแน่นอน ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง”
“หรือพวกมันพยายามจะฆ่าข้า” โซลิแทร์ตั้งข้อสงสัย “เหมือนในนิยายน้ำเน่าทั่วไป มีคำทำนายว่าข้าจะเป็นภัยต่อเฟลมฟอร์สในอนาคต ข้าคือคนสำคัญ ผู้ถูกเลือก ต้องรีบกำจัดก่อนจะสร้างปัญหา อะไรที่ฟังดูงี่เง่าทำนองนี้”
“ไม่ใช่แน่นอน” เซซิลมั่นใจ “ท่านก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าเด็กธรรมดาไม่ใช่หรือ แล้วก็ไม่ได้มีคำทำนายอะไรเกี่ยวกับท่านด้วย ต่อให้มีก็ไม่มีใครเชื่อ การทำนายอนาคตได้คือเรื่องไร้สาระที่สุด จริงอยู่ว่าท่านบังเอิญมีพิษมีภัยเมื่อโตขึ้นมา นั่นเป็นเพราะท่านพัฒนาตนเอง ด้วยความมุ่งมั่นและความเพียรพยายามที่จะฝืนโชคชะตาที่ไม่เคยเข้าข้างท่าน แต่ ณ เวลาตอนที่ยังต้องมีคนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ท่านอยู่ ท่านก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งเลย พวกเซ็ทซาร์ดจะอยากล่าท่านทำไม”
“แล้วมีใครอีกไหมที่เดินทางมาพร้อมกับข้าและแม่” โซลิแทร์เริ่มสันนิษฐาน “หรือว่าพวกเซ็ทซาร์ดไล่ตามม้าที่แม่ข้าขี่อยู่ ม้าตัวนั้นอาจมีอะไรพิเศษ มันอยู่ไหนแล้วตอนนี้”
“ข้าไม่รู้ อย่าถามข้า ข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์” เซซิลโบกไม้โบกมือ “ไพรม์เดวอทเชอร์ต่างหากที่เป็นคนช่วยท่าน เขาเล่าให้ฟังว่า เขากับกองกำลังเดวอทเชอร์เข้าไปขับไล่พวกเซ็ทซาร์ดออกไปก่อนพวกนั้นจะทันเข้าถึงตัวแม่ของท่านหรือท่าน สารภาพว่าเดิมทีข้าเองก็ไม่ค่อยชอบแม่ของท่านนักหรอก ก็เธอเป็นพวกไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ เจ้าชู้ใจโลเลเหมือนกับไซเอด้าเพื่อนรักของเธอ แถมยังทิ้งท่านให้ลำบากด้วย เธออาจเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องของพ่อท่าน เป็นแม่ที่ไม่รับผิดชอบดูแลท่าน แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตเธอก็คงสำนึกผิดและลึกๆ ในใจแล้วเธอก็คงรักท่านอยู่บ้าง”
“แต่ข้ากลับสัมผัสความรักที่นานๆ จะได้จากเธอที ผ่านการบอกเล่าของท่าน” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นเยียบ “ต้องขอบคุณพวกเซ็ทซาร์ดที่ทำให้เป็นแบบนี้ อาจารย์เซซิลข้าไม่เข้าใจ เมื่อจอมพิชิตเสื่อมอำนาจ ทหารนักรบเฟลมฟอร์สทุกคนที่เขาสร้างขึ้นจะสลายหายตามไป แต่ทำไมพวกเซ็ทซาร์ดกลับมีชีวิตอยู่และหนีไปซ่อนตัว พวกนั้นอยู่กันครบจวบจนทุกวันนี้”
“จอมพิชิตไม่ได้ใช้เพียงพลังของตนในการสร้างพวกเซ็ทซาร์ดขึ้นมา เขายังแบ่งเศษเสี้ยวชีวิตของตน และใช้สิ่งพิเศษอื่นมาผสมผสานด้วย” เซซิลชี้แจง “เชื่อว่าน่าจะเป็นอะไรสักอย่างของพวกเอลิล เพราะพวกเซ็ทซาร์ดมีความเป็นเอลิลอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่ดับสูญไปพร้อมกับผู้สร้าง ข้ารู้ว่าพวกนั้นสร้างรอยแผลและความแค้นให้แก่ท่าน เป็นความทรงจำอันเจ็บปวดข้าเข้าใจดี” เขาวางมือบนไหล่ลูกศิษย์ตน ยิ้มและพยักหน้าให้ “แต่ความทรงจำอันเจ็บปวด เราก็สามารถใส่ใจมันให้น้อยๆ ได้และหันไปใส่ใจกับอนาคตอันน่าชื่นชมที่รอเราอยู่ เราเผชิญกับความอาภัพมาแล้วท่านจอมมาร ถึงเวลาที่เราจะพบกับสิ่งใหม่ๆ เอาชีวิตของตนคืนมาบ้าง”
โซลิแทร์มองมือที่สวมถุงมือของตน จำได้ว่าเคยถามไพรม์เดวอทเชอร์ว่าตนได้อำนาจพิเศษก้อนเมฆนั่นมาได้ยังไง ไพรม์เดวอทเชอร์ก็ยืนกรานที่จะให้เขามีวุฒิภาวะพอที่จะรับเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน บัดนี้เมื่อเขารับรู้เรื่องราวทั้งหมด รับรู้ว่าได้มาจากการถูกพวกเซ็ทซาร์ดไล่ล่า นับว่าไพรม์เดวอทเชอร์คิดถูกทีเดียว เพราะหากเขารับรู้ก่อนที่จะรู้จักจัดการความคิดของตนให้ดีพอ มันอาจชักนำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ขนาดตอนนี้เขายังแค้นเคืองพวกนั้นอย่างเข้มข้น อยากไปไล่ล่ากำจัดให้หมดเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาจไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก พวกเซ็ทซาร์ดเป็นกลุ่มสุดยอดฝีมือที่อันตรายที่สุดในดาวดวงนี้
แสงสีทองจางๆ เริ่มส่องผ่านหน้าต่างบานอื่นๆ ที่ไม่ใช่หน้าต่างแห่งความทรงจำ รุ่งอรุณมาถึงแล้ว
“ถามอะไรหน่อยสิ” บางอย่างในความทรงจำของโซลิแทร์ยังตกค้างอยู่ “ตัวประหลาดเตี้ยๆ หน้าเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีเขี้ยวเหมือนหมูป่า มันคือตัวอะไรกัน”
“ตัวเตี้ย ๆ หน้าเหมือนสุนัขจิ้งจอก” เซซิลอดขำไม่ได้ “ท่านไม่ได้หมายถึงสโนว์ฟ็อกส์ใช่ไหม”
“เปล่า ๆ เขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น” โซลิแทร์รีบอธิบาย ขำตาม “อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีขนเยอะ หรือมีนิสัยชอบขโมยของขนาดนั้น”
“ฟังดูคล้าย ๆ ไมโนลล์เลย” เซซิลนึกได้ “ข้ารู้จักอยู่ตนหนึ่ง ตัวแสบ น่ารำคาญ ชอบแอบเข้ามาขโมยของในฐานทัพตอนที่เรากำลังวุ่นวาย และข้าก็จับไม่ได้เสียที ไอ้ตัวประหลาดพวกนี้มันโลภมากและชอบของหายาก รู้สึกว่าเจ้าตัวนี้จะติดใจไข่เดไทรเด็นท์พิเศษของไพรม์เดวอทเชอร์มาก พยายามแอบเข้ามาขโมยแต่ไข่สีดำใบนั้นทุกที แต่นั่นก็นานมาแล้ว ป่านนี้เจ้าไมโนลล์ตนนั้นคงตายไปแล้ว”
“ตายไปแล้วแน่นอน” โซลิแทร์นึกย้อนไปถึงน้ำแข็งแผ่นใหญ่ที่ตกลงไปทับเจ้าตัวประหลาดจอมขโมยไข่ แล้วไข่ใบนั้นก็แตกเป็นลูกสัตว์ประหลาดสามหัวสีดำตัวเล็ก ๆ
ประตูห้องถูกเคาะสามครั้งแล้วเปิดออกอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปหล่อสวมชุดเกราะสีดำเต็มตัวก้าวเข้ามาในห้อง เขามีหน้าแหลมเสี้ยมคล้ายสุนัขจิ้งจอก มีผมสีโลหะเงินยาวปรกหลัง นัยน์ตาสีเขียว ตัวไม่สูงนักเมื่อเทียบกับมาตรฐานปีศาจเพศชายทั่วไป แต่ก็มีความล่ำสันสมส่วน โซลิแทร์และเซซิลหันไปทักทาย
“สุขสันต์วันเกิดกัปตันมาซูล” โซลิแทร์ยิ้มกว้าง “วันนี้เป็นวันที่ท่านมีอายุครบสี่สิบแปดปีแล้วใช่ไหม”
เขาไม่ใช่มาซูลจอมขี้ขลาดอีกต่อไปแล้ว เขาคือกัปตันมาซูล หนึ่งในผู้นำเผ่าพันธุ์ปีศาจ นายทัพผู้เก่งกาจ กล้าหาญ มากความสามารถ แววตาของเขาไม่ได้อมทุกข์ขาดความมั่นใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความกระตือรือร้น ความเชื่อมั่นในพลังของตน และความพอใจในชีวิตของตน ต่างไปเป็นคนละคนทีเดียว
“ไอ้เรื่องนั้นช่างหัวมันเถอะท่านจอมมาร” กัปตันมาซูลไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นแสงไฟจากช่องประตู จึงเดาได้ว่าพวกท่านมาอยู่ที่นี่กัน ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนกันนะ ข้าจะมารายงานว่ามีพวกเดไทรเด็นท์--”
“ท่านรู้ไหมสโนว์ฟ็อกซ์” โซลิแทร์พูดแทรก “เจ้าเดไทรเด็นท์พันธ์ผสมตัวที่อยู่ในไข่สีดำ มันเป็นของไพรม์เดวอทเชอร์มาก่อน แล้ว--”
“ช่างหัวเดไทรเด็นท์ตัวนั้นด้วยจอมมาร” กัปตันมาซูลส่ายหน้า “ข้าหมายถึงเดไทรเด็นท์ตัวอื่นๆ ต่างหาก ตอนนี้พวกมันมาเกาะมาห้อยหัวอยู่ตามหอคอยและป้อม พวกเราที่กำลังสร้างกำแพงอยู่ใกล้ๆ เป็นอันต้องเหลียวหน้าเหลียวหลังตลอด”
“พวกมันมากันกี่ตัว” โซลิแทร์ถาม
“หกตัว” กัปตันมาซูลตอบ “มาทำไมก็ไม่รู้ ไม่มีใครกล้าไปไล่ด้วย หรือแม้กระทั่งเข้าไปใกล้”
“พวกมันมาตามคำสั่งของข้าเอง” โซลิแทร์ตอบสบายๆ “เช้าวันนี้ข้าจะส่งพวกมันไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับพวกมนุษย์”
“ท่านแน่ใจจริงๆ นะว่าควบคุมเจ้าเดไทรเด็นท์เหล่านั้นได้” กัปตันมาซูลไม่ศรัทธานัก
“สาบานด้วยชีวิตแม่ข้าเลย” โซลิแทร์ให้ความมั่นใจ
“ท่านไม่เคยเชื่อเรื่องสาบาน ส่วนแม่ท่านก็ตายไปนานแล้ว ต่อให้เธอยังมีชีวิตอยู่ท่านก็คงไม่สนใจว่าเธอจะต้องตายจริงๆ หรือไม่หรอก”
“พวกเดไทรเด็นท์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา เป็นสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ปีศาจ” โซลิแทร์ชี้แจง “ใช่--พวกมันอาจไร้ความรู้สึกไร้ชีวิตจิตใจเพราะถูกพวกไซคัสสาป แต่ยังไงก็ยังคงเป็นปีศาจเหมือนพวกเรา ซึ่งพวกมันนี่ล่ะ ที่เป็นจะกำลังสำคัญให้กับกองทัพของเรา”
“ข้อนี้ข้ายอมรับ สัตว์ร้ายที่อันตรายขนาดนั้นย่อมเป็นกำลังสำคัญให้กับใครก็ตามที่พวกมันเข้าร่วมด้วย” กัปตันมาซูลพยักหน้า “แต่ปัญหาคือ พวกมันเข้าร่วมกับเราจริงๆ หรือ พวกมันยอมให้ท่านขี่ได้คนเดียว ใครก็ตามที่ไม่ใช่ท่านไปขี่พวกมัน อาจถูกเหวี่ยงลงและเผาจนเกรียม”
“ก็อย่าไปขี่พวกมันสิ” โซลิแทร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “มีพาหนะอีกมากมายให้ขี่เยอะแยะ”
“พวกท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าระยะหลังนี้พวกมนุษย์เริ่มสงสัยในความกระด้างกระเดื่องของเรา” กัปตันมาซูลว่าต่อ “ก่อนหน้านี้พวกมันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาในอาณาจักรของเรา เพราะมีแต่อันตราย ความไม่สะดวกสบาย และได้รับผลตอบแทนน้อย สงครามกับพวกโฮเซ่อีกฝั่งหนึ่งก็ทำให้พวกมันวุ่นวายจนไม่มีเวลามายุ่งกับเรา”
“นั่นคือข้อดี” เซซิลดีดนิ้ว “การที่พวกมนุษย์ไม่ได้มาสอดส่องอาณาจักรของเราอย่างละเอียด ทำให้เราสามารถซ่อมแซมพัฒนาอาณาจักรและหาทางต่อต้านพวกมันอยู่เงียบๆ ได้”
“อย่างไรก็ตาม ความแข็งกร้าวของเราที่มากขึ้นทุกวันและบรรณาการที่ส่งไปน้อยลงทุกครั้ง ทำให้พวกมันเริ่มสงสัยมากขึ้น” กัปตันมาซูลรายงาน “จนพวกมันส่งคนเข้ามาสอดแนมใกล้กว่าทุกครั้ง ครั้งนี้มากันห้าคน ข้าจับได้ทั้งหมดเมื่อก่อนสว่างและรีดข้อมูลสำคัญจนหมดแล้ว จะให้ทำอะไรกับพวกมันต่อ”
“ท่านได้สัญญาว่าจะไว้ชีวิตพวกมันไหม” โซลิแทร์ถาม
“ไม่”
“งั้นก็ไม่ต้อง” โซลิแทร์สั่งการเรียบๆ
“เราคือกำแพง” กัปตันมาซูลยกแขนสองข้างไขว้กันที่กลางอกเป็นกากบาท แสดงความเคารพระหว่างปีศาจด้วยกัน แล้วจึงออกจากห้อง ปิดประตูตามหลัง
“ข้าจะไปสั่งการพวกเดไทรเด็นท์ทั้งหกตัว” โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน “และจะไปดูที่โรงเพาะพันธุ์ของพวกมันตัวอื่นๆ เสียหน่อย”
“ข้าจะไปร่วมสร้างกำแพงเมือง” เซซิลพูด “เป็นกำแพงที่สร้างยากและใช้เวลายาวนานเอาเรื่องทีเดียว”
“แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วมันจะแข็งแกร่งที่สุด” โซลิแทร์กล่างอย่าฮึกเหิม “เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด (Frost Ironclad) แห่งนี้เป็นหน้าด่านของอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล และจะเป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้”
“แน่นอน” เซซิลพยักหน้า “อีกไม่นานจะมีภาษิตเกิดขึ้นใหม่ว่า แข็งแกร่งราวกับฟรอสท์ไอรอนแคลด”
โซลิแทร์คว้าหน้ากากโลหะสีดำสนิทที่วางอยู่ข้างตัว ยากที่จะดูออกว่าเป็นหน้ากากรูปอะไร แต่มันน่ากลัว มีลายปีกปีศาจ เขี้ยวปีศาจ และกรงเล็บปีศาจผสมกัน หากสวมก็คงปิดมิดชิดได้หน้า มีเพียงสองช่องที่ดวงตาสำหรับให้มองผ่านเท่านั้น
“ได้เวลาทำงานแล้ว” เขามองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “พวกมนุษย์จะต้องเสียใจที่ทำให้พวกเราทนทุกข์ทรมานมานาน”
“พวกมนุษย์ยื่นเท้าล้ำเส้นมาเหยียบหัวเรานานแล้ว” เซซิลพูด ท่าทางป่าเถื่อน “คราวนี้เราจะกระชากเท้าพวกมันเหวี่ยงกลับออกไปนอกเส้นบ้าง”
ทั้งสองยกแขนทำสัญลักษณ์กากบาทให้กันแล้วออกจากห้อง แยกกันไปคนละทาง พร้อมจะสานต่อความฝันด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นในจิตใจ อะไรที่ลงไปต่ำที่สุดแล้วมันก็จะเริ่มกลับมาขึ้นสูง ปีศาจเคยตกต่ำที่สุดไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาจะตะกายขึ้นสูงบ้าง อำนาจมืดกำลังจะเริ่มต้น
************
แว่วเสียงระฆังกันวานมากับสายลมอ่อนๆ ยามเช้าตรู่ ช่างเป็นเช้าที่สวยงามและสดชื่น นกฝูงใหญ่บินออกจากรังไปหากิน สายลมพัดกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบาเกิดเสียงเสนาะหู เหล่าดอกไม้และพืชพรรณเริ่มแย้มกลีบต้อนรับแสงจากดาวฤกษ์อิลิมิน่าอย่างชื่นบาน บรรยากาศเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในทุกๆ เช้าของเมืองหลวงโมราโซมอส เมืองหลวงแห่งอาณาจักรมวลมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปราสาทหลังใหญ่ บ้านคน และอาคารที่สวยงาม ท่ามกลางเหล่าผู้คนที่ตกเป็นทาสของเงินตราวัตถุ ทุกๆ เช้าผู้คนเหล่านี้จะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานหรือทำหน้าที่ของตน มีชีวิตแบบเดิมๆ คิดอยู่ในหัวเรื่องเดียวว่าหาเงิน หาเงิน และหาเงิน เพราะในสังคมมนุษย์นั้นความมั่งคั่งคือพระเจ้า ความสำเร็จของคนวัดกันที่วัตถุครอบครอง อำนาจและเงินทองคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนควรขวนขวาย ใครมีทั้งสองสิ่งจะได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา ความอิจฉาคือสิ่งที่มนุษย์อยากให้ผู้อื่นรู้สึกกับตน แต่ไม่อยากให้ตนรู้สึกกับผู้อื่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บรรดาชาวเมืองทั้งหลายจะรู้สึกอิจฉาพระราชาอย่างมาก เพราะมีมากที่สุดทั้งเงินทองและอำนาจ ชีวิตมีแต่ความหรูหรา ไม่ต้องมาทำงานหลังขดหลังแข็งและกังวลเรื่องหนี้สิน
แต่บรรดาชาวเมืองไม่รู้หรอกว่าพระราชาก็ไม่ได้สุขสบายตลอดเวลา แม้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการเป็นพระราชานั้นสามารถแก้ปัญหาชีวิตและแสวงหาความสบายจากการเอาเปรียบคนทั้งอาณาจักรได้ แต่บางปัญหาก็ไม่สามารถแก้ไขอย่างนั้นได้ เช้าวันนี้พระราชาแห่งโมราโซมอสกำลังนั่งใคร่ครวญกับปัญหาที่เริ่มทับถมมาเรื่อยๆ ในปราสาทหลังงามโอ่อ่า ณ เมืองหลวงที่มีชื่อว่าโมราโซมอส ชื่อเดียวกับชื่อของอาณาจักร พระองค์ผู้ชราภาพนั่งบนบัลลังก์อย่างหงุดหงิด มงกุฎทองประดับเพชรวางอยู่บนศีรษะที่มีผมสีขาว สีตาสีฟ้าขุ่นๆ จ้องมองไปข้างหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่เหล่าขุนนางนักปกครองทั้งหลายรายงานถึงความเป็นไปต่างๆ ในสงคราม ท่ามกลางกลุ่มคนอีกจำนวนมากในท้องพระโรงอันแสนกว้างใหญ่และหรูหรา
“กองทัพเรือของพวกโฮเซ่ล่าถอยออกจากน่านน้ำแล้วพะยะค่ะ หลังจากถูกกองทัพเรือของเรากระหน่ำโจมตี” เจ้าเมืองร่างใหญ่ไว้หนวดเคราหนารายงาน “การปะทะครั้งนี้กองเรือของเราบางส่วนอาจเสียหายบ้าง แต่สุดท้ายเราก็เป็นฝ่ายทำลายได้มากกว่า และตีทัพเรือของพวกมันแตกยับ”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดี คราวนี้เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเทอร์ริน เฮนิเคมผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคคงได้ตระหนักถึงแสนยานุภาพอันไร้เทียมทานของทัพเรือเราเสียบ้าง เผ่าพันธุ์เรามีทัพเรือที่มีแสนยานุภาพสูงสุด” พระราชาพูดอย่างพอใจ เสียงสั่นๆ อย่างคนชราแต่ยังคงความมีอำนาจไว้ “พวกมันคงต้องซ่อมแซมทัพเรืออีกสักพักกว่าจะพร้อมส่งเข้าสมรภูมิน่านน้ำอีก เป็นโอกาสอันดีที่เราจะนำทัพบุกเข้าตีถึงชายฝั่งแบร์ร็อค”
“เพียงแต่ศึกครั้งนี้ พวกโฮเซ่ยังสร้างปัญหาให้เราทิ้งท้ายพะยะค่ะ” เจ้าเมืองหัวล้านร่างผอมแต่พุงโลรายงานเสริม “เราคงต้องจัดการกับปัญหานี้ ก่อนคิดเรื่องการโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อค”
“ปัญหาอะไร” ความพอใจของพระราชาเริ่มหายไป
“พวกโฮเซ่ใช้กลยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนพะยะค่ะ ผู้นำสูงสุดหนุ่มของพวกนั้นฉลาดมาก แม้ว่าทัพเรือโฮเซ่จะแพ้ แต่ก็ยังสร้างความวุ่นวายให้แก่เราเป็นการไว้ลาย” เจ้าเมืองหัวล้านตอบกลัวๆ “เมื่อเร็วๆ นี้กบฏกลุ่มสุดท้ายในอาณาจักรแบร์ร็อคถูกจับกุม และแทนที่จะเฮนิเคมจะสำเร็จโทษพวกนั้น เขากลับปล่อยให้พวกกบฏล่องเรือออกจากแบร์ร็อคอย่างสงบ โดยมีข้อแม้ให้มาขึ้นฝั่งในอาณาจักรของเรา ที่ชายฝั่งเมืองซาโมโรว์ ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เมืองซาโมโรว์ เมืองหน้าด่านสำคัญ ศูนย์กลางกองทัพเรือของเรา กำลังถูกพวกกบฏโฮเซ่กลุ่มสุดท้ายสร้างความวุ่นวาย ได้ยินว่าพวกโจรป่าโจรภูเขาก็เข้าร่วมกับพวกมันด้วย และตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็กำลังสร้างความไม่สงบให้แก่เมืองอยู่”
“แล้วปล่อยให้กบฏของพวกโฮเซ่ขึ้นฝั่งมาได้ยังไง” พระราชาคำรามด้วยความโกรธ
“เรื่องนี้คงต้องถามเจ้าเมืองซาโมโรว์ บิลิส ริฟเฟอร์พะยะค่ะ” ชายหัวล้านยิ้มเยาะ “น่าเสียดายที่วันนี้เขาไม่ได้มาร่วมประชุมกับเรา”
“ทูลฝ่าบาท เจ้าเมืองริฟเฟอร์ต้องจัดการธุระเกี่ยวกับเรือบรรทุกดินปืน ตามที่ได้รับมอบหมายจากระองค์พะยะค่ะ” ชายร่างสูง อายุค่อนข้างมาก ผมหงอกยาว ตาสีฟ้าอ่อน สวมเสื้อคลุมสีแดงทองปักลายดาว มือถือคทาสีขาวทำด้วยงาช้างรีบรายงาน “และในฐานะเพื่อนของเขา ข้าขออธิบายว่า เหตุที่พวกกบฏโฮเซ่สามารถลอบเข้าไปตั้งค่ายในซาโมโรว์ได้ ก็เพราะกองเรือในสังกัดของเจ้าเมืองแรพพิคนั้นพ่ายแพ้ย่อยยับ เปิดช่องให้เรือของพวกกบฏนั้นผ่านไปได้”
“ท่านปกป้องเพื่อนของท่านด้วยการโยนความผิดให้ข้าอย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองหัวล้านต่อว่า “ท่านเจ้าเมืองแร็กส์ริง ท่านเป็นถึงเจ้าเมืองโอมิลรอนอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นถึงพ่อมดที่ปรึกษาของพระราชา แต่ท่านกลับปัดความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นอย่างนี้หรือ”
“ข้าทราบตำแหน่งสถานะของตนดี ท่านเจ้าเมืองแรพพิค ท่านไม่จำเป็นต้องย้ำให้ข้าฟัง และข้าก็ไม่ใช่พวกปัดความรับผิดชอบด้วย” เจ้าเมืองแร็กซ์ริงพยายามระงับอารมณ์ “ที่ข้าพูดไป ต้องการจะสื่อให้ทราบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเหตุสุดวิสัย แม้แต่กองเรือของท่านยังถูกตีแตก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกกบฏโฮเซ่จะลอบเข้ามาตั้งค่ายในซาโมโรว์และสร้างความวุ่นวายได้”
“แต่ก็น่าประหลาดใจว่าเหตุใดกองเรือของเจ้าเมืองแรพพิคถึงแพ้กองเรือของฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนน้อยกว่ามาก” ชายที่สวมแว่นตาข้างเดียวท่าทางภูมิฐานเอ่ยขึ้น “ได้ยินจากหน่วยซ่อมบำรุงว่า เรือแต่ละลำของท่านถูกสร้างด้วยวัสดุราคาถูกที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งที่ท่านก็ได้งบประมาณไปไม่น้อย”
“ท่านกำลังจะกล่าวหาเพื่อนของข้าว่าโกงกินงบประมาณอย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองที่หัวยุ่งเหมือนรังนกทำท่าขู่ “เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงมากนะ ท่านแพทย์หลวงโกลด์แมน สำหรับคนที่ทำเรื่องของบประมาณไปใช้ในโครงการของตนเสมอ”
“โครงการของข้ามันเกี่ยวข้องกับการแพทย์ ต้องใช้งบประมาณและปัจจัยสูงอยู่แล้ว” แพทย์หลวงโกลด์แมนเถียง “แล้วทุนซ่อมบำรุงเรือนจำที่ท่านชอบขอบ่อยๆ ล่ะ เจ้าเมืองไดมอนด์เคจ ดูเหมือนว่ามันจะเสียหายบ่อยมาก ทั้งที่มันก็แข็งแกร่งเสียจนไม่มีนักโทษคนใดเคยหนีได้สักครั้ง”
“พอได้แล้ว”
พระราชาตะคอกอย่างอดรนทนไม่ไหว เจ้าเมืองทุกคนรีบหุบปากก้มหน้า รู้กิตติศัพท์ความโมโหร้ายของพระองค์ดี
“เมื่อวานนี้ ข้าไปดูเด็กผู้ชายเล่นกีฬากัน เล่นไปเล่นมาก็กระทบกระทั่งกัน จนกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทกัน ชกต่อยกันในสนามกีฬาโดยไม่มีความสำเหนียกอายเลย ข้าเริ่มเป็นห่วงอนาคตของเผ่าพันธุ์ เด็กพวกนี้ช่างโง่เง่า น่าอ่อนใจ ดีแต่ใช้อารมณ์” พระองค์งึมงำเป็นคนแก่ “แต่วันนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่เฉพาะอนาคตของเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่น่าเป็นห่วง ผู้ใหญ่เราทั้งหลายที่เอาแต่ด่าว่าเด็กๆ พวกนั้นกลับทำตัวไม่ต่างกันเลย”
ทุกคนก้มหน้า ไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นพอจะพูดสิ่งที่คิดในใจว่า เรื่องดีแต่ใช้อารมณ์นั้นพระราชานั่นแหละที่เป็นมากกว่าใคร หลายคนตั้งฉายาพระองค์ลับหลังว่ากรัมปี้ (Grumpy)
“พวกกบฏโฮเซ่สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองซาโมโรว์ หน้าด่านสำคัญของอาณาจักรเรา ข้าก็จะให้อโลบัสลูกชายของข้านำกองทหารไปปราบพวกมัน จบเรื่องไหม” พระองค์ยื่นคำขาด “อย่างน้อยอาณาจักรนี้ก็ยังมีคนมีฝีมือที่ไม่คิดเฉพาะเรื่องประโยชน์ส่วนตัวหลงเหลืออยู่”
“พะยะค่ะ” เจ้าเมืองทุกคนโค้งศีรษะพร้อมกัน
“ส่วนเรื่องทัพเรือของพวกโฮเซ่ ตอนนี้พวกมันถอนกำลังออกจากน่านน้ำหลายส่วนทีเดียว จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะนำกำลังไปคุมพื้นที่เหล่านั้น” พระราชาว่าต่อ “แม้ช่วงนี้จะมีปัญหาบ้าบอไร้สาระเข้ามารุมเร้าบ้าง แต่อาณาจักรของเราก็มีกองทัพเรือที่ดีที่สุด และเราก็คุมน่านน้ำได้มากกว่าอีกฝ่าย ตอนนี้ยิ่งคุมได้มากกว่าเดิม อีกไม่นานเราจะชนะสงคราม”
“พะยะค่ะ” ทุกคนพูดตอบอีกครั้ง
“ศีรษะเจ้าไปโดนอะไรมา เจ้าเมืองเนพเพอร์” พระราชาเห็นตอนอีกฝ่ายโค้งศีรษะ
เจ้าเมืองร่างอ้วนกลม สวมเครื่องประดับแพงๆ ท่าทางเจ้าสำราญ แต่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์พร้อมด้วยมีรอยแผลที่ศีรษะนั้นทำความเคารพอีกครั้งแล้วจึงอธิบาย
“ทูลฝ่าบาท กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หม่อมฉันกำลังจะกราบทูลเรื่องนี้อยู่พอดีพะยะค่ะ” เขาพูดเสียงประจบประแจง แต่ก็มีความขมขื่นต่อสิ่งที่จะเล่า “เมื่อคืนนี้หม่อมฉันทำการตรวจรับบรรณาการจากพวกปีศาจตามหน้าที่ ประหลาดใจมากที่พวกมันส่งมาแค่หีบเดียว พวกมันส่งมาล่าช้ามากแล้วยังส่งมาแค่หีบเดียว หม่อมฉันจึงสั่งทหารให้เปิดหีบดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง ซึ่งหม่อมฉันเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงๆ พะยะค่ะ ที่ไปสั่งให้เปิดมัน”
“อะไรอยู่ในหีบ” พระราชายื่นหน้าลงมาจากบัลลังก์
“แร่ไวไฟพะยะค่ะ ที่จะทำปฏิกิริยาเมื่อสัมผัสอากาศ” เจ้าเมืองเนพเพอร์ตอบ “ทันทีที่หีบถูกเปิด มันก็ระเบิดออกมาพร้อมกับส่งลูกธนูปลิวว่อนไปทุกทิศทุกทาง เจ้าหน้าที่ตรวจบรรณาการพร้อมด้วยทหารอีกหลายนายไม่รอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้”
ใบหน้าของพระราชาซีดลงด้วยความเดือดดาล จนแทบเป็นสีขาว เช่นเดียวกับมือสองข้างที่กำขอบบัลลังก์ไว้แน่น
“นี่คือการท้าทาย การประกาศตัวเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง” พระองค์ลุกขึ้นยืน ตะโกนก้อง เสียงสะท้อนไปทั่วทั้งท้องพระโรง “พวกปีศาจโอหัง พวกมันบังอาจมาลองดีกับข้า”
“ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันส่งสายสืบห้าคนไปตรวจสอบอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” พ่อมดแร็กซ์ริงรายงาน “จนป่านนี้ ยังไม่ได้ส่งข่าวอะไรกลับมาเลยพะยะค่ะ”
“ในขณะที่เรากำลังทำสงครามกับพวกโฮเซ่ พวกปีศาจก็แข็งข้อ พวกปีศาจชั้นต่ำไม่เจียมตัว” พระราชากัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธ “ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่ จะกำราบพวกมัน ให้พวกมันเข็ดหลายไปอีกสักร้อยปี”
“ฝ่าบาทจะส่งกองทัพไปโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลหรือพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงเริ่มกังวลใจ
“ใช่แล้วแอนโทนิดัส คราวนี้เราจะฆ่าพวกมันให้มากกว่าที่เคยทำ” พระราชากลับไปนั่งบัลลังก์อีกครั้ง “ถ้าข้าจำไม่ผิด บ่ายวันนี้จะมีเรือบรรทุกดินปืนแปดลำจากเมืองของเราเข้าเทียบท่าที่ซาโมโรว์ ข้าจะใช้ดินปืนพวกนั้นถล่มพวกปีศาจ”
“จะทรงใช้ดินปืนมากขนาดนั้นเลยหรือพะยะค่ะ” แพทย์หลวงโกลด์แมนผู้สวมแว่นตาข้างเดียวดูตกใจ “เราไม่เคยใช้ดินปืนโจมตีพวกปีศาจมากขนาดนี้มาก่อน”
“การที่พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำและอ่อนแอ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ใช้อาวุธหนักกับพวกมัน ข้าไม่ประมาทปีศาจ และจะไม่มีวัน ไม่มีวันปราณีปีศาจ” พระราชาคำรามก้อง “ข้าจะส่งกองทัพที่มีกำลังสำคัญเป็นปืนใหญ่ พวกปีศาจจะต้องรู้ซึ้งถึงอาวุธอันหนักหน่วงที่เรามี แต่พวกมันไม่มี”
“ฝ่าบาทกำลังจะทำสิ่งที่ผิดพลาดนะพะยะค่ะ”
ท้องพระโรงอันโอ่โถงใหญ่โตเป็นอันเงียบกริบในบัดดล ต่อให้มียุงสักตัวก็คงได้ยินเสียงมันบินชัด บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายมองซ้ายมองขวาเลิกลัก ใครมันกล้าหาญชาญชัยพูดออกมา
“ในอดีต มนุษย์ได้ทำสิ่งที่หยาบช้าเกินอภัยแก่เผ่าพันธุ์ที่น่าสงสารนี้” เสียงนั้นดังขึ้นอีก “หากมนุษย์ไม่หยุดยั้งการกระทำอันเหี้ยมโหด ไม่รู้จักคำว่าพอ สักวันหนึ่งมนุษย์จะถูกทิ้งให้เผชิญกับเคราะห์กรรมตามลำพังโดยไม่มีใครเหลียวแล”
บรรยากาศตึงเครียดอย่างถึงที่สุดจากประโยคที่ชวนให้กระสุนปืนใหญ่ลงยิ่งนัก พระราชาโกรธจนเคราแทบลุกเป็นไฟ กวาดตามองหาคนพูด
“ใครเป็นคนพูด” เสียงพระองค์ขู่อยู่ในลำคอ
ทุกคนในท้องพระโรงต่างสะดุ้งกันสุดตัวเมื่อผู้พูดก้าวออกมาจากด้านหลังเสาสลักลายต้นใหญ่ เขามาจากไหนแล้วเข้ามาในท้องพระโรงได้อย่างไรไม่มีใครรู้ รู้แต่เขาไม่ใช่มนุษย์ ใบหน้ามองเห็นแต่กะโหลกสีขาวโพลนเพราะเนื้อหนังโปร่งใสราวกับแก้ว เบ้าตาถูกบดบังด้วยกลุ่มควันสีดำตลอดเวลาซึ่งแม้จะถูกแดดส่องก็ยังคงมืดอยู่อย่างนั้น เขาสวมเสื้อคลุมสีกรมท่าอมเทา สวมหมวกทรงสูงสีกรมท่าที่มีปีกหมวกเป็นใบไม้
“ผี” พระราชาตาเบิกกว้าง “เอลิล”
“คุ้มกันพระราชา” เจ้าเมืองบางคนตะโกน
เหล่าราชองค์รักษ์กรูกันเข้ามาในท้องพระโรงตรงเข้าอารักขาพระราชา อีกส่วนหนึ่งรอฟังคำสั่งว่าจะเข้าจับกุมผู้บุกรุกหรือไม่
“ข้าไม่ได้มาร้าย” เอลิลคนนั้นยื่นมือที่เป็นกระดูกหุ้มด้วยเนื้อหนังโปร่งใสห้าม “ตรงกันข้าม ข้ามีเจตนาดีและต้องการเตือนสติเพื่อหยุดยั้งพวกท่านไม่ให้ทำสิ่งที่จะทำไปสู่หายนะมากกว่านี้”
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร” พระราชายังไม่หายตกใจ
“ผู้ที่รู้จักหม่อมฉันจะเรียกว่า ผู้มองไกล” ผีโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท “เนื่องจากมีความสามารถอย่างยิ่งในเรื่องการคำนวณ อัจฉริยะเรื่องตัวเลข วิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถคาดเดาสิ่งที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า โดยคำนวณจากทฤษฎีความน่าจะเป็นตามหลักคณิตศาสตร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่หม่อมฉันคำนวณนั้นจะเกิดขึ้นเสมอไป เพราะทฤษฎีนี้ตั้งอยู่ในพื้นฐานของความไม่แน่นอน”
“ฝ่าบาท ข้าพอจะรู้ประวัติเขามาบ้าง” แร็กซ์ริงพ่อมดที่ปรึกษารีบเข้าไปกระซิบ “เขาไม่ใช่เอลิลธรรมดาทั่วไป เคยเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้ระดับสูงของเผ่าพันธุ์ เขียนบันทึกประวัติศาสตร์และจดหมายเหตุไว้หลายฉบับ บางทีเราควรลองฟังว่าเขาต้องการจะพูดอะไร”
“ฝ่าบาท การทำสงครามกับพวกปีศาจคือสิ่งที่ผิดพลาด” ผู้มองไกลไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตการพูด “พระองค์หันคมดาบไปผิดด้าน ขณะที่ศัตรูที่แท้จริงสามารถฉวยโอกาสนี้กระทำการใหญ่ได้”
“พวกปีศาจนี่แหละศัตรูที่แท้จริงของข้า” พระราชาคำรามกึกก้อง “พวกมันท้าทายข้า แสดงอาการแข็งข้ออย่างเปิดเผย ข้าจะต้องบดขยี้พวกมันให้หลาบจำ ไม่อย่างนั้นใครจะเคารพยำเกรงข้า ไม่เห็นหรือไงว่าเจ้าเมืองของข้าถูกทำร้ายบาดเจ็บ” พระองค์ชี้ไปที่เจ้าเมืองเนพเพอร์ร่างอ้วน “บอกเจ้าผีกระดูกนี่สิ ว่าเจ้าถูกรัศมีของไอ้หีบระเบิดนั่นยังไง เจ้าเมืองเนพเพอร์”
“ความจริงแล้วหม่อมฉันโชคดีพะยะค่ะที่ไม่ได้ยืนอยู่ใกล้รัศมีของมัน จึงไม่ได้รับอันตรายโดยตรง” เจ้าเมืองเนพเพอร์กล่าว “แผลที่ศีรษะนี้ เกิดจากหม่อมฉันตกใจมากจนสะดุดล้มศีรษะฟาดพื้นพะยะค่ะ”
แม้จะเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่บรรดาขุนนางที่ไม่ลงรอยกับเจ้าเมืองเนพเพอร์ต่างพากันยิ้มเยาะ แร็กซ์ริงและโกลด์แมนก็รวมอยู่ด้วย
“บางที หากพระพระองค์คำนึงถึงภาพลักษณ์ให้น้อยลง มีอคติน้อยลง พระองค์อาจมีศัตรูน้อยลงด้วยพะยะค่ะ” ผู้มองไกลเตือนด้วยความหวังดี
“กล้าดียังไงมาสั่งสอนข้า เจ้ามันก็แค่พ่อมดผีจอมบุกรุก” พระราชาชี้หน้าอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอยืนยันว่าหม่อมฉันไม่ใช่พ่อมด หม่อมฉันเป็นนักคำนวณและผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์--”
“เจ้าจะเป็นเจ้าหญิงนางเงือกข้าก็ไม่สนใจ” ใบหน้าซีดๆ ของพระราชาเริ่มแดงด้วยโทสะ “เจ้าอาจเคยเป็นคนสำคัญในเผ่าพันธุ์ แต่ ณ วันนี้เผ่าพันธุ์ของเจ้าถูกกวาดล้างไปแล้ว ส่วนเจ้าก็กลายเป็นแค่เศษเผ่าพันธุ์ที่กระเด็นหลุดออกมาจากการแตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นแค่หนึ่งในผีเร่ร่อนไร้เผ่าพันธุ์ไปวันๆ ข้าไม่ต้องกังวลว่าการสั่งประหารเจ้าจะกระทบเรื่องการทูต ฉะนั้นจงไตร่ตรองให้หนักๆ ก่อนจะพูดอะไรออกมา”
“กรัมปี้โมโหแล้ว” เจ้าเมืองบางคนแอบซุบซิบกัน
“หม่อมฉันเร่ร่อนไร้เผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ก่อนเผ่าพันธุ์เอลิลจะล่มสลายเสียอีก ถูกผู้สร้างน้ำแข็งขับไล่ออกจากเผ่าพันธุ์นานแล้ว” ผู้มองไกลแก้ไข “แต่แม้จะไม่ใช่สมาชิกเผ่าพันธุ์เอลิลอีกต่อไปหม่อมฉันก็มีความละอายใจ ความละอายใจเป็นหนึ่งในไม่กี่ความรู้สึกที่เอลิลมี หม่อมฉันพลาดทำสิ่งที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวง หม่อมฉันจึงต้องแก้ไขความผิดที่ได้ทำกับเผ่าพันธุ์ของตนและเผ่าพันธุ์อื่นๆ เผ่าพันธุ์ของหม่อมฉันกำลังถูกใช้เป็นหุ่นเชิด และสงครามต่างๆ ที่พระองค์สร้างขึ้น กำลังจะทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการถูกเชิดไม่ได้”
“ออกไปพร่ำเพ้อนอกวังไป” พระราชาเริ่มหมดความอดทน “ข้าไม่สนว่าเผ่าพันธุ์ของเจ้าจะถูกกวาดล้าง จะคงอยู่ หรือจะกลายเป็นพวกเสียสติอย่างเจ้ากันทุกคน มันไม่เกี่ยวกับข้า ข้ามีธุระสงครามต้องจัดการ ถ้าสติของเจ้ายังสมประกอบบ้างก็คงจะพอรู้ว่าตอนนี้ข้ามีศัตรูถึงสองแล้ว และข้าก็จะกำจัดมันทั้งสองฝ่าย”
“ทั้งที่หม่อมฉันเตือนพระองค์แล้วว่าการสร้างสงครามของพระองค์จะส่งผลร้ายแรงต่อทุกเผ่าพันธุ์ในอนาคต รวมทั้งเผ่าพันธุ์ของหม่อมฉัน และของพระองค์” ผู้มองไกลพยายามชี้แจง “โปรดไตร่ตรองสักนิดเถิดพะยะค่ะ ตราบใดที่สงครามยังไม่เกินเลยไปจนถึงสามเผ่าพันธุ์ ผู้ที่ชักใยเผ่าพันธุ์ของหม่อมฉันอยู่ก็ยังไม่กล้าทำการใหญ่ และเผ่าพันธุ์ของหม่อมฉันก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเชิดได้”
“แล้วเจ้ายังกล้าพูดอะไรไร้สาระแบบนี้หรือ ทั้งที่ข้าบอกไปแล้วว่า ข้าไม่สนใจคำพูดของเอลิลเสียสติอย่างเจ้า” พระราชาแทบจะอยากลงไปตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย “ใครจะไปเชิดเผ่าพันธุ์ของเจ้าก็ปล่อยไป ถูกกวาดล้างเป็นแค่เศษซากเผ่าพันธุ์อย่างนั้นจะทำอะไรใครได้ นอกจากส่งคนที่พูดจาเข้าใจยากอย่างเจ้ามาพูดจาให้ข้าอารมณ์เสีย ข้าไม่ได้มีเวลาว่างตลอดกาลเหมือนเจ้า ข้ามีธุระต้องจัดการ ไม่ใช่แค่เรื่องพวกปีศาจ ยังเรื่องกบฏโฮเซ่ในเมืองซาโมโรว์ที่ลูกชายข้าต้องไปจัดการอีก”
“หากพระองค์จะเรียกเจ้าชายอโลบัสว่าลูกชาย” ผู้มองไกลเสียงเบาลงอย่างระมัดระวัง “ก็ควรมีบางอย่างที่พระองค์น่าจะรู้ไว้ ความจริงลึกๆ แล้วหม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์ก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน จึงอยากให้พระองค์ไตร่ตรองสิ่งที่ทรารุค สเคมโนสเคยกราบทูล--”
“หุบปาก”
พระราชาโกรธจนหน้าเป็นสีแดงเข้ม ไม่ยอมให้ผู้มองไกลพูดจนจบ หากมีดาบคงคว้าไปตัดคอฝ่ายตรงข้ามแล้ว เหล่าเจ้าเมืองที่กำลังซุบซิบกันอยู่ต่างเงียบกริบ มองไปยังพระราชาที่เหมือนภูเขาไฟจวนเจียนจะระเบิด
“โปรดฟังหม่อมฉันก่อนฝ่าบาท” ผู้มองไกลพยายามขอร้อง “พระองค์สร้างสงครามกับพวกโฮเซ่ แค่นี้ก็เกิดความเสี่ยงมากแล้ว หากพระองค์ขยายพื้นที่สงคราม เปิดศึกกับพวกปีศาจอีกเผ่าพันธุ์ ทำให้สามเผ่าพันธุ์ในดาวดวงนี้อยู่ในภาวะสงคราม สิ่งที่หม่อมฉันกังวลอยู่นี้จะต้องเกิดขึ้นแน่ และถ้ามันเกิดขึ้น มันจะหนักหนาสาหัส”
“สิ่งที่เจ้าพูด กำลังจะทำให้เจ้ามีสภาพที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า” พระราชาคำราม
“อย่างน้อย พระองค์ก็ควรทราบว่าการยกทัพไปปราบพวกปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ” ผู้มองไกลไม่ยอมแพ้ “พวกนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พระองค์เห็น และอาจทำให้พระองค์ดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ได้”
“พวกมันก็แค่เศษผ้าสีดำอวดดีที่ต้องถูกสั่งสอนด้วยโทสะของมนุษย์ สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ คือการทนฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า” พระราชาตะโกนคอแทบแตก “ข้าเหลือทนกับเจ้าแล้ว องครักษ์ จับกุมเขา”
พวกองครักษ์พากันยกหอกเดินเข้าหาผู้มองไกล แต่ก็ต้องหยุดชะงักยืนอึ้งตาค้างเมื่อร่างของผู้มองไกลกลายสภาพเป็นกลุ่มใบไม้สีกรมท่าแล้วปลิวออกไปทางหน้าต่างสูงลิ่วทั้งที่ไม่มีลมสักนิด นี่คือเหตุผลว่าเขาเข้ามาในท้องพระโรงได้อย่างไรและไปอยู่ข้างหลังเสาโดยก่อนหน้านั้นไม่มีใครเห็นได้อย่างไร
“นี่มันตัวบ้าอะไรกัน” พระราชาพึมพำ ยังไม่หายประหลาดใจ
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอยู่นานทีเดียว กว่าพระองค์จะเป็นคนเริ่มพูดกับพวกองครักษ์ว่า “จากนี้ไป จับตามองรอบๆ พระราชวังให้ดี ห้ามให้อะไรแปลกๆ ที่ล่องลอยผิดธรรมชาติเข้ามาใกล้ราชวังของข้าอีก”
“ฝ่าบาทประสงค์จะทำอย่างไรต่อไปพะยะค่ะ” แร็กซ์ริง พ่อมดที่ปรึกษาถามอย่างระมัดระวัง
“ทำอย่างที่คุยกันไว้” พระราชาสั่งการ “ร่างคำสั่งของข้า ให้อโลบัสนำกองกำลังไปสมทบเจ้าเมืองบิลิส ริฟเฟอร์ปราบกบฏโฮเซ่ และให้ผู้บัญชาการเท็มเปิลนำกองกำลังไปปราบพวกปีศาจทันทีที่ทุกอย่างพร้อม หลังจากที่พวกปีศาจถูกปราบ ข้าจะให้พวกมันส่งบรรณาการเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจะเกณฑ์พวกมันมาใช้แรงงานหนักเป็นการสั่งสอน”
*************
เรือสำเภาใหญ่แปดลำจอดเทียบท่าเรือซาโมโรว์ในตอนบ่ายแก่ๆ ทหารมนุษย์จำนวนมากเรียงแถวกันขนของลงจากเรือ ดินปืน กระสุนปืนใหญ่ กระบอกปืนใหญ่ และปืนยาวเริ่มถูกขนถ่ายลงจากเรือ เพื่อให้เพียงพอกับพื้นที่จอดเรือและความสะดวกในการลำเลียงนั้นเรือทั้งแปดลำจึงจอดเรียงใกล้กันอย่างเป็นระเบียบที่สุด
“ขนลงมาให้หมด แล้วค่อยรวบรวมไปเก็บที่คลังอาวุธ” ชายร่างใหญ่วัยกลางคนสั่งพวกทหาร เขามีผมสีน้ำตาลยาวปรกไหล่ ไว้หนวดเครา สวมเกราะและเสื้อคลุมสีแดงทอง “คำสั่งเพิ่งส่งผ่านมา พระราชาต้องการใช้มันสำหรับโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล”
ชายหนุ่มร่างสูงรูปงามวัยราวสิบแปดปีก้าวลงจากเรือลำใหญ่ที่สุดอย่างสง่างาม เป็นมนุษย์ที่มีผิวขาวซีดกว่าพวกปีศาจเสียอีก มองไม่เห็นสีชมพูเลย ผมของเขายาวตรงจรดแผ่นหลัง เรียบสนิทราวกับไหม สีบลอนด์อ่อนจนเกือบจะเป็นสีขาว ดวงตาสีเทาช่างดูเย็นชาไร้อารมณ์ รูปหน้าคมได้สัดส่วนพอดิบพอดีราวกับถูกตกแต่งมา ช่างเป็นหนุ่มที่หล่อเหลาแบบไม่มีชีวิตชีวานัก ไม่ต่างจากคนในรูปวาดที่แม้จะงดงามแต่ก็ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ ชุดเกราะสีแดงทองและผ้าคลุมสีเดียวกันที่เขาสวมอยู่นั้นไม่เข้ากับบุคลิกแข็งๆ เย็นๆ ของเขาสักนิด แต่เขาต้องใส่เพราะเป็นเครื่องแบบประจำตำแหน่ง
“เจ้าชายอโลบัส” ชายร่างใหญ่ร้องทัก ยื่นมือที่มีรอยเหมือนผ่าตัดไปสัมผัสกับมือที่ปกคลุมด้วยถุงมือเงินของเด็กหนุ่ม “ยินดีต้อนรับสู่ซาโมโรว์ หน้าด่านแห่งอาณาจักรโมราโซมอส”
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง” เจ้าชายพูดเสียงเรียบ เป็นเสียงที่นุ่ม เย็น และไร้ความรู้สึกชอบกล แต่ก็มีพลังแฝงอยู่ “ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์”
เขายื่นแผ่นกระดาษประทับตราให้อ่าน บิลิส ริฟเฟอร์ลูบเคราขณะอ่านไปเรื่อยๆ
“พระราชาส่งข้ามากำจัดกบฏโฮเซ่ที่ลักลอบเข้ามาตั้งค่ายในเมืองนี้” เจ้าชายอโลบัสรายงาน “หวังว่าข้าจะสามารถช่วยเหลือได้ตามที่ท่านต้องการ”
“ยินดีทีเดียว กบฏพวกนี้ถูกกำจัดเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ริฟเฟอร์พูด “ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคหนุ่มคนนี้ร้ายกว่าที่ข้าคิด แม้จะพ่ายแพ้การปะทะกลางทะเล แต่ก็ทิ้งบาดแผลไว้เจ็บแสบนัก กบฏของพวกมันในเมืองของพวกเรา ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งสร้างความอับอาย โดยเฉพาะต่อข้าผู้เป็นเจ้าเมือง”
“กบฏพวกนี้ได้รับการสนับสนุนจากแบร์ร็อคหรือเปล่า” อโลบัสถาม
“ไม่มีทาง พวกกบฏถูกขับไล่ออกจากแบร์ร็อค ย่อมเกลียดชังพวกโฮเซ่ในแบร์ร็อค” ริฟเฟอร์มั่นใจ “แต่ปัญหาก็คือชนกลุ่มน้อยพวกนี้เกลียดชังเรามากกว่า เราไม่มีทางใช้เล่ห์เหลี่ยมหันพวกมันกลับไปเล่นงานแบร์ร็อคได้ ถ้าพวกมันจะเล่นงานใคร พวกมันย่อมเล่นงานเราก่อน”
“ไม่ว่าจะเป็นโฮเซ่ประเภทไหน สิ่งที่เหมือนกันก็คือ เกลียดมนุษย์” อโลบัสพูดเรียบๆ “ก็สมควรอยู่ หากย้อนกลับไปมองการกระทำต่างๆ ที่มนุษย์เคยทำ”
“ท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งนะ” ริฟเฟอร์เตือนความจำยิ้มๆ
“ทำไมข้าถึงไม่ค่อยจะรู้สึกอย่างนั้นเลย” อโลบัสกระซิบ
“ท่านว่าอะไรนะ”
“หากไม่ถูกหนุนหลังโดยแบร์ร็อค กบฏโฮเซ่พวกนี้ก็คงปราบไม่ยาก เพราะเพิ่งเข้ามาตั้งค่าย ยังไม่แผ่ขยายอำนาจและสร้างความวุ่นวายมากนัก” อโลบัสพูดต่อราวกับไม่ได้พูดประโยคก่อนหน้านี้ออกไป “พวกนั้นเป็นชนกลุ่มน้อย มีอาวุธเครื่องมือไม่สมบูรณ์เหมือนทหารมืออาชีพ ส่วนใหญ่ได้มาจากการปล้นการขโมย อย่างน้อยก็ไม่สร้างปัญหาเท่าพวกโฮเซ่ที่สวมเกราะถือธงสงครามแห่งแบร์ร็อค”
“ถูกของท่าน พวกนี้เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยเร่ร่อน ไม่ใช่ทหารในสังกัดเผ่าพันธุ์” ริฟเฟอร์เห็นด้วย “แต่อย่าได้ประเมินพวกมันต่ำทีเดียว พวกมันสร้างความวุ่นวายมากกว่าที่คิด ยิ่งโจรป่าโจรภูเขาเข้าร่วมด้วยยิ่งทำให้พวกมันอันตรายมากขึ้น”
“ข้าไม่เคยประเมินศัตรูต่ำ ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์” อโลบัสพูดเรียบๆ “ข้าไม่เคยดูถูกศัตรู ดังเช่นที่มนุษย์ชอบทำ ข้าเชื่อว่าบางสิ่ง อาจอันตรายกว่าที่เห็น”
“ข้าไม่เคยกังขาในความสามารถของท่าน ท่านประสบความสำเร็จมากกว่าทุกคนที่ข้าเคยเห็นมาในอายุเพียงเท่านี้” ริฟเฟอร์กล่าวชม “ไม่ว่าจะรบกี่ครั้งท่านก็ไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง ครั้งล่าสุดท่านก็ตีทัพเรือของพวกโฮเซ่แตกยับ น่าแปลกใจที่บรรดาเจ้าเมืองผู้ไม่ค่อยมีบทบาททั้งหลายนั้นต่างไปเสนอหน้ารับความดีความชอบจากพระราชา ทั้งที่คนที่ควรถูกชมมากที่สุดควรเป็นท่าน”
“รางวัลและคำสรรเสริญจากพระราชา ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้” อโลบัสพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ชัยชนะของพวกท่าน เกิดจากข้าทำตามที่พระราชาสั่ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“เท่าที่จำความได้ ข้าไม่เคยได้ยินท่านเรียกเขาว่าพ่อเลย” เจ้าเมืองริฟเฟอร์สงสัย
“ข้าเรียกเขาอย่างที่เขาเป็น” อโลบัสพูดเรียบๆ “อย่างที่ข้าคิดว่าเขาเป็น”
“อภัยให้ข้าด้วยหากละลาบละล้วง คนแก่ก็อย่างนี้” ริฟเฟอร์โค้งศีรษะ “แต่ท่านก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับเขา แล้วก็ไม่ได้เกลียดชังเขาด้วย ทำไมถึงดูห่างเหินกันพิกล”
“ข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเขา ไม่ได้เกลียดชังเขา ข้าไม่เคยเกลียดชังใครด้วยซ้ำ” อโลบัสพูดด้วยเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกดังเดิม “ข้าก็แค่ปฏิบัติกับเขา อย่างที่ข้าคิดว่าควรจะปฏิบัติ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ริฟเฟอร์รู้สึกว่าเจ้าชายคนนี้มีอะไรแปลกๆ ไร้อารมณ์ความรู้สึกยังไงพิกล แต่เขาก็รู้จักอโลบัสมานานจนชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว
“ท่านคิดว่าหลังจากปล่อยพวกกบฏมาขึ้นฝั่งเมืองนี้แล้ว พวกโฮเซ่จะส่งคนมาสอดแนมความเคลื่อนไหวไหม” อโลบัสถาม
“พวกนั้นทำแน่ถ้าทำได้ ใครจะไปรู้ ตอนนี้เราก็อาจกำลังถูกจับตามองอยู่ เมืองนี้เป็นพื้นที่เปิด” ริฟเฟอร์บอก “แต่ก็ไม่ได้ทำโดยง่ายหรอก อย่างมากก็ทำได้แค่ส่องกล้องมองจากที่ไกลๆ ซึ่งก็ไม่ได้รายละเอียดที่เป็นประโยชน์อะไรนัก”
ริฟเฟอร์พูดถูกเรื่องที่พวกเขากำลังถูกจับตามองอยู่ แต่ผิดตรงที่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รายละเอียดไปมากนัก เพราะผู้ที่จับตามองเขาอยู่นั้นนอกจากจะเห็นพวกเขาชัดแล้ว ยังถึงขั้นได้ยินเสียงพูดคุยชัดเจนอีกด้วย เขาคนนี้เป็นโฮเซ่ร่างใหญ่ล่ำสัน กล้ามเป็นมัด ผมสีน้ำตาลคล้ายรากไทรแต่สะอาดปรกหลัง เผ่าพันธุ์โฮเซ่ไม่มีลูกตา ดวงตาของเขาจึงเหมือนกับโฮเซ่ทุกคนคือเป็นสีน้ำตาลว่างเปล่าเหมือนแก่นไม้ เขาที่หูม้วนขดเป็นวงอย่างสวยงาม ชุดที่เขาสวมนั้นคล้ายเป็นชุดพรางกาย มีสีชุดและผ้าโพกหัวที่ดูเหมือนสีของก้อนหินริมทะเล ไม่มีใครรู้ว่าเขาสอดแนมพวกมนุษย์อยู่ เพราะเขายืนป้องตามองจากเนินผาเตี้ยๆ ริมทะเลไกลออกไปจากท่าเรือซาโมโรว์มากทีเดียว ที่สำคัญคือมองโดยไม่ได้ใช้กล้อง แต่ใช้ตาเปล่า
“ได้เรื่องอะไรไหม เทอร์ริน” เสียงทุ้มๆ ห้าวๆ ถามจากข้างๆ
“ข้ากำลังใช้พลังแปลกปลอมสอดแนมพวกมนุษย์อยู่” เทอร์รินกระซิบตอบ ยังไม่ละสายตาจากสิ่งที่กำลังมอง “อยู่เฉยๆ กอร์ริน ข้าต้องการสมาธิ”
โฮเซ่ที่ชื่อกอร์รินเดินวนเวียนอยู่ข้างๆ เทอร์รินอย่างกระสับกระส่าย แต่งกายด้วยชุดพรางกายเช่นกัน เขามีบางส่วนที่คล้ายเทอร์ริน ทั้งผมสีน้ำตาลยาว โครงหน้า เขาที่หู รวมทั้งรูปร่างที่บึกบึน แค่ล่ำสันน้อยกว่าเพราะยังโตไม่เท่า เขาอ่อนวัยกว่าเทอร์รินและมีความอดทนน้อยกว่าตามประสาเด็กหนุ่ม
“อภัยให้ด้วยที่ถาม แต่ท่านยืนมองอย่างนั้นมาตั้งนานแล้วนะ” กอร์รินท้วง
“ข้ายินดีบอกต่อให้เจ้าฟัง หลังจากเสร็จสิ้นการสอดแนมแล้ว” เทอร์รินยิ้มมุมปาก “ระหว่างนี้หากสงสัย ให้ส่องกล้องดูไปก่อน”
กอร์รินมองกล้องส่องทางไกลในมืออย่างไม่สู้ศรัทธา
“ข้าจะเห็นอะไรได้นอกจากเรือคลังแสงแปดลำ” เขาพูดเสียงขุ่น “ก็ข้าไม่ได้รับพลังแปลกปลอมจากซากนกเหยี่ยวแบบท่านนี่ ท่านสามารถปรับสายตาให้มองเห็นได้ไกลมาก รวมทั้งได้ยินเสียงของสิ่งที่เห็นด้วย”
“แต่การจะทำแบบนี้ได้นั้นข้าต้องใช้สมาธิ” เทอร์รินว่า “เลิกเดินไปเดินมาได้แล้วกอร์ริน เจ้ากำลังทำให้ข้าวอกแวก”
กอร์รินยอมหยุดเดิน เปลี่ยนเป็นกอดอก จ้องมองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนป้องตาอยู่ริมขอบผา ด้านหลังทั้งคู่มีทหารโฮเซ่สี่ห้าคนยืนอยู่ แต่ละคนสวมชุดพรางกายเช่นเดียวกัน กอร์รินเฝ้ารออย่างอดทน จนกระทั่งเทอร์รินสอดแนมจนเสร็จและหันมาหา เมื่อเห็นท่าทางของกอร์รินก็อดยิ้มไม่ได้
“เจ้าดูร้อนรนนะน้องชาย” เทอร์รินพูด “ข้ารู้ว่าเจ้ายังค้างคาใจที่กองเรือของเราพ่ายแพ้พวกมนุษย์ แต่อย่าได้เอามาถ่วงความรู้สึกนัก สงครามย่อมมีแพ้มีชนะ เราจะไม่มีวันเป็นนักรบที่เก่งกาจได้ถ้าแพ้ไม่เป็น อย่างน้อยเจ้าไม่ได้แพ้แค่คนเดียว ข้าเองก็แพ้ด้วย ต้องยอมรับว่าพวกมนุษย์มีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งมาก”
“เจ้าชายมนุษย์นั่นเก่งมาก ทำเอากองเรือของข้าถูกตีแตกยับเยิน” กอร์รินพึมพำ “โชคร้ายเป็นบ้าที่กองเรือของข้าคือหน่วยที่ปะทะกับกองเรือของเขา”
“เขาไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ที่เราเคยสู้ เขาแตกต่าง แล้วก็ ใช้คำว่าอะไรดี ประหลาด” เทอร์รินตั้งข้อสังเกต “ความเยือกเย็นของเขาทำให้เราจับทางไม่ถูก มนุษย์คนอื่นๆ ไม่เป็นแบบนี้”
“ข้าแค่อยากมีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง” กอร์รินพึมพำ
“ความกระตือรือร้นของเจ้าน่ายกย่อง แต่จงทำทุกอย่างให้มันค่อยเป็นค่อยไป เจ้ายังหนุ่มอยู่ อายุแค่สามสิบสอง ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักหน่อย” เทอร์รินตบบ่าน้องชาย
“ท่านก็คิดว่าข้าเป็นเด็กอยู่เรื่อย” กอร์รินส่ายหน้า “ตั้งแต่พ่อของเราตาย ท่านก็ทำตัวเหมือนเป็นพ่อของข้าเสียเอง อย่าลืมว่าท่านแก่กว่าข้าแค่สิบสองปีเท่านั้นนะ”
“ข้าจำเป็นต้องรีบโต มีหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ มันเป็นภาระที่ใหญ่มาก” เทอร์รินยืดแขนสูดหายใจ
“ก็ใช่ ท่านเป็นถึงผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” กอร์รินพยายามส่องกล้องไปยังท่าเรือมนุษย์ ไม่ได้เห็นอะไรเท่าที่ควร “แล้วตกลงท่านสอดแนมพวกมนุษย์ได้ความว่ายังไงหรือ”
“อย่างน้อยกลยุทธ์ของข้าก็ซื้อเวลาให้เราได้บ้าง” เทอร์รินว่า “พวกกบฏเข้าไปหลบซ่อนตั้งค่ายอยู่ในเมืองซาโมโรว์ เมื่อรวมตัวกับพวกโจรภูเขาคงสร้างความวุ่นวายให้กับเมืองไม่น้อย พวกมนุษย์ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินทัพเรือเข้าจู่โจมชายฝั่งของเราได้”
“คงซื้อเวลาได้ไม่นาน แต่อย่างน้อยเราก็พอมีเวลาซ่อมแซมกองเรือที่เสียหายจากศึกที่ผ่านมาบ้าง” กอร์รินประเมิน “หวังว่าจะทันการนะ”
“ถ้าพวกมนุษย์ไม่บุกมาเร็วจนเกินไป เราน่าจะพอมีหวัง” เทอร์รินพยักหน้า
“เรือคลังแสงทั้งแปดลำนั่น” กอร์รินเพ่งสายตาผ่านกล้อง “ลำเลียงอาวุธหนักมาเตรียมไว้ใช้รบกับพวกเราหรือ ปืนใหญ่ทั้งนั้น ดินปืนอีกนับไม่ถ้วน”
“เปล่า” เทอร์รินส่ายหน้า “เตรียมไว้สำหรับใช้กำราบพวกปีศาจที่กำลังแข็งข้อ”
“กำราบ” กอร์รินทวนคำ “ดูไม่เหมือนกำราบ มันคือการทำลายล้างชัดๆ เรือแปดลำนี้ไม่ได้ลำเล็กๆ นะ มันคงบรรทุกดินปืนและปืนใหญ่มาเพียงพอถล่มเมืองได้เลย ดูสิ พวกทหารมนุษย์คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะลำเลียงของลงจากเรือหมด”
“พวกมนุษย์ไม่เคยลังเลที่จะสร้างความเสียหายแก่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” เทอร์รินอธิบาย “พวกมนุษย์ไม่ชอบให้ใครแข็งกร้าวใส่ พวกมันชอบให้คนอื่นก้มหัวให้เหยียบ ดังนั้นจึงต้องเพิ่มระดับความรุนแรงให้พวกปีศาจหลาบจำ ให้พวกปีศาจไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย”
“มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่โหดเหี้ยมไร้ยางอายที่สุดในดาวดวงนี้” กอร์รินพูดอย่างเกลียดชัง “ข้าเห็นใจพวกปีศาจ อีกไม่นานคงต้องรับมือกับปืนใหญ่ไม่รู้กี่กระบอก นี่ยังไม่รวม--”
เขาพูดค้างไว้อย่างนั้นเพราะเทอร์รินยกมือให้ทุกคนเงียบ ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคเงี่ยหูฟัง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอะไรสักอย่าง
“ทุกคน” เขาพูดเสียงเบามาก “หาที่กำบังเร็ว”
พลังแปลกปลอมทำให้เทอร์รินหูตาไวเป็นพิเศษ โฮเซ่ทุกคนต่างรีบไปหลบซ่อนอยู่ตามซอกหินบนยอดผา ชุดที่สวมใส่นั้นกลืนไปกับมันได้ดีทีเดียว เทอร์รินและกอร์รินหลบอยู่ใต้ซอกหินใหญ่ก้อนเดียวกัน อีกซอกที่อยู่ใกล้ๆ มีทหารโฮเซ่อีกคนเข้ามาหลบด้วย
“เกิดอะไรขึ้นครับ โฮซอร์เฮนิเคม” ทหารคนนั้นถามเทอร์ริน
โฮซอร์ที่เขาเรียกนั้น สำหรับพวกโฮเซ่หมายถึง แม่ทัพ หรือ หัวหน้า หรือ ผู้นำ
“อะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้” เทอร์รินแหงนหน้ามองท้องฟ้า “กำลังบินมาด้วย”
ทันทีที่พูดจบ สัตว์ประหลาดสีเทาดำจำนวนหกตัวก็กระพือปีกขนาดใหญ่โฉบบินผ่านเนินเขาลูกนี้ไปอย่างรวดเร็ว พวกมันมีขนาดเท่ามังกรตัวย่อมๆ มีหัวคล้ายค้างคาวผสมมังกร คอยาว มีสามหัว แต่ละหัวมีเขาคู่ยาวที่มีปลายงอนโค้งอยู่บนหน้าผาก เป็นลักษณะเขาของปีศาจ ดวงตาทั้งสามคู่ของพวกมันว่างเปล่าเหมือนกระจกมีแสงสีเขียวเจิดจ้าส่องออกมา เขี้ยวสีดำคมกริบเรียงอยู่ในปากอย่างเป็นระเบียบ เช่นเดียวกับหนามสีดำที่หาง ซึ่งที่ปลายหางนั้นมีลักษณะเหมือนหัวลูกศรคมกริบขนาดใหญ่ เป็นลักษณะหางของปีศาจ
สัตว์ประหลาดทั้งหกตัวกระพือปีกสีดำขนาดใหญ่แต่ละคู่อย่างเงียบเชียบ หนามสีดำที่เรียงกันรอบขอบปีกเงาวับเป็นประกาย แต่ละตัวกางกรงเล็บสีดำคมกริบทั้งสี่ออก ทุกส่วนที่มีความคมของสัตว์ประหลาดชนิดนี้ล้วนเป็นโลหะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนาม เขี้ยว เขา กรงเล็บ ปลายหางลูกศร พวกมันจับกลุ่มโผบินมุ่งตรงไปยังท่าเรือเมืองซาโมโรว์ด้วยความเร็วสูง ไม่ส่งเสียงคำราม ไม่ส่งเสียงใดๆ ท่าทางนิ่งๆ ไร้ชีวิตจิตใจชอบกล
“ตะบองเพชรพินาศ! ถ้านรกมีจริง ใครสักคนก็คงขุดเอาสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ออกมาจากที่นั่น” กอร์รินคลานออกจากที่ซ่อน “ตัวอะไรน่ะ”
“เดไทรเด็นท์” เทอร์รินตอบ “ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เห็น ใครหนอหนุนหลังสัตว์นรกสามหัวพวกนี้ให้บินออกจากถิ่นของพวกมันได้”
“มังกรชนิดหนึ่งหรือ” กอร์รินถามต่อ
“พวกมันอาจดูคล้ายมังกรบ้างแต่ไม่ใช่ จริงๆ แล้วพวกมันเป็นสัตว์สายพันธุ์ค้างคาว สายพันธุ์ปีศาจ” เทอร์รินมองตาม “ชื่อเดไทรเด็นท์ (Detrident) มาจากคำว่าปีศาจ (Devil) ควบรวมกับคำว่าตรีศูล (Trident) ตามลักษณะสามหัวของมัน”
เดไทรเด็นท์ทั้งหกบินไปถึงท่าเรือซาโมโรว์ แล้วเริ่มโฉบใส่เรือบรรทุกดินปืนลำที่ใกล้ที่สุด เปิดฉากการโจมตีอย่างรุนแรง ปากทั้งสิบแปดปากพ่นสะเก็ดดาวตกขนาดเล็กที่มีไฟสีเขียวลุกท่วมเข้าใส่เรือลำนั้นพร้อมๆ กัน เสากระโดงและพื้นดาดฟ้าแตกพัง เพลิงสีเขียวลุกลามไปทั่วตัวเรือด้วยความเร็วกว่าไฟธรรมดา พวกทหารมนุษย์ในเรือหลายคนถูกเผาตาย บ้างก็กระโดดลงไปในน้ำเพื่อดับไฟ แต่ก็สิ้นใจตายก่อนไฟดับ ความวุ่นวายเกิดแก่พวกมนุษย์ เสียงสบถเสียงร้องตะโกนดังระงมไปทั่วทั้งท่าเรือ และมีเสียงของบิลิส ริฟเฟอร์ดังแทรกขึ้นมาว่า “ทุกคนใช้ปืนยาวตอบโต้ ยิงทันทีที่พร้อม ไม่ต้องรอคำสั่ง”
แต่พวกทหารมนุษย์ไม่ได้เตรียมการรับมือกับการจู่โจมสายฟ้าแลบและหนักหน่วงเช่นนี้ กว่าพวกเขาจะคว้าปืนยาว กว่าจะเทดินปืนใส่ปากกระบอกปืน กว่าจะอัดกระสุนเข้าไป ก็ถูกพวกเดไทรเด็นท์พ่นดาวตกปลิดชีวิตก่อนจะทันได้ใช้ปืน ทหารอีกหลายคนพยายามจะดับไฟในเรือให้ได้ แต่ไฟชนิดนี้ไม่ได้ดับง่ายเหมือนไฟธรรมดา อีกทั้งตอนนี้ไฟนรกได้เผาไหม้จนเรือทั้งลำแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว คงสายเกินกว่าที่จะหาทางดับได้
ทหารมนุษย์จำนวนมากวิ่งมาพร้อมกับปืนยาวคนละกระบอก เริ่มเหนี่ยวไกยิงใส่พวกเดไทรเด็นท์ที่บินโฉบไปมาอยู่บนฟ้า เจ้าสัตว์ร้ายสามหัวทั้งหกตัวกระจายกัน บินหลบวิถีกระสุนที่พวกมนุษย์ยิงใส่อย่างรู้ทัน แล้วพวกมันก็บินหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียเฉยๆ
“พวกมันไปไหนแล้ว มองเห็นเป้าหมายไหม” ริฟเฟอร์ตะโกนก้อง
“ท่านควรใส่ใจเรื่องอื่น” อโลบัสคว้าแขนริฟเฟอร์แล้วพาวิ่งสุดกำลัง เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้ ยังคงเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย “เช่นเรื่องหนีออกจากริมท่าเรือให้ไกลที่สุด”
เรือบรรทุกดินปืนที่ถูกไฟไหม้นั้นระเบิดอย่างรุนแรง แผ่นไม้ไหม้ไฟสีเขียวและน้ำทะเลพุ่งกระจายไปทั่ว เนื่องจากเรือบรรทุกดินปืนอีกเจ็ดลำนั้นจอดเทียบท่าใกล้กันมาก มันจึงระเบิดต่อเป็นทอดๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกทหารมนุษย์ริมท่าเรือที่หนีไม่ทันก็ตายเรียบในสภาพไหม้เกรียมหรือชิ้นส่วนกระจาย ท่าเรือพังย่อยยับเพราะการระเบิดอย่างรุนแรง
หลายนาทีต่อมา หลังจากฝุ่นละอองและควันไฟเริ่มจางลงแล้ว อโลบัสก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ดึงเจ้าเมืองริฟเฟอร์ขึ้นมาด้วย เสียงร้องโอดโอยดังมาจากพวกทหารบาดเจ็บและเสียงก่นด่าสาปแช่งดังมาจากพวกที่ไม่บาดเจ็บนัก สภาพท่าเรือซาโมโรว์ส่วนนั้นไม่มีเค้าโครงเดิมแล้ว มันเสียหายและกระจัดกระจายไปด้วยเศษซากกับฝุ่นผง
“ท่านปลอดภัยไหม” อโลบัสถามริฟเฟอร์
“ข้าไม่เป็นไร” ริฟเฟอร์ไอสำลักแล้วคำรามอย่างโกรธแค้น “แต่ดูท่าเรือตรงนั้นสิ กลายเป็นซากอะไรก็ไม่รู้ เรือคลังแสงทั้งแปดลำก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว พวกค้างคาวปีศาจสารเลว”
“ดูเหมือนว่าพวกปีศาจจะเดาแผนโจมตีของพระราชาออก จึงส่งสัตว์ร้ายพวกนี้มาสกัดอาวุธหนัก” อโลบัสกล่าว เขาไม่ได้โกรธเคืองเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ตรงกันข้าม คล้ายว่าเขาจะชื่นชมพวกปีศาจเสียด้วยซ้ำ “ดูเหมือนว่าพวกท่านคงต้องเตรียมการกันใหม่เสียแล้ว”
เสียงก่นด่าสาปแช่งพวกปีศาจยังคงดังมาจากหมู่มนุษย์ ทหารมนุษย์บางคนโวยวายด้วยคำหยาบคาย บางคนได้แต่บ่นงึมงำขณะปัดเขม่าดำๆ ออกจากตัว บางคนก็บาดเจ็บเกินกว่าที่จะพูดด่าไหว ปฏิกิริยาเหล่านี้ของพวกมนุษย์ล้วนตรงข้ามกับพวกโฮเซ่ที่เฝ้าดูอยู่บนเนินเขาอย่างสิ้นเชิง เทอร์รินและพวกพ้องของเขากำลังหัวเราะชอบใจในท่าทีของพวกมนุษย์ โดยเฉพาะกอร์รินที่กล่าวชมพวกปีศาจว่าเข้าใจหาสัตว์ที่น่าสนใจมาเลี้ยง
“น่าเสียดายที่โฮเซ่เราไม่สามารถร้องไห้ได้” เขาสำลักเล็กน้อยเพราะหัวเราะมากไป “ข้าอยากหัวเราะจนร้องไห้ดูสักครั้ง”
“การโจมตีครั้งนี้เป็นการเตือนจากพวกปีศาจ ไม่ให้พวกมนุษย์เข้าไปยุ่งอีก” เทอร์รินบอก “ดูเหมือนว่าปีศาจที่ถูกขังกรงมานานจะใช้ความก้าวร้าวแหกกรงออกมาเสียแล้ว”
“ต่อให้เตือนรุนแรงกว่านี้ พวกมนุษย์ก็ไม่มีวันเลิกยุ่งแน่” กอร์รินมั่นใจ “ยิ่งตอนที่พวกมันกำลังเสียหน้าแบบนี้ พวกมันไม่ชอบให้ใครมาแข็งข้ออย่างเปิดเผย ไม่ชอบให้ใครมาต่อต้านอำนาจ รับรองได้ว่าคงก่อสงครามกับพวกปีศาจจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง”
“อย่างไรก็ตาม พวกปีศาจคงไม่จู่โจมแบบนี้ถ้าไม่มั่นใจว่าสามารถต่อกรกับกองทัพมนุษย์ได้” เทอร์รินประเมิน “ข้ารู้ว่ามันอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่พวกปีศาจอาจแข็งแกร่งมากขึ้น จนทำพวกมนุษย์ขนลุกขนพองได้”
“หากเป็นเช่นนั้น ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร” กอร์รินพูดช้าๆ “พวกมนุษย์กำลังจะขยายพื้นที่สงครามให้กว้างขึ้น เปิดศึกสองด้าน”
“นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา” เทอร์รินพยักหน้า “พวกมนุษย์คิดว่าตนเก่งพอที่จะทำศึกสองด้าน พวกมันอาจคิดถูก แต่แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการทำสงครามกับเราย่อมลดลง เพราะพวกมันต้องจัดแบ่งกองกำลังและทรัพยากรไปรบกับพวกปีศาจด้วย”
“ช่วยให้เรามีเวลาฟื้นฟูซ่อมแซมทัพเรือที่เสียหายได้บ้าง” กอร์รินบอก
“ถูกแล้ว รวมทั้งเปิดโอกาสให้เรามีเวลาหากองกำลังสนับสนุนเพิ่ม” เทอร์รินเสริม “พวกเดไทรเด็นท์ทำให้ข้าได้แรงบันดาลใจ”
“กองกำลังสนับสนุนเพิ่มอย่างนั้นหรือ” กอร์รินทวนคำ
“รวบรวมพวกแฮนดรัสมาเข้าร่วมกับพวกเรา” เทอร์รินขยายความ
“ได้แต่หวังว่าท่านจะพูดเล่น” กอร์รินกระพริบตาสีน้ำตาลว่างเปล่าปริบๆ
“สิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจและควบคุมยากอย่างพวกเดไทรเด็นท์ พวกปีศาจยังดึงมารวมกับพวกตนได้” เทอร์รินพูด
“แต่พวกเดไทรเด็นท์ไม่ได้ถูกขับไล่เหมือนพวกแฮนดรัสนะ” กอร์รินพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าไม่ใช่คนขับไล่เสียหน่อย เชื่อว่ายังพอเจรจาได้”
“แต่ท่านก็เป็นลูกของคนที่ขับไล่นะ”
“พ่อของเราเกลียดพวกแฮนดรัสข้ารู้ดี” เทอร์รินยอมรับ “เขาไม่เคยชอบพวกแฮนดรัสเลย รวมทั้งถูกแฮนดรัสทรยศอีกต่างหาก”
“แล้วเขาก็ประกาศแก่แฮนดรัสทุกคนอีกว่า แฮนดรัสเป็นโฮเซ่ชั้นต่ำที่ไม่สมควรอาศัยอยู่ในแบร์ร็อคแม้แต่คนเดียว” กอร์รินเสริม “และเขาจะไม่ให้พวกแฮนดรัสได้เหยียบแผ่นดินแบร์ร็อค ตราบที่เขามีชีวิตอยู่”
“ก็ตอนนี้เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้วนี่” เทอร์รินบอก “แฮนดรัสเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์โฮเซ่ เหมือนที่เดไทรเด็นท์เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ กอร์ริน เราควรรวบรวมส่วนที่แตกแยกของเผ่าพันธุ์มาประกอบให้ครบถ้วน”
“เห็นชัดเลยว่าการรวบรวมเป็นความคิดที่ดี” กอร์รินชี้นิ้วข้ามไหล่ไปที่เมืองซาโมโรว์
“โฮเซ่ที่อยู่ในซาโมโรว์นั่นมันพวกกบฏ ที่คิดแต่เรื่องสร้างความเดือดร้อนเพื่อชิงอำนาจคืน” เทอร์รินชี้แจง “พวกแฮนดรัสแตกต่างไป พวกเขามีอารยะธรรม มีความคิดที่มีเหตุผล และลึกๆ แล้วพวกเขาก็ยังห่วงใยแบร์ร็อค”
“ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้ง่ายๆ” กอร์รินแย้ง “ไม่ว่าจะยังไง พวกนั้นต้องมีอคติต่อเราแน่นอน โน้มน้าวใจพวกนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จ แม้แต่แฮนดรัสสักคนเราก็ไม่รู้จัก”
“ข้าพอรู้จักไรมิน บุฟโฮป” เทอร์รินพูด “หัวหน้าแฮนดรัส”
“นั่นท่านเรียกว่ารู้จักหรือ” กอร์รินไม่อยากเชื่อ “ตอนนั้นท่านอายุสิบขวบ กำลังเตาะแตะคุยกับเขา แล้วพ่อก็มาอุ้มท่านเดินหนีไปเฉยๆ”
“มองในแง่ดี อย่างน้อยไรมิน บุฟโฮปก็มีความจำเป็นเลิศ” เทอร์รินถอนหายใจ “เขาคงพอจำข้าได้ เหมือนที่เขาจำได้ว่าพ่อเราเกลียดเขา”
“อีกอย่าง” กอร์รินพูดต่อ “ชาวเมืองของเราจะว่าอย่างไร หากรู้ว่าเราเอาพวกแฮนดรัสกลับมาที่แบร์ร็อค ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเกิดอคติเสียแล้ว ชาวแบร์ร็อคไม่ยอมรับพวกแฮนดรัสแน่”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรพยายาม” เทอร์รินพูด “เจ้าก็รู้ว่าแบร์ร็อคต้องการพวกแฮนดรัส การขับไล่พวกกบฏออกจากอาณาจักรส่งผลให้เผ่าพันธุ์ของเราเกิดช่องว่าง เราต้องหาอะไรมาเติมเต็ม”
“งั้นข้าก็ขออวยพรให้โชคดี” กอร์รินจับบ่าพี่ชาย “การรวบรวมเผ่าพันธุ์ของเราที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียวนั้น หากทำได้ถือว่ายอดเยี่ยม ข้าหวังว่าท่านจะทำได้จริงๆ เพราะถ้าพวกแฮนดรัสไม่เข้าร่วม เราก็ต้องสู้กับพวกมนุษย์โดยไม่มีใครสนับสนุนเช่นเดิม”
“ระหว่างนี้” เทอร์รินว่าต่อ “ข้าอยากให้เจ้าตามดูกองทัพมนุษย์ที่จะเดินทางไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนล ข้าอยากทราบว่าเกิดอะไรที่นั่นบ้าง”
“ยินดีรับคำสั่ง โฮซอร์” กอร์รินโค้งศีรษะ
“ระวังตัวด้วยกอร์ริน” เทอร์รินไม่วายเตือน “ที่อาณาจักรน้ำแข็งนั่นมีแต่สิ่งอันตราย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาด สภาพอากาศ ภูมิประเทศ หรือแม้แต่พวกปีศาจ จากความก้าวร้าวของพวกเดไทรเด็นท์ที่เห็นในวันนี้ ข้ามั่นใจได้ว่าพวกปีศาจไม่ปรานีต่อศัตรูแน่นอน”
“ข้าไม่ใช่ศัตรูของพวกนั้นนะ” กอร์รินเถียง “พวกมนุษย์ต่างหากที่เป็นศัตรู”
“เราไม่อาจทราบได้ว่าพวกปีศาจจะนับเราเป็นศัตรูด้วยหรือไม่ จนกว่าจะถูกพวกนั้นจับมือ หรือแทงด้วยดาบ” เทอร์รินกล่าว “ธรรมชาติของปีศาจคือหวงพื้นที่ และเกลียดผู้ล่วงล้ำ ฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนน้องชาย”
“ตกลง ข้าจะปลอดภัยไว้ก่อน” กอร์รินพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย
“ดี” เทอร์รินว่า “ข้าจะกลับไปที่เรือ แล้วเคลื่อนพลเดินทางไปต่อที่เกาะแฮนดรัส ขอให้เจ้าโชคดีกับการสะกดรอยตาม กอร์ริน”
“ไว้ใจข้าได้ โฮซอร์” กอร์รินยืนยัน
“ที่สำคัญ อย่าเข้าใกล้การต่อสู้ระหว่างพวกมนุษย์และพวกปีศาจ”
“ข้ารู้น่าพี่ชาย ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ” กอร์รินพึมพำอย่างเบื่อหน่าย “โชคดีกับการเดินทาง”
เทอร์รินพยักหน้าเรียกพวกทหารให้เดินตามไป กอร์รินโบกมือลาพี่ชายแล้วยกกล้องส่องดูพวกมนุษย์ พอมองเห็นพวกมนุษย์ขนของมาซ่อมแซมท่าเรือที่เสียหาย ปากคงยังไม่หยุดบ่นว่าพวกปีศาจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ