พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.31K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) บทที่ 29 สาวป่าผจญภัย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 29

สาวป่าผจญภัย

 

            ไมริฟจัดข้าวของเตรียมเดินทางเรียบร้อยแล้ว ฟรอสท์ไอรอนแคลดคือที่ที่เธอจะไป แม้หลายคนจะขอให้เธอเปลี่ยนใจ แต่ไฟกระตือรือร้นของวัยสาวมันไม่ดับลงง่ายๆ  จะมีฟอเรสเทอร์สักกี่คนที่ได้ไปสัมผัสที่นั่น ไมริฟไม่เหมือนฟอเรสเทอร์ทั่วไปที่ชอบยึดติดกับสิ่งเดิมๆ และพอใจกับชีวิตสงบๆ ในพื้นที่ของตน เธอมีความสงสัยใคร่รู้ต่อโลกภายนอกเสมอ กำแพงน้ำแข็งที่สูงตระหง่าน แข็งแกร่งยิ่งกว่าภูผา ไม่มีสิ่งใดพิชิตมันลงได้ เธออยากจะไปดูให้เห็นกับตาสักครั้งในชีวิต ฟอเรสเทอร์จำนวนมากมารอส่งเธอที่ชายป่า บรรดาผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอลคนอื่นๆ ก็อยู่กันครบ แต่ละคนยกย่องความกล้าและความกระตือรือร้นของเธอ เธอจะไปเป็นหูตาที่กว้างไกลขึ้นของพวกเขา จะกลับมาหาพวกเขาพร้อมกับเรื่องเล่า หรือไม่ก็ไม่มีวันได้กลับมาอีก

            “ฟอเรสเทอร์เราใช้ชีวิตตอนกลางคืนและพักผ่อนตอนกลางวัน” ซิวาลินกล่าว “แต่เมื่อเจ้าเข้าใกล้เขตโฟรเซ็นทิเนล ข้าอยากให้เจ้าเดินทางกลางวัน เพราะตอนกลางคืนอากาศมันหนาวเย็นมาก”

            “ข้าจะจำไว้ค่ะ” ไมริฟพยักหน้า

            “เอาเสื้อขนสัตว์ไปแล้วใช่ไหม ที่นั่นหนาวมากนะ” อาร์ทูมิสกำชับ “ถ้าเจ็บป่วยอะไร ยาอยู่ในถุงย่ามนี่นะ มันมีน้ำมันจากผิวแกะไว้ทาตอนผิวแตกด้วย”

            “ขอบคุณค่ะท่านหมอผี ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ”

            “นี่” เซ็นแวนเดอร์ยื่นถุงใบเล็กๆ ให้ข้างในมีใบไม้สีเขียวสดรูปร่างกลมอยู่เต็มถุง

          “ใบเล็ทเทรด” ไมริฟครางอย่างสะอิดสะเอียน“ท่านคงไม่ให้ข้าต้องกินมันหรอกนะคะ รสชาติมันแย่มากๆ เลย”

          “อย่าดื้อสิสาวน้อย โฟรเซ็นทิเนลมันแร้นแค้นมากนะ” เซ็นแวนเดอร์ยัดเยียดถุงใส่มือเธอ“ใบเล็ทเทรดมีสารอาหารครบถ้วน กินเข้าไปใบหนึ่งก็อยู่ได้มื้อหนึ่งแล้ว มันเป็นพืชที่มหัศจรรย์ จริงอยู่รสชาติมันไม่ชวนกินนัก แต่ที่ที่เจ้าจะไปมันไม่มีอะไรให้ล่ากินหรอกนะ มีแต่สิ่งที่จะคอยล่าเจ้ากินมากกว่า”

          “ข้านำอาหารแห้งไปด้วยค่ะ”

          “เมื่อได้สัมผัสอากาศหนาว มันจะแข็งจนเจ้ากัดไม่เข้า แล้วเจ้าก็ไม่มีทางก่อไฟติดในอากาศหนาวเย็นอย่างนั้นแน่” เซ็นแวนเดอร์รู้ดี “ข้าเคยเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ที่ไอซ์เมส”

          “แล้วอย่าเผลอหลับในอากาศหนาวจัดล่ะ” อาร์ทูมิสพูดอย่างเป็นห่วง “มีโอกาสที่เจ้าจะไม่มีวันตื่นอีกเลย”

          “ค่ะ” ไมริฟพยักหน้า

          “นี่” แอเมน่ายื่นกระสอบหนังใบใหญ่ให้ “เกล็ดมังกรดำและน้ำเชื่อมที่สกัดจากเกสรดอกไม้ มอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลเมื่อได้พบเขา แม้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะไม่ใช่พวกวัตถุนิยม แต่พวกเขาก็จะเห็นถึงเจตนาว่าเรามาอย่างสันติ”

          ไมริฟรับกระสอบมาแล้วถอนสายบัว

          “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” แอเมน่าเสนอ

          “ไม่มีทางค่ะ”

          “ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนหรอก” แอเมน่าหัวเราะ “ตามข้ามาสาวน้อย นี่คือพาหนะของเจ้า”

          แอเมน่าพาไมริฟเดินไปหาสัตว์ปีกตัวใหญ่สีน้ำตาล ลักษณะคล้ายมังกรตัวเล็กๆ ผอมๆ  มีเขาคล้ายแพะบนหัว มีปีกหนาๆ แคบๆ  มีหางยาวปลายหางเป็นรูปหัวใจมันไม่มีเกล็ดหรือเกราะเปลือกเหมือนสัตว์ตระกูลมังกร กลับมีขนสีน้ำตาลสั้นๆ ขึ้นอยู่ตามตัวแทน ดูไม่ดุร้ายน่ากลัวเหมือนมังกรเลย ดวงตาของมันมีลูกตาสีดำเหมือนวัวที่ดูใจดีและอ่อนแอ ไม่เป็นเหลี่ยมคมไร้ลูกตามีแสงเจิดจ้าแบบมังกรสัมภาระของไมริฟถูกผูกติดตัวมันเรียบร้อย รวมทั้งกริชหินคู่อาวุธประจำกายของเธอ

          “ไวเวิร์น” ไมริฟยิ้ม หันไปหาแอเมน่า “ท่านให้ข้าขี่มันไปหรือคะ”

          “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกสัตว์ปีกพวกนี้ได้ เรามีที่ใช้งานได้อยู่แค่ไม่กี่ตัว” แอเมน่าลูบหัวไวเวิร์น “แต่สำหรับไมริฟของข้า ข้ามีแค่คนเดียว ข้าหวังว่าสัตว์ปีกตัวนี้จะพาเจ้าเดินทางไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย แล้วก็เดินทางกลับมาได้รวดเร็วปลอดภัยเช่นกัน”

          ไมริฟเข้าไปกอดหัวหน้าเผ่าของเธอ แอเมน่าลูบศีรษะเธอแล้วจูบที่กระหม่อม

          “ไปเถอะนะ แม่หนูน้อย” แอเมน่าจับบ่าเธอให้หันไปหาพาหนะ

          “ไมริฟ ป้าบอกแล้วไงว่าที่โฟรเซ็นทิเนลมันหนาว” อาร์ทูมิสยังไม่เลิกห่วง “สวมแค่ชุดหนังชิ้นเล็กๆ ไปอย่างนั้นมันสวมควรที่ไหน จะใส่ไปยั่วพวกดาร์คเนสดีวิลหรือไง”

          “มันชุดเกราะนี่คะท่านหมอผี มันทำให้ข้าเดินทางสะดวกขึ้น แล้วจะได้พร้อมเวลาเผชิญกับอันตรายกะทันหัน” ไมริฟยิ้มหวานให้ ปีนขึ้นไปบนอานพาหนะ “ไม่ต้องห่วงค่ะ เมื่อถึงโฟรเซ็นทิเนลข้าจะสวมขนสัตว์ทับแน่”

          “จะไปรอดไหมหนอ” อาร์ทูมิสพึมพำอย่างอ่อนใจ

          เจ้าไวเวิร์นสะบัดปีกหนาๆ แคบๆ โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน ลมยามหัวค่ำเย็นสบายชวนให้เพลิดเพลิน ตลอดชีวิตของไมริฟนั้นแทบไม่เคยเดินทางออกจากอาณาจักรกาโกคอลเลยเช่นเดียวกับฟอเรสเทลวิชส่วนใหญ่ และตอนนี้เธอกำลังทำสิ่งทีผิดแผกจากวิสัยของฟอเรสเทอร์ ออกจากบ้านอันอบอุ่นไปผจญภัยยังดินแดนหนาวเย็นอันไม่คุ้นเคยไม่แปลกที่ในใจลึกๆ จะรู้สึกกังวล แต่หากเราไม่ก้าวเท้าออกจากบ้าน เราก็จะไม่มีวันได้รู้ว่านอกบ้านนั้นมีอะไรบ้าง

 

******************

 

            ไมริฟเดินทางออกเขตอาณาจักรกาโกคอลไปสู่พื้นที่ดินแดนร้างที่กั้นทุกอาณาจักรออกจากกัน  แล้วเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เป็นเส้นตรง เธอเดินทางได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วเพราะใช้เส้นทางอากาศ จากกาโกคอลไปโฟรเซ็นทิเนลนั้นไม่ต้องอ้อมอะไร แค่บินไปทางตะวันตกเรื่อยๆ ก็คงจะถึง ไวเวิร์นไม่ใช่สัตว์ที่บินเร็วหรือบินได้ยาวนานนักเมื่อเทียบกับสัตว์ปีกชนิดอื่น แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน(ไม่ริฟไม่แตะต้องใบเล็ทเทรดสักใบ) เมื่อฟ้าสว่างก็นอน มืดก็เดินทางต่อเพลินๆ  ถึงอย่างไรการเดินทางทางอากาศก็รวดเร็วกว่าทางอื่น ระหว่างทางเธอได้เห็นสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากในอาณาจักรของเธอ ได้เห็นพืชพรรณแปลกๆ  ได้เห็นสัตว์ที่ไม่เคยเห็น นับว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีทีเดียว

            แต่การเดินทางเริ่มหมดสนุกลงเมื่อเจ้าไวเวิร์นตัวน้อยบินเข้าไปในพื้นที่ที่เริ่มปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ เธอเข้าใกล้เขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลแล้ว สัญญาณแห่งความไม่เป็นมิตรเริ่มปรากฏ ต้นไม้เริ่มมีน้อยและส่วนใหญ่แทบไม่มีใบ ท้องฟ้าก็เริ่มทึบทึมลงเรื่อยๆ  เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปราย เทือกเขาน้ำแข็งที่เห็นอยู่ไกลๆ เสมือนเป็นป้ายเตือนไม่ให้เข้าใกล้ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากเข้าใกล้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าใด ความไม่เป็นมิตรก็ปรากฏขึ้นมากเท่านั้น

            ไมริฟจำต้องหยุดพัก รู้ดีว่าเข้าไปใกล้กว่านี้อากาศจะหนาวเย็นขึ้นอีก เธอนำขนสัตว์มาสวมคลุมทับชุดเกราะหนัง คิดในใจว่าไม่น่าสวมเกราะที่ไม่ค่อยจะปกปิดร่างกายมาแบบนี้เลย ปกติไม่เคยเดินทางสู่ที่หนาวเย็นมาก่อน ไม่เป็นไร ความเย็นระดับนี้ยังพอทนได้ เธอกางแผนที่ดู ยังไม่เข้าเขตโฟรเซ็นทิเนล เทือกเขาน้ำแข็งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือเทือกเขายาวที่ล้อมโฟรเซ็นทิเนลไว้ทั้งอาณาจักร เสมือนกำแพงธรรมชาติ ความสูงของมันหายขึ้นไปในกลีบเมฆ ความยาวของมันสุดลูกหูลูกตา หากเธอจะเข้าไปในโฟรเซ็นทิเนลได้ เธอจะต้องอ้อมเทือกเขานี้ขึ้นไปทางเหนือ และเลี้ยวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดอยู่สุดด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักร จากนี้ไป เธอจะต้องเข้าไปในเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลขณะที่บินอ้อมเทือกเขาน้ำแข็ง และสุดท้ายจะต้องเข้าไปในเขตเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองที่หนาวเย็นและอันตรายที่สุดในโฟรเซ็นทิเนล

            เธอทำตามคำแนะนำของซิวาลิน รอให้ถึงตอนกลางวันแล้วค่อยเดินทาง กลางคืนมันหนาวมาก แม้เธอจะพยายามบินอ้อมให้ห่างจากเทือกเขาน้ำแข็งให้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปใกล้ไม่ได้เพราะเส้นทางบังคับ หนนี้เธอเดินทางได้ช้าลง ลมหนาวกลางอากาศมันพัดแรงและโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ต้องคอยหยุดพักเพื่อบรรเทาความหนาว พาหนะของเธอเองก็เริ่มจะทนความหนาวไม่ไหวเช่นกัน เป็นอย่างที่เซ็นแวนเดอร์พูด เมื่อเข้ามาในพื้นที่หนาวเย็นมากขึ้น กองไฟก็ก่อไม่ติดเสียแล้ว อาหารแห้งที่นำมาด้วยก็แข็งจนกัดไม่เข้า ไมริฟจำต้องขดตัวอยู่ในผ้าห่มขนสัตว์ นั่งเบียดเจ้าไวเวิร์นที่ตัวสั่นเหมือนกัน กินใบเล็ทเทรดที่รสชาติแย่จนอยากคายทิ้ง ในใจเริ่มลังเลว่าตนคิดถูกหรือคิดผิดที่มาที่นี่ แต่เธอก็มาไกลเกินกว่าจะถอยได้ นี่ก็คงจะใกล้เข้าเขตเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดแล้ว เธอเคาะน้ำแข็งออกจากเข็มทิศแล้วตรวจสอบในแผนที่ มาถึงตรงนี้กลางวันกลางคืนเริ่มแยกไม่ออก บรรยากาศมันมืดๆ ทึมๆ ไม่ต่างกัน โชคดีที่เธอเป็นฟอเรสเทอร์จึงไม่มีปัญหาเรื่องแสงน้อย แต่ก็มีปัญหาเรื่องความหนาวนี่ล่ะ ผิวบางส่วนของเธอแห้งและเป็นขุยเช่นเดียวกับปาก จะนำน้ำมันแกะมาทา มันก็กลายเป็นของแข็งๆ เหนียวๆ เพราะความเย็น อากาศหนาวเย็นเริ่มทำให้อ่อนเพลีย แต่อาร์ทูมิสก็เคยเตือนไม่ให้หลับเพราะอาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ดินแดนนี้ไม่เหมาะแก่พวกฟอเรสเทอร์เลยสักนิด มิน่าพวกมนุษย์ถึงไม่ส่งใครมาประจำการสักคนในตอนที่โฟรเซ็นทิเนลยังตกเป็นอาณานิคม

            ในเมื่อนอนหลับพักผ่อนไม่ได้ เธอก็ต้องเดินทางต่อ แบ่งใบเล็ทเทรดให้เจ้าไวเวิร์นกินก่อนออกเดินทาง แม้แต่มันก็ไม่ชอบแต่ก็ยอมกินเพราะหิวและหนาว เมื่อมันออกบินก็บินได้ช้าลงและบินไปสั่นไป ไมริฟต้องก้มหัวต่ำหลบลมหนาวและเกล็ดหิมะคมๆ ขณะบิน ใบหน้าแดงเป็นจ้ำ คิดว่าตอนนี้คงเข้าเขตฟรอสท์ไอรอนแคลดแล้ว ยิ่งเข้าไปมากเท่าไรก็ยิ่งหนาว เพราะต้องลดระยะห่างจากภูเขาน้ำแข็งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตลอดเวลาที่บินอยู่นั้นช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมาน ทั้งตัวหนาวชาจนแทบไม่มีความรู้สึก ฟันกระทบกันอย่างควบคุมไม่ได้ จากสาวน้อยสะสวยสดใส ตอนนี้ดูโทรมมาก ผมสีน้ำตาลดำเงางามของเธอแห้งและฟูกระเซิง มีเกล็ดหิมะจับเกาะเต็มไปหมด ผิวลอก ปากแตก ขอบตาคล้ำ

            “ไปอีกนิดเดียวเท่านั้น ข้าขอล่ะ” เธอลูบหลังคอไวเวิร์นของตน เพราะมันเริ่มจะบินไม่มั่นคง “อากาศหนาวร้ายกาจขนาดนี้ เราคงอยู่ไม่ไกลจากกำแพงแล้ว”

            ในที่สุด เธอก็เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเทือกเขาน้ำแข็งอยู่ไกลลิบๆ  ใช่แล้ว เธอเห็นเป็นช่องเขาเพราะพวกดาร์คเนสดีวิลใช้เกราะมนต์ดำพรางมันไว้ แต่ความจริงมันคงมีกำแพงน้ำแข็งทอดยาวปิดช่องอยู่ เธอกำลังจะได้เห็นมันแล้ว กำแพงที่แข็งแกร่งจนกลายเป็นตำนาน หากความหนาวไม่ฆ่าเธอเสียก่อนเธอคงมีโอกาสได้เข้าไปดูใกล้ๆ

            บางอย่างบินผ่านด้านขวาของเธอไปด้วยความรวดเร็ว เธอมองเห็นไม่ชัดเพราะในอากาศมีละอองหิมะค่อนข้างหนาแน่น แต่ก็พอสังเกตว่ามันมีแสงสีเขียวๆ ด้วย ไวเวิร์นที่เธอขี่เริ่มแสดงความกลัว เธอเองก็กลัว หันซ้ายหันขวาอย่างบ้าคลั่ง มือหยิบเอากระบอกเป่าลูกดอกอาบยาพิษออกมา มีเจ้าสิ่งนั้นอีกตัวหนึ่งพุ่งข้ามหัวเธอไป มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ไมริฟรีบก้มหัวลงต่ำ แม้ท้องฟ้ามืดๆ ทึมๆ จะทำให้สายตาฟอเรสเทอร์มองเห็นชัด แต่ละอองหิมะทึบๆ ก็ทำให้เธอสังเกตได้ลำบาก อีกทั้งเจ้าสิ่งนั้นก็บินได้เร็วมาก เธอทันเห็นแค่ดวงตาแสงสีเขียวทั้งหกคู่ของพวกมัน และรับรู้ว่าพวกมันตัวใหญ่กว่าพาหนะของเธอ

            แล้วเอเลนเซฟเวอรี่ในชุดเกราะดำหนาทั่วทั้งตัวก็บินมาขวางหน้าเธอ ไมริฟต้องกระชากสายบังเหียนหยุดพาหนะกลางอากาศ ยกกระบอกจ่อปาก เป่าลูกดอกอาบยาพิษใส่มันตามสัญชาตญาณ ลูกดอกเล็กๆ พุ่งผ่านช่องเกราะเข้าที่คอของมันและกระดอนออกไป แม้จะไม่ถูกขวางด้วยเกราะ แต่ลูกดอกเล็กๆ แค่นั้นจะเจาะผ่านหนังหนาๆ ที่ปกคลุมด้วยเกล็ดแข็งๆ ของสัตว์ประเภทนี้ได้อย่างไร ซึ่งการที่ไมริฟทำเช่นนั้นถือว่าผิดพลาดมหันต์ ก่อนหน้านี้เหมือนว่าพวกมันแค่ขู่ แต่เมื่อเธอไปโจมตีมัน ย่อมทำให้พวกมันเพิ่มระดับความรุนแรง

            ดาวตกลุกเป็นไฟสีเขียวลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ไมริฟที่ก้มหัวหลบแทบไม่ทัน เธอรีบกระชากบังเหียนบินเลี้ยวหลบไปอีกทางทันที ไม่ต้องเร่งพาหนะเพราะเจ้าไวเวิร์นที่หวาดกลัวสุดขีดก็บินหนีไม่คิดชีวิตอยู่แล้ว แต่มันจะสู้ความเร็วของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ได้อย่างไร ที่ไล่ตามมาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามตัว ไมริฟหันไปมอง เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบ เธอรีบเอียงตัวหลบดาวตกไหม้ไฟอีกลูก ไม่ต้องสงสัย พวกเอเลนเซฟเวอรี่ไล่เธอทันแน่ ยิ่งอยู่ในถิ่นของพวกมัน อยู่ในสภาพอากาศที่พวกมันคุ้นเคย ความเร็วของพวกมันก็เหนือกว่าพาหนะของเธอมาก

            ดาวตกลูกที่สามพุ่งตามหลังมา ไมริฟต้องหักซ้ายกะทันหันเพื่อหลบหลีก แต่การทำเช่นนั้นส่งผลให้เธอทรงตัวไม่อยู่จนเซตกจากพาหนะ เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวอยู่กับโกลนพาหนะทำให้เธอห้อยหัวอยู่ในอากาศ เสื้อขนสัตว์หลุดออกไปจากตัว เบื้องล่างคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ผิวน้ำส่วนบนกลายเป็นน้ำแข็งบางๆ เธอรู้สึกว่าตนถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาขณะห้อยหัว และเห็นว่ากระสอบของขวัญที่แอเมน่าให้เธอนำมาด้วยนั้นร่วงผ่านหน้าเธอไป และตกลงไปในทะเลสาบ

            แล้วเท้าของไมริฟก็หลุดอกจากโกลน เธอร่วงดิ่งลงไป ตกสู่ทะเลสาบเย็นเฉียบ ทำผิวน้ำที่เป็นน้ำแข็งบางๆ แตกกระจาย  แค่สองสามวินาทีแรก ร่างกายทุกส่วนของเธอก็เริ่มแข็งชาจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ เธอไม่มีปัญญาแม้แต่จะตะเกียกตะกายขึ้นไปบนผิวน้ำร่างกายชาไปหมด ทั้งหายใจไม่ออก ทั้งหนาวเย็นเจียนตาย ไม่มีหนทางใดจะรักษาชีวิตตนไว้ได้อีกแล้ว ทุกอย่างมืดลง แล้วก็มืดลง

            แล้วร่างกายของเธอก็กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เธอไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เท่าที่รู้คือเธอยังไม่ตาย ใช่แล้ว--ยังไม่ตาย เธอกำลังหายใจอยู่ สมองทำงานอย่างเชื่องช้าราวกับน้ำแข็งที่จับอยู่นั้นค่อยๆ ละลายออกไปทีละน้อย ดวงตาของเธอปิดสนิทและไม่มีความต้องการที่จะลืมขึ้นมาอีก นี่เธออยู่ที่ไหนกัน ใช่แล้ว--กำลังนอนอยู่บนที่นอนอุ่นๆ อาจแข็งไปสักหน่อย แต่มันก็นอนสบาย ว่าแต่เธอมานอนอยู่บนที่นอนได้ยังไง ช่างเถอะ มันสบายเกินกว่าจะอยากนึกอะไรอย่างอื่น เธออยากนอนอยู่อย่างนี้ตลอดไปจริงๆ ไม่อยากลุกออกไปเผชิญกับความหนาวภายนอกเลย

          ใครสักคนกำลังเช็ดหน้าผากให้เธอด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นๆ หนังตาของเธอเริ่มเบาลงแล้ว แต่ก็ถือว่ายังหนักอยู่ ใครคนนั้นหยุดเช็ดหน้าให้เธอแล้วค่อยๆ ประคองศีรษะเธอขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่ามือที่รองรับศีรษะของเธอนั้นมันปกคลุมด้วยถุงมือที่น่าจะทำจากหนัง มีขอบแก้วโลหะใบหนึ่งยกมาจรดริมฝีปากเธออย่างนุ่มนวลและค่อยๆ เทของเหลวในแก้วลงคอเธอช้าๆ ช่างเป็นเครื่องดื่มที่วิเศษแม้จะมีรสขมไปสักนิด เธอเริ่มมีกำลังวังชาสมองเริ่มทำงานเร็วขึ้น ร่างกายทุกส่วนเริ่มตื่นตัว เริ่มรู้สึกถึงรอยช้ำและอาการเคล็ดขัดยอกตามตัวจากการตกพาหนะเปลือกตาของเธอค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้า มันเปิดขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยพอเห็นรางๆ ว่าคนที่กำลังป้อนเครื่องดื่มให้เธออยู่นั้นสวมชุดสีดำ ผมสีทองคำเงาเจิดจ้าที่โผล่ออกมาจากหมวกฮู้ด และดวงตาโตสีน้ำเงินเรืองแสงในความมืดนั้น เตะตาเธอมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง น่าจะเป็นผู้หญิง เพราะเธอได้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ จากเส้นผมสีทองดูเหมือนจะยังไม่รู้ว่าเธอเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ วางศีรษะเธอลงที่เดิม แล้วหันไปวางแก้วที่โต๊ะข้างเตียง

          ฉับพลันทันใด สมองของไมริฟก็แล่นปราดเร็วอย่างกับสายฟ้าแลบ เธอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก โดยที่ยังมีผ้าห่มสีดำผืนใหญ่ห่อตัวมิดชิด

          “นี่--นี่มันอะไรกัน ข้าอยู่ที่ไหน ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วนี่ท่านเป็นใคร” ไมริฟร้องเสียงแหลม

            ผู้ดูแลเธอผงะถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจ

          “สงบไว้ สหายฟอเรสเทอร์ ท่านบาดเจ็บอยู่นะ”

          ไม่ใช่ผู้หญิงนี่ แต่เป็นผู้ชาย ไมริฟเพิ่งสังเกตเห็นรูปร่างสูงโปร่งของเขาและเกราะที่สวมเต็มตัว เมื่อกี้สะลึมสะลืออยู่ จึงแยกไม่ออก ก็หน้าเขาเหมือนผู้หญิงจริงๆ ขนตาก็ยาว หน้าก็เรียว ผิวหน้าก็ละเอียด ปากก็แดง แถมไว้ผมยาวปรกบ่าอีก

          “ท่านเป็นใคร” ไมริฟถามรัวเร็ว แทบไม่หายใจ

          “นึกแล้วว่า พอถอดหน้ากากจะไม่มีใครรู้จักข้าสักคน” เขาชี้ไปที่หน้ากากโลหะน่ากลัวที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง “อาจารย์เซซิลบอกว่าผู้หญิงฟอเรสเทอร์มักจะขวัญอ่อนตอนตื่นนอน เขาจึงให้ข้าถอดหน้ากากเพื่อไม่ให้ท่านตื่นมาตกใจ แต่ท่านก็ยังตื่นมาตกใจอยู่ดี”

          “แบล็กไรดิงฮู้ด” ไมริฟกระซิบ

          “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เขาแนะนำตัว “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล”

          ไมริฟไม่นึกว่าปีศาจแบล็กไรดิงฮู้ดผู้สั่นสะเทือนโมราโซมอสทั้งอาณาจักร จะเป็นเด็กหนุ่มที่รุ่นราวใกล้เคียงกับเธอ น่าจะอ่อนวัยกว่าเธอสักปีสองปี แล้วตอนนี้เขาก็ดูไม่เหี้ยมโหดด้วย กลับดูพยายามแสดงความเป็นมิตรอย่างเก้ๆ กังๆ  คงยังไม่หายตกใจที่ถูกเธอตะโกนใส่ ไมริฟพยายามรวบรวมสติ เริ่มรู้สึกตัวว่าร่างกายมันเบาๆ อย่างไรพิกล จึงมองลงไปใต้ผ้าห่ม แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดว่าตนไม่ได้สวมอะไรสักชิ้น

          “นี่มันอะไรกัน” ไมริฟกรีดเสียง กอดผ้าห่มไว้แน่น หลังของเธอชนข้าวของและหนังสือบนชั้นหัวเตียงร่วงตกพื้นหลายชิ้น “ท่านทำอะไรกับข้า เสื้อผ้าของข้าหายไปไหนหมด”

          “ข้าสาบานต่อทุกสิ่งในดาวดวงนี้ที่มันสาบานได้ ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรท่านเลยจริงๆ” โซลิแทร์ละล่ำละลัก“คือ เสื้อผ้าของท่านเปียกน้ำ เราเลยต้องขออนุญาตถอดมันออกเพื่อนำท่านไปแช่ในอ่างน้ำอุ่น ไม่อย่างนั้นท่านแข็งตายแน่”

          “ท่านเป็นคนถอดมันหรือ”

          “ไม่ใช่ข้า” โซลิแทร์รีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันเมื่อเห็นสีหน้าของไมริฟ “พวกภูตเงาต่างหาก ภูตเงาทำทุกอย่างเลย ทั้งถอดเสื้อผ้าท่าน นำท่านไปแช่อ่างน้ำอุ่น นำท่านมาพักฟื้นที่นี่ ข้าสาบานได้ ไม่มีใครเห็นท่านเปลือย”

          “แล้วอะไรคือภูตเงา”

          “เอ้อ” โซลิแทร์พยายามอธิบาย แล้วชี้ไปที่ประตูห้อง “นั่น”  

          ประตูห้องเปิดออก หมอกควันสีดำไร้รูปร่างลอยเข้ามาเหมือนวิญญาณ มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปมือ หยิบเอาอ่างเหล็กที่โซลิแทร์ใช้ใส่น้ำเช็ดหน้าให้ไมริฟ แล้วจึงเปิดประตูออกจากห้องไป ปิดประตูตามหลัง ไมริฟจ้องมองตามตาค้าง ปากของเธออ้ากว้าง แต่พูดอะไรไม่ออก

          “ข้าเคยได้ยินนิทานเกี่ยวกับพวกมัน” เธอพึมพำ “ว่ากันว่า พวกมันคือผู้ที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ ตกเป็นทาสรับใช้ตลอดกาล”

          โซลิแทร์หัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินเธอพูด

          “หวังว่าท่านคงไม่เชื่อนิทานหลอกเด็กนะ” เขาเริ่มเก็บข้าวของที่เธอทำหล่นจากชั้นหัวเตียง “วิญญาณมันมีจริงที่ไหนล่ะ พวกนี้ก็แค่พลังงานที่แปรรูปมาในลักษณะที่ท่านเห็น เกิดขึ้นมาได้ยังไงนั้นคงต้องอธิบายกันอีกยาว ซึ่งข้าก็เชื่อว่าท่านคงไม่อยากฟังเท่าไหร่ แต่โปรดทราบไว้ว่ามันไม่ได้ทำงานให้เราตลอดกาลแน่ สักสิบถึงสิบห้าปีมันก็หมดอายุสลายหายไป มันอาจจะดูน่ากลัวสักหน่อย แต่ข้าไม่รังเกียจมันสักนิด เพราะมันช่วยให้ข้าไม่ต้องไปพบเจอกับสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่า” เขานำหนังสือและสิ่งของกลับไปวางไว้บนชั้นหัวเตียงตามเดิม ไมริฟย่อหัวลงต่ำอย่างไม่ไว้ใจ ผ้าห่มคลุมตัวมิดชิด “งานบ้าน”

          ดูเหมือนว่าจะมีของบางชิ้นขาดหายไป โซลิแทร์ลงไปหาต่อที่พื้น หาใต้เตียง หาใต้ตู้วางเอกสาร ห้องนี้ยิ่งแคบๆ รกๆ อยู่ด้วย มันน่าหงุดหงิดยามเมื่อเราทำของสักชิ้นตกพื้น มันมักจะกลิ้งไปไหนไม่รู้ ราวกับอันตรธานหายไปเฉยๆ  ไมริฟค่อยๆ เอนหลังนอนลง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผ้าห่มคลุมตัวมิดชิด กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง มันรกและไม่ค่อยเป็นระเบียบ เหมือนห้องของเด็กผู้ชายวัยรุ่น ตามผนังแขวนอาวุธบางชิ้น และมีกระดาษข้อความติดเต็มไปหมด ชั้นวางของก็มีแผ่นเอกสารกองๆ ไว้ไม่เป็นระเบียบ ประตูห้องก็มีเป้าซ้อมและมีใบจักรสี่แฉกหลายใบปักคาอยู่ แทบทุกสิ่งในห้องนี้ล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น ไมริฟเริ่มรู้สึกว่าใต้หมอนมีอะไรแข็งๆ จึงหยิบเอาออกมา มันคือหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง ปกวาดเป็นรูปดอกกุหลาบในครอบแก้ว ชื่อเรื่องว่าโฉมงามกับเจ้าชายอสูร

          “ลืมไปว่ายังไม่ได้เอามันออกจากใต้หมอน เป็นนิสัยเสียของข้าน่ะ นอนอ่านหนังสือแล้วก็ขี้เกียจลุกไปเก็บที่ชั้นหัวเตียงเวลาง่วง” โซลิแทร์ขอโทษขอโพย

          ไมริฟยังคงจ้องมองที่หนังสือ นี่มันนิทานเด็กชัดๆ  อาณาจักรของเธอไม่คุ้นเคยกับนิทานเรื่องนี้นัก แต่ถ้าในโมราโซมอสคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักนิทานเรื่องนี้ เป็นเรื่องของเจ้าชายนิสัยไม่ดี ผู้ซึ่งถูกนางฟ้าลงโทษ สาปให้เป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัว อาศัยอยู่ในปราสาทอันน่าสะพรึงกลัว ทางเดียวที่จะถอนคำสาปได้นั้น จะต้องมีหญิงสาวสักคนมารักเจ้าชายอสูรด้วยความจริงใจ ดอกกุหลาบในครอบแก้วที่อยู่บนปกหนังสือคือเวลาที่เจ้าชายอสูรยังคงมีเหลือ หากกลีบกุหลาบร่วงโรยหมดก่อนคำสาปถูกถอน เขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไป ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็มีสาวโฉมงามที่ชื่อเบลล์ เธอเป็นสาวน้อยช่างฝันที่มีมุมมองแตกต่างจากคนทั่วไป เธอมักจะเห็นความดีความสำคัญของสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นเสมอ และก็เป็นเธอ ที่ได้เข้าอกเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชายอสูร มองทะลุผ่านความเป็นอสูรของเขา และเห็นความเป็นเจ้าชาย รักเขาอย่างที่เขาเป็นโดยแท้จริง ถอนคำสาปให้เขาตอนที่กุหลาบกลีบสุดท้ายร่วงโรยพอดี เป็นนิทานที่ค่อนข้างซาบซึ้งตรึงใจเด็กๆ ผู้อ่านในโมราโซมอสมาก แต่มันดูไม่เหมาะกับแบล็กไรดิงฮู้ดผู้เหลี่ยมจัด เย็นชา และแข็งกร้าวเลยสักนิด ซึ่งการที่เขานำมาไว้ใต้หมอน แสดงว่าเขาอ่านมันเกือบทุกวัน และเขาจะต้องชอบหรือเคลิบเคลิ้มตามไปกับมันไม่น้อย ถึงอ่านมันเกือบทุกวัน

          “นี่ ขอคืนให้ข้าเถอะนะ” โซลิแทร์ยื่นมือไปขอหนังสือ เริ่มรู้สึกอับอายเพราะอีกฝ่ายรู้แล้วว่าตนชอบอ่านนิทานเด็ก

          “นี่ห้องของท่านหรือ” เธอส่งหนังสือคืนให้

          “อภัยให้ด้วย มันไม่ค่อยจะน่าอยู่ แต่มันก็เป็นห้องที่ดีที่สุดที่ข้าจะหาให้ท่านได้แล้ว เผ่าพันธุ์ของเราแทบไม่เคยต้อนรับแขก เรื่องนี้จึงไม่ค่อยราบรื่นนัก” โซลิแทร์นำหนังสือไปเก็บที่ชั้นใกล้ๆ ตู้เสื้อผ้า “ข้าเข้าใจ มันดูไม่สมกับเป็นห้องของผู้นำอาณาจักร มันดูเหมือนห้องเก็บของแคบๆ รกๆ มากกว่า คือเผ่าพันธุ์ของเรานั้นชั้นต่ำ มีชีวิตติดดิน ไม่นิยมความหรูหรา เน้นความเสมอภาคตามระบอบสังคมนิยม สิ่งที่ข้ามี มันไม่ควรจะแตกต่างจากที่คนอื่นๆ มีนัก”

          “แล้วท่านจะไปนอนที่ไหน”

          “ในป้อมปราการดำแห่งนี้มีห้องให้ข้านอนเต็มไปหมด ห้องประชุม ห้องเอกสาร ห้องอาวุธ ข้านอนได้ทุกที่ล่ะ ขอแค่อยู่ในพื้นที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด” โซลิแทร์พูดสบายๆ “บนหิมะกลางแจ้งข้าก็เคยนอนมาแล้ว แต่ถ้าให้ข้าไปนอนต่างที่ต่างเมือง ที่นอนจะสบายแค่ไหนข้าก็นอนไม่ค่อยหลับ”   

          พวกดาร์คเนสดีวิลนี่มีความเป็นอยู่ที่อัตคัดจริงๆ ผู้นำสูงสุดหรือนักรบธรรมดาก็ติดดินไม่ต่างกัน จะว่าไปก็น่าสงสาร ทั้งแผ่นดินที่อยู่อันหนาวเย็นแห้งแล้ง ทั้งศึกสงครามที่ต้องเผชิญตลอด ทั้งการถูกกดขี่จากพวกมนุษย์ และการถูกดูแคลนจากเผ่าพันธุ์อื่น

          “นี่ข้าหมดสติไปนานแค่ไหนนี่” เธอหลับตา จับหน้าผากตัวเอง

          “ราวสิบกว่าชั่วโมงได้” โซลิแทร์ก้มลงไปควานหาของต่อไป ท่าทางมันจะสำคัญกับเขามาก

          “พวกสัตว์ร้ายสามหัวนั่นเกือบจะฆ่าข้าแล้ว” เธอพูดอย่างไม่พอใจ

          “ท่านก็ไม่ควรโจมตีหน่วยลาดตระเวนนะ พวกมันมีกระบวนการทำงานของพวกมัน เมื่อถูกโจมตี จะตอบโต้กลับค่อนข้างรุนแรง” โซลิแทร์ยังไม่เงยหน้าจากการหาของ “แต่ข้าชื่นชมท่านอย่างหนึ่ง ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! โจมตีเอเลนเซฟเวอรี่ด้วยลูกดอกเล็กๆ ข้ายังไม่กล้าทำเลย”

          “ท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ” เธอขมวดคิ้ว

          “เปล่า ตอนนั้นข้าเพิ่งกลับมาถึงฐานทัพหลังจากไปทำธุระต่างแดนมา ยังไม่ทันที่พาหนะจะลงจอด พวกมันตัวหนึ่งก็บินมารายงานข้า” โซลิแทร์อธิบาย “แค่มองตามัน ข้าก็เห็นเหตุการณ์ที่มันเห็นมา จึงบินออกไปอีกครั้ง ดึงท่านขึ้นมาจากน้ำ นำมาพักฟื้น” เขาโค้งศีรษะให้เธอตามมารยาท “หวังว่าท่านคงไม่ถือสาการกระทำอันป่าเถื่อนของหน่วยลาดตระเวนของข้า พวกมันเป็นแค่สัตว์ ได้แต่ทำตามหน้าที่ ไม่สามารถคิดยืดหยุ่นแบบเราได้ แต่ท่านก็ควรทราบนะว่า ไม่ควรโจมตีพวกมันด้วยอาวุธ”

          “นี่คือคำของโทษของท่านหรือ” เธอฉุนขาด

          “ท่านมองว่าเป็นความผิดของข้าหรอกหรือ” โซลิแทร์กระพริบตางงๆ “ถ้าอย่างนั้นโปรดรับคำขอโทษจากข้าด้วย ข้าผิดเองที่--” เขาพยายามนึกว่าตนผิดอะไร “เอาเป็นว่าข้าผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

          ไมริฟนอนกอดอก ทำหน้างอ โซลิแทร์พบของที่ตนค้นหาที่ใต้ตู้เสื้อผ้า มันคือแอปเปิลโลหะลูกหนึ่ง เป็นแอปเปิลที่มีรอยกัดสองรอยต่อกันดูคล้ายรูปสายฟ้า

          “สิ่งนั้นมันสำคัญต่อท่านมากเลยหรือ” ไมริฟหันมามอง

          “ก็แค่สิ่งของที่มีคุณค่าต่อจิตใจน่ะ” โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน มือที่สวมถุงมือถือประคองมันอย่างนุ่มนวลราวกับว่ามันเป็นของแตกง่าย “มันช่วยเตือนใจให้ข้าเข้มแข็งและรับรู้ว่าตนมีความสำคัญเสมอ”

          “แอปเปิลเหล็กเนี่ยนะ”

          “มันเป็นแอปเปิลจริงๆ นี่แหละ แต่ข้าเคลือบเหล็กไว้เพื่อรักษาสภาพของมัน ข้าได้มันมาตั้งสิบเก้าปีแล้ว” โซลิแทร์พูด “นี่ ถ้าข้าวางมันกลับที่เดิม ท่านจะไม่ทำมันตกลงมาอีกใช่ไหม ข้าขี้เกียจควานหาใต้ตู้อีก”

          “ฟอเรสเทอร์เราถือว่า การวางสิ่งของไว้บนหัวเตียง แสดงว่าสิ่งนั้นสำคัญมาก” ไมริฟพูด “แอปเปิลผลนี้คงจะสำคัญกับท่านจริงๆ”

          “มันสำคัญกับข้าจริงๆ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเอาของไปไว้บนหัวเตียงหรอก” เขาวางแอปเปิลเคลือบโลหะกลับคืนที่เดิมของมัน ข้าเคยเอาเอกสารหลายฉบับรวมทั้งอาวุธชิ้นใหญ่หลายชิ้นไปกองไว้ตรงนี้เหมือนกัน นิสัยมักง่ายน่ะ---ใจเย็นๆ ตอนนี้ยังไม่ได้เอามาวาง” เขาเสริมอย่างขบขันเมื่อไมริฟรีบเงยหน้ามองข้างบนหัวอย่างขวัญเสีย “แต่ท่านก็ไม่ควรทำของร่วงอีกนะ หนังสือบางเล่มมันหนาอาจทำท่านหัวแตก ข้าทำชั้นวางของที่หัวเตียงก็เพราะมันหยิบใช้ง่าย แต่หลายคนก็บอกว่าไม่เหมาะสม แล้วยังว่าข้ามักง่ายอีก”

          ไมริฟพักสายตาสองสามวินาทีแล้วลืมตา เริ่มรู้สึกอ่อนเพลียและปวดเมื่อยไปทั้งตัว

          “ไวเวิร์นของข้าล่ะ” เธอนึกขึ้นได้

          “เสียใจด้วยจริงๆ มันคงตายไปแล้ว ไม่ด้วยเอเลนเซฟเวอรี่ก็ด้วยสภาพแวดล้อมที่มันไม่คุ้นเคย สัตว์ป่าแบบนั้นไม่ควรมาอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งแบบนี้” โซลิแทร์ตอบ

          “อาวุธและสัมภาระทั้งหมดของข้าก็อยู่ที่มัน”

          “ก็คงสูญหายไปเหมือนกัน” โซลิแทร์ขยับไปที่หีบใบหนึ่งที่วางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า “แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้า ข้าไปคุ้ยเจอชุดของแม่บางชุด ยังอยู่ในสภาพดี มีชุดที่น่าจะเหมาะกับท่านด้วย แม่ของข้าก็เป็นฟอเรสเทอร์เหมือนกัน”

          “นี่ท่านมีเชื้อสายฟอเรสเทอร์หรือ” ไมริฟจ้องเขาเป็นการใหญ่

          “แต่ข้าได้ส่วนที่เป็นฟอเรสเทอร์มาไม่มาก แค่ร้อยละห้าเท่านั้น จึงไม่มีใครดูออก”

          “ข้าขอพบแม่ท่านได้ไหม คงจะดีไม่น้อยที่ได้พบคนเผ่าพันธุ์เดียวกันที่นี่” เธอขอร้อง

          “คงเป็นไปไม่ได้” โซลิแทร์ว่า “เธอตายไปตั้งหลายสิบปีแล้ว

          “โอ้” ไมริฟชะงัก “ข้าเสียใจด้วย”

          “เสียใจทำไม ท่านไม่ได้ฆ่าเธอสักหน่อย”

          “มันเป็นมารยาท ที่จะบอกว่าเสียใจเมื่อรู้ว่าใครสักคนของคู่สนทนาตาย”

          “อย่างนั้นหรอกหรือ” โซลิแทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมารยาทปฏิสัมพันธ์นัก ปีศาจก็อย่างนี้ ข้าไม่ค่อยถนัดผูกมิตรกับคนที่ไม่รู้จักน่ะ แต่ข้าก็พยายามเรียนรู้อยู่เหมือนกัน”

          ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนอยากผูกมิตรกับพวกดาร์คเนสดีวิลนัก นิสัยชอบเก็บตัว อยู่ติดพื้นที่ และไม่ชอบต้อนรับของพวกนี้ ทำให้พวกเขาขาดทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนต่างเผ่า

          “แต่ก็ยังมีสัมภาระชิ้นหนึ่งของท่าน ที่ข้าเก็บได้จากทะเลสาบ” โซลิแทร์พูดต่อ “กระสอบหนังใบหนึ่ง ข้างในมีเกล็ดมังกรดำจำนวนมาก และขวดไม้บรรจุของเหลวใสๆ ข้นๆ หลายขวด น่าชื่นชมความสามารถเรื่องเครื่องหนังของพวกฟอเรสเทอร์จริงๆ ของในกระสอบไม่เปียก และไม่ได้รับอิทธิพลจากความเย็นภายนอกด้วย”

          “เกล็ดมังกรดำกับน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้” ไมริฟบอก “หัวหน้าเผ่าของข้าฝากข้านำมามอบให้ท่าน”

          “จริงหรือ” โซลิแทร์ดูแปลกใจ “เธอช่างกรุณาต่อข้า ข้าไม่เคยได้รับของขวัญจากใครเลย โดยเฉพาะจากคนต่างเผ่าพันธุ์”

          “มันเป็น--”

          “มารยาทนั่นเอง เข้าใจแล้ว” โซลิแทร์ต่อประโยคให้ “หัวหน้าเผ่าของท่านคงทั้งเก่งและใจกล้ามาก ถึงขั้นฆ่ามังกรดำได้ จะฆ่ามังกรดำสักตัวคงจะสาหัสน่าดู นี่ยังไม่รวมว่าเป็นการแสดงการท้าทายพวกเฟลมฟอร์สอีก พวกนั้นทำสงครามกับทุกเผ่าพันธุ์เพื่อดำรงรักษามังกรที่เหลือน้อยลงทุกวัน และมังกรดำก็เป็นหนึ่งในชนิดที่หายากที่สุดด้วย”

          “เธอไม่ได้ฆ่ามัน แต่เธอเคยเก็บได้จากตัวที่ตายโดยสิ้นอายุขัย”

          “มังกรไม่ใช่สัตว์ที่มีอายุขัยน้อยๆ นะ”

          “หัวหน้าเผ่าของข้าก็อายุเจ็ดร้อยสามปีแล้ว”

          “อ้อ ถ้าอย่างนั้นต้องมีมังกรดำสักตัวตายก่อนเธอแน่” โซลิแทร์พยักหน้า “ข้าซาบซึ้งกับของขวัญของเธอมาก โปรดนำคำขอบคุณจากข้าไปบอกเธอด้วยยามท่านกลับไป”

          “ถ้าข้ารอดชีวิตจากดินแดนอันตรายนี้ได้นะ” เธอถอนหายใจ

          “ท่านเดินทางจากดินแดนอันแสนสงบ มายังดินแดนที่อันตรายและไม่มีใครอยากเหยียบย่างเข้าใกล้ เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ” โซลิแทร์พูดยิ้มๆ “ดูไม่เหมือนฟอเรสเทอร์ทั่วไปเท่าไหร่เลยนะ”

          “แต่ละเผ่าพันธุ์ย่อมมีพวกพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง” เธอขยับตัวเพื่อจะได้นอนสบายขึ้น “ท่านเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้ดีกว่าใคร”

          “ท่านเป็นคนสำคัญในเผ่าใช่ไหม” โซลิแทร์ยิ้ม เอียงคอ

          “อะไรทำให้ท่านคิดอย่างนั้นล่ะ”

          “การวางตัวของท่านที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ กล้าคิดกล้าทำ ไม่แสดงความประหม่าต่อหน้าผู้นำระดับสูงของอีกเผ่าพันธุ์ แล้วอย่าว่ากันนะ บางครั้งก็แสดงความเอาแต่ใจตัวออกมาเพราะเคยเป็นผู้บัญชาตลอด ไม่ค่อยมีคนขัดใจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “แล้วท่านยังมีรอยสักฟอเรสท์แองเจิล รอยสักสำหรับฟอเรสเทอร์ที่ผ่านการเรียนรู้เรื่องการเมืองการปกครองในวิถีแห่งป่า”

          เขาชี้ไปที่รอยสักสีเขียวรูปต้นไม้ติดปีกที่ร่องไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ผ้าห่มไม่ได้คลุมส่วนนั้น

          “หลายคนที่ผ่านพิธีกรรมฟอเรสท์แองเจิลแล้วไม่ได้รั้งตำแหน่งอะไรเลยก็มีถมไป” ไมริฟพูด ท่าทางเหนื่อยๆ เมื่อหายตกใจร่างกายก็เริ่มคลายตัว “แต่ใช่ ข้าเป็นคนสำคัญของเผ่าพันธุ์ เป็นหนึ่งในคณะปกครองอาณาจักรกาโกคอล ไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าผู้พิทักษ์ป่าวูดส์วาร์เด็น”

          “ท่านคือไวลด์แฟงหรอกหรือ” โซลิแทร์ยิ้มอย่างตื่นเต้น

          “ข้าคืออะไรนะ”

          “ท่านไม่รู้หรือว่า คนภายนอกตั้งฉายาท่านว่าไวลด์แฟง (Wild Fang) คมเขี้ยวของป่าที่จู่โจมผู้รุกรานป่า ชื่อเสียงของท่านเป็นที่เล่าขานในบรรดาคนตัดไม้และนายพรานมนุษย์ ข้าเองก็ยินดีที่ท่านทำอย่างนั้น ไม้ที่พวกนั้นตัดไปได้ มักถูกซื้อไปทำเป็นอาวุธ เครื่องกลสงคราม หรือเรือรบมนุษย์” โซลิแทร์จัดการกับเตาผิงเคลื่อนที่อันเล็กๆ ที่อยู่ใต้เตียงไมริฟ เขาแทบไม่เคยใช้มันเพราะปกติก็ชินกับอากาศหนาวเย็น “ดาร์คเนสดีวิลหลายคนชื่นชมท่านและบรรดาวูดส์วาร์เด็นของท่าน สิ่งที่พวกท่านทำนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่เราทำ ปกป้องพื้นที่ ขับไล่ผู้รุกราน สั่งสอนให้พวกมันรู้ว่าที่ที่พวกมันเหยียบเข้ามานั้น สามารถโยนพวกมันออกไปได้”

          “แต่อย่างน้อย ข้าก็ไม่ร้ายกาจถึงขั้นให้มังกรสามหัวไปไล่เผาใครกลางอากาศนะ” ไมริฟเริ่มยิ้มออก

          “ทำไมหลายคนถึงเข้าใจว่ามันเป็นมังกร จริงๆ แล้วมันคือค้างคาว” โซลิแทร์แก้ไข ดูเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขามาก “มังกรเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์เฟลมฟอร์ส ส่วนเอเลนเซฟเวอรี่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล จริงอยู่ พวกมันอาจดูคล้ายๆ มังกรตรงที่มี--”

          เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำเอาไมริฟสะดุ้ง ประตูทำด้วยเหล็ก มันจึงเกิดเสียงดังเวลาเคาะ แล้วเซซิลกับกัปตันมาซูลก็เปิดเข้ามา ทำแขนกากบาทแสดงความเคารพโซลิแทร์ โซลิแทร์ทำตอบกลับ

          “สองคนนี้คือส่วนหนึ่งของคณะผู้นำโฟรเซ็นทิเนล อาจารย์เซซิล เดอะ เจสเทอร์ กัปตันมาซูล เดอะ สโนว์ฟ็อกซ์ ท่านน่าจะเคยได้ยินฉายาพวกเขา” โซลิแทร์แนะนำ “และท่านทั้งสอง นี่คือไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น”

          “ท่านคือไวลด์แฟงเองหรือ” เซซิลโค้งศีรษะให้ “ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบ”

          “อภัยให้ด้วยที่เราให้ความสะดวกสบายในการต้อนรับไม่ได้มากกว่านี้ ปีศาจเราต้อนรับแขกไม่บ่อยนัก” กัปตันมาซูลโค้งศีรษะให้เช่นกัน

          “ยินดีที่ได้พบค่ะ” ไมริฟพูดอย่างอ่อนเพลีย “ปกติแล้วผู้หญิงในเผ่าพันธุ์ข้าจะทักทายผู้ชายต่างเผ่าด้วยการกอด แต่สภาพข้าตอนนี้คงไม่เหมาะจะทำอย่างนั้นนัก”

          “ข้าจะปล่อยให้ท่านได้พักผ่อน” โซลิแทร์หยิบหน้ากากกับสนับแขนติดกรงเล็บเหล็กมาสวม เขาคงถอดสนับแขนออกตอนเช็ดหน้าให้เธอ เพื่อไม่ให้มันพลาดไปกระแทกหัวเธอแตกหรือบาดหน้าเธอเหวอะ “นอนเยอะๆ นะไวลด์แฟง จะได้ฟื้นตัวเร็ว”

          เซซิลและกัปตันมาซูลช่วยเขาดับตะเกียงทุกดวงในห้อง เปิดประตูออกไปอย่างเงียบเชียบ ไมริฟคงหลับไปก่อนที่พวกเขาจะออกจากห้องเสียอีก เธอทั้งหนาวทั้งอ่อนเพลีย ต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นตัว

          “ว่าไง” โซลิแทร์ถามขณะปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา

          “ท่านบอกว่าระหว่างที่เดินทางกลับมานั้น ท่านเห็นค่ายเล็กๆ ของพวกโฮเซ่อยู่ที่ดินแดนร้าง ไม่ไกลจากเขตพื้นที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดทางทิศเหนืออย่างนั้นหรือ” เซซิลถามทันที

          “กำลังตั้งค่ายกันอยู่ตอนที่ข้าเห็น” โซลิแทร์พูดเสียงทึบๆ ผ่านหน้ากาก “น่าสงสัยว่าพวกนั้นเดินทางไกลข้ามซีกแผนที่มาทำอะไรแถวนี้”

          “จากแบร์ร็อคมาที่นี่ จะต้องเดินทางผ่านดินแดนร้างที่อยู่ระหว่างอาณาจักรไอซ์เมสกับอาณาจักรกาโกคอล น่าสนใจที่ไม่ถูกพวกเอลิลซุ่มโจมตี หากพวกเอลิลไม่รับรู้ ก็แสดงว่าจงใจปล่อยให้ผ่านมา” กัปตันมาซูลตั้งข้อสังเกต

          “พวกเอลิลอาจไม่สังเกตเห็น เพราะกองกำลังโฮเซ่ที่ว่านั่นมีจำนวนไม่น่าจะเกินสามร้อย” โซลิแทร์พูด “แต่ประเด็นคือ พวกโฮเซ่มีจุดประสงค์อะไรถึงเคลื่อนพลมาตั้งค่ายพักไกลขนาดนี้”

          “ค่ายที่ว่านั่นอยู่ใกล้อาณาจักรเราที่สุด” กัปตันมาซูลบอก “เดาได้ว่าพวกนั้นมีธุระกับเราแน่”

          “เยี่ยม ช่วงนี้มีคนมาเยือนอาณาจักรเราเต็มไปหมด ทั้งโฮเซ่ ทั้งฟอเรสเทอร์” โซลิแทร์ประชด

           “ท่านบอกว่าโฮเซ่กลุ่มนี้ถือธงสัญลักษณ์รูปตีนหมีติดหนามใช่ไหม” เซซิลถามต่อ

          “ถูกต้อง”

          “ข้านึกออกแล้วว่ามันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของตระกูลท็อกซ์ฟ็อกซ์”

          “ท็อกซ์ฟ็อกซ์อย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ทวนความจำ “จำได้ว่าเขาเคยร่วมปฏิบัติการกับกอร์ริน ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งซาโมโรว์ และข้าก็พอรู้มาด้วยว่า เขาไม่ชอบเผ่าพันธุ์ของเรานัก”

          “และข้าก็พอรู้เหตุผลของเขาด้วย” เซซิลบอก “หลายสิบปีก่อน เอโมลิลอาของท่าน ฆ่าท็อกซ์ฟ็อกซ์ผู้เป็นพ่อของเขา”

          “ทำไมเอโมลิลถึงทำอย่างนั้น” โซลิแทร์ขมวดคิ้วอยู่หลังหน้ากาก

          “ข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เอโมลิลเล่าให้ฟังว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์คนนี้ขว้างขวานใส่เขา ทำให้เขาบาดเจ็บ เขาจึงพุ่งหอกสวนกลับไป” เซซิลเล่า “ในสมัยนั้นท็อกซ์ฟ็อกซ์เป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคเสียด้วย ชุดเกราะที่เขาสวมติดริ้วธงไว้ที่หลังไหล่ข้างหนึ่ง”

          “แล้วท็อกซ์ฟ็อกซ์โจมตีเอโมลิลทำไม”

          “อย่างที่บอกไป ข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ข้าไม่ทราบ” เซซิลพูด “แต่มั่นใจได้เลยว่า ท็อกซ์ฟ็อกซ์คนลูกจะต้องเกลียดอาของท่านเข้าไส้”

          “ท่านคิดว่าที่เขามาตั้งค่ายใกล้ๆ กับอาณาจักรเรา ก็เพราะจะมาทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า” กัปตันมาซูลถามความเห็น

          “ถ้าใช่ ก็แสดงว่าอาจจะถูกกระตุ้นจากอะไรสักอย่างเร็วๆ นี้” โซลิแทร์ตั้งข้อสังเกต “เพราะอาของข้าก็ฆ่าพ่อของเขาตั้งนานแล้ว เขาเพิ่งมาเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้”

          “เขาจะมาด้วยอะไรก็ตาม ถ้าเขาไม่ชอบเผ่าพันธุ์ของเราอย่างที่พวกท่านว่า คิดว่าเขาก็คงไม่น่าจะมาดี” กัปตันมาซูลสันนิษฐาน

          “ท็อกซ์ฟ็อกซ์คนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคคนปัจจุบัน อีกทั้งยังรั้งตำแหน่งสมาชิกผู้ปกครองแบร์ร็อค” เซซิลเตือน “ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีเรื่องบาดหมางกับท็อกซ์ฟ็อกซ์ อาจนำไปสู่ความบาดหมางกับผู้มีอำนาจในแบร์ร็อคอีกหลายคน”

          “ก็ขึ้นอยู่กับว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์จะมาในรูปแบบไหน” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “โดยส่วนตัวแล้ว ข้าไม่ชอบเขาเลย ข้าไม่เคยชอบคนที่ไม่ชอบข้า เป็นนิสัยของปีศาจเรา ร้ายมาก็ร้ายตอบ”

          “ตั้งแต่เราได้แผ่นคำสาปมา ก็มีคนต่างเผ่าพันธุ์โผล่มาเยือนอาณาจักรเราเต็มไปหมด” กัปตันมาซูลลดเสียงเบาลงอีก “พวกท่านว่ามันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า”

           “นอกจากพวกแฮนดรัสแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าข้ามีแผ่นคำสาป” โซลิแทร์มั่นใจ

          “ว่าแต่ตอนนี้ เราก็ได้แผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งเล่มที่สองมาแล้ว” เซซิลพูด “จะเอายังไงต่อ หรือว่าท่านคิดจะไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง”

          “ข้าอาจเพี้ยน แต่ก็ไม่เพี้ยนขนาดนั้น” โซลิแทร์ตอบทันที “ใครจะลำบากเอาชีวิตไปเสี่ยงเพียงเพื่ออาวุธต้องคำสาปนั่น ข้าไม่ใช่เฮเวนล็อคนะที่สามารถขยาย ดัดแปลง และประยุกต์พลังงานของมันได้ สำหรับข้ากับคนอื่นๆ มันก็เป็นได้แค่ดาบที่อาจคมหรือแข็งแกร่งกว่าดาบทั่วไปเล็กน้อย แต่ต้องแลกกับความสูญเสียมากมายกว่าจะได้มันมา ไม่ล่ะอาจารย์เซซิล ข้าขอไม่หาเรื่องใส่ตัว”

          “เช่นนั้นเราจะทำอะไรกับแผ่นคำสาปดี” เซซิลถามต่อ

          “ตอนนี้ยังไม่ทราบ” โซลิแทร์ตอบตรงๆ “แต่อย่างน้อย แผ่นคำสาปมาอยู่ที่ฝ่ายเราก็ยังดีว่าไปอยู่ที่ฝ่ายอื่น”

          “เห็นด้วย” เซซิลพยักหน้า

          “ระหว่างนี้ เราควรเก็บเรื่องแผ่นคำสาปเป็นความลับ” โซลิแทร์ว่า “ส่วนเรื่องท็อกซ์ฟ็อกซ์ เราจะรอว่าเขาจะทำอะไรต่อไป เขามาตั้งค่ายอยู่ใกล้พื้นที่ของเราแล้ว คงจะมีการสื่อสารกับเราในอีกไม่นาน”

          เซซิลและกัปตันมาซูลพยักหน้า

          “จริงสิท่านลอร์ด” เซซิลนึกได้ “ท่านได้เติมเชื้อเพลิงในเตาผิงเพิ่มให้หัวหน้าวูดส์วาร์เด็นหรือยัง”

          “ข้าลืมไป” โซลิแทร์กุมหน้ากากตัวเอง “อ่อนใจจริงๆ กับความจำตัวเอง ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจัดการกับเตาผิงนั่นไปแท้ๆ ยังลืมที่จะเติมเชื้อเพลิง แต่เอาเถอะ ข้าวางถุงแร่เชื้อเพลิงไว้ข้างๆ เตาผิง เธอคงเติมเองได้ถ้ามันอ่อนไป”

          “เธอไม่ได้เติมแน่นอน ผู้หญิงฟอเรสเทอร์ไม่รู้วิธีใช้เตาผิงชนิดนั้น” เซซิลมั่นใจ “ท่านควรไปเติมไฟให้เธอนะท่านลอร์ด ไม่อย่างนั้นเธอนอนหนาวสั่นทั้งคืนแน่”

          “เธอได้ตื่นมาตกใจตะโกนใส่ข้าอีกน่ะสิ ให้เธอนอนอย่างนั้นล่ะดีแล้ว เธอคงเติมเองเรียบร้อย” โซลิแทร์พูดอย่างขี้เกียจ “เตาผิงนั่นมันออกแบบให้ใช้ง่ายจะตายไป ใครมันจะใช้ไม่เป็น”

          “เธอไม่ตื่นมาตะโกนใส่ท่านหรอก เพราะข้าเชื่อว่าตอนนี้เธอไม่ได้หลับ แต่นั่งขดตัวหนาวสั่นอยู่บนที่นอน” เซซิลเถียง

          “ข้าก็เชื่อว่าเธอนอนหลับสบายอยู่บนที่นอน หลังจากเติมเตาผิงให้ตัวเองเรียบร้อย แล้วก็จะสะดุ้งลุกขึ้นมาโวยวายเมื่อข้าเปิดประตูเข้าไป” โซลิแทร์เถียงกลับ

          “ถ้าอย่างนั้นเรามาเดิมพันกัน” เซซิลท้า “ถ้าเธอเป็นอย่างที่ข้าว่า ข้าจะตบกะโหลกท่านสักที เพื่อเตือนให้ท่านจดจำทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์กับพวกฟอเรสเทอร์ในครั้งนี้”

          “แต่ถ้าเธอเป็นอย่างที่ข้าว่า ข้าขอตบกะโหลกท่านนะ” โซลิแทร์สวนกลับกวนๆ

          “ย่อมได้”

          “ข้าว่า” กัปตันมาซูลหัวเราะชอบใจ “ข้าจะได้เห็นอะไรที่น่าจดจำแล้ว”

          โซลิแทร์เปิดประตูห้องเข้าไปอย่างแผ่วเบา ข้างในห้องค่อนข้างมืดเพราะดับตะเกียงทุกดวงแล้ว ไมริฟนั่งขดตัวอยู่บนเตียง กอดเข่ากับผ้าห่มไว้แน่น ตัวสั่นเทาด้วยความหนาว ไฟในเตาผิงที่อยู่ใต้เตียงนั้นดับสนิทเพราะไม่ได้มีการเติมเชื้อเพลิง

          “ขอตัวสักครู่” เซซิลยิ้มให้ไมริฟ แล้วดึงโซลิแทร์ไปให้พ้นจากประตูเพื่อไมริฟจะได้ไม่เห็น วินาทีต่อมาก็ฟาดฝ่ามือนักรบอันแข็งแรงเข้าที่หลังหมวกฮู้ดของโซลิแทร์ ทำเอาโซลิแทร์กระเด็นไปชนผนังข้างหน้าและถอยออกมาล้มหงายทีเดียว ไมริฟสะดุ้งยกมือปิดปากเมื่อได้ยินเสียง

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ!” กัปตันมาซูลขำจนตัวงอ

          “เชื่อเถอะว่า หิมะถล่มใส่หัวมันยังเบากว่าที่ข้าโดน” โซลิแทร์ลุกขึ้นมึนๆ

          “เป็นบทเรียนให้ท่านตระหนักว่า อย่าเพิ่งมั่นใจว่าตนเดาถูก โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีข้อมูลมากกว่า” เซซิลยิ้ม “ท่านอาจฉลาดกว่าข้าหลายเรื่องท่านลอร์ด แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ท่านต้องเรียนรู้จากข้า”

          “ขอบคุณสำหรับการชี้แนะ” โซลิแทร์คลำด้านหลังหมวกฮู้ด “แต่ข้าสงสัยมาสักพักแล้ว ท่านรู้ว่าผู้หญิงฟอเรสเทอร์ตกใจง่ายเวลาตื่นนอน รู้ว่าใช้เตาผิงเคลื่อนที่ไม่เป็น แล้วก็รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเธอมากมาย ทำไมท่านถึงรู้เกี่ยวกับผู้หญิงฟอเรสเทอร์มากขนาดนี้”

          “ท่านไม่รู้หรอกหรือ” กัปตันมาซูลยิ้มกริ่ม “อาจารย์เซซิลเคยคบหากับสาวสวยฟอเรสเทอร์คนหนึ่งเมื่อตอนที่เขาอายุน้อยกว่าท่านตอนนี้เสียอีก”

          “ท่านไปรู้มาจากไหน” เซซิลหันขวับไปหา

          “ไม่เอาน่า ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่รู้ เรื่องนี้มันเล่าขานกันมาจนพวกนักรบรุ่นใหม่ๆ รู้กันครึ่งกองทัพแล้ว” กัปตันมาซูลหัวเราะอีกรอบ

          “ทำไมท่านไม่เล่าให้ข้าฟังเลย” โซลิแทร์หันไปหาเซซิลอย่างขบขัน “เธอเป็นใครหรือ ชื่ออะไร”

          “ท่าทางท่านอยากจะโดนตบอีกสักรอบ” เซซิลงึมงำ “ไปเติมเตาผิงได้แล้วท่านลอร์ด และเพื่อฝึกให้ท่านมีทักษะในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับพวกฟอเรสเทอร์ ท่านควรจะมาเติมเตาผิงให้เธอทุกวัน มันเป็นหน้าที่ของท่านแล้ว และคอยดูแลเธอดีๆ ด้วยล่ะ”

          โซลิแทร์เดินเข้าไปในห้อง โซเซเล็กน้อยเพราะยังไม่หายมึน

          “เป็นอะไรหรือเปล่า” ไมริฟถามอย่างกังวล

          “อภัยให้ด้วยที่ปล่อยให้ท่านหนาว ความขี้ลืมของข้าทำให้ข้าไม่ได้เติมเตาผิงให้ท่าน” โซลิแทร์ลากเตาผิงติดล้อออกมาจากใต้เตียง หมุนสลักเปิดตะแกรงออกเพื่อเติมแร่เชื้อเพลิงลงไป “แต่ไม่ต้องกังวล จากนี้ไปข้าจะคอยมาเติมให้ท่านเอง”

 

**************

 

            ไม่กี่วันต่อมา หลังได้ได้พักฟื้น รวบรวมสติ และปรับตัวได้ในระดับหนึ่งแล้ว ไมริฟก็เริ่มคุ้นเคยกับพวกดาร์คเนสดีวิลมากขึ้น เริ่มจะไม่หวาดระแวงกัน ปฏิสัมพันธ์กันได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่มันไม่เหมือนกับที่กาโกคอล นั่นทำให้เธอรู้สึกว่าตนทำอะไรแปลกแยกจากคนรอบข้างไปบ้าง

            “ท่านใช้มือกินอาหารหรอกหรือ” โซลิแทร์มองเธอจัดการกับปลาย่าง

            “คนที่นี่ไม่ได้ใช้มือกินหรอกหรือ” เธอแปลกใจ

            “ไม่ค่อยได้ใช้ ส่วนใหญ่เราใช้อุปกรณ์ที่เรามี” โซลิแทร์เอื้อมไปหยิบมีดที่วางอยู่ข้างจานเธอ

            “นั่นมันมีดที่ใช้เป็นอาวุธไม่ใช่หรือ”

            “ใช่ แต่ก็เอามาใช้กินได้เหมือนกัน” โซลิแทร์ว่า “ปีศาจเรามักจะใช้สิ่งของที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด แล้วเราก็นิยมความเรียบง่าย อะไรที่มันเอนกประสงค์เราจะนิยมมาก สงครามเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ต้องทำอะไรให้มันง่ายเข้าไว้ อย่ากังวลเลย เล่มนี้ข้ายังไม่ได้เอาไปแทงใครตาย ถ้าข้าจำไม่ผิดนะ”

            “ขอบคุณ แต่ข้าถนัดกินมือมากกว่า” ไมริฟหยิบชิ้นปลาเข้าปาก “เผ่าพันธุ์ของข้ามักจะกินหน้ากองไฟกลางแจ้งคล้ายๆ กับเผ่าพันธุ์ของท่าน เราจะใช้ใบไม้เป็นจาน”

            “ความจริงแล้วพวกเราที่นี่ก็ไม่ได้มีที่กินเป็นหลักเป็นแหล่งหรอก เรากินเพื่ออยู่ ไม่มีพิธีรีตองอะไร รีบๆ กินเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ ตรงไหนสะดวกก็กิน ข้าเองก็กินมาทุกที่ในฐานทัพนี้แล้ว บนกำแพง บนป้อม ขี่พาหนะบินอยู่กลางอากาศก็เคย” โซลิแทร์สาธยาย “อย่างที่บอกไป สงครามเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ต้องทำอะไรให้ง่ายเข้าไว้”

            “มิน่า ถึงมีแต่คนบอกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ค่อยมีวัฒนธรรม โดยเฉพาะพวกนักรบ” ไมริฟหัวเราะ

            “จริง” โซลิแทร์ยอมรับ “เพราะบางครั้งวัฒนธรรม มันก็คือสิ่งที่ถ่วงความเจริญทางความคิดอย่างหนักมาก”

            “ไม่มีผักบ้างหรือ” ไมริฟมองหาในจาน

            “คิดว่าแถวนี้มันจะปลูกผักขึ้นหรือ” โซลิแทร์หัวเราะ “เสบียงที่ข้ายึดจากโอมิลรอนตอนนี้มันหมดแล้ว เพราะข้าแบ่งครึ่งหนึ่งให้ทางฝ่ายพลเรือนด้วย ตอนนี้เราจึงเริ่มกลับมาฝืดเคืองเรื่องอาหารเหมือนเดิม ในระยะยาวจะมีปัญหาแน่นอน เพราะกองทัพของเรามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ”

            “เผ่าพันธุ์ของข้าไม่เคยขาดแคลนเรื่องอาหารเลย แม้ในช่วงสงครามหนักๆ ก็ไม่มีใครอดอยาก อาณาจักรของเราอุดมสมบูรณ์มาก” ไมริฟพูดไปกินไป “เราทุกคนจะอาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างบนต้นไม้ และหลังบ้านของทุกคนจะมีแปลงผักปลูกไว้กินเอง ฟอเรสเทอร์แทบทุกคนจะมีทักษะเรื่องการเพาะปลูก เหมือนที่ดาร์คเนสดีวิลแทบทุกคนจะมีทักษะเรื่องเครื่องเหล็ก”

            “ฟังดูดีมากเลย มีอาหารอยู่หลังบ้าน หิวก็ไม่ต้องออกไปล่าที่ไหนไกลๆ หรือนั่งตากหิมะรอปลาติดเบ็ดเป็นชั่วโมง” โซลิแทร์พูดอย่างอิจฉา “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกฟอเรสเทอร์ถึงไม่ดิ้นรนที่จะก้าวหน้านัก จะดิ้นรนไปเพื่ออะไร ในเมื่อมีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว ความก้าวหน้าไม่ได้ทำให้เกิดความสุข แต่การไม่ต้องดิ้นรนต่างหากคือความสุขที่แท้จริง พวกท่านไม่ได้โง่หรือล้าหลังอย่างที่เผ่าพันธุ์อื่นเข้าใจ แต่พวกท่านฉลาดที่จะใช้ชีวิตอย่างพอดีมีความสุข บางที ในเรื่องการใช้ชีวิต พวกท่านอาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดก็ได้”

            “พูดได้ดี” ไมริฟส่งยิ้มให้เขา “นี่ รู้ไหมโซลิแทร์ ข้าเรียกท่านว่าโซลิแทร์ได้ไหม ท่านจะเรียกข้าว่าไมริฟก็ได้”

            “ตกลงไมริฟ”

            “นี่ รู้ไหมโซลิแทร์” ไมริฟพูดต่อ มองเขาอย่างพิจารณา “ตอนแรกที่เห็นท่าน ข้าคิดว่าท่านเป็น--”

            “ผู้หญิง” โซลิแทร์ถอนหายใจอยู่หลังหน้ากากอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ทำไมพวกผู้หญิงที่เห็นข้าถอดหน้ากาก ถึงต้องคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงกันหมด ข้าถูกทักอย่างนี้มาตั้งแต่อายุสิบสี่แล้วนะ”

            “ก็ท่านเหมือนจริงๆ นี่” ไมริฟหัวเราะ “บอกได้ไหมว่าใช้อะไรทาหน้า หน้าท่านเนียนจนข้าอิจฉา คิ้วท่านก็เรียวๆ คมๆ แล้วขนตาท่าน บอกมาเสียดีๆ ว่าทำอะไรกับมัน มันยาวกว่าขนตาข้าอีก”

            “คืออย่างนี้” โซลิแทร์ลดเสียงลงเหมือนเป็นเรื่องสำคัญมาก “หลังจากที่ท่านฆ่าทหารมนุษย์สักคน ท่านก็ควักเครื่องในของเขาเอามาทาหน้า หาม้ามให้เจอ นั่นน่ะส่วนสำคัญที่สุด อย่าทำหน้าอย่างนั้น ไม่เคยได้ยินเพลงม้ามเอ๋ยม้าม เจ้าคือยาวิเศษหรือไง ขยี้ให้ละเอียดแล้วทาหน้า กินเข้าไปด้วยก็ดี จากนั้นเอาหน้าไปลนไฟสักครึ่งชั่วโมง ทำอย่างนี้สักสามวัน”

            “ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ” ไมริฟทำหน้าคลื่นไส้

            “ก็ล้อเล่นน่ะสิ” โซลิแทร์หัวเราะ “หรือถ้าท่านเชื่อว่ามันได้ผลดีจริงๆ ก็ลองดู แต่ข้าไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นหากเกิดอะไรกับหน้าของท่าน”

            “ผู้ชายปีศาจนี่นะ” ไมริฟหัวเราะ โยนก้างปลาใส่โซลิแทร์

 

*****************

 

            แม้ว่าเสื้อผ้าที่ไมริฟนำมาด้วยจะสูญหายไป แต่เธอก็ไม่เสียดายนัก หลังจากพบว่าเสื้อผ้าของแม่โซลิแทร์มีแต่ชุดสวยๆ ทั้งนั้น มีทั้งชุดชาวป่าแบบฟอเรสเทอร์ ชุดสีดำแบบดาร์คเนสดีวิล และชุดที่ออกแบบเป็นงานศิลป์แบบมนุษย์

            “เธอสูงกว่าข้านิดหน่อย แต่สัดส่วนก็ใกล้เคียงกับข้าเลย” ไมริฟยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจก ชุดที่เธอสวมเป็นชุดบางๆ แบบฟอเรสเทอร์ เหมาะสำหรับสวมขนสัตว์ทับ “ไม่ค่อยเห็นชุดแบบนี้นักหรอก รูปลักษณ์มันต่างจากในเมืองของข้า แม่ท่านมีชุดสวยเต็มไปหมดเลย คงจะรักสวยรักงามมาก”

            “ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก” โซลิแทร์เก็บชุดหลายตัวที่ไมริฟถอดไว้หลังจากลองสวม “ข้าแค่เอามาให้ท่านบางส่วนในบรรดาชุดเป็นร้อยๆ ของเธอที่ตกทอดมาถึงข้าหลังจากที่เธอตาย แม่ข้าน่าจะเป็นพวกหลงในรูปลักษณ์ตนเองเป็นพิเศษ เดินทางไปไหนก็หอบเสื้อผ้าไปด้วยเป็นโหล หากเอาเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอมากองรวมกัน คงทำเรือเดินสมุทรจมได้ทีเดียว ก็ไม่แปลกนักหรอก แม่ของข้าเคยเป็นเลขานุการของผู้มีตำแหน่งสูงในกาโกคอล สิ่งที่เธอทำก็คงแค่ชงเครื่องดื่มให้เขา แต่งตัวสวยๆ คอยเดินตามเขาต้อยๆ อวดโฉมเป็นหน้าเป็นตาให้เขาดูมีบารมีมากขึ้น แต่งตัวสวยๆ อำนวยความสะดวกให้เขาในเรื่องยิบๆ ย่อยๆ ที่เขาขี้เกียจทำ แต่งตัวสวยๆ ส่วนเรื่องการเมือง การสงคราม หรือการทำการที่มีสาระ มั่นใจได้เลยว่า มีเธออยู่ก็เหมือนไม่มี”

            “เธอคงสวยมากทีเดียว” ไมริฟหยิบอีกหลายชุดขึ้นมาดู

            “ก็ต้องสวยมากอยู่แล้วล่ะ เพราะได้ยินว่าเธอปั่นหัวผู้ชายมาแล้วไม่รู้กี่คน” โซลิแทร์งึมงำ “เธอท้องกับพ่อข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงโยนข้ามาให้เขาเลี้ยง พ่อของข้าต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามตามแต่พวกมนุษย์จะจิกหัวใช้ เพื่อนๆ ของเขาจึงช่วยกันดูแลข้าเท่าที่จะทำได้ ข้าเติบโตมาพร้อมกับเสียงตีเหล็ก เสียงอาวุธกระทบกระแทก และเสียงร้องระงมของคนเจ็บ ข้าไม่เคยสะดุ้งสะเทือนเมื่อเห็นเลือดหรือคนตาย ข้าเห็นมันมาตั้งแต่จำความได้ ตอนที่ข้าหัดพูด คำแรกที่ข้าพูดได้คือ สงคราม

 

************

 

            สิ่งที่ยังเป็นปัญหากับไมริฟคืออากาศหนาว แม้จะสวมขนสัตว์ แต่เธอก็ยังอบอุ่นไม่เพียงพอเสียที ฟรอสท์ไอรอนแคลดหนาวเย็นขึ้นอีกเมื่อดวงดาวเสียความสมดุล ปกติแล้วฟอเรสเทอร์ไม่ชอบแดด แต่เธอก็อยากให้มีแดดบ้างเพื่อลดทอนความหนาว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอแยกไม่ออกว่าตอนไหนกลางวันตอนไหนกลางคืน เพราะท้องฟ้ามืดตลอดเวลา เธอจึงไม่ค่อยอยากออกมาเผชิญกับความหนาวในที่แจ้งนัก ทั้งที่เคยใฝ่ฝันมาแต่เด็กว่าอยากเล่นหิมะดูสักครั้ง

            “ที่นี่มันจะเลิกหนาวสักวินาทีได้ไหมนี่” เธอเดินกอดตัวเองอยู่บนพื้นหิมะ หายใจออกมาเป็นไอขาว

            “กินนี่สิ” โซลิแทร์ยื่นหินผิวมังกรให้ก้อนหนึ่ง

            “หินแต่งอ่างปลาหรือ”

            “ไมโนลล์โพรฟคงไม่ได้พูดเกินจริง เรื่องที่มีแต่คนเล่นมุขนี้” โซลิแทร์หัวเราะ “มันกินได้ไมริฟ แล้วท่านจะรู้สึกว่าความเย็นเป็นปัญหากับท่านน้อยลง”

            ไมริฟกินเข้าไป สีหน้าไม่สู้ศรัทธานัก แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับสภาพกับอุณหภูมิอากาศ เธอก็ค่อยๆ ยิ้มออก แล้วกลายเป็นหัวเราะอย่างดีใจ

            “วิเศษไปเลย” เธอหมุนตัวไปรอบๆ อย่างชื่นบาน ถอดเสื้อหนาวขนสัตว์ให้โซลิแทร์ถือ “ท่านพูดถูกความเย็นไม่เป็นปัญหากับข้าอีกแล้ว ข้า--” เธอกระโจนลงไปในกองหิมะ โกยหิมะให้ตกลงมาใส่ตัวเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ “--ข้าอยากจะทำแบบนี้มานานมากแล้ว หินของไมโนลล์นี่ยอดเยี่ยมจริง ข้าเล่นหิมะได้สบายๆ ไม่หนาวเลย แก้ผ้าเล่นก็ยังได้”

            “หวังว่าท่านจะไม่ทำจริงๆ” โซลิแทร์รีบพูดขำๆ “นักรบดาร์คเนสดีวิลส่วนใหญ่ที่นี่เพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงแก้ผ้ามาก่อน คงปรับสติกันไม่ถูก”

            “ท่านก็ด้วยหรือ” ไมริฟพลิกตัวบนหิมะ หันมายิ้มให้เขาอย่างมีเลศนัย

            “นี่ สาบานได้ วันนั้นข้าพูดความจริง ข้าไม่ได้เห็นท่านเปลือยจริงๆ นะ” โซลิแทร์ยิ้มอายๆ อยู่หลังหน้ากาก “พวกภูตเงาดูแลท่านตลอดตอนที่ท่านไม่ใส่เสื้อผ้า ข้าแค่ไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้ภายหลัง”

            “แล้วผู้หญิงคนอื่นล่ะ” ไมริฟเท้าคางมองเขา “ท่านก็ไม่เคยหรือ”

            “ไม่เคย”

            “น้ำเสียงไม่ค่อยน่าเชื่อนะ”

            “ไม่เคยจริงๆ” โซลิแทร์ส่ายหน้าหัวเราะ “ถามแต่ข้านะ แล้วท่านล่ะ”

            “เท่าที่จำได้ ไม่นะ” ไมริฟนอนนึก “ข้าก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงแก้ผ้าเหมือนกัน”

            “เคยเห็นแต่ผู้ชายแก้ผ้าอย่างนั้นสิ” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก เอียงคอ

            “นี่ ข้าอายุตั้งร้อยสามสิบห้าปีแล้วนะ จะไม่เคยได้ยังไง” ไมริฟหัวเราะ “ข้าว่าท่านพยายามออกนอกเรื่องนะ บอกมาเสียดีๆ ว่าผู้หญิงเปลือยคนแรกที่ท่านเห็นชื่ออะไร”  

            “ก็ได้” โซลิแทร์ยอมตาม “ข้าไม่รู้ชื่อเธอหรอก ข้าเรียกเธอว่ามังกรดำ เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น แต่สิ่งที่ข้าเห็นชัดเจนที่สุดคือไฟสีน้ำเงินจ้าๆ ที่พุ่งออกจากปากเธอ ข้ากับบราวน์บีเซลเผ่นหนีกันสุดชีวิต จนวิญญาณแทบจะตามร่างไม่ทัน”

            ไมริฟหัวเราะชอบใจ นอนกลิ้งไปบนหิมะ

 

***************

 

            อย่างไรก็ตาม ไมริฟก็ไม่ลืมว่าตนมีธุระที่นี่ โซลิแทร์ก็ไม่ได้โง่ เขาพอเดาได้ว่าเธอพยายามทำตัวให้คุ้นเคยกับเขาเพื่อจะได้เจรจาง่ายขึ้น ดังนั้นระหว่างเขากับเธอจึงมีการพูดคุยกัน พวกฟอเรสเทอร์ต้องการให้พวกดาร์คเนสดีวิลช่วยให้การสนับสนุนเรื่องสงคราม หากพวกเอลิลเล็งอาณาจักรกาโกคอลเป็นเป้าหมายแรก แน่นอนว่าโซลิแทร์คิดหนัก ในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ แต่ละฝ่ายก็อยากปกป้องตัวเอง ไม่ค่อยอยากจะไปช่วยคนอื่นนัก ดังนั้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ โซลิแทร์จึงอยากทราบถึงประสิทธิภาพในการรบและการป้องกันของพวกฟอเรสเทอร์เสียก่อน

          “กลยุทธ์ตั้งรับที่พวกท่านสันทัดที่สุดคืออะไร” โซลิแทร์ถาม เขายืนอยู่ในห้องประชุมในป้อมปราการดำ เป็นห้องที่ใช้วางแผนการรบ เบื้องหน้าคือโต๊ะโลหะตัวยาวที่สลักแผนที่ดวงดาวไว้บนผิวโต๊ะ เซซิลและกัปตันมาซูลก็ยืนฟังอยู่ที่โต๊ะด้วยเช่นกัน

          “ซุ่มยิงจากป่านอกเมือง อาศัยความได้เปรียบของพื้นที่และการมองเห็นในที่มืด” ไมริฟตอบ

          “หน่วยรบส่วนใหญ่ของพวกท่านคือ” โซลิแทร์ถามต่อ

          “นักธนูแน่นอนอยู่แล้ว เกือบทั้งหมดเลย อาจมีอาวุธระยะไกลอื่นๆ ด้วย เช่นหอกอากาศ มีดสั้น บูมเมอแรง แต่ก็มีนักรบบางส่วนที่พอถนัดต่อสู้ในระยะประชิด เช่นข้า” ไมริฟตอบ

          “บางส่วนที่ว่านี้มีมากไหม”

          “ประมาณหกเปอร์เซ็นต์ของนักรบทั้งหมดได้”

          “น้อยเกินไป มันจะมีปัญหาหากข้าศึกของพวกท่านหาวิธีรับมือกับธนูได้” โซลิแทร์เตือน “โดยเฉพาะเมื่อหน่วยรบทั้งหมดของพวกท่านมีแต่นักรบเกราะเบา หากนักรบเกราะหนักของฝ่ายตรงข้ามเข้าถึงตัวเมื่อไหร่ พวกท่านจะตายเป็นเบือ”

          “ที่ผ่านมา กลยุทธ์ซุ่มยิงจากในป่าของเราทำให้พวกข้าศึกเกราะหนักเข้าถึงตัวเราได้ยาก” ไมริฟชี้แจง “ความหนาแน่นของป่าทำให้พวกนั้นจัดขบวนไม่ได้ ทหารม้าก็ผ่านลำบาก ไม่มีพื้นที่ให้เครื่องกลสงครามผ่านด้วย ป่าที่ว่านี่แหละคือปราการที่สำคัญที่สุดของเรา”

          “หากว่าข้าศึกผ่านแนวป่าไปได้ล่ะ พวกท่านจะทำอย่างไร” โซลิแทร์ถาม

          “ผ่านป่าไปจะเป็นที่ราบโล่ง มีต้นไม้ประราย ที่ซึ่งเราตั้งเมืองหลวงไว้ที่นั่น” ไมริฟชี้แผนที่ที่สลักบนโต๊ะโลหะ “เรามีกำแพงอีกสองชั้น และมีปราสาทต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้เป็นปราการได้หากจำเป็น แต่หวังว่าจะไม่ได้ใช้ เพราะมันไม่ได้ถูกสร้างไว้สำหรับรับศึก แล้วมันก็เป็นประติมากรรมเก่าแก่ที่สวยงามตกทอดมาช้านาน เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์เรา”

          “กำแพงสองชั้นที่ท่านว่า” โซลิแทร์เริ่มคิดประเมิน “สูงประมาณไหน’

          “ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกำแพงพวกท่าน” ไมริฟตอบ

          “พื้นที่บนเชิงเทินล่ะ”

          “ความกว้างไม่เกินสามเมตรครึ่ง”

          “ชัดเจนเลยว่าเอาเครื่องกลสงครามขึ้นไปบนกำแพงไม่ได้” โซลิแทร์ว่า “แล้วกำแพงของพวกท่านสร้างจากอะไร”

          “ทั้งกำแพงและประตูกำแพงล้วนทำด้วยไม้” ไมริฟตอบ

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ไม้” โซลิแทร์กุมหน้ากาก “ท่านเรียกสิ่งนี้ว่ากำแพงหรือ”

          “มันไม่ใช่ไม้ธรรมดานะ เป็นไม้ชนิดพิเศษ มีความแข็งแกร่งพอตัว เนื้อไม้มีความเหนียวแน่นยืดหยุ่น รับแรงกระแทกได้ดี แล้วก็ไม่ติดไฟง่ายๆ ด้วย” ไมริฟพยายามหาข้อดี “ไม่จำเป็นต้องแข็ง เราก็แข็งแกร่งได้ อย่าลืมสิ ค้อนทุบหินแตก แต่มันก็ไม่สามารถทุบผ้าบางๆ ให้แตกได้”

          “จะยังไงก็เถอะ กำแพงของท่านเป็นแบบนี้ทั้งสองชั้นเลยหรือ” โซลิแทร์ถาม

          “กำแพงชั้นที่สองจะไม่แข็งแกร่งเท่าชั้นแรก แต่ก็ใช่ มันทำด้วยไม้เหมือนกัน”

          “แสดงว่าป้อมและหอคอยที่เชื่อมต่อกับกำแพง จะต้องทำด้วยไม้เหมือนกัน”

          “เดี๋ยวก่อนนะ มันควรจะมีป้อมและหอคอยเชื่อมต่อกับกำแพงด้วยหรือ”

          “พวกท่านมีเครื่องกลสงครามสำหรับป้องกันเมืองไหม” โซลิแทร์ถามต่อ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยกมือมาก่ายหน้าผากแบบคนหมดหวัง

          “มีแค่ไม่กี่เครื่อง คือเราแทบไม่เคยใช้เลย ส่วนใหญ่สู้รบในป่าตลอด” ไมริฟอธิบาย

          “เป็นแบบไหนหรือ เครื่องกลที่ท่านว่า”

          “ก็เครื่องโยนหิน”

          “เครื่องโยนหิน” โซลิแทร์ทวนคำเครียดๆ “พวกท่านพอทราบไหมว่า ปัจจุบันมีการใช้ดินปืนและสารเคมีไวไฟในการสร้างอาวุธหนักแล้ว”

          “ก็เผ่าพันธุ์ข้าไม่สันทัดใช้เครื่องกลนี่” ไมริฟยิ้มอายๆ “อย่างที่บอกไป เรามักจะซุ่มยิงในป่า”

          “พวกท่านมีทัพเรือไหม” โซลิแทร์ถามต่อ

          “ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร มีหลายเมืองของเราที่ติดทะเล เราเคยล่องเรือบ้าง” ไมริฟชี้ในแผนที่ “แต่เราก็ไม่มีกองเรือจริงๆ จังๆ หรอก เราไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ชอบรบทางไกลขยายดินแดนเหมือนพวกมนุษย์”

          “ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเอลิลยังไม่น่าจะมีกองเรือ” โซลิแทร์ว่า “แต่พวกนั้นมีกองทัพอากาศ และเป็นทัพอากาศที่มีแสนยานุภาพสูงด้วย พวกท่านมีหน่วยรบทางอากาศไหม”

          “เรามีไวเวิร์นอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่มากนัก” ไมริฟตอบ “นักแม่นธนูของเราสามารถขี่พวกมันขึ้นไปยิงสู้รบบนฟ้าได้”

          “เจ้าสัตว์ปีกตัวเล็กนั่นน่ะหรือ” โซลิแทร์ไม่สู้ศรัทธานัก “ทั้งหน่วยก้าน ความแข็งแกร่ง และความดุร้ายสู้พวกฟาร์ดาราสไม่ได้แน่ แล้วพวกท่านมีถึงร้อยตัวไหม”

          “ไม่ถึง”

          “ถึงห้าสิบตัวไหม”

          “ไม่ถึง”

          “ถึงสามสิบตัวไหม”

          “เกือบๆ น่ะ”

          “อาวุธของพวกท่าน” โซลิแทร์ถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ส่วนใหญ่ใช้อะไรเป็นวัสดุ บอกข้าทีว่าไม่ใช่ไม้”

          “ไม้” ไมริฟพยักหน้า “แต่เราก็พัฒนาให้ส่วนปลายอาวุธเป็นโลหะ คือโลหะเป็นสิ่งที่หาค่อนข้างยากในอาณาจักรของเรา แล้วเราก็ไม่ค่อยมีทักษะเรื่องเครื่องเหล็ก”

          “พวกท่านสวมเกราะหนัง ใช้อาวุธที่เป็นไม้ หิน และกระดูก ขณะที่บรรดาข้าศึกของพวกท่านหุ้มเกราะเหล็กทั้งตัว มาพร้อมกับดินปืนและเปลวไฟ” โซลิแทร์กลอกตา “อภัยให้ด้วย แต่ไม่ขอปิดบังล่ะว่า ข้าคงคิดหนักทีเดียว หากมีเหตุการณ์ให้ต้องร่วมรบกับพวกท่าน”

          “ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ ข้าคงไม่เสี่ยงตายมาที่นี่” ไมริฟพูดแกมขอร้อง “เรารู้ตัวว่าอ่อนแอและล้าหลัง ขณะที่ข้าศึกของเราช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน เป็นไปได้สูงว่าพวกนั้นจะกำจัดเราเป็นฝ่ายแรก เราจึงมาขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน ได้โปรด เรามีศัตรูคนเดียวกัน”

          “เรื่องนี้” โซลิแทร์พูดกลางๆ “ข้าขอเวลาตัดสินใจ เพราะข้าต้องตรวจสอบประสิทธิภาพคนของข้าว่ามีความพร้อมในการสู้รบนอกพื้นที่แค่ไหน มีปัจจัยใดๆ ที่เอื้ออำนวยหรือเป็นปัญหาหรือเปล่า เพราะอย่างที่ท่านคงทราบ เราไม่สันทัดเรื่องการรบนอกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เราไม่คุ้นเคย เรื่องนี้ต้องคิดให้ดี”

          “ข้าเข้าใจ” ไมริฟพยักหน้า

          “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอคุยกับสมาชิกผู้นำคนอื่นๆ สักครู่เป็นการส่วนตัวนะ” โซลิแทร์ขออนุญาต

          ไมริฟเดินออกจากห้องประชุม ปิดประตูตามหลัง โซลิแทร์หันไปหาเซซิลและกัปตันมาซูล

          “ท่านว่ายังไง” เซซิลถาม พยายามไม่หัวเราะ “จะร่วมมือกับพวกฟอเรสเทอร์ไหม”

          “ร่วมมือกะผีน่ะสิ” โซลิแทร์ว่า “ท่านก็ได้ยินแล้วนี่ว่า การป้องกันของพวกฟอเรสเทอร์นั้น มันมีช่องโหว่แค่ไหน ทั้งกำแพง เครื่องกลสงคราม กลยุทธ์ที่ใช้รับศึก เราส่งคนไปสู้ในฐานที่มั่นที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเช่นนั้น ไม่เท่ากับส่งไปตายเปล่าหรือ แนวป้องกันเดียวที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ของพวกฟอเรสเทอร์ คือป่านอกเมือง”

          “พื้นที่ป่าตรงนั้น ไม่เอื้อต่อความถนัดของเรา” กัปตันมาซูลชี้ในแผนที่ “เราไม่ได้มีสายตากลางคืนแบบพวกฟอเรสเทอร์ ปีนต้นไม้ก็ไม่เก่ง ใช้อาวุธระยะไกลก็ไม่แม่นขนาดนั้น เกราะเหล็กที่เราสวมก็ไม่เหมาะแก่การพรางกาย และยังจะทำให้เชื่องช้าหากต่อสู้ในป่าแบบนั้น” เขาสาธยายมาทีละข้อ “ป่าหนาทึบเกินไป จะจัดขบวนตั้งรับก็ไม่ได้ ใช้กองทหารม้าก็ลำบาก รถม้าศึกยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วพวกฟอเรสเทอร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่สู้สงครามน้อยที่สุด ช่วงสิบปีล่าสุดนี้ก็แทบไม่ได้จับอาวุธเลย เราจะเชื่อมั่นประสิทธิภาพในการรบของพวกนั้นได้มากน้อยแค่ไหน”

          “เราเองก็ไม่ได้มีกองกำลังเหลือใช้ การรับศึกติดต่อกันหลายครั้งทำให้เราเสียหาย เราต้องใช้กองทัพที่มีอย่างระมัดระวัง” เซซิลเสริม “สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้ศัตรูของเราเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วกว่าครั้งไหนๆ นั่นทำให้เราต้องคิดมากขึ้นอีก มิหนำซ้ำยังมีพวกโฮเซ่ที่เรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างกัน หากท็อกซ์ฟ็อกซ์มาเผชิญหน้ากับเราอย่างไม่เป็นมิตร”

          “ถามความเห็นหน่อยสิ” โซลิแทร์ถามทั้งคู่ต่อ “พวกท่านคิดว่าเราจะได้อะไร สำหรับการร่วมมือช่วยเหลือพวกฟอเรสเทอร์”

          “ไม่น่าจะได้อะไรนักนะ” กัปตันมาซูลออกความเห็น “แต่มีโอกาสเสียเยอะเลยล่ะ”

          “ไม่ได้มีแค่พวกฟอเรสเทอร์ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง” เซซิลออกความเห็น “ในตอนนี้เราเองก็ยังร้อนๆ หนาวๆ กับชะตากรรมตนเองเหมือนกัน หากจะช่วยเหลือพวกนั้น ก็ต้องลดทอนความแข็งแกร่งของเราเอาไปช่วย เกรงว่าจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมา”

          “ข้าอาจไม่ค่อยเก่งเรื่องปฏิสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่น แต่ข้าก็พอรู้ว่าการปฏิเสธตรงๆ มันแสดงถึงความกระด้างกระเดื่องมากเกินไป” โซลิแทร์พูด “จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในอนาคตได้”

          “ถูก” เซซิลพยักหน้า “ท่านเริ่มเรียนรู้ได้มากขึ้นแล้ว”

          “ฉะนั้น ท่านควรหาทางปฏิเสธเธอนิ่มๆ หรือรอเวลาอีกสักหน่อยที่จะหาเหตุผลเพิ่ม” กัปตันมาซูลแนะนำ “ในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ หาเหตุผลที่จะไม่ช่วยเหลือไม่ยากหรอก”

 

**************

 

          ปกติแล้วพวกฟอเรสเทอร์จะพักผ่อนตอนกลางวันและใช้ชีวิตตอนกลางคืน ส่วนพวกดาร์คเนสดีวิลจะเริ่มใช้ชีวิตตอนสายๆ ใกล้เที่ยง และพักผ่อนช่วงดึกๆ หลังเที่ยงคืนไปแล้ว ดังนั้นเวลาใช้ชีวิตของทั้งสองเผ่าพันธุ์จึงไม่แตกต่างกันเกินไป ไมริฟจึงพอปรับเวลานอนให้ตรงกับพวกดาร์คเนสดีวิลได้ ถึงอย่างไรฟรอสท์ไอรอนแคลดในตอนนี้ก็มืดทึมตลอดเวลา จนแทบแยกไม่ออกว่ากลางวันหรือกลางคืน

          “ท่านคงต้องสอนข้าใช้มันบ้างแล้ว” ไมริฟนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง มองโซลิแทร์เติมเตาผิงให้เธอ เธอสวมชุดนอนสีเขียวสดตัวบางของแม่โซลิแทร์ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำต้มใบทูมสโตน กำลังรู้สึกสบาย

          “โปรดอย่าเกรงใจ เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องมาเติมให้ท่านทุกคืนอยู่แล้ว” โซลิแทร์ปิดฝาครอบเตาผิงและเลื่อนไปไว้ใต้เตียงเธอ “ขอแค่ท่านไม่ตะโกนใส่ข้าอีกก็พอ”

          “นี่ วันนั้นข้าขอโทษนะ ข้าทั้งมึนงงทั้งตกใจ” ไมริฟทำเสียงอ้อน “แล้ววันนั้นข้าก็ไม่ควรฉุนเฉียวใส่ท่านเลยที่หน่วยลาดตระเวนของท่านโจมตีข้า จริงๆ มันก็เป็นความผิดข้าเอง ข้าไปโจมตีพวกมันก่อน พวกมันถึงไล่ตามข้า”

          “ข้าเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน พวกเอเลนเซฟเวอรี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่นุ่มนวล พวกมันอาจทำตามคำสั่งข้า แต่ข้าก็ไม่สามารถให้พวกมันปฏิบัติตามความต้องการได้ละเอียดถี่ถ้วนเหมือนนักรบทั่วไป ยังไงพวกมันก็เป็นสัตว์ แค่นำมาใช้ในกิจสงครามได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว” โซลิแทร์พูด “แต่รู้ไหม ถ้าพวกมันไม่โจมตีท่าน ข้าก็คงไม่มีวันได้เห็นภาพที่น่าจดจำ”

          “ภาพอะไรหรือ”

          “ภาพท่านเอาเท้าเกี่ยวโกลนพาหนะแล้วห้อยหัวอยู่กลางอากาศน่ะสิ” โซลิแทร์พูดไปขำไป “ท่านรู้ไหม ตอนข้าจะเข้านอน เมื่อข้านึกถึงภาพท่านตอนนั้น ข้าถึงกับหัวเราะจนนอนไม่หลับ”

          ไมริฟเอาหมอนตีโซลิแทร์ หัวเราะตามเขา โซลิแทร์นั่งหัวเราะอยู่ที่พื้น ยกแขนป้องกันตัวเอง ตอนนี้เขาไม่สวมหน้ากากเพราะกำลังจะเข้านอน ชุดนอนที่เขาสวมคือชุดสีดำมิดชิดทั้งตัว มีผ้าคลุมฮู้ดสีดำสวมทับ คนละตัวกับที่สวมออกรบ มันเป็นผ้านุ่มและละเอียด เขามักจะสวมมันนอนหลับไปด้วย

          “นี่ขนาดในชุดนอน ท่านยังสวมถุงมืออีกหรือ” ไมริฟสังเกตถุงมือดำที่โผล่ออกมาจากเสื้อแขนยาวของโซลิแทร์

          “ก็ทำอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้” รอยยิ้มของโซลิแทร์หายไป คงไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้นัก

          “ทำไมถึงต้องสวมถุงมือตลอดเวลาด้วย” ไมริฟถามคำถามที่โซลิแทร์นึกอยู่แล้วว่าต้องถาม

          “ท่านไม่ชอบหรือ” เขาเลี่ยงประเด็น “ก็คงจะอย่างนั้น มันอาจจะหยาบๆ ไปหน่อย ทำให้ท่านรู้สึกไม่ค่อยดีตอนที่ข้าสวมมันเช็ดหน้าให้ท่าน ท่านจึงตื่นมาโวยวายใส่ข้า”

          “จะล้อข้าเรื่องนี้จนถึงวันที่ดาวดวงนี้มันแตกดับเลยไหม” ไมริฟอดขำไม่ได้ “จริงๆ มันก็ไม่หยาบหรอก ข้าว่ามันนุ่มและละเอียดดี ปกติแล้วฟอเรสเทอร์เราจะมีความสามารถเรื่องเครื่องหนัง ไม่ยักรู้ว่าดาร์คเนสดีวิลก็มีความสามารถเรื่องเครื่องหนังด้วย ไม่เคยเห็นหนังชนิดนี้มาก่อนเลย มันคือหนังอะไรหรือ”

          “มันไม่ใช่หนัง” โซลิแทร์ตอบ “มันคือใยโลหะสังเคราะห์ที่มีความละเอียดสูงเป็นพิเศษ อ่อนนุ่ม แต่เหนียวแข็งแกร่ง ทำเข็มหักได้ทีเดียว อาจารย์เซซิลอัจฉริยะจริงๆ เขาวิจัยมันขึ้นมาตอนอายุน้อยกว่าข้าตอนนี้เสียอีก ฟังดูเหลือเชื่อไหม สกัดเส้นใยจากโลหะสังเคราะห์ ความสามารถทางเคมีต้องยกให้เดอะ เจสเทอร์ นี่เป็นสาเหตุว่าในสมัยหนุ่มๆ เขาถึงไม่ถูกถอดออกจากตำแหน่งเสียที แม้ว่าเขามักจะทำตัวงี่เง่าปัญญาอ่อนเหลือรับ ตามที่ข้าได้ยินที่เขาเล่ามานะ”

          “ไม่มีอัจฉริยะคนไหนหรอกที่ไม่ทำตัวปัญญาอ่อน” ไมริฟยิ้ม ปรายตาไปทางโซลิแทร์

          “ข้าเติมให้อีกไหม” โซลิแทร์ชี้ไปที่แก้วทูมสโตนในมือของไมริฟ

          “พอแล้วขอบคุณ”

          “ท่านชอบมันไหม”

          “รักมันเลยล่ะ ดื่มแล้วรู้สึกดีมาก มันขมไปหน่อย ข้าเลยเติมน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้ลงไปให้มันหอมหวานขึ้น ของเหลวในกระบอกไม้ที่ข้านำมาเป็นของขวัญให้ท่านพร้อมกับเกล็ดมังกรดำน่ะ บางคนเรียกมันว่าน้ำหวานทิพย์ มันก็เป็นน้ำหวานทิพย์จริงๆ นะ” ไมริฟยกแก้วดมอย่างเคลิบเคลิ้ม “ผู้หญิงส่วนใหญ่น่ะชอบอะไรที่หวานๆ แต่ของหวานๆ กินเข้าไปมากๆ ก็อ้วน แต่น้ำเชื่อมนี่สกัดจากเกสรดอกไม้ กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แล้วยังช่วยบำรุงผิวอีก”

          “มิน่า ผู้หญิงฟอเรสเทอร์ผิวสวยกันทุกคน” โซลิแทร์ว่า

          “ลองดื่มดูไหม” ไมริฟยื่นแก้วให้เขา

          “อร่อยจริงๆ ด้วย” โซลิแทร์ดื่มไปอึกหนึ่ง “ก่อนหน้านี้บราวน์บีเซลเอาขนม มาช--อะไรสักอย่างนี่ล่ะจำชื่อไม่ได้ ขนมยอดนิยมของเผ่าพันธุ์เขา ไอ้ขาวๆ นุ่มๆ เหนียวๆ น่ะ เขาเอามาฉีกโรยหน้าทูมสโตน มันก็อร่อยเหมือนกัน ข้ายังจำคำพูดของเขาได้ ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่มาจากคนละเผ่าพันธุ์ มันจะเข้ากันได้ดี

          “นั่นสินะ” ไมริฟวางศีรษะไว้บนเข่า อมยิ้ม

          “ท่านจะดื่มอีกไหม” โซลิแทร์ยื่นแก้วให้ไมริฟ

          “ไม่แล้ว” เธอปฏิเสธ

          “งั้นข้าขอที่เหลือนะ” โซลิแทร์ดื่มต่อจนหมด คงอร่อยมาก “นี่ไมริฟ หัวหน้าเผ่าของท่านให้ของขวัญแก่ข้า แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะให้อะไรตอบแทนเธอดี ระยะหลังๆ นี้ปีศาจเราแทบไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่น เราจึงทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกนัก”

          “มันก็แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ” ไมริฟยิ้ม “สิ่งที่เธอมอบให้ท่าน มันก็ของธรรมดาไม่กี่ชิ้น”

          “ข้านึกออกแล้ว” โซลิแทร์นึกได้ “พรุ่งนี้อาเรนัส มาร์คาร์ ช่างตีเหล็กมือดีที่สุดของเรา จะเดินทางมาที่นี่ เพื่อนำตัวอย่างเครื่องกลสงครามชนิดใหม่มาให้ข้าทดสอบ ในเมื่ออาวุธท่านก็สูญหายไปแล้ว ทำไมไม่ให้เขาทำอันใหม่ให้ท่านล่ะ หัวหน้าเผ่าของท่านคงพอใจที่ข้ามอบอาวุธใหม่ให้แก่หัวหน้าวูดส์วาร์เด็นของเธอ”

          “ดาร์คเนสดีวิลเก่งมากเรื่องเครื่องเหล็ก แล้วข้าก็จะได้อาวุธใหม่ที่เป็นเหล็ก จากช่างเหล็กดาร์คเนสดีวิลที่เก่งที่สุดหรือ” ไมริฟตื่นเต้นใหญ่

          “เขาจะมาถึงพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ฉะนั้นนอนเสียนะ”

          โซลิแทร์ลุกขึ้น เก็บแก้วและเหยือกน้ำออกไปให้เธอ มืออีกข้างดับตะเกียงแต่ละดวงในห้อง

          “หลับฝันดีนะ” ไมริฟเอ่ยไล่หลัง ขณะที่โซลิแทร์เปิดประตูออกจากห้องไป

          “คงจะหลับยากอยู่” โซลิแทร์ยื่นหน้าผ่านช่องประตูมายิ้มให้อย่างขี้เล่น “เพราะไอ้ภาพที่ท่านเอาเท้าเกี่ยวโกลนแล้วห้อยหัวกลางอากาศ มันกลับเข้ามาในความคิดข้าอีกแล้ว”

          แล้วเขาก็รีบปิดประตูเมื่อหมอนใบหนึ่งพุ่งมาใส่ เอนหลังพิงประตูหัวเราะ ส่วนในห้องนอนนั้น ไมริฟก็นอนหัวเราะอยู่บนเตียงเช่นกัน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา