พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า
เขียนโดย Blackblood
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.
แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) บทที่ 23 ถ้ำเย็น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 23
ถ้ำเย็น
ทหารเอลิลนับพันนับหมื่นยืนเข้าแถวจัดขบวนกันเป็นหมวดเป็นกองอย่างเป็นระเบียบ อยู่ในฐานทัพเมืองเดธแอเรีย แต่ละคนสวมเกราะหนาสีเงินเป็นประกายทั่งทั้งตัว สวมหมวกเกราะที่มีกระบังหมวกปิดหน้าเป็นซี่ตะแกรงที่ถี่มากจนมองไม่เห็นหน้าของผู้สวม และมีแฉกครีบโค้งผ่านกลางยอดหมวก แต่ละหน่วยกองมีทั้งผู้ที่ใช้โล่ โล่ยาว หอกยาว ดาบ ปืนยาว และทหารม้าคละกันไป อกเสื้อเกราะของทุกคนมีตราสัญลักษณ์รูปหัวกะโหลกติดโครงกระดูกปีกนกสีเงิน ซิลเวอร์เดธ (Silver Death) ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์เอลิล ทหารเอลิลเหล่านี้ยืนตั้งแถวมาหลายวันหลายคืนแล้ว ไม่มีใครขยับเขยื้อนแม้แต่คนเดียว ชุดเกราะของพวกเขาจึงมีเกล็ดน้ำแข็งจับเกาะเล็กน้อย
แต่มีคนหนึ่งที่ขยับเขยื้อน นักรบเอลิลผู้ซึ่งติดพู่หางม้าสีเงินที่ยอดหมวกเกราะ แทนที่จะเป็นแฉกครีบโค้ง บอกให้รู้ว่าตำแหน่งสูงกว่าทหารเอลิลทั่วไป เขาเดินออกมาทำความเคารพผู้บัญชาการรักษาการณ์ เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสเพิ่งเดินทางกลับมาถึงที่นี่ มือเหล็กข้างหนึ่งถือแฟ้มเอกสารมาด้วย
“เรียนผู้บัญชาการเดลิลวาส” เอลิลคนนั้นยืนตรงทำความเคารพ เลื่อนกระบังหมวกที่เป็นตะแกรงถี่ๆ ขึ้น ดวงตาของเขาเป็นกลุ่มควันสีขาวแทนที่จะเป็นสีดำอย่างเอลิลทั่วไป “กองทัพเอลิลที่ท่านให้จัดเตรียมนั้น พร้อมแล้วสำหรับทำศึก”
เขาชี้มือไปยังเหล่าทหารเอลิลที่ยืนตั้งแถวกันอยู่ เดลิลวาสพยักหน้า
“ดีมากกัปตันโพรเฟด ในอีกหกชั่วโมง ข้าจะทำการเคลื่อนทัพมุ่งสู่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ณ เมืองหน้าด่านฟรอสท์ไอรอนแคลอด เราจะเริ่มศึกกับพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างเป็นทางการ ส่วนท่านกับกองเรือเหาะตรวจการณ์ของท่าน ให้เริ่มเคลื่อนพลไปยังกาโกคอลในอีกยี่สิบแปดชั่วโมงนับจากนี้ ทำการหยั่งเชิงและประเมินความสามารถของพวกฟอเรสเทอร์ การประเมินฝ่ายตรงข้ามถือเป็นเรื่องสำคัญ รู้เขารู้เรา ก็ถือว่ารบชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง”
“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว” กัปตันโพรเฟดพูด “ตามที่ท่านบัญชา”
“ท่านคงไม่พอใจในเรื่องนี้นัก” เดลิลวาสยิ้ม พ่นลมออกจากจมูกมังกร มีเปลวไฟพุ่งออกมาเล็กน้อย
“หน้าที่ของข้าในตอนนี้ คือปฏิบัติตามการบัญชาของผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ไม่สำคัญว่าจะพอใจหรือไม่”
“ในฐานะผู้บัญชาการรักษาการณ์ ข้าขอถามความเห็นท่านเกี่ยวกับการศึกของข้า” เดลิลวาสว่าต่อ
“ข้ามีความเห็นว่ากองกำลังของเรานั้น เพิ่มจำนวนไม่ทันต่อการใช้สอย” กัปตันโพรเฟดกล่าว “ท่านรีบร้อนส่งกองทัพไปทำศึกมากเกินไป แม้ว่าเราจะผลิตกองทัพได้เร็วกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่เราก็มีศัตรูหลายฝ่าย เราควรใช้สอยทรัพยากรสงครามอย่างระมัดระวัง”
“กลัวว่าเราจะมีกองทัพไม่เพียงพอสู้กับพวกนั้นในระยะยาวหรือ” เดลิลวาสถาม
“ถูกต้อง ท่านผู้บัญชาการ”
“เผ่าพันธุ์เฟลมฟอร์สอย่างข้าอาจไม่ฉลาดเท่าเอลิล แต่สำหรับเรื่องสงคราม พวกเราไม่เคยฉลาดน้อยกว่าใคร เฟลมฟอร์สคือเผ่าพันธุ์ที่รบเก่งที่สุดในดาวดวงนี้” เดลิลวาสพูดอย่างมั่นใจ “ท่านโปรดวางใจ ในระยะยาว เราจะมีกองทัพเพียงพอต่อการศึกแน่นอน อย่าลืมว่ายิ่งอากาศเย็น เรายิ่งผลิตประชากรเอลิลได้รวดเร็ว และประชากรเอลิลทุกคนล้วนเป็นทหารนักรบหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจสงคราม ขณะที่ประชากรของเผ่าพันธุ์อื่น มีผู้ที่ไม่มีประโยชน์ในสงครามเต็มไปหมด”
“อุณหภูมิของอากาศมันจะไม่เย็นไปมากกว่านี้อีกแล้ว” กัปตันโพรเฟดบอก
“แล้วถ้าข้าบอกว่า มันจะเย็นได้มากกว่านี้อีกล่ะ” เดลิลวาสย้อนถาม
“เช่นนั้น ข้าก็เคารพแผนการของท่าน” กัปตันเท็มเปิลโค้งศีรษะ
“ท่านก็เคารพแผนการของข้าตลอดมา เรื่องนี้ข้าชื่นชมท่าน” เดลิลวาสพูดอย่างให้เกียรติ “แม้จะเป็นเพราะไม่มีทางเลือกก็ตาม”
“การที่ท่านให้เผ่าพันธุ์เอลิลประกาศสงครามกับศัตรูหลายฝ่าย และทำศึกอย่างรีบร้อนนั้น มันอาจมีจุดประสงค์แอบแฝง ซึ่งจุดประสงค์ที่ว่านั่นก็อาจไม่ส่งผลดีต่อเอลิล” กัปตันโพรเฟดพูดเรียบๆ “แต่ในเมื่อไอซ์ครีเอเทอร์ยอมรับในข้อตกลงแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของข้า ที่จะปฏิบัติตามการบัญชาการของท่าน”
“ท่านเป็นชายผู้มีเกียรติ กัปตันโพรเฟด และเป็นนายทัพที่ภัคดีต่อเผ่าพันธุ์เอลิล เอลิลโชคดีที่มีท่านจนบัดนี้” เดลิลวาสค่อนข้างเน้นประโยคหลังสุด
“นั่นเป็นเพราะท่านและพี่น้องเซ็ทซาร์ดของท่านชุบชีวิตข้าขึ้นมาอีกครั้ง” กัปตันโพรเฟดเข้าใจเจตนา “หลังจากที่ถูกลินเลนธันตัดคอมานานแสนนาน”
“ชุบชีวิต เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นคืนได้ ที่ท่านฟื้นคืนได้ เป็นเพราะเหตุผลเดียว ท่านยังไม่ตาย” เดลิลวาสพูด “เอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตายยาก และท่านก็ตายยากกว่าเอลิลทั่วไป ท่านเป็นเอลิลที่พิเศษมากกัปตันโพรเฟด สมองของท่านไม่เหมือนกับสมองเอลิลคนอื่นๆ สังเกตจากที่ตาของท่านไม่ได้เป็นสีดำเหมือนเอลิลทั่วไป” เขาชี้ตาที่เป็นกลุ่มควันสีขาวของกัปตันโพรเฟด “ยามที่สมองของท่านไม่ได้รับพลังงานจากเลือด มันก็ไม่ได้เสียหายอย่างที่ควรจะเป็น มันแค่หยุดทำงานชั่วคราว กลายเป็นน้ำแข็งคงสภาพอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะมีใครมาฟื้นฟูท่าน มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะที่จะฟื้นฟูเอลิลผู้แสนพิเศษคนนี้กลับคืนมา แต่พวกเราเซ็ทซาร์ดก็มีความพิเศษเช่นกัน ร่างกายส่วนหนึ่งของเราเป็นเอลิล จอมพิชิตสร้างเราขึ้นมาจากส่วนผสมที่ใช้สร้างเอลิล เราจึงสามารถทำให้ท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บางคนเชื่อว่าท่านเป็นอมตะ บางคนเรียกท่านว่าอันไดอิ้ง” (Undying = ไม่รู้จักตาย)
“ไม่มีสิ่งใดในดาวดวงนี้ที่จะเป็มอมตะ” กัปตันโพรเฟดพูด “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้า”
“แน่นอนกัปตันโพรเฟด เราเซ็ทซาร์ดทั้งแปดคนย้ายสมองของท่าน สร้างร่างกายของท่านขึ้นมาใหม่ มันทำให้เรารู้ว่า อะไรคือจุดที่ทำให้ท่านตายอย่างถาวร” เดลิลวาสพูด ดูจะมีการขู่แอบแฝง “สร้างความเสียหายให้แก่สมองของท่านโดยตรง ฟันแทงเข้าที่หัว ยิงเข้าที่หัว หรือทุบด้วยของหนัก นั่นล่ะที่ฆ่าท่านได้”
“ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น” กัปตันโพรเฟดพูดต่อ “ฉะนั้น ข้าคือผู้ที่ห่างไกลจากคำว่าอมตะยิ่งนัก พวกเซ็ทซาร์ดอย่างท่านต่างหากที่ตายยากยิ่งกว่าข้า แม้พวกท่านจะมีจุดตายมากกว่าข้า แต่ทักษะและฝีมือของพวกท่านก็ปกป้องจุดตายเหล่านั้นได้ดียิ่งกว่าไม่มีจุดตาย”
“เราเคยมีกันมากกว่านี้ แล้วเราก็ตายจนเหลือกันอยู่แปดคน” เดลิลวาสพูด
“ในสงครามย่อมมีคนตาย และทุกคนที่ฆ่าเซ็ทซาร์ด ก็ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” กัปตันโพรเฟดพูด “แต่ละคนล้วนจบชีวิตลง ด้วยฝีมือของเซ็ทซาร์ดที่เหลืออยู่”
“ฆ่าเซ็ทซาร์ด ต้องตายด้วยเซ็ทซาร์ด” เดลิลวาสพูดเสียงเหี้ยมเกรียม
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ทหารเอลิลทั้งกองทัพก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนยิ่งกว่าคนตาย ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็คงไม่ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้
“ท่านกลับมาจากโมราโซมอส ได้ทำในสิ่งที่ตกลงกันไว้ไหม” กัปตันโพรเฟดเอ่ยถาม
“ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลง แล้วข้าก็ได้สิ่งมีประโยชน์ติดไม้ติดมือมาด้วย” เดลิลวาสยกแฟ้มเอกสารให้ดู
“เอกสารราชการเก่าๆ ของมนุษย์ เขียนโดยดาร์คเนสดีวิล” กัปตันโพรเฟดมองที่แฟ้ม
“จงอย่าได้ประมาทพลังของตัวหนังสือ” เดลิลวาสแสยะยิ้ม “กระดาษแค่แผ่นเดียวอาจทำให้สองแผ่นดินลุกเป็นไฟ ท่านจะเห็นเองเมื่อถึงเวลา”
“แผนของท่าน ข้าเคารพ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ “สำหรับเรื่องที่ท่านจะยกกองทัพไปโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลด ท่านคงต้องใช้สิ่งนี้”
ทหารเอลิลคนหนึ่งเดินเข้ามาหากัปตันโพรเฟดพร้อมกับส่งของสิ่งหนึ่งให้ มันเป็นแตรสงครามที่ทำด้วยน้ำแข็ง แกะสลักเป็นลายหัวกะโหลกติดปีกโครงกระดูกอย่างสวยงาม กัปตันโพรเฟดส่งต่อให้เดลิลวาส
“แตรสงครามแห่งไอซ์เมส ไร้เสียง แต่เมื่อเป่า เอลิลทุกคนจะรับรู้ถึงมัน ไม่ว่าจะอยู่ห่างเพียงใดก็ตาม มันจะส่งสัญญาณทัพได้อย่างทั่วถึง” กัปตันโพรเฟดกล่าว “เผ่าพันธุ์ที่มีความเป็นเอลิลเท่านั้นที่จะเป่าได้ ซึ่งเซ็ทซาร์ดทุกคนก็มีความเป็นเอลิลอยู่ในตัว ท่านสามารถใช้มันได้ เหมือนที่ไอซ์ครีเอเทอร์เคยใช้”
เดลิลวาสมองแตรสงครามอย่างพอใจ เขายกมันจ่อปากมังกรของตนแล้วเป่า มันไม่มีเสียง แต่มีไอน้ำแข็งสีขาวก่อตัวเป็นกลุ่มควันสีขาวเล็กๆ บนท้องฟ้า ราวกับมีอำนาจบางอย่างแผ่กระจายออกมาจากตัวผู้เป่า อากาศรอบตัวที่สงบนิ่งนั้นกลับก่อลมหมุนเย็นเยือก มันพัดเอาเกล็ดหิมะบนพื้นหมุนรอบตัวเดลิลวาสเป็นวงกลมอย่างช้าๆ ขณะเดียวกัน ไอควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากปากแตรก็เปลี่ยนสภาพเป็นหิมะบางๆ โปรยปรายลงมาทั่วบริเวณอย่างสวยงาม ทหารเอลิลทั้งกองทัพนับหมื่นๆ ขยับยืนตรงพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงเกราะโลหะกระทบกันดังกระหึ่มเป็นเสียงเดียวกัน เดลิลวาสหยุดเป่าแตร ไอควันสีขาวและลมหมุนจางหายไป
“กองทัพเอลิลพร้อมจะปฏิบัติตามบัญชาของท่านแล้ว” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ “ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์”
“แล้วเราจะได้รู้กัน ว่าฟรอสท์ไอรอนแคลดที่แข็งแกร่งจนโจษจันไปทั่วทั้งดาวดวงนี้” เดลิลวาสประกาศก้าว “มันจะต้านการบุกของเราได้สักกี่รอบ”
****************
“เอาล่ะ อาจารย์จะโจมตีจากมุมสูง ดูสิว่าเจ้าจะรับมือยังไง โอ้โห! เข้าใจคิดจริงๆ หนุ่มน้อย เจ้าเบี่ยงดาบของอาจารย์ออกเพื่อรับแรงปะทะเพียงบางส่วน นี่แหละวิธีที่รับมือกับคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และแข็งแรงกว่า คราวนี้ลองโจมตีใส่อาจารย์บ้าง ว้าว! น่าสนใจทีเดียว เจ้าหมุนตัวด้วย แกว่งดาบมาพร้อมกับผ้าคลุมทำให้คู่ต่อสู้สับสน สร้างสรรค์ดี มันต้องอย่างนี้โซลิแทร์ ลูกศิษย์ของไพรม์ดีวอเชอร์จะต้องรู้จักคิดเองเป็น จะต้องรู้จักทำอะไรแหวกแนว ไม่ยึดติดทฤษฎีเสมอไป”
ไพรม์ดีวอเชอร์ในชุดเสื้อคลุมแผ่นโลหะสวมหมวกเกราะเหล็กสีดำคลุมศีรษะใบเดิมตบหมวกฮู้ดของเด็กน้อยโซลิแทร์วัยเจ็ดขวบเบาๆ อย่างเอ็นดูด้วยมือเหล็ก มืออีกข้างถือดาบไร้คมสำหรับฝึกหัด โซลิแทร์ถือดาบเล่มกะทัดรัดสำหรับเด็ก แต่ความยาวของมันเมื่อเทียบกับรูปร่างของเด็กแล้ว ก็เท่ากับดาบสองมือทีเดียว เด็กชายปีศาจตัวน้อยยิ้มให้อาจารย์ด้วยดวงตาสีน้ำเงินใสซื่อ มือสองข้างจับดาบปักลงพื้น
“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าถนัดดาบสองมือ ไม่ใช่อาวุธที่คนทั่วไปถนัดหรอกนะ” ไพรม์ดีวอเชอร์พูด “ปกติแล้วดาบสองมือมักจะเชื่องช้า เพราะมันยาวและมีน้ำหนักมาก แต่จากการเคลื่อนไหวและพัฒนาการของเจ้า อาจารย์มั่นใจว่าในอนาคตเจ้าจะใช้มันได้อย่างว่องไวยิ่งกว่าดาบมือเดียวเสียอีก มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะทำแบบนี้ได้ อาจารย์พูดจริงๆ เจ้าจะได้เปรียบในการต่อสู้ เพราะเจ้าจะสู้อย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน”
“หมายความว่าข้าไม่ผิดใช่ไหมครับ ที่ใช้วิธีการต่อสู้ไม่เหมือนกับในตำรา” โซลิแทร์น้อยพูดอย่างมีหวัง “ผู้ฝึกสอนคนเก่าๆ บอกว่าข้าไม่ได้เรื่อง เรียนรู้ได้ช้า และศึกษาตำราไม่ค่อยเข้าหัว ข้านึกว่าข้าไม่ได้เรื่องจริงๆ เสียอีก”
“พวกนั้นต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง” ไพรม์ดีวอเชอร์หัวเราะ “การต่อสู้ การสงคราม เป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว จะเอาอะไรมากำหนดเป็นมาตรฐานไม่ได้ หากเราทุกคนเอาแต่ทำตามตำรา ยึดติดทฤษฎี เราจะโง่ลงและด้อยความสามารถลงเรื่อยๆ เหมือนที่ดาร์คเนสดีวิลเราเป็นมาตลอด”
เขาถอนหายใจอยู่ใต้หมวกเกราะ มือข้างหนึ่งจับบ่าโซลิแทร์
“อย่างไรก็ตาม อาจารย์ยังมีความหวังว่าปีศาจเราจะผงาดขึ้นมาได้ อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทั้งนี้คงเป็นภาระของเด็กน้อยอย่างเจ้าแล้วโซลิแทร์ เจ้าและเด็กน้อยดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ คืออนาคตของเผ่าพันธุ์ แม้ว่าอาจารย์และผู้ใหญ่รุ่นเดียวกันจะเป็นพวกไม่ได้เรื่อง แต่เราก็เชื่อว่าเหล่าลูกๆ หลานๆ ของเราจะเก่งกว่าเรา ฉลาดกว่า แข็งแกร่งกว่า” ไพรม์ดีวอเชอร์พูดอย่างมีหวัง “ดาร์คเนสดีวิลรุ่นใหม่จะต้องเปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง กล้าคิดกล้าทำ โซลิแทร์ศิษย์รัก จำคำอาจารย์ไว้ หากเจ้ามีความคิดอะไรแปลกๆ มีแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร หรืออะไรก็ตามในสมองที่เหมือนเป็นความคิดของคนบ้า จงอย่าอายที่จะคิดต่อไป คนอื่นจะว่าเจ้าเพี้ยนก็อย่าได้ไปใส่ใจ จงเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด แล้วเจ้าจะพบว่าแม้เจ้าจะเป็นคนเพี้ยน แต่ก็เป็นคนเพี้ยนที่เก่งกว่าคนปกติ”
“สรุปแล้วข้าเพี้ยนหรือครับ”
“ตอนนี้คิดว่ายัง แต่ในอนาคตอาจารย์ว่าน่าจะเพี้ยนพอตัวอยู่ ก็เจ้าเป็นลูกศิษย์ของคนเพี้ยนนี่”
“อาจารย์ครับ อาจารย์บอกว่าหากข้ามีความคิดที่ดูแปลกๆ อยู่ในสมอง ก็สามารถเสนอออกมาได้ใช่ไหมครับ”
“แน่นอน ความคิดที่บ้าๆ อาจเป็นความคิดที่ฉลาดที่สุดก็ได้ เสนอมาเลย”
“ข้าขอสวมผ้าคลุมกับฮู้ดเวลาต่อสู้ได้ไหมครับ ข้ารู้สึกดีที่สวมมัน รู้สึกคุ้นเคย แล้วเหมือนกับว่ามันทำให้ข้าทรงตัวได้ดีขึ้นด้วย”
“ถ้ามันทำให้เจ้าถนัดก็ทำไปเลย ตัวเจ้าเป็นของเจ้า ร่างกายก็ของเจ้า เจ้าใช้ร่างกายของเจ้าต่อสู้ เจ้าย่อมรู้ดีที่สุดว่าต่อสู้อย่างไรเจ้าถึงจะถนัด”
“แล้วเวลาที่ข้าออกแรงฟันดาบ ข้าขอไม่ออกเสียงได้ไหมครับ ผู้ฝึกสอนคนเก่าๆ บังคับให้ข้าออกเสียง บอกว่ามันจะทำให้มีพลังขึ้น แต่ข้าคิดว่าไม่เห็นเกี่ยวเลย ข้าไม่ชอบเสียงดัง แล้วมันทำให้ฝ่ายตรงข้ามเดาทางได้”
“อาจารย์เห็นด้วยกับเจ้าอย่างยิ่ง ไอ้การฟันดาบแล้วออกเสียงดังๆ มันดูงี่เง่า เอาแรงที่ออกเสียงไปเพิ่มพลังให้ดาบจะดีกว่า เจ้าคิดถูกแล้วโซลิแทร์ ความเงียบเป็นสิ่งที่มีพลังมากกว่า การทำเสียงดังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเลย อาจารย์เองก็เป็นคนเกลียดเสียงดัง เกลียดเสียงตะโกน มันน่ารำคาญ หนวกหูและวุ่นวาย เป็นสิ่งที่คนใจเย็นเขาไม่ทำกัน มันไม่ได้ทำให้ดูเข้มแข็งเลยสักนิด มันทำให้ดูเหมือนเราควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้ คุมสติไม่อยู่ ยิ่งเป็นการอ่อนแอมากขึ้นอีก สังเกตดูสิว่าอาจารย์แทบไม่เคยตะโกนสักครั้งในชีวิตเลย หมาที่ชอบเห่า มันมักกัดไม่ค่อยเจ็บ เพราะมัวแต่ใช้ปากเห่านี่ล่ะ”
“อาจารย์ครับ ข้าอยากเปลี่ยนท่าวิ่งยามเข้าปะทะศัตรูครับ ข้ารู้สึกว่าการถือดาบตั้งฉากด้วยสองมือแล้ววิ่งไปข้างหน้ามันติดๆ ขัดๆ วิ่งได้ไม่ถนัด เคลื่อนไหวก็ช้าเก้ๆ กังๆ ถ้าถูกยิงคงหลบลำบาก”
“หรือ เจ้าทำยังไง แสดงให้อาจารย์เห็นที”
เด็กน้อยโซลิแทร์ก้าวถอยไปเพื่อให้มีพื้นที่วิ่ง จากนั้นก็วิ่งตรงเข้ามาหาไพรม์ดีวอเชอร์ มือขวาถือดาบเหยียดสุดแขนไปข้างลำตัว เอียงลงพื้นเล็กน้อย ตัวโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยขณะวิ่ง ผ้าคลุมโบกสะบัดอยู่ข้างหลัง เมื่อเขาวิ่งในลักษณะนี้ ทำให้วิ่งได้เร็วมาก ไม่ต้านลม ไม่ติดขัด ไม่โคลงเคลง และมองเห็นได้รอบด้านเพราะไม่มีดาบบัง ไพรม์ดีวอเชอร์ปล่อยวงแหวนเข้าใส่ โซลิแทร์เอียงตัวหลบได้ ปล่อยใส่อีกวงก็หลบได้อีก การวิ่งเข้าปะทะในลักษณะนี้ดูจะมีความคล่องตัวสูงมากทีเดียว โซลิแทร์บุกเข้าถึงตัวไพรม์ดีวอเชอร์แล้วตวัดดาบเฉียงขึ้นมาเป็นวงกลม เกี่ยวดาบที่อีกฝ่ายแทงใส่ให้เบี่ยงไปอีกทาง พร้อมกันนั้นก็ลากดาบฟันเข้าใส่ลำตัวในขณะที่วิ่งสวนไป ดาบไร้คมกระแทกกับเกราะและเสื้อคลุมแผ่นโลหะเสียงดัง ไพรม์ดีวอเชอร์ล้มลงไปกับพื้นด้วยแรงกระแทก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับอาจารย์” เด็กน้อยรีบหันกลับมาดู
“ยอดเยี่ยมจริงๆ โซลิแทร์ ช่างคิดๆ” ไพรม์ดีวอเชอร์ลอยกลับขึ้นมาในท่ายืน “เจ้าใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจ การวิ่งปะทะของเจ้าไม่ได้เป็นแบบอัศวินที่เน้นความแข็งแกร่ง แต่เป็นแบบมือสังหาร เน้นความเร็วและความคล่องตัว ถ้าเจ้าโตขึ้นกว่านี้ ฝึกฝนทำความเข้าอกเข้าใจมันและรู้จักเอาไปประยุกต์ใช้ อาจารย์ว่าเจ้าจะเคลื่อนไหวได้ไวเหมือนปีศาจในนิทานเลย ที่เผลอแปบเดียวก็ย้ายตำแหน่งแล้ว”
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“เมื่อกี้อาจารย์ยังรับดาบเจ้าไม่ทันเลย”
“ก็นี่มันเป็นการฝึกซ้อมนี่ครับ อาจารย์จึงไม่ทันระวังเหมือนตอนอยู่ในสงคราม”
“แต่ก็เป็นความจริงว่าในอนาคต เจ้าจะใช้ดาบสองมือได้เก่งกาจมาก อาจารย์ภูมิใจมากๆ ที่สอนให้เจ้าใช้ดาบได้ยอดเยี่ยม ทั้งที่ดาบไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ถนัด คิดดูสิ สามารถสอนให้คนอื่นเก่งในสิ่งที่ตัวเองไม่เก่งได้ หมายความว่าอาจารย์เป็นผู้สอนที่เก่งมากๆ”
“อาจารย์อาจไม่ค่อยรอบรู้เรื่องการใช้ดาบ แต่อาจารย์ก็รอบรู้เรื่องการรับมือกับดาบนี่ครับ”
“ก็จริง แต่รู้ไหมว่านี่มันพิสูจน์เรื่องอะไร โซลิแทร์ศิษย์รัก” ไพรม์ดีวอเชอร์พูดอย่างมีความสุข “มันพิสูจน์ว่าแนวคิดของอาจารย์นั้นเป็นจริง การสอนที่ดีที่สุดไม่ใช่การให้ลูกศิษย์ทำตามอย่างที่สอนทุกประการ แต่ควรให้ลูกศิษย์ได้มีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง ได้เรียนรู้ในสิ่งที่อยากเรียนรู้ ไม่ต้องบังคับให้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้ลูกศิษย์ได้เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด มีอิสระทางความคิดให้มากที่สุด มีพรสวรรค์เรื่องใด มีความชอบสนใจเรื่องอะไรก็สนับสนุนเต็มที่ ในไม่ช้าลูกศิษย์ก็จะค้นพบเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง และพร้อมที่จะมีพัฒนาการในแบบของตน นี่คือวิธีการสร้างคนที่มีคุณภาพโดยไม่ยากเย็นเลย”
“อาจารย์เป็นผู้สอนที่ดีที่สุดครับ” โซลิแทร์มองอีกฝ่ายด้วยความเคารพและไว้ใจ
“แน่นอน เจ้าลูกชาย การมองเห็นคุณค่าและประโยชน์ในสิ่งต่างๆ นั้นคือพรสวรรค์อันเก่งกาจของอาจารย์” ไพรม์ดีวอเชอร์เคาะเกราะหน้าอกตัวเองอย่างอารมณ์ดี “ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์ หากเรารู้จักใช้ให้เป็น และคนกระจอกบางคน ก็อาจกลายเป็นคนเก่งที่สุด หากเราดึงศักยภาพของเขาออกมาใช้ได้อย่างถูกประเด็น นี่คือคติประจำตัวอาจารย์ เอาล่ะ วันนี้เราหัดดาบมาพอแล้ว อาจารย์ว่าเราพักดูดาวกันดีกว่า วันนี้ท้องฟ้าโปร่งสวยด้วย เจ้าชอบตอนกลางคืนและชอบดูดาวไม่ใช่หรือ”
“ข้าชอบดูดาวครับ” โซลิแทร์ปักดาบลงกับพื้นหิมะ แล้วเอนตัวนอนลงบนพื้นหิมะ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยแสงดาวอย่างมีความสุข
ไพรม์ดีวอเชอร์ปักดาบลงพื้นหิมะ แล้วค่อยๆ เอนตัวในท่าลอย ลงนอนบนพื้นหิมะข้างๆ โซลิแทร์อย่างนุ่มนวล ใครจะไปรู้ นักรบผู้ลึกลับ สวมเกราะน่ากลัวเต็มตัว จริงจังกับชีวิต สุขุมเย็นชาเหมือนเหล็ก จะกลับกลายเป็นเหมือนคุณพ่อผู้อบอุ่นใจดียามอยู่กับเด็กชายตัวน้อยคนนี้
“เห็นกลุ่มดาวที่เรียงกันเป็นเส้นตรงนั่นไหมโซลิแทร์” เขาชี้มือที่เป็นเหล็ก“ที่มีเจ็ดดวงน่ะ จำได้ไหมว่ากลุ่มดาวอะไร”
โซลิแทร์เงยหน้ามองกลุ่มดาวเหล่านั้น มันมีอยู่เจ็ดดวงและแต่ละดวงจะมีสีที่ต่างกันออกไปเจ็ดสี
“กลุ่มดาวสายรุ้งใช่ไหมครับ” เด็กน้อยทวนความจำ“มีอยู่เจ็ดดวงเจ็ดสี”
“ถูกต้อง” ไพรม์ดีวอเชอร์พยักหน้าและชี้อีก “แล้วนั่นล่ะ”
เขาชี้ไปที่ดาวดวงใหญ่ที่จะเปลี่ยนสีทุกครั้งเมื่อแสงกะพริบ
“ดวงนั้นข้าไม่ทราบครับ”
“เผ่าพันธุ์เราเรียกมันกันว่าดาวบรรพชน” ไพรม์ดีวอเชอร์พูด “สีทุกสีคือตัวแทนของบรรพชนแต่ละคน”
“แล้วทำไมเราถึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวบรรพชนล่ะครับอาจารย์” โซลิแทร์ถาม
“คนโบราณเชื่อกันว่าเมื่อพ่อแม่พี่น้องของเราตายไป พวกเขาจะขึ้นไปอยู่บนดาวดวงนั้น” ไพรม์ดีวอเชอร์อธิบาย “คอยเฝ้ามองลูกๆ หลานๆ จากบนฟ้า คอยปกป้องและให้กำลังใจ”
“แล้วจริงหรือเปล่าครับอาจารย์” โซลิแทร์ถามต่ออย่างสงสัย
“จะจริงได้อย่างไร” ไพรม์ดีวอเชอร์หัวเราะ “เราตายไปแล้วก็คือดับไปเฉยๆ สิ เหมือนกับทุกตัวละครที่ไม่มีบทบาทในนิยายอีกต่อไป ชีวิตหลังความตายคือเรื่องโกหก ความจริงก็คือ ความตายคือจุดสิ้นสุดของทุกชีวิตระหว่างที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอาจเป็นพ่อ เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นอาจารย์ เป็นศิษย์ของใครสักคน แต่ยามที่เจ้าตาย เจ้าก็จะกลายเป็นแค่สิ่งๆ หนึ่งที่รอคอยการเน่าเปื่อยผุพัง เหมือนทุกสิ่งในดาวดวงนี้”
“งั้นเรื่องที่เราตายไปแล้วจะขึ้นไปอยู่บนดาวดวงนั้น ก็เป็นแค่ความเชื่อน่ะสิครับ” โซลิแทร์พูด “เป็นเพียงความงมงายของคนสมัยเก่าๆ ที่เชื่อในเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“คนบางประเภท เมื่อต้องสูญเสียคนที่รัก ก็พยายามหาทางปลอบใจตนเอง” ไพรม์ดีวอเชอร์กล่าว“เพื่อบอกตัวเองว่าตนไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพราะการอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันคือสิ่งที่เจ็บปวด”
“อาจารย์ไพรม์ดีวอเชอร์ครับ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลนั้นโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากคบหายุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเรา” โซลิแทร์หันไปถาม “จริงหรือเปล่าครับ”
“อาจารย์ไม่ขอปิดบังเจ้า ใช่แล้วมันคือความจริง” ไพรม์ดีวอเชอร์สารภาพ “เราเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่สุดในดาวดวงนี้ มีภาพลักษณ์ที่น่ากลัว แข็งกระด้าง ดุร้าย เย็นชา โลกส่วนตัวสูง หวงพื้นที่ และธรรมชาติของเราก็มีนิสัยไม่ค่อยผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นนัก ใครจะอยากมาเป็นมิตรกับเรา จริงไหม”
“ในเมื่อไม่มีใครอยากเป็นมิตรกับเรา ปีศาจเราก็อยู่ของเรา ไม่ต้องสนใจคนอื่น จริงไหมครับ” โซลิแทร์ว่า “เราทำตัวให้เข้มแข็ง ให้ยืนหยัดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ต้องห่วงใยใคร ไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะคิดยังไงกับเรา ความจริงแล้ว ถ้าเราเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์”
“โซลิแทร์หนุ่มน้อย” ไพรม์ดีวอเชอร์เอื้อมมือเหล็กไปลูบหมวกฮู้ดของโซลิแทร์ “ไม่ว่าปีศาจเราจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่อาจอยู่เพียงลำพังได้ เราไม่ใช่พวกเอลิลหรือเฟลมฟอร์ส ปีศาจยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีหัวใจ เราไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าลึกๆ แล้ว สิ่งมีชีวิตที่แข็งกระด้างอย่างเราก็อยากเป็นที่ยอมรับ อยากเป็นที่ไว้วางใจ อยากเป็นมิตรสำหรับใครสักคนบ้าง เราอาจแข็งแกร่งค้ำฟ้า ยืนหยัดอยู่ต่อไปได้นานแสนนาน แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งรอบๆ ตัวเราเริ่มตายไปทีละอย่าง จนกระทั่งเหลือเพียงเรา เราจะพบว่าความแข็งแกร่งของเรามันไร้ความหมาย การเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่มันคือเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด การได้อยู่ร่วมกับใครสักคนที่พร้อมจะหยิบยื่นมิตรภาพและความจริงใจให้เราต่างหาก คือการอยู่อย่างแข็งแกร่งโดยแท้จริง แม้จะได้อยู่ด้วยกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังดีกว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์ ฉะนั้น อย่าได้โกรธเคืองเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม บรรพบุรุษของเจ้า ที่หลงกลไปจับมือกับพวกมนุษย์เลย เขาทำเพราะมีความหวังในคำว่ามิตรภาพ มันมีค่าที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ และเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์อย่างเราหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร มันคุ้มค่าทั้งนั้น”
“มิตรภาพ มันมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“สักวัน เมื่อเจ้าได้สัมผัสมัน เจ้าจะเข้าใจ”
“ท่านลอร์ดมืดโซลิแทร์”
เซซิลเปิดประตูห้องเข้ามา สวมเกราะครบชุด มือถือหมวกเกราะ โซลิแทร์วัยสิบหกปีละสายตาจากหน้าต่างแห่งความทรงจำ
“พวกเอลิลเคลื่อนพลออกจากไอซ์เมสแล้ว มีจำนวนราวห้าหมื่นได้” เซซิลรายงานต่อ “มีทั้งทัพบก ทัพอากาศ และอุปกรณ์โจมตีเมือง เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสเป็นผู้นำทัพ”
“อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีศึกใหญ่” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก “ฟรอสท์ไอรอนแคลดจะรับการปะทะของคลื่นอาวุธ เหมือนที่มันเป็นมาตลอด”
“บันไดยาวที่พวกเอลิลนำมาด้วยดูสั้นๆ หนาๆ ยาวไม่พอกับความสูงกำแพงเราแน่นอน แต่ข้ามั่นใจว่าพวกเอลิลไม่โง่ขนาดนั้น มันจะต้องประกอบได้แน่” เซซิลเสริม
“บันไดที่ถอดประกอบได้นั้น มีข้อคือสะดวกต่อการขนย้าย” โซลิแทร์กล่าว “แต่มีข้อเสียคือ ช่วงข้อต่อมันไม่แข็งแกร่งนัก พวกมนุษย์ได้บทเรียนเรื่องนี้ไปแล้ว”
“พวกเอลิลนำทหารม้ามาด้วยบางส่วน และมีทหารถือหอกยาวจำนวนหนึ่ง เหมือนจะเตรียมการไว้รับมือกับทหารม้าของเรา” เซซิลรายงานต่อ “พวกนั้นรู้ว่าเราจะใช้กลยุทธ์นำทหารม้าบุกเข้าตี หลังจากใช้กำแพงต้านจนทัพศัตรูเริ่มอ่อนแอ”
“ดูเหมือนพวกนั้นจะเห็นตอนที่เราสู้ศึกกับทัพหลวงมนุษย์” โซลิแทร์พิจารณา “ซึ่งน่าแปลกใจว่าเห็นได้อย่างไร เรามีเกราะมนต์ดำพรางตาอยู่ หากไม่ผ่านเกราะเข้ามาจะไม่มีทางเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังเกราะ”
“หรือว่าจะมีพวกนั้นสักคนที่สามารถมองทะลุเกราะมนต์ดำได้” เซซิลถาม
“พวกเอลิลมองทะลุไม่ได้หรอก แต่พวกเซ็ทซาร์ด ข้าไม่รู้” โซลิแทร์บอก
“จะยังไงก็แล้วแต่ ตั้งแต่กำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดถูกสร้างขึ้น นี่เป็นทัพข้าศึกที่จำนวนมากที่สุดที่ยกเข้ามาปะทะ” เซซิลกล่าว “เตรียมรับความเสียหายที่มากขึ้นได้เลย”
“ท่านคิดว่าพวกโฮเซ่และพวกฟอเรสเทอร์จะโดนแบบเราด้วยไหม” โซลิแทร์หันไปถาม
“คงไม่ถูกบุกหนักเท่าพวกเรา เพราะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกเรา ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพจำนวนมากมายขนาดนี้ในการสร้างความเสียหาย” เซซิลมั่นใจ “แต่ยังไงพวกนั้นก็ต้องถูกยกพลไปบุกแน่”
“ให้ศัตรูทุกฝ่ายเสียหายและยุ่งอยู่กับการปกป้องตนเอง จนมารวมกันไม่ได้” โซลิแทร์ว่า “ซึ่งถือว่าทำได้ดีทีเดียว อย่างน้อยการล้มเหลวของภารกิจที่โมราโซมอส ก็คงทำให้พวกโฮเซ่ไม่คิดจะมาร่วมงานกับเราอีกแล้ว”
“สุดท้ายแล้ว แต่ละเผ่าพันธุ์ก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองทั้งนั้นท่านลอร์ด พวกเฟลมฟอร์สรู้เรื่องนี้ดี กลยุทธ์แยกทุกเผ่าพันธุ์ออกจากกันจึงใช้ได้ผลทุกครั้ง” เซซิลพูด
“ท่านว่าจริงหรือเปล่าอาจารย์เซซิล ที่เผ่าพันธุ์เรา เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีใครอยากเป็นมิตรด้วยเลย” โซลิแทร์ถาม
“แล้วท่านเห็นใครเป็นมิตรกับเราอยู่ตอนนี้หรือเปล่าล่ะ”
“ไม่เห็น”
“งั้นท่านก็ได้คำตอบแล้ว” เซซิลกระดกคิ้ว ตีหน้าเนือยๆ “มันเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วท่านลอร์ด พวกเราชั้นต่ำ น่ากลัว เก็บตัว ทำตัวลึกลับ และไม่เคยดูดีในสายตาของคนต่างเผ่าเลย ส่วนใหญ่ถ้าไม่เกลียดเราก็กลัวเรา แม้แต่พวกไซคัสที่สร้างเราขึ้นมาก็ไม่ค่อยจะถูกกับเผ่าพันธุ์เรานัก เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่พวกนั้นชอบน้อยที่สุด แม้แต่ลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ที่พวกไซคัสสร้างให้แต่ละเผ่าพันธุ์นั้น เราก็ไม่ได้ พวกนั้นสร้างเราขึ้นมาแค่เฝ้าสมบัติ เฝ้าพื้นที่อันเต็มไปด้วยอัญมณีและแร่มีค่า เพราะเราหวงอาณาเขต ดุร้าย และไม่เห็นอัญมณีเป็นสิ่งมีค่า นั่นล่ะประโยชน์ของพวกเราสำหรับพวกไซคัส เราไม่ต่างจากหมาเฝ้ายามดุๆ ที่พวกนั้นเลี้ยงไว้ด้วยวิธีที่แข็งกระด้าง”
“นั่นคงเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์ของเรา เป็นเผ่าพันธุ์ที่โดดเดี่ยวเสมอมา” โซลิแทร์พูด
“ที่มีไม่ขาดเลยคือศัตรูผู้รุกราน” เซซิลเสริม
“ใช่แล้ว มีไม่ขาดเลย” โซลิแทร์ยิ้มฝืดๆ อยู่หลังหน้ากาก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “อาจารย์เซซิล วันนี้ท่านช่วยเป็นคู่ซ้อมต่อสู้ให้ข้าได้ไหม เราต้องเตรียมความพร้อมสำหรับศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น”
“ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ฝึกใช้กลยุทธ์การต่อสู้ที่ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ด้วย” เซซิลพยักหน้า “ระหว่างที่ฝึกซ้อม เราก็จะได้คุยกันถึงแผนการรับศึกพวกเอลิลไปพร้อมกันเลย”
โซลิแทร์คว้าดาบของตนที่วางพิงอยู่ข้างเก้าอี้มาประกอบกับเข็มขัด เซซิลเปิดประตูห้องออกไป
“อาจารย์เซซิล” โซลิแทร์เอ่ยถามก่อนที่เซซิลจะลอยออกไปจากประตู “ท่านว่าชื่อของข้า มันมาจากคำว่าโดดเดี่ยวจริงๆ หรือเปล่า” (Zolytair = ชื่อของโซลิแทร์, Solitary = โดดเดี่ยว)
“หากเขียนสะกดออกมาจริงๆ แล้ว ชื่อของท่านมันก็เป็นแค่ชื่อ ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น” เซซิลหันมาตอบ “แต่ข้าก็ยอมรับว่า มันออกเสียงคล้ายกับคำว่าโดดเดี่ยวจริงๆ”
*************
ไรมิน บุฟโฮปตื่นตั้งแต่ดาวฤกษ์อิลิมิน่ายังไม่ขึ้นและเดินตรวจดูตามความเรียบร้อยในหมู่บ้านแฮนดรัส การตื่นก่อนฟ้าสางมาเดินดูโน่นดูนี่ มักเป็นนิสัยของคนแก่ที่เกษียณจากงานประจำ แม้ว่าสำหรับเผ่าพันธุ์โฮเซ่ อายุที่มากจะไม่ได้ทำให้ร่างกายโรยรา แต่มันก็ทำให้จิตใจของเขาแก่เสียแล้ว เขามักจะชอบกินของขม ระลึกถึงความหลังบ่อยครั้ง ทำตัวไม่กระฉับกระเฉง และมักจะบ่นพึมพำเวลาเห็นพวกแฮนดรัสหนุ่มๆ ทำอะไรแปลกๆ ประโยคที่เขานิยมบ่นคือ “จริงๆ เลย เด็กสมัยนี้”
เช้าวันนี้ช่างเป็นเช้าตรู่ที่เงียบสงบ สงบมากเหลือเกินแทบจะไม่มีเสียงใดๆ ถึงขนาดใบไม้ร่วงยังได้ยิน ไรมินชอบความสงบตามประสาคนมีอายุ แม้ว่าจะรู้ความจริงว่าเกาะแห่งนี้จะสงบอยู่ไม่นานเพราะมันทั้งร้อน แห้งแล้งกันดาร และขาดแคลนทรัพยากร จะเป็นปัญหาต่อประชากรแฮนดรัสรุ่นหลังอย่างแน่นอน เขาเดินเล่นห่างหมู่บ้านออกไปย่างเท้าไปตามแนวม่านเถาวัลย์แห้งๆ ที่ล้อมหมู่บ้านไว้อย่างมิดชิด แต่เดินได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำเร็วๆ อยู่หลังม่านเจ้าของฝีเท้าแหวกม่านเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“รีบร้อนอะไรแต่เช้ากัปตันวอร์ดิว” ไรมินส่ายหน้า
“เรียนโฮซอร์บุฟโฮป ข้าไปสำรวจตามชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะแล้วข้าก็พบถ้ำประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิต” กัปตันวอร์ดิวรายงานแทบไม่หายใจ“มั่นใจว่าท่านคงไม่เคยเห็นเหมือนกัน ก่อนอื่น ท่านควรนำเสื้อคลุมกันหนาวไปด้วยเพราะในถ้ำนั้นหนาวมากหินงอกหินย้อยยังเป็นน้ำแข็ง”
ไรมินกลับไปที่บ้านของตน และนำเสื้อคลุมตัวใหญ่ทำจากหนังฉลามทะเลทรายมาสองตัว ส่งตัวหนึ่งให้กัปตันวอร์ดิวแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่สวมเพราะอากาศค่อนข้างร้อน มืออีกข้างของเขาถือค้อนสงครามด้ามยาวอาวุธประจำกายติดมาด้วย
“นำไปเลยกัปตันวอร์ดิว” ไรมินบอก
ทั้งสองออกจากหมู่บ้านแฮนดรัสและออกนอกเขตโอเอซิสฝ่าเข้าไปในป่าแห้งแล้งชนต้นไม้แห้งๆ ผุๆ ล้มไปหลายต้น แม้เกาะแห่งนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกแฮนดรัสแต่ก็ใช่ว่าพวกแฮนดรัสจะรู้จักเกาะแห่งนี้เป็นอย่างดี ราร์ร็อค เฮนิเคมเพิ่งเนรเทศพวกแฮนดรัสมายังเกาะแห่งนี้เพียงไม่กี่สิบปีที่แล้วและพวกแฮนดรัสก็ไม่ชอบที่จะมาอยู่ตามแถบชายฝั่งของเกาะด้วย เพราะมันร้อนและแห้งแล้ง ดังนั้นชายฝั่งรอบๆ เกาะจึงถูกทิ้งร้างและได้รับการสำรวจไม่บ่อยนัก
ทั้งสองใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะบุกผ่านป่าแห้งแล้งออกมายังทะเลทรายที่กว้างใหญ่ได้ ยังดีที่พวกสัตว์ประหลาดหลายๆ ชนิดในเกาะแห่งนี้กลัวพวกแฮนดรัส พวกมันจึงไม่บุกเข้ามาเล่นงาน ครั้งหนึ่งในทะเลทรายกว้างๆฉลามทะเลทรายตัวหนึ่งมุ่งหน้าจะมาจัดการกับพวกเขา แต่ไรมินก็เหวี่ยงค้อนยาวลากไปกับพื้นทรายในจังหวะที่ฉลามทะเลทรายว่ายเข้ามาถึงตัวพอดี ผลที่ได้คือเจ้าสัตว์ร้ายถูกหวดเสยขึ้นมาจากทราย และกระเด็นไปจมหายไกลๆ ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย
“ท่านจัดการมันได้ง่ายๆ” กัปตันวอร์ดิวพูดอย่างชื่นชม “เหมือนเคยทำมาแล้วบ่อยๆ”
“ทำนองนั้น” ไรมินตอบ “ตอนหนุ่มๆ ข้าเคยล่าฉลามทะเลทราย”
กว่าทั้งสองจะมาถึงถ้ำที่ว่านั่น อิลิมิน่าก็ฉายแสงจ้าบอกเวลาเที่ยงวันแล้ว แม้ทั้งสองยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำมาตั้งแต่เช้าแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร พวกแฮนดรัสมีสภาพร่างกายที่ทรหดอดทนเป็นพิเศษอยู่แล้ว ที่รู้สึกตอนนี้คือเหนื่อยนิดหน่อยเพราะต้องเร่งฝีเท้าตามทางให้เร็วขึ้น
“นั่นไงโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวพูดพลางชี้นิ้ว “ถ้ำอยู่นั่น”
ดูภายนอกแล้วถ้ำแห่งนั้นก็ไม่ต่างจากถ้ำตามชายฝั่งธรรมดาทั่วไปที่ไม่น่าสนใจเลย แทบจะดูไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าเป็นถ้ำ กัปตันวอร์ดิวปลดตะเกียงสะพายหลังออกจุดไฟนำเสื้อกันหนาวหนังฉลามทะเลทรายมาสวม ส่องตะเกียงนำทางเข้าไปในถ้ำมืดๆ มืออีกข้างแบกค้อนยาวของตนพาดบ่า ไรมินสวมเสื้อกันหนาวและแบกคว้าค้อนยาวตามเข้าไปจริงที่ว่าข้างในนี้หนาวเกินไปสำหรับพวกแฮนดรัส นี่มันอะไรกัน ข้างนอกถ้ำร้อนตับแตกแต่ในถ้ำกลับหนาวจนหายใจออกมาเป็นไอขาว ถ้ำแห่งนี้มีหินงอกหินย้อยเป็นน้ำแข็งจริงๆ ผนังถ้ำก็เป็นน้ำแข็งข้างในถ้ำนี้ไม่ได้กว้างขวางอะไรเลย มันตันๆ แคบๆ ชอบกล
“เจ้าพูดถูกกัปตันวอร์ดิว” ไรมินมองไปรอบๆ ตามแสงตะเกียง “ถ้ำนี้แปลกมาก”
“โฮซอร์มาดูนี่สิครับ” กัปตันวอร์ดิวหายใจหนักๆ ด้วยความหนาว เขาส่องตะเกียงให้ไรมินดูผนังถ้ำฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า
ไรมินใช้มือใหญ่หยาบๆ หนาๆ ของตนลูบดู มันเป็นผนังถ้ำน้ำแข็งที่แม้จะมีเหลี่ยมแต่ก็เรียบมาก ตั้งตรงเป็นฉากกับพื้นถ้ำราวกับกำแพง ผนังถ้ำส่วนนี้มีอักษรแปลกๆ สลักอยู่ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไรและอ่านว่าอย่างไร
“มันไม่ใช่ถ้ำธรรมชาติ” กัปตันวอร์ดิวพูด “จะต้องมีใครสร้างขึ้นมานานมาแล้ว”
“ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ใกล้ๆ ถ้ำนี้” ไรมินตั้งข้อสังเกต “สิ่งมีชีวิตบนเกาะนี้ทนความเย็นขนาดนี้ไม่ได้นาน ถ้ำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไรกัน”
“ข้าคิดว่าผนังถ้ำส่วนนี้” กัปตันวอร์ดิวเคาะบนผนังถ้ำผิวเรียบ “มันจะต้องมีอะไรพิเศษ ยิ่งมีอักษรประหลาดสลักอยู่ด้วย”
“บางที” ไรมินเงื้อค้อนไปสุดแขน “มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ด้านหลัง”
เขาเหวี่ยงกระบองฟาดใส่ผนังถ้ำเต็มแรง แรงจนส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและน้ำแข็งบางส่วนหลุดออกมาจากเพดานถ้ำแต่ผนังถ้ำส่วนนั้นกลับไม่มีรอยขีดข่วน กัปตันวอร์ดิวคว้าค้อนยาวของตนมาฟาดอีกแรงแบบต่อเนื่องแต่ก็ไม่เกิดผลอะไรต่อผนังถ้ำสักนิด
“ตะบองเพชรพินาศ! ต่อให้เราทุบจนถ้ำถล่มลงมา ผนังถ้ำส่วนนี้ก็คงยังไม่เป็นอะไร” กัปตันวอร์ดิวพ่นไอควันขาวออกจากปาก “มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“ผนังถ้ำด้านนี้คงถูกลงอาคมไว้แน่” ไรมินพูดไปหอบไป “พลังมืดอีกชนิดหนึ่ง ตัวหนังสือที่สลักบนผนังถ้ำคงจะเป็นภาษาดาร์เคน”
“ข้าว่าเราออกไปคุยกันข้างนอกจะรู้เรื่องกว่านะครับ โฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวหายใจหนักๆ“ข้าหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว”
ดังนั้น ทั้งสองจึงรีบเผ่นมาจากถ้ำประหลาด และรีบถอดเสื้อกันหนาวโยนทิ้งไปข้างๆ เพราะต้องเผชิญกับอากาศร้อนนอกถ้ำโดยเฉียบพลัน อากาศหนาวขนาดนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาทนไม่ค่อยได้สวรรค์ก็รู้ว่าพวกแฮนดรัสทนร้อนได้ดีกว่าทนหนาว
“ประสาท!” กัปตันวอร์ดิวบ่นเสียงดัง “ใครกันเพี้ยนสร้างถ้ำที่ผิดธรรมชาติขึ้นมาแถวนี้”
“คงเป็นพวกที่ชอบอากาศหนาวๆ อุณหภูมิต่ำๆ”ไรมินเช็ดค้อนยาวของตน เพราะมันชื้นจากการสัมผัสความเย็นและความร้อน
“ชอบอากาศหนาวๆ อุณหภูมิต่ำๆ มันมีอยู่สองเผ่าพันธุ์ที่ชอบแบบนั้น--”
มีเสียงเคลื่อนไหวบริเวณป่าแห้งแล้งไม่ห่างจากถ้ำเท่าไหร่นัก ทั้งไรมินและกัปตันวอร์ดิวหยิบค้อนยาวเดินตามเสียงทันที ทั้งสองแหวกต้นไม้แห้งที่ขวางอยู่ล้มลงไป พลางกวาดตามองที่มาของเสียง ความจริงแล้วไม่เห็นต้องกวาดตามองให้ลำบากเลย เจ้าของเสียงนั้นมีลักษณะสะดุดตามาก มีหัวเป็นสุนัขจิ้งจอก มีเขี้ยวเหมือนหมูป่า มีขาทั้งสองข้างเหมือนขานก และมีมือสองมือที่มีขนสุนัขรุงรัง สวมเสื้อผ้าที่ดูเหมือนถักทอมาจากผ้ากระสอบ หางเป็นพวงแบบสุนัขจิ้งจอกโบกไปโบกมาช้าๆ เจ้าสิ่งมีชีวิตตนนี้กำลังง่วนอยู่กับการใช้เสียมขุดหารากไม้ในดินไม่สนใจสิ่งอื่นรอบข้างนัก
“โฮซอร์นั่นตัวอะไรครับ” กัปตันวอร์ดิวกระซิบถาม
“ไมโนลล์” ไรมินตอบ “ไอ้พวกนี้ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งหน้าเลือด ชอบของมีค่าและอัญมณียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าต้องการจะใช้พวกมันทำอะไรนะ เอาทองไปกองให้พวกมัน พวกมันแทบจะยอมตายเลยล่ะหากจ่ายงาม แต่พวกนี้บางตนก็เก่งวิทยาศาสตร์ เก่งเล่นแร่แปรธาตุด้วย”
ไมโนลล์ตนนี้ยังคงขุดหาเก็บรากไม้ต่อไป ไม่สนใจไรมินและกัปตันวอร์ดิว
“ไมโนลล์” ไรมินทักทาย“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ขุดหารากไม้สมุนไพร” ไมโนลล์ตนนั้นตอบง่ายๆ“เอาไปใช้เป็นส่วนผสมยา”
“ผสมยาหรือ” กัปตันวอร์ดิวทวนคำ “ผสมไปทำไมกัน”
“ก็ขายน่ะสิครับ ท่านสุภาพบุรุษ” ไมโนลล์ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา “ร้านของนายข้าอยู่แถวๆ นี้เอง”
“มาตั้งร้านขายแถวๆ นี้ นายของเจ้าหวังจะได้ลูกค้าเป็นต้นไม้แห้งๆ หรือไง” กัปตันวอร์ดิวขมวดคิ้ว “ใครจะมาซื้อในที่กันดารแบบนี้”
“ก็หวังว่าจะเป็นพวกโจรสลัด หรือนักสัญจรที่ผ่านไปผ่านมาบ้างล่ะครับ” ไมโนลล์ตอบ “เราไม่มีทางเลือก ทำเลที่ตั้งร้านไม่ได้หาง่ายๆ พวกท่านก็รู้ว่าตอนนี้สงครามกำลังเกิด เราต้องระมัดระวังไม่ตั้งร้านในพื้นที่สงคราม ทำเลดีๆ ส่วนใหญ่ก็ถูกจับจองไปแล้ว งบประมาณของเราก็มีจำกัด สุดท้ายเราจึงต้องมาเสี่ยงดวงที่นี่”
“ร้านของเจ้าอยู่ตรงไหนหรือ” ไรมินถาม
“ข้านำทางพวกท่านไปได้ ท่านสุภาพบุรุษโฮเซ่ทั้งสอง” ไมโนลล์ละมือจากเสียมและยืดตัวขึ้น มันมีความสูงไม่เกินเมตรแน่ “บางทีพวกท่านอาจสนใจสินค้าในร้านของเรา คือช่วงนี้กิจการไม่ค่อยดีเลย มีลูกค้าน้อยมาก เราจะคิดราคาพิเศษให้ด้วยหากพวกท่านสนใจ”
“ฟังดูเข้าท่า” กัปตันวอร์ดิวสนใจ “แต่เราไม่มีเงินทองเลย จะใช้อะไรซื้อ”
“นั่นหนังฉลามทะเลทรายใช่ไหมครับ” ไมโนลล์ชี้ไปที่เสื้อกันหนาวที่พาดบ่ากัปตันวอร์ดิวและไรมิน“มันมีราคาพอควรทีเดียว”
“แน่นอน มันลำบากมากที่จะจับฉลามทะเลทรายสักตัวจริงไหม” ไรมินพูดเสริมแต่ง “แต่บางที สินค้าของเจ้าอาจน่าสนใจกว่าเสื้ออันมีค่าหายากของเรา”
“เช่นนั้น ร้านโพรฟและสหายยินดีต้อนรับพวกท่าน” ไมโนลล์โค้งให้เล็กน้อย“ข้าชื่อพอร์ท เป็นผู้ช่วยประจำร้านโปรดตามข้ามา ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง”
พอร์ทเดินนำทั้งสองเดินเลียบไปตามชายฝั่งทะเลที่มีโขดหินและต้นมะพร้าวลักษณะเหมือนพัดยักษ์เต็มไปหมด ร้านที่ว่านั่นอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เห็นชัดว่าพยายามตั้งให้เป็นที่สังเกตจากบนฟ้าหรือจากทะเล เพื่อจะได้เรียกลูกค้าที่ผ่านไปมาทางเรือและเรือเหาะ แต่แน่ล่ะ ใครจะผ่านมาทางนี้กันอาคารทั้งหลังทาด้วยสีแดงเตะตา หลังคาร้านมีรูปร่างประหลาดและมียอดแหลมสูงลิ่วติดธงผืนใหญ่เบ้อเริ่มสีเขียว มีป้ายใหญ่ยักษ์ติดรอบอาคารสี่ทิศทางเป็นภาษามนุษย์เขียนว่าร้านโพรฟและสหาย(Profe and Friends’ Shop) ตัวมหึมา จะว่าไปแล้ว อาคารหลังนี้ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
“เชิญด้านในครับ” พอร์ทเปิดประตูอาคารที่ทำด้วยไม้ หลบทางให้ไรมินและกัปตันวอร์ดิวเดินเข้าไปข้างใน
ข้างในนี้มืดสลัวด้วยแสงจากตะเกียงบนผนังและโคมไฟบนเพดานเตี้ยๆ กลิ่นเหม็นอับแบบห้องใต้ดินส่งกลิ่นฉุนจมูก พื้นที่ข้างในนี้แทนที่จะกว้างขวางแบบที่คิดไว้ กลับแคบลงถนัดตาเพราะมีชั้นวางสินค้าหน้าตาประหลาดเต็มไปหมด บ้างก็เป็นของเหลวในขวดเก่าๆ บ้างก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ท่าทางอันตราย ไรมินและกัปตันวอร์ดิววางอาวุธพิงไว้ที่ประตูและเดินถือเสื้อคลุมหนังฉลามทะเลทรายไปหาเคาน์เตอร์ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองต้องเดินก้มหัวเพื่อไม่ให้ชนเพดานหรือโคมไฟ ที่เคาน์เตอร์มีไมโนลล์อีกตนหนึ่งท่าทางเจ้าเล่ห์ยืนประจำอยู่ ไมโนลล์ตนนี้สวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าพอร์ทมาก เขี้ยวหมูป่าข้างหนึ่งของมันดูจะเลี่ยมด้วยทอง
“ท่านสุภาพบุรุษโฮเซ่ทั้งสอง บอกไม่ถูกจริงๆ ว่าข้าดีใจแค่ไหน ตั้งแต่มาตั้งร้านที่นี่ ข้ารู้ซึ้งจริงๆ ว่าลูกค้านั้นหายากยิ่งนัก” มันพูดรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน“ร้านอันต่ำต้อยของเรายินดีต้อนรับ ข้าชื่อโพรฟ เป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้เอง”
“ข้าชื่อไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าแฮนดรัส และเป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้” ไรมินแนะนำตัว “ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้ กัปตันวอร์ดิว รองหัวหน้าแฮนดรัส”
“ท่านคือเจ้าของเกาะหรือ”
“เดิมทีเกาะนี้เป็นของธาร์ค บุฟโฮป บรรพบุรุษของข้า ตอนนี้จึงตกทอดมาถึงข้า เนื่องจากเกาะแห่งนี้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเราแฮนดรัส ราร์ร็อค เฮนิเคมจึงไม่มาราวีเรา ที่นี่ไม่ใช่เขตปกครองของแบร์ร็อค แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ราร์ร็อค เฮนิเคมตายไปตั้งนานแล้ว”
“ท่านคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ ที่ข้ามาตั้งร้านบนเกาะของท่าน” โพรฟถาม
“ไอ้บริเวณนี้เป็นบริเวณที่เราแทบไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว ทั้งแห้งแล้งกันดาร ปลอดคน อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ” ไรมินโบกไม้โบกมือ “แต่จำไว้นะโพรฟ ถ้าจะเข้าใกล้เขตโอเอซิส เจ้าต้องขออนุญาต มิฉะนั้นมีปัญหากันแน่”
“ร้านของโพรฟและสหาย เจ้าตั้งชื่อเหมือนร้านนี้มีหุ้นส่วนเลย” กัปตันวอร์ดิวตั้งข้อสังเกต “แต่นี่เจ้าดำเนินกิจการคนเดียว ไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรือ”
“โปรดอย่าใส่ใจชื่อร้านค้าเลยครับ กัปตันวอร์ดิว” โพรฟหัวเราะ “ในดาวดวงนี้มีคนตั้งชื่อสิ่งต่างๆ ที่ฟังดูแปลกๆ เต็มไปหมด อย่างเช่นเมืองวิงเบิร์ด (Wing Bird) ของพวกมนุษย์ เหมือนพยายามสื่อว่าหมายถึงปีกนก (Bird Wing) แล้วปีกมันก็ควรมีเป็นพหูพจน์ไม่ใช่หรือ (Wings) หรือหมายถึงปีกข้างเดียวจริงๆ ช่างเถอะ แต่ละชื่อก็คงจะมีความเป็นมาของมัน ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจเลย บางร้านค้ายังตั้งชื่อว่าเลิกล้มกิจการก็มี ว่ากันว่าเพื่อเอาโชคเอาเคล็ด แต่ไม่ว่าจะยังไง ข้าเชื่อว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของข้า ในเมื่อข้ารู้ว่ามีแฮนดรัสจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าก็สามารถค้าขายกับพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ยังดีกว่ารอเรือเหาะหรือเรือสำเภาที่นานๆ จะหลงผ่านมาที”
“เตือนไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้าขายของห่วยๆ ของปลอมๆ หรือของอันตรายให้กับคนของข้า ข้าจะมาถล่มร้านของเจ้าแน่” ไรมินขู่
“นี่อะไรหรือ” กัปตันวอร์ดิวหันไปมองของเหลวสีขาวข้นในขวดแก้วบนชั้นวางของข้างๆ อย่างสนใจ
“นั่นน่ะหรือครับ” โพรฟพูดอย่างกระตือรือร้น “หากท่านดื่มยานี่เข้าไป มันจะไปกระตุ้นสารอะดรีนาลีนในร่างกายของท่าน และส่งไปบริเวณขาปริมาณมาก อาจทำให้ท่านวิ่งเร็วพอๆ กับม้าเลยทีเดียว”
“มันไม่ทำให้ข้าหัวใจวายตายก่อนหรือ”
“ข้าเองก็ไม่เคยทดลองครับ หวังว่าจะไม่ถึงขนาดนั้น”
“ถ้ามันทำให้ข้าวิ่งเร็วพอๆ กับม้า มันก็ถึงขนาดนั้นล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าแนะนำสินค้าอื่นให้ท่านดีกว่าครับ อย่างหน้ากากนี่ สวมมันแล้วท่านจะดำน้ำได้นานเป็นวันทีเดียว หน้ากากไม่เพียงแต่จะกรองออกซิเจนเท่านั้น มันยังจะเปลี่ยนไฮโดรเจนที่มีอยู่ในน้ำมากมายให้เป็นออกซิเจนอีกด้วย ถ้าหากท่านต้องการ เราก็สามารถทำหน้ากากให้เข้ากับ เอ้อ ใบหน้าใหญ่ๆ ของท่านได้ครับ”
“ถามจริงๆ นะ ข้าหน้าใหญ่หรือ”
“แฮนดรัสทุกคนก็หน้าใหญ่ไม่ใช่หรือครับ พวกท่านมีโครงร่างใหญ่โต”
“ข้าถามจริงๆ เพราะข้าเคยคิดจะไว้เครา แต่ข้าต้องดูว่ามันจะเข้ากับหน้าข้าไหม”
“ถ้าท่านจะไว้เคราะ ข้าขอแนะนำเลยครับ ยาปลูกเครา--”
“คือแถวนี้มีถ้ำประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง” ไรมินรีบพูดก่อนที่โพรฟจะขายของไปมากกว่านี้ จริงๆ เลยพวกนักการขาย คุยเพียงไม่กี่คำก็หาเรื่องขายของได้ตลอด“เจ้าพอรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างไหม และพอรู้ไหมว่าใครเป็นคนสร้างขึ้น”
“ไม่ทราบครับ” โพรฟส่ายหน้า“ตอนที่ข้ามาสร้างร้านที่นี่ ถ้ำเย็นแห่งนั้นก็มีอยู่แล้ว คงถูกสร้างมานานมากแล้ว ท่านเป็นเจ้าของเกาะ ท่านน่าจะรู้ไม่ใช่หรือครับโฮซอร์บุฟโฮป”
“จะรู้ได้ไง ข้ากับพวกพ้องเพิ่งถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เอง” ไรมินพูด “แล้วเราก็ไม่กระตือรือร้นเรื่องสำรวจนัก เกือบครึ่งเกาะเราก็ยังไม่ได้สำรวจ มันมีอะไรน่าสำรวจล่ะนอกจากความแห้งแล้งกันดาร”
“แต่พวกท่านต้องการจะสำรวจถ้ำประหลาดนั่นใช่ไหมครับ” โพรฟถามเข้าประเด็น
“ก็ไม่คิดจะสำรวจจริงจังหรอก” ไรมินพูดเรื่อยๆ “แล้วเจ้าช่วยเราได้หรือ”
“ข้ามีสินค้าที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการสำรวจของพวกท่าน” โพรฟหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมา “พอร์ท” เขาเรียกผู้ช่วย “ไปที่ถ้ำโกดังเก็บของ แล้วเอาลังไม้นี่ไปใส่ของที่โฮซอร์บุฟโฮปต้องการ”
พอร์ทโค้งศีรษะแล้วรับกุญแจกับลังไม้ไป เปิดประตูออกไปนอกร้าน
“เจ้ามีโกดังเก็บของเชียวหรือ” ไรมินถาม
“โฮซอร์บุฟโฮป ข้าขายสินค้า ข้าก็ต้องมีที่เก็บสินค้าบางส่วน ข้าก็แค่ปรับปรุงถ้ำใต้ดินแถวๆ นี้ให้เป็นโกดังเก็บของเล็กๆ น้อยๆ”
“ถึงขั้นเป็นโกดัง มันคงจะไม่เล็กๆ น้อยๆ แล้วล่ะ”
ภายในเวลาไม่นาน พอร์ทก็ถือลังไม้กลับมาพร้อมกับสิ่งที่คล้ายๆ กับก้อนหินสีเหลืองบุบๆ เบี้ยวๆ เต็มลัง ไรมินและกัปตันวอร์ดิวขมวดคิ้วอย่างไม่สู้ศรัทธา ขณะที่พอร์ทยกลังไปวางไว้บนเคาน์เตอร์
“ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง ข้าขอแนะนำสินค้าอันมีประโยชน์” โพรฟกางแขนออกอย่างมีพิธีรีตอง “สินค้าที่คุ้มค่ากับการใช้จ่ายของพวกท่าน สิ่งนี้คือ--”
“ข้ารู้ว่ามันคืออะไร” กัปตันวอร์ดิวแทรกขึ้นมา “ใช่แล้ว มันคือสิ่งที่ข้ากำลังต้องการมากๆ คือตอนนี้ข้ามีแผนจะทำอ่างปลาที่บ้าน แล้วข้าก็ต้องการหินสำหรับแต่งอ่างปลา”
โพรฟทำหน้าเหมือนถูกเหยียบหาง
“นี่เจ้าเอาอะไรมาขายให้เรา” ไรมินเหมือนจะต่อว่าโพรฟ
“โฮซอร์บุฟโฮป โปรดอย่าตัดสินสินค้าเพียงรูปโฉมภายนอก สิ่งที่ดูธรรมดาๆ อาจมีประโยชน์มหาศาล” โพรฟหยิบหินเหลืองขึ้นมาก้อนหนึ่ง “นี่คือหินผิวมังกร หนึ่งในสิ่งอัจฉริยะที่ข้าคิดค้นขึ้นมา ใครๆ ก็รู้ว่าร่างกายของมังกรสามารถปรับสภาพให้เข้ากับสภาพอากาศได้ทุกชนิดตามแบบสัตว์เลือดเย็นชั้นสูง ข้าจึงสกัดสารจากผิวมังกรมาผสมกับตัวยาซับซ้อนหลายชนิดของเรา จนกระทั่งมันเกิดเป็นหินที่กินแล้วจะปรับอุณหภูมิในร่างกายได้ตามสภาพอากาศ พวกท่านสนใจไหมท่านสุภาพบุรุษ มันจะทำให้ท่านอยู่ในถ้ำเย็นๆ แห่งนั้นได้นานเป็นวันเลยนะ กินเข้าไปหนึ่งก้อนก็อยู่ได้สามชั่วโมงแล้ว”
“ไอ้สิ่งนี้มันกินได้ด้วยหรือ”
“ข้าแค่ตั้งชื่อมันว่าหินเพราะมันเหมือนหิน แต่มันไม่ใช่หินแน่นอนกัปตันวอร์ดิว มันไม่แข็งขนาดนั้น ลองกินเข้าไปดู มันกรอบๆ เหนียวๆ รสชาติก็ไม่ได้แย่นัก”
“หากว่ามันมีสรรพคุณอย่างที่ว่าจริงมันก็น่าสนใจนะครับโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวบอกไรมิน “ของอย่างอื่นดูเราจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรได้ ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปก็ดีเหมือนกัน”
“เอางั้นก็ได้โพรฟ” ไรมินวางเสื้อกันหนาวหนังฉลามทะเลทรายทั้งสองตัวลงบนเคาน์เตอร์ “เสื้อสองตัวนี้ จะซื้อหินได้กี่ลัง”
“เสื้อหนึ่งตัวต่อหินหนึ่งลังเป็นไง ท่านสุภาพบุรุษ” โพรฟเสนอ
“ไม่กดราคาไปหน่อยหรือ หินของเจ้าไม่น่าจะแพงขนาดนั้น”
“มันต้องใช้สารสกัดจากผิวมังกรเชียวนะครับ”
“มันจะใช้มากมายแค่ไหนเชียว หินแต่ละก้อนมีสารสกัดที่ว่านั่นถึงสามเปอร์เซ็นต์หรือเปล่ายังไม่รู้เลย เสื้อหนึ่งตัวต่อหินสามลัง”
“โห! ไม่ไหวหรอกครับท่านเอาอย่างนี้เสื้อสองตัวแลกกับหินสามลังก็แล้วกัน”
“หน้าเลือดชัดๆ ฉลามทะเลทรายนะไม่ใช่ปลาตะเพียน คิดว่ามันจับง่ายๆ หรือไง”
“เอาล่ะ ข้าลดให้ท่านเต็มที่แล้ว มากกว่านี้ไม่ไหวแล้วครับ” โพรฟพูดเสียงดัง “เสื้อหนึ่งตัวต่อหินผิวมังกรสองลัง แล้วข้าจะแถมของให้ท่านด้วย”
“ไม่เก็งกำไรไปหน่อยหรือ”
“ข้าเพิ่มให้ท่านเต็มที่แล้วครับ แค่นี้ข้าก็ขาดทุนย่อยยับแล้ว”
“พวกนักขายมันก็พูดว่าตัวเองขาดทุนกันทุกคน สุดท้ายมันก็ได้กำไรกันตลอด”
“โฮซอร์บุฟโฮป ข้าลดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้วครับ มันยากลำบากมากกว่าจะทำหินผิวมังกรขึ้นมาได้ โปรดทำการซื้อขายกันเถิดครับ ถือว่าเป็นการทำความรู้จักกันและสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน เสื้อหนึ่งตัวต่อหินผิวมังกรสองลัง พร้อมด้วยของแถมที่ข้าจะแถมให้ท่าน ตกลงนะครับ”
“ก็ได้ๆ” ไรมินยอมอย่างเสียไม่ได้ “แต่ข้าจะรู้ได้ยังไง ว่าเจ้าไม่เอาของคุณภาพห่วยมาแถมให้ข้า”
“งั้นเชิญท่านไปเลือกเอาในโกดังเก็บของครับ” โพรฟประสานมือกันอย่างดีใจ“พอร์ทจะพาพวกท่านไปเอง”
“ตามข้ามา ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง” พอร์ทเปิดประตูเดินนำทั้งคู่ออกไปจากร้าน
พวกเขาออกจากร้าน ตรงเข้าไปในป่าแห้งแล้งที่ถูกถางให้เป็นทางเดินอย่างลวกๆ เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวพอร์ทก็หยุด ลากกิ่งมะพร้าวแห้งๆ ออกจากพื้น เผยให้เห็นประตูกลบานหนึ่ง พอร์ทไขกุญแจประตูกลและเปิดออก หยิบตะเกียงที่วางอยู่หลังประตูขึ้นมาจุด
“ทางนี้เลย ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง” มันเดินนำทั้งคู่ลงบันไดไป
บันไดทำด้วยไม้ ไรมินและกัปตันวอร์ดิวต้องค่อยๆ วางเท้าลงบนบันไดทีละขั้นอย่างนึกสยองขวัญ เพราะมันส่งเสียงเอี้ยดอ้าดราวกับจะประท้วงว่าน้ำหนักเกิน ข้างในนี้ทั้งมืดและแคบ ไม่เหมาะกับแฮนดรัสเลย ไรมินหัวโขกกับเพดานอุโมงค์ดังสนั่น ได้แต่คลำหัวป้อยๆ และบ่นพึมพำเป็นตาแก่
“โปรดระวังด้วยครับโฮซอร์บุฟโฮป” พอร์ทเตือน “เพดานจะถล่มเอา”
“ข้าว่าเจ้าควรจะห่วงหัวข้าก่อนนะ”
แต่เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ อุโมงค์กลับกว้างขึ้น ใช้เป็นโกดังเก็บของได้สบาย ข้างในนี้มีข้าวของเต็มไปหมด เดาว่าน่าจะเป็นของเก่าขายไม่ออกทั้งนั้น ทั้งขวดโน่นขวดนี่ หีบเก่าๆ รถเข็นคันใหญ่เก่าๆ ผุๆ วางระเกะระกะไปหมด ไรมินเริ่มนึกเสียใจว่าไม่น่าตกลงกับข้อเสนอของโพรฟเลย เพราะเห็นชัดว่าของเก่าๆ เหล่านี้ ไม่มีชิ้นไหนที่จะทำประโยชน์ให้เขาได้
“ท่านสุภาพบุรุษ” พอร์ทพูดจุดคบไฟตามผนัง “อยากได้อะไรเลือกเลยครับ”
“พูดเหมือนกับว่ามันมีอะไรให้เราเลือก” ไรมินพึมพำ
“ตรงนี้มีประตูไปอีกห้องหนึ่งด้วย” กัปตันวอร์ดิวเหลือบไปเห็น “ข้าว่าเราไปดูอีกห้องดีกว่าครับโฮซอร์ เผื่อจะเจออะไรที่น่าสนใจกว่านี้”
“กัปตันวอร์ดิว ของในห้องนั้นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงของเราครับ” พอร์ทรีบห้าม
ช้าไปแล้ว กัปตันวอร์ดิวเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เขาเห็นคือกระสอบที่กองพะเนินกันจนถึงเพดานห้อง มีกระสอบหนึ่งเปิดอยู่ ซึ่งของในกระสอบก็ไม่ใช่อะไรอื่น
“หินผิวมังกรนี่” กัปตันวอร์ดิวหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ “ในกระสอบพวกนี้คือหินผิวมังกรจำนวนมาก”
ไรมินยกร่างพอร์ทขึ้นมา พอร์ทแกว่งแขนแกว่งขาด้วยความกลัว ถูกยกขึ้นมาง่ายๆ ราวกับตุ๊กตานุ่น
“ไหนบอกว่าเป็นเรื่องยากเย็นนักที่จะผลิตมันขึ้นมา แล้วนี่ทำไมนายของเจ้าถึงมีหินแบบนี้กองเป็นภูเขาเลยล่ะ” เขาทำท่าจะเอาเรื่อง “หลอกกดราคากันนี่”
“โฮซอร์บุฟโฮป โปรดใจเย็นๆ ก่อน นายของข้าได้สารสกัดจากผิวมังกรมาปริมาณมาก เก็บไว้นานจะเสื่อมคุณภาพ เขาต้องรีบใช้มันทำอะไรสักอย่าง จึงเอามาทำหินผิวมังกรให้หมด เป็นเหตุให้มีหินผิวมังกรมากมายขนาดนี้”
“ประเด็นก็คือ นายของเจ้ามีหินผิวมังกรมากมาย แต่เขาทำเหมือนกับมันเป็นของมีค่าหายาก แล้วก็กดราคาให้ข้าจ่ายแพงขึ้น” ไรมินเขย่าตัวอีกฝ่าย “นั่นแหละที่ทำให้ข้าหงุดหงิด”
“หินผิวมังกรมีสรรพคุณยอดเยี่ยมอย่างที่นายของข้าพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน มันคุ้มค่ากับการจ่ายของท่านอย่างแน่นอน” พอร์ทละล่ำละลัก “เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ครั้งหน้าที่มีการซื้อขายกันอีก นายของข้าละลดราคาให้ท่านเป็นพิเศษเลย”
“ข้ามีทางเลือกเสียที่ไหน” ไรมินปล่อยพอร์ทลง พอร์ทเซไปชนถังไม้ถังใหญ่ที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ร้องลั่น ทำเอาไรมินกับกัปตันวอร์ดิวสะดุ้งไปด้วย
“ข้าวางเจ้าลงพื้นเบาๆ แล้วนะ” ไรมินขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ครับโฮซอร์บุฟโฮป แต่ถังนี่มันถังระเบิดแรงสูง” พอร์ทชี้ไปที่ถัง
เป็นเหตุผลว่าทำไมถังไม้ถึงมีชนวนยาวๆ สีขาว มีถังแบบนี้วางระเกะระกะอยู่ใกล้ๆ อีกหลายถัง กัปตันวอร์ดิวกระพริบตาปริบๆ
“ทำไมเอามาเก็บไว้ที่นี่ มันอันตรายนะ”
“เราไม่มีที่เก็บดีกว่านี้แล้วครับ”
“ข้าไม่รู้หรอกว่านี่เป็นระเบิดชนิดไหน แต่ไม่ว่าจะชนิดไหนก็ไม่ควรเอามาเก็บแบบนี้ ถ้ามันตูมตามขึ้นมาก็หายนะทั้งนั้น เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับระเบิดไหมนี่” กัปตันวอร์ดิวพูดเสียงดัง
“ข้าพอทราบเกี่ยวกับระเบิดอยู่บ้างครับ” พอร์ทอธิบาย “ระเบิดชนิดนี้ไม่ได้เน้นเรื่องอำนาจการเผาไหม้อย่างกระสุนเครื่องยิงของพวกดาร์คเนสดีวิล หรือเน้นเรื่องอำนาจการกระจายสะเก็ดอย่างกระสุนคานดีดของพวกเฟลมฟอร์ส แต่มันเป็นระเบิดที่เน้นเรื่องแรงอัดและอำนาจการทะลุทะลวง เหมาะสำหรับใช้งานเหมืองแร่หรือระเบิดภูเขา”
“นี่ขนาดเจ้ารู้เกี่ยวกับระเบิด เจ้ายังเอาระเบิดภูเขามาเก็บไว้ในอุโมงค์อย่างนั้นหรือ” กัปตันวอร์ดิวตบหน้าผากตัวเอง
ไรมินมองระเบิดหลายๆ ถัง และหันไปมองรถเข็นเก่าๆ อย่างไตร่ตรอง ในที่สุดเขาก็พูดว่า
“เอาล่ะพอร์ท ข้ารู้แล้วว่าจะเลือกอะไรเป็นของแถมดี”
****************
ไรมินและกัปตันวอร์ดิวมาถึงหน้าถ้ำประหลาดด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องออกแรงลากรถเข็นเก่าๆ ที่ล้อแทบจะไม่หมุนมาตลอดทาง ลังใส่หินผิวมังกรสี่ลังใหญ่และถังระเบิดอีกห้าถังบรรทุกอยู่บนรถเข็นคันนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือก ถ้าไม่เอารถเข็นห่วยๆ นี่ลากมาก็ต้องแบกมา ระหว่างทางกัปตันวอร์ดิวก็บ่นพึมพำต่อว่าโพรฟไม่หยุดปาก
“ไมโนลล์ขี้งก หน้าเลือด เห็นแก่กำไรอย่างเดียว ขายของห่วย--”
“ไหนมาลองดูว่าหินนี่ใช้งานได้จริงหรือเปล่า” ไรมินหยิบหินผิวมังกรก้อนหนึ่งเข้าปาก “เจ้าโพรฟบอกว่าแค่ก้อนเดียว ก็อยู่ได้สามชั่วโมงแล้ว”
เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นตามร่างกายของเขา อากาศร้อนๆ รอบตัวเริ่มเย็นลง มันเป็นความรู้สึกคงที่อย่างเหลือเชื่อ ไม่เคยสัมผัสอุณหภูมิอากาศที่เหมาะกับสภาพร่างกายเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิภายนอก เขาออกแรงยกถังระเบิดสองถังไว้บนบ่าทั้งสองข้างและเดินเข้าไปในถ้ำโดยไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ระเบิดทั้งสองถังถูกวางชิดผนังถ้ำด้านที่มีผิวเรียบและมีตัวอักษรสลักอยู่
“หินพวกนี้ใช้ได้ครับโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวตะโกนมาจากนอกถ้ำ “ข้ากินมันเข้าไปหนึ่งก้อน มันดีจริงๆ ตะบองเพชรพินาศ!”
“ขนระเบิดที่เหลือเข้ามาด้วยพ่อหนุ่ม” ไรมินบอก เสียงเขาสะท้อนไปทั่วถ้ำ “เราจะระเบิดผนังถ้ำลงคาถานี่ให้เป็นจุลเลย”
กัปตันวอร์ดิวขนระเบิดที่เหลือมากองไว้ที่เดียวกัน เขามองไปรอบๆ ตาเหลือกตาค้าง
“ถ้ำมีหวังถล่มลงมาแน่ๆ โฮซอร์” เขาพูดเสียงเบา
“ถล่มก็ดี มันจะได้เปิดทางให้เราหลายๆ ทาง” ไรมินว่า “เจ้าควรจะเอาหินผิวมังกรไปไว้ห่างๆ ถ้ำนะ แล้วหาที่หลบดีๆ ด้วย”
กัปตันวอร์ดิวรีบเดินออกจากถ้ำ เข็นรถเข็นออกห่างถ้ำให้มากที่สุด หาที่หลบหลังดงไม้ในป่าแห้งแล้งใกล้ๆ ไรมินโยงชนวนออกมานอกถ้ำให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็จุดขนวนด้วยตะเกียง แล้วรีบย้ายร่างใหญ่ๆ วิ่งไปหลบที่เดียวกับกัปตันวอร์ดิว
เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนทั้งคู่ต้องหมอบลงกับพื้นและยกมือปิดหูไว้แน่น รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่พื้นใต้ตัว ได้ยินเสียงหินงอกหินย้อยในถ้ำถล่มลงมาและมีฝุ่นกับละอองน้ำแข็งกระจายฟุ้งออกมาจากปากถ้ำ กว่าทุกอย่างจะสงบนั้นก็ใช้เวลานานทีเดียว ไรมินปัดฝุ่นออกจากหัว ค่อยๆ โงหัวขึ้นช้าๆ แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าถ้ำที่ควรจะถล่มนั้นมันไม่ได้ถล่ม
“แค็กๆ!” เขาสำลักไอ ขณะเดินถือตะเกียงเข้าไปในถ้ำที่มีละอองฝุ่นคลุ้งเต็มไปหมด พื้นถ้ำเต็มไปด้วยเศษหินและเศษน้ำแข็งจากการถูกระเบิด ผนังถ้ำรอบข้างดูพังเสียหายย่อยยับ แต่มันก็ไมได้ถล่มลงมาราวกับปาฏิหาริย์ ไรมินขยับเข้าไปสำรวจดูที่ผนังถ้ำน้ำแข็งด้านที่มีตัวอักษรสลักอยู่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่ามันไม่เสียหายแม้แต่รอยขีดข่วนเลย
“นี่มันอะไรกัน” เขาพึมพำขณะโบกมือไล่ฝุ่นรอบๆ ตัว “มหัศจรรย์จริงๆ”
“มหัศจรรย์จริงๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่” กัปตันวอร์ดิวเดินโซเซเข้ามาในถ้ำพร้อมกับตะเกียง “แรงอัดระเบิดแรงเป็นบ้า พวกไมโนลล์ควรจะเป็นมือระเบิดสังหารจริงๆ แก้วหูข้าเกือบแตก”
“ถ้ำไม่ถล่ม มันดูจะบั่นทอนแรงอัดจากระเบิดได้มหาศาล คงเป็นเพราะถูกลงคาถาไว้” ไรมินพูดอย่างหงุดหงิดขณะเดินออกมาจากถ้ำพร้อมกับกัปตันวอร์ดิว “ที่ผนังถ้ำบ้านั่นไม่เป็นอะไรก็เพราะถูกลงคาถา และต้องถูกสร้างด้วยแร่วัตถุอันทรงพลังแน่อยากรู้จริงๆ ว่าด้านหลังผนังนั้นซ่อนอะไรอยู่”
“นี่ก็เริ่มมืดแล้วครับโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวเงยหน้ามองท้องฟ้า “เราควรกลับหมู่บ้านกันดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน” ไรมินพยักหน้า หันไปมองถ้ำ “อันที่จริงถ้ำนี้จะซ่อนอะไรเอาไว้ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เราไม่น่ามาเสียเวลากับมันเลย”
“แต่อย่างน้อย เราก็มาไม่เสียเที่ยวครับ หินผิวมังกรนี่มีประโยชน์ไม่เลว ถ้าเราต้องการอีก เราก็สามารถมาซื้อที่นี่ได้” กัปตันวอร์ดิวพูดอย่างพอใจ “เจ้าโพรฟนั่นมีมากพอจะแจกให้ทหารทั้งกองทัพเลยทีเดียว”
“แล้วถ้าเกิดว่ามันขายราคาเดิมอีก” ไรมินพูดเสียงเหี้ยมเกรียม“เราอาจได้สวมเสื้อหนังไมโนลล์ แทนหนังฉลามทะเลทราย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ