พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) บทที่ 18 เดอะ ทวินเฮด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 18
เดอะ ทวินเฮด
 
                ยิ่งปล่อยสถานการณ์ของโอมิลรอนให้เป็นเช่นนี้นานวัน ปัญหาของพวกมนุษย์ก็ยิ่งเพิ่มพูน ผลกระทบต่างๆ จากการปิดล้อมครั้งนี้ส่งผลให้ประชาชนมนุษย์หลายกลุ่มเริ่มหมดความอดทน ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากเหล่าขุนนางของตน บ้างก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลไปเพื่อจะได้นำความสงบกลับคืนมา บ้างก็เรียกร้องให้ส่งกองกำลังเข้าไปปราบปราบพวกดาร์คเนสดีวิล บ้างก็เรียกร้องไม่ให้ส่งกองกำลังเข้าไปเพราะจะเป็นอันตรายต่อเหล่านักบวช บ้างก็เรียกร้องไม่ให้ปล่อยตัวเชลยศึกไปแม้แต่คนเดียว ตามถนนในเมืองหลวงโมราโซมอสและสถานที่สำคัญต่างๆ เริ่มเต็มไปด้วยผู้ชุมนุมหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นไม่ค่อยจะสอดคล้องกัน ความวุ่นวายทำนองนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นพร้อมกันหลายกลุ่มถึงเพียงนี้ ใครจะไปนึกว่าโซลิแทร์ เดอะ แบล็กไรดิงฮู้ด จะมีแผนการที่แยบยลและแสบทรวง เขารู้ดีว่ายามที่พวกมนุษย์อยู่ในสภาวะหวาดกลัวและวิตกกังวล ความแตกแยกและการทะเลาะเบาะแว้งคือสิ่งที่จะตามมา
                “ผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้เราทำตามข้อตกลง ปล่อยตัวเชลยศึก เพื่อพวกดาร์คเนสดีวิลจะได้ถอนกำลังจากอาณาจักรเราเสียที” อาร์รอส ไอวิวรี่รายงานพระราชาอยู่ในท้องพระโรง “ขณะที่ผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอคติเกลียดชังพวกดาร์คเนสดีวิล กลับคัดค้านการปล่อยตัว และชี้แจงว่าหากยอมตามพวกปีศาจหนึ่งนั้น ก็จะถูกพวกนั้นข่มขู่อีกเรื่อยๆ พวกเขายอมตายดีกว่าทำตามที่พวกดาร์คเนสดีวิลต้องการ--”
                พระราชานั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าเคร่งเครียดและขุ่นเคือง
                “--แล้วยังมีผู้ชุมนุมอีกกลุ่ม ที่เรียกร้องให้เรานำกองกำลังบุกเข้าไปปราบปรามพวกดาร์เนสดีวิล ขณะที่มีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มเคร่งศาสนาและศรัทธาในเหล่านักบวชนั้น เกรงกลัวว่าพวกนักบวชจะถูกตัดหัวกันหมด จึงต่อต้านเรื่องการส่งกำลังเข้าไปปราบปราม” อาร์รอสรายงานต่อ “นอกจากนี้ยังมีผู้ชุมนุมอีกกลุ่มที่เคร่งศาสนาเหมือนกัน แต่เรียกร้องให้เราส่งกองกำลังเข้าไป โดยเชื่อว่าสละชีวิตพวกนักบวชยังดีกว่าปล่อยให้พวกดาร์คเนสดีวิลย่ำยีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ อีกทั้งชาวเมืองที่อพยพจากเมืองโอมิลรอนก็รวมกลุ่มกัน เรียกร้องจะเอาบ้านเอาเมืองของตนคืน พวกเขาเร่งรัดให้เราแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว นี่ยังไม่รวมกลุ่มผู้ชุมชุมแยกย่อยอีกหลายกลุ่มที่เรียกร้องให้ลดหย่อนภาษี เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เรียกร้องให้ปรับปรุงสาธารณูปโภคที่เสื่อมคุณภาพจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ปัญหาความไม่สงบทั้งหลายทั้งปวงนี้เปิดโอกาสให้พวกมิจฉาชีพได้กระทำการสกปรกมากมาย ความวุ่นวายเกิดขึ้นหลายจุดในเมืองหลวง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะต้องเกิดจลาจลเป็นแน่แท้”
                “ข้ามอบหน้าที่ให้เจ้าจัดการเรื่องความสงบภายในอาณาจักรไม่ใช่หรือ” พระราชาชะโงกตัวลงมาจากบัลลังก์ “เจ้าขออาสารับหน้าที่นี้ ในขณะที่คนอื่นๆ อาสาเข้าร่วมสงคราม ในเมื่อความวุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าจะอธิบายตนเองว่าอย่างไร”
                “หม่อมฉันทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ปัจจัยสนับสนุนกลับไม่เพียงพอ” อาร์รอสพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “งบประมาณและกำลังทหารถูกผลาญไปกับสงคราม พระองค์ให้การสนับสนุนด้านการทหารอย่างเต็มที่ ขณะที่ด้านการพลเรือนนั้น แทบจะไม่มีอะไรเพียงพอเลย”
                “เจ้ากำลังวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของข้าอย่างนั้นหรือ” พระราชาตะคอก
                “หม่อมฉันรายงานตามความเป็นไปที่เกิดขึ้นจริง” อาร์รอสโค้งศีรษะ พยายามซ่อนสีหน้าขุ่นเคือง
                “ข้าศึกสองเผ่าพันธุ์รวมหัวกันเล่นงานเรา สร้างความวุ่นวายอันหนักหน่วงแก่เราแท้ๆ เจ้ายังปล่อยให้ประชาชนอยู่เหนือการควบคุม” พระราชาต่อว่าอย่างไร้เหตุผล “ข้าจะแก้ปัญหายังไง ถ้านอกอาณาจักรเราเต็มไปด้วยศัตรู และในอาณาจักรเราเต็มไปด้วยประชาชนที่ทำตัวงี่เง่า เจ้าจะต้องควบคุมพวกมันให้อยู่อาร์รอส สถานการณ์ตอนนี้มันวุ่นวายเกินกว่าจะให้ปัญหาใดๆ เกิดขึ้นมาอีก”
                “แต่หม่อมฉันจะเพิ่งทูลพระองค์ไป ว่าสถานการณ์ตอนนี้ มันจวนเจียนจะควบคุมไม่อยู่” อาร์รอสแย้ง “กลุ่มผู้ชุมนุมย่อมเรียกร้องมากขึ้น หากข้อเรียกร้องของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมก็มีกันหลายกลุ่ม และมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป หากทำตามข้อเรียกร้องกลุ่มหนึ่ง ก็เท่ากับขัดข้อเรียกร้องของอีกกลุ่มหนึ่ง หรืออีกหลายกลุ่ม”
                “พวกมันไม่ควรจะมาชุมนุมอะไรกันแบบนี้ตั้งแต่แรก ปัญหาที่เกิดขึ้นมันแก้ยากอยู่แล้ว กลับต้องแก้ยากมากขึ้นอีก” พระราชาคำราม
                “ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน ความตกต่ำของเศรษฐกิจ ความเสื่อมโทรมของศาสนา ส่งผลให้พวกเขาต้องออกมาแสดงการเคลื่อนไหว” อาร์รอสกล่าว “ในตอนนี้พวกเขาเกิดความเสื่อมศรัทธาในกลุ่มคนที่ปกครองพวกเขา และมีแนวโน้มจะแย่ขึ้นกว่านี้อีก”
                “นี่ไม่ใช่อาณาจักรกาโกคอลนะ เราไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเหมือนพวกฟอเรสเทอร์ ประชาชนไม่มีสิทธิ์จะมาเดินขบวนตั้งกลุ่มชุมนุมแบบนี้ด้วยซ้ำ” พระราชาตะโกนก้อง “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเรามันไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เลยหรือไง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยมันหายไปไหนหมด ประชาชนเหล่านั้นกำลังทำสิ่งที่เกินขอบเขตอำนาจของพวกมัน”
                “จะปกครองด้วยระบอบใด พระองค์ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประชาชนคือคนส่วนใหญ่ และคนส่วนใหญ่ย่อมมีอิทธิพลต่อการปกครอง” อาร์รอสว่า “แม้เราจะมีอำนาจเหนือพวกเขา แต่หากเราทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็อาจสร้างความสั่นคลอนแก่อำนาจของเราได้”
                “ไม่ต้องมาสอนข้าเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง” พระราชากัดฟัน “พึงสำเหนียกว่าเจ้าอยู่ฐานะไหน ข้าอยู่ฐานะไหน”
                “ตามแต่พระองค์จะทรงรับสั่ง” อาร์รอสโค้งศีรษะ สีหน้าเฉยชา
                “ในเมื่อเจ้าได้รับหน้าที่ควบคุมประชาชนไม่ให้ก่อความวุ่นวาย เจ้าก็ควรจะทำให้ได้ ข้าไม่ต้องการฟังข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับความไร้ประสิทธิภาพของเจ้าทั้งนั้น” พระราชาขัดเมื่ออาร์รอสอ้าปากจะพูด “อาณาจักรของเรากำลังประสบปัญหาอย่างหนัก อย่าให้มันหนักหนายิ่งกว่านี้ ข้าไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นกษัตริย์ในยุคที่โมราโซมอสปั่นป่วนที่สุด”
                อาร์รอสโค้งศีรษะอย่างเสียไม่ได้
                “เจ้าไปได้แล้ว” พระราชาโบกมือ
                “พะยะค่ะ ฝ่าบาท” อาร์รอสโค้งศีรษะอีกครั้ง แล้วหันหลังเดินจากไป
                “เดี๋ยว” พระราชาเรียกไว้
                อาร์รอสหันกลับมา
                “ข้าจำได้ว่าเราเป็นญาติกันนะ” พระราชาเหน็บแนม
                “พะยะค่ะ เสด็จลุง” อาร์รอสโค้งศีรษะ แล้วสาวเท้าเดินออกไปจากพระโรงเร็วกว่าเดิม ด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม
 
*********************
 
                “เกิดกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงหลายกลุ่มเชียวหรือ” กอร์รินพูดอย่างพอใจ เมื่อได้รับรายงานความเคลื่อนไหว “ในเมื่อพวกขุนนางมนุษย์เอาแต่ชิงดีชิงเด่นและแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่าย ระบบราชการของพวกมันจึงขาดความเป็นเอกภาพ เมื่อเกิดปัญหาทำนองนี้ พวกมันจะแก้ไขได้ไม่ดี กรรมของพวกมันชัดๆ แล้วคราวนี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาทั้งภายในและภายนอกอาณาจักร โซลิแทร์ เจ้าปีศาจร้ายจอมวางแผน ใครจะไปรู้ว่าเขาจะแสบขนาดนี้”
                “พวกดาร์คเนสดีวิลมักจะเหลี่ยมจัดเกินคาดคิด เป็นเหตุให้ไว้ใจได้ยาก” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด
                “จะพูดอะไรก็พูดเถอะซีราส สิ่งสำคัญคือ นี่มันข่าวดีสำหรับเรา” กอร์รินไม่เอาความ “ความปั่นป่วนของพวกมนุษย์ครั้งนี้ ส่งผลให้ปฏิบัติการของเรามีโอกาสที่จะสำเร็จมากขึ้นอีก หากจะมีช่วงเวลาไหนที่เหมาะแก่การโจมตีพวกมนุษย์ ก็คือช่วงเวลาที่มันกำลังแตกคอกันนี่แหละ”
                “กองเรือที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ ถูกถอนขึ้นบกไปเป็นกองหนุนให้แก่เมืองโอมิลรอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไปคอยรักษาการณ์ที่นั่น เผื่อว่ามีเมืองเหตุต้องปะทะกับพวกดาร์คเนสดีวิลจะได้รักษาเมืองไว้ได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์รายงานต่อ “ตอนนี้คงอยู่ในระหว่างการเดินทัพไปโอมิลรอน”
                “มีข่าวอันใดจากกองเรือของเทอร์รินบ้าง” กอร์รินถามต่อ
                “ทัพเรือใหญ่ของพวกมนุษย์ได้รับข่าวจากเมืองหลวงแล้ว กำลังพยายามปลีกทัพจากศึกทางทะเลกับกองเรือของเทอร์ริน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตอบ “อีกไม่นาน พวกมันคงปลีกทัพออกมาได้ และมุ่งตรงกลับมาที่นี่”
                “กองเรือของเทอร์รินเป็นอย่างไรบ้าง”
                “อย่างที่คาดการณ์ไว้ กองเรือของเทอร์รินมีจำนวนน้อยกว่ามาก ประสิทธิภาพของทัพเรือก็ด้อยกว่า ย่อมได้รับความเสียหายมากพอควรเป็นธรรมดา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด “แต่เทอร์รินก็ปลอดภัย ทอร์น พอร์ล็อค และเกร็ฟเฟ็ทก็เช่นกัน พวกเขาจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเมื่อทัพเรือใหญ่ของพวกมนุษย์เริ่มถอยกลับมาที่นี่ อันตรายจะตกอยู่ที่เราสองคนแทน ที่ต้องรับมือกับทัพเรือใหญ่ของพวกมนุษย์”
                “หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราจะรับมือกับพวกมันได้” กอร์รินมั่นใจ เอนหลังพิงเก้าอี้ “กองเรือของเทอร์รินที่เสียหายนั้น เป็นการเสียหายที่คุ้มค่า พวกมนุษย์จะได้รับความเสียหายที่มากยิ่งกว่าเมื่อเราจู่โจมที่หัวใจกองเรือและศูนย์กลางการส่งกองกำลังของพวกมัน ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์และฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์”
                “ท่านไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรืออย่างไร ที่แม้ว่าเราจะร่วมปฏิบัติการกับพวกดาร์คเนสดีวิลเฉพาะกิจ แต่ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายกลับเป็นเรา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ว่า “ข้าไม่เห็นว่าพวกดาร์เนสดีวิลจะเอากองกำลังของตนเข้าไปเสี่ยงกับอะไรเลย นอกจากไปทำการตั้งค่ายปิดล้อม สร้างความกดดันแก่พวกมนุษย์ ขณะที่ผู้นำสูงสุดของเราต้องเอากองเรือไปรับความเสียหาย ไม่รู้สึกว่าถูกหลอกใช้บ้างหรือ”
                “แล้วท่านคิดว่ามันควรเป็นอย่างไรแทน สลับหน้าที่ระหว่างเรากับพวกเขาอย่างนั้นหรือ” กอร์รินย้อน “พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีทัพเรือ ซีราส อย่าว่าแต่ทัพเรือเลย เรือสงครามสักลำก็ไม่มี พวกเขาไม่มีทักษะเรื่องการต่อสู้บุกโจมตีเมือง ให้พวกเขาไปทำอะไรแบบนั้น ปฏิบัติการก็ได้ล่มเอาน่ะสิ พวกมนุษย์ไม่ได้โง่ขนาดนั้น หากเราจะซ้อนแผนหลอกล่อพวกมัน ก็ควรทำให้แนบเนียน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งจะต้องเสียหมากที่เป็นของเราไปบ้างก็ตาม การร่วมมือทางสงครามไม่เหมือนกับการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เราไม่อาจจัดแบ่งให้อีกฝ่ายเสียเท่ากับเราได้ แต่อย่างน้อย ผลประโยชน์ที่ได้รับมันก็คุ้มค่าอยู่วันยังค่ำ”
                “ท่านพูดอย่างนี้เพราะมันเป็นสัจธรรม หรือเพราะต้องการแก้ต่างให้เพื่อนปีศาจของท่านกันแน่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ขมวดคิ้ว เอนตัวจากพนักพิงเก้าอี้มาข้างหน้า
                “จะเป็นอย่างแรกหรืออย่างที่สอง มันก็ไม่ได้ทำให้คำพูดของข้าบิดเบือนไปจากความจริงหรอกใช่ไหม” กอร์รินถามกลับ
                “ท่านเริ่มจะใช้สำนวนที่ข้าไม่เคยได้ยินจากท่านมาก่อนอีกแล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ว่า “คงซึมซับมาจากพวกดาร์คเนสดีวิลอีกใช่ไหม”
                “มันทำให้ท่านไม่พอใจหรืออย่างไร” กอร์รินถามกลับ
                “มันเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะพูดจาเช่นไร” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ขยับคออย่างไม่สบอารมณ์นัก “ถึงอย่างไร ข้าก็ยังเคารพและให้เกียรติท่านในฐานะเพื่อนเสมอ”
                “เช่นเดียวกับข้าที่มีให้ต่อท่าน” กอร์รินพูด “แม้ว่าท่านจะมีอคติต่อพวกดาร์คเนสดีวิลรุนแรง แต่ทุกสิ่งที่ท่านเตือนข้าเกี่ยวกับพวกนั้น ข้าดูออกว่าเป็นเพราะความหวังดีต่อข้า และความห่วงใยในภารกิจครั้งนี้ ข้าเข้าใจดีและข้าซาบซึ้ง หากแต่อย่าได้หวั่นวิตก ข้าหวังและข้าเชื่อว่า มันจะสำเร็จลุล่วง”
                “แม้ว่าข้าจะมีอคติต่อพวกดาร์คเนสดีวิล ข้าก็หวังเต็มที่ว่าท่านและพวกนั้นจะร่วมกันทำให้ภารกิจนี้สำเร็จเช่นกัน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องท้องเรือไป “เพราะหากมันเกิดการผิดพลาด คนที่จะเจ็บปวดที่สุด ก็คือท่านเอง”
 
*********************
 
                เดิมแล้วโอมิลรอนเป็นเมืองที่เจริญมาก ในตัวเมืองมีผู้อยู่อาศัยที่ร่ำรวยเต็มไปหมด คนเหล่านี้มักจะให้ความสำคัญกับความเลิศหรู ชอบแสดงให้ผู้อื่นได้เห็นถึงอำนาจการซื้อ ชอบอวดสิ่งของหายากราคาแพงๆ คงเป็นนิสัยอันแก้ไม่หายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรดาคนมีฐานะทั้งหลายจึงสรรหาสิ่งของหายากราคาแพงๆ มาประดับเครื่องเรือน ไม่ว่าจะเป็นเขาสัตว์หายาก ไม้หายาก ขนสัตว์หายาก โดยเฉพาะขนนกหายาก เพราะมันเป็นสิ่งที่สวยงาม ความเชื่อแต่โบราณก็เชื่อว่ามันจะช่วยเสริมสร้างบารมีให้พวกเขารวยขึ้น สุขภาพดีขึ้น หรืออะไรก็ตามที่ฟังดูไร้สาระแบบสองอย่างนี้ ดังนั้น ขนนกหายากจึงเป็นที่ต้องการของพวกคนรวย เจ้าของร้านผลิตภัณฑ์ขนนกพร้อมจะจ่ายราคางามให้แก่ขนนกหายากที่พวกพรานป่าล่ามาขาย สำหรับพวกมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก ต่อให้ลำบากเดินทางไกลไปล่านกหายากถึงอาณาจักรกาโกคอลก็ยอม ที่นั่นเต็มไปด้วยนกสวยงามนานาชนิดที่โมราโซมอสไม่เคยมีมาก่อน เมื่อนำกลับไปที่โมราโซมอสจะได้ราคาสูงมากทีเดียว
          เป็นเหตุให้พรานกลุ่มหนึ่งเข้าไปล่านกในป่าดงดิบ บริเวณเส้นเขตอาณาจักรกาโกคอล น้อยนักที่จะมีมนุษย์มาถึงที่นี่เพราะทางมันไกล อีกทั้งเส้นทางที่จะมา หากไม่ผ่านใกล้อาณาจักรแบร์ร็อค ก็ต้องผ่านใกล้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล แต่เพื่อเงินนั้นพวกมนุษย์ทำได้ทุกอย่าง เงินเสมือนเป็นปัจจัยชีวิตที่สำคัญที่สุดของพวกมนุษย์ไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นระดับไหนก็ตาม
                “ได้ข่าวว่าช่วงนี้พวกดาร์คเนสดีวิลกำลังปิดล้อมโจมตีเมืองโอมิลรอน” พรานคนหนึ่งพูดกับเพื่อน มือข้างหนึ่งถือนกขนเขียวเลื่อมตัวใหญ่ที่ยิงมาได้ “เจ้าคิดว่าเราจะเอาไปขายที่นั่นได้อีกหรือ”
                “กว่าเราจะเดินทางกลับไปถึงที่นั่น ก็คงสิ้นสุดการปิดล้อมแล้ว” พรานอีกคนพูด มือโบกนกขนขาวสะอาดราวกับหิมะ แต่เปื้อนเลือดจากการถูกยิงเล็กน้อย “ข้าอาจไม่เก่งเรื่องวางแผนการรบ แต่ข้าก็พอคาดคะเนได้ว่า พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีทางโจมตีโอมิลรอนแตกหรอก พวกปีศาจไม่ถนัดกลศึกด้านโจมตีเมือง อีกไม่นานก็คงถอนทัพกลับไป แต่ต่อให้มันยืดเยื้อกระทั่งเรากลับไปก็ยังไม่จบศึก เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาไปขายเฉพาะที่โอมิลรอนก็ได้นี่ เมืองเศรษฐีในโมราโซมอสเต็มไปหมด เมืองโรคาริตี้ เมืองเนพเพอร์ หรือเมืองหลวงโมราโซมอส ก็มีพวกเงินหนาจอมฟุ่มเฟือยคอยตอบรับสินค้าไม่ขาดอยู่แล้ว ไอ้เศรษฐีพวกนี้มันฟุ้งเฟ้อ ต่อให้หน้าสิ่วหน้าขวานยังไงก็ขอให้ตัวเองดูหรูอวดคนอื่นไว้ก่อน นี่ ช่วยส่องไฟให้มันสูงๆ ได้ไหม ในป่านี่มืดจนข้ามองไม่เห็นอะไรแล้ว ขนาดนี่ตอนกลางวันนะ”
                พรานคนที่เดินนำหน้ายกตะเกียงให้สูงขึ้น ทั้งสามเดินเข้าไปสมทบกับพรรคพวกอีกสี่ห้าคนที่กำลังนั่งล้อมกองไฟ มีนกขนสวยที่ถูกล่ามาวางรวมกันไว้ข้างๆ พรานเหล่านั้นกำลังสุมหัวดูนกตัวใหญ่ขนสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ประหลาดใจกันมาก แม้แต่ในวงการนักล่านกก็เห็นนกชนิดนี้ไม่บ่อยนัก
                “นั่นนกอะไร” พรานที่เดินมาถึง วางหน้าไม้ลง โยนนกที่ล่าได้ไปรวมไว้ในกอง
                “ไม่รู้” พรานที่อุ้มร่างไร้ชีวิตของนกประหลาดหันมาตอบ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังส่องไฟให้เห็นชัดๆ “ข้าเห็นมันบินผ่านมาก็ยิง แปลกมากๆ เลย ไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อน”
                “คล้ายๆ นกเหยี่ยว ตัวใหญ่ แข็งแรง ปากคม หน่วยก้านของมันเหมาะแก่การบินไกลๆ และทนลมทนฝน” พรานที่นั่งอยู่ข้างๆ ยื่นหน้ามาดู “แล้วที่ขาของมันเหมือนมีกระบอกอันเล็กๆ ผูกอยู่ด้วย”
                “นกตัวนี้เป็นนกนำสารอย่างนั้นหรือ” พรานที่ไว้เครารุงรังขมวดคิ้วหนาๆ
                “แกะสารออกมาอ่านดูสิ ว่ามันเขียนว่าอะไร” พรานคนที่ดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเสนอ
                ทันใดนั้น ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักเข้ากลางหัวใจพรานคนที่ถือนกนำสาร พรานคนอื่นๆ ตกใจ รีบเล็งปืน ธนู หน้าไม้ไปทุกทิศทุกทาง คนที่มีดาบก็ชักดาบออกมา ตะเกียงทุกดวงส่องกราดไปทั่ว ป่าแห่งนี้มันหนาทึบ แสงส่องผ่านน้อยมาก ยากที่จะมองเห็นว่าธนูพุ่งมาจากไหน
                แล้วก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียบๆ  แต่ก้องสะท้อนไปรอบๆ บริเวณ จนไม่อาจทราบได้ว่ามาจากทิศทางใด เป็นเสียงเล็กใสของสาววัยรุ่นสักคน
                “พวกเจ้าบุกรุกความสงบของธรรมชาติ ทำลายชีวิตสรรพสิ่งเพื่อการค้า ยิงนกเหยี่ยวนำสารของเรา และละลาบละล้วงข้อมูลสำคัญในสาร พวกเจ้าต้องได้รับโทษ”
                “เจ้าเป็นใคร” พรานเคราดำมองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น รอบตัวมีแต่ต้นไม้กับความมืด
                “เราคือเทพารักษ์พิทักษ์พงไพรแห่งนี้ เราปกป้องผืนป่าของเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์จากผู้บุกรุก เป็นผู้เฝ้าระวังภัยให้ธรรมชาติ วูดส์วาร์เด็น”
          “ออกมาเผชิญหน้ากันสิ” พรานคนเดิมขู่ด้วยเสียงที่ดังขึ้น “อย่ามัวแต่ล่องหนอยู่”
          “เราไม่สามารถล่องหนได้หรอกมนุษย์” เสียงนั้นตอบ “เราเพียงแต่มองเห็นในความมืด มองเห็นสิ่งที่พวกเจ้ามองไม่เห็น ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะเข้ามาในความมืดพวกเจ้าก็เลือกที่จะมองไม่เห็นเอง”
          “เราไม่อยากมีปัญหา” พรานอีกคนเอ่ย “เราจะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
          “เกรงว่าจะไม่ได้” เสียงนั้นตอบ “ความเสียหายที่พวกเจ้าสร้างขึ้นนั้นไม่ได้น้อยๆ แล้วพวกเจ้าก็ยิงนกนำสารของเรา มีจดหมายข้อมูลสำคัญของเราอยู่ในมือ มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรรับรู้”
          “เรายังไม่ทันได้อ่านแผ่นสาร ยังไม่ทันได้รับรู้อะไรทั้งนั้น” พรานตัวเตี้ยร้อง
          “จะใช่หรือไม่ เราไม่อาจเสี่ยงได้” เสียงเด็กสาวสะท้อนขึ้นอีก “พวกเจ้าเข้ามาล่านกในอาณาเขตของพวกเรา เพื่อสนองความโลภของตน เสมือนว่าชีวิตของพวกมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ ก็คงจะไม่เป็นไร หากเราจะทำเช่นนั้นกับพวกเจ้าบ้าง”
          พุ่มไม้ข้างหน้าพรานตัวเตี้ยขยับเสียงดัง ลูกธนูที่ง้างไว้เต็มเหนี่ยวของเขาถูกปล่อยออกไปพุ่งใส่พุ่มไม้ดังฉึก ทุกคนหันไปมองตาม
          “ข้ายิงถูกแล้ว” พรานคนนั้นกัดฟันพูด“ข้าฆ่าพวกมันได้อย่างน้อยก็หนึ่งคนแล้ว”
                ลูกธนูนับสิบดอกพุ่งเข้ามาสังหารเขาและเพื่อนอีกหลายคนจากทิศตรงข้ามตายคาที่ พวกที่เหลือยืนมองศพ อ้าปากค้าง
          “ที่พุ่มไม้มันขยับ” เสียงเด็กสาวลึกลับพูดขึ้นอีก “เพราะข้าโยนหินเข้าไป”
          “ลูกธนูพุ่งมาจากทิศตรงข้าม” หัวหน้าพรานตะโกน “ใครมีธนูหน้าไม้ ช่วยยิงไปทางด้านนั้นที”
                พวกที่มีธนูและหน้าไม้ต่างระดมยิงสวนกลับไปแบบไม่คิดประหยัดลูกธนู ลูกธนูที่ถูกยิงออกไปพุ่งหายไปในเงามืดระหว่างต้นไม้ และเกิดเสียงเหมือนกับลูกธนูปักต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ ซึ่งหมายความว่าที่ยิงไปนั้นไม่ได้ถูกเป้าหมายสักนิด ลูกธนูอีกชุดใหญ่พุ่งลงมาโจมตีพวกนายพรานดับสิ้นไปอีกหลายคน ทุกคนเงยหน้ามองไปตามทิศที่ลูกธนูพุ่งมาส่องตะเกียงกราดดู แล้วจึงพบว่าสิ่งที่โจมตีพวกเขานั้นอยู่บนต้นไม้หนาทึบรอบๆ ตัวพวกเขานั่นเอง เป็นกลุ่มชายหญิงผมสีเข้ม ผิวสีขาว สวมเกราะหนังสีเขียวลายพรางเหมือนสีใบไม้ และมีกิ่งไม้ใบไม้ติดอยู่เพื่อใช้ในการพรางตัวในป่า ผู้ชายสวมเกราะหนังทั้งตัว ผู้หญิงสวมเกราะหนังแค่บางส่วน บางคนก็เปิดหน้าท้องและเนินอกวูดส์วาร์เด็นทุกคนผลัดกันยิงธนูลงมาเป็นจังหวะ สังหารพวกพรานเถื่อนไปเรื่อยๆ
          “พวกมันอยู่บนต้นไม้” หัวหน้านายพรานตะโกน
                พวกที่มีอาวุธระยะไกลพยายามโต้ตอบด้วยธนูและหน้าไม้ แต่ไฉนเลยจะยิงสู้กับเผ่าพันธุ์ที่ใช้ธนูและใช้อาวุธซุ่มยิงได้เก่งที่สุดอย่างฟอเรสเทอร์ได้ยิ่งมีแสงสว่างน้อยยิ่งทำให้ชุดของพวกฟอเรสเทอร์พรางเข้ากับต้นไม้ได้เป็นอย่างดี แล้วพวกนี้ก็ยังปีนต้นไม้ได้เร็วมาก หลบลูกธนูจากพวกพรานป่าได้หมดและยิงสวนกลับไปด้วยความรวดเร็วและแม่นยำกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ธนู ทั้งหอกอากาศ มีดสั้น บูมเมอร์แรง และลุกดอกพิษ ต่างก็พุ่งเข้าใส่พวกนายพรานชนิดที่ว่าหมดหนทางที่จะหลบซ่อน พื้นที่แห่งนี้เป็นถิ่นของพวกชาวป่า การต่อสู้แบบซุ่มยิงก็เป็นการต่อสู้ที่พวกฟอเรสเทอร์ถนัด ยิ่งพยายามสู้ก็ยิ่งไร้ประโยชน์
          ในขณะที่พรานทุกคนมัวแต่สนใจพวกวูดส์วาร์เด็นบนต้นไม้รอบตัว ฟอเรสเทอร์สาวคนหนึ่งก็โหนเถาวัลย์โฉบผ่านพวกเขาพร้อมกับลากกริชหินสีเขียวใสคมกริบเชือดคอพรานสามคนลงไปนอนตายหัวหน้าพรานเล็งหน้าไม้ตามไปแต่ไม่ทัน เขาเห็นผมสีดำเป็นเงาเรียบลื่นยาวถึงหลังของเธอเพียงแวบเดียว ก่อนที่เถาวัลย์จะพาเธอหายไปในความมืด รัดเกล้าขนนกที่เธอสวม บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นหนึ่งในคณะปกครองเผ่าพันธุ์ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรเธอต่อ ลูกธนูและอาวุธระยะไกลของพวกวูดส์วาร์เด็นกระหน่ำเข้าใส่พวกนายพรานไม่หยุด หากจะสนใจอะไร ก็ควรสนใจที่จะหลบหลีกมัน
          ฟอเรสเทอร์สาวโหนเถาวัลย์กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เธอกระโดดลงมากลางกลุ่มเหล่านายพรานที่เหลืออยู่ แล้วสะบัดมือข้างที่ไม่ได้ถือกริชไปรอบๆ มีของเหลวสีเขียวสดกระจายออกมาจากมือของเธอ ผู้ที่ถูกของเหลวนี้ต่างร้องเสียงหลง มันกัดกร่อนผิวหนังจนละลาย บางคนลงไปนอนดิ้นแล้วขาดใจตายอยู่บนพื้น เนื้อหนังถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว ของเหลวชนิดนี้ไม่มีผลต่อเครื่องประดับโลหะพวกของนายพราน หรือพื้นดินพื้นหญ้าที่มันซึมลงไป ดูเหมือนว่ามันจะเป็นกรดที่กัดกร่อนเฉพาะเนื้อเยื่อผิวหนังเท่านั้น ฟอเรสเทอร์สาวหลบธนูหน้าไม้จากฝ่ายตรงข้าม แล้วสาดกรดออกจากมืออีกครั้ง พรานอีกหลายคนลงไปนอนชักดิ้นชักงอตายอยู่บนพื้น กริชอีกเล่มของเด็กสาวถูกชักออกมา แล้วเธอก็ขยับกวัดแกว่งมันอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเธอว่องไวและนุ่มนวลเหมือนน้ำ พวกพรานที่เหลืออยู่ต้องคมกริชของเธอล้มลงตายไปตามๆ กัน เหลือเพียงหัวหน้านายพรานคนเดียว เขายกหน้าไม้เล็งใส่เธอ มือสั่นน้อยๆ
          “ข้อเสียของหน้าไม้ คือเมื่อมันยิงไปแล้ว มันใช้เวลาขึ้นสายนานนะ” ไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น บอกกับหัวหน้านายพราน ยิ้มหวานให้เขา เก็บกริชหินในมือทั้งสองข้างไว้ที่สายสะพายข้างหลัง “แน่ใจหรือว่าจะเหนี่ยวไก ถ้ายิงพลาด อาจไม่มีโอกาสที่สองนะ”
          มือที่ถือหน้าไม้ของหัวหน้านายพรานสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ยอมลดหน้าไม้ลง
          “คงสงสัยว่าทำไมตอนนี้ เสียงของข้าถึงไม่สะท้อนไปรอบๆ บริเวณเหมือนตอนแรก” ไมริฟหยิบกระบอกไม้เรียวๆ กลวงๆ ออกมาจากส้นรองเท้าหนัง “แค่พูดผ่านมัน เสียงก็จะสะท้อน ไม่มีอะไรมหัศจรรย์ ข้าก็เป็นฟอเรสเทอร์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ใช่เจ้าป่าเจ้าเขาอย่างที่พวกผู้บุกรุกป่าชอบคิด”
          “กำลังจะฆ่าข้าแล้วใช่ไหม” หัวหน้านายพรานกัดฟันถาม ซ่อนความกลัวไว้ไม่อยู่
          “ถูกต้อง” ไมริฟพยักหน้า บรรจุอะไรสักอย่างลงในกระบอกในมือ
          หัวหน้านายพรานเหนี่ยวไกหน้าไม้ทันที ไมริฟเบี่ยงตัวหลบได้ด้วยความรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็ยืดกระบอกไม้ในมือให้ยาวขึ้น ยกจ่อปากแล้วเป่า ลูกดอกพิษพุ่งไปปักที่คอหัวหน้านายพรานล้มลงไปตายสนิท กระบอกไม้นี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องขยายเสียง มันยังเป็นกระบอกเป่าลูกดอกอีกด้วย ไมริฟหดกระบอกลูกดอกให้กลับมาสั้น แล้วเก็บไว้ที่ส้นรองเท้าตามเดิม จากนั้นก็ย่อเข่าลงไปที่พื้น เก็บร่างนกเหยี่ยวนำสารขึ้นมา แกะม้วนกระดาษออกจากขาของมันออกมาอ่าน วูดส์วาร์เด็นคนอื่นๆ ปีนลงมาจากต้นไม้ เริ่มเก็บกวาดสถานที่
          “ท่านรองหัวหน้าเผ่าส่งข่าวมา” ไมริฟม้วนแผ่นสารเก็บ “ข้าต้องเข้าไปรายงานท่านหัวหน้าเผ่าในตัวเมือง ฝากพวกเจ้าจัดการตรงนี้ทีนะ”
          พวกวูดส์วาร์เด็นตอบรับคำสั่ง ผู้ชายโค้งคำนับ ผู้หญิงถอนสายบัว วูดส์วาร์เด็นสาวคนหนึ่งจูงม้าป่าที่ผูกซ่อนอยู่ในดงไม้ออกมาให้ไมริฟ
          “ม้าของท่านค่ะ นายหญิง”
          “ข้าขอตัวจ้ะ” ไมริฟปีนขึ้นหลังม้า แล้วควบตรงเข้าไปในตัวเมืองหลวงกาโกคอล
          ใช้เวลาสักพัก ไมริฟก็ขี่ม้ามาถึงกำแพงเมืองกาโกคอล พื้นที่ในตัวเมืองค่อนข้างโล่ง มีต้นไม้ไม่มาก แต่ก็มีเมฆสีเข้มคอยบดบังแสงแดดตลอดเวลา ให้จนท้องฟ้าแทบจะมีแสงอ่อนใกล้เคียงกับยามใกล้ค่ำ ประตูเมืองเปิดค้างไว้ให้คนเข้าออก เธอควบม้าผ่านกำแพงชั้นแรก ชั้นที่สอง และควบผ่านชาวฟอเรสเทอร์ประปราย มีทั้งชาวเมืองและนักรบ พวกนักรบฟอเรสเทอร์ทั่วไปก็สวมเกราะหนังสีเขียวเช่นเดียวกับพวกวูดส์วาร์เด็น ต่างกันที่เกราะของพวกวูดส์วาร์เด็นจะเป็นสีเขียวลายพราง และประดับด้วยกิ่งไม้ใบไม้ เกราะของพวกนักรบชายจะคล้ายๆ กันคือปกปิดร่างกายมิดชิดเป็นชั้นๆ ส่วนเกราะของพวกนักรบหญิงจะบางรัดรูป และมีลักษณะแตกต่างกันบ้างตามแต่ผู้สวมใส่ บางคนก็เปิดเอวเปิดเนินอก บางคนก็มีช่องที่สะโพกและหลังเพื่อแสดงรอยสัก สำหรับเกราะของไมริฟนั้น ไม่ได้เปิดเอว แต่เปิดเนินอกและหลังส่วนล่าง
          บรรดานักรบฟอเรสเทอร์ต่างหยุดแสดงความเคารพเมื่อเธอขี่ม้าผ่าน ในยามนี้เป็นเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนของพวกฟอเรสเทอร์ ชาวเมืองจึงไม่พลุกพล่านนักไมริฟควบม้าตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่มหึมาที่พวกฟอเรสเทอร์เรียกว่าปราสาทต้นไม้ มันเป็นเสมือนทำเนียบของเหล่าผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอล เมื่อไม่นานนี้เคยเป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่เพื่อหาผู้นำสูงสุดคนใหม่ซึ่งแอเมน่าคือผู้ได้รับตำแหน่งไมริฟก้าวลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงเข้าไป ฟอเรสเทอร์คนหนึ่งวิ่งมาจูงม้าของเธอไปเก็บไว้ในคอกใกล้ๆ  ที่โคนต้นไม้ยักษ์มีประตูไม้บานใหญ่และยามชาวป่าสองคนยืนเฝ้าอยู่ ทั้งสองก้มหัวโค้งให้ไมริฟดึงประตูใหญ่เปิดออก ไมริฟเดินผ่านประตูเข้าไปในปราสาทต้นไม้อันมืดมิด
          ถ้าหากไม่ใช่เผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในปราสาทต้นไม้ได้เพราะข้างในนี้ไม่มีแสง แต่ไมริฟเป็นฟอเรสเทอร์ จึงเห็นทุกอย่างชัดเจน เป็นห้องโถงปราสาทที่ใหญ่โตและหรูหรา พื้นห้องโถงปูด้วยขนสัตว์นาๆ ชนิด ผนังห้องโถงมีเขาสัตว์และหัวสัตว์ประดับอยู่เต็มไปหมด ไม่ใช่สัตว์ที่ได้มาจากการล่า แต่เป็นสัตว์ที่ตายเพราะสิ้นอายุขัย เขาหรือเขี้ยวของพวกมันจึงยาวเป็นพิเศษ มีน้ำตกใสสะอาดไหลลงมาจากด้านบนส่งเสียงไพเราะเสนาะหูมีนกเสียงไพเราะคอยขับร้องประสานกับเสียงน้ำไหล ที่กึ่งกลางห้องโถงมีบ่อน้ำพุเย็นฉ่ำไหลขึ้นเป็นวงสวยงาม ไมริฟเดินเข้าไปวักน้ำในบ่อน้ำพุดื่มให้สดชื่นแล้วเดินเลี้ยวขึ้นบันไดวนที่อยู่สุดห้องโถง เป็นบันไดที่วนสูงจนไปถึงยอดปราสาท มีทางแยกไปแต่ละชั้น ไมริฟเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานของผู้นำสูงสุดเธอไปหยุดอยู่หน้าห้อง เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป แอเมน่า สกายซีนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังพูดคุยกับอาร์ทูมิส ไวท์วิสเพอร์ หมอผีประจำเผ่า วันนี้ดูจะมีธุระสำคัญ พวกเขาจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอน
          “แม่หนู” แอเมน่าส่งยิ้มให้เธอ
          “หลานสาว” อาร์ทูมิสยิ้มอย่างดีใจ
          “ท่านหัวหน้าเผ่า ท่านหมอผี” ไมริฟถอนสายบัวทำความเคารพ
          “เราไม่ได้อยู่ท่ามกลางสาธารณะชน ไม่ต้องเป็นทางการก็ได้” อาร์ทูมิสพูดอย่างเอ็นดู “เข้ามานี่สิ”
          “ค่ะ ท่านป้า” ไมริฟปิดประตูห้อง แล้วก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้ของอาร์ทูมิส
          ข้างหลังโต๊ะทำงานของแอเมน่า มีหิ้งสูงที่ใช้วางข้าวของสำคัญ ซึ่งหิ้งชั้นบนสุดนั้นมีลูกแก้วลูกหนึ่งวางอยู่บนหมอนขนสัตว์ เป็นลูกแก้วที่มีต้นไม้สีเขียวมรกตอยู่ข้างใน ต้นไม้สีเขียวคือตราสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ เมื่อต้นไม้ในลูกแก้วต้องแสงแดดทึมๆ จางๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา มันก็เปล่งแสงสีเขียวสดใส ลูกแก้วลูกนี้คือลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ของพวกฟอเรสเทอร์นั่นเอง ลูกแก้วที่พวกไซคัสทำขึ้นมาให้ผู้นำเผ่าพันธุ์คนแรก และตกทอดสืบต่อกันมา
          “ข้ากับป้าของเจ้ากำลังหารือกันเรื่องความเคลื่อนไหวนอกอาณาจักรของเรา” แอเมน่าบอก “ไลคอลี่กำลังรับข่าวสารจากพวกเซ็นทอร์นักเดินทางที่ป่าฝั่งตะวันออก อีกไม่นานคงกลับมารายงาน เขาฝากคำชมเชยมาด้วยว่า เหล่านักรบวูดส์วาร์เด็นของเจ้าที่กระจายซุ่มรักษาการณ์อยู่ตามป่ารอบอาณาจักรนั้น ทำงานได้ดีมาก ดูเหมือนว่าโครงการวูดส์วาร์เด็นจะพร้อมนำมาใช้งานในระยะยาวแล้ว”
          “ต้องขอบคุณการสนับสนุนของท่านค่ะ ในอนาคตข้าจะฝึกสอนเพิ่มจำนวนวูดส์วาร์เด็นให้มากขึ้นอีก เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของกาโกคอล” ไมริฟถอนสายบัว “กาโกคอลจะมีผู้เฝ้าระวังภัยมากขึ้น แม้จะไม่มีประสิทธิภาพสูงเท่าพวกดาร์คเนสดีวิลที่ปกป้องโฟรเซ็นทิเนล แต่ก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรักษาความสงบให้กาโกคอลได้ในระยะยาว”
          “เจ้าทำให้ข้าภูมิใจ หวังว่าฟอเรสเทอร์รุ่นใหม่ๆ จะเป็นเหมือนเจ้ากันหมด” แอเมน่าชม “ว่าแต่มีอะไรมารายงานข้าหรือเปล่า แม่สาวน้อย”
          “พรานป่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้ามาล่านกในเขตของพวกเราค่ะ” ไมริฟรายงาน “รวมทั้งยิงนกเหยี่ยวนำสารที่ส่งมาจากท่านรองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์ด้วย”
          “พวกมนุษย์ไม่รู้หรือไง ว่ากว่าจะฝึกนกเหยี่ยวให้นำสารได้แต่ละตัว มันยุ่งยากแค่ไหน” แอเมน่าส่ายหน้าถอนใจ “แล้วพวกนั้นได้อ่านข้อความในสารบ้างไหม”
          “ท่านหัวหน้าเผ่าโปรดวางใจค่ะ ข้าได้จัดการไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลเป็นที่เรียบร้อย” ไมริฟว่า
          “ดีมาก” แอเมน่าผงกศีรษะ “ข้อมูลที่เป็นข่าวสำคัญของเรา ผู้บุกรุกไม่ควรรับรู้”
          “ท่านรองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์ส่งข่าวมาว่า เขาเข้าไปสำรวจในอาณาจักรไอซ์เมสแล้วค่ะ” ไมริฟยื่นแผ่นสารให้แอเมน่าอ่าน “การเดินทางค่อนข้างล่าช้า เพราะมันไม่ค่อยราบรื่นนัก สภาพแวดล้อม สภาพอากาศและสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากอาณาจักรของเรา เป็นอุปสรรคของพวกเขา หิมะที่ปกคลุมหนาบนพื้นทำให้เดินทางลำบาก ร่องเหวน้ำแข็ง ผิวทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็ง หิมะบนเนินเขาที่อาจถล่มลงมา ส่งผลให้ต้องระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้น จะก่อไฟสักกองก็ลำบาก ฟืนสักท่อนก็ไม่มี ผู้ร่วมเดินทางหลายคนล้มป่วย บางคนก็ถูกน้ำแข็งกัด พื้นที่แบบนั้นไม่เหมาะสำหรับเผ่าพันธุ์อย่างเราจริงๆ”
          “แล้วเซ็นแวนเดอร์เป็นอะไรไหม เขาปลอดภัยหรือเปล่า” อาร์ทูมิสถามอย่างกังวล
          “เขาเขียนมาบอกว่ายังปกติดีค่ะ และยังทำการสำรวจต่อไปไหว” ไมริฟรายงานต่อ “เขาและผู้ติดตามใช้เส้นทางตัดผ่านเมืองสตาติกสตอร์ม (Static Storm) เพื่อไปให้ถึงเมืองหลวงของไอซ์เมส เดธแอเรีย (Death Area) คาดว่าขณะนี้ คงเข้าไปในเมืองเดธแอเรียแล้ว ในสารรายงานว่าตอนที่พวกเขาใกล้จะเข้าเขตเดธแอเรีย พวกเขาส่องกล้องมองจากบนภูเขาน้ำแข็ง และยังไม่พบอาคาร หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เห็นก็มีแต่ความว่างเปล่า”
          “หากพวกเอลิลกำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่จริง พวกนั้นก็ควรจะมีอาคารสิ่งก่อสร้าง อย่างน้อยก็ต้องมีค่ายสักค่าย” แอเมน่าวิเคราะห์ “แต่ถ้าเกิดพวกนั้นสร้างค่าย กลุ่มของเซ็นแวนเดอร์ก็น่าจะส่องกล้องเห็นบ้าง เพราะค่ายมันคือสถานที่ จะเอาไปหลบไปซ่อนไม่ได้”
          “ตอนที่เซ็นแวนเดอร์เขียนสารฉบับนี้ เขาเพิ่งจะใกล้เข้าเขตเมืองหลวงเดธแอเรีย เขาอาจยังเห็นแค่ส่วนน้อยของเมือง” อาร์ทูมิสออกความเห็น “อาจต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย จึงจะให้ความมั่นใจกับผลการสำรวจได้ ถึงอย่างไรตัวอย่างปืนยาวของพวกเอลิลที่เราได้มานั้น มันชวนให้เกิดความสงสัย มันไม่ใช่อาวุธปืนคุณภาพต่ำๆ ของพวกเร่ร่อน แต่มันเหมือนกับปืนสงครามที่มีการผลิตแบบอุตสาหกรรม เหมือนกันทั้งสามกระบอกขนาดนี้ มันไม่ได้ผลิตโดยช่างหล่อท้องถิ่นแน่”
          “ถ้าพวกเอลิลผลิตปืนขึ้นมาเอง ก็ต้องมีโรงงาน ซึ่งมันก็ไม่น่าจะซ่อนจากสายตาใครได้ใช่ไหมคะ” ไมริฟถาม “ถ้ามีโรงงานจริง เซ็นแวนเดอร์จะต้องหาเจอแน่”
          “ก็ต้องรอให้เซ็นแวนเดอร์สำรวจเมืองเดธแอเรียให้มากขึ้น” แอเมน่ากล่าว “ถ้าพวกเอลิลก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่จริง พวกนั้นไม่เริ่มสร้างที่โรงหล่อปืนหรอก สิ่งก่อสร้างอาคารอื่นๆ ที่จำเป็นกว่านั้นจะต้องถูกสร้างขึ้นก่อน อาจสร้างขึ้นจนเป็นเมืองเล็กๆ เลยก็เป็นได้ ซึ่งพื้นที่ในเมืองเดธแอเรียคือจุดที่เหมาะแก่การสร้างเมืองเริ่มต้นมากที่สุด จุดยุทธศาสตร์มันเหมาะสม พื้นที่เหมาะแก่การสร้างอาคารแล้วขยายออกไปเรื่อยๆ จนทั่วไอซ์เมส หากสร้างจากเมืองอื่น มันจะทำเช่นนี้ไม่ได้ นั่นทำให้ข้ามั่นใจว่าหากพวกเอลิลจะก่อร่างสร้างตัวขึ้น ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นที่เดธแอเรีย”
          “ถ้ามีอาคารมากมายขนาดนั้น มันก็คงไม่มีทางหลบสายตาของเซ็นแวนเดอร์พ้น” ไมริฟพูด “เดธแอเรียเป็นพื้นที่ราบโล่ง และมีระดับพื้นผิวที่ค่อนข้างเสมอกัน เหมาะแก่การสร้างอาคาร หากมีอาคารถูกสร้างขึ้นมาสักหลัง มันก็จะถูกเห็นได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องยากต่อการสำรวจแน่ค่ะ”
          “ไม่ว่าพวกเอลิลจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่หรือไม่ เราก็ได้แต่ภาวนาว่าพวกนั้นจะไม่เป็นศัตรูกับเรา” แอเมน่าพูด “เพราะหากเป็น ก็จะเป็นศัตรูที่อันตรายไม่น้อย”
          “มีสาเหตุอันใดหรือคะ ที่พวกนั้นต้องมาเป็นศัตรูกับเรา” ไมริฟขมวดคิ้ว
          “เราไม่อาจเดาได้ จนกว่ามันจะเกิดขึ้น” แอเมน่าตอบ “บางครั้ง สงครามใหญ่ก็เกิดขึ้นจากสาเหตุอันเล็กจ้อย แต่เมื่อมันเกิดขึ้น สาเหตุก็เริ่มจะไม่สำคัญเท่ากับการพยายามเอาชนะฝ่ายตรงข้ามอีกแล้ว”
          เสียงเคาะประตูสามครั้ง แล้วไลคอลี่ ซิวาลิน ฟอเรสเทอร์ชายร่างเตี้ย ก็เปิดเข้ามาในห้อง เขาสวมรัดเกล้าขนนกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เส้นขนนกที่เสียบบนรัดเกล้าของแต่ละคนบ่งบอกถึงตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอล ลักษณะของรัดเกล้าก็จะแตกต่างกัน รัดเกล้าของไมริฟจะประดับด้วยช่อใบไม้ รัดเกล้าของอาร์ทูมิสจะร้อยด้วยกระดูก ส่วนแอเมน่านั้นไม่ได้สวมรัดเกล้าขนนก แต่สวมมงกุฎขนนกที่มีหางสองข้างยาวถึงหลัง เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล
          “ทุกท่าน” ซิวาลินพยักหน้าทักทาย แล้วหันไปโค้งศีรษะให้แอเมน่า “ท่านหัวหน้าเผ่า พวกเซ็นทอร์นักเดินทางรายงานว่า พวกมนุษย์กำลังเผชิญศึกสองด้าน กองเรือโฮเซ่จากทางน่านน้ำเหนือ และกองทหารม้าดาร์คเนสดีวิลที่เข้าปิดล้อมพื้นที่นอกเมืองโอมิลรอน”
          “พวกดาร์คเนสดีวิล ออกนอกพื้นที่ บุกอาณาจักรโมราโซมอส ไม่อยากจะเชื่อเลย” ไมริฟกระซิบ
          “เป็นไปได้ว่า อาจมีการร่วมมือกับเฉพาะกิจกับพวกโฮเซ่ พวกปีศาจจึงกล้าออกมาทำศึกนอกเขตแดนของตน” ซิวาลินว่าต่อ “อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือของพวกมนุษย์มีความแข็งแกร่ง สามารถขับไล่กองเรือของพวกโฮเซ่ออกไปจากน่านน้ำเหนือได้แล้ว คาดว่าตอนนี้คงกำลังจะเคลื่อนพลกลับไปปกป้องอาณาจักรจากพวกดาร์คเนสดีวิลทางทิศใต้”
          “พวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่คิดจะทำอะไร” แอเมน่าขมวดคิ้ว “พวกดาร์คเนสดีวิลอาจเคยชนะพวกมนุษย์ที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดมาแล้วสองครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการต่อสู้นอกเขตโฟรเซ็นทิเนล พวกปีศาจไม่สัดทัดการศึกแบบโจมตีเมือง ไม่มีทางที่จะโจมตีสำเร็จแน่”
          “พวกนั้นจึงใช้กลยุทธ์ปิดล้อม ไม่บุกเข้าไปโจมตีเมืองตรงๆ” ซิวาลินเสริม
          “ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร” อาร์ทูมิสสงสัย
          “พวกดาร์คเนสดีวิลวางแผนอะไรอยู่ก็สุดจะรู้ได้ แต่ที่ทุกคนรู้คือ พวกนั้นไม่โง่ ดาร์คเนสดีวิลรุ่นนี้ร้ายกาจกว่ารุ่นที่ผ่านมา อย่างน้อย การที่พวกนั้นยึดวิหารศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์ศาสนาของพวกมนุษย์ ก็กระทบกระเทือนความศรัทธาของพวกมนุษย์เป็นอย่างมาก” ซิวาลินกล่าว “จากที่เคยเหยียบย่ำดูถูกพวกปีศาจ ข้าเชื่อว่าตอนนี้พวกมนุษย์เปลี่ยนแปลงมาเป็นขยาดหวาดกลัวแทน โดยเฉพาะผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล ที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เขาทำให้พวกมนุษย์ทั้งอาณาจักรกลัวจนหัวหด แบล็กไรดิงฮู้ดคือฉายาที่พวกมนุษย์เรียกเขา”
          “แบล็กไรดิงฮู้ดอย่างนั้นหรือคะ” ไมริฟทวนคำ
          “เพราะเขาสวมชุดฮู้ดสีดำปกปิดตัวเองตลอดเวลา” ซิวาลินขยายความ “ขออภัยที่ล่วงเกินเรื่องของครอบครัวท่านนะ ท่านหมอผีอาร์ทูมิส แต่น้องสาวคนรองของท่านเคยแต่งงานกับผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ท่านคิดว่าน้องเขยของท่านจะรู้จักอะไรกับแบล็กไรดิงฮู้ดไหม”
          “เดี๋ยวก่อนนะคะ หมายความว่าป้าคนรองของข้าเคยแต่งงานกับผู้นำสูงสุดดาร์คเนสดีวิลอย่างนั้นหรือคะ” ไมริฟเบิกตากว้าง
          “พวกเขาไม่ได้แต่งงานกัน แค่ชอบพอกัน แล้วก็มีลูกด้วยกันคนหนึ่งด้วยความบังเอิญ คนรักของน้องสาวข้าอาจเคยเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องรู้จักอะไรกับแบล็กไรดิงฮู้ด ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลมีมากมายเหมือนหนู เพราะตายในสงครามกันทุกคน ดาร์คเนสดีวิลคนไหนก็ขึ้นมาเป็นได้” อาร์ทูมิสชี้แจง “ทั้งน้องสาวข้าและคนรักของเธอก็ตายมานานมากแล้ว ลูกของพวกเขาก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คิดว่าคงไปอยู่ที่โฟรเซ็นทิเนลหรืออาจตายไปแล้ว การที่น้องสาวของข้ามีหนึ่งในคนรักเป็นดาร์คเนสดีวิล ไม่ได้ทำให้ข้ารู้อะไรเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลมากนักหรอก เท่าที่พอรู้คือ ดาร์คเนสดีวิลในสมัยนั้นไม่ฉลาดและร้ายกาจเท่าสมัยนี้ หากเทียบพลังและขีดความสามารถกันแล้ว คงจะเทียบกันไม่ได้”
          “เป็นความจริง” แอเมน่าพยักหน้า “ดาร์คเนสดีวิลรุ่นก่อนๆ ไม่ทรงพลังและดุร้ายเท่ารุ่นนี้ เนื่องจากถูกพวกมนุษย์ทำให้อ่อนแอ คอยกดขี่ปิดกั้นความสามารถมาตลอด”
          ทุกคนหันไปมองเธอ พร้อมกับสีหน้าอันสงสัย
          “ข้าอายุเจ็ดร้อยสามปีแล้ว ข้าเคยแต่งงานมีครอบครัวมาหลายครั้ง” แอเมน่าตอบปัดรำคาญ “ข้าเคยมีสามีเป็นดาร์คเนสดีวิล ตลอดเวลาที่ตกเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์ พวกดาร์คเนสดีวิลมีพัฒนาการค่อนข้างล่าช้า เป็นปกติของการตกเป็นอาณานิคม ตกอยู่ใต้อำนาจของคนอื่น มันทำให้เกิดความสิ้นหวัง และความสิ้นหวัง คือสิ่งที่บั่นทอนพัฒนาการมากที่สุด พัฒนาการของพวกดาร์คเนสดีวิลเพิ่งมาก้าวกระโดดหลังจากพวกเฟลมฟอร์สเสื่อมอำนาจ และยิ่งพัฒนามากขึ้นอีกเมื่อหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์ ฉะนั้น ข้าเชื่อว่าเราไม่มีทางรู้จักพวกดาร์คเนสดีวิลรุ่นปัจจุบันนี้ได้จากการศึกษาดาร์คเนสดีวิลรุ่นก่อนๆ หากจะรู้จัก ก็ต้องสัมผัสด้วยตนเอง”
          “หลังจากที่พวกนั้นแสดงพลังอันมหาศาลและความแข็งกร้าวให้พวกมนุษย์ร้อนๆ หนาวๆ กันทั้งอาณาจักร” อาร์ทูมิสว่า “ใครจะไปกล้ายุ่งกับพวกนั้น”  
          “นั่นคือสิ่งที่เราควรทำมากที่สุดในตอนนี้ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น” แอเมน่าบอก “ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีโลกส่วนตัวสูง สนใจในเรื่องผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นต่ำ ไม่เหมาะที่จะไปยุ่งด้วยถ้าไม่จำเป็น หากพลาดไปล้ำเส้นพวกนั้นเข้าจะวุ่นวาย ในตอนนี้ทั้งพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่กำลังห้ำหั่นกับพวกมนุษย์ก็ปล่อยพวกนั้นไป คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ว่าจะมีอะไรกระทบกระเทือนมาถึงอาณาจักรเราหรือไม่ ในตอนนี้เรายังสรุปอะไรไม่ได้มากนัก ต้องใจเย็นๆ แล้วรอดูต่อไป”
          เธอลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน อาร์ทูมิสจะลุกตาม แต่เธอก็ยกมือห้าม
          “เราอยู่กันตามลำพัง ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกอาร์ทูมิส ข้าขอตัวไปนอนแล้ว พวกท่านตามสบายนะ”
          “ข้าก็เช่นกัน” ซิวาลินเดินตามแอเมน่าออกจากห้องทำงานไป ปิดประตูตามหลัง
          “ป้าอาร์ทูมิสคะ--” ไมริฟหันมาถามพร้อมกับความอยากรู้ที่เก็บมาตั้งแต่เมื่อสักครู่
          “ใช่แล้วจ้ะ ท่านหัวหน้าเผ่าแอเมน่าเคยแต่งงานมาหลายครั้ง ก็เธอมีชีวิตมาตั้งเจ็ดร้อยสามปีแล้วนี่” อาร์ทูมิสให้คำตอบอย่างรู้ทัน “ป้าก็ไม่รู้หรอกว่าเธอแต่งมาแล้วกี่ครั้ง รู้แต่เธอเคยแต่งงานกับดาร์คเนสดีวิล และเคยมีลูกสองสามคนกับมนุษย์”   
          “แล้วลูกๆ ของเธอไปไหนแล้วล่ะคะ”
          “น่าจะตายหมดแล้ว ด้วยความที่มีเลือดมนุษย์ในร่างกายมากกว่า ทำให้ลูกๆ ของเธออายุไม่ยืนยาวเหมือนเผ่าพันธุ์เรา น่าขันไหมล่ะ ลูกๆ แก่ตายก่อนแม่ ส่วนทายาทรุ่นหลานหรือรุ่นต่อๆ ไปของเธอนั้นจะกระจัดกระจายไปอยู่ที่ไหน ก็สุดรู้ได้”
          “บางครั้ง ข้าก็ไม่เข้าใจกฎของธรรมชาติเลยค่ะ” ไมริฟว่า
          “หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเข้าใจธรรมชาติดีพอ แต่ความจริงแล้ว ไม่มีใครหรอกที่เข้าใจกระบวนการของธรรมชาติโดยแท้จริง เรื่องประหลาด ความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน มันเกิดขึ้นเสมอ” อาร์ทูมิสว่า “ใครจะไปรู้ว่าดาวดวงนี้จะมีเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น ใครจะไปรู้ว่าพวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้อีกสี่เผ่าพันธุ์ ใครจะไปรู้ว่าพวกเฟลมฟอร์สจะถูกกำจัด ใครจะไปรู้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลที่อ่อนแอนั้น จะมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดในช่วงเวลาอันสั้น ใครจะไปรู้ว่า การที่มีเอลิลสามคนบุกเข้ามาในเขตของเรานั้น มันหมายถึงอะไร”
          ไมริฟพยักหน้าแล้วยืนเงียบ อาร์ทูมิสจ้องมองหลานสาวอย่างพิจารณา อมยิ้มไปด้วย
          “ป้าดีใจนะ ที่จิตใจหลานเป็นปกติดีแล้ว” อาร์ทูมิสเอื้อมมือที่สวมกำไลกระดูกไปลูบแขนไมริฟ “ไม่ว่าคนที่เรารักจะตายแบบไหน เราอาจเสียใจที่สูญเสียเขาไป แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตเขาก็เป็นของเขา ชีวิตเราก็เป็นของเรา เราต้องดำเนินมันต่อไป ซึ่งหลานก็ทำได้ดีมากจ้ะ”
          “ไม่ว่าจะยังไง ข้าก็ไม่มีวันหายแค้นเจ้าฆาตกรเอเมส สักวันข้าจะต้องมองดูเขาตาย เหมือนที่เขามองดูพ่อข้าตาย” ไมริฟพูดเสียงเบา “แต่ระหว่างนี้ ข้าก็ขอทำหน้าที่ที่ข้าชอบต่อไป มันทำให้ข้าจิตใจสงบขึ้น รู้สึกมีความสำคัญขึ้น ต้องขอบคุณท่านหัวหน้าเผ่าแอเมน่าที่ให้งานดีๆ แก่ข้าค่ะ”
          “ท่านหัวหน้าเผ่าแอเมน่าก็ยินดีที่หลานทำงานให้เธอเช่นกัน หากมองในแง่ของการเมือง ทั้งตัวหลานและบรรดาวูดส์วาร์เด็นของหลานที่ขึ้นตรงต่อเธอ จะทำให้เธอมีอำนาจมั่นคง” อาร์ทูมิสบอก “แต่ป้าไม่อยากให้มองกันในแง่นั้นหรอก ถึงอย่างไรฟอเรสเทอร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์รักสงบ ไม่กระหายความก้าวหน้า ไม่ฟุ้งเฟ้อ เราไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้ใดๆ มาใช้ในการเมืองการปกครอง”
          “จริงหรือเปล่าคะ ที่บางครั้ง เครื่องมือและลูกไม้ต่างๆ ที่พวกนักการเมืองนำมาใช้ในการปกครองนั้น อาจถูกศัตรูฉลาดๆ ต่างเผ่าพันธุ์ นำไปย้อนกลับเล่นงานทั้งเผ่าพันธุ์ได้” ไมริฟถาม
          “ตอนนี้ จริงสำหรับพวกมนุษย์แล้ว” อาร์ทูมิสตอบ   
 
*********************
 
                และแล้ว วันที่ห้าของการปิดล้อมโอมิลรอนก็มาถึง ดาวฤกษ์อิลิมิน่าขึ้นสูงสุดฟ้าแสดงเวลาเที่ยงตรง เวลานัดหมายอันสำคัญ พวกดาร์คเนสดีวิลออกมายืนตั้งขบวนแถวกันหน้าค่ายกันทุกคน ดูใจจดใจจ่อและแน่วแน่ ห่างออกไปนั้น พวกมนุษย์ก็ตั้งขบวนแถวประจันหน้าอยู่เช่นกัน กองหนุนจากซาโมโรว์ได้มาสมทบที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กองกำลังของพวกมนุษย์จึงดูหนาตา พอข่มขวัญพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ให้คิดบุกโจมตีตัวเมืองได้ ในวันนี้ทางฝั่งของพวกมนุษย์มีขุนนางคนสำคัญหลายคนรวมอยู่ด้วย แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงผู้เป็นเจ้าเมือง บิลิส ริฟเฟอร์ผู้คุมกองหนุนจากซาโมโรว์ และแม็ค แรคแทนทินผู้ควบคุมดูแลเชลยศึก นอกจากนี้ยังมีฟิเร็นดา เกรซ และเอ็ดด์ เฟรเทล ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ท่ามกลางกองทหารมนุษย์ เฟรเทลจ้องมองไปยังโซลิแทร์ที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้ากองกำลังดาร์คเนสดีวิล ด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง
          ค่ายชั่วคราวของพวกดาร์คเนสดีวิลยังดูเหมือนเดิมจากเมื่อสองวันก่อน เพียงแต่เครื่องกลแปลกๆ แต่ละเครื่องที่พวกดาร์คเนสดีวิลสร้างขึ้น ถูกนำไปจัดวางเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหลังแนวกีดขวาง พวกมันคือเครื่องอะไรและมีไว้ใช้ทำอะไรก็สุดรู้ได้ มันไม่ดึงความสนใจนักในตอนนี้ เพราะสิ่งที่ดึงความสนใจจากพวกมนุษย์มากกว่านั้น คือสิ่งที่เสียบอยู่บนหอกหน้าค่าย มันคือหัวกะโหลกที่สวมมงกุฎสีทอง ประทับตราราชสีห์คำราม
                “นั่นมันศีรษะของเจ้าชายไททอส” แรคแทนทินกระซิบคำรามกับแร็กซ์ริง “ท่านปล่อยให้พวกเลือดดำทำสิ่งป่าเถื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร”
                “พวกมันยึดวิหารและพื้นที่รอบนอก ท่านคิดว่าโครงกระดูกของบรรพบุรุษท่านจะปลอดภัยไร้การแตะต้องหรืออย่างไร” แร็กซ์ริงกระซิบตอบ
                “นั่นหมายความว่า พวกมันค้นพบกรุสมบัติที่อยู่ในสุสานของเจ้าชายไททอสด้วย” ริฟเฟอร์ว่า “โชคดีคือ พวกมันไม่ปรารถนาสมบัติของมีค่า แต่โชคร้ายคือ พวกมันก็คงจะไม่ทะนุถนอมสิ่งที่พบเจอในกรุสมบัตินัก หากพระราชาทรงทราบคงกริ้วโกรธมาก”
                โซลิแทร์ก้าวเดินออกมายังพื้นที่กึ่งกลาง ระหว่างกองกำลังดาร์คเนสดีวิลและมนุษย์ ผ้าคลุมโบกสะบัดอย่างเยือกเย็น แสงแดดสะท้อนเกราะโลหะส่วนที่เป็นเงามัน แรคแทนทินหายใจลึกๆ แล้วก้าวเดินออกไปประจันหน้าด้วย รู้สึกไม่ค่อยดีที่อีกฝ่ายสูงกว่า ที่ผ่านมานี้เขาบาดหมางกับดาร์คเนสดีวิลมากมาย แต่ยังไม่เคยพบเจอใครที่สร้างความกังวลได้มากเท่านี้เลย เจ้าปีศาจหนุ่มคนนี้เหมือนจะมีพรสวรรค์ในการหลุดพ้นจากอำนาจมนุษย์ เหมือนกับว่ามนุษย์ไม่อาจทำอะไรเขาได้
                “ข้า แม็ค แรคแทนทิน” เขากล่าวแนะนำตัวอย่างวางอำนาจ “รัชทายาทอำดับสองแห่งราชบัลลังก์โมราโซมอส นัดดาแห่งกษัตริย์ผู้ปกครองมนุษยชาติ--”
                “ไม่มีดาร์คเนสดีวิลคนใดหรอกที่ไม่รู้จักเจ้า” โซลิแทร์พูดตัดบทผ่านหน้ากาก “ทุกการกระทำของเจ้า ทุกแนวคิดอันโหดเหี้ยมของเจ้า เราทุกคนในที่นี้จดจำเจ้าได้ดี”  
          ด้านหลังโซลิแทร์นั้น เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ จับจ้องมาที่แรคแทนทินกันหมด พวกดีเซ็นทรีเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น พวกดีวอเชอร์เปิดผ้าเหล็กปิดปากออก เพื่อจะได้มองเห็นเหตุการณ์ชัดๆ  ดังนั้นจึงเห็นชัดเจนว่า สายตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ในปากมีเขียวงอกกันทุกคน
          “ทวินเฮดอยู่ที่ไหน” โซลิแทร์ถามเสียงเย็น
          แรคแทนทินทำสัญญาณมือ แล้วทหารมนุษย์สองคนก็เข็นสิ่งที่ดูคล้ายรถเข็นพันธนาการตรงเข้ามา ฝาแฝดตัวติดเมแมคเซอร์ถูกมัดติดกับรถเข็นในท่ายืน ด้วยโซ่โลหะที่เปล่งแสงสีแดง มีใบมีดจ่ออยู่ที่คอทั้งคู่ ดวงตาสีแดงของพวกเขายังคงแสดงความแข็งกร้าว มันจับจ้องมาที่โซลิแทร์ยามถูกเข็นเข้ามาใกล้ จากนั้นก็กวาดมองไปยังกลุ่มนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ตั้งแถวกันอยู่ด้านหลัง แล้วมุมปากของพวกเขาก็ยิ้มน้อยๆ อย่างภาคภูมิใจแบบป่าเถื่อน
          “อย่าคิดตุกติก อย่าพยายามช่วยพวกเขาออกไป” แรคแทนทินชี้ไปยังใบมีดที่จ่ออยู่ที่คอฝาแฝดเมแมคเซอร์ “ถ้าเจ้าคิดว่าเร็วกว่าแร็กซ์ริงก็ทำเลย แต่มั่นใจว่าเขาจะร่ายคาถาให้มีดเชือดคอทวินเฮดได้ก่อนที่เจ้าจะช่วยออกไปทัน”
          แร็งซ์ริงยืนถือหนังสือเวทมนตร์และคทาอยู่ห่างออกไปข้างหลัง ดวงตาสีน้ำเงินของโซลิแทร์ขยับกลับมาที่แรคแทนทินพร้อมกับความเย็นชา
          “ดูเสียให้เต็มตา ว่าหัวหน้าของพวกเจ้ายังเป็นปกติสุข ไม่มีชิ้นส่วนใดขาดหายพิการไป” แรคแทนทินชี้ไปยังฝาแฝด “แต่หากเจ้าเล่นไม่ซื่อ พยายามจะช่วยพวกเขาออกไป พวกเขาได้เสียคอแน่”
          “หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา โดยไม่ได้เกิดจากการที่ข้าเล่นไม่ซื่อ” โซลิแทร์กล่าว “ข้าสาบานว่า ข้าจะชำระล้างโอมิลรอนทั้งเมือง ด้วยเลือดมนุษย์”
          “บอกพวกลิ่วล้อของพวกเจ้าให้ยกพลกลับไปเสีย” แรคแทนทินคำรามใส่ฝาแฝดเมแมคเซอร์ แล้วเดินนำทหารมนุษย์สองคนกลับไปยังขบวนแถวมนุษย์ ปล่อยให้โซลิแทร์และฝาแฝดเมแมคเซอร์อยู่กันตามลำพัง ท่ามกลางการจับตามองของกองกำลังทั้งสองฝ่าย ฝาแฝดจับจ้องที่โซลิแทร์อยู่สักครู่ แล้วส่งยิ้มทักทายให้อย่างเถื่อนๆ แต่ก็ยังถือว่าดูเป็นมิตร
          “แบล็กไรดิงฮู้ดอย่างนั้นหรือ” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้น
          “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนปัจจุบัน ยินดีรับใช้” โซลิแทร์ทำแขนกากบาท
          “หวังอยู่ว่าสักวัน ปีศาจเราจะต้องมาคิดบัญชีพวกมนุษย์” ค็อปเปอร์กวาดตามองไปยังพื้นที่ที่ถูกพวกดาร์คเนสดีวิลตั้งค่ายยึดอยู่ “ไม่นึกว่าจะได้เห็นวันนี้”
          “ตอนแรกเรานึกว่าเดอะ เจสเทอร์ จะได้เป็นผู้นำสูงสุดต่อจากไพร์มดีวอเชอร์เสียอีก” ซิลเวอร์พยายามเอียงศีรษะมองไปยังเซซิลที่ยืนรวมอยู่ในแถวพวกดาร์คเนสดีวิล อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา แสดงความรู้จักกัน “แต่ท่าน” เขาหันกลับมาหาโซลิแทร์ “ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตาม ท่านก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านสร้างแรงบันดาลใจแก่พวกพ้องได้ดีกว่าพวกเขาทั้งคู่”
          “เอาชนะกองทัพมนุษย์ถึงสองครั้ง สร้างกำแพงน้ำแข็งสูงเสียดฟ้า พัฒนาอาวุธชุดเกราะดีเยี่ยม มีกองทัพอากาศเป็นพวกเอเลนเซฟเวอรี่” ซิลเวอร์ยิ้ม ในปากสะท้อนเขี้ยวขาวเงาวับ “พวกท่านแน่มาก พวกท่านทำในสิ่งที่พวกข้าและคณะผู้นำรุ่นก่อนๆ ไม่สามารถทำได้”
          “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะรับรู้ข่าวคราวภายนอกคุก มากกว่าที่ใครจะคาดคิด” โซลิแทร์เอียงคอ
          “มีเด็กสาวคนหนึ่ง” ค็อปเปอร์พูดเสียงเบาลง “นานๆ ครั้งจะติดสินบนพวกยามเพื่อลงมาพูดคุยกับพวกเรา เธอบอกว่าเห็นใจพวกเรา รู้ว่าเราเป็นห่วงเป็นใยอาณาจักรและพวกพ้องที่เหลือ จึงพยายามลงมาบอกข่าวคราวเท่าที่จะมีโอกาส”
          “เราเห็นหน้าเธอ วัยน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน แล้วเธอก็เป็นมนุษย์” ซิลเวอร์เสริม “บอกพวกเราทีแบล็กไรดิงฮู้ด นี่เป็นแผนการของท่านหรือเปล่า”
          “มนุษย์อย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ทวนคำ “ไม่ เธอไม่ใช่แผนอะไรของข้าทั้งนั้น”
          “เธอเรียกตนเองว่านางฟ้าปีศาจ บอกว่ามนุษย์ทั่วไปชอบล้อเธออย่างนั้น” ซิลเวอร์พูดต่อ “นี่อาจเป็นแผนของพวกมนุษย์ หรือเด็กสาวมนุษย์คนนี้อาจมีความปรารถนาดีต่อเราจริงๆ เรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้บอกอะไรสำคัญๆ กับเธออยู่ดี เราถูกขังอยู่ในกรงนั่น แทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เธอคงรู้สิ่งที่เกิดกับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมากกว่าพวกเราเสียอีก”
          “อย่าได้ไว้ใจเธอมาก เราไม่รู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของแผนอันแยบยลของพวกมนุษย์หรือไม่” โซลิแทร์เตือน “แต่เรื่องนี้ข้าไม่กังวลนัก พวกท่านเป็นคนฉลาด พวกท่านย่อมไม่ถูกล่อลวงง่ายๆ”
          “แต่ก็คงจะฉลาดไม่เท่าท่าน” ค็อปเปอร์ผิวปาก มองไปรอบๆ “จากที่ได้ยินมา ท่านมักมีแผนเหนือเมฆที่พวกมนุษย์คาดไม่ถึงเสมอ”
          “การที่พวกท่านบุกมาปิดล้อมเมืองโอมิลรอน แล้วบีบให้พวกมนุษย์ปล่อยตัวพวกเรา มันดูหัวชนฝาพิกลนะ ท่านน่าจะคะเนได้ว่าพวกมนุษย์คงไม่ปล่อยตัวเราง่ายๆ อย่างนั้น” ซิลเวอร์ทำท่าคิด “เป็นไปได้ไหมว่า ณ ตอนนี้ เป้าหมายที่แท้จริงของท่าน คือยังไม่ใช่ช่วยพวกเราออกไป”
          “ท่านเข้าใจถูกแล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า
          “งั้นมันคืออะไร”
          “ซาโมโรว์” โซลิแทร์ตอบสั้นๆ
          “อ้อ” ฝาแฝดยิ้มอย่างยินดี พูดพร้อมกันด้วย “ฉลาดเป็นบ้า แต่ยังไง”
          “พวกโฮเซ่” โซลิแทร์พูดต่อ
          “ร่วมมือเฉพาะกิจหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
          “ชนะศึกพวกมนุษย์ครั้งแรก พบเจอกับรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคโดยบังเอิญ”
          “ท่านทำให้เราประทับใจ พ่อหนุ่ม” ค็อปเปอร์ชม “นานแล้วที่โฟรเซ็นทิเนลไม่มีปีศาจร้ายๆ แบบนี้”
          “ทำอย่างที่ทำต่อไปสหาย ท่านกำลังทำได้ดี” ซิลเวอร์บอก “ไม่ต้องห่วงพวกเรา เราทนอยู่ในกรงของพวกมนุษย์มาได้หลายสิบปีแล้ว ทนอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป”
          “อย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะช่วยพวกท่านออกจากกรงของพวกมนุษย์เร็วๆ นี้ไม่ได้ แต่ข้าขอสัญญา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า พวกท่านจะต้องได้กลับบ้าน” โซลิแทร์ให้คำมั่น “พวกท่านควรกลับมานำพาพวกเรา ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล”
          “โฟรเซ็นทิเนลมีผู้นำสูงสุดที่เหมาะสมอยู่แล้ว และจะเป็นเกียรติมากหากเรามีโอกาสได้ร่วมงานกัน” ค็อปเปอร์ยิ้มอย่างหนักแน่น “ท่านไม่จำเป็นต้องนำชีวิตของท่านมาสัญญาเดิมพันกับชีวิตเรา สหาย ชีวิตของท่านกำลังมีความสำคัญมาก อย่างน้อยก็สำคัญสำหรับเราสองคนแล้ว”
          แม้แรคแทนทินจะไม่ได้ยินที่พวกดาร์คเนสดีวิลพูดกัน แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่วางใจ เขากับทหารมนุษย์อีกสองคนรีบตรงรี่ไปยังฝาแฝดเมแมคเซอร์ คิดว่าควรจะตัดบทการสนทนาได้แล้ว
          “สิ่งที่ท่านต้องสัญญาคือ ท่านจะต้องเข้มแข็ง ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก็จะต้องเข้มแข็ง” ซิลเวอร์เน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ตราบที่พวกท่านแข็งแกร่ง พวกมนุษย์ก็จะอ่อนแอ”
          “พอได้แล้ว” แรคแทนทินคำรามเมื่อก้าวมาถึง ทหารมนุษย์สองคนเริ่มเข็นฝาแฝดเมแมคเซอร์ถอยหลังกลับไป โซลิแทร์จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไว้เชิง ไม่ว่าจะไวแค่ไหน เขาก็ไม่อาจบุกช่วยฝาแฝดได้ทันก่อนการร่ายคำสาปของพ่อมดแร็กซ์ริง ยังก่อน ยังไม่ใช่วันนี้
          “เข้มแข็งต่อไปแบล็กไรดิงฮู้ด เข้มแข็งต่อไปดาร์คเนสดีวิล” ซิลเวอร์กับค็อปเปอร์ประกาศก้องพร้อมกัน เขี้ยวเงาวับสะท้อนแสงแดด ดวงตาสีแดงเฉิดฉาย “พวกท่านมาถึงจุดนี้ได้เพราะพวกท่านมีความหวัง มีความเชื่อมั่นในพลังของตน มีหัวใจที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน รักษามันต่อไป แล้วพวกมนุษย์จะไม่มีวันทำอะไรเผ่าพันธุ์ของเราได้อีก จงยืนหยัดต่อไปดาร์คเนสดีวิล เรา--คือ--กำแพง!”
          เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ร่วมกันชูกำปั้นขึ้น พร้อมกับเปล่งเสียงว่า “ทวินเฮด! ทวินเฮด! ทวินเฮด!” ติดต่อกันดังสนั่นกังวาน เสียงเกราะเหล็กขยับเป็นจังหวะยามที่ทุกคนชูแขนขึ้น เขี้ยวในปากแต่ละคนสะท้อนแสงเป็นประกาย ทำเอาพวกมนุษย์กลัวเกรงไปตามๆ กัน
          “เจ้าสองแสบ” แรคแทนทินตะคอกใส่ฝาแฝด ขณะเดินกลับมายังขบวนแถวมนุษย์ “พวกเจ้าควรจะพูดจาให้พวกนั้นสงบ ควรบอกให้พวกมันถอนทัพกลับไป ไม่ใช่มาปลุกระดมให้ฮึกเหิมแบบนี้ ข้าควรจะตัดลิ้นปีศาจของพวกเจ้าทิ้งเสีย”
          “ไอ้ที่เสียบอยู่บนหอกหน้าค่ายนั่น มันหัวของเจ้าชายผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไม่ใช่หรือแรคแทนทิน” ซิลเวอร์ถามท่าทางขบขัน
          “เขาเป็นญาติกับเจ้าด้วยไม่ใช่หรือแรคแทนทิน” ค็อปเปอร์ถามท่าทางขบขัน
          โซลิแทร์ทำแขนกากบาท แสดงความเคารพฝาแฝดเมแมคเซอร์อย่างเข้มแข็ง เกราะเหล็กกระทบกันดังโครม ซิลเวอร์กับค็อปเปอร์ยิ้มและพยักหน้ารับ แขนถูกมัดอยู่จึงแสดงสัญลักษณ์ตอบกลับไม่ได้
                                                                                                    
               
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา