พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 13 บทลงโทษอันโหดเหี้ยม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 13
บทลงโทษอันโหดเหี้ยม
 
          เป็นอีกครั้งที่กัปตันเท็มเปิลต้องมายืนก้มหน้าในท้องพระโรง เบื้องหน้าคือพระราชาแห่งโมราโซมอส ที่นั่งโกรธกริ้วอยู่บนบัลลังก์เหมือนกับครั้งที่แล้วไม่มีผิด เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างยืนเงียบกริบ รวบรวมความอดทนไปที่แก้วหูเพื่อเตรียมรับมือกับเสียงตะโกน ไม่มีอะไรจะทำให้พระองค์เดือดดาลมากไปกว่าความพ่ายแพ้อีกแล้ว โดยเฉพาะแพ้เผ่าพันธุ์ที่เคยตกเป็นอาณานิคม ซึ่งก็แพ้ถึงสองครั้ง พระองค์ทั้งเคียดแค้น ทั้งเสียหน้า ทั้งเสียความมั่นใจ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้สร้างความอ่อนแอแก่กองทัพมนุษย์ และบั่นทอนขวัญและกำลังใจของมนุษยชาติ
          “กำแพงน้ำแข็งสูงเสียดฟ้า อุปกรณ์สงครามอันก้าวหน้า เอเลนเซฟเวอรี่บินเต็มท้องฟ้า” พระองค์กัดฟันพูดอย่างเดือดดาล “ความวิปริตอันใดทำให้พวกปีศาจมีพลังมากขนาดนี้”
          “นักรบของพวกมันมีมากมายมหาศาลพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลเสริม เสียงอู้อี้เพราะสวมที่คาดจมูก “แต่ละคนสู้รบอย่างเต็มที่ เพราะสู้ด้วยใจ ไม่มีใครถูกเกณฑ์มารบ”
          “นี่เจ้าจะพูดเป็นนัยๆ ว่า เผ่าพันธุ์ของเรามีการเกณฑ์ทหาร จึงมีความสามารถในการสู้รบด้อยกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเสรีชนหรือ” พระราชาตะโกนลั่น
          “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลรีบก้มหน้า “หม่อมฉันเพียงจะทูลรายงานเกี่ยวกับแสนยานุภาพของศัตรูเรา อันเป็นเหตุผลให้เราพ่ายแพ้กลับมา”
          “การพ่ายศึกครั้งนี้ทำให้กองทัพของเราเสียหาย ทหารนักรบลดจำนวนลงมาก” ริฟเฟอร์ทูล “พวกทหารเสียขวัญและกำลังใจ ความศรัทธาของประชาชนก็เริ่มสั่นคลอน”
          “เราต้องกู้หน้า กู้ศักดิ์ศรี กู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา” พระราชากุมขมับอยู่บนบัลลังก์ “พวกดาร์คเนสดีวิลทำข้าขายหน้า และตอนนี้ข้าก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรพวกมันด้วย ฟรอสท์ไอรอนแคลดแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยเป็นมา แล้วพวกเลือดสีดำที่ปกป้องเมืองก็มีพลังมากกว่าที่เคยเป็นมา”
          “ทูลเสด็จลุง” แม็ค แรคแทนทิน หลานชายของพระราชา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “แม้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะแข็งแกร่งสักเพียงใด พวกมันก็แข็งแกร่งเฉพาะในดินแดนโสโครกของพวกมัน นอกเขตโฟรเซ็นทิเนลนั้น พวกเราก็ยังคงแข็งแกร่งที่สุด พวกปีศาจผ้าขี้ริ้วเหล่านั้นหวั่นเกรงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะยื่นเท้าออกนอกเส้นเขตพื้นที่ของตนแน่ ฉะนั้น เราก็ปล่อยให้พวกมันเน่าอยู่ในพื้นที่ของพวกมันไป เราพร้อมเมื่อไหร่ ก็ค่อยเข้าไปจัดการกับพวกมัน”
          “ทูลเสด็จตา” เอ็ดด์ เฟรเทลหลานชายคนโปรดของแม็ค แรคแทนทินทูลเสริม “ในตอนนี้กองทัพเรือของเรา ที่มีลุงของหม่อมฉันเป็นผู้สนับสนุนสำคัญนั้น กำลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เราเคยประชุมกันว่า ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะศึกที่โฟรเซ็นทิเนล เราก็จะส่งกองทัพเรือไปโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อคอยู่ดี หลานคิดว่า หากเราข้ามน้ำไปเอาชนะกองเรือของพวกโฮเซ่ ซึ่งเราชนะแน่ เราจะเรียกขวัญและความศรัทธาคืนกลับมาได้อย่างล้นหลามพะย่ะค่ะ”
          “ตาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” พระราชาพยักหน้า “ในเมื่อตอนนี้เรายังทำอะไรพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้ เราก็ควรตั้งเป้าไปยังศัตรูที่เราพอจะทำอะไรได้ก่อน กองเรือของพวกโฮเซ่กำลังเสียหายจากศึกครั้งที่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะบุกถึงชายฝั่งของพวกมัน”
          “ทูลฝ่าบาท” ริฟเฟอร์รายงาน “การแพ้ศึกที่โฟรเซ็นทิเนล ส่งผลให้ปฏิบัติการของกองเรือล่าช้าลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร กองเรือพร้อมจะเคลื่อนพลออกจากฐานทัพเรือในอีกไม่นานนี้”
          “ดี” พระราชาพยักหน้า “ข้าจะจมกองเรือของพวกโฮเซ่และส่งคนขึ้นไปยึดชายฝั่งของพวกมัน จงทำให้แน่ใจว่ากองเรือของเราอยู่ในสภาพพร้อมรบเต็มที่ ตรวจสอบสภาพเรือทุกลำและอุปกรณ์สงครามทุกชิ้น ปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยกู้หน้ากู้ความมั่นใจของเผ่าพันธุ์เรา ข้าจึงไม่อยากให้ผิดพลาด”
          “ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่พะยะค่ะเสด็จลุง” แรคแทนทินเริ่มยกหางตัวเอง “จากการสนับสนุนของหลาน กองทัพเรือของเรานั้นไร้เทียมทาน พวกโฮเซ่ไม่มีวันสู้กับกองเรือที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ได้ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ จะข้ามน้ำไปสั่นสะท้านพวกโฮเซ่ทั้งอาณาจักร”
          ริฟเฟอร์ แร็กซ์ริง และเหล่าขุนนางที่ไม่ลงรอยกับแรคแทนทิน ต่างก็พยายามซ่อนสีหน้าสะอิดสะเอียน แต่ทุกคนรู้ดีว่าพระราชานั้น นอกจากจะขี้โมโห แล้วยังเป็นคนบ้ายอ ซึ่งแม็ค แรคแทนทินหลานชายคนนี้ก็ประจบประแจงเก่งเสียเหลือเกิน จึงไม่แปลกใจเลยว่าเขาและบรรดาขุนนางผู้เลียงแข้งเลียขาเก่งทั้งหลาย จะได้ดิบได้ดีกันใหญ่
          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลทูล “หม่อมฉันใคร่ขออาสาเป็นผู้นำกองทัพเรือในครั้งนี้พะยะค่ะ”
          กัปตันเท็มเปิลอาจเป็นคนใจร้อน เด็ดขาด เอาแต่ใจ และสามหาวในบางเวลา แต่เขาก็กระตือรือร้นในการงาน และไม่เคยเกี่ยงความเหนื่อยยาก เป็นเหตุให้ได้รับความชื่นชมนับถือจากพระราชาและเหล่าขุนนางมาตลอด ไม่ว่าฝ่ายของแรคแทนทิน หรือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามแรคแทนทิน
          “กัปตันเท็มเปิล ข้าไม่ปฏิเสธความเก่งกล้าสามารถ และความเป็นผู้นำในการรบของเจ้า” พระราชากล่าว “แต่เจ้าเพิ่งลำบากลำบนกับศึกที่โฟรเซ็นทิเนลถึงสองครั้ง และเจ้าก็ยังบาดเจ็บ ข้าคงจะใช้งานเจ้าหนักเกินไป หากส่งเจ้าไปนำกองทัพเรืออีกครั้ง”
          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลยืนกราน “หม่อมฉันไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก หม่อมฉันปรารถนาเพียงกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนคืนมา”
          “พวกเจ้า ดูไว้เป็นตัวอย่าง” พระราชาบอกทุกคนในที่ประชุม “นี่คือนายทัพมนุษย์ผู้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ผู้ซึ่งขยันอดทนไม่เห็นแก่ความสบาย ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ให้ความสำคัญกับหน้าที่เหนือสิ่งอื่นใด หากพวกเจ้าเป็นได้สักครึ่งหนึ่งของเขา เราก็คงไม่ถูกพวกดาร์คเนสดีวิลฉีกหน้าได้ขนาดนี้หรอก”
          แต่แน่ล่ะ หากเหล่าขุนนางเถรตรงเหมือนกัปตันเท็มเปิลได้สักครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็คงไม่มีวันก้าวหน้าในหน้าที่การงานแน่ ความขยันอดทน ความมีศักดิ์ศรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความซื่อสัตย์ มันมีประโยชน์น้อยมากในวงการการเมือง
          “ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการทัพเรือ กัปตันเท็มเปิล” พระราชาสั่ง “เจ้าจะนำกองเรือข้ามทะเลไปโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อค กองทัพของเจ้าจะได้ปัจจัยสนับสนุนทางสงครามเต็มที่”
          “ขอบพระทัย ฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลทำความเคารพ
          “ลูกชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง” พระราชาถามราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ แสดงให้เห็นว่าห่างเหินกันมาก “อโลบัสไม่มาร่วมประชุมที่นี่อีกตามเคย เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบที่จะเข้ามาประชุมอย่างเป็นทางการในท้องพระโรง แต่ข้าก็ไม่อาจตำหนิได้ เพราะเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด ดีกว่าขุนนางบางคนที่เข้าประชุมตลอด แต่กลับปฏิบัติหน้าที่จริงไม่ได้เรื่อง”
          ขุนนางหลายคนขยับตัวอย่างไม่สบายใจ
          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลทูล “เจ้าชายอโลบัสอาสาดูแลเรื่องการป้องกันอาณาจักรอยู่ที่เมืองซาโมโรว์ ในขณะที่ข้ายกทัพเรือไปยังชายฝั่งแบร์ร็อค เขาอาจไม่เข้าร่วมประชุมกับเราในวันนี้ แต่ก็ไม่มีสักวัน ที่เขาบิดพลิ้วในหน้าที่พะยะค่ะ”
          “เขามีผู้ชี้แนะที่ดีอย่างเจ้า จึงปฏิบัติตัวเป็นเจ้าชายที่ดี” พระราชาบอกกัปตันเท็มเปิล “ข้าน่าจะให้เจ้าเป็นผู้ชี้นำตั้งแต่แรก ไม่น่าจะให้เจ้าคนแคระทรารุค สเคมโนสได้เป็นอยู่ตั้งนาน พวกคนแคระเลี้ยงไม่เชื่อง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร สมควรแก่การได้รับบทลงโทษอันโหดเหี้ยม”
          พ่อมดแร็กซ์ริงเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล รับรู้ว่าบทสนทนาอันไม่น่าพิสมัยกำลังดำเนินมาถึงแล้ว
          “แอนโทนิดัส แร็กซ์ริง” พระราชาเรียก “เจ้าเป็นเจ้าเมืองโอมิลรอน เมืองศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของประชาชน เมืองที่ก่อตั้งโดยอัศวินม้าขาวในตำนาน เจ้าชายไททอส ผู้ซึ่งข้าและเหล่ากษัตริย์ในอดีตได้สืบสายเลือดมา เป็นเกียรติสำหรับเจ้ามากรู้ไหม ที่ได้รับราชการปกครองเมืองนั้น”
          “ทูลฝ่าบาท” แร็กซ์ริงโค้งคำนับ “เป็นพระกรุณาอย่างล้นเหลือที่ทรงแต่งตั้งให้หม่อมฉันได้ดูแลเมืองนั้น หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้ง”
          “เจ้าก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด” พระราชากัดฟันพูด “ยกเว้นในช่วงศึกที่ผ่านมานี้ ข้าบอกให้เจ้าถ่ายทอดคำสั่งของข้า ส่งพวกคนแคระที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นไปร่วมรบที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด เหตุใดพวกมันถึงโผล่หัวไปแค่ยี่สิบห้าคน ในสภาพเมามายกันทุกคน”
          “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้ทำตามหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งพระองค์ไปยังพวกเขา แต่ขณะเดียวกันก็ยื่นคำร้องขอเข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อกราบทูลให้ทรงพิจารณาคำสั่งอีกครั้ง--”
          “ซึ่งข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าเข้าเฝ้า เพราะรู้ว่าเจ้าจะออกรับหน้าแทนพวกคนแคระเหล่านั้น” พระราชาตะคอก “พวกมันอาศัยแผ่นดินของข้าอยู่ พวกมันต้องทำตามบัญญัติของข้า ข้าเป็นเจ้าชีวิตพวกมัน ถ้าพวกมันไม่พอใจ ก็ไม่ควรมาอยู่ในแผ่นดินข้า”
          “ทูลฝ่าบาท” แร็กซ์ริงรีบกราบทูล “คนแคระเหลือน้อยทุกวัน และพวกเขาก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับพวกดาร์คเนสดีวิล การส่งพวกเขาไปตายโดยไร้แก่นสารเช่นนี้ เป็นเรื่องทารุณ ถึงอย่างไรพวกเขาก็สร้างความรุ่งเรืองให้แก่เมืองโอมิลรอนตลอดมา อาจมีความวุ่นวายบ้างในบางครั้ง แต่ก็ปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดี อยู่ในกรอบของกฎหมาย ภาษีก็เสียเท่าๆ กับกับมนุษย์แท้ๆ”
          “เจ้าบอกว่าพวกมันเป็นพลเมืองที่ดี และอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือไง กฎหมายคาดโทษไว้เช่นไรกับทหารหนีทัพ เจ้าอาจทำเป็นมองข้าม แต่ข้าไม่ได้มองข้าม ข้าเป็นคนบัญญัติมันขึ้นมาเอง” พระราชาตะโกน “คำสั่งของข้ามีความศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อข้าสั่งให้พวกมันไปรบ พวกมันก็ต้องไป ไม่ใช่มาเล่นลูกไม้หาทางหลบเลี่ยงหน้าที่เช่นนี้ มนุษย์แท้ๆ ในเผ่าพันธุ์ของเรายังรู้จักหน้าที่ ยอมจากลาครอบครัวไปรบเมื่อมีหมายเรียก แล้วพวกคนแคระเป็นใคร ถึงมีอภิสิทธิ์เหนือมนุษย์คนอื่น ทั้งที่พวกมันก็ไม่ใช่มนุษย์แท้ๆ เสียด้วยซ้ำ เป็นแค่พวกที่มีเชื้อสายมนุษย์”
          “บางที การที่ท่านพ่อมดมีทายาทเป็นมนุษย์แค่บางส่วน คงจะทำให้เขาเกิดความเห็นอกเห็นใจพวกที่เป็นมนุษย์แค่บางส่วน” แรคแทนทินพูดอย่างขบขัน เฟรเทลหลานชายและเหล่าเจ้าเมืองผู้สนับสนุนเขาพากันหัวเราะชอบใจ  
                “ทูลฝ่าบาท คนแคระในดาวดวงนี้ใกล้สูญพันธุ์แล้ว ที่อยู่ในเมืองโอมิลรอนก็เหลือกันอยู่ไม่มาก การที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปรบที่โฟรเซ็นทิเนลนั้น นับว่ามีเหตุผลน่าเห็นใจ” แร็กซ์ริงพยายามแก้ตัวให้ “อีกอย่าง ต่อให้พวกนั้นปฏิบัติตามคำสั่ง ส่งคนไปร่วมรบด้วยจำนวนมาก ก็ไม่ได้ทำให้เราเอาชนะพวกดาร์คเนสดีวิลได้อยู่ดี ข้าเชื่อว่ากัปตันเท็มเปิลยืนยันเรื่องนี้ได้พะยะค่ะ”
                “ทูลฝ่าบาท ที่ท่านพ่อมดที่ปรึกษาแร็กซ์ริงทูลนั้นเป็นความจริง พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งมาก ต่อให้พวกคนแคระส่งกำลังมาร่วมรบเต็มอัตราศึก ก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้” กัปตันเท็มเปิลทูล “อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันเห็นว่า นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะละเลยหน้าที่ ในเมื่อพระองค์สั่งให้พวกมันไปรบ พวกมันก็ควรปฏิบัติตาม เราทุกคนมีหน้าที่ และก็ควรทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม”
                “คำสั่งของกษัตริย์โมราโซมอสมีความศักดิ์สิทธิ์ พวกคนแคระอาจหาญนักที่มาเล่นลูกไม้แบบนี้” พระราชาประกาศกร้าว “หากข้าไม่ลงโทษพวกมัน มนุษย์หน้าไหนจะเคารพยำเกรงข้า ข้าต้องทำให้ประชาชนได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง”
                “แล้วฝ่าบาททรงคาดโทษพวกคนแคระไว้เช่นใดพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงถามอย่างกังวล
                “ทหารหนีทัพ โทษถึงตาย” พระราชาตะโกน
                แรคแทนทินยิ้มอย่างสะใจ แร็กซ์ริงหน้าถอดสี
                “ทูลฝ่าบาท ขอจงทรงพิจารณาด้วย แม้จะไม่ใช่มนุษย์แท้ๆ แต่พวกคนแคระก็เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์เรา พวกเขาสร้างสิ่งดีๆ แก่อาณาจักรของเรามากมาย” พ่อมดรีบขอร้อง “พวกเขาเหลือกันอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย หากพระองค์ประหารพวกเขา จะเท่ากับเป็นการล้างเผ่าพันธุ์คนแคระ”
                “ข้าเหลืออดเหลือทนกับพวกมันมานานแล้ว พวกมันอาศัยอยู่ในอาณาจักรของข้าโดยแทบไม่ได้ทำอะไรตอบแทนข้าเลย ระยะหลังๆ ก็สร้างแต่ปัญหาให้คนดูถูกดูแคลน ข้าเบื่อพวกเห็บเหาเต็มทน” พระราชาตะคอกกลับ “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกมันท้าทายอำนาจของข้า ที่ผ่านมาเจ้าอ่อนข้อให้พวกมันเกินไปแอนโทนิดัส ทำให้พวกมันกำแหงขึ้น เราได้รับบทเรียนจากการปล่อยให้พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งข้อแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่ยอมให้พวกคนแคระแข็งข้อกับเราอีกฝ่ายแน่”
                “ฝ่าบาท พวกคนแคระไม่ได้เจ้าเล่ห์และดุร้ายเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิล หม่อมฉันขอยืนยันว่าพวกเขาไม่มีวันเป็นอย่างพวกปีศาจ” แร็กซ์ริงทูล “ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นพลเมืองของโมราโซมอส โปรดเมตตาพลเมืองของพระองค์ด้วยพะยะค่ะ”
                “ข้าจะมอบความเมตตาแก่พวกมัน” พระราชาพูดเสียงดัง “พวกมันจะต้องนำทองคำหรือสิ่งที่สูงค่ากว่านั้นจากนอกอาณาจักรโมราโซมอส กลับมามอบให้ข้าเป็นจำนวนสิบลำเกวียน หากพวกมันหามาไม่ได้ ก็อย่างเสนอหน้าเข้ามาในอาณาจักรของข้าอีก”
                “ฝ่าบาท” แร็กซ์ริงร้องอย่างไม่อยากเชื่อ “พระองค์จะทรงเนรเทศพวกคนแคระออกจากอาณาจักรหรือพะยะค่ะ”
                “ข้าไม่ได้เนรเทศ พวกมันสามารถกลับมาอยู่ในอาณาจักรของข้าได้ตามเดิม หากนำทองกลับมามอบให้ สงครามทำให้เราใช้จ่ายไปมากแอนโทนิดัส เป็นการดีที่เราจะได้ปัจจัยกลับมาทดแทน”
                “แล้วพวกเขาจะไปหาทองนอกอาณาจักรมากมายขนาดนั้นได้ที่ไหนพะยะค่ะ ในแถบนี้ไม่มีที่ใดที่จะมีทองหรืออัญมณีให้ขุดมากนัก” แร็กซ์ริงพูดเสียงเบา “ยกเว้น เข้าไปในเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล”
                “ถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาตายแน่” ริฟเฟอร์กล่าว “พวกดาร์คเนสดีวิลกำลังก้าวร้าว พวกมันไม่เคยจับเชลยเป็นๆ และการเคลื่อนพลเข้าไปในพื้นที่ของพวกมัน คือสิ่งที่ทำให้พวกมันไม่พอใจมากที่สุด”
                “พวกคนแคระจะได้รู้ซึ้งถึงการยกพลเข้าไปในโฟรเซ็นทิเนลบ้าง” พระราชาคำราม “พวกมันจะได้สำนึกว่า ไม่ควรหลบเลี่ยงที่นั่นตั้งแต่แรก”
                “ฝ่าบาท” แร็กซ์ริงพยายามอ้อนวอน “โปรดพิจารณาอีกครั้ง นี่มันเป็นบทลงโทษอันโหดเหี้ยม--”
                “แอนโทนิดัส เจ้าเป็นขุนนางที่ดี และปฏิบัติตามคำสั่งของข้าได้ดีเสมอมา” พระราชาจ้องหน้าแร็กซ์ริงอย่างจะเอาเรื่อง “แต่เจ้าคงรู้ว่า หากเจ้าเกิดละเลยที่จะปฏิบัติตามคำสั่งข้า จนทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็อาจหาคนที่เชื่อฟังกว่ามาทำงานให้ข้าแทน”
                แร็กซ์ริงจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบกริบอย่างเป็นทุกข์ แรคแทนทินและเฟรเทลหัวเราะขำอย่างไม่มีเสียง
                “จงเป็นไปตามนี้” พระราชาสรุปเสียงลั่น “พวกคนแคระมีเวลาหนึ่งสัปดาห์ ที่จะย้ายร่างเตี้ยๆ ของพวกมันออกไปจากอาณาจักรข้า บอกพวกมันด้วยว่า หากไม่มีทองกลับมา จงอย่าหวังจะได้เฉียดเข้าใกล้อาณาจักรโมราโซมอสอีกต่อไป”
 
****************
 
                อาร์ทูมิส ไวท์วิสเพอร์ หมอผีประจำเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ กำลังรายงานผลชันสูตรศพเอลิล แก่แอเมน่า สกายซี ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าได้ฟัง ทั้งคู่อยู่ในห้องใต้ดินที่มืดมิด ไม่มีแสงใดๆ แม้แต่น้อย ความมืดนั้นช่วยให้สายตาของฟอเรสเทอร์เห็นชัดเจน เอลิลทั้งสามร่างนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ถูกถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เหลือเพียงผิวหนังโปร่งใสเหมือนแก้วหุ้มกระดูกขาวโพลน และเส้นผมสีขาวดุจหิมะที่ปกคลุมศีรษะ
                “พวกเอลิลมีผิวหนังที่โปร่งใสจนมองแทบไม่เห็นปกคลุมร่างกาย หลายคนจึงคิดว่าพวกนี้เป็นโครงกระดูกเดินได้ โดยเฉพาะพวกนักแต่งนิทานไร้สาระ” อาร์ทูมิสจ้องมองเอลิลร่างหนึ่งอย่างพิจารณา “ร่างกายของพวกนี้ไม่ซับซ้อนเหมือนเผ่าพันธุ์อื่น พวกเขาไม่มีอวัยวะภายใน ไม่มีเส้นประสาทเส้นเลือดฝอย ไม่มีระบบขับถ่าย ไม่มีต่อมเหงื่อ ไม่มีระบบสืบพันธุ์ ไม่มีของเหลวในร่างกาย จึงมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องกิน ส่งผลให้ไม่มีวันสิ้นอายุขัยด้วย”
                “ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนร่างกาย” แอเมน่าแย้ง “พวกเอลิลต้องรับอะไรสักอย่างเข้าไปในร่างกาย เพื่อเป็นพลังงานและเพื่อซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ”
                “ไนโตรเจน” อาร์ทูมิสตอบ “จากในอากาศรอบตัว ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนัง แปรสภาพเป็นก๊าซพลังงานในร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า เลือดเอลิล” เธอใช้มีดหินคมกริบกรีดที่อกเอลิล แทบมองไม่เห็นรอยผ่าเพราะผิวหนังโปร่งใสมากและบางมาก แล้วจึงแหวกซี่โครง เผยให้เห็นอวัยวะภายในชิ้นเดียว คือหัวใจที่โปร่งใสเหมือนแก้ว “หัวใจของพวกเอลิลมีหน้าที่แปลงไนโตรเจนเป็นเลือดเอลิลขับเคลื่อนร่างกาย ผ่านไปทางเส้นเลือดที่มีไม่เยอะเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ” เธอไล่นิ้วไปตามเส้นเลือดโปร่งใสที่แฝงอยู่ใต้กระดูกและเส้นเอ็น “เนื่องจากเอลิลไม่มีปอด หัวใจของพวกเขาจึงอยู่ตำแหน่งบริเวณกลางอกซ้าย ไม่อยู่ใต้อกซ้ายเหมือนเผ่าพันธุ์เรา พวกมนุษย์ พวกโฮเซ่ และพวกไซคัส”
                “หมายความว่าอีกสองเผ่าพันธุ์ที่เหลือ ไม่ได้มีตำแหน่งหัวใจเหมือนเราหรือ”
                “พวกเฟลมฟอร์สและเผ่าพันธุ์ตระกูลมังกรนั้น มีหัวใจอยู่ที่อกขวา ส่วนพวกดาร์คเนสดีวิลและเผ่าพันธุ์ตระกูลปีศาจ มีหัวใจอยู่ที่กลางหน้าอก เป็นเหตุให้ในนิยายโบราณกล่าวว่า วิธีฆ่าปีศาจ คือให้เอาหมุดเหล็กแทงที่กลางหน้าอก” อาร์ทูมิสอธิบาย “แต่ไม่ต้องห่วงค่ะท่านหัวหน้าเผ่า จุดสำคัญของร่างกายทุกเผ่าพันธุ์นั้นไม่ได้มีแค่ตรงหัวใจ ท่านตัดผ่านร่างกายใครสักคน ในตำแหน่งที่ทำให้เสียเลือดมากและรวดเร็ว นั่นก็ทำให้ตายได้เหมือนกัน ท้อง หลัง ลำตัว ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดก็ตายได้หมด”  
                “ว่ากันว่าเอลิลคือเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด” แอเมน่าว่า
                “ท่านคงอยากทราบ ว่าในหัวของเอลิลแต่ละคนมีอะไรอยู่ในนั้น” อาร์ทูมิสกรีดเปิดกะโหลกเอลิลร่างหนึ่งให้ดู ข้างในนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
                “เกิดอะไรขึ้น” แอเมน่าไม่อยากเชื่อ “สิ่งมีชีวิตล้วนมีสมอง โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ฉลาดๆ อย่างเอลิล”
                “ทั้งนี้เป็นเพราะสมองของเอลิลทั้งสามคนนี้ได้สลายหายไปแล้วไงคะ”
                “หมายความว่ายังไง”
                “ร่างกายของเอลิลและเฟลมฟอร์สมีหลายอย่างที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นคือมีสมองที่เป็นธาตุอากาศเหมือนกัน มันมีความหนาแน่นและความเข้มข้นสูงกว่าธาตุอากาศทั่วไป ต่างกันแค่สมองของพวกเอลิลเป็นสีเงิน และแปรสภาพมาจากไอน้ำแข็ง ส่วนของพวกเฟลมฟอร์สเป็นสีทอง แปรสภาพมาจากควันไฟ” อาร์ทูมิสบรรยาย “เมื่อเจ้าของร่างสิ้นชีวิต ไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงสมอง สมองก็จะแปรสภาพเป็นอากาศธรรมดาสลายหายไป เช่นเดียวกับดวงตาของพวกเอลิล ท่านคงทราบดีใช่ไหมคะว่าดวงตานั้นเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับสมองใกล้ชิดมาก แม้สมองของพวกนี้จะเป็นธาตุอากาศ แต่ก็มีความหนาแน่นมากกว่าสสารอากาศ สามารถใช้ของแข็งเช่นดาบหรือธนูทำให้เสียหายได้ ฉะนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด การโจมตีที่ศีรษะหรือตัดศีรษะ คือการฆ่าที่แน่นอนที่สุด”
                “ได้ยินว่าพ่อมดลิซาร์ด เหล่าพ่อมดอัจฉริยะของเอลิล พบวิธีถอดสมองออกจากร่างได้” แอเมน่ากล่าว “เรียกกันอีกอย่างว่า ถอดวิญญาณ”
                “พวกเขาแปลงสภาพสมองให้มีความหนาแน่นน้อยลง สามารถรับไนโตรเจนในอากาศมาสังเคราะห์ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยหัวใจ” อาร์ทูมิสชี้แจง “มันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่มีสมองเป็นธาตุอากาศ และมีความสามารถในการแปลงพลังงานสูงอย่างพวกลิซาร์ด แม้การถอดสมองออกจากร่างจะทำได้แค่ครั้งเดียว แต่แค่นี้ก็ถือว่าโกงความตายได้เหลือเชื่อแล้ว”
                “ดูพวกเขาค่อนข้างเปราะบาง” แอเมน่าลูบไปบนร่างเอลิล
                “อย่าได้ประมาทร่างที่มีแต่ผิวบางๆ หุ้มกระดูกของพวกเขาเชียวค่ะ” อาร์ทูมิสเตือน “ข้าตรวจสอบดูแล้ว แม้จะไม่มีกล้ามเนื้อ แต่เส้นเอ็นและกระดูกของพวกเขาแข็งแรงมาก มีพละกำลังไม่แพ้พวกดาร์คเนสดีวิลเลย กระดูกของพวกเขาก็อยู่ในสภาพดีตลอดเวลา ไม่มีผุกร่อน มันไม่เหมือนกระดูกของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ดูสีของมันสิคะ ขาวสะอาด ไม่หมอง ไม่กร่อน ราวกับเป็นกระดูกปลอม ซึ่งจะว่าไปก็น่าจะใช่”
                “ฟันของพวกเขาไม่ได้เป็นซี่ๆ เหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ” แอเมน่าสังเกตที่ปาก “มันเป็นแถบเรียบท่อนเดียวเลย แล้วในปากก็ไม่มีอะไรด้วย ลิ้น ลิ้นไก่ เหงือก ไม่มีสักอย่าง”
                “แต่พวกเขามีเส้นเสียง” อาร์ทูมิสแตะที่คอของศพ “เพื่อใช้ในการพูดคุยสื่อสาร เส้นเสียงของพวกเอลิลมีความพิเศษ สามารถสร้างเสียงที่ชัดเจนได้โดยไม่ต้องใช้ลิ้นหรืออวัยวะอื่นๆ เป็นเหตุให้เวลาพูดนั้น พวกเอลิลจะไม่ขยับปากเลย”
                “ศพพวกนี้ไม่มีกลิ่น” แอเมน่าสูดจมูกเหนือศพเอลิลแต่ละร่าง “พวกเขาตายตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่มีทีท่าจะเน่าเปื่อยเลย”
                “จากร่างกายที่ผิดวิถีธรรมชาติทั้งหมดที่ข้าได้อธิบายแก่ท่าน ท่านก็คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไมร่างพวกเขาจึงไม่เน่าเปื่อย” อาร์ทูมิสพูด “จริงอยู่ ทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมสลาย ร่างเอลิลก็ย่อยสลายได้เมื่อไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง แต่มันก็ใช้เวลานาน เผ่าพันธุ์เอลิลแทบจะเป็นสิ่งไร้ชีวิต เชื้อโรคและจุลินทรีย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ในร่างกายได้ ยิ่งถ้าเราไม่ฝังดินก็จะยิ่งย่อยสลายช้า เนื่องจากร่างกายเอลิลถูกสร้างมาจากน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ ทำให้พวกเอลิลไม่มีกลิ่นตัว แม้แต่ตอนย่อยสลายก็ไม่มีกลิ่นเน่าหรือมีเชื้อโรค ฉะนั้น หากท่านจะใช้สุนัขตามกลิ่นเอลิล ท่านไม่มีทางตามเจอ”
                “ความแปลกประหลาดอันใด สร้างสิ่งมีชีวิตที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ขึ้นมาหนอ” แอเมน่าพึมพำ
                “ดูเหมือนว่าทฤษฎีเรื่องผู้สร้างจากต่างดาวนั้น จะเป็นไปได้สูงมาก” อาร์ทูมิสกล่าว “พวกเขาเดินทางข้ามจักรวาลมายังดาวดวงนี้ สร้างพวกเอลิลกับพวกไซคัสขึ้น เพื่อเป็นแรงงานหรือเพื่ออะไรสักอย่าง แล้วก็จากดาวดวงนี้ไปอย่างไม่หวนกลับ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง”
                “ไม่ว่าทฤษฎีนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญแล้ว” แอเมน่าพูด “สิ่งสำคัญคือ พวกเอลิลมีวิวัฒนาการเกินกว่าที่พวกผู้สร้างจะคาดถึง วิวัฒนาการถึงขั้นสร้างเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นมาได้เอง และด้วยลักษณะร่างกายที่ผิดธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เอลิล ส่งผลให้พวกเขาทานทนต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป เผ่าพันธุ์ใดที่เป็นศัตรูย่อมลำบาก ซึ่งเอลิลทั้งสามคนนี้” เธอชี้เอลิลทั้งสามศพบนเตียงไม้ไผ่ “พกพาอาวุธสงครามอย่างดี เข้ามาสอดแนมในอาณาจักรเรา และยิงใส่รองหัวหน้าเผ่าของเรา แสดงความไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน หากเอลิลทั้งสามคนนี้ไม่ใช่พวกเร่ร่อน แต่ถูกส่งมาจากต้นสังกัดจริงๆ ข้าเกรงว่า อันตรายกำลังมาเยือนเผ่าพันธุ์เราแล้ว”  
                มีเสียงประตูห้องใต้ดินเปิดออก แล้วเซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์ รองหัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์ ก็ลงบันไดมาหาทั้งคู่
                “เรียนท่านหัวหน้าเผ่า” เขาโค้งคำนับให้แอเมน่า “ข้าได้พบปะกับพวกเซ็นทอร์แล้ว พวกนั้นมาส่งข่าวว่า กองทัพมนุษย์ที่ยกไปโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดนั้น ถูกต่อต้านพ่ายแพ้กลับไป”
                “พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งกว่าที่คาดจริงๆ สามารถต้านการบุกของกองทัพใหญ่ขนาดนั้นได้” อาร์ทูมิสบอก “เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็สบายใจได้เรื่องหนึ่ง พวกดาร์คเนสดีวิลช่วยให้ทิศตะวันตกของเราปลอดภัยจากพวกมนุษย์ในระยะยาว”
                “อย่างไรก็ตาม กองเรือมนุษย์ก็กำลังเตรียมตัวยกพลไปบุกชายฝั่งแบร์ร็อค พวกมนุษย์คงต้องการกู้ศักดิ์ศรีและขวัญกำลังใจคืนมา จากการปราชัยที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด” เซ็นแวนเดอร์รายงานต่อ “ทัพเรือมนุษย์เคลื่อนพลช้ากว่ากำหนด แต่ก็คงจะพร้อมเคลื่อนพลในอีกไม่นานแน่”
                “โมราโซมอส แบร์ร็อค และโฟรเซ็นทิเนล กำลังคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม เซ็นแวนเดอร์ ถ่ายทอดคำสั่งข้าไปยังเหล่านักรบฟอเรสเทอร์ทุกคน ห้ามใครเข้าไปใกล้อาณาจักรเหล่านั้นเด็ดขาด พื้นที่สงครามยังไม่ขยายมาถึงกาโกคอล ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่จะลากมันเข้ามาหา” แอเมน่าสั่งการ “ปล่อยให้พวกนั้นรบกันไป อย่าเข้าไปแทรกแซง ปัญหาใหญ่จะตามมา แค่นี้เราก็มีเรื่องให้กังวลแล้ว”
                เธอมองไปยังเอลิลทั้งสามร่างบนเตียงไม้ไผ่อีกครั้ง
                “พวกเซ็นทอร์ปฏิเสธที่จะเข้าไปสอดแนมในอาณาจักรไอซ์เมส” เซ็นแวนเดอร์พูด “พวกนั้นไม่ต้องการเสี่ยงต่อสภาพอากาศและสภาพภูมิประเทศที่ไม่เป็นมิตร รวมทั้งอันตรายที่คาดไม่ถึง”
                “นึกอยู่แล้วว่าพวกครึ่งม้าต้องปฏิเสธ” แอเมน่าว่า
          “จริงอยู่ ที่พวกเอลิลถูกพวกไซคัสกวาดล้างไปแล้ว แต่พวกนั้นก็อาจก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้เหมือนกัน” อาร์ทูมิสออกความเห็น “การที่ไม่มีใครพบฐานทัพเอลิล ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ พวกดาร์คเนสดีวิลก็ตบตาความแข็งแกร่งของตนจากสายตาพวกมนุษย์มาได้ตั้งนาน ใครจะไปรู้ว่าพวกเอลิลจะใช้วิธีเดียวกันหรือไม่ ยิ่งเป็นเผ่าพันธุ์น้ำแข็งเหมือนกันด้วย”
          “อย่างที่เราเคยคุยกันไป หากพวกเอลิลจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจริง ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นที่เมืองหลวงของอาณาจักรไอซ์เมส” แอเมน่ากล่าว “เดธแอเรีย (Death Area)”
                “ข้าทราบว่าท่านพยายามหลีกเลี่ยงการส่งคนในเผ่าพันธุ์ไปทำงานเสี่ยง แต่ข้าคิดว่ามันจำเป็นแล้วครับ” เซ็นแวนเดอร์บอกแอเมน่า “เราต้องส่งคนไปสำรวจเมืองเดธแอเรียให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ข้าขออาสาเป็นผู้นำกองสำรวจเอง”
                “ลูกแม่” อาร์ทูมิสร้องอย่างไม่เห็นด้วย
                “เราต้องรู้สิ่งที่ควรรู้ ก่อนจะสายเกินไปครับ” เซ็นแวนเดอร์เตือน
                “เจ้าพูดถูก ถึงอย่างไรเราก็ต้องส่งคนไปสำรวจที่นั่นอยู่ดี เพื่อความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์” แอเมน่าถอนหายใจ “ตกลงเซ็นแวนเดอร์ ข้าจะให้เจ้านำกองนักรบม้าป่าจำนวนหนึ่งไปสำรวจเมืองเดธแอเรีย พวกเจ้าจะต้องคอยดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากความหนาวและอันตราย”
                “เราจะทำตามคำสั่งท่านครับ” เซ็นแวนเดอร์โค้งศีรษะ
                “หากพบเจอฐานทัพเอลิล หรือกองกำลังเอลิลเข้าจริงๆ จงทำสัญลักษณ์กระดาษขอเจรจา” แอเมน่ากำชับ “หากพวกเอลิลยอมเจรจา เราจะได้รู้จุดประสงค์และเป้าหมายของพวกนั้น ข้าอยากหลีกเลี่ยงความรุนแรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผ่าพันธุ์ของเรารักสงบ ไม่เก่งเรื่องทำสงครามเหมือนเผ่าพันธุ์อื่น”
                “ข้าจะพยายามให้มีความรุนแรงเกิดกับเผ่าพันธุ์ของเราน้อยที่สุดครับ” เซ็นแวนเดอร์สัญญา
                “ดีมาก” แอเมน่าพยักหน้า “จงไปคัดสรรคนจำนวนหนึ่งที่จะเดินทางไปกับเจ้า เตรียมเสบียงและชุดกันหนาวให้พร้อม เมื่อพวกเจ้าเดินทางเข้าไปในไอซ์เมส มันจะเป็นพื้นที่ที่ไม่เป็นมิตรกับพวกเจ้า”
                “ครับ ท่านหัวหน้าเผ่า”
 
**************
 
                ระยะนี้ สภาพอากาศที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดค่อนข้างแปรปรวน มีพายุหิมะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแถบนั้นต่างพากันจำศีลหลบภัยหนาว ทั้งหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสาย ทั้งลมกรรโชกที่กระหน่ำพัด ทั้งละอองหิมะและหมอกควันที่คอยบดบังทัศนวิสัย ย่อมไม่มีสิ่งใดอยากอยู่ในที่โล่ง แม้แต่พวกดาร์คเนสดีวิลก็ยังลดจำนวนหน่วยลาดตระเวนลง ไม่ส่งคนออกไปนอกฐานทัพมากนัก สภาพอากาศเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้าศึก ไม่มีใครโง่พอยกทัพมาโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดในตอนนี้ โดยเฉพาะพวกมนุษย์ที่กำลังบอบช้ำจากการแพ้ศึกครั้งล่าสุด
                แม้สภาพอากาศจะเลวร้าย ไม่เหมาะแก่การอยู่นอกฐานทัพ แต่ก็มีคนหนึ่งยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนผิวทะเลสาบ ท่ามกลางลมกรรโชกและละอองหิมะที่ฟุ้งกระจาย โซลิแทร์พยายามทรงตัวอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบ ที่ถูกลมและกระแสน้ำพัดเอียงไปเอียงมา ดาบในมือกวัดแกว่งแหวกกระแสลมและละอองหิมะ ผ้าคลุมโบกสะบัดไปตามแรงลม หน้ากากและชุดเกราะมีเกล็ดหิมะจับเกาะเต็มไปหมด แม้ว่าเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างพวกดาร์คเนสดีวิลจะสามารถเดินบนผิวหิมะหรือบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ได้โดยไม่ทะลุลงไปเหมือนเผ่าพันธุ์อื่น แต่แผ่นน้ำแข็งที่โซลิแทร์ยืนอยู่มันก็บางเกินไป มิหนำซ้ำยังถูกลมพายุกระหน่ำรอบด้านอีก เดี๋ยวก็ไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ไปทางขวา คงไม่ต้องบอกว่าหากโซลิแทร์พลาดตกลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบจนเยือกแข็งนั้น มันจะแย่แค่ไหน เกราะเหล็กหนักๆ ที่เขาสวมอยู่จะถ่วงเขาให้จมน้ำ ความเย็นของน้ำจะทำให้กล้ามเนื้อชาจนว่ายขึ้นฝั่งไม่ไหว แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่คุ้นเคยกับความหนาวอย่างดาร์คเนสดีวิลก็ตาม
                “ข้าไม่เคยสอนให้ท่านฝึกซ้อมด้วยวิธีนี้นะ” เซซิลตะโกนผ่านเสียงลม ขณะลอยเข้ามาใกล้ทะเลสาบ เขาป้องกันตนเองจากพายุด้วยการสวมเกราะสวมเสื้อคลุมแผ่นโลหะมิดชิด อีกทั้งยังสวมหมวกเกราะคาดผ้าเหล็กปิดปาก มือขวายกโล่ยาวกำบังลม คล้ายว่าจะออกรบทีเดียว
                “ท่านเคยบอกเองไม่ใช่หรือ การเอาแต่ทำตามผู้สอนโดยไม่คิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเอง มันจะทำให้เราเก่งน้อยกว่าผู้สอน และยิ่งที่ให้ผู้ที่เรียนรู้ต่อจากเราเก่งน้อยลงอีกเรื่อยๆ” โซลิแทร์ตอบกลับด้วยเสียงธรรมดา แต่ได้ยินชัดเจนด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน “ข้ารวบรวมความรู้ นำมาประยุกต์ออกแบบการต่อสู้ขึ้นมาเองเกือบทั้งหมด ทุกอย่างใหม่เอี่ยม ไม่เคยมีในตำราไหนมาก่อน เหล่าคู่ต่อสู้ของข้าจะรับมือยาก”
                “ท่านทำให้ข้านึกถึงเดอะ ทวินเฮด พวกฝาแฝดเมแมคเซอร์” เซซิลว่า “พวกเขาอาจมุทะลุ บ้าดีเดือด แต่ก็เป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดที่เรามี พวกเขาแทบไม่เคยทำตามตำราการต่อสู้เลย แต่หมั่นคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเอง เหมือนกับท่านนี่ล่ะ นี่คงเป็นเหตุให้พวกเขาเก่งที่สุดในพวกเรา ดังเช่นท่านตอนนี้”
                “คนเราถนัดไม่เหมือนกัน ข้าถนัดดาบสองมือ จึงเก่งเมื่อต่อสู้ด้วยดาบสองมือ” โซลิแทร์พูดไปเหวี่ยงดาบไป “ถ้าให้ข้าไปใช้โล่ยาวเป็นอาวุธโจมตีเหมือนท่าน ข้าคงไม่ได้เรื่อง”
                “แต่ไม่คิดว่าการฝึกซ้อมของท่านมัน เอ้อ! ประหลาดไปหน่อยหรือ” เซซิลถาม
                “ข้ามีกลยุทธ์การต่อสู้ที่คิดขึ้นมาเอง ก็ไม่แปลกที่จะมีการฝึกซ้อมที่คิดขึ้นมาเอง แผ่นน้ำแข็งบางๆ และกระแสลมช่วยให้ข้าพัฒนาการทรงตัว การเหวี่ยงดาบท่ามกลางพายุทำให้ข้าพัฒนาการเคลื่อนไหวของดาบ การออกแรงต้านทำให้กล้ามเนื้อของข้ามีพลัง ถ้าต่อสู้จริงๆ มันจะทำให้ข้าว่องไวและเฉียบขาด” โซลิแทร์หมุนตัวบนแผ่นน้ำแข็ง และกวัดแกว่งดาบไปมา “ทักษะการต่อสู้ของข้ามันไม่ได้งอกขึ้นมาเองอาจารย์เซซิล มันเกิดจากประสบการณ์ การฝึกฝน ความมุ่งมั่น ความศรัทธา ความเพียร และความคิดสร้างสรรค์ ไพรม์ดีวอเชอร์พูดถูก โชคไม่เคยเข้าข้างดาร์คเนสดีวิล ในนิทานทุกเรื่องไม่มีปีศาจคนใดเคยเป็นผู้ถูกเลือก หรือผู้ที่ฟ้ากำหนดให้เกิดมายิ่งใหญ่ เราจึงต้องกำหนดตัวเอง ต่อสู้กับโชคชะตาอันโหดร้าย สร้างตัวเองให้ผงาดขึ้นสูง ด้วยมือของเราเอง ใช่แล้วมันยากลำบาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถแน่นอน หากเราตั้งใจจริง”
                “บางครั้ง ข้าก็สงสัยว่าท่านโตเร็วเกินไป” เซซิลยิ้ม “ท่านอาจเสียดายวัยหนุ่มในภายหลัง”
                “ข้าไม่มีทางเลือก” โซลิแทร์กระโดดจากแผ่นน้ำแข็งที่ตนยืน ข้ามไปยังอีกแผ่นหนึ่ง “ข้าโตมากับสงคราม สิ่งแรกที่ข้าจำได้คือความตาย อย่างน้อย มันก็หล่อหลอมให้ข้าสู้ได้เก่งกว่าพวกมนุษย์”  
          “แล้วมันก็ทำให้ท่านเลือดเย็น แข็งกร้าว และตลกร้าย” เซซิลยิ้มอย่างขบขัน “บางคนชอบท่านตอนเป็นเด็กมากกว่านะ ตอนเด็กท่านสุภาพ ไร้เดียงสา และอ่อนโยนกว่านี้”
          “แล้วท่านล่ะ ชอบข้าตอนเป็นเด็กหรือตอนนี้มากกว่ากัน”
          “ตอนนี้ท่านน่ารังเกียจมาก” เซซิลบอก “แต่ข้าก็ชอบท่านตอนนี้มากกว่า”
          โซลิแทร์หัวเราะ กระโดดตีลังกาไปยังน้ำแข็งอีกแผ่น การเคลื่อนไหวของเขาว่องไว นุ่มนวล และเงียบเชียบเหมือนปีศาจในนิทานไม่มีผิด ปกติแล้วคนที่ใช้ดาบยาวสำหรับถือด้วยสองมือจะไม่เคลื่อนไหวได้ลื่นไหลขนาดนี้
          “กองทัพปีศาจของเรากำลังขยายจำนวน และเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ทุกคนมีความมุ่งมั่น มีทักษะทั้งด้านความคิดและฝีมือการรบ” เขาพูด “พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน หากพวกเขาได้รับการชี้นำและแรงบันดาลใจมากกว่าที่ได้จากข้า ท่าน และกัปตันมาซูล เราต้องการคนเก่งมาสร้างความแข็งแกร่งให้พวกเขามากกว่านี้ เราต้องการพวกเมแมคเซอร์”
          “เดอะ ทวินเฮดคือสุดยอด คงจะดีถ้าได้พวกเขากลับมาช่วยงานเราสามคน” เซซิลพูด “พวกมนุษย์รู้ว่าพวกเขาอันตราย จึงจับตัวไปเป็นเชลยศึก บั่นทอนขวัญและกำลังใจของฝ่ายเรามาช้านาน ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกแย่งอาวุธสำคัญไป ทำให้เรารู้สึกว่า แม้แต่คนที่เก่งที่สุดในพวกเรา ก็ถูกพวกมันจับใส่กรงได้ มันเป็นบทลงโทษอันโหดเหี้ยม”
          “ถ้าเราแหกกรงพาพวกเขาออกมา มันจะสร้างแรงบันดาลใจแก่นักรบปีศาจทุกคนอย่างท่วมท้น เผ่าพันธุ์ของเราจะแข็งแกร่ง จนพวกมนุษย์โยนใครใส่กรงไม่ได้อีก” โซลิแทร์หยุดซ้อม หันมาพูดอย่างจริงจัง “คงทราบใช่ไหมว่าตอนนี้เดอะ ทวินเฮดมีค่ากับเรามาก เรื่องนี้พลาดไม่ได้”
          “ต้องรอคำตอบจากพวกโฮเซ่” เซซิลพูด “เราปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีกองเรือ”
          “บอกตรงๆ ว่าข้าไม่ไว้ใจพวกโฮเซ่นัก เช่นเดียวกับพวกนั้น ที่ก็คงไม่ค่อยไว้ใจเรา เราทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่เคยปฏิบัติการร่วมกันมาก่อน แทบไม่รู้อะไรของกันและกันเลย” โซลิแทร์ขยับดาบซ้อมต่อไป “แต่สิ่งที่เรากับพวกนั้นมีเหมือนกันคือไม่มีทางเลือก ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อาจปฏิบัติการเรื่องนี้โดยลำพังได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไว้ใจกอร์ริน และเชื่อว่าเขาจะช่วยประสานงานเรื่องนี้ให้ดำเนินไปได้ดี”
          “ได้แต่หวังว่าปฏิบัติการนี้จะสำเร็จ” เซซิลกล่าว “เพราะหากมันสำเร็จ พวกมนุษย์จะถูกลดประสิทธิภาพทางสงครามไประยะยาวทีเดียว”
                เอเลนเซฟเวอรี่ตัวหนึ่งบินโฉบมาหาพวกเขา แล้วกระพือปีกรักษาระดับอยู่กลางอากาศ หิมะที่จับตามเกราะหนาสีดำทั่วตัวมันฟุ้งกระจายออกมาเมื่อมันเปลี่ยนท่าขยับปีก โซลิแทร์จ้องมองที่ตาสีเขียวเรืองแสงทั้งหกของมันอยู่สักพัก แล้วมันก็บินจากไป เขากระโดดจากแผ่นน้ำแข็งที่ตนยืนอยู่ไปยังแผ่นอื่นๆ ที่ลอยอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งตีลังกาขึ้นมาบนฝั่งข้างๆ เซซิล การกระโดดของเขานุ่มนวล ว่องไว และเงียบเชียบ ราวกับปีศาจในนิทาน เป็นเหตุให้บรรดาคู่ต่อสู้เข้าใจว่าเขาหายตัวได้
                “เอเลนเซฟเวอรี่ตัวนั้นเป็นหนึ่งในหน่วยลาดตระเวนของเรา” เซซิลมองตามเจ้าสัตว์ร้ายไป
                “สภาพอากาศแบบนี้ เราส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปตรวจตราพื้นที่นอกกำแพงได้น้อยลง ประสิทธิภาพในการสำรวจก็ลดน้อยลงด้วย” โซลิแทร์เก็บดาบลงฝัก “แต่ก็ใช่ว่าจะตรวจไม่พบอะไรเลย”
                “มันตรวจพบอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ” เซซิลถาม “ท่านคงต้องอธิบายให้ข้าฟังแล้ว มีท่านคนเดียวเท่านั้นที่สื่อสารกับพวกมันรู้เรื่อง ด้วยการประสานสายตา ท่านเป็นจ่าฝูงเอเลนเซฟเวอรี่”
                “ท่านรู้จักคนแคระไหม” โซลิแทร์ถาม
                “สายพันธุ์แยกย่อยของมนุษย์ อยู่ในสังกัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัวหนา ขาสั้น ชอบดื่มเหล้าเมาแล้วทำเสียงดัง ขุดเก่งมากเพราะมีสายพันธุ์ตัวตุ่นด้วย เหมือนกับพวกมนุษย์แท้ๆ ตรงที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ และลุ่มหลงในของมีค่า” เซซิลสาธยาย “ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มากแล้ว คาดว่ากลุ่มสุดท้ายอาศัยอยู่ในเมืองโอมิลรอน เจ้าพ่อมดหัวหงอกแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงคงมีสัมพันธ์อันดีกับพวกมัน เพราะพวกคนแคระมีความสามารถเรื่องการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมตลอดจนประติมากรรมมากมายในเมืองโอมิลรอนอันศักดิ์สิทธิ์ ถูกสร้างโดยพวกคนแคระ”
                “พวกมนุษย์คนแคระที่ท่านพูดถึง” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “กำลังขุดเหมืองอยู่ในพื้นที่ของเรา”
                เซซิลเลิกคิ้วอยู่หลังหมวกเกราะ
                “กลับฐานทัพ” โซลิแทร์ออกเดินนำ “กลับไปแจ้งกัปตันมาซูล และนำกองกำลังออกไปต้อนรับพวกมนุษย์ขาสั้นกัน”
 
****************
 
                ในเมื่อถูกพระราชาขับออกจากอาณาจักรโมราโซมอส พวกคนแคระก็ไม่มีที่ไป พวกเขาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองโอมิลรอนมานานแสนนาน ไม่ต่างจากพวกมนุษย์แท้ๆ  โมราโซมอสก็เป็นบ้านของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาอยู่ที่นั่น ซึ่งทางเดียวที่จะกลับไปอยู่ในโมราโซมอสได้เหมือนเดิม คือต้องหาทองนำไปมอบให้พระราชามนุษย์ตามจำนวนที่กำหนด ปัญหาก็คือ จะไปหาทองมากมายขนาดนั้นได้ที่ไหน มันไม่ใช่สิ่งที่ขุดหาได้ง่ายๆ ในแถบนี้ พื้นที่แห่งเดียวที่เต็มไปด้วยสินแร่และอัญมณีนั้น ดูจะเป็นอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล หากพวกเขาปรารถนาจะกลับบ้าน พวกเขาก็ต้องเสี่ยงบุกรุกเข้ามาในดินแดนแห่งปีศาจที่แสนจะเกลียดชังเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันเป็นบทลงโทษอันโหดเหี้ยม
                อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลในตอนนี้ไม่ได้เข้าออกง่ายเหมือนเมื่อก่อน พวกปีศาจมีหูตาเต็มไปหมด พวกเอเลนเซฟเวอรี่คอยบินลาดตระเวนไม่หยุดไม่หย่อน พวกมันเป็นสัตว์ตระกูลค้างคาว สามารถตรวจจับผู้บุกรุกได้ด้วยการส่งคลื่นเสียงเหมือนค้างคาวล่าเหยื่อ ยากต่อการหลบซ่อน ยากที่จะลอบเข้ามาในเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก พวกคนแคระก็เลือกที่จะเข้ามาในช่วงที่กำลังเกิดพายุหิมะ แม้จะต้องทนหนาว ทนลม ทนหิมะ ทนต่อสภาพอากาศอันย่ำแย่ แต่อย่างน้อยก็เป็นช่วงที่พวกดาร์คเนสดีวิลลดจำนวนหน่วยลาดตระเวนลง และตรวจจับผู้บุกรุกได้ยากขึ้น พวกคนแคระได้แต่หวังว่าสภาพอากาศและทัศนวิสัยอันย่ำแย่จะช่วยอำพรางพวกตนได้ พวกเขาช่วยกันขุดเหมืองเล็กๆ ที่ตีนภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง ห่อตัวอยู่ในชุดขนสัตว์หนาฟู จับพลั่วจับที่ขุดด้วยมืออันสั่นสะท้าน ความสามารถในการขุดและสัมผัสอันไวต่อแร่มีค่า ทำให้พวกเขาขุดได้เร็วและได้แร่ทองมาจำนวนหนึ่ง ไม่มีเวลาทำคานค้ำเหมือง ไม่มีเวลามากังวลเรื่องความแข็งแรงของเหมือง พวกเขาต้องรีบขุดเอาทองไป ก่อนที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะรู้ตัว
                “ข้าเจออีกแล้ว ขอไฟทางนี้” คนแคระหนวดเคราแดงคนหนึ่งตะโกนสุดเสียงกึกก้องไปทั่วเหมือง เขาขุดพบแร่ทองส่วนหนึ่ง “เอาถังมาทางนี้เร็วเข้า แล้วโกยเศษหินเศษน้ำแข็งออกไปด้วย”
                คนแคระอีกคนรีบนำตะเกียงไปส่องให้ ขณะที่อีกสองคนช่วยกันโกยเศษหินเศษน้ำแข็งใส่เปล แล้วหามออกไปนอกถ้ำ ลมหนาวและละอองหิมะจากภายนอกพัดกระหน่ำทำเอาแทบจะแข็งตาย ทัศนวิสัยแย่มาก จวนเจียนจะมองอะไรข้างหน้าไม่เห็น แม้แต่การพูดคุยกันก็เกือบจะไม่รู้เรื่อง เพราะลมคอยพัดกลบเสียงพูดหมด
                “เอาไหม” คนแคระคนหนึ่งยื่นขวดเหล้าเหล็กให้เพื่อน “รีบดื่มก่อนที่มันจะเป็นน้ำแข็ง”
                คนแคระอีกคนรับเขาเหล้าไปดื่ม แล้วก็ต้องสำลัก จ้องมองตาค้างไปที่ด้านหลังเพื่อน
                “ข้าเห็นเทพแห่งความตาย ลางร้าย”
                ร่างสูงในผ้าคลุมสีดำสนิทยืนอย่างสงบนิ่งท่ามกลางพายุหิมะที่พัดเป่า ชายผ้าคลุมโบกสะบัดไปตามแรงลม ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงจ้องมองมาที่คนแคระทั้งสอง เขาไม่ได้ถือเคียวหรือหนังสือรายชื่อคนตายเหมือนเทพแห่งความตายที่ผู้คนเชื่อกัน แต่ถือดาบเล่มยาวสีดำในมือขวา
                “เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว” คนแคระทั้งคู่วิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ ทำเอาคนแคระคนอื่นๆ ที่กำลังขุดเหมืองสะดุ้งสุดตัว พวกเขายิ่งประสาทเสียกันอยู่ด้วย
                “เจ้าสองคนเจออะไรมา” คนแคระเคราแดงคำรามถาม
                ก่อนที่คนแคระทั้งสองจะทันตอบ เสียงเรียบๆ เย็นๆ ก็ดังลอยเข้ามาในถ้ำ แม้จะมีเสียงลมหวีดหวิวจากภายนอก แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงนี้ชัดเจนกันทุกคน
                “ออกมาจากเหมืองเดี๋ยวนี้ มนุษย์ ก่อนที่ข้าจะถล่มมันลงมาฝังพวกเจ้า”
                พวกคนแคระต่างคว้าอาวุธ ทั้งขวาน กระบอง หน้าไม้ ดาบ ปืนยาว อะไรก็ตามที่มี แล้วจึงตัดสินใจก้าวออกจากเหมืองไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม เล็งปืนและอาวุธระยะไกลไปทุกทิศทุกทาง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นทำเอาขนลุกขนชันกันทั่วทุกคน แม้จะเห็นรางๆ ก็ตาม กองกำลังดาร์คเนสดีวิลในชุดเกราะสีดำ ประจำที่ล้อมกรอบพวกเขาและเหมืองเป็นครึ่งวงกลม พวกดีวอเชอร์ยืนถือโล่เรียงต่อกันเป็นกำแพงอยู่แถวหน้า มีเซซิลรวมอยู่ด้วย พวกดีเซ็นทรีพาดหอกสามง่ามข้ามขอบโล่มาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งก็มีกัปตันมาซูลรวมอยู่ด้วย ส่วนโซลิแทร์นั้นยืนอยู่ในวงล้อม เผชิญหน้ากับพวกคนแคระทั้งกองกำลัง ความสูงของพวกดาร์คเนสดีวิลยิ่งทำให้พวกคนแคระดูเตี้ยลงไปอีก
                “เก็บปืนของพวกเจ้าเสีย” โซลิแทร์พูดด้วยเสียงเรียบๆ แต่ได้ยินกันชัดเจนด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน “สภาพอากาศเช่นนี้ มันยิงไม่ออกสักกระบอกหรอก ดินปืนเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว”
                พวกคนแคระที่ถือปืนต่างมองปืนในมือของตนแล้วค่อยๆ ลดมันลง บางคนแอบยิงทดสอบ และพบว่ามันมีแค่เสียงลั่นไกเบาๆ เท่านั้น ไม่สามารถยิงกระสุนออกมาได้ตามที่โซลิแทร์บอกจริงๆ  นั่นยิ่งทำให้พวกคนแคระขวัญหนีดีฝ่อ คนแคระเคราแดงทำสัญลักษณ์ชูฝ่ามือขึ้น เป็นสัญลักษณ์ขอเจรจา หรือเรียกกันอีกอย่างว่าสัญลักษณ์กระดาษ โซลิแทร์แสดงสัญลักษณ์กลับเป็นการตอบรับการเจรจา แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว มันคงไม่ได้ช่วยอะไรพวกคนแคระมากนัก
                “เราไม่ได้มาร้าย” คนแคระเคราแดงพยายามตะโกนผ่านเสียงลม
                “พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของเรา พร้อมด้วยกองกำลังและอาวุธครบมือ ขุดเหมืองในพื้นที่ของเรา ทำให้สิ่งที่อยู่ในพื้นที่ของเราเสียหาย นั่นคือสิ่งที่เราดาร์คเนสดีวิลเรียกว่า มาร้าย” โซลิแทร์ตอบกลับเสียงเย็น “ที่นี่เป็นถิ่นของเรา เราคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่และสภาพอากาศมากกว่ามนุษย์อย่างเจ้านัก คิดว่าฉลาดแล้วหรือ ที่ลอบเข้ามาในช่วงเกิดพายุหิมะ คิดว่าเราจะหาพวกเจ้าไม่เจออย่างนั้นหรือ คิดว่าตัวเตี้ยแล้วเราจะมองไม่เห็นหรืออย่างไร”
                “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่พอใจที่เราบุกรุกเข้ามาขุดเหมือง--”
                “ถ้าเจ้ารู้อย่างที่พูด ก็คงไม่บุกเข้ามาตั้งแต่แรก”
                “เราไม่ได้มาสอดแนม ไม่ได้มาทำธุระเกี่ยวกับสงครามระหว่างพวกท่านกับกองทัพมนุษย์”
                “ข้าไม่ได้ตาบอด มนุษย์คนแคระ” โซลิแทร์เอาดาบชี้หน้าอีกฝ่าย คนแคระเคราแดงถอยกรูดไปชนเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง “ข้าเห็นชัดเจนว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้ามาสอดแนมหรือทำธุระที่เกี่ยวกับสงคราม แต่ข้าก็เห็นชัดเจนว่าพวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของเรา พร้อมด้วยอาวุธครบมือ และขุดเหมืองเอาทองไป นั่นก็มีเหตุผลเพียงพอ ที่จะทำให้เราเอาชีวิตพวกเจ้าได้เหมือนกัน”
                “เรามีความจำเป็นต้องทำอย่างนี้” คนแคระเคราแดงรีบพูด “พระราชาทรงลงอาญาพวกเราที่เราไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลด หากเราไม่นำทองสิบลำเกวียนไปมอบให้พระองค์ พระองค์จะไม่อนุญาตให้เรากลับไปอยู่ที่โมราโซมอส”
                “จะบอกให้เรารู้ว่า พวกเจ้าได้รับบทลงโทษอันโหดเหี้ยม เพราะไม่ได้เข้าร่วมกับทัพหลวงมาโจมตีพวกเราอย่างนั้นหรือ” กัปตันมาซูลว่า “นั่นทำให้เราติดหนี้พวกเจ้าหรืออย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้รู้บ้างมนุษย์ขาสั้น ถึงพวกเจ้าเข้าร่วมกับทัพหลวงมนุษย์ในครั้งที่ผ่านมานี้ มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ เราก็ยังขับไล่กองทัพของเจ้ากลับไปได้ไม่ต่างกัน ฉะนั้นไม่ว่าจะยังไง พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์บุกรุกเข้ามาขุดโน่นขุดนี่ในดินแดนของเรา”
                “คิดว่าเราอยากเข้ามาขุดอะไรที่นี่หรือไง เจ้าขายาว” คนแคระเคราดำคนหนึ่งโวยวาย เกล็ดน้ำแข็งร่วงกราวออกจากเครา กัปตันมาซูลชะงักเล็กน้อย ไม่เคยมีใครเรียกเขาว่าเจ้าขายาวมาก่อน เพราะตามมาตรฐานความสูงทั่วไปของดาร์คเนสดีวิล เขาจัดว่าเตี้ย “มันทั้งหนาวเย็น อันตราย เสี่ยงต่อคมอาวุธปีศาจ และยังต้องมาขุดตอนเกิดพายุหิมะอีก แต่เราไม่มีทางเลือก ไม่มีทอง เราก็กลับบ้านไม่ได้ ปีศาจจอมหวงพื้นที่อย่างพวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี ว่าพื้นที่ที่เป็นของเรานั้นมันสำคัญแค่ไหน หากมีหนทางใดที่จะได้พื้นที่นั้นกลับคืนมา เราก็จะทำ”
                “เจ้าพูดถึงเรื่องความสำคัญของพื้นที่ แต่กลับบุกรุกเข้ามาสร้างความเสียหายแก่พื้นที่คนอื่น” เซซิลพูดผ่านผ้าเหล็กปิดปาก “จะมนุษย์แท้ๆ หรือมนุษย์คนแคระ ก็ไม่วายคิดแต่เรื่องของตนเอง คิดว่าปัญหาของตนสำคัญกว่าปัญหาของใครอื่น และไม่เคยลังเลที่จะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นหากมันช่วยแก้ปัญหาของตนได้ เราไม่สนใจว่ากรัมปี้จะสร้างปัญหาอะไรให้เจ้า แต่เราจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเข้ามาสร้างปัญหาอะไรแก่เราแน่”
                “เราจะทำอย่างไรกับมนุษย์พวกนี้ดี ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลถามโซลิแทร์
                “เรา--”
                คนแคระเคราแดงอ้าปากตะโกนได้แค่นั้น เพราะปลายดาบของโซลิแทร์ขยับไปจอคอหอย หนวดเคราถูกตัดไปปอยใหญ่ด้วยความคมของดาบ
                “ข้าเกลียดเสียงตะโกน โดยเฉพาะเมื่อมาจากพวกมนุษย์” เขาพูดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก “มันทำให้ข้ามีสมาธิคิดลำบาก ฉะนั้น ข้าแนะนำให้เจ้าเงียบ จนกว่าข้าจะคิดออกว่าจะทำยังไงกับพวกเจ้า ไม่อย่างนั้น ข้าจะควักกล่องเสียงของเจ้าออกมาก่อนแล้วค่อยคิด”
                พวกคนแคระเงียบกริบกันหมด ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าอ้าปาก เสียงลมพายุยังคงหวีดหวิวอยู่รอบตัว ผ้าคลุมของโซลิแทร์โบกสะบัดไปตามทางลม ระหว่างที่เขายืนจ้องมองพวกคนแคระอย่างสงบนิ่ง ในหัวก็ใช้ความคิด ในเมื่อมีเวลาคิด เขาก็ควรตัดสินใจให้ฉลาดๆ
                “หากเป็นช่วงเวลาปกติ เราจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด” เขาบอกพวกคนแคระ “แต่พวกเจ้าโชคดี ศึกครั้งล่าสุดกับกองทัพหลวงของพวกเจ้านั้น ทำให้เราอ่อนล้า นักรบของข้าสมควรได้รับการพักผ่อน การทำงานท่ามกลางพายุหิมะเช่นนี้เป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย ลำพังแค่การเก็บกวาดสิ่งที่พวกเจ้าทำเละเทะไว้ก็เสียแรงและเสียเวลาพอแล้ว หากต้องออกแรงสังหารพวกเจ้า และจัดการกับศพพวกเจ้าท่ามกลางอากาศที่แปรปรวนนี้ จะยิ่งทำให้เหนื่อยเกินจำเป็น ฉะนั้นมนุษย์” เขาเอาดาบชี้หน้าคนแคระอีกครั้ง “รีบย้ายร่างสั้นๆ ของพวกเจ้าออกไปจากพื้นที่ของเราโดยเร็ว และห้ามบอกคนในเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าเด็ดขาด ว่าเราปล่อยพวกเจ้าไป ถ้าพวกมนุษย์รู้เรื่องนี้ ความเกรงขามที่เราอุตส่าห์สร้างแก่พวกมันจะสูญเปล่า”
                “ท่านมีเมตตามาก ขอบคุณ--”
                “ข้าอาจมีเมตตาต่อหลายสิ่ง แต่อย่าได้บังอาจพูดว่า ข้ามีเมตตากับเผ่าพันธุ์ไร้เมตตาอย่างมนุษย์” โซลิแทร์ขยับดาบไปจ่อคอคนแคระเคราแดงอีกครั้ง เคราถูกตัดร่วงไปอีกปอย “ที่เราปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่เป็นเพราะความเหนื่อยล้า ที่เผ่าพันธุ์ของเจ้าสร้างแก่เรา ข้าไม่ลังเลสักนิดที่จะฆ่าพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว แต่ข้าต้องคำนึงถึงความลำบากที่จะเกิดแก่สหายนักรบคนอื่นๆ ด้วย มันคือความเป็นสังคมนิยม ที่เผ่าพันธุ์เผด็จการอย่างพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจ”
                “เราจะรีบเก็บข้าวเก็บของไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้” คนแคระเคราแดงรีบพูดรัวเร็ว “พวกเรา เร็วเข้า เก็บข้าวเก็บของออกไปจากที่นี่กัน ด่วนๆ เลย”
                พวกคนแคระรีบปราดเข้าไปในเหมือง กุลีกุจอเก็บข้าวเก็บของและอุปกรณ์ขุดกันใหญ่ ทองที่ขุดมาได้ก็ถูกขนออกมานอกเหมือง มันยังไม่มีจำนวนมากพอที่จะนำไปมอบให้พระราชาได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ขอให้ออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเสียก่อน ค่อยไปหาทองที่เหลือเอาดาบหน้า
                “เอาทองไปไม่ได้” โซลิแทร์บอก
                พวกคนแคระมองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
                “แต่ทำไมถึงเอาไปไม่ได้” คนแคระคนหนึ่งละล่ำละลัก “พวกท่านไม่เคยต้องการทองอยู่แล้วนี่ เผ่าพันธุ์ของพวกท่านไม่ได้ใช้ระบบเงินตราเป็นสื่อกลางไม่ใช่หรือ”
                “ทองไม่ได้มีค่าต่อเรา แต่เราก็ไม่อาจให้พวกเจ้านำออกไปได้” โซลิแทร์พูดอย่างหนักแน่น “พวกมนุษย์จะคิดกับเรายังไง หากรู้ว่าเราปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาขุดทองในพื้นที่ของเรา และเอาไปเฉยๆ แบบนี้ ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามไม่ให้พวกมนุษย์รู้ว่าเราปล่อยพวกเจ้ากลับไป”
                “เราไม่บอกใครหรอกว่าขุดมาจากที่นี่” คนแคระพยายามพูด “เราจะบอกว่าเราไปขุดมาจากที่อื่น”
                “คิดว่าพวกมนุษย์โง่เหมือนพวกเจ้าหรือไง” โซลิแทร์ชี้ดาบใส่พวกคนแคระ ซึ่งถอยกรูดไปกองรวมกันหน้าเหมืองอีกครั้ง “มนุษย์ที่ไหนจะเชื่อคำโกหกโง่ๆ แบบนั้น ในพื้นที่อื่นแถบนี้ไม่ได้มีทองให้ขุดหามากมาย พวกเจ้าจะโกหกยังไงพวกมันก็รู้ว่าพวกเจ้าได้ทองมาจากพื้นที่ของเรา”
                “ได้โปรด กว่าจะขุดได้มาขนาดนี้ มันยากลำบากและเสี่ยงตายมาก ให้เราไปเริ่มต้นใหม่ เราก็หาไม่ได้มากขนาดนี้อีกแล้ว”
                “ข้ายังพูดไม่ชัดหรือไง ถ้าพวกเจ้าเอาทองไป พวกมนุษย์ก็จะกลัวเราน้อยลง เพราะเห็นว่าใจอ่อน ดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากจะคลางแคลงในการกระทำเรื่องนี้” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นมากขึ้น บ่งบอกถึงอันตราย “ฉะนั้น ออกไปให้พ้นจากอาณาจักรของเราเดี๋ยวนี้ มนุษย์คนแคระ แล้วทิ้งทองไว้ที่นี่ มิฉะนั้น พวกเจ้าจะได้รับบทลงโทษอันโหดเหี้ยมจากพวกเราบ้าง”
                วงล้อมหอกโล่ของพวกดาร์คเนสดีวิลขยับตีวงกระชับเข้ามามากขึ้น พวกคนแคระรีบรวมกลุ่มกันและเตรียมอาวุธตามสัญชาตญาณ คนแคระเคราแดงเล็งหน้าไม้ใส่โซลิแทร์ด้วยมืออันสั่นเทา แต่ละคนเริ่มเสียขวัญกันเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่างจากกองทอง นั่นไม่ใช่การกระทำที่เข้าท่านัก การสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิลในพื้นที่หิมะ ท่ามกลางพายุหิมะ ถือว่าเสียเปรียบอย่างยิ่งยวด นี่ยังไม่รวมเรื่องจำนวนที่น้อยกว่า และช่วงแขนช่วงขาที่สั้นกว่ามากมาย
                “สหายปีศาจ ลดอาวุธลงก่อน เราตกลงกันได้” คนแคระเคราแดงพยายามประนีประนอม
                “เราคุยกันมากพอแล้วมนุษย์ ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเจ้าจะออกไปจากพื้นที่ของเราโดยทิ้งทองไว้ หรือจะทำเหมือนมนุษย์ทั่วไป เห็นหินไร้ค่าพวกนี้สำคัญกว่าชีวิต ที่เราไม่ฆ่าพวกเจ้าตั้งแต่แรกเพราะเราคิดว่าพวกเจ้ามีความแตกต่างจากมนุษย์แท้ๆ อยู่บ้าง บางทีเราอาจคิดผิด” โซลิแทร์กระชับดาบในมือ “ข้าจะนับถึงสิบ หากพวกเจ้าไม่ตัดสินใจยอมทิ้งทองไว้ แล้วเริ่มออกไปจากพื้นที่ของเรา เราจะตัดสินใจแทนเอง”
                “เดี๋ยวก่อนสิ ให้ข้าได้พูด--”
                “หนึ่ง”
                “พวกท่านควรรู้ไว้ คนแคระไม่ได้สืบพันธุ์ได้เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีจำนวนจำกัด เหมือนพวกเซ็ทซาร์ด--”
                “สอง”
                “--ทุกวันนี้เราได้แต่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ คาดว่าเราน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ในดาวดวงนี้--”
                “สาม”
                “ฆ่าเรา ก็เท่ากับล้างเผ่าคนแคระ ทำให้พวกเราสูญพันธุ์ไป ท่านทำได้ลงคอหรือ--”
                “สี่”
                “หยุดนับก่อน ได้โปรด เราคุยกันได้” คนแคระเคราแดงตัวสั่นแทบควบคุมไม่อยู่ มือที่ถือหน้าไม้เล็งใส่โซลิแทร์นั้นสั่นกราวๆ
                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัว แต่นิ้วที่สั่นเทาของคนแคระเคราแดงนั้นพลาดไปเหนี่ยวไกหน้าไม้เข้า ลูกศรพุ่งตรงเข้าหาโซลิแทร์
          โซลิแทร์ยกสนับแขนขึ้นมาบังไว้ได้ ลูกศรกระดอนตกลงไปบนพื้นหิมะ เขาลดสนับแขนลงช้าๆ อย่างสุขุม ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนนิ่งเป็นหิน พวกคนแคระตาค้างยืนค้าง แต่ละคนมีสีหน้าตกใจสุดขีด มีเพียงลมพายุและผ้าคลุมของโซลิแทร์เท่านั้นที่ขยับเขยื้อน
                “สิบ” โซลิแทร์เอ่ยขึ้นเรียบๆ
                วงล้อมของพวกดาร์คเนสดีวิลขยับบีบเข้าหาพวกคนแคระจนถึงระยะหอก แล้วหอกสามง่ามจำนวนมากก็แทงใส่พวกคนแคระไม่ยั้ง พวกคนแคระถูกแทงล้มลงไปตายเป็นเบือ บางคนพยายามฟันดาบฟันขวานยิงธนูโต้ตอบ แต่ก็ถูกขวางโดยกำแพงโล่ของพวกดีวอเชอร์ทั้งสิ้น แขนขาสั้นๆ ของพวกคนแคระจะไปสู้อะไรกับหอกยาวๆ ของพวกดาร์คเนสดีวิลที่มีแขนขายาวๆ ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ คนแคระคนแล้วคนเล่าถูกหอกแทงตาย เลือดแดงฉานไหลเปรอะทั่วพื้นหิมะ
                “หนีเข้าไปในเหมืองเร็วเข้า” คนแคระเคราะแดงตะโกนลั่น “หลบเข้าไปในเหมือง”
                พวกคนแคระกรูกันเข้าไปในเหมือง ล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง มันอาจเป็นทางหนีสุดท้าย แต่มันก็ถือเป็นการเข้าไปติดกับด้วย
                “ถอยออกมาห่างๆ เหมือง” โซลิแทร์บอกพวกนักรบดาร์คเนสดีวิล หันฝ่ามือซ้ายไปทางเหมือง เหนือปากเหมืองขึ้นไปเล็กน้อย มีประกายสายฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือที่สวมถุงมือเหล็ก
                แล้วเส้นสายฟ้าก็พุ่งออกจากมือของเขา ฟาดเข้าที่เชิงเขาเหนือส่วนเพดานเหมืองขึ้นไปเล็กน้อย เกิดแรงสั่นทะเทือน แล้วเหมืองก็เริ่มถล่มลงมา เนื่องด้วยมันไม่มีเสาค้ำ ไม่ได้ขุดให้มีลักษณะเหมาะสำหรับรับแรงสั่นสะเทือนได้มากนัก มีเสียงหินเสียงน้ำแข็งถล่มโครมคราม และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของบรรดาคนแคระดังออกมาจากเหมือง เหมืองถล่มลงมาพังยับ ฝุ่นและหิมะฟุ้งกระจายออกมาจากปากเหมือง ภายในเวลาไม่นาน ทุกอย่างก็เงียบลง มีเพียงลมพายุที่พัดเป่าไม่หยุดไม่หย่อน
                “มีงานให้ทำอีกจนได้” โซลิแทร์พูดอย่างหงุดหงิด เริ่มรื้อหินและน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ออกจากปากเหมือง มีศพพวกคนแคระมากมายถูกทับตายอยู่ใต้ซากเหมือง นักรบคนอื่นๆ เริ่มจัดการเก็บกวาดพื้นที่ ลากศพพวกคนแคระมากองรวมกัน นำทองที่พวกคนแคระขุดได้มากองแยกไว้
                “จะเป็นมนุษย์ขาสั้นหรือขายาว ก็ไม่ได้ต่างกันเลย” เซซิลลากศพคนแคระเคราแดงออกจากกองหินและน้ำแข็ง “บูชาแร่สวยๆ ที่นำไปใช้อะไรไม่ได้ มากกว่าชีวิตของตน ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมในโมราโซมอสถึงมีการฆ่ากัน เพียงเพื่อปล้นเหรียญทองไม่กี่เหรียญ”
                “พวกท่านรู้ไหมว่านี่หมายความว่ายังไง” กัปตันมาซูลแทงหอกซ้ำศพคนแคระคนหนึ่ง ให้แน่ใจว่าตายแล้ว “พวกมนุษย์กำลังแสดงความอ่อนแอออกมามากขึ้น พระราชาของพวกมันคิดว่าการลงโทษพวกคนแคระอย่างโหดเหี้ยม จะแสดงถึงความเด็ดขาดแข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้ว มันทำให้เรารู้ว่าพวกมนุษย์โหดร้ายต่อพวกเดียวกัน ถึงขั้นส่งคนในเผ่าพันธุ์มาให้เราฆ่าอย่างไร้ปรานี ไม่มีอะไรจะสร้างความอ่อนแอไปกว่า การที่คนในเผ่าพันธุ์เดียวกันทำร้ายกันเองอีกแล้ว”
                “เมื่อไม่มีพวกคนแคระ โอมิลรอนก็ยิ่งอ่อนแอมากขึ้น” โซลิแทร์โยนน้ำแข็งก้อนมหึมาทิ้งไปดังสนั่น “มันอาจเป็นการลงโทษที่แสดงถึงความเด็ดขาด แต่เชื่อว่าประชาชนมนุษย์จำนวนมากต้องเกิดความคลางแคลงต่อผู้ปกครอง กรัมปี้คิดว่าตนเดินหมากได้ถูกต้อง โทสะของเขามันทำให้หูตาแคบลง มันทำให้เขามองไม่ออกว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง”
                “พวกมนุษย์กำลังเลือดเข้าตา การพ่ายศึกต่อเราทำให้พวกมันเสียหายและเสียหน้า ที่ผ่านมาพวกมันเป็นฝ่ายชนะมาตลอด ไม่เคยชินกับความพ่ายแพ้เหมือนเรา จึงรับมือกับความกดดันได้ไม่ดีเท่าที่ควร” เซซิลง้างน้ำแข็งแผ่นใหญ่ ให้โซลิแทร์ลากศพคนแคระออกมาก “พวกท่านพูดถูก พวกมนุษย์กำลังอ่อนแอลง เมืองโอมิลรอนก็กำลังอ่อนแอลง หากศัตรูฝ่ายใดคิดจะเล่นงานพวกมนุษย์ ช่วงเวลานี้ก็นับว่าเริ่มจะเหมาะสม”
                มีแสงพลุสว่างวาบให้เห็นอยู่ไกลๆ  อาจสังเกตยากหน่อยเพราะทัศวิสัยค่อนข้างแย่ แต่ก็พอมองเห็นว่าเป็นพลุ ใครสักคนจุดพลุสัญญาณ ณ บริเวณนอกเขตโฟรเซ็นทิเนล ห่างจากตะเข็บชายแดนไปไม่มากนัก พวกดาร์คเนสดีวิลหยุดทำงาน หันไปมองพลุกันหมด
                “นั่นพลุส่งสัญญาณ” กัปตันมาซูลเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น
                “พวกโฮเซ่ตัดสินใจเข้าร่วมปฏิบัติการกับเราในครั้งนี้” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ “ขอตัวนะทุกท่าน ข้าต้องไปพบกับกอร์ริน มีข้ออ้างให้ไม่ต้องทำงานน่าเบื่อตรงนี้แล้ว”
                เขายิงพลุดอกหนึ่งขึ้นฟ้า แล้วเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะประจำกายก็บินโฉบมารับเขาไป โซลิแทร์บินฝ่าลมพายุ ตรงไปยังตำแหน่งที่พลุพุ่งขึ้นมา ภายในเวลาไม่นาน เขาก็บินออกนอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล มองเห็นโฮเซ่คนหนึ่งสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ขี่ม้าอยู่เบื้องล่าง จำลักษณะได้ว่าคือกอร์ริน กอร์รินโบกมือให้โซลิแทร์บินตามไป แล้วขี่ม้านำไปยังเนินเขาสูงลูกหนึ่ง มันยังอยู่ไม่ห่างอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมากนัก อากาศจึงยังหนาวอยู่ มีกระโจมหลังใหญ่ซ่อนอยู่ที่มุมเนิน นับว่าเลือกที่ตั้งแคมป์ได้ไม่เลวทีเดียว เป็นตำแหน่งที่ยากต่อการสังเกต
                โซลิแทร์บังคับพาหนะให้ร่อนลง พวกทหารโฮเซ่ที่เฝ้ายามอยู่นอกกระโจมจ้องมองเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำอย่างไม่ไว้ใจนัก โซลิแทร์ลงจากหลังพานะ พร้อมกับที่กอร์รินลงจากหลังม้าเดินเข้ามาหา ทั้งสองทักทายกันอย่างเป็นกันเอง
                “ท่านยังสวมอะไรฟูๆ มาที่นี่อีกแล้วหรือ” โซลิแทร์ทัก
                “ข้าว่าข้าได้กลิ่นเลือดมนุษย์จากตัวท่าน” กอร์รินทัก “พบกันทีไร ท่านกำลังฆ่ามนุษย์อยู่ทุกที”
                “พวกคนแคระจากโอมิลรอน” โซลิแทร์ตอบ “กรัมปี้ขับไล่พวกมันมาที่นี่”
                “ถ้าอย่างนั้น โอมิลรอนก็กำลังอ่อนแอลง นับว่าเป็นข่าวดี” กอร์รินเดินนำโซลิแทร์เข้าไปในกระโจม “เข้ามาดื่มอะไรก่อน เราต้องหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้”
                โซลิแทร์แหวกผ้าเข้าไปในกระโจมของกอร์ริน นับว่าเป็นกระโจมหลังค่อนข้างใหญ่ มีเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่าง มีโต๊ะแผนที่ มีเตียง มีหีบใส่ของ มีเตาผิงเล็กๆ และมีพรมขนสัตว์ปูอยู่บนพื้น โซลิแทร์นั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะแผนที่ มองไปรอบๆ
                “กระโจมชั่วคราวของท่าน มันหรูกว่าห้องนอนของข้าอีก” เขาหัวเราะ “ท่านไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือ สำหรับการเดินทางแบบค้างแรม”
                “เทียบกับโฮเซ่ชั้นสูงคนอื่นๆ ข้าถือว่าน้อยแล้วนะ อย่างน้อย ข้าก็ไม่ต้องใช้คนรับใช้ทำทุกอย่างให้แล้ว” กอร์รินถอดเสื้อขนสัตว์ไปแขวน “ถึงอย่างไรข้าก็ยังเป็นโฮเซ่ชั้นสูง ยังสลัดความเป็นผู้ดีทิ้งไปทั้งหมดไม่ได้”
                “ลำบากน่าดูเวลาเก็บย้าย” โซลิแทร์มองไปยังเครื่องเรือนแต่ละชิ้น
                “มีคนเก็บให้ข้า” กอร์รินสารภาพ “อย่างที่ข้าบอกไป ข้ายังสลัดความเป็นผู้ดีทิ้งไปทั้งหมดไม่ได้”
                “เป็นโชคร้ายของท่าน” โซลิแทร์ดูจะสงสารอีกฝ่าย ไม่มีความอิจฉาแม้แต่น้อย
                “เอาสักแก้วไหม” กอร์รินถามขณะรินเหล้าให้ตนเอง “ดื่มแล้วจะอุ่นสบายขึ้น”
                “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่แตะต้องของมึนเมาทุกชนิด ข้าไม่ชอบรสชาติและผลของมัน” โซลิแทร์ปฏิเสธ
                “เป็นมารยาท” กอร์รินถือแก้วเหล้ามานั่งตรงข้ามเพื่อน “ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการหรือไม่ เราก็ควรถามไว้ก่อน เพราะใครจะไปรู้ว่า อีกฝ่ายอาจเปลี่ยนใจต้องการขึ้นมา”
                “เข้าใจแล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า “ยอมรับว่าข้าไม่ค่อยรู้เรื่องมารยาทนักหรอก คงต้องซึมซับจากคนอื่นอีกมาก”
                “ที่เราได้มาพบกันในวันนี้ เพราะผู้นำสูงสุดของข้าตกลงเข้าร่วมกับพวกท่านในปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี” กอร์รินจิบเหล้า “เขามอบหน้าที่ให้ข้าประสานงานระหว่างเราสองเผ่าพันธุ์”
                “นั่นข่าวดี” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “ในตอนนี้ พวกมนุษย์เริ่มแสดงความอ่อนแอออกมา เป็นโอกาสเหมาะที่เราจะเริ่มปฏิบัติการ”  
                “ตามที่เราเคยคุยกันไว้ หากจะเล่นงานพวกมนุษย์ ซาโมโรว์คือเป้าหมายหลัก” กอร์รินชี้ในแผนที่ “ถ้าเราควบคุมมันได้ หรือสร้างความเสียหายให้อย่างหนัก ระบบการส่งกองทัพ ตลอดจนระบบป้องกันเมืองที่อยู่ใกล้เคียงจะวุ่นวายไปหมด ปัญหาก็คือ ซาโมโรว์ไม่ได้โจมตีได้โดยง่าย โดยเฉพาะในตอนนี้ กองทัพเรือมนุษย์กำลังรวมพลอยู่ที่นั่น เตรียมพร้อมที่จะยกมาโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อค หากเราจะปฏิบัติการ ก็ควรรีบทำเสียก่อนที่กองทัพเรือมนุษย์จะเริ่มเคลื่อนพลออกจากชายฝั่งซาโมโรว์”
                “พวกมนุษย์ถนัดเรื่องกลยุทธ์เคลื่อนย้ายกองกำลัง เป็นกลยุทธ์โปรดของเผ่าพันธุ์ที่ชอบรุกรานผู้อื่น เมืองซาโมโรว์ไม่มีกำแพง ไม่มีการล้อมกรอบมิดชิด มีแต่ค่ายย่อยกระจายอยู่ทั่วเมือง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายกองทัพ” โซลิแทร์ไล่นิ้วไปตามจุดต่างๆ ในแผนที่ “ซึ่งพวกมันก็ทำได้ดี หากเมืองอื่นที่อยู่ใกล้เคียงซาโมโรว์ถูกโจมตี ซาโมโรว์ก็สามารถส่งกองกำลังไปช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมานี้ เมืองซาโมโรว์กับเมืองโอมิลรอนคอยเกื้อกูลกันตลอด  ทั้งสองเมืองต่างส่งกองกำลังและปัจจัยต่างๆ ไปสนับสนุนกันยามที่อีกเมืองต้องการ นั่นทำให้เมืองทั้งสองนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งต่อการโจมตีทางบก โดยเฉพาะเมืองซาโมโรว์ หากจะโจมตีให้เกิดผล ก็ต้องใช้กองเรือ”
                “เทอร์รินพี่ชายข้ามอบกองเรือให้ข้าส่วนหนึ่ง ในขณะที่อีกส่วนหนึ่ง เขาจะยกไปล่อทัพเรือมนุษย์ให้ออกห่างจากชายฝั่งซาโมโรว์” กอร์รินวางแบบจำลองเรือในแผนที่ “พวกมนุษย์คงจะส่งกองเรือส่วนหนึ่งไล่ตามเขาไป อีกส่วนหนึ่งคงประจำรักษาการอยู่ที่ชายฝั่งซาโมโรว์ ซึ่งกองเรือส่วนนี้ เชื่อว่ามีมากกว่ากองเรือของข้า ข้าจึงต้องหารือกับท่านว่าเราจะจัดการยังไง”
                “ในเมื่อพี่ชายของท่านดึงกองเรือของพวกมนุษย์ส่วนแรกออกไปทางหนึ่ง” โซลิแทร์มองแผนที่อย่างครุ่นคิด “ก็คงจะเป็นการดี หากเราดึงกองเรือส่วนที่สองไปอีกทางหนึ่ง”
                “เผ่าพันธุ์ของท่านมีประวัติความแค้นกับเมืองโอมิลรอนอันศักดิ์สิทธิ์” กอร์รินชูแก้วเหล้า “ท่านคิดว่ายังไง หากท่านกับพวกพ้องของท่านได้ไปเยี่ยมเยียนที่นั่น”
                “นับเป็นเรื่องเข้าท่า” โซลิแทร์พยักหน้า “ข้าพอจะคุ้นเคยกับเมืองนั้น และพอรู้เส้นทางต่างๆ ตลอดจนลักษณะของเมือง และการป้องกันเมือง ข้าต้องนำบรรณาการไปส่งที่เมืองนั้นนับไม่ถ้วน ถูกพวกมนุษย์มือบอนขว้างปาด้วยผักผลไม้หรือไม่ก็ขี้ม้า แน่นอนว่ามีอะไรหลายๆ อย่างของเมืองนั้น ที่ข้าจำได้ไม่ลืมแน่”  
                “หากเมืองโอมิลรอนถูกคุกคาม ซาโมโรว์ต้องส่งกำลังไปช่วยแน่” กอร์รินจิบเหล้าอย่างมีเชิง
                “ซึ่งกองทัพบกของพวกมนุษย์ก็กำลังเสียหายหนัก หลังจากพ่ายศึกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดครั้งล่าสุด เมื่อซาโมโรว์ส่งทัพไปช่วย ก็ต้องเจียดกำลังจากกองเรือที่เหลือ อาจต้องใช้เกือบทั้งหมดหากโอมิลรอนถูกกองกำลังขนาดใหญ่คุกคาม” โซลิแทร์ย้ายตำแหน่งเรือจำลอง “ในเมื่อกองทัพเรือมนุษย์ถูกแยกเป็นสองส่วน และถูกล่อไปคนละทาง กองกำลังที่เหลือเฝ้าชายฝั่งซาโมโรว์ ก็จะเหลืออยู่แค่หยิบมือเดียว”
                “ทำให้ข้าและกองกำลังของข้ามีช่องทางโจมตี สามารถยกพลขึ้นบกได้” กอร์รินจัดวางตำแหน่งเรือ “เราจะยึดฐานทัพเรือซาโมโรว์ได้ก่อนที่กองกำลังมนุษย์ที่ถูกล่อไปจะกลับมากอบกู้ทัน แล้วเราจะใช้ป้อมและอาคารป้องกันต่างๆ ของพวกมันตั้งรับพวกมัน อย่างน้อย เมื่อพวกมันโจมตีใส่เรา พวกมันก็จะทำให้ฐานทัพของตนเสียหายด้วย”
                “หัวใจสำคัญของซาโมโรว์ คือฐานบัญชาการใหญ่ของบิลิส ริฟเฟอร์” โซลิแทร์เคาะนิ้วในแผนที่ “ควบคุมมันได้ เราก็ควบคุมทั้งเมืองได้ ซึ่งหากท่านสามารถนำกองกำลังเข้าไปถึงในตัวเมืองได้ตามแผนขั้นต้น การจะบุกยึดมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ค่ายบัญชาการไม่ได้เป็นป้อมปราการแน่นหนา ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องกลโจมตีเมืองก็สามารถบุกยึดได้ เมืองซาโมโรว์มีพื้นที่ค่อนข้างโปร่งโล่ง แข็งแกร่งด้วยกองกำลัง ไม่ได้แข็งแกร่งด้วยป้อมปราการหรืออาคารป้องกัน”
                “แต่จะทำอย่างนั้นได้ เราก็ต้องใช้กองกำลังมากกว่าที่ข้ามี เพราะเมื่อถึงเวลานั้น กองเรือมนุษย์ที่เราล่อไป ก็คงจะวกกลับมากอบกู้เมืองพอดี” กอร์รินเลื่อนเรือจำลองในแผนที่
                “เปิดเส้นทางทิศตะวันตกของเมืองซาโมโรว์ให้ว่าง” โซลิแทร์จัดวางทหารม้าจำลอง “เมื่อกองกำลังของข้าเสร็จธุระที่เมืองโอมิลรอนแล้ว เราจะเคลื่อนพลผ่านเส้นทางนั้นไปสมทบกับท่าน หากเราไปทันเวลา เราก็สามารถอาศัยความได้เปรียบของพื้นที่และความสามารถในการต่อสู้แบบตั้งรับของดาร์คเนสดีวิล ต้านทัพมนุษย์จากนอกเมืองได้ และเราก็จะยึดฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ในเวลาเดียวกัน”
                “ใช้เมืองหน้าด่านของพวกมันตั้งรับพวกมันเอง ฉลาดมาก” กอร์รินกระดกเหล้าหมดแก้ว “เสมือนให้ศัตรูยิงปืนใส่บ้านตัวเอง สิ่งที่ข้ายืนยันได้คือ พวกมนุษย์จะเสียหายหนักแน่”
                “นำแผนการของเราไปเสนอต่อผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค พี่ชายของท่าน บอกเขาว่าดาร์คเนสดีวิลพร้อมที่จะปฏิบัติการแล้ว” โซลิแทร์กล่าว “เมื่อกองเรือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ กองทหารม้าปีศาจของข้าก็จะเริ่มดำเนินแผนต่อทันที”
                “อีกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านควรทราบ” กอร์รินเสริม “เมืองโอมิลรอนถูกก่อตั้งโดยเจ้าชายไททอสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นเป็นศูนย์รวมความเชื่อของพวกมนุษย์ และมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ถูกเก็บรักษาอยู่มากมาย”
                “เรื่องนี้ดาร์คเนสดีวิลทุกคนรู้ดี ไอ้สมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เจ้าชายไททอสก็เอาวัตถุดิบจากโฟรเซ็นทิเนลไปทำนั่นแหละ” โซลิแทร์บอก “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าชายไททอสมี เขาชิงไปจากเราทั้งสิ้น”
                “ที่ข้าจะบอกก็คือ สมบัติบางชิ้น มันหาค่ามิได้” กอร์รินเสริม “แน่นอนว่ามันไร้ค่าสำหรับเผ่าพันธุ์ท่าน แต่มันก็หาค่ามิได้สำหรับพวกมนุษย์ รวมถึงองค์กรล่าสมบัติชื่อดัง”
                “ท่านคงหมายถึงองค์กรซินซิสเทอร์” โซลิแทร์เอียงคอยิ้มอยู่หลังหน้ากาก
                “ท่านรู้จักองค์กรนี้ด้วยหรือ” กอร์รินเลิกคิ้ว
                “ก็พอรู้บ้าง ในดาวดวงนี้มีองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นตรงต่อเผ่าพันธุ์ใดเกิดขึ้นมากมาย โจรสลัด สมาคมนักสู้ในสังเวียน ทหารรับจ้าง ชาวเงือกทะเล ฝูงเซ็นทอร์นักเดินทาง ตลอดจนองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย” โซลิแทร์นับนิ้ว “แต่ที่ดังๆ หน่อยก็พวกซินซิสเทอร์นี่ล่ะ เหล่าหญิงสาวนักล่าสมบัติ สมาชิกทุกคนจะเป็นสาวงาม ที่ร้อนแรงเป็นไฟและมีอันตรายล้นเหลือ เป้าหมายขององค์กรนี้คือจะรวบรวมสมบัติที่สูงค่าหายากอันดับต้นๆ ในดาวดวงนี้มาไว้ในครอบครอง ตามความเห็นข้า มันเป็นเป้าหมายที่งี่เง่าไปหน่อย ผู้หญิงก็เข้าใจยากอย่างนี้ล่ะ”
                “เมื่อพวกท่านเริ่มคุกคามเมืองโอมิลรอน ก็จะเป็นการเปิดช่องทางให้พวกซินซิสเทอร์เข้าไปค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ได้” กอร์รินพูด “อาจได้พบเจอกันโดยบังเอิญ ซึ่งหากให้ข้าแนะนำ ข้าอยากให้พวกท่านหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันให้มากที่สุด องค์กรนี้ค่อนข้างอันตราย ไม่ฉลาดเลยที่จะเป็นศัตรูด้วย”
                “เราจะระมัดระวังให้เป็นพิเศษ” โซลิแทร์พยักหน้า “ถึงอย่างไรผู้หญิงก็ถือเป็นสิ่งสูงค่าหายากสำหรับเผ่าพันธุ์เรา เราย่อมไม่ต้องการบาดหมางกับผู้หญิงแน่”
                “พวกท่านเองก็ระวังตัวไว้ด้วย ผู้หญิงที่เราพูดถึงเหล่านี้อันตราย และไว้วางใจยากกว่าผู้หญิงทั่วไป เหมือนดอกไม้ที่มีก้านเป็นหนามพิษ” กอร์รินพูดอย่างยำเกรง “พวกเธอพร้อมจะทำอันตรายพวกท่านได้ทุกเมื่อ หากพวกท่านบังเอิญไปขวางทางเข้า แต่แน่ล่ะ ผู้หญิงพวกนี้ไม่โง่ พวกเธอก็พอรู้ว่าดาร์คเนสดีวิลรุ่นนี้อันตรายมากเหมือนกัน พวกท่านเล่นงานพวกมนุษย์ได้หนักหน่วงถึงเพียงนี้ ย่อมไม่มีองค์กรใดอยากขัดแย้งด้วยแน่ ให้พวกเธอได้สิ่งที่ต้องการ แล้วความวุ่นวายระหว่างทั้งสองฝ่ายจะไม่เกิด”
                “ขอบคุณที่แนะนำ ข้าเองก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลย” โซลิแทร์พูด “ไม่ว่าผู้หญิงทั่วไปหรือพวกที่สวมชุดหนังย่องเบาล่าสมบัติและปาดคอคนที่ขวางทางก็ตาม”
                “หากไม่มีอะไรผิดพลาด เราสองคนจะได้สร้างประวัติศาสตร์ เพื่อนยาก” กอร์รินรินเหล้าเติมให้ตัวเองแล้วชูแก้วขึ้น “อย่างน้อยพวกมนุษย์ก็จะได้รับบทลงโทษอันโหดเหี้ยมแน่”
                “ไม่มีบทลงโทษใดสาสมกับความโหดเหี้ยมของพวกมัน” โซลิแทร์สั่นศีรษะ “แต่ข้าจะทำให้พวกมันเสียใจ ที่เคยโหดเหี้ยมต่อเรา”
               
               
               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา