SoulWalker
เขียนโดย คนนะจ๊ะ
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.01 น.
แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 20.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) การเปลี่ยนแปลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ปิ๊ป ปิ๊ป ปิ๊ป
ตึง!
ในยามเช้าที่แสนสดใสสำหรับหลายๆคนแต่ไม่ใช่สำหรับผม หลังจากถูกปลุกให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุขและได้ทำการฆาตกรรมนาฬิกาปลุกไปเป็นที่เรียบร้อย นี่เป็นสัปดาห์ที่สองที่ผมได้ย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมือง อาศัยในหอพักราคาถูกตัวคนเดียว ตอนสอบติดโรงเรียนประจำจังหวัดพ่อแม่ผมนี่แทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลอง ความจริงคือน่าจะเป็นผมที่ต้องอ้อนวอนเกาะแขนเกาะขาพ่อแม่เพื่อให้ได้มาเรียนห่างไกลบ้านแต่เรื่องมันกลายเป็นว่าผมโดนถีบหัวส่งออกจากบ้าน ก็เข้าใจหรอกว่าโอกาสดีๆควรคว้าไว้
'จะกลับมาเยี่ยมบ้านนานๆทีก็ได้นะลูก แต่ไม่กลับมาจะดีกว่า'
มันใช่คำพูดที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ใช้ส่งลูกขึ้นรถไฟเรอะ!
จากนั้นก็ตามภาษาเด็กบ้านนอกเข้าเมือง ต้องคลำหาทางเองจัดการอะไรเองทั้งหมดแล้วก็เป็นโชคดีที่ไม่ได้ไปเจอพวกต้มตุ๋นอะไรเข้าและชีวิตในโรงเรียนใหม่ของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์อะไรหลายๆอย่างก็เริ่มจะลงตัว ตามภาษาเด็กม.ปลายทั่วไป มีเพื่อนสนิท มีคนไม่ชอบขี้หน้า มีสาวที่แอบชอบ ตัวเลขบนนาฬิกาข้างเตียงบอกเวลาเจ็ดโมง นั่นหมายความว่ายังเหลือเวลาให้ผมทำนู่นทำนี่อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าแถว
หลังจากใช้เวลาเดินไปโรงเรียนประมาณ 15 นาที ตอนนี้เริ่มเห็นนักเรียนอยู่ตามจุดต่างๆของโรงเรียน เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูโรงเรียนมา ผมก็เจอหนังสดฆาตกรรมคนโสดอย่างโหดร้ายทารุณ
"น้องพี่ขอจองห้องหน่อย ยังว่างอยู่ไหม" ผมปรับระดับสายตาไปตามต้นทางเสียงของหนุ่มหน้านิ่งทรงเสน่ห์กำลังคุยกับเด็ก ม.ต้นผมยาวน่าตาจิ้มลิ้มน่ารัก
"อะ เอ๋ คือว่าบ้านหนูไม่ได้ทำห้องเช่าให้เช่านะคะ" น้องผู้หญิงตัวเล็กส่ายมือเป็นพัลวันราวกับรุ่นพี่ตรงหน้ากำลังเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
"พี่หมายถึง 'ห้องหัวใจ' ของน้องครับ"
ปึก!
เหมือนหัวของผมจะกระแทกเสาซีเมนต์ด้านข้างอย่างแรงเหมือนกับว่ามีพลังงานบางอย่างระหว่างหัวของผมกับเสาซีเมนต์
"ค คะ" น้องคนนั้นเอ๋อไปชั่วขณะก่อนกระพริบตาสองสามทียิ้มค้างเหมือนกล้ามเนื้อบนหน้าหยุดทำงาน
"น้องช่วยขยับไปทางด้านซ้ายอีกหน่อยได้ไหมครับ" รุ่นพี่หน้าตายใช้นิ้วดันกรอบแว่นพลางบอกรุ่นน้องที่กำลังขยับตามอย่างเหรอหรา
"แบบนี้เหรอคะ" เมื่อเข้าที่ดีรุ่นพี่จึงพยักหน้า
"เท่านี้ใจของเราสองคนก็ตรงกันแล้ว"
โอ้ก!!!
รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอก ถ้าเป็นในหนังจีนคงจะกระอักเลือดออกมาเต็มพื้น ผู้คนโดยรอบที่เดินผ่านไปมาก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ ส่วนน้องคนนั้นที่ได้รับอิมแพคแบบเต็มเหนี่ยวไม่หารใครก็นิ่งไปทั้งอย่างนั้น
"พี่ล้อเล่นน่ะ น้องไม่ต้องคิดมาก" ไอ้พี่แว่นผมปรกหน้านี่ถ้ามองดูดีๆจะเห็นว่าหน้าตาดีไม่ใช่น้อย ก็นะถ้าหน้าตาไม่ดีแล้วยิงมุขขนาดนี้ก็คงไม่มีแผ่นดินให้ยืนแล้วล่ะ
"นะ นั่นสิคะ" รุ่นพี่เดินถอยห่างอย่างช้าๆโดยมีดอกตีนเป็ดตกจากต้นเป็นแบล็คกราว
"แค่คิดถึงพี่ก็พอ" หมอ! หมออยู่ไหนแถวนี้มีคนกระอักเลือดตายเต็มไปหมด!
กว่าจะรอดพ้นวิกฤตการณ์อวสานคนโสดมาได้ ข้าวเช้าที่กินมาแทบจะทะลักผ่านลำคอออกมาทางปากเสียให้ได้ เรื่องนั้นช่างมันก่อนตอนนี้ดูเหมือนข้างหน้าผมจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น กลุ่มที่วิ่งอยู่ไกลๆลักษณะคล้ายกลุ่มออกกำลังกายยามเช้าถ้าไม่ติดที่ว่าสีหน้าแต่ละคนปานทหารหนีตายในสงคราม
"เอ่อ พี่ครับเกิดอะไรขึ้น" ผมหันไปถามรุ่นพี่สาวที่วิ่งนำขบวนมา เธอหยุดกึกเอากำไลกระพรวนรอบแขนของผมแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ใกล้เกินไปแล้วเจ๊!
"พี่มีเรื่องอยากให้น้องช่วย"
"อะไรเหรอครับ"
"ชูมือขึ้นแล้วโบกไปเรื่อยๆนะ" ผมมุ่นคิ้วยังไม่ทันถามอะไรรุ่นพี่คนนั้นก็หายไปกับสายลม ผมลองทำตามด้วยการชูมือข้างที่ผูกกำไลไว้เหนือหัวและในวินาทีต่อมาผมก็เข้าใจว่าพวกเขาวิ่งหนีอะไร
ระวัง! แถวนี้หมาดุ!
กรุณาอย่ากวนตีนหมา ให้เกียรติกันด้วย
วิ่ง 100 เมตร ใช้เวลามากกว่า 10 วินาที ห้ามเดินผ่าน
ป้ายพวกนี้ถูกปักติดรอบสถานกักกันสุนัขของโรงเรียนโดยจะมีพวกชมรมวิจัยสัตว์โลกน่ารักคอยเลี้ยงดูพวกมัน แต่จะมีอยู่วันหนึ่งของเดือนที่พวกเขาจะกระตุ้นให้หมาน้อยพวกนี้เกิดอาการเฮี้ยนเพื่อทดสอบอะไรบางอย่างและวันนั้นที่ว่าก็ดันเป็นวันนี้ เพื่อควบคุมความเฮี้ยนอันไม่พึงประสงค์จึงต้องมีอุปกรณ์ในการเรียกน้องหมาให้มารวมเป็นกระจุก
ไม่ได้ทำให้สงบนะแต่ทำให้พวกมันมีเป้าหมายเดียวคือคนที่ใส่กำไลสั่งทำพิเศษ
และผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผม
"แฮ่ก แฮ่ก" ที่รอดมาได้เพราะลุงยามใจดีอาสารับช่วงต่อล่อหมากลับไปที่กรงให้ ผมนี่แทบจะกราบลงแทบเท้าขอบคุณทั้งน้ำตา เคยคิดว่าการวิ่งมาราธอนเป็นการออกกำลังกายที่น่าสนุกจนกระทั่งได้มาซอยเท้าด้วยความเร็วติดจรวด ผมก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนใดๆเด็ดขาดและต้องเผาไอ้ชมรมวิจัยสัตว์โลกเวรนั่นให้ได้
"เห้ยอาร์ท" ก้องหนึ่งในเพื่อนที่เพิ่งคบกันได้หนึ่งสัปดาห์แต่สนิทกันอย่างกับคลานออกมาจากท้องแม่เดียวกัน เนื่องจากเขาเองก็เป็นนักเรียนจากต่างเมืองสอบเข้ามาเหมือนกันดังนั้นพวกเราจึงสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว หลังจากทักทายกันเป็นพิธีอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ไงเอ็ง หน้าแดงลิ้นห้อยเป็นหมาหอบแดดเลยนะ" นี่คือนิลอีกหนึ่งในกลุ่มที่คบกันแบบตบหัวกันได้อย่างสบายใจ ถึงบางทีปากจะเป็นที่สถิตของเหล่าสุนัขบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
"ออกกำลังกายตอนเช้ามาว่ะ แล้วของที่บอกไปได้เอามาไหม" เมื่อวานนี้ผมไปเจอหนังสือนิยายที่ผมอยากอ่านแล้วบังเอิญเจ้านิลดันมีพอเก็บไว้พอดีผมเลยบอกให้มันพกมาด้วยวันนี้ ทุกเช้าพวกเราสามคนจะมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าห้องปกครองซึ่งมันเหมือนจะกลายเป็นที่ประจำของพวกเราไปเสียแล้ว
"อยู่นู่น" นิลชี้ไปยังเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสือซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเล่มที่ผมต้องการ
"ไอ้...จิ" ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง ต้องมีสักครั้งที่ต้องประสบพบเจอกับคนที่เหม็นขี้หน้าอย่างรุนแรงทั้งที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน ความจริงคือกลุ่มของเราไม่ได้มีสามคนแต่เป็นสี่ซึ่งผมไม่ค่อยอยากนับหมอนี่ไปด้วยสักเท่าไหร่ ถึงผมจะเหม็นขี้หน้าหมอนี่ยังไงแต่เพื่อนของผมทั้งสองคนก็ดันสนิทกับไอ้บ้านี่เหมือนกัน ผมจึงต้องจำใจทนคบหากับมันอย่างช่วยไม่ได้
ผมเกลียดนิสัยทำอะไรอืดอาดยืดยาดช้ากว่าเต่าคลาน ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆในชีวิต พวกหัวดื้อเถียงคำไม่ตกฟาก ซึ่งหมอนี่ก็เป็นศูนย์รวมของสิ่งที่ว่า
"มีอะไรไอ้คุณ อ." อ้อ หมอนี่เป็นประเภทกวนตีนหน้าตายด้วย ตั้งแต่รู้จักกันมามันก็ไม่เคยเรียกผมด้วยชื่อจริงชื่อเล่นเหมือนคนอื่นเขา
"หนังสือนี่อีกนานไหมกว่าจะจบ" ผมกัดฟันพูดพลางมองดูใบหน้าไร้อารมณ์ของหมอนี่ที่กำลังทำท่าครุ่นคิดก่อนจะหยิบเอาที่คั่นหนังสือที่คั่นตรงประมาณกลางเล่มออกแล้วเอามาใส่ที่หน้าแรก
"เพิ่งได้มาเมื่อกี้ยังไม่ได้อ่านเลย"
"ตอแหลหน้ามึนเลยนะเอ็ง เมื่อกี้เอ็งอ่านไปได้ครึ่งเล่มชัดๆ"
"โทษทีพอดีสายตาไม่ค่อยดีอ่ะ ต้องแบบอ่านหนห้าหนึ่งหลายรอบแถมอ่านไปอ่านมาลืมเนื้อเรื่องซะงั้น ต้องกลับมาอ่านใหม่ แย่จริงๆ ว่าแต่อ่านถึงไหนละนะ" จิเอามือบีบขมับทำท่าเหมือนคนปวดหัว ดูมันทำสิ ดูมันทำ!!!
"อาการแบบนี้น่าจะเป็นขี้เลื่อยเบียดสมองว่ะ ว่างๆไปบอกหมอให้เอาออกบ้างนะ"
"มีขี้เลื่อยในหัวยังดีกว่าบางคนที่ไม่มีอะไรคั่นหูเลยนะ ประมาณแบบว่ามีแต่กระโหลกหนาๆแต่พอผ่าเข้าไปไม่มีอะไรข้างใน เขาเรียกอะไรนะ อ้อ สมองกลวง" มาถึงจุดนี้ผมก็พร้อมจะไฝว้แล้ว เห็นแบบนี้แต่ผมเองก็เป็นนักเลงเก่าแถวบ้านเหมือนกันนะ เรื่องต่อยตีมั่นใจไม่แพ้ใครแน่นอน
"เห้ย พอเลยพวกเอ็งสองตัว ไอ้จิรีบอ่านให้จบภายในตอนเย็นแล้วให้ไอ้อาร์ทไป โอเคนะ" นิลผู้เป็นเจ้าของหนังสือเบรคผมไว้ก่อนที่จะมีคนปากแตกแถวนี้ จิเดาะลิ้นเป็นเชิงรำคาญก่อนตอบ 'เออ' คำเดียวสั้นๆ
หลังจากเข้าแถวเสร็จพวกเราทั้งสามจึงแยกกันเพราะทั้งนิลทั้งก้องต่างก็อยู่คนละห้อง สองคาบแรกเป็นวิชาเคมีที่ต้องนั่งกันเป็นกลุ่ม
"อาร์ท ยืมดินสอหน่อยสิ" ผมหยิบดินสอในกระเป่าดินสอยื่นให้กับต้นที่นั่งข้างๆ เรียนเคมีสองคาบแต่ดูเหมือนบนโต๊ะกลุ่มผมจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิชาเคมีวางอยู่บนโต๊ะเลย
"จะมาเขียนงานบนโต๊ะนี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยแบ่งไปโต๊ะอื่นบ้างจะได้ไหม" ผมพูดเสียงเย็นๆพลางชายตามองโต๊ะที่มีคนมานั่งอัดกันเกือบสิบคน จะมาทำไมกันเยอะแยะ
"เอาน่าอยู่กันเยอะๆจะได้อบอุ่น" อุ่นจนร้อนแล้ว พวกแกไม่รู้สึกรู้สากับสายตาอันร้อนแรงของอาจารย์ที่มองมาโต๊ะนี้หน่อยเรอะ
"ศรากรปลุกนายจิรายุสทีซิ" ครูธัญยกรบอกเป็นเชิงให้ผมปลุกเพื่อนร่วมห้องที่ไปเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่เริ่มคาบ
"ไอ้จิ ตื่นโว้ย" ผมใช้เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะไปกระทืบเท้าจิ พอเห็นว่าไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมเลยเปลี่ยนจากกระทืบเป็นถีบแทนซึ่งผลก็ยังคงออกมาเป็นเหมือนเดิมจนผมเลิกที่จะสนใจมันแล้ว
ปึก!
"......ขอบคุณที่ปลุก" คำขอบคุณอย่างไม่จริงใจมาพร้อมกับบาทาอันหนักหน่วงทำเอาผมหงายหลังเกือบตกเก้าอี้ ผมลุกขึ้นเอามือตบโต๊ะอย่างเหลืออด
"จะเอาใช่ป่ะ" จิเองลุกขึ้นเอามือทุบโต๊ะบ้าง ทั้งห้องนิ่งเงียบไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจรึเปล่าแต่กำปั้นที่มันทุบลงมานั้นไม่ได้กระแทกโต๊ะเสียงดังแต่อย่างใดเพราะมันทุบลงบนมือผมอย่างแรง รู้สึกตัวเองพลาดอย่างแรงที่ตบโต๊ะก่อนถึงจะปวดจี๊ดแต่ก็ต้องเก๊กต่อไปเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม
"ถ้าจะทะเลาะกันก็ออกไปข้างนอก!" เสียงดุดังมาจากอาจารย์ที่ยืนดูการกระทำของพวกผมอยู่นานจนทนไม่ไหวถึงกับต้องตะโกนด่า ผมกับจิจ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงและหันหน้าหนีไม่คิดจะสบตากัน
"ขอโทษครับ" พวกเราสองคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ผมหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาจดงานส่วนจิฟุบหลับลงในท่าเดิม
อาจารย์เลิกสนใจพวกผมและเริ่มสอนต่อด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
และแล้วก็ผ่านสองคาบแรกไปเล่นเอาผมอยู่ไม่สุขทั้งชั่วโมงเพราะแรงกดดันจากอาจารย์ที่แผ่ออกมาเล่นเอานักเรียนทั้งห้องหายใจกันไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว ยกเว้นตัวต้นเรื่องที่มันนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่คนเดียว พอเดินออกมาจากห้องนี่รู้สึกเบาตัวเหมือนเอาภูเขาออกจากอกยังไงอย่างงั้น
"ตาไม้จิ้มฟัน" ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนถือกระเป๋าสีดำรอใครบางคนอยู่หน้าห้อง ถ้าจำไม่ผิดเธอคนนี้ชื่อไข่มุก เป็นดาวของห้องศิลป์-ภาษา ที่ทั้งสวยทั้งน่ารักจนมีผู้ชายตามจีบเป็นกระบุง
"มีอะไร" จิที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของชื่อเล่นน่ารักน่าขำนั่นเดินเข้าไปคุยกับไข่มุก จริงๆผมก็อยากจะยืนอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยเผื่อได้มีโอกาสเข้าไปคุยกับไข่มุกบ้าง แต่เพราะไอ้จิยังยืนอยู่ตรงนั้นผมเลยรีบเดินออกมาเพราะไม่อยากใช้อากาศหายใจเดียวกัน อีกอย่างถ้าผมช้ากว่านี้ผมอาจจะเข้าสายในคาบต่อไปได้
ผมเดินผ่านทางเท้าที่ทางโรงเรียนจัดทำหลังคากันแดดไว้ให้อย่างไม่รีบร้อน ในตอนนั้นสายตาของผมก็ดันไปสะดุดเจอเข้ากับแบงค์ร้อยที่พื้น
ขอบคุณพระเจ้า นี่มันข้าวฟรีหนึ่งมื้อเลยนะ
ปึด
"อ๊ากกกก!" มือของผมที่เอื้อมมือไปจนเกือบจะถึงกระดาษพับเล็กๆสีแดง ซึ่งจังหวะนั้นรองเท้าสีดำเบอร์สามสิบเจ็ดลอยผ่านหน้าผมไปและประทับกับฝ่ามือของผมจนรู้สึกเจ็บแสบปวดร้าวจนอดที่จะแหกปากไม่ได้
"อ๊ะ ขอโทษไม่ได้ตั้งใจ" เจ้าของรองเท้าเอ่ยขอโทษ ซึ่งผมเงยหน้าขึ้นและต้องตกตะลึงกับความน่ารักของเด็กสาวตรงหน้า เธอเป็นผู้หญิงที่มีผิวขาว ดวงตากลมโตและใบหน้ารูปไข่ เรียกได้ว่าเธอสวยแบบผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์มากกว่าจะน่ารักแบบเด็กเหมือนไข่มุก ในตอนเห็นหน้าเธอผมรู้สึกได้ทันทีว่าควรจะพูดอะไรกับเธอ
"ผมมีอะไรจะบอกกับเธอ"
"หะ"
"ช่วยเอาเท้าออกจากมือของผมด้วย"
"แหะ แหะ โทษที" เธอหัวเราะแห้งๆหลังจากที่ยกเท้าออกจากมือผม ผมเก็บใบธนบัตรหนึ่งร้อยลงในกระเป๋า ก่อนมองดูมือที่เริ่มจะเปลี่ยนจากสีแดงไปเป็นสีเขียวคล้ำหลังจากที่โดนทั้งทุบและเหยียบ
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา" เธอยังคงพร่ำขอโทษผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนไม่ค่อยสำนึกผิดสักเท่าไหร่
"ไม่เป็นไรหรอก" บอกไม่ได้ตั้งใจแต่เหยียบแช่ไม่มียกเลยนะตัวเอง
"อ๊า จะสายแล้ว" ผมมองตามเด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังเดินขึ้นบันไดตึกวิทยศาสตร์ที่พวกผมเพิ่งเดินลงมาเมื่อซักครู่
"หม้อสาวสายเป็นสิบนาทีเลยนะ" จิเดินมือล้วงกระเป๋าผ่านผมไปพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ที่เล่นเอาผมขนลุกซู่ ไอ้หมอนี่มันยิ่งไปๆมาๆเหมือนผีอยู่ด้วย
"แกมาตอนไหนฟะ" คนถูกถามมองหน้าผมก่อนจะยื่นโทรศัพท์ออกมา
"อะไร" ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย
"กำลังช่วยไขข้อข้องใจของแกไง"
"แล้วเกี่ยวอะไรกับโทรศัพท์"
"เอาไปโทรถามพ่อแกดู" ผมยืนนิ่งมองหน้ามันเก็บความรู้สึกที่อยากจะเอาโทรศัพท์มันไปปาลงบ่อปลา รีบสาวเท้าเดินหาห้องเรียนทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้ว่าเรียนที่ไหนเพราะตารางเรียนมันหายไปแล้ว
"เรียนตึกสามแกจะไปไหน" จิพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเดินไปในทิศตรงข้ามกับผม
"แล้วเอ็งจะเดินไปตึก 5 ทำไมฟะ"
หลังจากนั้นเรื่องราวก็เป็นไปตามครรลองปกติของมัน เรียนคาบบ่าย ปะทะคารมณ์กับจิบ้าง หัวเราะโวยวายกับพวกการ์ตูน จนกระทั่งเลิกเรียนและแยกย้ายกันกลับบ้าน ใช่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งผมตัดสินใจเดินออกมาจากห้องยามวิกาล ผมไม่คยรู้มาก่อนเลยว่าทันทีที่ผมก้าวข้ามธรณีประตูชีวิตของผมจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
********************
ตอนนี้ผมกำลังหลงทางอยู่ ในมือผมมีกระดาษตารางเรียนที่บอกชื่อวิชาและห้องที่เรียนแต่เนื่องจากผมเป็นนักเรียนใหม่เพิ่งย้ายมาจึงยังไม่รู้ว่าห้องไหนอยู่อาคารอะไร จริงอยู่ที่ตอนปฐมนิเทศน์ผมได้นั่งรวมกับคนในห้องเดียวกันแต่เหตุมันเกิดตอนที่ผมออกมาเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาพบหอประชุมมีแต่ความว่างเปล่า
เอาจริงดิ ผมอดทนทุกข์อยู่เกือบยี่สิบนาทียังไม่มีทีท่าจะปล่อย พอไปเข้าห้องน้ำแค่ 5 นาทีกลับมาดันหายซะงั้น
ปึก
"โอ๊ะ" จู่ๆก็มีเด็กสาวที่ไหนไม่รู้วิ่งมาชนผม ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฝ่ายที่ลงไปกองกับพื้นคงเป็นเพราะสะพายกระเป๋าใหญ่แบบนั้น ดูสิสูงก็แค่ประมาณคางของผมแต่แบกกระเป๋าที่มองด้วยตาเปล่ายังไงก็ต้องเกินสามกิโลแน่ๆ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะสูง
"ขะ ขอโทษค่ะ" หลังจากจัดกรอบแว่นจนเข้าที่เธอก้ก้มหัวขอโทษแรงๆทีหนึ่ง แต่นั่นก็ทำให้กระดาษที่สอดแฟ้มในมือเธอหลุดออกมาจนหมด
"หวา" ดูเหมือนจะรีบมากจนไม่จัดให้ดีสินะ ผมถอนหายใจทีหนึ่งก่อนก้มลงช่วยเธอเก็บกระดาษที่กระจัดกระจายตามพื้น
กระดาษพวกนี้มีแต่รูปวาดตัวละครซึ่งระดับของมันไม่ใช่แค่ก้างปลาหัวโตอะไรเทือกนั้น แต่เป็นลายเส้นแบบพวกนักวาดการ์ตูนชื่อดังของพวกญี่ปุ่น
"เธอวาดได้เก่งดีนะ" ผมเอ่ยชมตามความรู้สึก เธอก้มหน้าไม่ตอบอะไรแต่สังเกตุได้จากแก้มที่แดงไปจนถึงใบหูเดาได้ว่ากำลังเขินแน่ๆน่ารักแฮะ
"เอ้านี่" ผมเคาะกองกระดาษสองสามทีจัดให้เข้ารูปแล้วส่งมันให้กับเธอ
"ขอบคุณนะ" ถึงตรงนี้เธอคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับผม โอ้พระเจ้ารอยยิ้มของเธอทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาชั้นเดียวตามแบบฉบับเชื้อสายจีน แก้มนุ่มนิ่มดูมีน้ำมีนวลหนาหยิก จมูกรูปสวยเข้ากับโครงหน้ากับริมฝีปากอวบอิ่มนั่น
ต้องเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้พวกเราสองคนได้มาพบกันแน่ๆเลย
"อ อื้อ เอ่อ บอกหน่อยสิว่าห้องเรียนนี่ต้องไปทางไหน" เด็กสาวขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเพื่อที่จะได้ดูตารางเรียนได้ชัดๆ ใกล้เสียจนกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆลอยเข้าจมูกผม
"ตึก 6 เดินไปทางนั้นนะ ข้ามทางเดินนั้นไปก็ถึงแล้ว"
"ข ขอบคุณนะ จริงสิยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อศรากร เรียกว่าอาร์ทนะ"
"อื้อ เราชื่อบุญญิสา ชื่อเล่นมิ้นท์จ้า"
อา นี่มันรอยยิ้มของนางฟ้าชัดๆ น่ารักซะจนไม่อยากละสายจากเธอเลยจริงๆ
"...น้อง เห้ย ไอ้น้อง" หลังจากเคลิบเคลิ้มได้ไม่ถึงสิบวินาทีผมก็โดนพนักงานคิดเงินเรียกสติกลับมา ตัวผมที่เดินออกจากหอเพื่อหาเสบียงตุนยามดึกแล้วจิตหลุดไปคิดถึงวันปฐมนิเทศน์ที่ได้เจอกับนางฟ้าเข้า ผลคือมีคนรอคิดเงินต่อคิวผมเกือบโหลเห็นจะได้
"ดูดมากี่หลุมเนี่ย ตาเยิ้มเชี่ยวเป็นเด็กเป็นเล็ก" โหพี่ แค่ยิ้มนิดยิ้มหน่อยนี่หาว่าพี้กัญชาเลยเรอะ
ที่หน้าร้านสะดวกซื้อผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่ม บนถนนเองก็เริ่มโล่งไร้ซึ่งรถ ผมที่ก้าวข้ามถนนยังไม่ทันถึงครึ่งทางดีก็ได้ยินเสียงยางเสียดถนนตามด้วยเสียงกระแทกหนักๆอีกที
"มีเด็กโดนรถชน!" พวกผู้ใหญ่กับเด็กที่เพิ่งออกมาจากสถาบันกวดวิชาหลายคนวิ่งไปตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุแต่ผมไม่นึกสนใจ เสียงเบรคดังขนาดนั้นเหยียบมาไม่ต่ำกว่าเก้าสิแน่ๆ อีกอย่างผมไม่อยากไปเห็นซากเละๆให้ติดตาไปฝันร้ายหรอก
หอพักที่ผมอาศัยอยู่ลึกเข้าไปจากปากซอยประมาณห้าร้อยเมตร ถึงจะมีเสาไฟหลายต้นให้แสงสว่างตามทางก็ยังเป็นทางเปลี่ยวอันตรายอยู่ดี ตอนที่จะเลี้ยวเข้าซอยผมก็สังเกตุเห็นบางอย่างบนทางเท้าตรงหน้าผม มันคือนาฬิกาทรายทองแดงที่ไม่มีเม็ดทรายอยู่ด้านใน
แปลก ผมจำได้ว่าขามาไม่มีของแบบนี้ตั้งอยู่ตรงทางเท้าแน่ๆ แต่ตอนนี้มันกลับตั้งสง่าใต้แสงไฟตรงหน้าผม ถ้าเป็นปกติผมคงจะปล่อยผ่านไปแบบไม่สนใจอะไรหรอกแต่วันนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมนึกอยากลองจับนาฬิกาทรายนั่นขึ้นมา
วูบ
แสงสีแดงจากนาฬิกาไหลผ่านฝ่ามือลงมาตรงถึงข้อ ความร้อนที่เหมือนถูกเหล็กประทับตราทำให้ผมกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดได้ไม่นานนัก แสงนั่นก็หายไป
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย” ที่หลังมือขวาผมมีสัญลักษณ์แปลกๆผุดขึ้นมาพร้อมกันนั้นดวงตาของผมก็เกิดอาการฝ้าฟางมองไม่เห็นเฉดสีของสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะแสงจากหลอดไฟ สีของพื้น หรือแม้แต่ความมืดก็กลมกลืนเป็นโทนเดียวกัน สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน หรือผมโดนของอะไรเข้าให้แล้ว พอคิดแบบนั้นก็เลยรีบโยนนาฬิกาทรายในมือทิ้งลงข้างทาง
เอาล่ะ ผมหายสูดหายใจสุดปอดแล้วถอนออกอย่างช้าๆ รู้สึกตอนนี้สมองผมเริ่มไปไกลแบบกู่ไม่กลับแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือกลับห้องอาบน้ำนอนให้ไว พอตื่นมาทุกอย่างก็จะเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใช่แล้ว...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ซะที่ไหน" ผมเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเจอนาฬิกาทรายอันเดิมเพิ่มเติมคือมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง
แฟนตาซีแล้วไง ผมรีบขว้างเจ้านาฬิกาทรายผีสิงไปไกลๆแล้วเริ่มออกวิ่ง ท่องในใจกลับห้องอาบน้ำนอน กลับห้องอาบน้ำนอน
โบร๋ว
แสงจากหลอดไฟบนเสาข้างทางที่ส่องสว่างตั้งแต่หน้าปากซอยที่ผมผ่านมา จู่ๆก็พร้อมใจกันติดๆดับๆเป็นจังหวะตามทำนองดนตรีสยองขวัญ ทางเดินเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คนสัญจร เสียงหมาทั้งซอยที่เริ่มบรรเลงออเครสต้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ
เออดี เยี่ยมไปเลยบิ้วบรรยากาศแบบสุดๆ แล้วไงต่อทีนี้ จะมีผีโผล่มากลางทางไหม
"ระวัง!"
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีคอของผมก็โดนกระชากไปอย่างแรงจนไถลเข้าไปในโพรงหญ้าข้างทาง
"สองคนในวันเดียวกันงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ" เสียงสบถอย่างอารมณ์เสียดังมาจากหนึ่งในเงาดำหนึ่งในสองที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
"พาหมอนั่นหนีไปก่อน ตรงนี้ฉันจัดการเอง" หลังจากนั้นก็มีเสียงคำรามของตัวอะไรบางอย่าง ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เสียงร้องของมนุษย์และรูปร่างหน้าตามันคงไม่น่ารักอย่างแน่นอน ส่วนตัวผมหลังจากนอนกินหญ้าได้ไม่นานก็โดนจับให้ลุกขึ้น
"ช่วยเบามือหน่อยได้ไหม" ใจคอจะลากถูกันทั้งเรื่องเลยหรือไง
"หุบปากแล้ววิ่งเถอะย่ะ" เด็กสาวที่เหมือนจะมาช่วยส่งเสียงเอ็ดผมพลางเอามือผลักผมแรงๆจนเกือบหกล้มหน้าทิ่มพื้นอีกรอบ พอตั้งหลักได้ผมก็ถูกจูงมือวิ่งด้วยความเร็วที่แทบจะฆ่าปอดของผม หมายความว่าเด็กผู้หญิงที่วิ่งนำหน้าผมด้วยความเร็วที่ผมต้องวิ่งสุดแรงแถมยังใช้แรงที่เหลือลากผมที่อยู่ด้านหลังให้วิ่งด้วยความเร็วระดับเดียวกันได้ ผู้หญิงสมัยนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
เร็วขนาดนี้แทบจะไปแข่งระดับจังหวัดไม่สิ ระดับประเทศได้เลยนะ
"อ๊ะ" จู่ๆเธอคนนั้นก็หยุดวิ่ง เป็นการเบรคแบบกระทันหันทั้งๆที่พุ่งมาด้วยความเร็วระดับวิ่งห้าร้อยเมตรได้ต่ำว่ายี่สิบวินาที ถึงเธอจะหยุดตัวเองได้แต่ผมน่ะทำไม่ได้หรอกนะ ผลที่ได้น่ะเหรอผมกลิ้งไปกับพื้นด้วยค้วยความเร็วเดียวกับตอนที่วิ่งไปหลายเมตร
และไปหยุดอยู่ใต้เท้าคน เอาจริงๆนะถึงตอนนี้จะมืดมองไม่ชัดแต่สายตาของผมที่ปรับชินกับโทนสีแล้วก็พอจะมองออกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคน
พรึ่บ
แถมเป็นพวกแฟนตาซีซะด้วย
"ถอยออกมาเร็ว" ไม่บอกก็จะถอยอยู่แล้วครับ วิ่งให้ไวเลยครับ คนบ้าอะไรมีลูกไฟสีแดงลอยรอบตัว เพราะแสงจากเจ้าลูกไฟนั่นทำให้ผมพอเดาได้ว่าคนนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงโดยอ้างอิงจากสรีระร่างกายประกอบส่วนสูง ส่วนที่ใบหน้ามีฮู้ดของเสื้อกันหนาวปิดไว้จึงทำให้มองไม่เห็น
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์อะไรทั้งนั้นเพราะทันทีที่เธอคนนั้นชี้มาทางผม ลูกไฟผีนั่นก็พุ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วที่แค่กระพริบตามันก็ถึงตัวผมแล้ว
เปรี้ยง!
ก่อนที่ลูกไฟนั่นจะได้สัมผัสตัวผม มันก็กระทบกับอะไรบางอย่างจนระเบิดหายไปเหลือเพียงไอน้ำ ผมมองดูสิ่งที่ช่วยชีวิตผมไว้ดีดกลับไปเข้ามือเจ้าของ มันคือกระบองสามท่อนที่ทำจากน้ำแข็ง พอโดนลูกไฟเลยเกิดไอน้ำแต่ก็ไม่ทำให้กระบองละลาย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือผู้ใช้กระบองน้ำแข็งคือหนึ่งในบุคคลที่ผมรู้จัก รู้จักเธอฝั่งเดียวนะเธอไม่รู้จักผมหรอก
ไข่มุก นั่นเอง
นี่ดาวเด่นของห้องศิลป์-ภาษาก็เป็นพวกมนุษย์แฟนตาซีกับเขาเหรอ
"จอมเวทเหรอ" ไข่มุกวิ่งมายืนตรงหน้าผมพร้อมกระชับกระบองแน่น ไม่นานนักลูกไฟหลายสิบลูกก็พุ่งมาทางเราสองคน แต่ดูเหมือนจะทำอะไรได้ไม่มาก ก็ผู้หญิงตรงหน้าผมเล่นควงกระบองเป็น บรูซ ลี ตบลูกไฟซะพริ้วขนาดนั้น
พอเห็นว่าลูกไฟใช้ไม่ได้ผลเธอคนนั้นก็หยิบกระดาษแบบเดียวกับยันต์หมอผีที่เคยดูในหนังเก่าๆ บทบริกรรมคาถาที่ฟังไม่รู้เรื่องเปลี่ยนให้ยันต์ 4 ใบในมือเธอกลายเป็นกระสุนสายฟ้าพุ่งมาทางนี้ ไข่มุกเหวี่ยงกระบองไปมาปัดนัดแรกไปได้ ตามด้วยนัดที่สอง ซึ่งกระสุนที่ถูกปัดออกไปนัดหนึ่งไปทางขวากระทบเข้ากับเสาไฟกลายเป็นเอฟเฟ็คระเบิดแบบที่เห็นได้ในหนังของไมเคิล เบย์ เสียงดังขนาดนั้นคนทั้งซอยน่าจะตื่นขึ้นมาดูข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ
คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่นัดที่สาม เพราะดูเหมือนกระแสไฟฟ้าจะวิ่งผ่านกระบองเข้าเล่นงานช็อตทั้งร่างเธอ แค่ปัดนัดที่สองไปก็เต็มกลืนแล้ว พอโดนเข้าไปอีกนัดมือที่ชาจนไม่สามารถจับกระบองน้ำแข็งไว้ได้เลยหลุดออกจากมือไข่มุก คำที่ผุดขึ้นมาในหัวผมในตอนนั้นคือตายแน่ๆ ขนาดเสาไฟยังโดนป่นกลายเป็นมะม่วงเน่าโดนกระทืบขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงร่างกายมนุษย์เลย คนที่อยู่ในวิถีกระสุนนัดที่สี่ไม่ใช่ผมแต่เป็นไข่มุกซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะหลบไม่ทันแล้ว
ตอนนั้นผมร้องด่าตัวเองในใจที่ทำเรื่องงี่เง่าที่สุดในชีวิตด้วยการวิ่งไปผลักเธอคนที่ช่วยชีวิตผมให้พ้นจากกระสุนสายฟ้านั่น เละแน่ๆ ไม่อยากคิดถึงตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเลยอย่างน้อยก็ขอให้ศพออกมาสวยหน่อยเถอะ
ปึก
"ถอยไป มันเกะกะ" ผมที่โดนเตะออกมาจากวิถีกระสุนโดยผู้ชายอีกคนที่คุยกับไข่มุกในตอนแรก เขาใช้อาวุธเป็นดาบสองด้านปัดกระสุนสายฟ้าทิ้งไปอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่พอมองหมอนี่จากด้านหลังแล้วผมกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ตอนที่ผมคิดแบบนั้นเจ้านั่นก็หันกลับมาและเตะเข้าที่ยอดหน้าผมอย่างแรงจนสติผมหลุดลอยไปช่วงหนึ่ง
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนไอร้อนเผาไหม้แขนขวาซะจนผมสะดุ้งสุดตัว วิวทิวทัศน์รอบตังเปลี่ยนไปกลายเป็นพื้นดินที่แห้งผากแตกร้าวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เปลวไฟร้อนระอุพุ่งขึ้นมาจากพื้นไปจนถึงสุดขอบฟ้าและไม่ไกลนักผมเห็นผู้ชายผมแดงคนหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางในบนบัลลังค์โครงกระดูกมนุษย์
"เกิดอะไรขึ้น" ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยในตัวเองว่าอาจจะพี้กัญชามาตอนไม่รู้ตัวเหมือนพี่พนักงานร้านสะดวกซื้อบอก และในวินาทีที่ผมกระพริบตา บัลลังค์โครงกระดูกที่น่าจะอยู่ห่างออกไปสุดลูกหูลูกตากลับมาอยู่ตรงหน้าผม พอมองใกล้ๆแล้วถึงรู้ว่าชายผมแดงคนนี้กำลังนั่งหลับบนบัลลังค์ เจอเข้าไปแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน นี่มันโคตรจะแฟนตาซีเลย
'กายาของข้าเปรียบคมดาบ'
ผมหันไปมารอบตัวเพื่อหาตัวคนพูดประโยคเมื่อครู่ หากแต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า
'หยดเลือดของข้าดั่งเปลวเพลิง'
ทั้งที่รอบตัวมีเพียงเสียงลมพัดโหมกระหน่ำและเสียงเผาไหม้พื้นดินของเสาไฟนับร้อยต้น แต่เสียงนั้นกลับชัดเจนจนนึกว่ามันดังอยู่ในหัว
"และจิตวิญญาณกับเถ้ากระดูกของข้าก็คือเจ้า" พริบตานั้นร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ก็ลุกพรวดขึ้นมาจับไหล่ทั้งสองข้างของผม เร็วกว่าความคิดก็เท้าของผมนี่แหละที่ยกขึ้นมายันตัวอีกฝ่ายจนกระเด็น แต่กลับไร้ผลเพราะอีกฝ่ายดันตัวแข็งเหมือนกำแพงคอนกรีต
ดวงตาสีแดงนั่นจ้องลึกเข้ามาที่ผม ความรู้สึกที่เหมือนกับความเกลียดชังทั้งหมดบนโลกนี้ถูกส่งมาที่ผมคนเดียว และตอนนี้ความเกลียดชังที่ว่านั่นกำลังแผดเผาทั้งร่างกายและเสียงกรีดร้องของผมไปจนถึงหยาดสุดท้ายของอนูวิญญาณ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ