L.D.C ในวังวนที่ปราศจากเพียงตัวฉัน

-

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.22 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  6,421 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 16.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) วังวน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     บางครั้งผมก็เคยตั้งคำถามกับอดีต ว่าถูกเลี้ยงมาแบบไหนเหมือนกัน และทุกครั้งที่ตั้งคำถามนี้ ผมก็มักจะมองย้อนกลับไปช่วงเก้าหรือสิบขวบ...วันที่ผมกับแม่กำลังเดินไปตลาดกันเพื่อซื้อกับข้าว พวกเราจูงมือกันใต้ร่มสีน้ำเงินคันใหญ่ที่แม่เดินถือ วันนี้เหล่าคนใต้ชุดสูท ใบหน้าไร้ชีวิตยังคงเดินสัญจรกันเหมือนดั่งทุกวัน

     เสียงรถไฟที่แล่นตัดแม่น้ำดังขึ้น บ่งบอกว่าเราเข้าใกล้ตลาดกันแล้ว วันนั้นผมจำได้ว่าเห็นเครื่องบินความเร็วสูงสีดำห้าลำบินผ่านเราไป ไม่มีใครทราบว่าพวกมันจะไปที่ไหนได้แล่นผ่าท้องฟ้าอันมืดครึ้มไป

     “อ้าว! รุ่นพี่มิเรจนี่นา” เสียงหญิงคนหนึ่งดังขึ้น

     ผมเบนสายตาจากไอพ่นที่เครื่องบินทิ้งไว้กลับมามองหญิงคนนั้น เธอสวมชุดสีขาวคล้ายชุดพนักงานออฟฟิศ ริมฝีปากหนาย้อมด้วยลิปสติกแดงเข้ม ผมจำไม่ได้แล้วว่าเธอแววตาสีอะไร จำได้แค่ว่าเธอไว้ผมยาวสีบรอน ผิวหนังอวบอิ่มมีท้วมเล็กน้อย ผมไม่ทราบนักว่าเธออายุเท่าไร แต่น่าจะใกล้ๆ กับแม่ และมาทราบในภายหลังว่าเธอเคยเรียนอยู่มหาลัยที่เดียวกับแม่

     “อ้าวบังเอิญจังเลยนะ” แม่ยิ้มทักทายเธอ

     “นี่ลูกชายเหรอคะ?” เธอนั่งยองมองหน้าผม “แหม หน้าเหมือนแม่เลยนะ โตขึ้นท่าจะหล่อน่าดู”

     “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มกว้างๆ ถึงแม้จะเคยได้ยินคนบอกว่าหน้าเหมือนแม่บ่อยแล้วก็เถอะ

     “สุขภาพจิตดีมากเลยนะคะเนี่ย” เธอหันกลับไปคุยกับแม่ “ฉันอ่านงานเขียนของรุ่นพี่แล้วนะ แหมสมกับที่ได้รางวัลจริงๆ”

     แม่ผมทำงานเป็นนักเขียนอิสระ ทำให้มีเวลาอยู่กับผมตลอดล่ะนะ แต่ผมพึ่งจะมาทราบในภายหลัง ว่าเธอสามารถที่จะหางานอื่นทำได้ แต่เธอคิดว่าการทำงานที่สามารถจะแบ่งเวลามาอยู่กับผมได้เป็นเรื่องที่ดีกว่า

     “ว่าแต่สามีรุ่นพี่ล่ะ?” เธอทำท่าเหมือนเหลียวมองไปรอบๆ

     “ไม่อยู่แล้วจ้ะ” แม่ยิ้มตอบ ใบหน้าสบายใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้ผมในตอนนั้นไม่ได้สงสัยอะไร

     “แบบนี้ก็แย่สิ รุ่นพี่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเหรอ?” เธอหันมามองผม

     “ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ ทั้งเงินค่าเลี้ยงดูจากสามี และเงินเก็บของฉันมันมากพอที่เราสองแม่ลูกจะอยู่ได้สบายเลยล่ะ” เธอตอบ “แถมถ้าฉันเสียไป ยังไงก็มีเงินก้อนใหญ่ให้เจ้าหนูได้ใช้ด้วย”

     “แต่รุ่นพี่ยังสาวยังสวยอยู่เลยนะ ฉันว่าการจะหาพ่อใหม่ให้เด็กคนนี้มันไม่ดีกับทั้งตัวรุ่นพี่ แล้วเด็กคนนี้เหรอ?”

     “ไม่หรอกจ้ะ เพราะมีพ่อใหม่เข้ามาเจ้าหนูอาจปรับตัวลำบาก แถมถ้าซ้ำร้ายได้สามีที่ภายนอกดูดี แต่ลับหลังตรงกันข้ามล่ะก็ มันอาจส่งผลต่อเจ้าหนูในอนาคตได้ เพราะงั้นฉันว่าอยู่สองคนฉันท์แม่ลูกน่าจะดีกว่าค่ะ”

     “แต่แบบนั้นรุ่นพี่จะลำบากได้นะ”

     “ไม่เป็นไรจ้ะ พอดีว่าเจ้าหนูน้อยเป็นเหมือนทุกอย่างที่ฉันมีนี่นะ เพราะงั้น แค่มีเขาฉันก็มีความสุขแล้ว” แม่ขยี้หัวผมเบาๆ “ว่าแต่เธอล่ะ?”

     “เดี๋ยวลูกฉันก็มาหาแล้วค่ะ พอดีฉันก็พึ่งมาถึงก่อนรุ่นพี่ได้ไม่ถึงนาทีเลยน่ะ ตอนฉันกำลังเลือกรองเท้าให้ลูกฉันเห็นรุ่นพี่เลยปลีกตัวมาทักทาย นั่นไงคะ ลูกฉัน” เธอชี้ไปยังเด็กคนหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาหา เขาเป็นเด็กชายอายุใกล้เคียงกับผม ตัดผมสั้นเกือบเกรียน แววตาสีดำเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ลักษณะท่าทางโดยรวมคล้ายคลึงหุ่นยนต์ที่รอการป้อนคำสั่งมากกว่าจะเป็นมนุษย์ ตอนนั้นผมได้แต่ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

     “แม่ครับ สีไหนมันดีที่สุด?” เขาชี้ไปยังร้านขายรองเท้าแตะร้านหนึ่งซึ่งมีรองเท้าคู่เดียวกันหมด หากแต่แตกต่างกันที่สีเท่านั้น “เป็นแม่จะเลือกคู่ไหน ผมจะได้เลือกตาม”

     แค่สีทำไมต้องถาม ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่นี้ถึงต้องขอความคิดเห็นจากคนอื่นมากกว่าจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมในตอนนั้นได้แต่แปลกใจ

     “งั้นเอาคู่สีดำแล้วกัน มันจะได้ไม่แตกต่างไปจากคนอื่นดี” เธอแนะนำ หันกลับมายิ้มให้เรา “นี่ลูกชายฉันค่ะ”

     “แหมน่ารักจังเลยนะ ว่าแต่หนูอยากจะเป็นอะไรงั้นเหรอ?” แม่ผมถามขึ้น

     เขามองหน้าแม่ผม สลับกับแม่ของเขา ตอนนั้นผมไม่ทราบเลยว่าคำตอบง่ายๆ เช่นนี้ทำไมถึงใช้เวลาคิดนานจัง ไม่นานแม่ของเขาก็ตอบแทนว่า “หมอค่ะ พอดีว่าลูกของฉันมีเกรดในห้องเรียนค่อนข้างดีเลยน่ะค่ะ จะให้เรียนพวกสายศิลป์มันก็กระไรอยู่” เด็กชายพยักหน้าตามคำพูดของแม่

     “แหมเก่งนะเนี่ย” แม่ผมยิ้ม          

     “ว่าแต่ลูกของรุ่นพี่อยากจะเป็นอะไรเหรอคะ?”  เธอถาม มองผมสลับกับแม่

     แม่ผมหันมายักไหล่ด้วยรอยยิ้มให้ผม พร้อมกับคำตอบที่ออกจากปากผมว่า “ฮีโร่ครับ”

     ตอนนั้นเองที่หน้าเธอแลดูเกร็งและเครียดขึ้นจนไม่สังเกตก็ทราบ

     “เอ่อคือ ฉันว่าตอนนี้คงได้เวลาต้องกลับบ้านแล้วล่ะค่ะ” เธอโบกมืออำลาแม่ของผม และหันไปคุยกับลูกของเธอ “ไปกันได้แล้วล่ะ เย็นนี้ในตารางชีวิตที่แม่ทำให้มีอ่านหนังสือด้วยนี่”

     เด็กชายคนนั้นหันมามองพวกเราครู่หนึ่ง ถึงจะแค่ครู่เดียว แต่ผมกลับสังเกตได้ถึงบางอย่างที่สื่อออกมาจากแววตาของเขา...ความรู้สึกทั้งเดียวดาย และริษยา และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบเขา

     หลังจากที่ผมเข้ามหาลัยได้ไม่นานก็ทราบข่าวว่าเด็กคนนี้เครียดจากความกดดันเรื่องเรียนจนต้องฆ่าตัวตายระหว่างเรียนอยู่ชั้น ม.6 น่าเศร้านะ...

 

     ฝนที่ตกมันทำร่างที่โซเซของผมหนาวไปหมด ถึงแม้ร่างกายผมจะสู้เขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างจะได้เปรียบเพราะแถวนี้ไม่ใช่ที่ลับตาคนมากมาย หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น ไม่นานก็ต้องมีคนมาเห็น เพราะงั้น ผมต้องถ่วงเวลาไว้ให้ได้

     “รีบหน่อยสิวะ” ชายในรถตู้ตะโกนออกมา

     “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกเป็นพ่อ หรือญาติส่วนไหนกับเด็กคนนี้ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว ปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกเราซะ” ชายสวมหมวกปีกยกปืนขึ้น

     ร่างผมเกร็งนิ่งในทันทีจากความกลัว ฟันขบกันแน่นจากความไร้ประโยชน์ ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ผมแต่เป็นพี่ชายฮีโร่คนนั้นจะทำอย่างไรนะ จะมัวแต่ยืนมองด้วยความกลัวแบบผมหรือเปล่า?

     ชายสวมหมวกปีกสีดำค่อยเดินถอยหลังอย่างช้าๆ สายตาเขามองสลับระหว่างรถตู้ และตัวผมอยู่หลายครั้งจนตอนนี้ผมจะเข้าใจจังหวะการมองของเขา ตอนนี้เหมือนผมจะนึกอะไรออกแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องรอก่อน รอให้ทุกอย่างเข้าที่ รอให้จังหวะการส่งสายตาไปมองด้านรถตู้ด้านหลังของเขา และตัวผม มันรู้สึกปลอดภัยกับเขา ภาพทุกอย่างตอนนี้เริ่มช้าลงอีกแล้ว ความกดดันมักทำให้เวลาเดินช้าลงเสมอเลยจริงๆ นะ

     ภาพข้างหน้าช่างเชื่องช้าจนผมเห็นการเกร็ง และคลายตัวของกล้ามเนื้อบริเวณละคอเขา สายตาเขาเริ่มเบนไปด้านขวา และอีกไม่นานเขาจะมองไปด้านหลัง หลังจากนั้นจุดบอดของเขาจะอยู่ที่บริเวณด้านซ้ายล่างของเขา สายตายที่เบนไปด้านหลังสุดของเขาชัดเจนแล้ว ตอนนี้แหละ ผมรีบใช้ขาขวาเตะไปยังขาซ้ายของเขาโดยพยายามเกร็งตัวให้ยืนตรงที่สุด ในจังหวะที่ขาผมเข้ากระทบขาเขา ผมรีบเบนกายเฉียงลงไปด้านซ้ายเพื่อหลบวิถีปืนของเขาที่เอียงไปตามแรงเตะของผม

     “ปัง!!!” เสียงปืนดังขึ้น ผมมั่นใจว่าเสียงที่ดังแบบนี้จะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มาช่วยได้แน่ ผมใช้มือขวาคว้าข้อมือที่ถือปืนของเขาไว้ และใช้มือซ้ายทิ่มเข็มสายน้ำเกลือเข้ากับแขนเขาระหว่างที่เราแย่งปืนกัน นับว่าเข็มสายน้ำเกลือที่หลุดมายังใช้ประโยชน์ได้อยู่ล่ะนะ

     เสียงโอดครวญเขาดังขึ้นพร้อมกับปืนที่ตกลงสู่พื้น ชายฉกรรจ์ในรถตู้คว้าปืนขึ้นมา แต่ผมทราบดีว่าเขาแค่ทำเพื่อขู่ เพราะชายสวมหมวกปีกได้บังวิถีกระสุนอยู่ ผมก้มลงคว้าปืนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้น แต่แล้วก็ถูกชกเข้าอย่างแรงจนเซถอยหลังไป แย่แล้วสิ ถ้าทิ้งตัวออกห่างแบบนี้มีหวังได้โดนยิงแน่ ผมตะเกียกตะกายพุ่งเข้ากระแทกร่างเขาสุดแรงที่มี ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นภาพเด็กชายคนหนึ่งได้วิ่งตากฝนไป เด็กชายที่หน้าเหมือนกับผมในสมัยก่อน เด็กชายผู้เชื่อว่า...เขาคือฮีโร่

     ไม่ทันไรผมรู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างที่ฟาดลงบนหลังอย่างแรงจนล้มลงไป ภาพทุกอย่างเริ่มเบลอไปหมด สิ่งที่พอจับเค้ารางได้ตอนนี้มีแต่ภาพพวกนั้นต่างรีบพากันวิ่งขึ้นรถ เสียงที่พวกเขาพูดมีแต่คำว่า “รีบไปกันเร็ว พวกตำรวจมาแล้ว” และพวกคำพูดถึงตำรวจ แต่ผมจับเค้ารางอะไรไม่ได้แล้วสิ สิ่งที่เห็นมีแค่รถตู้ที่ขับจากไปอย่างรวดเร็ว

     “คิดว่าเป็นฮีโร่มันเท่รึไงวะ” เสียงจากเหล่าเพื่อนฝูงในอดีตเริ่มดังขึ้นอีกครั้งในหัว ย้ำเตือนภาพความจริงอันแสนน่าสมเพชของผมที่พยายามจะช่วยใครสักคน

     มืดลง...และมืดลง ทุกอย่างกำลังจะมืดไปหมดแล้ว ผมทราบดีอยู่แล้วล่ะว่าเป็นคนจืดชืดไร้พรสวรรค์ที่สุดในหมู่เพื่อนฝูง ผมทราบดีอยู่แล้วว่าผมไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เลย แล้วทำไมผมถึงต้องพยายามทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้กัน? ผมพยายามเอื้อมมือไปข้างหน้า แต่ท้ายที่สุด...ก็ทำได้แค่เอื้อมมือ...

 

     “โชคดีล่ะ” เสียงของเหล่าเพื่อนๆ ช่วงประถมปลุกตัวผมขึ้นจากภวังค์ เช่นเดียวกับผมผู้โบกมือให้เหล่าเพื่อนฝูงในตู้ท่องเที่ยวที่แล่นจากไป อดีตกำลังตามผมมาแล้วสินะ ช่วงประถมในวันหยุดยาวปีใหม่ เหล่าเพื่อนสนิทต่างไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดกัน โดยหลายคนได้ช่วยกันแบ่งเงินค่าเดินทางกันก็มี ทำให้ทุกคนต่างเที่ยวกันหมดในวันหยุดยาวปีใหม่นี้ เหลือเพียงผมที่ไม่ได้ไปไหน วันนี้ผมจึงต้องมาเดินเล่นในงานเทศกาลเพียงตัวคนเดียว ก็นะ จะบังคับให้แม่ที่กระดูกข้อเท้าหักจากอุบัติเหตุมาช่วยมันก็กระไรอยู่

     คืนนี้ใต้โดมกันฝนอันประดับด้วยแสงไฟหลากสีสัน เหล่าผู้คนในชุดไปรเวทต่างเดินกันด้วยรอยยิ้มใต้ความงดงามแห่งเทศกาล ขนมหลากสี อาหารหลากรสต่างถูกจัดวางไว้ตลอดทาง น่าเศร้าที่ผมทำได้มากสุด คือการชิมชิ้นเล็กๆ จากที่เขาตั้งไว้หน้าร้าน

     ทุกครั้งที่เดินผ่านเหล่าเด็กๆ ที่อยากได้ในสิ่งที่อยาก หรือรอยยิ้มของพ่อแม่ที่เดินจูงมือเด็ก มันช่างน่าอิจฉาเหลือเกินนะ ระหว่างที่เดินอยู่ใต้แสงไฟของงานเทศกาลพักหนึ่ง ผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อผม

     “ว่าแล้วว่าต้องมาที่นี่” เสียงหญิงคนนั้นเริ่มดังขึ้น เสียงที่แสนจะคุ้นเคย เมื่อหันไปมองก็พบกับแม่สวมเสื้อยืดสีขาว และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินยืนอยู่

     “แม่เจ็บขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมถาม

     “แต่การมาที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้อาการแม่แย่ลงสักหน่อยนี่ เพราะงั้นสบายใจได้” แม่ยกนิ้วโป้งขึ้นทั้งรอยยิ้ม

     พวกเราต่างเดินจูงมือกันซื้อทั้งขนมหวาน เล่นเครื่องเล่น และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจที่สุด คือแม่เก่งกว่าที่ผมคิดมาก เธอสามารถชนะทุกเกมด้วยคะแนนที่เหนือกว่าผมหลายเท่า วันนั้นทุกอย่างดูจะสนุกไปหมด ก็นะโลกแห่งวัยเด็กล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยู่แล้วนี่ ไม่เหมือนกับวัยผู้ใหญ่ แต่ความสุขมันก็ไม่ได้อยู่ไปตลอด 

     “พวกแกถอยไปซะ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น ไม่นานสรรพเสียงแห่งความครื้นเครงก็เงียบลง

     ผมหันไปมองเขาเช่นเดียวกับทุกสายตา เขาเป็นชายผมสั้นร่างใหญ่ สวมเสื้อลายสก๊อต และกางเกงขาสั้นสีขาว กำลังเอาปืนจี้หัวหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอเป็นสาวร่างเล็ก ผมสีทองสด ผิวขาว สวมเสื้อสายเดี่ยววาบหวิว และกระโปรงสั้น ผมเห็นไม่ชัดนักว่าพวกเขากำลังตีสีหน้าแบบไหนอยู่

     “ชีวิตฉันมันพังหมดแต่แรกแล้ว!” เขาตอบกลับ “เพราะพวกแกทุกคนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ให้มาก สุดท้ายมันเลยลงเอยแบบนี้ยังไงล่ะ พวกแกอยากรู้ไหมว่าพวกมันทำอะไรกันบ้าง?”

     เขาเริ่มพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมในตอนนั้นยังไม่ค่ยเข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบายนัก

     “เกิดอะไรขึ้นเหรอฮะ?” ผมดึงชายเสื้อแม่ระหว่างถาม

     “เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนเลยนะลูก” แม่หันมาตอบเบาๆ “ถ้าอธิบายตอนนี้ลูกคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

     “ใจเย็นๆ แล้วค่อยคุยกันก็ได้” ตำรวจนายหนึ่งพยายามปราม แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออาชญากรคนนั้นดันกระบอกปืนเข้าชิดขมับของเหยื่อ

     “ค่อยคุยกันงั้นเหรอ?” เขาทวนคำของตำรวจ น้ำเสียงทุ้มใหญ่จนน่ากลัว “ที่ผ่านมาฉันก็คุยกับพวกแกแบบใจเย็นตลอดนั่นแหละ แต่พวกแกไม่มีใครคิดจะตรวจสอบอะไรเลย แค่รับปากส่งเดชเวลาฉันแจ้งความไว้ แต่ว่านะ ตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งคนแบบพวกแกอีกแล้ว เพราะฉันจะเป็นคนหยุดไอ้อาชญากรอย่างนังนี่เอง เหมือนที่นักล่าอาชญากรเคยทำไว้ไงล่ะ”

     เขายิงปืนขึ้นฟ้า เสียงสนั่นนี้ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และเสียงกรีดร้องของผู้คนระงมไปทั่ว ตอนนั้นขาผมสั่นไปหมดด้วยความกลัว และความกดดัน

     “พวกแกทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน ในโทษฐานที่เมินเฉยกับปัญหาของคนอื่น” เขาจ่อปืนมายังบริเวณที่ผมและเหล่าฝูงชนยืนอยู่ บัดนี้ภาพทั้งมวลได้เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ผมมองเห็นไม่ชัดว่าเขาเหนี่ยวไกมายังผมหรือเปล่า สิ่งที่ผมทราบมีเพียงฝูงชนรอบข้างที่ต่างหนีตายกันคนละทิศละทาง ตำรวจที่ยังคงยืนแข็งเป็นท่อนไม้ทำอะไรไม่ถูก เหล่าผู้คนบริเวณมุมลับตาของโจรที่เลือกจะช่วยเราโดยการถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือ  และแผ่นหลังของแม่ที่ยืนกางแขนบังผมอยู่...

 

     ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพห้องขาวๆ ที่ตอนนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอยู่ในโรงพยาบาล ครั้นเมื่อเรียบเรียงความทรงจำอยู่พักหนึ่งถึงนึกออกว่าโดนทุบหัวจนสลบไป นี่ผมทำเรื่องน่าสมเพชจนต้องมานอนที่นี่อีกแล้วงั้นหรือไงนะ ผมค่อยๆ เอียงคอมองไปข้างเตียงก็พบรูเดียกำลังนั่งอ่านหนังสือผ่านกรอบแว่นหนาอยู่ วันนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวคอสูงสีเทา

     “เธออีกแล้วสินะ” ผมเริ่มพูดขึ้น เธอหันมามองผม ท่าทางดีใจ

     “ฉันดีใจนะที่คุณฟื้นแล้วน่ะ” รูเดียยิ้มให้ผมเหมือนครั้งก่อนๆ “คุณหลับไปอีกเกือบสองวันแหนะ”

     “นี่ฉัน...ทำเรื่องงี่เง่าอีกแล้วสินะ…”

     “ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้ทางตำรวจได้ตามตัวคนร้ายไปแล้วหลังจากที่พวกเขาได้ยินเสียงปืน แล้วพบร่างคุณนอนหมดสติอยู่น่ะ รู้สึกว่าพวกนั้นจะเป็นแก๊งลักเด็ก แต่กลับก็ไม่มีใครสังเกตกันเลย...รวมฉันด้วย ขอโทษทีนะคะที่ไม่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์อะไรเลย” เธอพูด “ถ้าไม่ได้คุณ พวกเราก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีเด็กถูกลักพาตัวไป แล้วกว่าจะเริ่มหาตัว พวกนั้นก็หนีไปไหนต่อไหนแล้ว”

     “ในปัจจุบันนี้มันไม่มีฮีโร่อยู่จริงหรอก ฉันเองก็ไม่ต่างกัน” ผมพาดมือบนหน้า “ฉันแค่อยากมีประโยชน์บ้าง...ก็แค่นั้น”

     “แล้วคุณคิดว่าตัวเองมีประโยชน์หรือยังล่ะ? ถ้าคิดว่าไม่ ยังไงคำชมของคนอื่นก็เป็นแค่ลมปากไม่มีอะไรเหมือนเดิมนั่นแหละ” เธอกุมมือผมทั้งรอยยิ้ม “ฉันทราบนะคะ ว่าการเปิดใจคุยกันมันไม่ใช่เรื่องที่แค่คิดแล้วจะทำได้น่ะ แต่อย่างน้อย ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อใจคุณนะ”

     ใบหน้าอันสดใสของเธอเริ่มทำผมหวั่นไหวอีกแล้วสิ ผมรีบเบนหน้าหลบเพื่อไม่ให้เธอสังเกตเห็นใบหน้าที่ร้อนฉ่าของผม

     “หนังสือที่เธออ่าน...ใช่ ‘การหายไปของยมทูตตนสุดท้าย’ หรือเปล่า?” ผมถามเพื่อแก้อาการประหม่า

     “คุณเคยอ่านเหมือนกันเหรอ!?” เธอเกร็งตัวขึ้น ท่าทางตื่นเต้นจนสังเกตได้

     “ตั้งแต่วันวางขาย…” ผมตอบ “รู้สึกว่าเรื่องนี้จะอายุราวๆ สิบสองปีได้แล้วมั้ง”

     “คุณเป็นพวกนักอ่านเหมือนกันเหรอ?”

     “ก็พออ่านบ้าง” ผมถอนหายใจ

     “แล้วคุณรู้จักเรื่อง “ลูกแมวกับแสงจันทร์” หรือเปล่าคะ?” เธอเริ่มจ้ออีกครั้ง คำพรรณนาถึงความงดงามของนิยายได้พรั่งพรูออกจากปากเธอไม่หยุด แต่หารู้ไม่ว่ามันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาผมไปหมดแล้ว เมื่อนึกๆ ดู หนังสือเล่มนี้จะว่าเคยอ่าน ก็เคยอยู่หรอก แต่ทำไมมันรู้สึว่ามีมากกว่านั้นนะ...อ๋อนึกออกแล้ว นี่เป็นหนังสือที่คาเรลชอบเหมือนกันนี่

     “ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้เลยนะคะ” เธอเอียงคอมอง ท่าทางฉงน “ฮันแน่ หรือว่าคิดอะไรออกกันล่ะ?”

     “มานอนอยู่แต่ในห้องขาวๆ นี่มันน่าเบื่อชะมัดเลยแฮะ” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้เธอถามลงไปลึกกว่านี้

     “งั้นสนใจไปเดินเล่นกันหน่อยไหมคะ?” เธอถาม

     “ดีเหมือนกัน” ผมเบนหน้าตอบ

     พวกเราเริ่มเดินกางร่มกันไปยังสวนสาธารณะใกล้โรงบาล ทิวทัศน์รอบเมืองวันนี้ยังคงถูกเจือด้วยสีเทาจากสายฝน และเจ้าเครื่องจักรที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าแมงมุมขนาดยักษ์สีดำสูงเกือบสี่สิบเมตร ดูเหมือนจะสัญจรมาถึงเมืองที่ผมอาศัยแล้วสินะ

     “แมงมุม...” ผมพูดขึ้น เจ้าแมงมุมดำนี่เป็นเครื่องจักรประหลาดที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่เคยมีมา มีข่าวลือว่ามันสามารถสร้างสารเคมีให้ปะปนลงมากับฝนได้ นี่อาจเป็นเหตุผลให้เหล่าทหารใต้เท้ามันราวสามสิบคนต้องสวมหน้ากากกันแก๊ส แต่มันก็เป็นแค่ข่าวลือ รัฐบาลไม่เคยให้ข้อมูลอะไรกับเราเลย มีแค่ “มันจะทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น” หรือ “ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ทั้งหมด เพื่อป้องกันคนรู้การทำงานของเจ้านี่ แล้วจะทำให้ความปลอดภัยของสังคมลดลง” เท่านั้น พวกเขามีความลับ และเรื่องปิดบังมากเกินไปจนทุกคนกลัว

      “นานๆ ทีจะได้เห็นนะคะ” รูเดียเงยหน้าขึ้นมองตามผม “ทั้งที่ความขัดแย้งหมดไปแล้วแท้ๆ แต่พวกเครื่องจักรสงครามยังคงมีกันอยู่ตลอดสินะ”

     “มันไม่เคยหมดไปหรอก” ผมถอนหายใจ “พวกเขาแค่ทำให้เราเห็นว่าไม่มีอะไรก็เท่านั้น ถ้าเธออยู่เมืองหลวงจะรู้เลยล่ะว่ามนุษย์เรามักจะธรรมเรื่องที่สังคมมองว่าผิดจรรยาบรรณ แต่พวกเขาใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย หรือว่าทางสังคมเพื่อทำให้คนอื่นมองว่าตัวเองไม่ผิด”

     “คุณเคยอาศัยที่เมืองหลวงสินะคะ”

     “อืม…” ผมพยักหน้า “ส่วนเธอคงไม่เคยไปล่ะสินะ”

     “ฉันรู้สึกว่าที่นั่นวุ่นวายน่ะค่ะ แหะๆ” เธอยิ้มด้วยท่าทีขวยเขิน

     “ที่นั่นมีอะไรแปลกๆ เยอะเลยนะ ทั้งเครื่องพิมพ์มนุษย์เงินเดือน ฟันเฟืองมากมายที่พวกเราไม่อยากให้มันหยุดจนต้องเอาคนงานไปตายเพื่อซ่อมมัน ต้นไม้และดอกไม้พลาสติกเริ่มแทนที่ต้นไม้และดอกไม้จริงที่แทบจะไม่มีเหลือแล้ว หรือกระทั่งเครื่องสร้างสภาพอากาศจำลอง”

      “ฟังดูน่าเศร้าแปลกๆ นะคะ” รูเดียหันมามองผม “ว่าแต่ ทำไมคุณถึงไม่อยู่ที่เมืองหลวงไปเลยล่ะ ที่นั่นดูสบายกว่าที่นี่ตั้งเยอะนะ”

“ฉันไม่อยากลับไปที่นั่นอีกแล้วน่ะ...” ผมถอนหายใจ “ฉันฝังอดีตแย่ๆ ไว้ที่นั่นมากเกินไป”

     “อะ เอ่อ ขอโทษที่ถามเรื่องแปลกๆ นะคะ” ยิ้มได้ตลอดจริงๆ แฮะ แต่ผมก็ไม่อยากขัดหรอกนะ ถึงแม้จะทราบอยู่แล้วว่าเธอยิ้มเพื่อให้ผมสบายใจ

     “แล้วบ้านเธอล่ะเป็นไง?” ผมถาม ขณะที่เธอยังกระโดดไปมาอยู่ ท่าทางจะอยู่นิ่งไม่ได้จริงๆ สินะเนี่ย

     “ซากโกเล็มเพียบเลยล่ะ ไม่รู้ว่าไปทิ้งไว้ขนาดนั้นกันได้ไงน้า” เดิมทีโกเลมเป็นอาวุธในช่วงสงครามความขัดแย้งนี่ นี่เธออาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?

     “บ้านเธอที่ไหนกันแน่เนี่ยถึงได้มีของอันตรายแบบนั้นน่ะ?”

     “หมู่บ้านเวิร์ดเครสค่ะ” เธอหมุนตัวเหนึ่งรอบ แม้จะเป็นภาพท่ามกลางสายฝน แต่ช่างเฉิดฉายเหลือเกินนะ

     แต่จะว่าไปผมเหมือนเคยได้ยินชื่อหมู่บ้านเวิร์ดเครสที่ไหนนะ...อา, นึกออกแล้ว ผมเคยสืบเรื่องนี้ตอนมัธยมปลายนี่ ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่พี่ชายฮีโร่คนนั้นเคยอาศัยไม่ใช่หรือไง?

     “อาเซล เอลก้า...เธอรู้จักเขาไหม?” ผมถาม แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะถึงจะอยู่เมือง หรือหมู่บ้านเดียวกัน มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักกับคนในหมู่บ้านทุกคนนี่นะ

     “อาเซล...เหมือนฉันจะคุ้นชื่อนี้อยู่นะคะ” ไม่นานเธอก็ทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือ “นึกออกแล้ว น้าอาเซลนี่เอง”

     “เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเขาไหม!” อยู่ๆ มือสองข้างของผมก็พุ่งเข้าจับไหล่เธอแน่น ไม่นานผมก็ต้องปล่อยมือ นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ ลงไปอีกแล้วสิเนี่ย

     “อะ...เอ่อ...ก็ไม่มากน่ะค่ะ น้าเขาเสียชีวิตนานมากแล้วนี่คะ” รูเดียยักไหล่ “ว่าแต่คุณเป็นอะไรกับน้าเขาเหรอคะ?” ดีจริงๆ ที่เธอรู้จักเขาน่ะ ตลอดมาผมอยากรู้เรื่องของเขามาโดยตลอดเลย แต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มที่ตรงไหน

      “ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น...” ผมส่ายหน้า “ฉันแค่นับถือเขา...ก็เท่านั้น”

     “งั้นคุณน่าจะไปคุยกับน้องสาวน้าเขาดูนะคะ ฉันว่าเราน่าจะไปคุยกับเธอดีกว่า” รูเดียเสนอ “พอดีพ่อฉันเปิดกิจการที่พักด้วยน่ะค่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรก็ลองมาใช้บริการได้นะ”

เยี่ยมเลย นี่เป็นโอกาสที่จะได้ตามหาเรื่องราวที่ฮีโร่เคยทำไว้แล้ว ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะทิ้งอะไรไว้บ้างน่ะ

     “ขอบคุณนะ...” ผมยิ้มที่มุมปาก

     “ฮั่นแน่ คุณยิ้มแล้วนะ” เธอยิ้มกว้างๆ “แต่ฉันจะดีใจกว่านี้นะคะ ถ้าคุณพูดทำนองว่า “ขอบคุณมากนะรูเดีย เธอทำฉันรักเธอจังเลย ฉันอยากกอด อยากหอมแก้มเธอเหลือเกิน ได้โปรด ฉันรักเธอจริงๆ ได้โปรดเถอะ” อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ” เธอทำเสียงเข้ม

     “ถ้าฉันทำแล้วจะรู้สึก” ผมหันหลังให้เธอเพราะไม่อยากให้เธอเห็นตอนยิ้มกว้างๆ เท่าไหร่

     “เอ๋ สายขนาดนี้แล้วเหรอ?” รูเดียร้องขึ้น ผมหันกลับไปมองด้วยความตกใจ “เย็นนี้ฉันมีนัดกับญาติไว้ ตอนนี้สายมากแล้ว” เธอโบกมืออำลา และวิ่งจากไป แผ่นหลังเธอทำผมคิดถึงแม่จริงๆ เลยแฮะ

     “รูเดีย” ผมตะโกนเรียกเธอ

     “คะ?” เธอหันกลับมามอง ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมดีใจมากที่ได้พบเธอ แต่ความกลัวในใจได้บอกให้ผมหยุดลงตรงนั้น

     “อะ...เอ่อ...ฉันอยากรู้เบอร์ติดต่อหน่อยน่ะ เผื่อมีอะไรจะได้...เอ่อ...ติดต่อไปได้” ผมหน้าแดงไปหมด ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยแฮะ รูเดียยกระดาษขึ้นเขียนพักหนึ่ง

     “นี่ค่ะ” เธอยื่นกระดาษให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเคย

 

     ต่อมาหลังจากกลับไปห้องพักผู้ป่วยได้ไม่นาน หมอก็ได้แจ้งว่าพรุ่งนี้ผมก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ผมโทรไปหารูเดียเพื่อแจ้งข่าว และบอกว่าจะไปเยี่ยมเธอในสัปดาห์หน้า เธอดีใจมากและตอบกลับมาว่าจะขอตัวกลับไปที่บ้านก่อนเพื่อจัดแจงของเตรียมต้อนรับ ผมถามหมอถึงค่ารักษา แต่ดูเหมือนรูเดียจะจ่ายให้หมดแล้ว จริงๆ เลยแฮะ

     ตอนนี้เหลือผมเพียงคนเดียวในห้องสีขาวแสนน่าเบื่อนี่แล้วสินะ ตอนที่แม่นอนในห้องนี้เพียงคนเดียวมันรู้สึกเหงาแบบนี้ไหมนะ?

     เสียงมือถือดังขึ้น ผมเปิดดูว่าใครโทรมา ดูเหมือนปลายสายจะเป็นเบอร์ของเร็นเพื่อนนักกีฬาอารมณ์ดี ผมกดรับสาย ยกขึ้นแนบหู

“มีอะไรอีกล่ะ?” ผมถาม

     “แค่เป็นห่วงน่ะ เห็นตอนนั้นอยู่ๆ นายก็ตัดสายไปซะดื้อๆ แถมโทรหาก็โทรไม่ติด” เขาคงหมายถึงตอนคุยกันครั้งล่าสุดสินะ จะว่าไปมันก็น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละนะ “นายพอจะว่างมาคุยกับฉันไหม?”

     “อา, ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลน่ะ หมอบอกพรุ่งนี้จะออกได้แล้ว” ผมตอบ “นายจะเอาไงจะมาเยี่ยมวันนี้เลย หรือรอพรุ่งนี้?”

     “งั้นไว้มาเจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน เพราะฉันว่าต้องเตรียมตัวเหมือนกัน”

     “โอเค เจอกันพรุ่งนี้...” ผมกดวางสายลง ถอนหายใจ มองออกไปยังเหล่าผู้คนนอกโรงพยาบาล แต่แล้วผมก็ได้เห็นถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง เมื่อมองให้ดีๆ ก็สังเกตได้ว่ามีเด็กหญิงตัวกึ่งโปร่งใสคนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ในกลุ่มฝูงชน...ใช่ เธอคือคาเรล นี่สภาพจิตผมมีปัญหาขนาดเห็นภาพหลอนแล้วหรือไงนะ? แล้วเธอกำลังวิ่งไปที่ไหนกันแน่?

     ผมวิ่งไปคว้าร่ม และลงจากอาคารอย่างร้อนรน การสังเกตเด็กในฝูงชนสวมสูทมันไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ แต่ปัญหาคือเธอจะอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นได้หรือเปล่า ผมมองไปรอบๆ ตึกรางบ้านช่องอยู่พักหนึ่งถึงได้เห็นร่างกึ่งโปร่งใสของคาเรล เธอยังคงวิ่งผ่านเหล่าฝูงชนไป จะเรียกว่าวิ่งทะลุไปก็ไม่แปลกนัก และเหมือนจะไม่มีใครเห็นเธอเลยด้วย ทั้งๆ ที่มีคนตามท้องถนนมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกเดียวดายราวกับมีแค่ตัวผมกับภาพของคาเรล ไม่มีใครสนใจชายผู้วิ่งหน้าตั้งราวกับวิ่งหนี หรือไล่ตามอะไรสักอย่างเช่นผมแม้แต่คนเดียว

     ตัวผมตอนนี้เปียกปอนไปหมดแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำผมต้องหยุดตามภาพของคาเรลแต่อย่างใด ผมเข้าใกล้เธอไปทุกขณะแล้ว ภาพข้างหน้านี้ทำผมคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน ทั้งฮีโร่ ทั้งคาเรล ทั้งแม่ ผมอยากพบพวกเขาอีกสักครั้ง

     ไม่นานเธอก็วิ่งตัดผ่านอาคารอิฐสีเทาไปตามทางเดินยาวอันมีหลังคาบังฝนไว้ เธอวิ่งเข้าไปในนั้นแล้วร่างก็หายไป ภาพทุกอย่างมันจบลงตรงนี้หรือไงนะ? ผมหอบหายใจเดินเข้าไปสำรวจตามทางเดินนี้ ผมได้แต่มองสำรวจอยู่พักหนึ่ง แล้วปลายอีกฝั่งของทางเดินก็ปรากฏภาพคาเรลขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝน ดูเหมือนภาพอดีตนี้จะปรากฏเฉพาะบริเวณที่มีฝนสินะ

     ผมเริ่มวิ่งตามภาพข้างหน้าต่อไป กระทั่งมาถึงบริเวณสะพานหินขนาดใหญ่เหนือแม่น้ำอันมีรถไฟวิ่งตัดผ่านอยู่ข้างใต้ เพราะที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ติดแม่น้ำและมีลมแรงเมื่อฝนตก ทำให้มีโอกาสที่ร่มจะตกลงไปยังแม่น้ำ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนมาเดินในแถวๆ นี้นัก วันนี้ก็ไม่ต่างกัน ที่นี่ไม่มีใครเลยนอกจากตัวผม

     อยู่ๆ คาเรลก็ล้มลงไป ท่าทางเธอเหมือนมีใครกำลังกดหัวเธอ และจับแขนเธอหักไขว้หลังไว้สองข้าง เธอพยายามขัดขืนแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ผมรีบวิ่งเข้าไปเอื้อมมือคว้าร่างกึ่งโปร่งใสของเธอ แต่ก็ทะลุไป นี่ผมทำอะไรไม่ได้เลยรึไงวะ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีแค่การยืนมองภาพของเธออยู่แค่นี้หรือไง?

     ท้ายที่สุดร่างเธอก็นิ่งลง และสลายกลายเป็นไอไป งั้นก็แสดงว่า นี่คงเป็นที่ที่เธอถูกฆ่างั้นสินะ แล้วนี่มันเป็นความจริงหรือภาพหลอนที่ผมสร้างขึ้นกัน เป็นไปได้หรือเปล่านะว่าฝนมันกำลังบอกเล่าเรื่องบางอย่างกับผมอยู่?

     หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวปรากฏขึ้นข้างหน้าผมอีกครั้ง สายฝนที่ตกลงมานี้ไม่ได้ทำเธอเปียกปอนเช่นผมแต่อย่างใด

     “กลับสู่โลกแห่งความจริงเหมือนครั้งก่อนๆ เถอะหากเธอพยายามต่อไป สุดท้ายเธออาจจะจบลงแบบชายฮีโร่ที่ช่วยเธอในโลกแห่งความฝันนี้ก็ได้

     “และหากพยายามต่อไป นายจะต้องเสียใจทีหลังนะ” เสียงของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงของผู้ชาย...ไม่ใช่สิ นี่มันเสียงของผู้ชายจริงๆ และมันก็ดังขึ้นด้านหลังผม!

     ผมรีบหันไปมองด้านหลัง แต่ไม่พบใคร เมื่อครู่เป็นเสียงจริงๆ หรือว่าผมวิกลจริตไปเองนะ?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา