The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  16.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Ambassador

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 6th

Ambassador

 

เขตที่อยู่อาศัย

บริเวณรากของอิกดราซิล

อิกดราซิล เมืองหลวงแห่งสหภาพ

22 กันยายน ก.ศ. 327

  1. 7.15 น.

            แสงแดดยามรุ่งอรุณส่องผ่านหน้าต่างของห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่าเข้ามาแยงเปลือกตาของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนอนหลับใหลอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ หรือต้องบอกว่าเคยหลับ เพราะแสงนั้นได้ปลุกเธอขึ้นมาจากนิทราอันแสนสุขเรียบร้อย

            “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณซินเธีย”

            เสียงนุ่มลอยมากระทบหูเธอขณะที่ประตูห้องเลื่อนเปิดออก ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมและดวงตาสีเขียวเหมือนใบไม้ยามต้นฤดูใบไม้ผลิในชุดพ่อบ้านสีดำสนิทก้าวเข้ามาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งตัวเท่าหมาขนาดย่อม ทั้งตัวของมันประกอบด้วยเปลือกแข็งเป็นปล้องๆขัดกับขาที่ดูนุ่มนิ่มหกข้างยื่นออกมาจากข้างลำตัว หัวคล้ายงูเรียบลื่นเทินถาดที่มีถ้วยชาส่งกลิ่นหอมหวนอยู่

            “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณกุนเธอร์ อรุณสวัสดิ์นะโมโจ”

            ซินเธียส่งรอยยิ้มที่ดูงัวเงียเล็กน้อยให้กับผู้มาเยือนทั้งสองพร้อมบิดขี้เกียจหนึ่งรอบไล่ความง่วงเนื่องจากเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่

            “ชายามเช้าครับ ผมเลือกใบเอโทเนียมา วันนี้จะได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าสมกับวันทำงานวันแรกเสียหน่อย” กุนเธอร์ดีดนิ้วเปาะ โมโจก็ยืดคอส่งถ้วยชาให้ซินเธียที่รับไปจิบและเบิกตาออกน้อยๆ

            “รสชาติดีมากเลยค่ะ”

            “เป็นถึงพ่อบ้านของตระกูลเดอ ลาพาซ ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะครับ”

            ชายหนุ่มยิ้มยิงฟันรับคำชมนั้นและพูดต่อ

            “เดี๋ยวผมจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ คุณซินเธียแต่งตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็ลงไปรับประทานได้เลยนะครับ”

            กุนเธอร์ หรือจริงๆต้องบอกว่าภาพโฮโลแกรมของเขา เลือนหายไปพร้อมกับโมโจที่รับถ้วยชาคืนจากหญิงสาวบนเตียงนอนและถอยร่นออกไปจากห้อง ซินเธียใช้เวลาครึ่งชั่วโมงถัดมาในการทำธุระส่วนตัวทั้งหลายและเลือกชุดที่จะใส่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย เธอก็ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งหน้ากระจกบานใหญ่กินที่ถึงเกือบครึ่งของผนังห้องด้านหนึ่ง

            ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกคือหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีเหลืองอ่อนเหมือนดอกแดฟโฟดิลยามเบ่งบานม้วนเป็นลอนยาวถึงกลางแผ่นหลัง ตรงปลายถูกดัดให้เป็นเกลียวเล็กๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดั่งมหาสมุทรสุดหยั่งฉายแววอ่อนโยน มุมทั้งสองของริมฝีปากเย้ายวนถูกยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวแสดงความพึงพอใจออกมา ที่เธอสวมอยู่คือชุดเดรสกระโปรงยาวคลุมขาสีฟ้าอ่อนไม่ต่างกับท้องฟ้าของวันนี้ทับด้วยเสื้อคลุมสั้นสีเขียวมะนาว

            “อาหารเช้าอยู่บนโต๊ะครับ อยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า”

            พ่อบ้านชุดดำเอ่ยขณะหญิงสาวเข้าไปในห้องรับประทานอาหารที่เธอคิดว่าใหญ่โตเกินความจำเป็นสำหรับคนๆเดียว อาหารที่ถูกเตรียมไว้นั้นทำขึ้นอย่างเรียบง่ายและไม่มีการประดิดประดอยใดๆตามหลักการใช้ชีวิตของผู้คนในสหภาพที่ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด

            “ไม่ล่ะค่ะ แค่นี้ก็อาจทานไม่หมดแล้ว”

            ซินเธียยก PCD ขึ้นเปิดรายการข่าวเช้าและฟังผู้ประกาศข่าวสรุปเหตุการณ์เด่นพร้อมกับจัดการมื้อเช้าอย่างใจเย็น โดยมีโมโจที่ซัดอาหารเช้าของมันหมดแล้วคอยเอาหัวดุนๆต้นขาของเธอเป็นเชิงขอกินด้วย ซึ่งหญิงสาวก็แบ่งให้อย่างใจดีถึงจะรู้ว่าอาจทำให้มันเสียนิสัยก็ตาม

            “นั่นละฮะท่านผู้ชม ต่อไปคือรายงานเกี่ยวกับเหตุกองโจรบุกยึดเมืองแห่งหนึ่งในเขตการปกครองของราชอาณาจักร ซึ่งทางกองทัพราชอาณาจักรสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วเมื่อเย็นวานนี้...”

            เนื่องจากเป็นข่าวที่เธอไม่สนใจและอาหารก็หมดพอดี มันจึงถูกปิดลงไป กุนเธอร์ที่ยืนรออยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็เริ่มพูด

            “งานแรกของวันนี้คือไปรับหนังสือเดินทางและรายละเอียดของการเจรจาที่สำนักงานการทูตครับ ไม่น่าเกินสิบเอ็ดโมงเช้าก็น่าจะเรียบร้อย จากนั้นก็เดินทางไปคริสซาลิสและรอเจรจากับองค์ราชินีแห่งราชอาณาจักรในวันพรุ่งนี้ครับ”

            “งั้นไปกันเลยดีกว่าค่ะ อย่าให้ทางสำนักงานต้องรอนานเลย”

            “ผมขอไปแจ้งก่อนนะครับว่าคุณซินเธียกำลังจะเดินทางแล้ว”

            แล้วร่างของพ่อบ้านตระกูลเดอ ลาพาซก็หายไปโดยไม่รอคำตอบ ซินเธียถอนหายใจเบาๆ บางทีเขา หรือจริงๆแล้วก็คือ AI(Artificial Intelligence: ปัญญาประดิษฐ์) ผู้ช่วยประจำตัวของเธอ ก็เป็นพวกชอบดูแลมากจนเกินไปหน่อย

            “อยู่บ้านคนเดียวก็อย่าทำอะไรเลอะเทอะนะโมโจ ฉันเติมเครื่องให้อาหารจนเต็มแล้ว ถ้าหิวก็กินได้เลย ฉันอาจไม่อยู่สักสองสามวัน แต่จะรีบกลับนะ”

            หญิงสาวก้มลงพูดกับสัตว์เลี้ยงของเธอที่แลบลิ้นสากๆออกมาเลียใบหน้าของเจ้าของอย่างรักใคร่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร มือยกขึ้นลูบหัวของมันคราหนึ่ง ในหัวก็เหมือนได้ยินเสียงของเด็กชายตัวเล็กๆพูดด้วยเสียงร่าเริง

            ‘เข้าใจแล้วฮับ กลับมาเร็วๆน้า’

          ซินเธียยิ้มให้กับคำพูดนั้น

            ก่อนบอกกับตัวเองให้เลิกจินตนาการเสียงพวกนี้ขึ้นมาซะที ไม่งั้นคงต้องลองไปพบจิตแพทย์แบบจริงจังสักครั้ง

            ถึงในฐานะชาวสหภาพ การสนิทสนมกับบรรดาสิ่งมีชีวิตบนไกอาจะเป็นเรื่องดี แต่การได้ยินพวกมันพูดนี่ก็ออกจะเกินไปหน่อยเหมือนกัน

            เรื่องทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่อิกดราซิลและได้ใกล้ชิดกับเหล่า ‘ชาวพื้นเมือง’ ของไกอา ตอนเด็กๆเธอก็คิดว่ามันเจ๋งดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป และเธอก็ไม่เคยเห็นใครออกมาป่าวประกาศเรื่องได้ยินเสียงแบบนี้ด้วย

            หญิงสาวไล่เรื่องไร้สาระออกไปจากห้วงความคิด พยายามทบทวนถึงขั้นตอนการทำงานต่างๆขณะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของที่พักอาศัย สู่เบื้องนอกอันอบอุ่นตามแบบบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยจุดสีดำมากมายดูวุ่นวาย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับสถานที่อันได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวง เพียงแค่ว่าจุดสีดำเหล่านั้นไม่ใช่พาหนะอันใด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตติดปีกหลากหลายสายพันธุ์ที่มีผู้บังคับบ้างไม่มีบ้างต่างหาก

            “สวัสดีครับคุณซินเธีย วันนี้ก็สวยเหมือนเคยนะครับ...ว้ากกกก เหวออออ”

            เสียงทักทายดังมาจากด้านบน ซินเธียยิ้มให้กับเด็กหนุ่มและเด็กสาวซึ่งอยู่ในที่พักอาศัยใกล้ๆกัน ตอนนี้ทั้งสองอยู่บนหลังของนกขนาดใหญ่ที่มีสี่ปีก และดูท่าว่าคำพูดของคนหนึ่งจะทำให้อีกคนไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธอจึงบังคับให้เจ้านกบินทิ้งดิ่งลงไปเหมือนเครื่องบินตกจนเด็กหนุ่มแหกปากร้องอย่างกลัวสุดชีวิต

            ซินเธียมองทั้งคู่บินฉวัดเฉวียนไปมาสักครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาพาหนะของตัวเองซึ่งนอนนิ่งสงบอยู่บนดาดฟ้าโล่งกว้างบ้าง

            “วันนี้ก็ต้องพึ่งเธออีกแล้วนะอาเนีย”

            อาเนียที่หญิงสาวเรียกคืออีกหนึ่งในสัตว์เลี้ยงของเธอและทำหน้าที่เป็นพาหนะใช้เดินทางไปไหนมาไหนอีกด้วย มันมีร่างกายค่อนข้างเพรียวปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงสลับส้ม ศีรษะที่ประกอบด้วยปากเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมและดวงตาโปนต่อออกมาจากลำคอสั้นๆ ปีกทั้งสี่พับซ้อนกันอยู่ข้างลำตัว หางยาวโบกไปมาช้าๆเหมือนจะทักทายผู้เป็นเจ้าของ ความยาวจากหัวจรดหางของมันอยู่ที่ยี่สิบเมตร ถึงจะบอกว่าดาดฟ้ากว้างก็จริงแต่อาเนียก็ใช้พื้นที่กว่าค่อนในการนอนเลยทีเดียว วันไหนที่อากาศดีๆ ซินเธียก็จะขึ้นมานอนอ่านหนังสือหรืองีบบนตัวของมันประจำ

            ซินเธียปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังตะปุ่มตะป่ำไปด้วยหนามทู่ๆของอาเนียและนั่งลงในจุดที่เธออยู่เป็นประจำ เมื่อนั้นมันจึงยืนขึ้นบนขาทั้งสองข้าง กางปีกออกและเริ่มโบกจนมันและคนขี่ลอยอยู่เหนือพื้นประมาณสิบเมตร หญิงสาวจับหนามอันหนึ่งที่ใหญ่กว่าเพื่อนและอยู่ด้านหน้าเธอพอดี มันคือสิ่งที่เธอใช้สำหรับควบคุมทิศทางการบินของอาเนีย ซึ่งกว่าจะฝึกได้ก็ใช้เวลาอยู่นานโข

            ‘เกาะดีๆล่ะยัยหนู ฉันขี้เกียจบินควงสว่านลงไปรับเธออีก’

            เสียงของหญิงชราฟังดูเหนื่อยหน่ายดังขึ้นในหัวของซินเธียผู้นึกด่าตัวเองในใจ จดโน้ตลงสมองไว้ว่าหลังจบงานที่คริสซาลิส เธอจะไปพบจิตแพทย์ให้ได้

            “เอาละ ไปละนะ”

            หญิงสาวบังคับให้พาหนะของเธอบินสูงขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งขึ้นมาสูงพอ เธอก็ทอดสายตาลงไปทัศนียภาพเบื้องหน้า มันเป็นหนึ่งในภาพที่เธอชอบที่สุดตั้งแต่จำความได้ และเมื่อไหร่ที่มีโอกาสเธอก็จะแวะเวียนมาดูมันอยู่เสมอๆ

            ถ้าจะให้เธอมอบคำจำกัดความแก่อิกดราซิลแบบสั้นๆ เธอคงตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า ‘เมืองป่า’

            อิกดราซิลคือเมืองที่เคารพสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วอย่างมากถึงมากที่สุด อาคารบ้านเรือนทุกหลังถูกผสมผสานเข้ากับเนินเขา ต้นไม้ หรืออะไรก็ตามที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นโดยแทบไม่มีการสร้างผลกระทบใดๆ

            หากจะบอกว่าสิ่งที่เด่นที่สุดของคริสซาลิสคือซิทาเดล ก็แน่นอนว่าแลนด์มาร์คอันไม่มีสิ่งใดในเมืองหลวงแห่งสหภาพจะเทียบได้คือต้นไม้ขนาดมโหฬารที่ขึ้นอยู่ใจกลางเมือง หรือต้องบอกว่า เมืองถูกสร้างขึ้นรอบๆมันมากกว่า

            ต้นไม้ต้นนี้มหึมาเสียจนรากที่แผ่ขยายออกไปของมันนั้นสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับพลเมืองจำนวนมากเลยทีเดียว และตามลำต้นยังมีอาคารต่างๆถูกก่อสร้างไว้มากมายอีกด้วย นอกจากที่ว่าขนาดของโคนต้นกินพื้นที่พอๆกับซิทาเดลแล้ว ความสูงของมันยังเฉียดถึงก้อนเมฆอีกด้วย ดูราวกับเป็นมือของไกอาที่พยายามจะไขว้คว้าให้ถึงสรวงสวรรค์

            แน่นอนว่าด้วยลักษณะของมันแล้ว ไม่มีชื่อไหนที่จะเหมาะไปกว่า ’อิกดราซิล’ หรือก็คือต้นไม้ที่คอยค้ำจุนโลกในเทพปกรณัมนอร์สนั่นเอง และเมืองหลวงของสหภาพก็ได้ชื่อตามเจ้าต้นไม้นี้ไปโดยปริยาย

            เบื้องล่างหญิงสาวคือป่าโปร่งที่ประกอบด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดและคลาคล่ำไปด้วยการเคลื่อนไหวจากชีวิตประจำวันของชาวเมือง ไม่มีร่องรอยของถนนหรือเส้นทางการจราจรที่มาจากฝีมือมนุษย์เลย เพราะพาหนะทางพื้นดินคือเหล่าสัตว์นานาชนิดที่ชาวเมืองต่างใช้แทนรถกันอย่างแพร่หลาย หรือเอาจริงๆก็คือไม่มีใครที่มีรถเสียด้วยซ้ำไป

            ในขณะที่ขั้วอำนาจอีกสองฝ่ายนั้นไม่ยอมปล่อยให้มีสัตว์พื้นถิ่นของไกอามาเดินเพ่นพ่านในเขตของตัวเองเป็นอันขาด ประชาชนของสหภาพกลับมีความใกล้ชิดกับบรรดาสัตว์เหล่านั้นราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน ตามหลักแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคสมัยแห่งการก่อตั้งสหภาพ

            ‘เพื่อไมให้เกิดความผิดพลาดแบบเดียวกับที่บรรพบุรุษของเราได้ทำกับโลก สิ่งที่พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงบนดาวดวงนี้ไม่ใช่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แต่เป็นตัวของพวกเราเอง’

            ซินเธียทอดสายตาไปยังสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งซึ่งดูโดดเด่นออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างในมหานครแห่งนี้ มันคือโดมสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งอยู่บริเวณผิวลำต้นของอิกดราซิล คล้ายกับหยดสีที่จิตรกรเผลอทำหยดใส่ระหว่างแต่งแต้มภาพผลงานชิ้นเอก

            อนุสรณ์แห่งลีโอเนล แอซเบิร์ก ชายผู้ชักนำเหล่าอาณานิคมที่มีความคิดคล้ายคลึงกันมาอยู่ภายใต้ธงผืนเดียวกัน

            ธงแห่งสหภาพ

            และเป็นเจ้าของประโยคที่กำหนดการดำรงชีวิตของเหล่าผู้คนในสหภาพมาอีกนานหลายศตวรรษ

            ราวกับตลกร้ายที่อนุสรณ์ของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่แปลกแยกที่สุดเสียเอง

            หญิงสาวจมอยู่กับภาพของอิกดราซิลอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจนกระทั่ง PCD ของเธอส่งเสียงแจ้งการติดต่อเข้า เธอยกมันขึ้นมาเพื่อเจอใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนรนของกุนเธอร์

            “คุณซินเธีย! นี่มันจะเลยเวลานัดแล้วนะครับ รีบมาเร็วเข้า!”

            คนถูกเร่งเหลือบตามองนาฬิกาบนจอ PCD ก่อนจะตกใจแทบช็อกเมื่อพบว่าเหลืออีกไม่ถึงห้านาทีก่อนจะถึงเวลานัด ซินเธียเก็บ PCD อย่างลนลานและรีบออกคำสั่งให้อาเนียบินด้วยความเร็วสูงสุดทันที เป้าหมายของเธออยู่ที่อาคารขนาดใหญ่หลังหนึ่งบนลำต้นอิกดราซิล

            ถึงจะต้องเร่งรีบ แต่สายลมที่ปะทะใบหน้าของหญิงสาวขณะที่เธอแหวกอากาศไปด้วยความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ยังคงให้ความรู้สึกดีจนอยากร้องตะโกนออกมาดังๆชนิดที่ว่าครูสอนมารยาทของเธอตอนเด็กๆมาเห็นคงลมจับ

            ซินเธียให้สัตว์เลี้ยงของเธอร่อนลงตรงที่ๆสำนักงานจัดไว้ให้พาหนะบิน หญิงสาวรีบหย่อนตัวลงจากหลังของอาเนียและออกวิ่งไปยังห้องทำงานของหัวหน้าเธออย่างไม่คิดชีวิต เหล่าเจ้าหน้าที่ในสำนักงานต่างมองเธอด้วยความสนอกสนใจ เพราะไม่ใช่บ่อยนักที่จะมีโอกาสได้เห็นคุณหนูของตระกูลเดอ ลาพาซ ในสภาพแบบนี้

            เธอหยุดหอบหายใจชั่วครู่หน้าห้องที่มีป้ายกำกับไว้ว่า ‘เรมาร์ ฮาลสัน หัวหน้าสำนักงานการทูตแห่งสหภาพ’ สูดลมหายใจลึกๆก่อนจะเปิดประตูห้อง

            “สายไปหนึ่งนาทีสิบห้าวินาทีนะคุณเดอ ลาพาซ”

            เสียงเย็นๆดังขึ้นเมื่อซินเธียเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ด้านนอกสุดของอาคาร กำแพงทุกด้านเป็นกระจกเผยให้เห็นภาพของอิกดราซิลภายนอก ชายคนหนึ่งนั่งเอามือประสานไว้บนโต๊ะทำงาน สายตาคมกริบมองมายังหญิงสาวที่สภาพดูไม่จืดเลยสักนิด

            “ขอโทษด้วยค่ะ...”

            “คราวหลังก็อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก สำหรับนักการทูตอย่างเรา การตรงเวลากับคู่เจรจาถือเป็นเรื่องสำคัญมาก”

            “เข้าใจแล้วค่ะ...”

            ซินเธียพยายามจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้ดีขึ้นก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้องซึ่งยังคงจ้องมองเธออย่างไม่วางตา

            เรมาร์ ฮาลสัน คือนิยามของคำว่า ‘กฎระเบียบ’

            ชายในช่วงปลายวัยกลางคนผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานการทูตไว้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้น ดวงตาสีอเมทริสต์ฉายแววเฉียบขาด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเคร่งเครียดแสดงถึงการครุ่นคิดตลอดเวลา ปากเม้มแน่นไร้รอยยิ้ม เขาสวมชุดสูทสีเรียบๆไม่มีแม้รอยยับสักรอยเดียว ถึงจะดูไม่ค่อยต่างอะไรกับหัวหน้าแผนกในบริษัททั่วๆไป แต่ฝีไม้ลายมือในสายงานของเขาเองนั้นถือได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร

            ถ้าคาร์ลอส วัลเดซคือตำนานแห่งการสงครามของไกอา เรมาร์ก็เป็นดั่งยอดคนในแวดวงการทูต ความสามารถในการร่างสัญญาและข้อตกลงต่างๆ รวมถึงเทคนิคในการโน้มน้าวใจคนที่น้อยคนนักจะเทียบได้ของเขาช่วยให้สหภาพที่มีกองทัพอ่อนแอสุดในสามขั้วอำนาจใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากอาณานิคมต่างๆจนสามารถยืนหยัดต่อสู้กับราชอาณาจักรและสมาพันธรัฐได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ ถึงตอนนี้หน้าที่ของเขาจะลดลงเหลือแค่จัดทำข้อตกลงกับฝึกนักการทูตรุ่นใหม่ แต่ฝีมือของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง

            “ฉันจะโอนรายละเอียดของการเจรจาที่เราจะทำกับราชอาณาจักรใส่ PCD ของเธอให้ ไปศึกษาให้ดี เวลาของการนัดเจรจาคือพรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรงที่พระราชวังเกรเซียส องค์ราชินีจะเสด็จมาด้วยพระองค์เองเลย”

            ซินเธียแอบกลืนน้ำลาย งานชิ้นแรกก็จะให้ไปเสวนากับผู้มีอำนาจสูงสุดของราชอาณาจักรเลยเหรอ?

            “ไม่ต้องกังวลไปหรอก มันไม่ใช่ข้อตกลงที่มีความสำคัญมากมายอะไรขนาดนั้น ที่ฉันต้องการคือให้เธอฝึกรับแรงกดดันในการเจรจาของจริงมากกว่า”

            เรมาร์ลุกจากเก้าอี้ของเขา หันหลังให้กับหญิงสาว มองออกนอกห้องทำงานไปยังทิวทัศน์ของอิกดราซิล

            “เมื่อไปถึงคริสซาลิสแล้ว การสื่อสารกลับมาที่นี่จะถูกตัดขาด หรือไม่ก็ต้องผ่านการตรวจสอบของทางฝ่ายนั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งฉันต้องการ”

            “แปลว่า...”

            “ใช่ เธอต้องพึ่งตัวเอง ไม่ว่าจะในการเจรจาหรืออะไรก็ตาม”

            หัวหน้าสำนักงานทูตกลับหลังหันมาหาหญิงสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดกลับมีรอยยิ้มบางๆอยู่

            “ฉันเชื่อว่าเธอจะทำได้นะ ในฐานะของทูตอายุน้อยที่สุดตั้งแต่การก่อตั้งสหภาพมา”

            ‘พูดอย่างนี้ก็ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่...’

            ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ซินเธียก็ใช้ความสามารถในฐานะทูตที่ฝึกฝนมาเรียกยิ้มตรึงใจส่งกลับให้เรมาร์ ปากก็เอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ

            “ฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ”

            “ขอให้โชคดี เอาละ ยานสำหรับเดินทางไปคริสซาลิสของเธอคงจะพร้อมแล้ว ไปได้แล้วละ”

            ซินเธียออกจากห้องทำงานของเรมาร์ด้วยหัวใจหนักอึ้ง ความคาดหวังจากคนระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่จะแบกรับไว้ได้โดยง่าย

            “ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับคุณซินเธีย”

            ร่างโฮโลแกรมของกุนเธอร์ปรากฏขึ้นข้างๆเธอและเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของหญิงสาว

            “นิดหน่อยน่ะค่ะ”

            เมื่อนั้นซินเธียจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไงซะเธอก็มีกุนเธอร์อยู่ทั้งคน ตราบใดที่เธอพกเครื่องมือสื่อสารใดๆไว้กับตัว เขาที่เป็น AI ก็สามารถไปไหนมาไหนกับเธอได้อยู่แล้ว และนั่นทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยที่ตัวเองไม่ได้อ้างว้างเสียทีเดียว

            “งั้นผมล่วงหน้าไปที่ท่าอวกาศยานก่อนเลยนะครับ”

            เมื่อทั้งคู่มาถึงอาเนียที่นอนอาบแดดรออย่างสุขสบาย กุนเธอร์ก็หายไปอีกหน ซินเธียอาศัยอาเนียพาตัวเองขึ้นไปจนเกือบถึงบริเวณที่อิกดราซิลเริ่มแตกกิ่งก้านสาขา ที่ซึ่งท่าอวกาศยานเพียงแห่งเดียวในสหภาพตั้งอยู่ มันเป็นที่แห่งเดียวซึ่งมีพาหนะอันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

            “คุณซินเธีย เดอ ลาพาซ สินะครับ เชิญทางนี้เลยครับ ยานของคุณรออยู่แล้ว”

            ทันทีที่หญิงสาวลงจากสัตว์เลี้ยงของเธอ ชายในชุดพนักงานท่าอวกาศยานก็เดินเข้ามาหาเธอทันทีพร้อมกับผายมือไปทางโซนเล็กๆของท่าซึ่งสงวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

            สิบนาทีต่อมา หญิงสาวก็นั่งอยู่บนเบาะหนานุ่มของยานเดินทางส่วนตัวโดยมีกุนเธอร์เสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่างให้อย่างกระตือรือร้นด้วยการเข้าควบคุมหุ่นบริการของเครื่อง

            “กำลังจะออกเดินทางแล้วนะครับ”

            พ่อบ้านตระกูลเดอ ลาพาซเอ่ยกับผู้โดยสารเพียงคนเดียวหลังจากแน่ใจว่าเจ้านายของเขาจะมีอาหารการกินไม่ขาดตกบกพร่องไปตลอดทั้งทาง และยานก็ยกตัวทะยานขึ้นสูง มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง

            ระหว่างการเดินทาง ซินเธียก็อ่านรายละเอียดของการเจรจาที่เรมาร์มอบให้เป็นหน้าที่ของเธอ และปรึกษากับกุนเธอร์ในหลายๆเรื่อง ซึ่งเขาก็สามารถตอบได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็นสมกับที่เป็น AI ผู้ช่วยที่ถูกสั่งทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ราคาค่าตัวของเขานั้นทำเอาทรัพย์สินของตระกูลเดอ ลาพาซร่อยหรอไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว แต่มันก็เป็นราคาที่พ่อของเธอยอมจ่ายเพื่อจะมั่นใจว่าลูกสาวของเขามีคนคอยดูแลตลอดเวลา

คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร

  1. 12.05 น.

            “ถึงแล้วครับ คริสซาลิส เมืองหลวงของราชอาณาจักร”

            กุนเธอร์พูดในขณะที่ซินเธียไล่สายตาผ่านบรรทัดสุดท้ายของเอกสารการเจรจาพอดี ยานเดินทางลดระดับลงต่ำกว่าชั้นเมฆหนา เผยให้หญิงสาวเห็นคริสซาลิสที่เรืองรองใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันด้วยสายตาของเธอเองเป็นครั้งแรก

            “ว้าว สวยจัง...”

            เธอเผลออุทานออกมา ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นภาพของคริสซาลิสมาหลายครั้งแล้ว แต่การได้เห็นของจริงนั้นเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปมากๆ กุนเธอร์อ่านใจหญิงสาวออกจึงบังคับยานบินวนรอบเมืองหนึ่งรอบ ให้เธอได้เก็บเกี่ยวความทรงจำเกี่ยวกับเมืองนี้อย่างเต็มที่ก่อนจะลงจอดยังซิทาเดล ซึ่งซินเธียต้องผ่านตรวจเช็คซ้ำซากเกือบสิบขั้นตอนและเกือบถูกบังคับให้ต้องทิ้งกุนเธอร์ไว้ที่ซิทาเดลในระหว่างอยู่คริสซาลิส แต่เธอใช้เหตุผลแถรอดออกมาได้อย่างฉิวเฉียด

            “การปฏิบัติต่อทูตจากฝ่ายอื่นของที่นี่แย่มากเลยนะครับ ไม่มีแม้แต่ที่พักหรือรถรับส่งให้ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมไว้ให้เรียบร้อย”

            พ่อบ้านชุดดำดีดนิ้วเปาะ รถโดยสารส่วนตัวอัตโนมัติที่มีให้บริการอยู่ตามท้องถนนคริสซาลิสคันหนึ่งก็ลอยเข้ามาจอดนิ่งด้านหน้าทั้งสองซึ่งยืนอยู่ข้างสถานียานขนส่งของซิทาเดล การนั่งบนรถทำให้ซินเธียรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย เพราะปกติพาหนะที่เธอใช้มันจะไม่นิ่งขนาดนี้

            ขณะเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้าในการจราจรอันเลวร้ายของคริสซาลิส เธอก็ได้สวนทางกับรถคันหนึ่งซึ่งเจ้าของรถที่เป็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนายทหารผล็อยหลับไปเสียแล้ว หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อย แต่แล้วใบหน้าของเขาก็ทำให้ในห้วงความคิดเธอมีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมา

            เรื่องราวที่ทั้งงดงามและขมขื่นเมื่อสิบสามปีก่อน...

            หญิงสาวหันกลับไปมองรถคันนั้นอีกครั้ง แต่มันก็แล่นผ่านไปแล้ว เธอจึงสรุปว่าคงเป็นเพราะความบังเอิญเสียมากกว่า

            ‘วันนั้น นอกจากครอบครัวเราแล้ว คงไม่มีใครรอด...’

            ภาพของหมู่บ้านที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉานและการปะทะกันอย่างรุนแรงของกองทัพแห่งสามขั้วอำนาจใหญ่ที่เธอมองเห็นตอนขึ้นยานอพยพฉุกเฉินหนีออกมาจากสถานที่เคยเป็นบ้านเกิดของเธอยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ

            หญิงสาวหลับตาลง อยากจะลืมเรื่องราวพวกนั้นไปเสียให้หมด แต่ถึงอย่างไร มันก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง

เขตที่พักนักท่องเที่ยว

  1. 18.22 น.

            “เฮ้อ เสร็จซะที”

            ซินเธียถอนหายใจยาวหลังจากตระเตรียมคำพูดที่จะใช้สำหรับการเจรจาในวันพรุ่งนี้พร้อมสรรพ พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้นุ่มสบายในห้องเดอลุกซ์ที่กุนเธอร์จองไว้ให้ โดยเจ้าตัวกำลังจัดอาหารมื้อเย็นให้กับคุณหนูของเขาอยู่

            “ดินเนอร์วันนี้ครับ คุณซินเธียอยากเปลี่ยนบ้างหรือเปล่า”

            รายการอาหารเกือบสิบอย่างเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ PCD ของหญิงสาว เธอยิ้มแห้งๆก่อนจะเอาออกกว่าครึ่ง ขืนกินขนาดนั้นเธอคงใส่ชุดไม่เข้าเป็นแน่

            สุดท้ายแล้ว ซินเธียก็รู้สึกเสียใจที่เอาอาหารออกซะเยอะ เพราะแต่ละจานที่ทางโรงแรมทำมาให้นั้นน้อยซะจนเหมือนเอาไว้กินเอาหน้ามากกว่ากินเอาอิ่ม แถมยังประดิดประดอยซะจนเธอแทบไม่กล้ากินเพราะความสวยของพวกมัน

            “ออกไปเดินเล่นหน่อยไหมครับ? คริสซาลิสยามค่ำคืนเองก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ตอนกลางวันเลยนะ”

            หลังจัดการกับมื้อเย็นที่เหมือนกับของว่างซะมากกว่าเรียบร้อย พ่อบ้านของเธอก็ถามขึ้น ซึ่งซินเธียเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเธอเบื่อการอยู่ในห้องเฉยๆโดยไม่มีอะไรทำเต็มทนแล้ว

            แต่ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังรอรถโดยสารอยู่หน้าโรงแรม กุนเธอร์ก็ได้รับการติดต่อเข้าจากใครคนหนึ่ง

            “ครับ...ทราบแล้วครับ จะไปในทันทีครับ”

            ซินเธียเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะคนที่ติดต่อหากุนเธอร์ได้โดยตรงนอกจากเธอแล้วก็มีเพียงคนเดียว

            “ขอโทษด้วยนะครับคุณซินเธีย ผมคงไปเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว คุณท่านเรียกผมเข้ารายงานสถานการณ์ประจำสัปดาห์น่ะครับ” เขาหันมาพูดกับหญิงสาวด้วยเสียงที่แสดงความขอโทษอย่างชัดเจน

            “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

            “ขอโทษจริงๆครับ ผมจะพยายามกลับมาให้เร็วเท่าที่จะเป็นไปได้นะครับ”

            ภาพโฮโลแกรมของกุนเธอร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงหายไปพร้อมๆกับที่รถโดยสารคันหนึ่งเข้ามาจอดหน้าซินเธียพอดี

            “จะไปไหน...ครับ?”

            คนขับซึ่งเป็นชายใบหน้าแจ่มใสถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าชวนลุ่มหลงของผู้โดยสารคนล่าสุด

            “พอจะมีที่สวยๆตอนกลางคืนบ้างไหมคะ ฉันเพิ่งเคยมาที่นี่เลยไม่รู้จักอะไรเท่าไหร่”

            “ที่สวยๆตอนกลางคืน...สนใจเอลลีเซียมไหมครับ ถ้ามาที่คริสซาลิสแล้วไม่ได้ไปเอลลีเซียม ถือว่ามาไม่ถึงนะครับจะบอกให้”

            เธอขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง ถึงจะไม่รู้ว่าเอลลีเซียมคือที่ไหน แต่แค่ไปคงไม่เสียหายอะไร

            แม้ว่าสุดท้ายแล้วราตรีนี้จะจบลงในแบบที่เธอหรือใครๆไม่อาจคาดฝันก็ตาม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา