The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  16.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Calm before the Storm

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Prologue Act
Chapter 1st
Calm before the Storm
 
โรงนอนกองร้อยที่สี่
ฐานทัพเคลื่อนที่ กองพันทหารราบที่สิบสามแห่งราชอาณาจักร
บริเวณชานเมืองทาร์โซนิส
19 กันยายน ก.ศ. 327

17.29 น.

          ชายหนุ่มคนหนึ่งสะดุ้งตื่นจากความทรงจำอันเลวร้ายซึ่งถูกซ่อนไว้ในซอกใดซอกหนึ่งของจิตใจมานานจนกระทั่งเกือบจะลืมไปแล้ว แต่วันนี้มันก็ยังตามมาหลอกหลอนอีกจนได้ เขาลูบใบหน้าที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พยายามจะผลักภาพเหล่านั้นกลับลงไปให้ลึกที่สุด การคิดถึงเรื่องเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไร
            “ร้อยเอกเลเดน ไครส์ เชิญที่ศูนย์บัญชาการ”
            เสียงเรียบๆของหญิงสาวดังก้องไปทั่วโรงนอน เมื่อได้ยินชื่อของตน ชายหนุ่มก็ยันตัวลุกขึ้น คว้าเสื้อนอกที่วางกองอยู่บนหมอนมาสวม ในใจนึกสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้จู่ๆก็ถูกเรียกเข้าพบ เขายังไม่ได้ทำอะไรที่โดดเด่นหรือเสื่อมเสียสักอย่างเลย
            เลเดนไล่ความคิดนั้นออกจากหัวก่อนจะก้าวออกจากห้องพักของตนเอง ออกไปสู่ความวุ่นวายของโถงใหญ่โรงนอน ที่ซึ่งทหารผู้ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาฝึกกำลังทำกิจกรรมตามใจฉันกันอยู่
            “ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ... สวัสดีครับ...”
            เขาเดินลัดเลาะผ่านวงไพ่ที่กำลังจ้องหน้ากันเครียดเขม็ง ทักทายคนรู้จักสองสามคน หยุดฝีเท้าลงก่อนที่จะออกจากหอนอนเพียงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงประกาศอีกรอบหนึ่ง
            “ร้อยตรีฟูจิมิยะ อากิ เชิญที่ศูนย์บัญชาการ”
            ยังไม่ทันสิ้นเสียงหนึ่งในประตูห้องพักจำนวนมากที่เรียงรายไปตามความยาวเกือบห้าสิบเมตรของหอนอนก็เปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาและรุดไปยังประตูทางเข้าออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็หมายถึงมาทางเลเดนนั่นเอง
            เมื่อเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มจึงสังเกตรายละเอียดของเธอได้มากขึ้น เธอมีเส้นผมสีขาวออกเงินตรงยาวถึงกลางแผ่นหลัง ผิวขาวนวล ใบหน้าเรียวกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงแววเย็นชา ริมฝีปากเม้มตรง โดยรวมแล้วถือว่าจัดอยู่ในเกณฑ์สวยเลยทีเดียว เธอสวมเสื้อคอเต่าสีขาวประทับตรากองทัพบกแห่งราชอาณาจักร กางเกงขายาวและรองเท้าคอมแบท เครื่องแบบปกติสำหรับทหารยามว่าง เธอชายตามองเลเดนเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าออกไปสู่แสงอาทิตย์ยามเย็นของไกอา
            “รอก่อนครับ คุณ เอ่อ ฟูจิมิยะ ใช่มั้ย” ด้วยเดาได้จากชื่อว่าหญิงสาวน่าจะมีเชื้อสายญี่ปุ่นจากโลกเก่า ซึ่งตามมารยาทแล้ว คนญี่ปุ่นจะไม่เรียกคนที่ไม่สนิทด้วยชื่อ ชายหนุ่มจึงวิ่งเหยาะๆตามหญิงสาวจนทันและเรียกเธอด้วยชื่อสกุลแทน เขาเหมือนเคยเห็นเธอจากที่ไหนมาก่อนแต่จำได้ไม่ชัดเจน
            “ใช่” เธอตอบห้วนๆ ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น เลเดนที่ไม่รู้จะถามอะไรอีกก็ได้แต่เดินตามเธอไปจนถึงศูนย์บัญชาการ
            ศูนย์บัญชาการเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมชั้นเดียวซึ่งถูกสร้างด้วยโลหะทั้งหลัง มีทางเข้าออกเพียงแค่ทางเดียว ด้านบนมีลานจอดพาหนะทางอากาศของนายทหารระดับสูง มันมีขนาดไม่ต่างจากโรงนอนเท่าใด แต่ความสำคัญนั้นผิดกันอย่างลิบลับ ถ้าไม่มีโรงนอน เหล่าทหารยังพอนอนกลางดินกินกลางทรายกันได้ แต่หากปราศจากศูนย์บัญชาการแล้ว กองกำลังทั้งหมดก็แทบไม่ต่างจากคนหูหนวกตาบอดเลย
            “เลเดนกับอากิสินะ เอ้า เข้าไปได้เลย พันโทแมนกำลังรออยู่” ทหารซึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามในชุดรบกล่าวทักทายทั้งคู่ ปล่อยมือหนึ่งออกจากปืนไปกดแผงควบคุมที่ติดอยู่บนผนังใกล้ๆเพื่อเปิดประตูทางเข้า และกลับไปยืนในท่าเดิม เลเดนกล่าวขอบคุณเบาๆขณะที่อากิก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าศูนย์บัญชาการ มีทหารคนหนึ่งยืนรอพวกเขาอยู่ด้านในแล้ว และทหารคนนั้นก็บุ้ยใบ้เป็นเชิงให้ตามมา
            ภายในศูนย์บัญชาการนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด เหล่าทหารชั้นบังคับบัญชาถกเถียงกันเสียงดังโหวกเหวก แผนที่โฮโลแกรมขนาดใหญ่ที่ถูกฉายอยู่กลางอากาศบริเวณใจกลางศูนย์บัญชาการแสดงถึงรายละเอียดของภูมิประเทศบริเวณที่จะกลายเป็นสนามรบในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็คือเมืองทาร์โซนิสนั่นเอง มันเต็มไปด้วยกากบาทแสดงจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เส้นทางการบุก และสัญลักษณ์แทนทหารหน่วยต่างๆ รายละเอียดของมันเปลี่ยนแปลงเป็นระยะตามแต่ว่าจะมีเสนาธิการคนไหนเสนอแผนการรบที่แตกต่างกันขึ้นมา
            “ท่านครับ คนที่ท่านตามตัวมาถึงแล้วครับ”
            ทหารที่เดินนำเลเดนกับอากิมากล่าวกับชายในเครื่องแบบนายทหารชั้นสูงคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนมองแผนการรบแบบต่างๆด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เขามีเส้นผมสีบลอนด์ทองตัดเป็นทรงเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้าหลังแว่นตาไร้กรอบฉายแววฉลาดเฉลียว เมื่อมีคนเรียกเขาก็หลุดจากภวังค์และยิ้มออกมา
            “ขอบใจมากพลทหารคลินต์ คุณไปพักได้แล้วละ”
            “ครับท่าน”
            เมื่อคลินต์เดินจากไปแล้ว ชายคนนั้นก็หันเหความสนใจมาทางผู้มาใหม่ทั้งสองแทน
            “เอ้า สวัสดี ชั้นเชื่อว่าเราไม่เราพบกันมาก่อน แต่พวกเธอน่าจะเคยได้ยินชื่อของชั้นมาบ้าง...”
            “พันโทแมนูเอล คอนเนอร์ ผู้บัญชาการกองพันทหารราบที่สิบสาม” อากิพูดเสียงเรียบ ทำให้รอยยิ้มของแมนูเอลกว้างกว่าเดิม
            “ไปที่ห้องทำงานของชั้นก่อนแล้วกัน ธุระกับพวกเธอคงไม่เหมาะจะพูดในที่สาธารณะเท่าไหร่”
            นาทีถัดมา ทั้งสามก็นั่งมองหน้ากันอยู่ในห้องของผู้บัญชาการ แมนูเอลนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา ส่วนเลเดนและอากินั่งคู่กันอยู่ฝั่งตรงข้าม
            “เอาละ เริ่มจากเธอนะ ร้อยเอกเลเดน เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยสองของหมวดที่หนึ่งประจำกองร้อยที่สี่” แมนูเอลวางอุปกรณ์หน้าตาเหมือนแผ่นกระดานสีเงินลงบนโต๊ะ มันคือ PCD (Personal Communication Device) อุปกรณ์สารพัดประโยชน์ที่ถึงจะขนาดเล็กแต่ทำได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ และเปิดเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมาส่งให้เลเดนอ่าน
            “จริงๆคนที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของรุ่นอย่างเธอจะให้เป็นหัวหน้ากองร้อยเลยก็ยังได้ แต่นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบน ขอให้เข้าใจด้วยนะ” เขาพูดขณะที่เลเดนไล่สายตาผ่านเอกสารนั้นอย่างคร่าวๆ ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่กับชื่อของผู้ออกคำสั่ง
            ‘คาร์ลอส วัลเดซ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด’
            รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เขายังจำหนึ่งในคำพูดหลายๆคำของเจ้าของชื่อนั้นได้อย่างขึ้นใจ
            ‘ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร พื้นฐานก็สำคัญที่สุด หากฐานไม่ดี ต่อให้สูงใหญ่ขนาดไหนมันก็พังได้อย่างง่ายดาย’
            เมื่อเห็นว่าเลเดนไม่ได้แย้งอะไร แมนูเอลจึงดึง PCD ของตัวเองกลับมาเพื่อเปิดเอกสารอีกฉบับ ก่อนจะส่งให้อากิ
            “ร้อยตรีฟูจิมิยะ เธอจะไปเป็นพลซุ่มยิงประจำหน่วยของร้อยเอกเลเดน”
            หญิงสาวรับเอกสารมาพิจารณาแบบเงียบๆขณะที่แมนูเอลยังคงจ้อต่อไป
            “ว่ากันตามตรงแล้วตำแหน่งของคนที่จบมาด้วยคะแนนการซุ่มยิงสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยมานี่ไม่น่าเป็นแค่พลซุ่มยิงของหน่วยทหารธรรมดาๆเลย แต่คำสั่งของเบื้องบนลงมาแบบนี้ก็แย้งอะไรไม่ได้ แถมไม่ได้ระบุชื่อผู้ออกคำสั่งซะด้วยสิ”
            “ไม่เป็นไรค่ะ” อากิส่ง PCD คืนให้แมนูเอลซึ่งแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ผู้รับคำสั่งทั้งสองไม่มีปัญหาใดๆ เขาเคาะมันเบาๆหนึ่งครั้ง PCD ก็ย่อขนาดเหลือเท่าฝ่ามือและถูกเก็บไป
            “งั้นก็ เดี๋ยวจะพาไปพบกับสมาชิกคนอื่นๆของหน่วยเลยนะ พลทหารคลินต์ มาที่ห้องชั้นด้วย ด่วน” ประโยคหลังแมนูเอลพูดกับเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่ติดอยู่ตรงใบหู ไม่ถึงนาทีคลินต์ก็มายืนหอบทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าห้องผู้บัญชาการโดยมีเลเดนมองอย่างสงสารหน่อยๆ
            “พาทั้งคู่ไปที่โรงฝึกนะ หน่วยของพวกเขาไปรออยู่ที่นั่นแล้ว ชั้นขอตัวไปหารือเรื่องการรบในวันพรุ่งนี้ต่อแล้วกัน” โดยไม่รอคำตอบจากผู้ฟัง แมนูเอลก็กลับไปยังห้องบัญชาการทันที ในขณะที่คลินต์ก็เริ่มออกเดินนำเลเดนและอากิพร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วย
            โรงฝึกเป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวคล้ายโรงนอนแต่ภายในแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างเดียวที่เหมือนกันคือความสับสนวุ่นวายเท่านั้น ภายในโรงฝึกนั้นมีทั้งส่วนฝึกการรบจำลองในโลกเสมือนจริง ส่วนฝึกร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ออกกำลังนานาชนิด รวมทั้งส่วนสำหรับปรับแต่งอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารแต่ละคนอีกด้วย
            “ชั้นส่งแค่นี้ละ หน่วยของนายอยู่ด้านในสุดของโรงฝึก ตรงส่วนฝึกร่างกายนั่นแหละ”
            คลินต์บอกและกลับไปทางศูนย์บัญชาการ เลเดนคิดว่าอีกไม่นานเขาคงโดนแมนูเอลเรียกใช้งานอีกแน่ๆ ในขณะที่อากิเดินลิ่วผ่านเหล่าทหารที่เอียงคอมองเธอกันเป็นแถว เพราะทหารหญิงนั้นมีไม่มากนัก และที่สวยจนน่าไปเป็นนางแบบแทนยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
            “ระวัง!”
            ขณะที่เลเดนเริ่มออกวิ่งเหยาะๆตามไปก็มีเสียงตะโกนลั่น เขาหันไปทางต้นเสียงก็เห็นประกายสีเงินพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง ยังดีที่ชายหนุ่มก้มหลบได้ทันก่อนที่สิ่งนั้นจะปักเข้าไปในผนังซึ่งเมื่อเสี้ยววินาทีก่อนยังมีศีรษะของเขาอยู่
            “เป็นอะไรหรือเปล่า?!”
            ทหารในชุดรบคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ถึงหมวกของชุดจะปิดบังใบหน้าแต่เลเดนก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของผู้หญิง เธอดึงสิ่งที่เกือบบั่นคอของเลเดนออกมาจากผนัง มันคือดาบสีเงินที่มีใบดาบบางเฉียบยาวกว่าหนึ่งเมตร ทหารหญิงคนนั้นพิจารณามันอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีร่องรอยความเสียหายอะไรเธอก็เสียบมันกลับเข้าไปในฝักที่ติดอยู่ตรงด้านหลังของชุด ก่อนจะหันรีหันขวางเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อ
            “ให้ตายสิ ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเอาดาบมาแกว่งแถวนี้...ขอโทษเขาซะสิ” ขณะที่เลเดนพยายามควบคุมหัวใจที่แทบจะทะลักออกมาจากหน้าอกให้สงบลงอยู่นั้น ทหารในชุดรบอีกคนหนึ่งก็เดินขึ้นมายื่นมือดึงเขาลุกขึ้นพร้อมหันไปสั่งทหารหญิงคนนั้น
            “มะ...ไม่ใช่ความผิดของชั้นซะหน่อย! หมอนี่ต่างหากที่ดันมายืนทะเล่อทะล่าแถวนี้เอง!” แต่เธอกลับสะบัดหน้าเดินหนี แถมยังชักดาบออกมาควงอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะลอยไปโดนคอใครเข้าอีก ทหารคนที่สองถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย
            “ต้องขอโทษแทนยัยนี่ด้วยนะครับ...อ้าว นี่คุณ...”
            หมวกของเขาเปิดออกและพับตัวมันเองเข้าไปในส่วนคอของชุดรบ เผยให้เห็นใบหน้าหยาบกร้านแต่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดวงตาสีดำที่หยีเล็กน้อยจากการยิ้มและผมโทนเดียวกันก็ยุ่งไม่เป็นทรงนักจากการถูกบีบอยู่ในหมวก
            “...ร้อยเอกเลเดน ไครส์ใช่มั้ยครับ?”
            “ชะ ใช่ ผมเอง”
            “ดีเลยครับ ผมกำลังจะออกมาหาคุณกับอีกคนหนึ่งพอดีเลย ผม สิบโท แดเนียล คาร์เวลส์ ครับ นับจากวันนี้ไปก็คงจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ ฝากตัวด้วยนะครับ”
            “อ้อ เอ้อ เช่นกันครับ”
            แดเนียลยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ซึ่งเลเดนก็จับตอบและเขย่าตามมารยาท ถึงการจับมือที่อยู่ในชุดรบจะให้ความรู้สึกเหมือนจับเหล็กท่อนมากกว่าก็ตามที
            “มาทางนี้เลยครับ คนอื่นๆก็คงมากันครบแล้วละ”
            สถานที่ซึ่งสมาชิกหน่วยที่เหลือรวมถึงอากิที่เดินนำมาก่อนแล้วกำลังรวมตัวกันอยู่ก็คือโซนพักผ่อนภายในโรงฝึก เกือบทุกคนอยู่ในชุดตามสบายยกเว้นเพียงคนเดียว ซึ่งเลเดนจำได้ทันทีจากดาบที่เสียบอยู่ด้านหลัง
            “ว่าไง ทุกคน ฝึกวันนี้เป็นยังไงบ้าง”
            “มันก็ดีเหมือนเคยแหละคุณแดน แต่ชั้นอยากจะลงสนามรบจริงๆอีกซักหน ฝึกในโลกเสมือนมันน่าเบื่อชะมัดยาด...แล้วพาใครมาด้วยล่ะนั่น” ชายหนุ่มร่างสูงผมทองคนหนึ่งตอบกลับมาพร้อมยกกระป๋องเครื่องดื่มในมือขึ้นซดอึกใหญ่
            “อ้อ ร้อยเอก เลเดน ไครส์ ที่จะมาเป็นหัวหน้าหน่วยของพวกเราตั้งแต่นี้ไปไง แนะนำตัวกันหน่อยสิ”
            สมาชิกหน่วยทุกคนมองเลเดนก่อน จากนั้นก็มองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มผมทองจะพูดขึ้นก่อน
            “สิบตรี เอดการ์ ฮันท์ลีย์ พลจู่โจม”
            ถึงคำพูดจะฟังดูธรรมดา แต่เลเดนสัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อมั่นในน้ำเสียงของเขา
            หมวกของทหารหญิงในชุดรบเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นผิวแทนเนียนสวยและเส้นผมสีออกส้มๆซึ่งถูกหั่นจนสั้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเขม็งมาทางชายหนุ่มแบบไม่ยอมรับแม้แต่น้อย
            “สิบเอกคามิลล์ ซาราเวย์ พลประจัญบาน...คนเหลาะแหละอย่างนาย จะมาเป็นหัวหน้าหน่วยของพวกเราได้จริงๆน่ะเหรอ” เธอกอดอก เอ่ยประโยคหลังอย่างแข็งกร้าว เลเดนส่งยิ้มฝืนๆกลับไป ดูท่าว่าคามิลล์จะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่
            “ชะ...ชั้น สิบตรีซีบิล การ์ดเนอร์ แพทย์สนาม...ค่ะ”
            คำแนะนำตัวสุดท้ายมาจากหญิงสาวที่ตอนแรกเลเดนแทบไม่สังเกตเห็นเนื่องจากเธอนั่งหลบมุมมากเสียจนเกือบโดนเอดการ์บังมิด เธอมีเส้นผมสีน้ำตาลเกล้าเป็นมวยเรียบร้อย แววตาที่ดูหวาดๆเล็กน้อยบวกกับหนังสือเล่มหนาที่อยู่ในมือทำให้เธอดูเหมือนสาวหนอนหนังสือขี้อายซึ่งพบได้ทั่วไปตามหอสมุด
            “ส่วนผมเป็นพลอาวุธหนักครับ แล้วคุณก็คือ...” แดเนียลหันไปหาอากิที่ยืนเงียบมาสักพักหนึ่งแล้ว
            “ร้อยตรีฟูจิมิยะ อากิ พลซุ่มยิง” เธอตอบสั้นๆเหมือนไม่อยากพูดอะไรมาก
            แล้วทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ คามิลล์และเอดการ์จ้องเลเดนตาแทบไม่กระพริบ ซึ่งตัวเขาเองก็พยายามฉีกยิ้มแม้รู้ตัวว่ามันจะดูงี่เง่าก็ตาม แดเนียลและซีบิลมองทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างอึดอัด ส่วนอากิก็นิ่งเงียบเหมือนจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
            “งะ งั้น...เราไปเตรียมของสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับคุณเลเดนกับคุณอากิกันเลยดีกว่านะ” เป็นแดเนียลที่แก้สถานการณ์ด้วยการตบมือดังๆหนึ่งหนและเอ่ยด้วยเสียงที่ฟังก็รู้ว่าพยายามทำให้ดูสบายๆ
            “งานเลี้ยง...ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ”
            “ต้องมีครับ มันเป็นธรรมเนียมของหน่วยเราที่มีมานานตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยเลยละครับ ถึงสมาชิกจะเปลี่ยนไป แต่ธรรมเนียมนี้ต้องคงอยู่ครับ เพราะมันช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเก่ากับใหม่ได้” แดเนียลอธิบาย แต่พอมองไปทางเอดการ์กับคามิลล์แล้ว เลเดนก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่ามันจะได้ผล
            “จะมีงานเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน...” อากิลุกออกจากวงสนทนาและย่ำเท้าไปยังทางออกจากโรงฝึกทันทีโดยไม่สนใจคนอื่นๆ เอดการ์ซดเครื่องดื่มในมือจนเกลี้ยงแล้วเดินดุ่มๆไปทางโซนฝึกฝนในโลกเสมือนจริง ขณะที่คามิลล์พึมพำอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์และหายไปทางโซนฝึกร่างกาย เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ต้องการให้ความร่วมมือสักนิดเดียว
            “เอ่อ คุณเลเดนไม่ต้องมาช่วยพวกเราก็ได้ครับ กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนก็ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วผมจะติดต่อไปเองครับ”
            “แต่ว่าคุณแดเนียลกับคุณซีบิลจะเตรียมงานกันแค่สองคน...”
            “ไม่เป็นไรครับ! งานแค่นิดๆหน่อยๆเอง กับคนที่ต่อไปจะต้องฝากชีวิตแก่กันและกันแล้ว นี่ถือว่าเล็กน้อยมากครับ”
            เมื่ออีกฝ่ายยืนยันอย่างหนักแน่นแถมให้เหตุผลที่เขาเถียงไม่ออก การดื้อดึงต่อก็ดูจะเป็นการเสียมารยาท เลเดนจึงกล่าวขอบคุณและมุ่งหน้ากลับไปยังโรงนอน
            แต่เมื่อไปถึง เขาไม่เข้าไปยังห้องของตัวเองทันที แต่เดินไล่สายตาผ่านห้องนอนแต่ละห้องไปเรื่อยๆจนถึงเจอชื่อ ‘ฟูจิมิยะ อากิ’
            ชายหนุ่มกดปุ่มอินเตอร์คอมหน้าประตูห้องก่อนจะพูดโดยพยายามเลือกคำที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
            “นี่ผม...เอ หรือจะใช้ชั้นดี... อ่า เลเดนเอง...หรือจะเติมครับดีหว่า...เอาเป็นว่า ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
            ไม่มีเสียงตอบรับจากอากิ แต่ครู่ถัดมาประตูห้องก็เปิดออก เจ้าของห้องมองเลเดนด้วยสายตาไร้ความรู้สึกแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวสั้นๆ
            “เข้ามา”
            ซึ่งเสียงนั้นทำเหล่าทหารหาญภายในโรงนอนหยุดทำกิจกรรมทุกอย่างและหันมามองเป็นตาเดียวจนเลเดนสะดุ้งในใจ สายตาที่มองมานั้นมีทั้งสงสัย ประหลาดใจ และเกือบครึ่งเป็นอาฆาตมาดร้าย ทำเอาเขาสงสัยว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่า เมื่อประตูห้องปิดลงที่เบื้องหลัง ชายหนุ่มก็เริ่มภาวนาไม่ให้ตัวเองถูกดักรุมกระทืบเข้าสักวันหนึ่ง
            “นั่งสิ” หญิงสาวนั่งขัดสมาธิบนเตียงของตัวเองพร้อมผายมือไปทางเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประจำทุกห้องอยู่แล้ว หลังเชื้อเชิญเสร็จ อากิก็ลงมือทำงานที่ค้างอยู่ต่อทันที ข้างหน้าเธอมีชิ้นส่วนของอะไรบางอย่างวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ จำนวนนั้นก็มีมากจนลายตาเลยทีเดียว เลเดนที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเริ่มการสนทนาดีก็ได้แต่เฝ้ามองเธออยู่เฉยๆ
            หญิงสาวหยิบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นขึ้นมา บางชิ้นก็เช็ด บางชิ้นก็ปรับแต่งด้วยอุปกรณ์จากเซตเครื่องมือที่อยู่ข้างๆ เมื่อทุกชิ้นได้ผ่านมือเธอมาเรียบร้อยแล้ว อากิก็เริ่มประกอบพวกมันเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่ว  เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ในมือของหญิงสาวก็มีปืนไรเฟิลซุ่มยิงกระบอกยาว มันถูกยกขึ้นมาเล็งโดยเจ้าของ ซึ่งเป้าก็คือใบหน้าของเลเดนนั่นเอง
            “นี่ปืนของเธอเหรอ...” ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเขี่ยปากกระบอกปืนให้พ้นออกไปก่อนจะถาม
            “ใช่” อากิลดปืนลงก่อนจะยกมันไปวางนิ่งสงบอยู่ตรงข้างเตียง ซึ่งมันยาวถึงครึ่งค่อนของเตียงขนาดสองเมตรเลยทีเดียว เมื่อเทียบขนาดปืนกับขนาดตัวของหญิงสาวแล้ว เลเดนก็รู้สึกทึ่งทีเดียวที่อากิสามารถยกมันไปมาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
            “ใช้ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ใช่มั้ย” ในเมื่ออุตส่าห์เปิดประเด็นหาเรื่องคุยได้แล้ว เลเดนจึงคิดจะเกาะประเด็นนี้ไปอีกสักระยะจนกว่าจะหาหัวข้อใหม่ได้
            “อืม”
            “ผลิตโดยปริษัทไหน โมเดลอะไร”
            “Maximus Munitions โมเดล GF-12Z กระสุนขนาด .50 ยิงกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น”
            “กล้องล่ะ”
            “ZAK-13 จากบริษัทเดียวกัน ปรับระยะซูมได้จากศูนย์หน้าถึงห้าสิบเท่า ปรับเป็นโหมดที่มืดและตรวจจับความร้อนได้”
            “ระยะยิงสูงสุดกับความเร็วกระสุนล่ะ”
            “สี่กิโลเมตร หนึ่งพันห้าร้อยเมตรต่อวินาที”
            “เคยยิงคนไหม”
            ด้วยความเพลินจึงทำให้ชายหนุ่มเผลอถามคำถามนี้ออกไปอย่างไม่ตั้งใจ เพราะคำถามนั้นไม่ต่างอะไรกับการถามว่า ‘เคยฆ่าคนมาบ้างหรือยัง’ แต่การเรียกคำพูดที่เคยพูดไปแล้วกลับมานั้นมันเป็นไปไม่ได้ อากิไม่ตอบในทันที แต่เอื้อมมือไปลูบปืนของเธอช้าๆเหมือนเล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด
            “ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องหรอก...”
            “ไม่เคย” หญิงสาวชักมือกลับและตอบเสียงเรียบ
            “หระ...เหรอ ดีแล้วละ...”
            “ตกลงนายอยากคุยอะไรกันแน่”
            “เรื่องนั้น...”
            เมื่อประเด็นที่อิงแอบมาถูกแย่งไป สมองของชายหนุ่มจึงหมุนอย่างเต็มสปีดทันที ถ้าเกิดหาเรื่องอื่นมาไม่ได้ มีหวังอากิได้มองเขาเป็นแค่ไอ้โรคจิตที่หาเรื่องอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองแน่ๆ
            “เธอ เอ่อ คิดยังไงกับสมาชิกหน่วยคนอื่นๆ”
            “ไม่สนใจ”
            ประเด็นที่เขาคิดจะยกมาคุยยาวๆกลับถูกเขี่ยทิ้งตั้งแต่ประโยคแรก ทำเอาเลเดนไปต่อไม่ถูก
            “ทำไมถึงไม่สนใจล่ะ”
            “ไม่มีความจำเป็น การยึดติดกับตัวบุคคลที่สามารถสูญเสียไปได้ง่ายๆเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ”
            “แต่ความสามัคคีในทีมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เหรอ”
            “หน้าที่ของชั้นไม่ต้องอาศัยความสามัคคีจากคนในทีมอยู่แล้ว”
            “เธอไม่อยากมีเพื่อนที่เชื่อใจกันได้บ้างเลยรึไง”
            “สำหรับชั้น ในสนามรบ สิ่งที่เชื่อใจได้มีแค่ตัวเอง กับปืนในมือเท่านั้น”
            เป็นคำตอบที่ทำให้เลเดนไม่อาจเอาอะไรมาถามได้อีกแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่แอบทอดถอนใจ และหวังว่าเมื่อพวกเขาปฏิบัติภารกิจไปด้วยกันมากกว่านี้ อะไรๆมันคงจะดีขึ้น
            “นายมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า”
            “ไม่มีแล้วละ...”
            “ถ้าไม่มีก็ออกไปได้แล้ว”
            เลเดนจำใจลุกจากเก้าอี้และออกไปยังโถงใหญ่โรงนอนอีกครั้ง ก่อนจะก้าวพ้นจากประตูห้องของอากิ ชายหนุ่มหันกลับมามองเล็กน้อยเพื่อที่จะพบว่าหญิงสาวยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่วางตาจนประตูเหล็กหนาเลื่อนมากั้นระหว่างทั้งสอง
            เลเดนต่อสู้กับสายตาทิ่มแทงของเหล่าทหารร่วมกองร้อยอย่างเต็มความสามารถและเข้าไปในห้องของตัวเอง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบ PCD ที่ถูกวางทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะงีบไปเจอกับฝันร้ายขึ้นมา พยายามจะอ่านหนังสือยุทธศาสตร์การรบที่อ่านมาได้สักพักหนึ่งแล้วต่อ แต่มันไม่ยอมเข้าหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบสามปีก่อนทยอยผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง จนชายหนุ่มทนไม่ไหว ดึงสิ่งหนึ่งออกมาจากคอเสื้อตัวเอง
            มันคือล็อกเกตสีทองหม่น สภาพค่อนข้างเก่า และมีรอยไหม้เล็กน้อย แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากผู้สวมใส่ ชายหนุ่มเปิดมันออก ภายในก็มีอัญมณีสีแดงสดทอประกายงดงาม ไม่ต่างจากวันแรกที่เขาได้เห็นมัน
            เวลามองของสองสิ่งนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจะรู้สึกสงบใจลงได้แทบทุกครั้งไป
            ในหัวเหมือนจะปรากฏภาพพร่าเลือนของเด็กหญิงสองคนที่มอบล็อกเกตและอัญมณีนี้ให้กับเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยนึกใบหน้าของทั้งคู่ออกอย่างชัดเจนแม้สักครั้ง
            ‘ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ’
            เป็นคำถามที่เขาคงไม่มีวันรู้คำตอบ แค่สองคนนั้นรอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นหรือเปล่าเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป
            เลเดนปิดฝาล็อกเกตและใส่มันกลับเข้าไปในคอเสื้อตามเดิม เมื่อสมองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น การอ่านยุทธศาสตร์การรบก็ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไรสำหรับเขา
            เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่อาจทราบ แต่เสียงเรียกเข้าจาก PCD ทำให้ชายหนุ่มละสายตาจาก ‘การแก้สถานการณ์เมื่อถูกซุ่มโจมตีในพื้นที่แคบ’ และกดตอบรับการสื่อสาร ใบหน้าโฮโลแกรมเปื้อนยิ้มของแดเนียลก็ปรากฏขึ้น
            ‘งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วนะครับ คุณเลเดนช่วยพาคุณอากิมาด้วยนะครับ’
            เมื่อถูกบอกมาเช่นนั้น เขาจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ เลเดนจึงพบตัวเองยืนกดปุ่มอินเตอร์คอมหน้าห้องของอากิพร้อมด้วยสายตาที่จ้องมองมาอีกคำรบหนึ่ง
            อีกห้านาทีถัดมา ทั้งสองก็มานั่งล้อมวงกับสมาชิกหน่วยคนอื่นๆบนพื้นโรงฝึก อาหารงานเลี้ยงที่แดเนียลกับซีบิลช่วยกันเตรียมก็ไม่ใช่อะไรนอกจากอาหารสำเร็จรูปที่แจกกันอยู่ในโรงอาหารของฐานทัพทุกวี่ทุกวันนั่นเอง และดูเหมือนว่าแดเนียลจะถือคติ ‘เมื่อมีแอลกอฮอล์ มิตรภาพก็สร้างได้ง่ายขึ้น’
            แต่ท่าทางเขาจะคิดผิด
            “เอ่อ ดื่มเยอะขนาดนั้นก่อนวันรบจะดีเหรอครับ”
            “เรื่องของชั้น นายไม่ต้องมายุ่งหรอก ซีบิล! เอามาอีกซิ!”
            ผ่านไปครึ่งชั่วโมง คามิลล์กระแทกกระป๋องเบียร์ลงกับพื้นจนกระป๋องเปล่าอีกกว่าครึ่งโหลที่ตั้งอยู่ก่อนแล้วล้มกันระเนระนาด ขณะที่ซีบิลส่งเบียร์อีกหนึ่งกระป๋องให้เธออย่างกล้าๆกลัวๆ 
            “จะทำท่าหงออย่างนั้นทำไมล่ะยัยนี่ เอ้า เธอเองก็ดื่มด้วย คัมปาย!”
            “เอ๋? คือว่าชั้นไม่...อื้อ!”
            คามิลล์เปิดกระป๋องใหม่ขึ้นกระดกขณะที่คว้ากระป๋องในมือเลเดนแล้วพยายามยกใส่ปากของซีบิลที่เอียงตัวหนีอย่างสุดชีวิต แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะทั้งคู่นั่งติดกัน
            “ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องมาดูยัยนี่บ้าแบบนี้” แดเนียลเก็บกระป๋องของคามิลล์โยนออกนอกวง
            “เฮฮาแบบนี้ก็ดีแล้วละครับ...”
            “แล้วไม่ดื่มบ้างหรือยังไง หือ คุณหัวหน้า” เอดการ์เองรับแอลกอฮอล์เข้าไปแล้วไม่น้อยไปกว่าคามิลล์ มือของชายหนุ่มจึงสั่นเล็กน้อยขณะยื่นเบียร์กระป๋องใหม่ให้เลเดน
            “เอ่อ ผมว่าผมไม่เอาดีกว่า...”
            “ป้าดโธ่ งั้นชั้นเอาเองก็ได้ เจ้าหัวหน้าไก่อ่อนเอ๊ย...” ประโยคท้ายเหมือนเขาจะพูดกับตัวเองแต่ดันได้ยินหมดทั้งวงจนเลเดนเดาได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นจิตใต้สำนึกของหมอนี่แน่ๆ
            “ชั้นกลับละ” อากิวางจานอาหารที่เธอทานอย่างเงียบๆโดยไม่คุยกับใครเลยลงและลุกขึ้นยืน
            “จะกลับแล้วเหรอครับ เพิ่งกินได้แค่แป๊บเดียวเอง ไอ้นี่ก็อร่อยนะครับ” แดเนียลท้วงพร้อมยกจานอาหารที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นโชว์
            “อิ่มแล้ว”
            เป็นเพียงคำตอบสั้นๆที่มาจากร่างเล็กที่เดินดุ่มๆออกไป พอได้ยินแบบนั้น แดเนียลกับเลเดนถึงได้สังเกตว่าอาหารนับสิบจานที่ถูกเตรียมเอาไว้นั้นบัดนี้ได้หายไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว โดยได้กลายสภาพเป็นจานเปล่าวางอยู่ข้างที่นั่งของอากิแทน ทำเอาเลเดนรู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอเป็นหนที่สองของวัน
            “ชั้นเองก็...ไปบ้างดีกว่า” เอดการ์โยนกระป๋องเปล่าในมือทิ้งพร้อมกับยันตัวลุกขึ้น เขายืนโงนเงนอยู่สักพักก็หันมาตบไหล่เลเดนพร้อมรอยยิ้มแบบคนเมา
            “ปายก่อนน้า...คุณหัวหน้าก่ายอ่อนนน...”
            และชายหนุ่มก็เดินโซซัดโซเซจากไปพร้อมเสียงหัวเราะที่ทำเอาเลเดนอยากจะไปหาอะไรแข็งๆมาฟาดหัวเขาสักผัวะ
            “ฮ่ะๆ แดเนียล ดูยายนี่สิ สงกะสัยจะม่ายกลัวมาววว ฮ่าๆ” คามิลล์หัวเราะร่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ ชี้ไปทางซีบิลที่ตอนนี้ใช้วิธีการสุดท้ายในการหลีกหนีแอลกอฮอล์ด้วยการทำเป็นยกเบียร์ที่ยังไม่เปิดกระป๋องขึ้นซดแบบไม่หยุดจนเลเดนรู้สึกสงสารหน่อยๆ
            “ยัยบ้าเอ๊ย เมาเละขนาดนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปรบไม่ไหวกันพอดี...” แดเนียลบ่นก่อนจะลุกขึ้นไปดึงกระป๋องที่สิบออกจากมือของคามิลล์ หญิงสาวโวยวายและพยายามแย่งคืน แต่ด้วยสภาพเมาแอ๋จึงทำได้แค่ทิ่มหน้าลงกับพื้นเท่านั้น
            “อือ…เจ็บจัง…”
            เธอโอดครวญ แดเนียลโคลงศีรษะไปมาก่อนจะหิ้วปีกคามิลล์ขึ้นจากพื้น
            “ผมขอพายัยนี่ไปส่งห้องก่อนนะครับ ท่าทางงานเลี้ยงคงต้องเลิกซะแล้ว คุณเลเดนกลับไปเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกับซีบิลช่วยกันเก็บเอง”
            โดยไม่รอคำตอบจากผู้ฟัง แดเนียลก็พยุงคามิลล์ออกจากโรงฝึกไป ทิ้งเลเดนและซีบิลอยู่ด้วยกันตามลำพัง
            “คะ…คุณเลเดนไม่กลับห้องตัวเองเหรอคะ”
            “เอ่อ ผมช่วยเก็บด้วยดีกว่า เพราะต้นเหตุของงานนี้ก็คือผมนี่นา”
            “งั้น…ขอบคุณนะคะ…”
            ความเงียบน่าอึดอัดเข้าแทรกกลางระหว่างทั้งสองอีกครั้ง มีเพียงเสียงของจานและช้อนกระทบกันเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่
            “ทำไมคุณเลเดนถึงมาเป็นทหารเหรอคะ?”
            ขณะที่เลเดนกำลังคิดอย่างหนักว่าจะหาเรื่องอะไรมาชวนคุยดี คำถามนี้ก็ถูกยิงเข้าใส่จนชายหนุ่มชะงักมือไปชั่วครู่ เพราะเอาเข้าจริง หลังจากถูกช่วยเอาไว้ ชีวิตของเขาก็วนเวียนอยู่แต่กับการทหารกับคาร์ลอสตลอด จนแทบมองไม่เห็นภาพตัวเองไปประกอบอาชีพอื่นด้วยซ้ำ
            “ผมได้แรงบันดาลใจจากคนคนหนึ่งน่ะ”
            คำตอบของเขาจึงกลายเป็นแบบนี้
            “งั้นเหรอคะ ดีจัง…”
            “แล้วคุณซีบิลล่ะครับ ทำไมถึงมาเป็นทหารได้”
            เป็นคำถามที่เขาสนใจอย่างจริงจัง เพราะภาพของหญิงสาวร่างเล็กขี้อายคนนี้ในชุดรบเองก็นึกออกได้ยากเหลือเกิน ซีบิลเงียบไปนานก่อนจะตอบเสียจนชายหนุ่มเกือบจะคิดว่าเธอไม่ได้ยินคำถาม
            “ชั้น…สมัครเข้ามาเองน่ะค่ะ”
            ถือว่าเป็นคำตอบที่ไม่ได้แปลกอะไร เพราะกองทัพราชอาณาจักรต้องการคนเป็นจำนวนมากและเปิดรับสมัครบ่อยๆ ถ้าเขาไปถามคนในกองทัพสักสิบคน คงได้คำตอบแบบเดียวกันนี้จากเจ็ดคนเลยทีเดียว
            “ที่ชั้นได้มาอยู่หน่วยแพทย์สนาม ก็เพราะว่าถือปืนแทบไม่ไหว พรุ่งนี้ก็จะเป็นการเข้าสนามรบจริงครั้งแรกของชั้น…” เธอเล่า ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย
            “ครั้งแรก? แสดงว่าคุณเพิ่งมาเป็นทหารเหรอครับ?”
            “ค่ะ มาอยู่ที่หน่วยนี้ก่อนคุณเลเดนแค่ครึ่งเดือนเองด้วยซ้ำ”
            “แล้วก่อนหน้านี้ทำอะไรครับ”
            “บ้านของชั้นเป็นร้านเบเกอรี่ในคริสซาลิสค่ะ พักหลังๆนี้เราสู้กับพวกห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆไม่ไหวจนใกล้จะเจ๊ง แล้วชั้นก็เจอประกาศรับสมัครทหารใหม่ของกองทัพ…ด้วยค่าตอบแทนขนาดนี้ ถึงจะเสี่ยง แต่ไม่ถึงสองปีก็คงจะฟื้นฟูร้านได้…”
             เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ รอยยิ้มเต็มไปด้วยความหวังก็ถูกวาดลงบนใบหน้าของซีบิลจนเลเดนเผลอเหม่อมองไปอย่างไม่ตั้งใจ
“ถ้ามีโอกาส ก็แวะไปร้านของชั้นได้นะคะ จะทำขนมให้ทานอย่างสุดฝีมือเลยค่ะ!”
            ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบกลับไป
            “แน่นอนครับ แล้วผมจะรอนะ”
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ ชั้นขอเอาของไปคืนโรงครัวก่อน ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะคะ” 
            หญิงสาวดึงตั้งจานหน้าชายหนุ่มไปรวมกับของตัวเองและยกออกไปอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย เลเดนมองตามเธอไปจนลับสายตา ก่อนที่ตัวเขาเองจะมุ่งหน้ากลับไปยังโรงนอน
            โรงนอนในคืนนี้เงียบสงัดแม้จะยังเป็นเวลาไม่ดึกมาก เลเดนเดาว่าคงเป็นเพราะทุกคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเผชิญศึกในวันพรุ่งนี้
             ศึกที่ไม่รู้ว่าจะได้รอดกลับมาหรือไม่
กระนั้น มันก็เป็นความเสี่ยงในอาชีพ ในสนามรบ อยู่หรือตาย ห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆกั้น
            นอกจากนี้ ถึงจะไม่ได้ตายเพราะข้าศึก แต่บรรยากาศของสนามรบก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์นัก หลายคนกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตไปตลอดชีวิตจากความกดดันและความเครียด
             พริบตานั้น ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกชื่นชมซีบิลขึ้นมา
             เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆที่แค่ยกปืนยังลำบาก แต่กลับยอมแบกรับความเสี่ยงที่ใหญ่ขนาดนี้ เพื่อครอบครัวของตัวเองโดยไม่ลังเล
             “สองปีงั้นเหรอ…”
             ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียง เขาไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษในการเป็นทหาร
             หรือจริงๆคือเคยไม่มี
             เลเดนหลับตาลง เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีอะไรรออยู่ แต่เป้าหมายของเขาชัดเจน
             วันพรุ่งนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของเขาก็ได้ ใครจะไปรู้
             วันพรุ่งนี้ หลายสิ่งจะเปลี่ยนไป
             วันพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะไม่เป็นเหมือนเก่า
             วันพรุ่งนี้ ที่กงล้อแห่งโชคชะตาจะเริ่มหมุน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา