Vampire princessเจ้าหญิงรัตติกาล ภาคพันธสัญญาหัวใจ
8.8
เขียนโดย unun
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.13 น.
2 ตอน
1 วิจารณ์
4,868 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 22.38 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทนำ [100%]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทนำ
ในคืนพระจันทร์เต็มดวงมีสีแดงฉานราวกับสีเลือด... ภายใต้แสงจันทร์ปรากฏเงาร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังใช้นัยน์ตาสีเทาอันน่าเกรงขามจับจ้องไปยังทหารเฝ้ายามสองคนที่มีท่าทางเหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างง่วงงุนโดยไม่อาจรู้เลยว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าตัวเองจะต้องตาย...
“อะไรกันเนี่ย นี่ยังไม่มีใครมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ายามกับพวกเราอีกเหรอ นี่มันก็เที่ยงคืนแล้วนะ!” ชายร่างผอมบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ จนถึงป่านนี้แล้วยังไม่มีใครมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ายามกับพวกเขาเลย
“น่าๆ ใจเย็นก่อน พวกเขาอาจจะมาช้าก็ได้นา” ชายร่างท้วมเอ่ยปลอบให้เพื่อนเขาใจเย็นลง พลางหยิบขนมที่ถือไว้ในมือขึ้นมากินด้วยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันอร่อยตรงไหน เดิมทีแวมไพร์อย่างเราก็กินได้แค่เลือดไม่ใช่รึไง”
“นายจะลองชิมมั้ยล่ะ” ชายร่างท้วมว่าพลางยื่นขนมให้เพื่อนตัวเอง
“ถ้ากินไอ้นั่นแล้วอ้วนแบบนาย ขอไม่กินดีกว่า” ว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะเบนหน้าไปมองทางอื่นเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ในขณะนั้นเองชายร่างท้วมที่กำลังกินขนมอย่างสบายใจเฉิบก็ไม่อาจรู้เลยว่าขนมที่ตัวเองกินเข้าไปนั้นอาจจะเป็นอาหารชิ้นสุดท้ายแล้ว...
ฉึก!
“อั่ก!!”
ตึง!
“ร้องอะไรของแก ขนมติดคอรึไง.. เห้ย! ไอ้อ้วนเป็นไรวะ” ทหารเฝ้ายามร่างผอมรีบพุ่งเข้ามาประคองเพื่อนตัวเองทันทีที่เห็นมันล้มลงไปกับพื้น แต่ทันทีที่ยกร่างอ้วนๆนั่นขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจ.. พบว่าบริเวณลำคอของมันมีแผลเหวอะหวะที่น่าจะมาจากการถูกแทง ก่อนร่างกายของผู้เป็นเพื่อนจะสลายกลายเป็นเพียงเศษฝุ่น
“ใครวะ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย” ชายร่างผอมตะโกนลั่นเรียกหาศัตรูที่เข้ามาบุกรุกพร้อมกับชักดาบที่แนบข้างลำตัวขึ้นมาถือ เขามองซ้ายมองขวาทั่วทุกทิศทางแต่กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว
ฉึก!
“อ๊ากกก!!!” ก่อนจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกของมีคมบางอย่างแทงเข้าที่หลังคอซะแล้ว
“เฮ้อ.. ทำไมสถานที่สำคัญๆแบบนี้ถึงให้พวกทหารยามกระจกงอกง่อยพวกนี้มาเฝ้านะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง นั่นทำให้นายทหารยามที่ยังไม่สิ้นใจดีค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง
“พวกแก..เป็น..ใคร”
“หือ? นี่แกยังไม่ตายอีกเหรอ พวกแวมไพร์ไม่ใช่ว่าพอถูกแทงแล้วจะกลายเป็นผงไปเลยรึไง..” คนผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงทะเล้นว่าอย่างแปลกใจนิด ก่อนจะย่อตัวลงมาหานายทหารที่ดูอึดคนนี้ “ไหนๆก็จะตายแล้วงั้นบอกก็ได้... ฉันก็คือองครักษ์ของเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวยังไงล่ะ”
ฉึก!
จบคำพูดนั้นมีดสั้นก็ถูกแทงเข้าที่ศีรษะของนายทหารผู้โชคร้ายทันที ร่างกายพลันเปลี่ยนเป็นเพียงฝุ่นผงแล้วปลิวไปตามลมหนาวยามค่ำคืน
“นี่แม็กซ์! นายไม่คิดจะช่วยฉันจัดการเลยรึไง” ชายหนุ่มผมสีขาวสว่างว่าอย่างหัวเสียพร้อมกับหมุนตัวมามองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง คอยดูเหตุการณ์ทุกอย่างแต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย
“ฉันไม่อยากมือเปื้อน” ชายร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัวตอบกลับไปสั้นๆ ให้คนฟังฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
“ชิ กลับไปนายง้อฉันด้วย... ท่านโลเวลครับ! พวกเราจัดการพวกทหารเฝ้ายามพวกนี้ได้แล้วครับ!” คนตัวเล็กกว่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนยอดต้นไม้สูงที่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงตะโกนเสียงดังให้ใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน
ทันใดนั้นเงาร่างสูงโปร่งที่คอยมองสถานการณ์จากตรงนี้อยู่ตลอดเวลาก็พลันหายวับมายืนอยู่บนพื้นตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองให้พวกเขาคุกเข่าลงทันที
“ขอบใจมากนะโฟล แม็กซ์” เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณแก่ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ทั้งสอง ก่อนจะเดินเลยผ่านพวกเขาเพื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าบางสิ่งบางอย่าง
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์...
สถานที่สำคัญซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีทหารเฝ้ายามแสนกระจอกงอกง่อยเฝ้าอยู่ แต่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว
มือหนาภายใต้ถุงมือสีดำยื่นไปข้างหน้าหมายจะแตะหินที่ปิดทางเข้าถ้ำไว้ทุกทิศทาง นัยน์ตาสีเทาอันน่าเกรงขามมองตรงไปข้างหน้าอย่างพิจารณา
เปรี๊ยะ!
แต่เพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้นก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมาโดนมือ นั่นทำให้โลเวลยิ้มมุมปาก ก่อนจะค่อยๆถอดถุงมือสีดำของตัวเองออก การกระทำที่ทำให้ลูกน้องทั้งสองรู้ทันทีว่าเขาจะทำอะไร
“ถ้าทำแบบนั้น อาจมีคนแห่มาก็ได้นะครับ” โฟลแย้ง เขารู้ว่าเจ้านายตัวเองต้องการจะระเบิดถ้ำที่ปิดตายนี้
“แต่พวกนายก็จัดการพวกแวมไพร์ตัวอื่นๆที่อยู่รอบป่าไปแล้วไม่ใช่หรือไง” โลเวลพูดอย่างไม่จริงจังนัก เขามองไปที่องครักษ์ของตัวเองทั้งสองยิ้มๆเหมือนถามกลายๆว่าจริงมั้ย ก่อนทั้งสองจะพยักหน้าพร้อมกัน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะรีรออะไรอีกแล้ว ชายหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้าแล้ววางทาบมันไว้กับแผ่นหินทันที
ใช่แล้ว ที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนเวรยามกับพวกทหารเฝ้ายามสองคนนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาได้จัดการคนพวกนั้นไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงมาจัดการทหารยามที่คอยเฝ้าถ้ำไว้ตลอดทีหลัง
มือที่ทาบลงไปสัมผัสกับแผ่นหินเริ่มรู้สึกถึงการต่อต้านอันมาจากอาคมที่ลงเอาไว้เพื่อปกป้องถ้ำ นัยน์ตาสีเทาพลันเปล่งแสงทันทีที่เจ้าตัวปล่อยพลังเข้าไปปะทะเพื่อหวังจะทลายมัน เขาชักมือกลับเข้าหาตัวอีกครั้งก่อนจะส่งพลังทั้งหมดไปไว้ที่ลำแขน แล้วจึงออกแรงสุดแรงเพื่อเหวี่ยงหมัดไปกระทำกับแผ่นหินตรงหน้า! จนในที่สุด...
ตูม!!
โครม!!
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปิดตายมากว่าพันปีก็ทลายลง
แปะ แปะ แปะ
“ว้าว~ ท่านโลเวลยังคงเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะครับเนี่ย” คนร่าเริงปรบมือเปาะแปะให้ผู้เป็นเจ้านายอย่างอารมณ์ดี นั่นทำให้คนโดนปรบมือใส่มองหน้ายิ้มๆอย่างไม่ถือสาอะไร เพราะตอนนี้...เขาก็อารมณ์ดีเหมือนกัน
“ฉันจะเข้าไปเอาโลงศพเอง พวกนายคอยเฝ้าที่นี่ไว้” โลเวลออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา จากนั้นขายาวจึงก้าวเข้าถ้ำไป ทิ้งให้องครักษ์มือซ้ายและมือขวาของตัวเองคอยเฝ้าที่นี่ไว้ตามคำสั่ง
รอก่อนนะเจ้าหญิงของฉัน...
ภายในถ้ำนั้นช่างมืดมิดราวกับอยู่คนละพิภพกับที่เขาเพิ่งจากมา หากแต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับชายหนุ่มมากนัก เพราะแม้จะอยู่ในความมืดดวงตาของเขาก็ยังสามารถมองเห็น
เพราะมันคือ... ดวงตาของหมาป่า
เดินไปได้สักพักชายหนุ่มก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่อยู่ไม่ไกล เขาเร่งความเร็วในการเดินยิ่งขึ้นอย่างตื่นเต้น จนในที่สุดก็มาถึง...แท่นหินศักดิ์สิทธิ์ แท่นที่ไม่ได้มีความสูงมากนัก เพียงก้าวขึ้นบันไดไปสามขั้นก็ขึ้นไปถึงด้านบน
ตึก ตึก ตึก
โลเวลเดินขึ้นบันไดทั้งสามขั้นนั้นไปอย่างสง่างาม แสงของดวงจันทร์ที่ส่องลงมาจากช่องหินด้านบนทำให้นัยน์ตาสีเทามองเห็นอะไรๆได้ง่ายขึ้น โลงศพสีดำทมิฬที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นของจริง และร่างที่นอนอยู่ข้างในนั้นก็เป็นร่างของ ‘เธอ’ จริงๆ ยืนยันได้ด้วยตัวอักษรที่สลักอยู่ด้านบนฝาโลงศพว่า ‘Evangeline Gre Sofia’
“นี่น่ะเหรอ...โลงศพของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาล” ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดอยู่หน้าโลงศพสีดำทมิฬแล้วมองสำรวจมันอย่างชื่นชม ด้วยดีไซน์ที่ดูประณีต ลักษณะเป็นทรงหกเหลี่ยมสีดำขลับ บนฝาโลงศพประดับไว้ด้วยไม้กางเขนสีเงิน ช่างเหมาะสมกับฐานะของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลเป็นไหนๆ หากแต่...
“สีดำน่ะไม่เข้ากับเธอหรอก เพราะเธอมันบริสุทธิ์” ว่าจบก็ย่อตัวลงข้างโลงศพ มือหนายื่นไปจับโลงศพเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องนำตัวเธอกลับไปสักที แต่ทันใดนั้น...
ฟวั่บ!
ลำคอแกร่งก็สัมผัสได้ถึงความแข็งเย็นของอะไรบางอย่าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่เข้ามาถึงที่นี่ได้โดยองครักษ์ทั้งสองของเขาไม่รู้ตัวเป็นใคร
“หึ สบายดีมั้ยล่ะคาซัส” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยถามผู้มาใหม่ เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนที่บังอาจชักดาบใส่เขาด้วยความเย้ยหยัน “...ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเหล่าผีดูดเลือดที่น่ารังเกียจ”
คำพูดที่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงนามคาซัสไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าหล่อเหลาอันประกอบไปด้วยดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน และปากหยักได้รูปดูยุ่งเหยิงขึ้นมานิดเมื่อคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม นัยน์ตาสีแดงเลือดจับจ้องไปยังใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นไม่วางตา
“อย่าริอาจมาแตะต้องท่านหญิงของฉัน” เสียงเย็นเอ่ยออกมาอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งนั่นไม่ได้สร้างความเกรงกลัวแก่ผู้ฟังแต่อย่างใด คาซัสมองอีกฝ่ายที่กำลังยืนขึ้นอย่างสบายๆเหมือนไม่กลัวว่าดาบซึ่งยังคงจ่อไว้ที่ลำคอจะแทงเข้าเนื้อตัวเองเลย
“หึ แล้วนายรู้ได้ยังไงล่ะว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของนาย” คำพูดไร้เยื่อใยที่เอ่ยออกมาทำให้คนฟังคิ้วกระตุก
โลเวลอดจะนึกขำไม่ได้ ทุกครั้งที่นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนแล้วนำมันมาเปรียบเทียบกับในตอนนี้ คาซัส... คนตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปมากทีเดียว จนเผลอพูดออกมา...
“เฮอะ นั่นสินะ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นทั้งนายและฉันต่างก็เปลี่ยนไป.. ทั้งชิงชังและเคียดแค้น” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เว้นจังหวะ ก่อนจะว่าต่อ “และตั้งแต่ยัยนี่ตายไป...”
หมับ!
ตึง!!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่หมาป่าหนุ่มเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาคว้าเข้าที่ลำคอแกร่งทันทีที่อีกฝ่ายพูดเรื่องไม่เข้าหูให้ได้ยิน คาซัสบีบคออีกฝ่ายแน่นแล้วจับทุ่มพื้นสุดแรงจนพื้นบริเวณที่ถูกกระแทกทลายและแตกเป็นหลุมใหญ่ เขาไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นอีก ไม่อยากได้ยิน!
อย่าได้เอ่ยนามถึงท่านหญิงแบบนั้น..โลเวล” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยออกมาราวกับจะแช่แข็งคนฟังให้ตายซะให้ได้ แต่นั่นต้องไม่ใช่กับโลเวล
“อะไรๆ นายบังอาจมากเลยนะที่มาจับเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวทุ่มพื้นน่ะ” โลเวลพูดทีเล่นทีจริง เขาไม่สะทกสะท้านใดๆต่อการกระทำที่ได้รับ
“ฉันไม่สน”
“หึ งั้นเหรอ” ใบหน้าเจ้าเล่ห์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย จากนั้น...
ฟึ่บ!
!!!
คาซัสตกใจอยู่ชั่ววินาทีเพราะเพียงพริบตาอีกฝ่ายที่เคยอยู่ใต้ร่างเขาก็หายไปแล้ว!
“ขอรับโลงศพเจ้าหญิงของฉันกลับไปเลยก็แล้วกันนะ” แวมไพร์หนุ่มหันหน้าไปตามเสียงที่ได้ยินจนพบว่าอีกฝ่ายไปปรากฏตัวอยู่ที่โลงศพซะแล้วพร้อมกับยกโลงศพสีดำทมิฬขึ้นมาแบกไว้ข้างลำตัว ก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งปล่อยพลังไปปะทะกับผนังถ้ำจนพังทลาย
โครม!!
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คาซัสเอ่ยไล่หลังอีกฝ่ายที่หนีอออกไปนอกถ้ำได้แล้วพร้อมกับวิ่งตามไปติดๆ แม้ความเร็วของพวกหมาป่าจะมากกว่าแวมไพร์อยู่หลายเท่าแต่เขาก็จะต้องนำโลงศพนั่นกลับมาให้จงได้!
ข้างนอกถ้ำนี้คือป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงมากมาย แต่ในเวลายามค่ำคืนแบบนี้กลับสัมผัสได้เพียงอากาศหนาวเย็น เสียงนกฮูกและเสียงสิงสาราสัตว์ไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกกลัวได้เลย
ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย ประเทศอันเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของ ‘แวมไพร์’ หากแต่นั่นก็เมื่อหลายพันปีก่อน เพราะปัจจุบันแทบจะไม่มีแวมไพร์ตนไหนอาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว นอกจากพวกทหารเฝ้ายามซึ่งต้องคอยประจำอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องถ้ำศักดิ์สิทธิ์และคาซัสเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้ในการเก็บร่างแหล่งพลังของพวกแวมไพร์ เพื่อถ่ายทอดพลังมหาศาลของบรรพบุรุษสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว... เพราะร่างแหล่งพลังคนปัจจุบันนั้นยังไม่ตาย
“อ้าวๆ วิ่งเร็วๆสิ เดี๋ยวก็จับฉันไม่ได้หรอก” โลเวลพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ใบหน้าเจ้าเล่ห์หันกลับไปมองข้างหลังพบว่าอีกฝ่ายยังคงตามมาติดๆ หากแต่ระยะห่างไม่ใช่ว่าจะใกล้กันเลย
“นายขี้ขลาดรึไง เอาแต่วิ่งหนี” น้ำเสียงที่ดูใจเย็นของแวมไพร์หนุ่มอดจะทำให้โลเวลแปลกใจไม่ได้ นี่เขาถูกดูถูกอย่างงั้นเหรอ.. แถมอีกฝ่ายพูดราวกับท้าสู้
โลเวลลังเล เพราะหากต่อสู้กันเขาคงต้องวางโลงศพทิ้งไว้ก่อน และเขาก็ไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่เอาแต่หนี หากแต่นั่นอาจเป็นไปตามแผนของอีกฝ่าย บางทีคาซัสอาจตั้งใจก็ได้ แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างเข้าก็ต้องเปลี่ยนใจ..
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้สู้กับหมอนี่
ความคิดที่ทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดนิ่ง พอดีกับที่บริเวณนี้เป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ใบไม้น้อยกว่าป่าส่วนเมื่อกี้โข ดังนั้นมันคงง่ายกับการต่อสู้ของพวกเขามากกว่า
“นายจะทำอะไร” คาซัสซึ่งตามมาทีหลังเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจการกระทำ ความจริงหมาป่าหนุ่มสามารถใช้ความเร็วของตัวเองวิ่งหนีไปได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ทำ
กี่พันปีมาแล้วล่ะที่เขาไม่ได้ประลองฝีมือกับแวมไพร์หนุ่มผู้มีดวงตาที่น่าเกรงขามคนนี้
“ฉันแค่อยากลองสู้กับนายดูก็เท่านั้น เราไม่ได้ประมือกันมาตั้งแต่เมื่อพันปีที่แล้วแล้วหนิ” โลเวลว่าพลางแบกโลงศพไปวางไว้อีกฟากหนึ่งเพื่อไม่ให้มันได้รับผลกระทบใดๆเมื่อถึงเวลาต่อสู้
คาซัสชักดาบข้างลำตัวขึ้นมาถือในท่วงท่าของการต่อสู้ที่ได้ฝึกมาทันทีที่อีกฝ่ายเดินกลับมายืนตำแหน่งเดิมซึ่งไม่ห่างจากเขามากนัก หากต้องต่อสู้กันจริงๆเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้เหมือนกัน แต่นั่นกลับทำให้โลเวลอดจะมองอย่างฉงนไม่ได้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็มีพลังที่กล้าแกร่ง แต่กลับไม่ใช้มันอย่างงั้นเหรอ?
“อะไรคือการที่นายไม่ใช้พลังของตัวเองเล่า?” โลเวลถาม
“ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังในการต่อสู้ถ้าไม่จำเป็น” คาซัสตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเขาจริงจังกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโลงศพในครั้งนี้มาก ต่างจากหมาป่าหนุ่มที่ยังคงดูสบายๆ
“นายคิดว่าจะชนะ?”
“ไม่ลองไม่รู้”
“เหรอ.. งั้นก็มาเริ่มกันเลย”
ฟึ่บ!
จบคำพูดนั้นการต่อสู้ที่แสนดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น โลเวลเปลี่ยนมือของเขาให้กลายเป็นอุ้งเท้าของหมาป่าอันประกอบไปด้วยกรงเล็บแหลมคม ในขณะที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย คาซัสแม้ไม่ได้รวดเร็วเท่าหมาป่า แต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาก็ไม่เป็นรองใคร ดาบเงินถูกวาดลวดลายเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองทันที
การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครยอมใคร พลัดกันแพ้พลัดกันชนะในแต่ละครั้งที่โจมตี แต่แล้วหมาป่าที่ควรเป็นฝ่ายได้เปรียบก็เสียเปรียบในเวลาต่อมา
โครม!!!!
หมาป่าหนุ่มถูกเหวี่ยงจนมาชนกับก้อนหินขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดเสียงดังโครมของเศษหินที่แตกกระจาย คาซัสไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ลุกยืนขึ้นมาอีก เขารีบพุ่งตัวเข้าไปล็อคลำคอแกร่งและร่างกายส่วนอื่นเอาไว้กับก้อนหินขนาดใหญ่ด้านหลังจนคิดว่าคนถูกกระทำไม่น่าจะขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว
“ยอมแพ้ซะ” แวมไพร์หนุ่มว่าเสียงเรียบ ท่อนแขนที่ดันคออีกฝ่ายไว้ออกแรงมากยิ่งกว่าเดิม
“หึ นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆสินะเนี่ย น่าทึ่งจัง”
ปึง!
คาซัสไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพล่าม เขาใช้มือข้างที่ว่างชกมือลงบนหินด้านหลังข้างๆหัวของหมาป่าหนุ่มเป็นการเตือนให้หยุดพูดลงทันที
“เลิกพล่ามซะ” น้ำเสียงที่ฟังดูน่ากลัวกับความได้เปรียบในตอนนี้กำลังทำให้โลเวลจนมุม ได้แต่ข่มอารมณ์ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เอาไว้ กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูนโปน ตอนนี้เค้าขยับตัวไม่ได้เลยจนอดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวคนนี้เนี่ยนะจะแพ้? แต่ในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไปอยู่นั้น มุมปากก็กระตุกยิ้มชั่วร้ายเมื่อนึกอะไรออก
“...นายอยากให้ฉันคืนโลงศพให้นายมั้ยล่ะ”
“หมายความว่ายังไง” คาซัสหรี่ตามองหมาป่าหนุ่มอย่างไม่เชื่อใจ คนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างนี้น่ะเหรอจะยอมยกของสำคัญแบบนี้ให้ง่ายๆ
“ใช่ แต่...นายต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็น ว่านายสามารถปกป้องเธอได้จริง เพราะฉันจะไม่ยอมให้เจ้าสาวของตัวเองไปอยู่กับคนที่ไม่สามารถดูแลเธอได้หรอกนะ”
“นี่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกรึไง?” พูดพร้อมกับออกแรงดันคอมากกว่าเดิม
“ฉันไม่ได้กระจอกขนาดนั้น..” ว่าแล้วก็พยายามเค้นพลังที่มีมาไว้ในมือ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดผลักอีกฝ่ายให้ผละออกจากตัวแล้วจึงปล่อยพลังใส่ร่างกายสูงใหญ่เต็มๆ ส่งผลให้คาซัสกระเด็นไปชนกับต้นไม้อย่างจังจนมันหักโค่นลงมา
โครม!!
“ฮ้า นายทำให้ฉันเสียแรงไปไม่น้อยเลยนะ” โลเวลเช็ดเลือดมุมปาก นัยน์ตาสีเทาจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมา
“แฮ่ก...แล้วจะให้ฉันพิสูจน์ยังไง”
“อะไรก็ได้เหรอ?” โลเวลเลิกคิ้วถามอย่างมีเลศนัย ใบหน้าเจ้าเล่ห์ดูดีขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งได้รับคำตอบจากเจ้าของนัยน์ตาสีเลือด
“ขอแค่ได้เธอคืนมาก็พอ” คำพูดที่ทำให้คนฟังกระตุกยิ้ม
“หึ ตามนั้น”
ขอโทษนะโซเฟีย แต่ฉันขอใช้เธอในการทดสอบหมอนี่หน่อย
ความคิดที่มาพร้อมกับความคิดที่ว่าจะใช้หญิงสาวที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพเป็นเครื่องมือ ดังนั้นเขาจึงไม่รีรออะไรอีกต่อไป ขยับร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าโลงศพสีดำทมิฬซึ่งวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ทันที การกระทำที่ทำให้คาซัสเริ่มร้อนรน
“นายจะทำอะไร!” จนเผลอขึ้นเสียง นั่นทำให้คนฟังรับรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวในโลงศพนี้สำคัญกับเจ้าตัวมากแค่ไหน
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะพิสูจน์ ดังนั้นนี่คือการทดสอบว่านายจะสามารถปกป้องเธอได้หรือไม่ถ้าเกิดอยู่ในสถานการณ์ที่ฉันเป็นต่อแบบนี้”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คาซัสทำได้เพียงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างออกคำสั่งเพราะตอนนี้เขาก็หมดแรงแล้วจากการโจมตีเมื่อกี้นี้ หากแต่คนฟังก็เหมือนจะไม่ได้รับฟังมันแต่อย่างใด เขาไม่ได้อยากคิดเลยว่าโลเวลจะทำร้ายเธอ ทั้งที่ก็ ‘รัก’ เธอมากไม่ต่างกัน
หมาป่าหนุ่มเปิดฝาโลงศพออก ก่อนจะต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นราวกับพบอัญมณีล้ำค่า จนเผลอพูดออกมา
“ว้าว... ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งพันปีกับอีกหนึ่งวัน เธอสวยขึ้นรึเปล่า?” โลเวลจ้องมองร่างตรงหน้าตาค้าง เขาไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเพื่อชื่นชมความงามของเธอ โดยไม่รู้เลยว่านัยน์ตาสีแดงเลือดที่มองมานั้นบ่งบอกว่า ‘หวง’ มากแค่ไหน
ในหัวสมองของคาซัสบอกว่านี่คือหน้าที่ แต่ในจิตใจส่วนลึกกลับไม่ได้บอกแบบนั้นเลย มันร้อนรุ่มไปหมดจนแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนว่าหวงมากแค่ไหน
“ไม่ว่านายจะทำอะไร ฉันขอเตือนให้นายหยุดซะ” เสียงเย็นพูดออกมาอย่างน่ากลัว ที่หากเป็นคนอื่นมาได้ยินคงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันไปแล้ว แต่กลับโลเวลอาการแบบนั้นมันยิ่งทำให้เขาสนุก
“นายคิดว่าฉันสนเหรอ?”
ฟึ่บ!
จบคำพูดนั้นมือข้างหนึ่งก็พลันเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าของหมาป่าในทันที กรงเล็บแหลมคมที่ดูน่าหวาดกลัวนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันถูกนำออกมาทำไม แรงทั้งหมดถูกรวบรวมไปไว้ที่ลำแขนข้างนั้น ก่อนมันจะพุ่งเข้าใส่ร่างที่นอนอยู่ข้างในโลงศพอย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิง!!!!”
.
.
.
.
.
ฉึก!
โลเวลเบิกตาค้าง ภาพตรงหน้ากำลังทำให้เขาทึ่งจนได้แต่มองภาพนั้นโดยไม่อาจละสายตาไปไหนได้ “นายต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” เอ่ยเสียงเบาพร้อมกับความคิดที่ว่าต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ แต่สำหรับคนทำแล้ว..
“มากกว่านี้...อึ่ก ฉันก็ให้เธอได้”
ภาพของคนที่ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว แต่กลับมาปรากฏกายอยู่ตรงนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที ใช้ร่างกายสูงใหญ่ของตัวเองคร่อมทับโลงศพไว้เพื่อปกป้องร่างข้างใต้จากกรงเล็บอันแหลมคม จนมันเสียบทะลุเข้าแผ่นหลังของตัวเองแทน ทำให้เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ภาพที่ทำให้โลเวลอดจะนึกทึ่งไม่ได้จริงๆว่าคนๆนี้ ‘รัก’ หญิงสาวข้างใต้นั้นมากขนาดไหน
แต่ในขณะที่อีกคนกำลังนึกทึ่งกับภาพที่เห็นอยู่นั้น อีกคนกลับกำลังมีความสุข เพราะการที่เอาร่างกายของตัวเองมาคร่อมทับโลงศพไว้ มันทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ตรงกับใบหน้าเรียวสวยข้างใต้พอดี ภาพทุกอย่างมันกำลังทำให้เขาคิดถึง ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวละเอียดราวเกล็ดหิมะ ดวงตากลมโตซึ่งกำลังปิดสนิท ไหนจะริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้รับการแต่งเติมใดๆ ความคิดถึงที่มีมากล้นอกจนเผลอพูดออกมา
“ฉันให้เธอได้มากกว่านี้...เพราะฉันรักเธอ”
ฉึก!
แต่ยังไม่ทันจะได้มองใบหน้างดงามนั้นจนพอใจ คาซัสก็ต้องกระอักเลือดออกมาเนื่องจากคำพูดที่เผลอไผลของเขามันทำให้คนที่กำลังมองภาพเหตุการณ์อย่างนึกทึ่งได้สติ
“เฮ้อ ดูเหมือนคราวนี้ฉันจะแพ้นายแล้วสินะ” โลเวลถอนหายใจพลางหมุนตัวหันหลังไปอีกทางโดยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา
“ทำไมนายถึงทำแบบนี้กับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของนาย”
“.....”
“.....”
“เพราะยังไง...เธอก็เป็นของฉันอยู่ดี” ขายาวที่หยุดนิ่งก้าวเดินอีกครั้ง ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ไม่ว่านายจะพยายามมากแค่ไหน”
คำพูดที่ราวกับตอกย้ำให้คนที่เจ็บกายรู้สึกเจ็บใจไปด้วย ความจริงข้อนั้นเขารู้ดี.. รู้ว่าไม่มีทางจะเอาเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลมาเป็นของตัวเองได้
รู้ว่าเจ้าของหัวใจเธอเป็นใคร
ในคืนพระจันทร์เต็มดวงมีสีแดงฉานราวกับสีเลือด... ภายใต้แสงจันทร์ปรากฏเงาร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังใช้นัยน์ตาสีเทาอันน่าเกรงขามจับจ้องไปยังทหารเฝ้ายามสองคนที่มีท่าทางเหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างง่วงงุนโดยไม่อาจรู้เลยว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าตัวเองจะต้องตาย...
“อะไรกันเนี่ย นี่ยังไม่มีใครมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ายามกับพวกเราอีกเหรอ นี่มันก็เที่ยงคืนแล้วนะ!” ชายร่างผอมบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ จนถึงป่านนี้แล้วยังไม่มีใครมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ายามกับพวกเขาเลย
“น่าๆ ใจเย็นก่อน พวกเขาอาจจะมาช้าก็ได้นา” ชายร่างท้วมเอ่ยปลอบให้เพื่อนเขาใจเย็นลง พลางหยิบขนมที่ถือไว้ในมือขึ้นมากินด้วยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันอร่อยตรงไหน เดิมทีแวมไพร์อย่างเราก็กินได้แค่เลือดไม่ใช่รึไง”
“นายจะลองชิมมั้ยล่ะ” ชายร่างท้วมว่าพลางยื่นขนมให้เพื่อนตัวเอง
“ถ้ากินไอ้นั่นแล้วอ้วนแบบนาย ขอไม่กินดีกว่า” ว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะเบนหน้าไปมองทางอื่นเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ในขณะนั้นเองชายร่างท้วมที่กำลังกินขนมอย่างสบายใจเฉิบก็ไม่อาจรู้เลยว่าขนมที่ตัวเองกินเข้าไปนั้นอาจจะเป็นอาหารชิ้นสุดท้ายแล้ว...
ฉึก!
“อั่ก!!”
ตึง!
“ร้องอะไรของแก ขนมติดคอรึไง.. เห้ย! ไอ้อ้วนเป็นไรวะ” ทหารเฝ้ายามร่างผอมรีบพุ่งเข้ามาประคองเพื่อนตัวเองทันทีที่เห็นมันล้มลงไปกับพื้น แต่ทันทีที่ยกร่างอ้วนๆนั่นขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจ.. พบว่าบริเวณลำคอของมันมีแผลเหวอะหวะที่น่าจะมาจากการถูกแทง ก่อนร่างกายของผู้เป็นเพื่อนจะสลายกลายเป็นเพียงเศษฝุ่น
“ใครวะ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย” ชายร่างผอมตะโกนลั่นเรียกหาศัตรูที่เข้ามาบุกรุกพร้อมกับชักดาบที่แนบข้างลำตัวขึ้นมาถือ เขามองซ้ายมองขวาทั่วทุกทิศทางแต่กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว
ฉึก!
“อ๊ากกก!!!” ก่อนจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกของมีคมบางอย่างแทงเข้าที่หลังคอซะแล้ว
“เฮ้อ.. ทำไมสถานที่สำคัญๆแบบนี้ถึงให้พวกทหารยามกระจกงอกง่อยพวกนี้มาเฝ้านะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง นั่นทำให้นายทหารยามที่ยังไม่สิ้นใจดีค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง
“พวกแก..เป็น..ใคร”
“หือ? นี่แกยังไม่ตายอีกเหรอ พวกแวมไพร์ไม่ใช่ว่าพอถูกแทงแล้วจะกลายเป็นผงไปเลยรึไง..” คนผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงทะเล้นว่าอย่างแปลกใจนิด ก่อนจะย่อตัวลงมาหานายทหารที่ดูอึดคนนี้ “ไหนๆก็จะตายแล้วงั้นบอกก็ได้... ฉันก็คือองครักษ์ของเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวยังไงล่ะ”
ฉึก!
จบคำพูดนั้นมีดสั้นก็ถูกแทงเข้าที่ศีรษะของนายทหารผู้โชคร้ายทันที ร่างกายพลันเปลี่ยนเป็นเพียงฝุ่นผงแล้วปลิวไปตามลมหนาวยามค่ำคืน
“นี่แม็กซ์! นายไม่คิดจะช่วยฉันจัดการเลยรึไง” ชายหนุ่มผมสีขาวสว่างว่าอย่างหัวเสียพร้อมกับหมุนตัวมามองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง คอยดูเหตุการณ์ทุกอย่างแต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย
“ฉันไม่อยากมือเปื้อน” ชายร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัวตอบกลับไปสั้นๆ ให้คนฟังฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
“ชิ กลับไปนายง้อฉันด้วย... ท่านโลเวลครับ! พวกเราจัดการพวกทหารเฝ้ายามพวกนี้ได้แล้วครับ!” คนตัวเล็กกว่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนยอดต้นไม้สูงที่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงตะโกนเสียงดังให้ใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน
ทันใดนั้นเงาร่างสูงโปร่งที่คอยมองสถานการณ์จากตรงนี้อยู่ตลอดเวลาก็พลันหายวับมายืนอยู่บนพื้นตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองให้พวกเขาคุกเข่าลงทันที
“ขอบใจมากนะโฟล แม็กซ์” เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณแก่ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ทั้งสอง ก่อนจะเดินเลยผ่านพวกเขาเพื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าบางสิ่งบางอย่าง
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์...
สถานที่สำคัญซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีทหารเฝ้ายามแสนกระจอกงอกง่อยเฝ้าอยู่ แต่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว
มือหนาภายใต้ถุงมือสีดำยื่นไปข้างหน้าหมายจะแตะหินที่ปิดทางเข้าถ้ำไว้ทุกทิศทาง นัยน์ตาสีเทาอันน่าเกรงขามมองตรงไปข้างหน้าอย่างพิจารณา
เปรี๊ยะ!
แต่เพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้นก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมาโดนมือ นั่นทำให้โลเวลยิ้มมุมปาก ก่อนจะค่อยๆถอดถุงมือสีดำของตัวเองออก การกระทำที่ทำให้ลูกน้องทั้งสองรู้ทันทีว่าเขาจะทำอะไร
“ถ้าทำแบบนั้น อาจมีคนแห่มาก็ได้นะครับ” โฟลแย้ง เขารู้ว่าเจ้านายตัวเองต้องการจะระเบิดถ้ำที่ปิดตายนี้
“แต่พวกนายก็จัดการพวกแวมไพร์ตัวอื่นๆที่อยู่รอบป่าไปแล้วไม่ใช่หรือไง” โลเวลพูดอย่างไม่จริงจังนัก เขามองไปที่องครักษ์ของตัวเองทั้งสองยิ้มๆเหมือนถามกลายๆว่าจริงมั้ย ก่อนทั้งสองจะพยักหน้าพร้อมกัน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะรีรออะไรอีกแล้ว ชายหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้าแล้ววางทาบมันไว้กับแผ่นหินทันที
ใช่แล้ว ที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนเวรยามกับพวกทหารเฝ้ายามสองคนนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาได้จัดการคนพวกนั้นไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงมาจัดการทหารยามที่คอยเฝ้าถ้ำไว้ตลอดทีหลัง
มือที่ทาบลงไปสัมผัสกับแผ่นหินเริ่มรู้สึกถึงการต่อต้านอันมาจากอาคมที่ลงเอาไว้เพื่อปกป้องถ้ำ นัยน์ตาสีเทาพลันเปล่งแสงทันทีที่เจ้าตัวปล่อยพลังเข้าไปปะทะเพื่อหวังจะทลายมัน เขาชักมือกลับเข้าหาตัวอีกครั้งก่อนจะส่งพลังทั้งหมดไปไว้ที่ลำแขน แล้วจึงออกแรงสุดแรงเพื่อเหวี่ยงหมัดไปกระทำกับแผ่นหินตรงหน้า! จนในที่สุด...
ตูม!!
โครม!!
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปิดตายมากว่าพันปีก็ทลายลง
แปะ แปะ แปะ
“ว้าว~ ท่านโลเวลยังคงเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะครับเนี่ย” คนร่าเริงปรบมือเปาะแปะให้ผู้เป็นเจ้านายอย่างอารมณ์ดี นั่นทำให้คนโดนปรบมือใส่มองหน้ายิ้มๆอย่างไม่ถือสาอะไร เพราะตอนนี้...เขาก็อารมณ์ดีเหมือนกัน
“ฉันจะเข้าไปเอาโลงศพเอง พวกนายคอยเฝ้าที่นี่ไว้” โลเวลออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา จากนั้นขายาวจึงก้าวเข้าถ้ำไป ทิ้งให้องครักษ์มือซ้ายและมือขวาของตัวเองคอยเฝ้าที่นี่ไว้ตามคำสั่ง
รอก่อนนะเจ้าหญิงของฉัน...
ภายในถ้ำนั้นช่างมืดมิดราวกับอยู่คนละพิภพกับที่เขาเพิ่งจากมา หากแต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับชายหนุ่มมากนัก เพราะแม้จะอยู่ในความมืดดวงตาของเขาก็ยังสามารถมองเห็น
เพราะมันคือ... ดวงตาของหมาป่า
เดินไปได้สักพักชายหนุ่มก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่อยู่ไม่ไกล เขาเร่งความเร็วในการเดินยิ่งขึ้นอย่างตื่นเต้น จนในที่สุดก็มาถึง...แท่นหินศักดิ์สิทธิ์ แท่นที่ไม่ได้มีความสูงมากนัก เพียงก้าวขึ้นบันไดไปสามขั้นก็ขึ้นไปถึงด้านบน
ตึก ตึก ตึก
โลเวลเดินขึ้นบันไดทั้งสามขั้นนั้นไปอย่างสง่างาม แสงของดวงจันทร์ที่ส่องลงมาจากช่องหินด้านบนทำให้นัยน์ตาสีเทามองเห็นอะไรๆได้ง่ายขึ้น โลงศพสีดำทมิฬที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นของจริง และร่างที่นอนอยู่ข้างในนั้นก็เป็นร่างของ ‘เธอ’ จริงๆ ยืนยันได้ด้วยตัวอักษรที่สลักอยู่ด้านบนฝาโลงศพว่า ‘Evangeline Gre Sofia’
“นี่น่ะเหรอ...โลงศพของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาล” ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดอยู่หน้าโลงศพสีดำทมิฬแล้วมองสำรวจมันอย่างชื่นชม ด้วยดีไซน์ที่ดูประณีต ลักษณะเป็นทรงหกเหลี่ยมสีดำขลับ บนฝาโลงศพประดับไว้ด้วยไม้กางเขนสีเงิน ช่างเหมาะสมกับฐานะของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลเป็นไหนๆ หากแต่...
“สีดำน่ะไม่เข้ากับเธอหรอก เพราะเธอมันบริสุทธิ์” ว่าจบก็ย่อตัวลงข้างโลงศพ มือหนายื่นไปจับโลงศพเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องนำตัวเธอกลับไปสักที แต่ทันใดนั้น...
ฟวั่บ!
ลำคอแกร่งก็สัมผัสได้ถึงความแข็งเย็นของอะไรบางอย่าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่เข้ามาถึงที่นี่ได้โดยองครักษ์ทั้งสองของเขาไม่รู้ตัวเป็นใคร
“หึ สบายดีมั้ยล่ะคาซัส” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยถามผู้มาใหม่ เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนที่บังอาจชักดาบใส่เขาด้วยความเย้ยหยัน “...ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเหล่าผีดูดเลือดที่น่ารังเกียจ”
คำพูดที่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงนามคาซัสไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าหล่อเหลาอันประกอบไปด้วยดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน และปากหยักได้รูปดูยุ่งเหยิงขึ้นมานิดเมื่อคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม นัยน์ตาสีแดงเลือดจับจ้องไปยังใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นไม่วางตา
“อย่าริอาจมาแตะต้องท่านหญิงของฉัน” เสียงเย็นเอ่ยออกมาอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งนั่นไม่ได้สร้างความเกรงกลัวแก่ผู้ฟังแต่อย่างใด คาซัสมองอีกฝ่ายที่กำลังยืนขึ้นอย่างสบายๆเหมือนไม่กลัวว่าดาบซึ่งยังคงจ่อไว้ที่ลำคอจะแทงเข้าเนื้อตัวเองเลย
“หึ แล้วนายรู้ได้ยังไงล่ะว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของนาย” คำพูดไร้เยื่อใยที่เอ่ยออกมาทำให้คนฟังคิ้วกระตุก
โลเวลอดจะนึกขำไม่ได้ ทุกครั้งที่นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนแล้วนำมันมาเปรียบเทียบกับในตอนนี้ คาซัส... คนตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปมากทีเดียว จนเผลอพูดออกมา...
“เฮอะ นั่นสินะ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นทั้งนายและฉันต่างก็เปลี่ยนไป.. ทั้งชิงชังและเคียดแค้น” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เว้นจังหวะ ก่อนจะว่าต่อ “และตั้งแต่ยัยนี่ตายไป...”
หมับ!
ตึง!!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่หมาป่าหนุ่มเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาคว้าเข้าที่ลำคอแกร่งทันทีที่อีกฝ่ายพูดเรื่องไม่เข้าหูให้ได้ยิน คาซัสบีบคออีกฝ่ายแน่นแล้วจับทุ่มพื้นสุดแรงจนพื้นบริเวณที่ถูกกระแทกทลายและแตกเป็นหลุมใหญ่ เขาไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นอีก ไม่อยากได้ยิน!
อย่าได้เอ่ยนามถึงท่านหญิงแบบนั้น..โลเวล” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยออกมาราวกับจะแช่แข็งคนฟังให้ตายซะให้ได้ แต่นั่นต้องไม่ใช่กับโลเวล
“อะไรๆ นายบังอาจมากเลยนะที่มาจับเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวทุ่มพื้นน่ะ” โลเวลพูดทีเล่นทีจริง เขาไม่สะทกสะท้านใดๆต่อการกระทำที่ได้รับ
“ฉันไม่สน”
“หึ งั้นเหรอ” ใบหน้าเจ้าเล่ห์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย จากนั้น...
ฟึ่บ!
!!!
คาซัสตกใจอยู่ชั่ววินาทีเพราะเพียงพริบตาอีกฝ่ายที่เคยอยู่ใต้ร่างเขาก็หายไปแล้ว!
“ขอรับโลงศพเจ้าหญิงของฉันกลับไปเลยก็แล้วกันนะ” แวมไพร์หนุ่มหันหน้าไปตามเสียงที่ได้ยินจนพบว่าอีกฝ่ายไปปรากฏตัวอยู่ที่โลงศพซะแล้วพร้อมกับยกโลงศพสีดำทมิฬขึ้นมาแบกไว้ข้างลำตัว ก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งปล่อยพลังไปปะทะกับผนังถ้ำจนพังทลาย
โครม!!
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คาซัสเอ่ยไล่หลังอีกฝ่ายที่หนีอออกไปนอกถ้ำได้แล้วพร้อมกับวิ่งตามไปติดๆ แม้ความเร็วของพวกหมาป่าจะมากกว่าแวมไพร์อยู่หลายเท่าแต่เขาก็จะต้องนำโลงศพนั่นกลับมาให้จงได้!
ข้างนอกถ้ำนี้คือป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงมากมาย แต่ในเวลายามค่ำคืนแบบนี้กลับสัมผัสได้เพียงอากาศหนาวเย็น เสียงนกฮูกและเสียงสิงสาราสัตว์ไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกกลัวได้เลย
ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย ประเทศอันเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของ ‘แวมไพร์’ หากแต่นั่นก็เมื่อหลายพันปีก่อน เพราะปัจจุบันแทบจะไม่มีแวมไพร์ตนไหนอาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว นอกจากพวกทหารเฝ้ายามซึ่งต้องคอยประจำอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องถ้ำศักดิ์สิทธิ์และคาซัสเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้ในการเก็บร่างแหล่งพลังของพวกแวมไพร์ เพื่อถ่ายทอดพลังมหาศาลของบรรพบุรุษสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว... เพราะร่างแหล่งพลังคนปัจจุบันนั้นยังไม่ตาย
“อ้าวๆ วิ่งเร็วๆสิ เดี๋ยวก็จับฉันไม่ได้หรอก” โลเวลพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ใบหน้าเจ้าเล่ห์หันกลับไปมองข้างหลังพบว่าอีกฝ่ายยังคงตามมาติดๆ หากแต่ระยะห่างไม่ใช่ว่าจะใกล้กันเลย
“นายขี้ขลาดรึไง เอาแต่วิ่งหนี” น้ำเสียงที่ดูใจเย็นของแวมไพร์หนุ่มอดจะทำให้โลเวลแปลกใจไม่ได้ นี่เขาถูกดูถูกอย่างงั้นเหรอ.. แถมอีกฝ่ายพูดราวกับท้าสู้
โลเวลลังเล เพราะหากต่อสู้กันเขาคงต้องวางโลงศพทิ้งไว้ก่อน และเขาก็ไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่เอาแต่หนี หากแต่นั่นอาจเป็นไปตามแผนของอีกฝ่าย บางทีคาซัสอาจตั้งใจก็ได้ แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างเข้าก็ต้องเปลี่ยนใจ..
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้สู้กับหมอนี่
ความคิดที่ทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดนิ่ง พอดีกับที่บริเวณนี้เป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ใบไม้น้อยกว่าป่าส่วนเมื่อกี้โข ดังนั้นมันคงง่ายกับการต่อสู้ของพวกเขามากกว่า
“นายจะทำอะไร” คาซัสซึ่งตามมาทีหลังเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจการกระทำ ความจริงหมาป่าหนุ่มสามารถใช้ความเร็วของตัวเองวิ่งหนีไปได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ทำ
กี่พันปีมาแล้วล่ะที่เขาไม่ได้ประลองฝีมือกับแวมไพร์หนุ่มผู้มีดวงตาที่น่าเกรงขามคนนี้
“ฉันแค่อยากลองสู้กับนายดูก็เท่านั้น เราไม่ได้ประมือกันมาตั้งแต่เมื่อพันปีที่แล้วแล้วหนิ” โลเวลว่าพลางแบกโลงศพไปวางไว้อีกฟากหนึ่งเพื่อไม่ให้มันได้รับผลกระทบใดๆเมื่อถึงเวลาต่อสู้
คาซัสชักดาบข้างลำตัวขึ้นมาถือในท่วงท่าของการต่อสู้ที่ได้ฝึกมาทันทีที่อีกฝ่ายเดินกลับมายืนตำแหน่งเดิมซึ่งไม่ห่างจากเขามากนัก หากต้องต่อสู้กันจริงๆเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้เหมือนกัน แต่นั่นกลับทำให้โลเวลอดจะมองอย่างฉงนไม่ได้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็มีพลังที่กล้าแกร่ง แต่กลับไม่ใช้มันอย่างงั้นเหรอ?
“อะไรคือการที่นายไม่ใช้พลังของตัวเองเล่า?” โลเวลถาม
“ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังในการต่อสู้ถ้าไม่จำเป็น” คาซัสตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเขาจริงจังกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโลงศพในครั้งนี้มาก ต่างจากหมาป่าหนุ่มที่ยังคงดูสบายๆ
“นายคิดว่าจะชนะ?”
“ไม่ลองไม่รู้”
“เหรอ.. งั้นก็มาเริ่มกันเลย”
ฟึ่บ!
จบคำพูดนั้นการต่อสู้ที่แสนดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น โลเวลเปลี่ยนมือของเขาให้กลายเป็นอุ้งเท้าของหมาป่าอันประกอบไปด้วยกรงเล็บแหลมคม ในขณะที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย คาซัสแม้ไม่ได้รวดเร็วเท่าหมาป่า แต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาก็ไม่เป็นรองใคร ดาบเงินถูกวาดลวดลายเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองทันที
การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครยอมใคร พลัดกันแพ้พลัดกันชนะในแต่ละครั้งที่โจมตี แต่แล้วหมาป่าที่ควรเป็นฝ่ายได้เปรียบก็เสียเปรียบในเวลาต่อมา
โครม!!!!
หมาป่าหนุ่มถูกเหวี่ยงจนมาชนกับก้อนหินขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดเสียงดังโครมของเศษหินที่แตกกระจาย คาซัสไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ลุกยืนขึ้นมาอีก เขารีบพุ่งตัวเข้าไปล็อคลำคอแกร่งและร่างกายส่วนอื่นเอาไว้กับก้อนหินขนาดใหญ่ด้านหลังจนคิดว่าคนถูกกระทำไม่น่าจะขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว
“ยอมแพ้ซะ” แวมไพร์หนุ่มว่าเสียงเรียบ ท่อนแขนที่ดันคออีกฝ่ายไว้ออกแรงมากยิ่งกว่าเดิม
“หึ นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆสินะเนี่ย น่าทึ่งจัง”
ปึง!
คาซัสไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพล่าม เขาใช้มือข้างที่ว่างชกมือลงบนหินด้านหลังข้างๆหัวของหมาป่าหนุ่มเป็นการเตือนให้หยุดพูดลงทันที
“เลิกพล่ามซะ” น้ำเสียงที่ฟังดูน่ากลัวกับความได้เปรียบในตอนนี้กำลังทำให้โลเวลจนมุม ได้แต่ข่มอารมณ์ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เอาไว้ กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูนโปน ตอนนี้เค้าขยับตัวไม่ได้เลยจนอดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างเจ้าชายแห่งคมเขี้ยวคนนี้เนี่ยนะจะแพ้? แต่ในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไปอยู่นั้น มุมปากก็กระตุกยิ้มชั่วร้ายเมื่อนึกอะไรออก
“...นายอยากให้ฉันคืนโลงศพให้นายมั้ยล่ะ”
“หมายความว่ายังไง” คาซัสหรี่ตามองหมาป่าหนุ่มอย่างไม่เชื่อใจ คนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างนี้น่ะเหรอจะยอมยกของสำคัญแบบนี้ให้ง่ายๆ
“ใช่ แต่...นายต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็น ว่านายสามารถปกป้องเธอได้จริง เพราะฉันจะไม่ยอมให้เจ้าสาวของตัวเองไปอยู่กับคนที่ไม่สามารถดูแลเธอได้หรอกนะ”
“นี่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกรึไง?” พูดพร้อมกับออกแรงดันคอมากกว่าเดิม
“ฉันไม่ได้กระจอกขนาดนั้น..” ว่าแล้วก็พยายามเค้นพลังที่มีมาไว้ในมือ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดผลักอีกฝ่ายให้ผละออกจากตัวแล้วจึงปล่อยพลังใส่ร่างกายสูงใหญ่เต็มๆ ส่งผลให้คาซัสกระเด็นไปชนกับต้นไม้อย่างจังจนมันหักโค่นลงมา
โครม!!
“ฮ้า นายทำให้ฉันเสียแรงไปไม่น้อยเลยนะ” โลเวลเช็ดเลือดมุมปาก นัยน์ตาสีเทาจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมา
“แฮ่ก...แล้วจะให้ฉันพิสูจน์ยังไง”
“อะไรก็ได้เหรอ?” โลเวลเลิกคิ้วถามอย่างมีเลศนัย ใบหน้าเจ้าเล่ห์ดูดีขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งได้รับคำตอบจากเจ้าของนัยน์ตาสีเลือด
“ขอแค่ได้เธอคืนมาก็พอ” คำพูดที่ทำให้คนฟังกระตุกยิ้ม
“หึ ตามนั้น”
ขอโทษนะโซเฟีย แต่ฉันขอใช้เธอในการทดสอบหมอนี่หน่อย
ความคิดที่มาพร้อมกับความคิดที่ว่าจะใช้หญิงสาวที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพเป็นเครื่องมือ ดังนั้นเขาจึงไม่รีรออะไรอีกต่อไป ขยับร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าโลงศพสีดำทมิฬซึ่งวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ทันที การกระทำที่ทำให้คาซัสเริ่มร้อนรน
“นายจะทำอะไร!” จนเผลอขึ้นเสียง นั่นทำให้คนฟังรับรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวในโลงศพนี้สำคัญกับเจ้าตัวมากแค่ไหน
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะพิสูจน์ ดังนั้นนี่คือการทดสอบว่านายจะสามารถปกป้องเธอได้หรือไม่ถ้าเกิดอยู่ในสถานการณ์ที่ฉันเป็นต่อแบบนี้”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คาซัสทำได้เพียงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างออกคำสั่งเพราะตอนนี้เขาก็หมดแรงแล้วจากการโจมตีเมื่อกี้นี้ หากแต่คนฟังก็เหมือนจะไม่ได้รับฟังมันแต่อย่างใด เขาไม่ได้อยากคิดเลยว่าโลเวลจะทำร้ายเธอ ทั้งที่ก็ ‘รัก’ เธอมากไม่ต่างกัน
หมาป่าหนุ่มเปิดฝาโลงศพออก ก่อนจะต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นราวกับพบอัญมณีล้ำค่า จนเผลอพูดออกมา
“ว้าว... ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งพันปีกับอีกหนึ่งวัน เธอสวยขึ้นรึเปล่า?” โลเวลจ้องมองร่างตรงหน้าตาค้าง เขาไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเพื่อชื่นชมความงามของเธอ โดยไม่รู้เลยว่านัยน์ตาสีแดงเลือดที่มองมานั้นบ่งบอกว่า ‘หวง’ มากแค่ไหน
ในหัวสมองของคาซัสบอกว่านี่คือหน้าที่ แต่ในจิตใจส่วนลึกกลับไม่ได้บอกแบบนั้นเลย มันร้อนรุ่มไปหมดจนแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนว่าหวงมากแค่ไหน
“ไม่ว่านายจะทำอะไร ฉันขอเตือนให้นายหยุดซะ” เสียงเย็นพูดออกมาอย่างน่ากลัว ที่หากเป็นคนอื่นมาได้ยินคงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันไปแล้ว แต่กลับโลเวลอาการแบบนั้นมันยิ่งทำให้เขาสนุก
“นายคิดว่าฉันสนเหรอ?”
ฟึ่บ!
จบคำพูดนั้นมือข้างหนึ่งก็พลันเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าของหมาป่าในทันที กรงเล็บแหลมคมที่ดูน่าหวาดกลัวนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันถูกนำออกมาทำไม แรงทั้งหมดถูกรวบรวมไปไว้ที่ลำแขนข้างนั้น ก่อนมันจะพุ่งเข้าใส่ร่างที่นอนอยู่ข้างในโลงศพอย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิง!!!!”
.
.
.
.
.
ฉึก!
โลเวลเบิกตาค้าง ภาพตรงหน้ากำลังทำให้เขาทึ่งจนได้แต่มองภาพนั้นโดยไม่อาจละสายตาไปไหนได้ “นายต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” เอ่ยเสียงเบาพร้อมกับความคิดที่ว่าต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ แต่สำหรับคนทำแล้ว..
“มากกว่านี้...อึ่ก ฉันก็ให้เธอได้”
ภาพของคนที่ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว แต่กลับมาปรากฏกายอยู่ตรงนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที ใช้ร่างกายสูงใหญ่ของตัวเองคร่อมทับโลงศพไว้เพื่อปกป้องร่างข้างใต้จากกรงเล็บอันแหลมคม จนมันเสียบทะลุเข้าแผ่นหลังของตัวเองแทน ทำให้เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ภาพที่ทำให้โลเวลอดจะนึกทึ่งไม่ได้จริงๆว่าคนๆนี้ ‘รัก’ หญิงสาวข้างใต้นั้นมากขนาดไหน
แต่ในขณะที่อีกคนกำลังนึกทึ่งกับภาพที่เห็นอยู่นั้น อีกคนกลับกำลังมีความสุข เพราะการที่เอาร่างกายของตัวเองมาคร่อมทับโลงศพไว้ มันทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ตรงกับใบหน้าเรียวสวยข้างใต้พอดี ภาพทุกอย่างมันกำลังทำให้เขาคิดถึง ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวละเอียดราวเกล็ดหิมะ ดวงตากลมโตซึ่งกำลังปิดสนิท ไหนจะริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้รับการแต่งเติมใดๆ ความคิดถึงที่มีมากล้นอกจนเผลอพูดออกมา
“ฉันให้เธอได้มากกว่านี้...เพราะฉันรักเธอ”
ฉึก!
แต่ยังไม่ทันจะได้มองใบหน้างดงามนั้นจนพอใจ คาซัสก็ต้องกระอักเลือดออกมาเนื่องจากคำพูดที่เผลอไผลของเขามันทำให้คนที่กำลังมองภาพเหตุการณ์อย่างนึกทึ่งได้สติ
“เฮ้อ ดูเหมือนคราวนี้ฉันจะแพ้นายแล้วสินะ” โลเวลถอนหายใจพลางหมุนตัวหันหลังไปอีกทางโดยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา
“ทำไมนายถึงทำแบบนี้กับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของนาย”
“.....”
“.....”
“เพราะยังไง...เธอก็เป็นของฉันอยู่ดี” ขายาวที่หยุดนิ่งก้าวเดินอีกครั้ง ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ไม่ว่านายจะพยายามมากแค่ไหน”
คำพูดที่ราวกับตอกย้ำให้คนที่เจ็บกายรู้สึกเจ็บใจไปด้วย ความจริงข้อนั้นเขารู้ดี.. รู้ว่าไม่มีทางจะเอาเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลมาเป็นของตัวเองได้
รู้ว่าเจ้าของหัวใจเธอเป็นใคร
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ