Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) หนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ] 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
- หนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ] – ครึ่งหลัง
◊◊◊
“คุณเฟลิกซ์ค่ะ!”
มาเรียกระซิบข้างหูแล้วเขย่าตัวให้ตื่นขึ้นกลางดึก ฉันที่ยังง่วงอยู่ลิ้นพันถามกลับ
“หือ? อาไยหยอ?”
“รีบหนีตามดิฉันเถอะค่ะ!”
“หา!?”
เปล้ง!!
มีลูกธนูพุ่งทะลุกระจกเข้ามาปักบนเตียงเกือบโดนทั้งคู่ เพียงเท่านั้นตาฉันสว่างขึ้นมาทันทีรีบคว้าคอมาเรียไปหลบข้างเตียงอีกฝั่งตามที่เคยถูกฝึกมากับหน่วยรบพิเศษชาติที่แล้ว แต่เพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเลยเจ็บเข่านิดหน่อย
“นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย!?”
เปล้งๆๆๆๆๆๆๆ!!
ลูกธนูกว่าสิบลูกถูกระดมยิงเข้ามาปักตามผนังตามพื้น
“ท่านสัสดีบอกว่ามีผู้บุกรุกค่ะ! ตอนนี้ออกไปรับมือหลอกล่อไปอีกทาง...แต่ดูเหมือนว่า—“
เปล้งๆๆๆๆๆ!!
“ไม่ได้ผลสินะ!”
“ว๊าย!”
มาเรียร้องตกใจเพราะมีลูกธนูติดไฟปักใกล้ตัวเธอ
ลูกธนูไฟอีกแล้ว! พวกเอลฟ์หรอ!?
และหลังจากนั้นลูกธนูไฟเพิ่มระดมยิงเข้ามาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันตัดสินใจพามาเรียวิ่งออกจากห้องนั้นตอนที่อีกฝ่ายเว้นการระดมยิงก่อนที่จะถูกไฟครอก พอลงบันไดมาแล้วก็ยังมีลูกธนูติดไฟระดมยิงมาอยู่เรื่อยๆ เลยรีบเข้าไปหลบใต้โต๊ะอาหารและที่ไม่กล้าออกหลังบ้านไม่มั่นใจว่ามีอะไรดักรออยู่ข้างนอกอยู่
“คุณมาเรีย! มีทางไหนให้หนีหรือที่ให้หลบอีกไหมคะ?”
ฉันหันไปถามแต่เห็นเธอกำลังนิ้ววาดกับพื้นไม้เกิดเป็นประกายแสงสีฟ้าขึ้นมา
“ทางลับตรงนี้ค่ะ! รอสักครู่หนึ่งนะคะ!”
แล้วเธอเริ่มวาดเป็นอักขระบางอย่างที่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอวาดส่วนนั้นเสร็จเธอก็วาดหกเหลี่ยมครอบคลุมอักขระเดิมอีกครั้งแล้วใช้ฝ่ามือทุบตรงกลาง จากเดิมสิ่งที่มาเรียวาดไว้มีประกายแสงเล็กน้อยกลายเป็นส่องแสงจนแสบตาและรู้สึกว่าพื้นที่อยู่นั้นยุบลงไป ทั้งคู่ตกมาสู่ห้องหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้เป็นห้องลับ ฉันพลิกหงายตัวก็เห็นรูที่ร่วงลงมากำลังปิดตัวเองด้วยออร่าสีฟ้า
เหอะๆ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันต้องเรียนรู้นะเนี่ย
“คุณเฟลิกซ์! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่...คะ อุ้ย” ฉันอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าร่วงมาแค่นี้ทำไมถึงเจ็บจัง “แล้วที่นี่มัน...”
“ห้องลับที่สร้างด้วยเวทมนต์ค่ะ” มาเรียว่า “ท่านสัสดีทำไว้เผื่อมีกรณีฉุกเฉินค่ะ”
“หือ? คือ...ทำแบบนี้แล้วไม่คัดค้านหรอคะ? นี่มันบ้านของคุณนิ?”
“ไม่ใช่ค่ะ คือ...ที่จริงแล้วบ้านนี้เป็นของสัสดีที่ให้ดิฉันกับสามีอาศัยอยู่ฟรีๆ ค่ะ”
“หะ!?”
“ดิฉันอยากจะเล่าความเป็นมาอยู่นะคะ แต่มันค่อนข้างยาวไว้หลังจากพวกเราหนีออกจากที่นี่ก่อนล่ะกันค่ะ”
มาเรียลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าแล้วเดินตรงที่ผนังด้านหนึ่ง เธอคลำหาสวิตซ์ลับจนเจอทำให้ประตูหกเหลี่ยมที่ซ่อนอยู่ถูกเปิดออก มันเป็นทางทอดยาวมองไม่เห็นปลายทางเพราะค่อนข้างมืดแต่ดูๆ แล้วทำให้นึกถึงท่อระบายน้ำมากกว่า คุณมาเรียยกมือขวาแบแล้วร่ายเวทมนต์
“จิตวิญญาณที่ลุกโชน จงนอบน้อมรับฟังข้า ปลดพันธนาการอย่าได้ต่อต้าน! เฟรม!”
คำร่ายที่ดูยิ่งใหญ่แต่ลูกไฟที่ปรากฏเหนือมือขวาของมาเรียเล็กเหมือนกับใช้ไฟแช็ค เธอทำหน้าเหนื่อยใจ
“เพิ่งหัดลองใช้เวทมนต์ดูค่ะ เลย...เอ่อ...น่าจะพอไว้ส่องทางได้นะคะ”
โครม!
จู่ๆ ประตูเวทมนต์ที่อยู่เหนือหัวพังครืนลงมาด้วยฝีมือของเอลฟ์คนหนึ่งที่เสื้อคุมของเขาติดไฟ
ฝ่าเพลิงมาเลยหรอเนี่ย!? แล้วมันรู้ได้ไงหว่า? ว่า---
“ร้อนๆๆๆๆๆๆๆๆ!!”
เอลฟ์ชายร้องลั่นแล้วกลิ้งตัวไปมากับพื้นสักพักลุกขึ้นถือหน้าไม้อันเล็กเล็งมาทางแน่
“แกเองสินะ! ยอมไปกับเราซะดีๆ! หรืออยากเจ็บตัว!”
ตะกี้น่าจะกระทืบมันแต่แรกนะ
ฉันหัวเสียกับตัวเองแล้วทำท่ายอมแพ้ยกมือทั้งสองขึ้น
“เข้ามาจับสิ”
“คุณเฟลิกซ์!?” มาเรียร้อง
“เฮ้ย! มนุษย์ตรงนั้นมาด้วย!”
“เธอไม่เกี่ยว โอเค!?” เฟลิกซ์เขยิบตัวบังสายตาเอลฟ์ให้ “คุณมาเรีย! รีบหนีไปเถอะค่ะ!”
“แต่ว่า...”
“ไม่! ไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น! บอกให้---เฮ้ย! อ๊าก!”
พอเห็นเอลฟ์ชายเผลอเลยพุ่งเข้าไปย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วลองใช้แขนซ้ายจักรกลที่อยากจะลองใช้มันจริงๆ จังๆ สักครั้งชกเข้าที่หน้า แต่ด้วยแรงมหาศาลของแขนซ้ายทำให้ตัวเอลฟ์ประทับคาผนังเป็นรอยบุบลงไป
ตายหรือเปล่านั่น...แขนซ้ายนี่มันแรงขนาดนี้เชียว!?
“รีบไปกันเถอะค่ะ!”
มาเรียจับแขนขวาฉันแล้วลากเข้าท่อดินก่อนที่บ้านข้างบนจะถล่มลงเพราะเพลิงในที่สุดแต่ไม่ช่วยให้ความสงสัยมันกระจ่าง
ทำไมพวกเอลฟ์ถึงตามมานี่ได้!?
◊◊◊
[หนึ่งชั่วโมงก่อนเกิดเรื่อง]
“ท่านริส...ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วนะคะ ใช้ [สแกน] ฝืนต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ”
“ไม่...เราจะค้นหาต่อไปจนรุ่งสาง”
“แต่มานา—”
ยูกะกำลังคัดค้านเต็มที่แต่ถูกขวดยาสีฟ้าขนาดเล็กยื่นให้เต็มหน้า ซึ่งเธอเห็นมันแล้วอดที่จะถามไม่ได้
“ท่านพกนั้นไว้กับตัวด้วยหรือคะ? เห็นว่าต่อต้านมันนักหนา”
“อย่าเอาฉันเหมารวมกับพวกทะนงสายเลือดเอลฟ์บริสุทธิ์นั่นนักสิ ตัวเราคือดาร์คเอลฟ์ย่อมทำทุกวิธีทางเพื่อชัยชนะ กะอีแค่ใช้ยาฟื้นฟูมานาของพวกมนุษย์ไม่ถึงตายหรอก...ยิ่งดีด้วยซ้ำเพราะเจ้าพวกมนุษย์จะตายเพราะของที่มันสร้างขึ้นมาเอง!”
ยูกะเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของริสแล้วคิดว่าคงอยากเลื่อนขั้นแน่ๆ ถึงได้มาบัญชาการออกตามเฟลิกซ์ด้วยตัวเองในถิ่นใกล้อาณาจักรมนุษย์นี้ แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ไร้การปกครองที่มีมนุษย์อาศัยอยู่น้อยถ้ามุ่งไปทางตะวันออกอีกสามสี่ชั่วโมงก็จะพบกับเมืองบาลาสของพวกมนุษย์แล้ว
และที่ยูกะมายืนตรงนี้เพราะเป็นคนเดียวในค่ายที่ใช้เวทย์ระดับกลางอย่าง [สแกน] ได้ถึงแม้จะกินยาป่วยการเมืองก็ยังถูกลากตัวมาใช้งานอยู่ดีและไม่คิดว่าริสที่มีน้ำยาฟื้นฟูมานาที่มีแต่มนุษย์จะใช้เท่านั้นมาด้วยเพราะโดยปกติด้วยความทะนงตนสูงเลยปฏิเสธสิ่งของที่เกี่ยวกับเวทมนต์ที่มนุษย์ทำขึ้นทั้งหมด แต่ลืมคิดไปว่าดาร์คเอลฟ์อย่างริสนั้นเป็นเอลฟ์ที่ชอบการสู้รบเพราะฉะนั้นแล้วอะไรที่ใช้ได้ก็หยิบมาใช้หมด
ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่ให้ใช้ [สแกน] ถี่ๆ เพราะอันที่จริงมานาเธอยังเหลืออีกเยอะมาก แต่ขืนสำรวจแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะเจอเฟลิกซ์เข้าก็ได้แล้วปัญหาก็จะตามมาเพราะต้องค่อยกั้นพื้นที่ไม่ให้เอลฟ์คนอื่นเข้าไปสำรวจตรงที่เฟลิกซ์อยู่ เว้นแต่...
“หือ!?”
“มีอะไรยูกะ หรือว่าเจอแล้ว” ริสหรี่ตาลง
“คงคิดมากไปเองค่ะ...แถวนี้สัตว์ป่ากับมอนเตอร์เยอะอยู่เลยสับสนนิดหน่อย”
“อย่าพลาดก็แล้วกัน...เฮ้ย! ปีกขวา! พวกแกเดินสำรวจให้มันดีๆ หน่อยดิ!”
ริสหันไปสั่งลูกน้อง ส่วนยูกะเผลออุทานออกมาตะกี้เพราะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ มันเป็นเวทมนต์แบบอาณาเขตไว้เตือนภัยเวลามีอะไรเคลื่อนไหวเข้ามา...และลักษณะไอเวทย์ที่หลงเหลือแบบนี้มีคนเดียว
‘ท่านคราวน์!’
-‘ยูกะ!?’-
ยูกะตัดสินใจใช้เวทย์ขั้นสูงและเฉพาะทางอย่าง [กระแสจิต] ส่งหาคนที่ทำพันธะสัญญาไว้นั่นก็คือคราวน์หรือที่เธอรู้จักในฐานะสัสดีแห่งสถาบันนิวส์ไลฟ์และเป็นเขาคนเดียวที่ยูกะแสดงตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมา
‘ท่านคราวน์! ท่านใช่ไหม! ใช่ท่านใช่ไหม!’
-‘ข้าเอง...แล้วทำไมเจ้าถึง—’-
‘เราคิดถึงท่านเหลือเกิน...ท่านใจร้าย! หายไปเป็นปีเลยนะคะท่าน!’
ยูกะโวยวายผ่านโทรจิตอย่างหนักราวกับเป็นสาวที่เอาแต่ใจ สัสดีเหงื่อตก
-‘เรื่องนั้นไว้ก่อน ทำไมเธอถึงมาอยู่ในระยะการใช้กระแสจิต?’-
“ยูกะ!? เจ้านิ่งๆ ไป เจออะไรหรือ?”
ริสถามตามสิ่งที่เธอเห็น ยูกะที่หน้านิ่งแต่ในใจอ่อนไหวไปหมดแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความหงุดหงิด
“กำลังใช้สมาธิอยู่ค่ะ กำลังตรวจสอบว่าใช้สิ่งที่ท่านตามหาหรือไม่ อย่าเพิ่งกวนนะคะ”
“อ่า...อือ”
ริสที่ไม่เคยเห็นยูกะเป็นแบบนี้เลยยอมเชื่อโดยดี และแล้วยูกะก็คุยผ่านกระแสจิตที่มีแต่นักเวทย์ระดับสูงมากถึงจะสัมผัสได้ต่อ
‘ก็...ตอนนี้ฉันอยู่กับกองกำลังเอลฟ์ส่วนหนึ่งออกตามหาเฟลิกซ์ค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่กับท่านใช่ไหม’
-‘ใช่’-
‘ค่อยยังชั่ว...งั้นท่านจะให้ทำยังไงคะ? ให้เบี่ยงเบนพวกเขาให้ไปค้นหาทางอื่นหรือเดินหน้าต่อ?’
-‘อย่าให้มาทางนี้เด็ดขาด! หลอก...หือ? อาเซียเธอละเหม่อหรือ!?’-
เหมือนว่าปลายทางมีปัญหาอะไรบางอย่าง
‘ท่านว่าอะไรนะ!?’
-‘ไม่มีอะไร ทำตามที่บอกก็พอ’-
‘แล้วฉันจะได้พบท่านอีกเมื่อไรล่ะ? แล้วจะให้เล่นบทสปายต่อไปนานแค่ไหนกัน’
พอยูกะถามแบบนั้นไปอีกฝ่ายเงียบสักพักแล้วค่อยตอบ
-‘ไว้ติดต่อไป’-
‘หา!? ท่านคราวน์!? พูดเหมือน—’
ยูกะยังไม่ได้ทันบอกจบเธอสัมผัสได้ว่าปลายทางปิดกั้นพลังเวทย์รับกระแสจิตแล้ว ทำให้เธอหงุดหงิดเป็นอย่างมากแล้วพยายามนึกข้อความสนทนาก่อนหน้านี้ทั้งหมด...ทำให้เธอตัดสินใจใช้เวทย์ [สแกน] แบบไม่ร่ายไปทางที่กระแสจิตส่งมาเพื่อหาคำตอบที่คาใจ
เธอพบกับบ้านสองชั้นกลางไร่หลังหนึ่งที่มีคนอยู่ข้างในสี่คน ชั้นสองห้องใกล้ระเบียงผู้หญิงหนึ่งคนโดยรูปร่างแล้วน่าจะเป็นเฟลิกซ์และผู้หญิงอีกคนนอนอยู่อีกห้องที่อยู่ใกล้กันซึ่งเธอรู้จักดีเพราะไปอาศัยค้างคืนบ่อยๆ ตอนที่จะไปแอบซื้อของที่เมืองมนุษย์....และชั้นล่างมีสัสดีนอนอยู่โดยมีผู้หญิงผมดำคนหนึ่งนอนกอดน้ำลายยืดที่หน้าท้องฝ่ายชาย
“หึ...หึ...หึ”
เข้าใจแล้ว...ทำไมถึงพยายามห่างจากตัวฉันมาตลอด
“เอ่อ...ยูกะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? นี่ฉันใช้งานเธอหนักไปใช่ไหม”
ริสที่กังวลกับท่าทางแปลกๆ ของยูกะถามด้วยความเป็นห่วงทั้งๆ ที่จ้องจะใช้งานหนักก่อนหน้านี้ แววตาของยูกะที่มีแต่ความว่างเปล่าหันมาบางสิ่ง
“ทางตะวันออกเฉียงเหนือ สามร้อยเมตร...เป้าหมายอยู่ที่นั้นค่ะ บ้านไม้สองชั้น”
“หา!? เธอพูดจริงใช่ไหม?”
“จริงค่ะ ฉันเคยโกหกด้วยเหรอคะ?”
เมื่อได้รับการยืนยัน ริสออกคำสั่งกับลูกน้อง
“เฮ้ย! พวกแกทุกคน! จัดขบวนเชิงรุกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ! เจอใครจับมาให้หมด! ถ้าขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้เลย!”
“เฮ!!!”
ลูกน้องของเธอนำหน้าไปก่อน ริสที่ยังเห็นว่ายูกะมีอาการแปลกๆ เลยบอกทิ้งท้ายก่อนที่จะไป
“ยูกะ...ถ้ามีแรงเมื่อไรก็ตามมาไวๆ”
“ค่ะท่าน”
เมื่อริสหายไปจากสายตาแล้ว ยูกะที่เหมือนเสียศูนย์เอามือยันต้นไม้ไว้แล้วตะโกนระบายลั่นป่า
“ใครแย่งท่านคราวน์จากฉันมันต้องตายให้หมด!”
◊◊◊
[ทะเลสาบทางวันตะวันออกของบ้านสัสดี]
“แฮ่ก แฮ่ก...ทางลับนี่มันยาวเกินไปแล้ว”
“ก็ไม่ได้ยาวมากนะคะ มาโผล่ทะเลสาบใกล้ๆ นี่เอง”
พอได้ยินแบบนั้นฉันที่ก้มหน้าเอามือชันเข่าอยู่เงยมองมาเรียที่ไม่มีอาการหอบเลย
เฮๆ ร่างกายนี่มันอ่อนแอไปไหนวะ แต่ตอนนี้ช่างเหอะ...มีเรื่องต้องจัดการ
ฉันหันกลับไปมองอุโมงค์ทางลับ
“คุณมาเรีย...แฮ่ก...ปิดทางนี้ได้ไหม?”
“ปิดได้ค่ะ แต่เกรงว่าจะถูกพังได้ง่ายๆ เหมือนขามา”
“งั้นหรอ...คงต้องใช้เจ้านี่ล่ะ”
พูดเสร็จฉันก็เดินเข้าใกล้ทางที่ออกมาง้างแขนซ้ายจักรกลแล้วต่อยเข้าที่ดินข้างบนปากทางเข้า ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีก็ปิดทางได้สำเร็จ
“แฮ่ก...น่าจะถ่วงเวลาได้บ้างนะ”
“แขนซ้ายของคุณเฟลิกซ์ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ!” มาเรียยกยอ “มันใช้พลังมานาจากหินนั่นเสริมแรงสินะคะ”
“รู้เกี่ยวกับมันด้วย?”
“ไม่เชิงค่ะ แค่เห็นไอเวทย์มันแผ่ออกมาตอนที่คุณใช้มัน”
“ไอเวทย์?”
“มันคือการที่ใช้เวทมนต์แล้วมันจะทิ้งร่องรอยไว้ให้ตามหรือรู้คุณสมบัติของเวทย์ที่เพิ่งใช้นั้นๆ ค่ะ”
เหมือนกับที่เรย์ลี่พูดไว้เลยแฮะ เจ้าแขนซ้ายนี่มันทิ้งไอเวทย์ไว้สินะ…
คงต้องใช้ให้มันระวังมากกว่านี้หน่อยล่ะ
พอมาเรียเห็นฉันมองแขนตัวเองแล้วรีบอธิบายเพิ่มเพราะกลัวเข้าใจผิด
“แต่ว่าแขนซ้ายของคุณเฟลิกซ์มันทิ้งไอเวทย์ไว้แค่แปบเดียวค่ะเหมือนกับการใช้เวทย์ระดับต่ำ”
คำอธิบายของมาเรียทำให้เรื่องที่กังวลจะใช้แขนซ้ายหายไปทันที
“คุณมาเรียรู้เรื่องพวกนี้ดีนะคะ”
“ก็เคยไปเรียนทฤษฎีมาบ้างค่ะ ดิฉันว่าตอนนี้เราควรเดินไปคุยไปน่าจะดีกว่า”
“อ่ะอือ”
หลังจากนั้นคุณมาเรียก็พาเดินเลาะแนวถนนดินและที่ไม่เดินบนถนนนั้นเพราะมันจะเป็นการเสี่ยงอันตรายหากอยู่ที่โล่งแจ้งมากเกินไป เธอเริ่มอธิบายเกี่ยวกับเวทมนต์ของโลกนี้ว่ามันจะมีอยู่สามระดับก็คือ สูง กลาง ต่ำ และถูกแบ่งประเภทตามสายอีกห้าก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและสากล ซึ่งสายสากลนั้นจะเป็นเวทย์ที่ไม่ขึ้นอยู่กับธาตุใดๆ หรือไร้ธาตุนั้นเองและทุกเวทย์จะสามารถร่ายแบบเป็นคำหรือไม่ร่ายก็ได้แต่อย่างหลังต้องใช้สมาธิและความเชี่ยวชาญพอสมควร ประกอบทั้งลักษณะทางกายภาพของมนุษย์แล้วไม่มีมานามากพอที่จะใช้เวทมนต์เลยต้องใช้สื่อนำอย่างอื่นหรืออุปกรณ์ที่อัดพลังเวทมนต์นั้นเองอย่างคัมภีร์เวทย์หรือไม้คทาเป็นต้น
ถึงมนุษย์จะมีตัวช่วยเสริมแต่ประสิทธิภาพของการใช้เวทมนต์ต่างมากกับเอลฟ์และปีศาจอยู่ดี
เอลฟ์กับปีศาจ...
จู่ๆ ฉันก็นึกถึงสองคนนั้นที่มาจากสถาบันนิวส์ไลฟ์
“คุณมาเรีย ปล่อยสองคนไว้ที่นั่นมันดีหรอคะ?”
มาเรียที่รับฟังคำถามแล้วยิ้มอย่างชื่นใจ
“พวกเขาเป็นนักรบค่ะ ดิฉันมั่นใจว่าต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ...แต่คุณเฟลิกซ์ดูเหมือนเป็นห่วงท่านสัสดีสินะคะ”
“ไม่ได้ห่วงแบบนั้นสักหน่อย! ก็แบบ...เฮ้อ ก็ในฐานะที่เป็นออกคำสั่งอะไรนั่นให้เรย์ลี่ช่วยฉันไว้ตอนนั้นเท่านั้นเอง ยังมีคุณอาเซียอีกนิ!”
“หึๆ นั่นสินะคะ ดิฉันเผลอเอาเสน่ห์ของท่านสัสดีมาคิดด้วยเลยหลงว่าคุณจะ---”
“ไม่มีวัน!”
ต้องเปลี่ยนเรื่องด่วน!
“ไม่เห็นจะมีมอนเตอร์เลยแฮะ”
“มอนเตอร์เหรอคะ?” มาเรียเอียงคอ “ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้ไม่มีหรอกค่ะ ต้องไปทางวันตกและใต้ถึงจะมีค่ะ”
“แล้วมันเป็นแบบไหนหรอ?”
ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่ามอนเตอร์ที่ว่านั้นเป็นตัวอะไรกันแน่
“งืม...อือ...บอกยากอยู่นะคะ แต่ถ้าเป็นแถวๆ นี้ล่ะก็ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ป่าที่อยู่ใกล้กับคริสตัลมากเกินไปละคะ”
“ใกล้กับคริสตัล?”
“โดยธรรมชาติแล้วคริสตัลที่อยู่ตามธรรมชาติจะปล่อยมานาไหลออกมาโดยรอบค่ะ ถ้าสัตว์ป่าสัมผัสมันบ่อยๆ เข้าก็จะทำให้วิวัฒนาการขึ้นค่ะ ถ้าเป็นสัตว์ไม่ดุร้ายก็ไม่เป็นไรมากแต่ถ้าเป็นสัตว์ดุร้ายก็จะกลายเป็นมอนเตอร์ดุร้ายค่ะ”
“อ๋อ...งั้นหรอค่ะ”
เหอะๆ มีมอนเตอร์ ไม่รู้จะมีกิลด์ผจญภัยเหมือนพวกนิยายวัยรุ่นอ่ะเปล่าเนี่ย
พอคิดแบบนั้นแล้วมองไปรอบๆ ตัว...แล้วทำให้ฉุดคิดบางอย่าง
“แล้ว...เราเดินแบบนี้พวกเอลฟ์จะไม่ตามทันหรอคะ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นเราสองคนคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วค่ะ”
“นั่นสิ...อือ? แล้วเรากำลังไปไหน?”
เป็นคำถามที่ฉันควรจะถามตั้งนานแล้ว มาเรียชะเง้อมองทางข้างหน้า
“เมืองบาลาสค่ะ ประตูด่านแรกของอาณาจักรเฟธ ตอนนี้สามีดิฉันไปส่งของที่นั่นอยู่ด้วย”
“อ๋อ...”
ฉันพยักหน้าแล้วเดินตามมาเรียที่นำทางไป ในขณะที่กรุ่นคิดว่าตัวเองลืมอะไรไปบางอย่างหรือไม่
◊◊◊
ลืมซะสนิท
ลืมไปเลยว่าอาณาจักรเฟธก็ตามล่าตัวฉันไม่ต่างจากพวกเอลฟ์อยู่นี่หว่า!
“ขอโทษนะคะ! คุณเฟลิกซ์...ดิฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย”
ตอนนี้ฉันกับมาเรียแอบซุ่มอยู่โพรงหญ้าข้างถนนที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากกำแพงเมืองโบราณบาลาสที่กว้างใหญ่พอสมควร พอจ้องมองดูดีๆ ชวนให้นึกถึงกำแพงสมัยโรมันเป็นอย่างมาก ประตูทางเข้าเมืองเป็นบานใหญ่เหมือนตามที่เห็นในหนัง มีคนเฝ้าสองคนอยู่ข้างหน้าและบนกำแพงจุดคบเพลิงอีกหลายคน
ปัญหาแรก ก็คือตัวตนของฉันมีหมายจับอยู่
ปัญหาที่สอง ด้วยเทคโนโลยีของโลกนี้ไม่รู้ว่ารับรู้การว่ามีข่าวสารเกี่ยวกับฉันส่งมาถึงหรือยัง? หรือไม่ก็ใช้เวทมนต์ย่นระยะเวลา?
ปัญหาที่สาม แขนซ้ายฉันมันเด่นเกินไป อยากจะหาเสื้อคลุมทั้งตัวก็หาไม่ได้ตอนนี้
ปัญหาที่สี่ จากปัญหาที่สาม...อาจจะทำให้ฉันต้องลอบเข้าเมืองแบบวิธีผิดกฎหมายไปหรือจะเดินเลี่ยงๆ อ้อมไปทางอื่น?
พอเอาความคิดปรึกษากับคุณมาเรียก็ได้คำตอบ
“แล้วคุณเฟลิกซ์ไม่หิวแย่หรือคะ? ถ้าเดินอ้อมไปทางซ้ายจริงๆ ต้องใช้เวลาเป็นวันและข้ามแม่น้ำที่มีความกว้างอย่างมาก ดิฉันกลัวคุณจะจมน้ำไม่ก็หมดแรงซะก่อน”
“หือ? กำแพงนี้ยาวตลอดทางเลยหรอคะ? แล้วทางขวาล่ะ?”
“ติดขอบโลกค่ะ”
“ไม่มีทางเลือกเลย เฮ้อ”
อย่าจะยอมแพ้อยู่หรอก แต่มันช่วยไม่ได้...ทางเลือกมันดูแย่ทั้งนั้น
บ่นท้อในใจอยู่สักพัก ฉันขยับมือซ้ายไปมาแล้วมองสลับกับสิ่งที่ขวางกันข้างเข้าเมืองแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณมาเรียค่ะ ช่วยทำตามแผนของฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
◊◊◊
[หน้าประตูเข้าเมืองตะวันตกของเมืองบาลาส] - [เวลาตีสาม]
“เฮ้ยๆ แกขี้โกงนี่หว่า แอบงีบตั้งแต่เมื่อไรวะ”
ยาม A เอาด้ามหอกเคาะหัวยาม B
“หือ...โทษที คนมันง่วง”
“ไปทำบ้าอะไรมาถึงไม่ได้นอน”
“ก็...โดนใช้งานให้ไปติดป้ายจับผู้หญิงไซบอร์กเกือบทั้งวัน...และข้าไปหาเมียน้อยด้วย”
“อ๋อ...ผู้หญิงหน้าตาหน้ากลัวคนนั้นหรือ? แกเอาตาไว้ไหนวะ ล่อเข้าไปได้ยังไง”
“ฮ่าๆ แกไม่รู้อะไรหรอก เรื่องอย่างงั้นมันวัดกันที่ลีลาโว้ย”
“เออ...แต่หน้าตาคล้ายปีศาจซะขนาดนั้นแกทำใจเอาลงได้ไงวะ แล้วที่คอแกไปโดนอะไรมาเป็นรอยช้ำสองจุดเนี่ย กับ---”
“สงสัยแม่นางดูดคอข้าแรงไปหน่อย ฮ่าๆ”
“เฮ้ยๆ เรื่องแบบนั้นข้ารู้ แต่ไม่ใช่แค่นั้น...ตัวแกซีดอย่างกับคนใกล้ตาย เหมือนกับพวกที่โดนฆาตกรรมต่อเนื่อง---”
ยาม B เงี่ยหูรอฟังอยู่เอะใจเพราะจู่ๆ เพื่อนเขาก็หยุดพูดไป
“หา!? ฆาตกรรมต่อเนื่องนั่นหรอ จะบอกว่าแม่นางหวานใจของข้า---”
“เฮ้ยๆ มีคนมา”
ยาม A สะกิดให้มองไปข้างหน้า มีผู้หญิงชุดแม่บ้านเดินโซเซมาทางนี้
“นั่นใคร! โปรดแจ้งชื่อกับธุระและป้าย---”
ยังไม่ทันที่จะถามจบเพราะเห็นสภาพมอมแมมของผู้หญิงผมน้ำตาลยาวแล้วประกอบกับการเดินที่ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปกับพื้น ยามทั้งคู่รีบตรงดิ่งเข้าไปหา
“นี่เธอ! เป็นอะไร!?”
“คะ...แค่หมดแรงค่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย”
“ไม่ใช่แค่นั้น! เธอ—โอ้ย!”
จู่ๆ มือที่ยาม A จะจับแขนผู้หญิงตรงหน้ากระตุกดึงออก เขาสัมผัสอะไรได้บางอย่างในตัวเธอ
“นี่คุณ...เป็นเหมือนกัน?”
“หะ!?” ยาม A ขมวดคิ้วแต่ก็ยังถามยืนยันคำเดิม “เอ่อ...เธอโดนอะไรมา?”
“คือ...ที่บ้านของฉัน เลยเข้าไปทางป่านั่น...มีพวกเอลฟ์เผาบ้านฉันคะ”
“เอลฟ์!? พวกมันมาทำอะไรใกล้ถิ่นนี้ล่ะ?”
“มาเรีย...ไม่รู้หรอกคะ”
ผู้หญิงผมน้ำตาลบอกชื่อตัวเองแล้วพูดสิ่งที่พอจะบอกได้ เธอประคองตัวเองยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล พอยาม A ได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับบางอ๋อ
“มาเรีย!? เธอคือภรรยาของเจ้าแอนดิวใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
“เฮ้ย! รีบเปิดประตูเมืองให้หน่อย! จะพาคนเจ็บเข้าไป!”
ทันใดนั้นประตูเมืองก็ถูกเปิดโดยคนข้างใน เขาแบกไหล่ข้างหนึ่งก่อนที่จะสั่งเพื่อน
“เฮ้ย! มาช่วยกัน—”
ปึ่ก!
จู่ๆ ยาม B ทิ้งดิ่งหน้าคว่ำลงพื้น ทั้งคู่สะดุ้งตกใจและแน่นอนว่ายาม A และยามที่อยู่บนกำแพงต่างตกใจเช่นกัน
“เฮ้ยๆ แกเป็นไรเฮ้ย!”
ยาม A หงายตัวยาม B พยายามเขย่าปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น ร่างกายยาม B ซีดลงหนักกว่าเก่าอีก ขณะที่มาเรียตื่นตะลึงเพราะรู้ถึงอันตรายของยาม B ที่เผชิญอยู่
“อาการแบบนี้มัน...”
“หือ? เธอรู้หรอกว่าเพื่อนข้าเป็นอะไร?”
“รู้ค่ะ! เคยเจอแบบนี้มาก่อน รีบพาเขาเข้าข้างในเถอะคะ! ถ้าหายาปรุงแก้พิษเวทย์ไม่ทัน เพื่อนคุณได้ตายแน่!”
มาเรียลืมแสดงละครไปแล้ว แต่ยาม A ไม่สนใจ...และแล้วประตูเข้าเมืองบานใหญ่ถูกเปิดออกโดยที่ยามทุกคนไม่ได้สังเกตเลยว่าทางซ้ายมือตรงกำแพงที่ไม่มีคบเพลิงอยู่มีใครบางคนกำลังใช้มือซ้ายจักรกลปีนลอบเข้าเมืองมาอย่างง่ายดาย
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.8 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
และแล้วก็จบบท “หนีกลางสมรภูมิรบ” แล้วจ้า! (เหนื่อยเลย)
และแล้วพวกเอลฟ์ก็ตามมาจนได้!
เฟลิกซ์และมาเรียต้องหนีไปยังอาณาจักรของมนุษย์ซะแล้ว
สัสดีและอาเซียที่รับมือพวกเอลฟ์ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง
แต่ที่แน่ๆ...ยูกะ...ตัวตนที่แท้จริงของเธอเปิดเผยแล้วสินะ ฮ่าๆ
แล้วชะตากรรมของเฟลิกซ์จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อเข้าเมืองมนุษย์
สิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับยามหน้าเมืองบาลาสคืออะไร? มาเรียจะช่วยรักษาได้หรือไม่?
โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
- แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งแรก
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ