Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
8.8
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
25 chapter
4 วิจารณ์
23.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) หนีกลางสมรภูมิรบ 4[เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ]ครึ่งหลัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งหลัง
◊◊◊
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงร้องโวยวายขึ้นมาและดิ้นทุรนทุรายจนกะละมังที่เตรียมน้ำเพื่อเช็คตัวอยู่ข้างขวาบนโต๊ะเล็กใกล้เตียงร่วงลงเลอะเต็มพื้นแต่คนเฝ้าหาได้ใส่ใจไม่ เธอรีบเข้ามาค่อมตัวกดเด็กสาวผมขาวสั้นไว้ไม่ให้ดิ้นแล้วเอื้อมมือเปิดลิ้นชักซ้ายมือหยิบม้วนกระดาษสีน้ำตาลอันหนึ่งขึ้นมากำแน่น แล้วจู่ๆ ม้วนกระดาษนั้นแตกสลายกลายเป็นพลังงานลูกบอลสีเขียวที่หมุนรอบตัวเอง เธอนำมันแปะที่หน้าอกของเด็กสาวแล้วเจ้าลูกบอลเขียวนั้นค่อยๆ ซึมลงไปในตัวเด็กจนหมด อาการเธอเริ่มทุเลาลงจนสงบนิ่ง ถึงอย่างงั้นคนดูแลและคนป่วยต่างเหงื่อโชกทั้งคู่
“มาเรีย! เด็กคนนั้นเอาอีกแล้วหรือ?”
มีชายตาลุงคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้าห้องมา เขาหัวโล้นไว้หนวดเครามีรอยบากบนหน้าที่ขัดกับนัยน์สีฟ้าอย่างสิ้นเช่น ส่วนมาเรีย...หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มม้วนยาวถึงหน้าท้องในชุดแม่บ้านชาวนาเรียบๆ นัยน์ตาสีดำหันมองผู้เป็นสามีแล้วขอร้องบางอย่าง
“แอนดิว...ช่วยต้มน้ำมาให้ใหม่หน่อยจะได้ไหมคะ”
“แต่ว่า---”
“เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเองค่ะ”
แอนดิวหันไปมองตัวเด็กอีกครั้ง
“ผมขอโทษนะที่นำปัญหามาให้คุณ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณไม่ช่วยเด็กนี่ไว้ตั้งแต่แรก...ดิฉันจะเลิกกับคุณอย่างแน่นอนค่ะ”
“อุ้ย...งั้นไปต้มน้ำก่อนล่ะ”
พอสามีตัวเองเดินลงไปต้มน้ำชั้นล่าง มาเรียหยิบผ้าที่เตรียมไว้เช็คเหงื่อเด็กสาวผมขาวที่ไม่ได้สติ เป็นเวลาเกือบสองวันแล้วที่สามีของเธอไปเด็กคนนี้กำลังจมน้ำในถ้ำหินคริสตัลที่แอนดิวไปขุดหารายได้เป็นประจำ เขาบอกว่าบ่อน้ำที่เด็กคนนี้ตกลงไปนั้นเป็นบ่อที่เต็มไปด้วยไอพิษเวทย์หลอนประสาท เขาเลยต้องใช้เวทย์คุ้มครองกับตัวก่อนแล้วว่ายลงไปช่วยออกมา…
ตั้งแต่สามีเธอพามายังที่บ้านหลังนี้ เด็กผมขาวก็ยังไม่ได้สติ
เธออยากจะหาทางช่วยเด็กคนนี้ให้หายไวๆ แต่ด้วยการที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเวทมนต์เลยทำได้แต่ใช้คัมภีร์เวทย์หรือเวทมนต์สำเร็จรูปช่วยบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ จนกว่าแอนดิวจะหาหมอช่วยได้
แต่บ้านนี้อยู่กลางป่ากลางไร่และยังอยู่นอกเขตการปกครองของอาณาจักรเฟธหรือพื้นที่ไร้การปกครอง ไม่รู้ว่าหมอจะมาถึงที่นี่หรือเปล่าและเธอได้แค่โทษตัวเองไม่ได้รำเรียนวิชาเวทย์ด้านการรักษามาทั้งๆ ที่ตัวเองมีศักยภาพสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป...
เพราะเธอเป็นคริสเมน (Crysmen) ถึงจะมีร่างเป็นมนุษย์แต่กลับไม่มีหัวใจ แต่สิ่งที่อยู่ตรงกลางหน้าอกนั้นเป็นแท่งหินคริสตัลสีฟ้าแทนและการที่มีร่างกายเป็นมนุษย์เลยถูกจัดให้อยู่ในจำนวนเผ่าย่อยของมนุษย์อีกที โดยที่มีความสามารถติดตัวเรื่องที่ใช้เวทมนต์เทียบเท่ากับเผ่าเอลฟ์และปีศาจ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถใช้เวทย์แบบไม่ร่ายแต่เธอทำได้...
ด้วยความที่คริสเมนเป็นชนเผ่าน้อยไม่ค่อยพบเห็นและมีความสามารถที่เหนือมนุษย์เลยถูกมนุษย์ผลักไล่ขับไล่ส่งนานาชนิด ไม่ว่าจะด้วยความริษยาหรือถูกปลูกฝังมาตั้งแต่มายังโลกนี้ผ่านเกทก็ตาม มันทำให้เธอฝังใจไม่กล้าเรียนรู้เวทมนต์เลย
แต่พอได้มาอาศัยในที่ห่างไกล ความรู้สึกแบบนั้นเริ่มเลือนหายไป...แต่ไม่สามารถพัฒนาการใช้เวทมนต์ได้อยู่ดีเพราะไม่มีใครสอนและตอนนี้ถึงคราวจำเป็นต้องใช้เวทมนต์แต่ไม่สามารถทำได้ ยิ่งทำให้เธอตระหนักว่าตัวเองใจเสาะและไร้ค่าแค่ไหน
“อันนา...อันนา”
ชื่อของใครบางคนของเด็กผมขาวที่พึมพำเกือบจะตลอดเวลา...มาเรียมองที่ต้นแขนซ้ายของเด็กมีบางสิ่งที่เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อเมื่อได้เห็นตอนแรก...
เด็กคนนี้เป็นไซบอร์ก...เป็นไซบอร์กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จิตสัมผัสเวทมนต์ของเธอสัมผัสได้ว่าแขนจักรกลนี่ถูกขับเคลื่อนด้วยหินคริสตัลที่ต้นแขนคล้ายกับแท่งคริสตัลที่อยู่ในตัวมาเรียและมีชื่อภาษาพื้นฐานเขียนไว้อยู่ต้นแขนซ้ายของเด็กนี้อยู่ว่า [Felix]
“เฟลิกซ์...เธอชื่อเฟลิกซ์สินะ”
“อันนา...ฉัน...ขอโทษ”
เด็กพึมพำเช่นนั้น มาเรียทำได้แต่มองเธออย่างเห็นใจและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายของคืนนั้นที่เฟลิกซ์อาละวาด
◊◊◊
[เช้าวันถัดมา]
“แบบนี้คง...ดีสำหรับเธอแล้วใช่ไหมคะ?”
มาเรียกังวลใจเลยถามแอนดิวหลังจากช่วยอุ้มเฟลิกซ์ที่ยังไม่ได้สติขึ้นเกวียนที่มีม้าลาก ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าบ้านของตนเอง
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากพาเด็กคนนี้ไปเมืองบาลาสหาหมอที่นั่น...และผมเตรียมรถม้าจะไปขายของไว้พอดีด้วย”
“แต่เธอเป็นไซบอร์ก...จะถูกพวกมนุษย์รังเกลียดรังแกได้นะคะ”
แอนดิวได้ยินแบบนั้นแล้วหยิกแก้มมาเรีย
“แล้วคิดว่าผมเป็นตัวอะไรล่ะ”
“นั่นสินะคะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอคติแบบนั้น”
มาเรียกล่าวแล้วยิ้มน้อย แอนดิวย่อเข่าแล้วเอามือกุบประสานทำเป็นที่เหยียบขึ้นเกวียนให้ภรรยาตนเอง
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
“วันนี้กินยาผิดหรือเปล่าค่ะ”
“เอาน่า นานๆ ทีผมทำแบบนี้แล้วไม่เขินม้วนตายนะ”
แอนดิวทำเป็นพูดแล้วไม่สบตา มาเรียเห็นแบบนั้นแล้วชอบใจขำเล็กน้อยก่อนที่จะเอื้อมมือเกาะไหล่สามีแล้วก้าวขึ้นที่เหยียบทำมือและช่วงกำลังจะก้าวขึ้นเกวียนนั้น เธอเห็นบางอย่างที่ปลายทางถนนข้างหน้าเลยเพ่งสายตามอง
“ที่รัก...ได้นัดใครมารับของไว้หรือเปล่าคะ?”
“หือ? ไม่นะ”
“มีรถม้าของใครไม่รู้กำลังมาไร่ของเรา”
มาเรียก้าวลงแล้วเดินไปหน้ารถม้าตัวเองเพื่อชะเง้อมองอีกฝ่ายเพ่งให้ชัดว่าเป็นใคร...เป็นเกวียนที่มีม้าสีดำสวมเกราะสองตัวลากโดยที่ไม่มีคนขี่บังคับ ซึ่งนั่นทำให้มาเรียเบิกตาโตเพราะรู้ว่าเป็นรถม้าของใคร
“ท่านสัสดี!?”
“หา!? มาตอนนี้เนี่ยนะ!?”
แอนดิวร้องอ้าปากค้าง ทั้งคู่ยืนรอจนรถม้าเกราะเหล็กเข้ามาจอดใกล้ๆ เกวียนสีดำที่ถูกลากมาด้วยมีบุคคลทั้งสองเดินลงมา คนแรกเป็นเผ่าปีศาจ-แวมไพร์ ผมยาวขาวสว่างกว่าของเฟลิกซ์ ตาเล็กสีแดงที่แฝงไปด้วยสัญชาตญาณน่าล่า ใบหน้าคมเข้มคล้ายเจ้าชาย สวมชุดเครื่องแบบสีส้มสลับขาว ส่วนผู้หญิงอีกคนที่เดินลงตามมาสวมชุดเกราะอัศวิน หล่อนมีผมดำนัยน์ตาสีฟ้ามีดาบยาวแนบลำตัวอยู่ มาเรียและแอนดิวต่างก้มหัวทำความเคารพทั้งคู่
“ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านสัสดี”
“ไม่ได้เจอพวกเจ้านานเลยทีเดียว”
เสียงหล่อกระชากใจของสัสดิ ไม่ได้ทำให้มาเรียใจเต้นแม้แต่น้อยเพราะชินแล้ว แอนดิวเอ่ยขึ้น
“ครับท่าน พวกเรายังคงดูแลบ้านของท่านไว้คงสภาพเดิมให้มากที่สุดครับ”
“บอกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ว่ายกบ้านหลังนี้ให้พวกเจ้าแล้ว”
“เป็นความกรุณาที่ดิฉันกับสามีซาบซึ้งอย่างยิ่งค่ะ แล้วคราวนี้มาพักกับคนรักคนใหม่หรือคะ?”
มาเรียกล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ โดยที่สัสดีไม่ทันตั้งตัวแอบส่ายหัวเบาๆ ส่วนอัศวินสาวข้างกายตาโตมองหน้ามาเรียและสัสดีสลับกันไปมา
“มาเรีย...เธอไม่สมควรพูดเรื่องนั้นต่อหน้าคนอื่นนะ”
แอนดิวกระซิบบอกแล้วส่งซิกให้มองไปทางอัศวินสาว มาเรียที่เพิ่งรู้ตัวก้มหัวอีกครั้ง
“ขออภัยด้วยค่ะ!”
“ช่างเถอะ” สัสดีปัด “อัศวินผู้หญิงคนนี้เธอชื่ออาเซียเป็นตัวแทนของท่านผอ. ให้มารับเด็กใหม่”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ ทั้งสองคน” อาเซียก้มหัวเล็กน้อย
“เด็กใหม่? พูดถึงใครกันคะ?”
มาเรียถามกลับ สัสดีเลิกคิ้ว
“หือ? ก็เด็กใหม่ที่เรย์ลี่พามาที่นี่ยังไง”
“เรย์ลี่!?”
มาเรียผงะตกใจกับชื่อนั้นมาก สัสดีมองหน้าเธออย่างเห็นใจ
“ข้าต้องขอโทษด้วย มันไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงรู้ว่าเจ้าไม่อยากเข้าใกล้เรย์ลี่ก็---ไม่สิ ท่าทางของเจ้าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“ก็ท่านบอกว่าเรย์ลี่จะมาที่นี่!?”
“ใช่...เจ้าพูดเหมือนว่าเรย์ลี่ยังไม่มา?”
“หือ? ไม่นะคะ”
พอมาเรียสั่นหัวบอกไป สัสดีกระซิบคุยกับอาเซียอย่างเคร่งเครียด…ซึ่งมาเรียมองหน้าสัสดีสักพักเพิ่งนึกอะไรออกแล้วเดินกู่เข้าหากุมมือตัวเองขึ้นมาระหว่างอกเป็นการขอร้องอ้อนวอน
“ท่านสัสดีค่ะ! ดิฉันขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหมคะ โปรดช่วยเด็กคนหนึ่งที่อยู่หลังเกวียนนี่เถอะค่ะ! เธอถูกเวทย์หลอนประสาทบางอย่างมาจนป่านนี้ยังไม่ได้สติเลยค่ะ!”
“เด็ก!? อือ พาข้าไปดูสิ”
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ!”
มาเรียก้มหัวหลายรอยเสร็จเดินนำทางไปยังหลังเกวียนของแอนดิวที่เตรียมไว้จะไปเมืองบาลาส สัสดีและอาเซียเดินตามดูเด็กที่มาเรียพูดถึง...ซึ่งทั้งคู่ต่างตกตะลึง มาเรียรีบอธิบายเพิ่มเติม
“เมื่อวานก่อนสามีดิฉันไปเจอเธอที่ถ้ำคริสตัลใกล้ชายแดนเอลฟ์ค่ะ เธอตกลงบ่อน้ำที่มีเวทย์ประสาทหลอนเจือปนอยู่”
“ท่านสัสดี! เด็กคนนี้มัน...”
อาเซียเอ่ยแค่นั้นให้มาเรียสงสัย
“รู้จักกันด้วยหรือคะ?”
และแล้วสัสดีก็ให้คำตอบที่ชวนให้ตะลึงเล็กน้อย
“ก็เด็กใหม่คนนี้แหละ ที่เรย์ลี่ต้องมาส่งให้พวกเธอ”
◊◊◊
[ช่วงบ่ายต่อมา]
“โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเธอนะคะ ท่านสัสดี”
มาเรียเสิร์ฟชาอุ่นให้สัสดีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงชั้นสองของบ้านก่อนที่เธอจะนั่งลงเก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ
“เด็กใหม่หลายคนล้วนแต่พบเจอชะตากรรมอันน่าสังเวชทั้งนั้น...ก็เหมือนกับเธอ”
เมื่อสัสดีพูดแบบนั้นทำให้มาเรียนึกเท้าความย้อนหลังเกี่ยวกับตนเองที่ยังเป็นเด็กใหม่อยู่แล้วเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เฟลิกซ์ต้องเจอ
“เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เด็กใหม่คนนั้นต้องเจอหรอกค่ะ”
“แล้วอาเซียเป็นไงบ้าง”
“แค่อ่อนเพลียค่ะ ตอนนี้หลับพักผ่อนไปแล้ว”
มาเรียบอกอาการของลูกน้องสัสดี ซึ่งก่อนหน้านี้หลังจากที่อาเซียนำสมุนไพรบางอย่างมาวางกลางอกของเฟลิกซ์สัสดีร่ายเวทมนต์บางอย่างใส่ให้สลายเข้าตัวเด็กคนนั้นไป อาการของเธอนั้นดูดีขึ้นทันที ตัวไม่ซีดแล้วแต่ยังไม่ได้สติ สัสดีอุ้มตัวเธอออกมาจะพาไปขึ้นรถเกวียนของเขาเอง พอเอ่ยปากบอกว่าจะรีบพาเธอไปสถาบันนิวส์ไลฟ์ทันที อาเซียและม้าเหล็กคู่สองตัวต่างพากันเข่าอ่อนล้มลงไปเพราะความอ่อนเพลียและอ่อนแรงที่เดินทางไม่ได้หยุดเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันโดยใช้เวทมนต์เสริมพลังแก่ม้าและตัวรถเกวียนเพื่อมายังที่นี่…
สุดท้ายแล้วสัสดีต้องเลื่อนแผนการเดินทางออกไปเป็นพรุ่งนี้เช้า
“เกิดอะไรขึ้นกับเรย์ลี่และเชสเซอร์กันแน่”
สัสดีพูดกับตัวเองแล้วหันไปมองข้างล่างตรงหน้าต่างที่มองเห็นเฟลิกซ์กำลังหลับแน่นิ่งบนเตียงเดิม มาเรียกรุ่นบางเรื่องที่เธออยากจะพูด...
“คือ...ท่านสัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ เรื่องที่ช่วยฉันมาตลอด”
“ไม่เป็นไร”
“ถึงจะอย่างงั้น...ปกติแล้วเรื่องนั้นฉันต้องถูกคุมขังไม่ใช่หรือคะ?”
พอมาเรียตัดเพ้อ สัสดีถอนหายใจหนัก
“มาเรีย...สิ่งข้าทำไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือซื่อสัตย์ต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่เพื่อชี้นำแนะเส้นทางเลือกแก่เด็กใหม่และผู้คนที่กำลังหลงผิดอย่างที่เจ้าเคยเป็น”
พอได้ยินแบบนั้นมาเรียหลบหน้าลงเล็กน้อย สัสดีกล่าวต่อไป
“ถึงแม้เจ้าจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเจ้า แต่เรย์ลี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แต่ว่า...ฉันทำให้เรย์ลี่เกือบตายนะคะ!”
มาเรียพูดอย่างเจ็บใจ...เจ็บใจที่ตัวเองทำเรื่องบางอย่างที่เลวร้ายมาก่อน สัสดีว่าต่อ
“เพราะอย่างนี้ไงเล่า ข้าถึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อปกป้องคนอย่างเธอ ไม่ให้ถูกชักจูงไปทางที่ผิดหรือที่ไม่ควร...อย่างเช่นเฟลิกซ์ เด็กคนนั้นถูกใช้เป็นชนวนสงครามทั้งๆ ที่เพิ่งโผล่มาจากเกทแทนๆ และถ้าเด็กคนนั้นกำลังเดินในเส้นทางที่ผิด ข้าจะเป็นคนลากกลับมาเส้นทางที่ควรเดินเอง แต่ถ้าเด็กคนนั้นเลือกจะเดินเส้นทางอื่น...ข้าก็จะไม่ห้าม”
คำพูดที่แฝงไปด้วยอุดมการณ์ ทำให้มาเรียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ทำไมท่านยึดติดกับเรื่องแบบนั้นละคะ”
“เชื่อสิ...เจ้าอย่ารู้เลย มันโหดร้ายเกินกว่าที่จะฟัง”
เมื่อสัสดีเล่นเกมไม่ยอมบอก มาเรียยิ้มรับแล้วขอร้องบางอย่างแทน
“งั้นท่าน...ช่วยดิฉันสอนเวทมนต์รักษาพื้นฐานด้วยเถอะคะ!”
สัสดีเลิกคิ้วแปลกใจ
“เจ้า...ยอมรับมันได้แล้วหรือ”
“ได้นานแล้วค่ะ...แต่กลางป่ากลางไร่แบบนี้ไม่มีคนสอนหรอกค่ะ”
“ข้าสอนไม่ค่อยเก่ง”
“แต่ก็พอได้ใช่ไหมคะ ได้โปรด...กรุณาด้วยเถอะค่ะ ฉันเจ็บใจตัวเองมากที่ช่วยเด็กคนนั้นแทบไม่ได้เลย”
สัสดีถูกขอร้องมากๆ เข้า...เขาดื่มชาแล้ววางแก้วแล้วยอมรับคำขอร้องนั้น
“งั้นมาเริ่มกันเลย ยกฝ่ามือตั้งฉากตรงหน้าอก แล้วก็---”
ช่วงบ่ายตลอดทั้งช่วง มาเรียก็ถูกสัสดีช่วยสอนใช้เวทมนต์ที่เธอเคยปฏิเสธมันมานานแสนนาน
◊◊◊
“ฮึ่ม...ฮัมฮึม...เอ๊...อื่อ...อื๊อ”
เสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกสติฉันจากฝันร้ายและยังได้ยินเสียงโยกของเก้าอี้ไม้อย่างเป็นจังหวะอีกด้วย
ทำไมถึงเพลียขนาดนี้นะ...
ฉันพยายามฝืนแรงให้เปลือกตามเปิดออกแต่แล้วกลับไม่ได้ผล มันยากยิ่งกว่ายกของหลายสิบกิโลอีกและหายใจแรงขึ้นนิดหน่อยแล้วเริ่มพยายามอีกครั้ง คราวนี้มีแสงแดดสว่างสาดส่องเข้ามาพบกับผู้หญิงในชุดบ้านนาเรียบๆ ผมสีน้ำตาลเข้มม้วนยาวถึงหน้าท้องกำลังนั่งโยกเก้าอี้ไม้เล็กน้อยโดยที่มือทั้งสองกำลังโอบรอบเสียงสีเขียวบริสุทธิ์ตรงกลางหน้าอกของเธอ แสงพระอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามายังตัวเธอทำให้ฉันเห็นเป็นภาพที่แสนจะอบอุ่นของแม่ที่กำลังนั่งเฝ้าลูกด้วยท่าที่สง่างามและดวงตาของเธอหันมามองฉันพอดี นัยน์ตาสีดำเบิกโตขึ้นอย่างดีใจแล้วเธอก็พูดกับฉัน
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านกลางไร่หลังนี้นะคะ คุณเฟลิกซ์ ฉัน...มาเรียค่ะ”
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.6 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ที่แท้ต้นเหตุฝันร้ายมาจากบ่อน้ำที่ตัวเฟลิกซ์เองพลาดทางตกลงไปนี่เอง!
และตอนนี้เป็นการเปิดตัวสองสามีภรรยาที่เรย์ลี่เคยพูดถึงอีกด้วย!
แล้วมาถึงเล่นปมของตัวละครใหม่อย่างมาเรียทันที!
(เล่นมาแบบนี้แล้วจะมีบทสำคัญในอนาคตหรือเปล่านะ!?)
แถมยังเปิดตัวสัสดีที่เป็นเจ้านายของเรย์ลี่อีก! อะไรนะ!? เขาเป็นแวมไพร์รูปหล่อ! ว๊ายกรี๊ด! :3
แล้วพวกเขาจะพาเฟลิกซ์ไปยังสถาบันนิวส์ไลฟ์ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
แต่คงไม่ล่ะมั้ง! เพราะตอนต่อไปที่เป็นบทสุดท้ายของบทหลบหนีกลางสมรภูมิรบที่มีชื่อว่า!
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งหลัง
◊◊◊
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงร้องโวยวายขึ้นมาและดิ้นทุรนทุรายจนกะละมังที่เตรียมน้ำเพื่อเช็คตัวอยู่ข้างขวาบนโต๊ะเล็กใกล้เตียงร่วงลงเลอะเต็มพื้นแต่คนเฝ้าหาได้ใส่ใจไม่ เธอรีบเข้ามาค่อมตัวกดเด็กสาวผมขาวสั้นไว้ไม่ให้ดิ้นแล้วเอื้อมมือเปิดลิ้นชักซ้ายมือหยิบม้วนกระดาษสีน้ำตาลอันหนึ่งขึ้นมากำแน่น แล้วจู่ๆ ม้วนกระดาษนั้นแตกสลายกลายเป็นพลังงานลูกบอลสีเขียวที่หมุนรอบตัวเอง เธอนำมันแปะที่หน้าอกของเด็กสาวแล้วเจ้าลูกบอลเขียวนั้นค่อยๆ ซึมลงไปในตัวเด็กจนหมด อาการเธอเริ่มทุเลาลงจนสงบนิ่ง ถึงอย่างงั้นคนดูแลและคนป่วยต่างเหงื่อโชกทั้งคู่
“มาเรีย! เด็กคนนั้นเอาอีกแล้วหรือ?”
มีชายตาลุงคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้าห้องมา เขาหัวโล้นไว้หนวดเครามีรอยบากบนหน้าที่ขัดกับนัยน์สีฟ้าอย่างสิ้นเช่น ส่วนมาเรีย...หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มม้วนยาวถึงหน้าท้องในชุดแม่บ้านชาวนาเรียบๆ นัยน์ตาสีดำหันมองผู้เป็นสามีแล้วขอร้องบางอย่าง
“แอนดิว...ช่วยต้มน้ำมาให้ใหม่หน่อยจะได้ไหมคะ”
“แต่ว่า---”
“เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเองค่ะ”
แอนดิวหันไปมองตัวเด็กอีกครั้ง
“ผมขอโทษนะที่นำปัญหามาให้คุณ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณไม่ช่วยเด็กนี่ไว้ตั้งแต่แรก...ดิฉันจะเลิกกับคุณอย่างแน่นอนค่ะ”
“อุ้ย...งั้นไปต้มน้ำก่อนล่ะ”
พอสามีตัวเองเดินลงไปต้มน้ำชั้นล่าง มาเรียหยิบผ้าที่เตรียมไว้เช็คเหงื่อเด็กสาวผมขาวที่ไม่ได้สติ เป็นเวลาเกือบสองวันแล้วที่สามีของเธอไปเด็กคนนี้กำลังจมน้ำในถ้ำหินคริสตัลที่แอนดิวไปขุดหารายได้เป็นประจำ เขาบอกว่าบ่อน้ำที่เด็กคนนี้ตกลงไปนั้นเป็นบ่อที่เต็มไปด้วยไอพิษเวทย์หลอนประสาท เขาเลยต้องใช้เวทย์คุ้มครองกับตัวก่อนแล้วว่ายลงไปช่วยออกมา…
ตั้งแต่สามีเธอพามายังที่บ้านหลังนี้ เด็กผมขาวก็ยังไม่ได้สติ
เธออยากจะหาทางช่วยเด็กคนนี้ให้หายไวๆ แต่ด้วยการที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเวทมนต์เลยทำได้แต่ใช้คัมภีร์เวทย์หรือเวทมนต์สำเร็จรูปช่วยบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ จนกว่าแอนดิวจะหาหมอช่วยได้
แต่บ้านนี้อยู่กลางป่ากลางไร่และยังอยู่นอกเขตการปกครองของอาณาจักรเฟธหรือพื้นที่ไร้การปกครอง ไม่รู้ว่าหมอจะมาถึงที่นี่หรือเปล่าและเธอได้แค่โทษตัวเองไม่ได้รำเรียนวิชาเวทย์ด้านการรักษามาทั้งๆ ที่ตัวเองมีศักยภาพสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป...
เพราะเธอเป็นคริสเมน (Crysmen) ถึงจะมีร่างเป็นมนุษย์แต่กลับไม่มีหัวใจ แต่สิ่งที่อยู่ตรงกลางหน้าอกนั้นเป็นแท่งหินคริสตัลสีฟ้าแทนและการที่มีร่างกายเป็นมนุษย์เลยถูกจัดให้อยู่ในจำนวนเผ่าย่อยของมนุษย์อีกที โดยที่มีความสามารถติดตัวเรื่องที่ใช้เวทมนต์เทียบเท่ากับเผ่าเอลฟ์และปีศาจ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถใช้เวทย์แบบไม่ร่ายแต่เธอทำได้...
ด้วยความที่คริสเมนเป็นชนเผ่าน้อยไม่ค่อยพบเห็นและมีความสามารถที่เหนือมนุษย์เลยถูกมนุษย์ผลักไล่ขับไล่ส่งนานาชนิด ไม่ว่าจะด้วยความริษยาหรือถูกปลูกฝังมาตั้งแต่มายังโลกนี้ผ่านเกทก็ตาม มันทำให้เธอฝังใจไม่กล้าเรียนรู้เวทมนต์เลย
แต่พอได้มาอาศัยในที่ห่างไกล ความรู้สึกแบบนั้นเริ่มเลือนหายไป...แต่ไม่สามารถพัฒนาการใช้เวทมนต์ได้อยู่ดีเพราะไม่มีใครสอนและตอนนี้ถึงคราวจำเป็นต้องใช้เวทมนต์แต่ไม่สามารถทำได้ ยิ่งทำให้เธอตระหนักว่าตัวเองใจเสาะและไร้ค่าแค่ไหน
“อันนา...อันนา”
ชื่อของใครบางคนของเด็กผมขาวที่พึมพำเกือบจะตลอดเวลา...มาเรียมองที่ต้นแขนซ้ายของเด็กมีบางสิ่งที่เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อเมื่อได้เห็นตอนแรก...
เด็กคนนี้เป็นไซบอร์ก...เป็นไซบอร์กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จิตสัมผัสเวทมนต์ของเธอสัมผัสได้ว่าแขนจักรกลนี่ถูกขับเคลื่อนด้วยหินคริสตัลที่ต้นแขนคล้ายกับแท่งคริสตัลที่อยู่ในตัวมาเรียและมีชื่อภาษาพื้นฐานเขียนไว้อยู่ต้นแขนซ้ายของเด็กนี้อยู่ว่า [Felix]
“เฟลิกซ์...เธอชื่อเฟลิกซ์สินะ”
“อันนา...ฉัน...ขอโทษ”
เด็กพึมพำเช่นนั้น มาเรียทำได้แต่มองเธออย่างเห็นใจและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายของคืนนั้นที่เฟลิกซ์อาละวาด
◊◊◊
[เช้าวันถัดมา]
“แบบนี้คง...ดีสำหรับเธอแล้วใช่ไหมคะ?”
มาเรียกังวลใจเลยถามแอนดิวหลังจากช่วยอุ้มเฟลิกซ์ที่ยังไม่ได้สติขึ้นเกวียนที่มีม้าลาก ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าบ้านของตนเอง
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากพาเด็กคนนี้ไปเมืองบาลาสหาหมอที่นั่น...และผมเตรียมรถม้าจะไปขายของไว้พอดีด้วย”
“แต่เธอเป็นไซบอร์ก...จะถูกพวกมนุษย์รังเกลียดรังแกได้นะคะ”
แอนดิวได้ยินแบบนั้นแล้วหยิกแก้มมาเรีย
“แล้วคิดว่าผมเป็นตัวอะไรล่ะ”
“นั่นสินะคะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอคติแบบนั้น”
มาเรียกล่าวแล้วยิ้มน้อย แอนดิวย่อเข่าแล้วเอามือกุบประสานทำเป็นที่เหยียบขึ้นเกวียนให้ภรรยาตนเอง
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
“วันนี้กินยาผิดหรือเปล่าค่ะ”
“เอาน่า นานๆ ทีผมทำแบบนี้แล้วไม่เขินม้วนตายนะ”
แอนดิวทำเป็นพูดแล้วไม่สบตา มาเรียเห็นแบบนั้นแล้วชอบใจขำเล็กน้อยก่อนที่จะเอื้อมมือเกาะไหล่สามีแล้วก้าวขึ้นที่เหยียบทำมือและช่วงกำลังจะก้าวขึ้นเกวียนนั้น เธอเห็นบางอย่างที่ปลายทางถนนข้างหน้าเลยเพ่งสายตามอง
“ที่รัก...ได้นัดใครมารับของไว้หรือเปล่าคะ?”
“หือ? ไม่นะ”
“มีรถม้าของใครไม่รู้กำลังมาไร่ของเรา”
มาเรียก้าวลงแล้วเดินไปหน้ารถม้าตัวเองเพื่อชะเง้อมองอีกฝ่ายเพ่งให้ชัดว่าเป็นใคร...เป็นเกวียนที่มีม้าสีดำสวมเกราะสองตัวลากโดยที่ไม่มีคนขี่บังคับ ซึ่งนั่นทำให้มาเรียเบิกตาโตเพราะรู้ว่าเป็นรถม้าของใคร
“ท่านสัสดี!?”
“หา!? มาตอนนี้เนี่ยนะ!?”
แอนดิวร้องอ้าปากค้าง ทั้งคู่ยืนรอจนรถม้าเกราะเหล็กเข้ามาจอดใกล้ๆ เกวียนสีดำที่ถูกลากมาด้วยมีบุคคลทั้งสองเดินลงมา คนแรกเป็นเผ่าปีศาจ-แวมไพร์ ผมยาวขาวสว่างกว่าของเฟลิกซ์ ตาเล็กสีแดงที่แฝงไปด้วยสัญชาตญาณน่าล่า ใบหน้าคมเข้มคล้ายเจ้าชาย สวมชุดเครื่องแบบสีส้มสลับขาว ส่วนผู้หญิงอีกคนที่เดินลงตามมาสวมชุดเกราะอัศวิน หล่อนมีผมดำนัยน์ตาสีฟ้ามีดาบยาวแนบลำตัวอยู่ มาเรียและแอนดิวต่างก้มหัวทำความเคารพทั้งคู่
“ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านสัสดี”
“ไม่ได้เจอพวกเจ้านานเลยทีเดียว”
เสียงหล่อกระชากใจของสัสดิ ไม่ได้ทำให้มาเรียใจเต้นแม้แต่น้อยเพราะชินแล้ว แอนดิวเอ่ยขึ้น
“ครับท่าน พวกเรายังคงดูแลบ้านของท่านไว้คงสภาพเดิมให้มากที่สุดครับ”
“บอกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ว่ายกบ้านหลังนี้ให้พวกเจ้าแล้ว”
“เป็นความกรุณาที่ดิฉันกับสามีซาบซึ้งอย่างยิ่งค่ะ แล้วคราวนี้มาพักกับคนรักคนใหม่หรือคะ?”
มาเรียกล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ โดยที่สัสดีไม่ทันตั้งตัวแอบส่ายหัวเบาๆ ส่วนอัศวินสาวข้างกายตาโตมองหน้ามาเรียและสัสดีสลับกันไปมา
“มาเรีย...เธอไม่สมควรพูดเรื่องนั้นต่อหน้าคนอื่นนะ”
แอนดิวกระซิบบอกแล้วส่งซิกให้มองไปทางอัศวินสาว มาเรียที่เพิ่งรู้ตัวก้มหัวอีกครั้ง
“ขออภัยด้วยค่ะ!”
“ช่างเถอะ” สัสดีปัด “อัศวินผู้หญิงคนนี้เธอชื่ออาเซียเป็นตัวแทนของท่านผอ. ให้มารับเด็กใหม่”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ ทั้งสองคน” อาเซียก้มหัวเล็กน้อย
“เด็กใหม่? พูดถึงใครกันคะ?”
มาเรียถามกลับ สัสดีเลิกคิ้ว
“หือ? ก็เด็กใหม่ที่เรย์ลี่พามาที่นี่ยังไง”
“เรย์ลี่!?”
มาเรียผงะตกใจกับชื่อนั้นมาก สัสดีมองหน้าเธออย่างเห็นใจ
“ข้าต้องขอโทษด้วย มันไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงรู้ว่าเจ้าไม่อยากเข้าใกล้เรย์ลี่ก็---ไม่สิ ท่าทางของเจ้าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“ก็ท่านบอกว่าเรย์ลี่จะมาที่นี่!?”
“ใช่...เจ้าพูดเหมือนว่าเรย์ลี่ยังไม่มา?”
“หือ? ไม่นะคะ”
พอมาเรียสั่นหัวบอกไป สัสดีกระซิบคุยกับอาเซียอย่างเคร่งเครียด…ซึ่งมาเรียมองหน้าสัสดีสักพักเพิ่งนึกอะไรออกแล้วเดินกู่เข้าหากุมมือตัวเองขึ้นมาระหว่างอกเป็นการขอร้องอ้อนวอน
“ท่านสัสดีค่ะ! ดิฉันขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหมคะ โปรดช่วยเด็กคนหนึ่งที่อยู่หลังเกวียนนี่เถอะค่ะ! เธอถูกเวทย์หลอนประสาทบางอย่างมาจนป่านนี้ยังไม่ได้สติเลยค่ะ!”
“เด็ก!? อือ พาข้าไปดูสิ”
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ!”
มาเรียก้มหัวหลายรอยเสร็จเดินนำทางไปยังหลังเกวียนของแอนดิวที่เตรียมไว้จะไปเมืองบาลาส สัสดีและอาเซียเดินตามดูเด็กที่มาเรียพูดถึง...ซึ่งทั้งคู่ต่างตกตะลึง มาเรียรีบอธิบายเพิ่มเติม
“เมื่อวานก่อนสามีดิฉันไปเจอเธอที่ถ้ำคริสตัลใกล้ชายแดนเอลฟ์ค่ะ เธอตกลงบ่อน้ำที่มีเวทย์ประสาทหลอนเจือปนอยู่”
“ท่านสัสดี! เด็กคนนี้มัน...”
อาเซียเอ่ยแค่นั้นให้มาเรียสงสัย
“รู้จักกันด้วยหรือคะ?”
และแล้วสัสดีก็ให้คำตอบที่ชวนให้ตะลึงเล็กน้อย
“ก็เด็กใหม่คนนี้แหละ ที่เรย์ลี่ต้องมาส่งให้พวกเธอ”
◊◊◊
[ช่วงบ่ายต่อมา]
“โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเธอนะคะ ท่านสัสดี”
มาเรียเสิร์ฟชาอุ่นให้สัสดีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงชั้นสองของบ้านก่อนที่เธอจะนั่งลงเก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ
“เด็กใหม่หลายคนล้วนแต่พบเจอชะตากรรมอันน่าสังเวชทั้งนั้น...ก็เหมือนกับเธอ”
เมื่อสัสดีพูดแบบนั้นทำให้มาเรียนึกเท้าความย้อนหลังเกี่ยวกับตนเองที่ยังเป็นเด็กใหม่อยู่แล้วเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เฟลิกซ์ต้องเจอ
“เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เด็กใหม่คนนั้นต้องเจอหรอกค่ะ”
“แล้วอาเซียเป็นไงบ้าง”
“แค่อ่อนเพลียค่ะ ตอนนี้หลับพักผ่อนไปแล้ว”
มาเรียบอกอาการของลูกน้องสัสดี ซึ่งก่อนหน้านี้หลังจากที่อาเซียนำสมุนไพรบางอย่างมาวางกลางอกของเฟลิกซ์สัสดีร่ายเวทมนต์บางอย่างใส่ให้สลายเข้าตัวเด็กคนนั้นไป อาการของเธอนั้นดูดีขึ้นทันที ตัวไม่ซีดแล้วแต่ยังไม่ได้สติ สัสดีอุ้มตัวเธอออกมาจะพาไปขึ้นรถเกวียนของเขาเอง พอเอ่ยปากบอกว่าจะรีบพาเธอไปสถาบันนิวส์ไลฟ์ทันที อาเซียและม้าเหล็กคู่สองตัวต่างพากันเข่าอ่อนล้มลงไปเพราะความอ่อนเพลียและอ่อนแรงที่เดินทางไม่ได้หยุดเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันโดยใช้เวทมนต์เสริมพลังแก่ม้าและตัวรถเกวียนเพื่อมายังที่นี่…
สุดท้ายแล้วสัสดีต้องเลื่อนแผนการเดินทางออกไปเป็นพรุ่งนี้เช้า
“เกิดอะไรขึ้นกับเรย์ลี่และเชสเซอร์กันแน่”
สัสดีพูดกับตัวเองแล้วหันไปมองข้างล่างตรงหน้าต่างที่มองเห็นเฟลิกซ์กำลังหลับแน่นิ่งบนเตียงเดิม มาเรียกรุ่นบางเรื่องที่เธออยากจะพูด...
“คือ...ท่านสัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ เรื่องที่ช่วยฉันมาตลอด”
“ไม่เป็นไร”
“ถึงจะอย่างงั้น...ปกติแล้วเรื่องนั้นฉันต้องถูกคุมขังไม่ใช่หรือคะ?”
พอมาเรียตัดเพ้อ สัสดีถอนหายใจหนัก
“มาเรีย...สิ่งข้าทำไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือซื่อสัตย์ต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่เพื่อชี้นำแนะเส้นทางเลือกแก่เด็กใหม่และผู้คนที่กำลังหลงผิดอย่างที่เจ้าเคยเป็น”
พอได้ยินแบบนั้นมาเรียหลบหน้าลงเล็กน้อย สัสดีกล่าวต่อไป
“ถึงแม้เจ้าจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเจ้า แต่เรย์ลี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แต่ว่า...ฉันทำให้เรย์ลี่เกือบตายนะคะ!”
มาเรียพูดอย่างเจ็บใจ...เจ็บใจที่ตัวเองทำเรื่องบางอย่างที่เลวร้ายมาก่อน สัสดีว่าต่อ
“เพราะอย่างนี้ไงเล่า ข้าถึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อปกป้องคนอย่างเธอ ไม่ให้ถูกชักจูงไปทางที่ผิดหรือที่ไม่ควร...อย่างเช่นเฟลิกซ์ เด็กคนนั้นถูกใช้เป็นชนวนสงครามทั้งๆ ที่เพิ่งโผล่มาจากเกทแทนๆ และถ้าเด็กคนนั้นกำลังเดินในเส้นทางที่ผิด ข้าจะเป็นคนลากกลับมาเส้นทางที่ควรเดินเอง แต่ถ้าเด็กคนนั้นเลือกจะเดินเส้นทางอื่น...ข้าก็จะไม่ห้าม”
คำพูดที่แฝงไปด้วยอุดมการณ์ ทำให้มาเรียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ทำไมท่านยึดติดกับเรื่องแบบนั้นละคะ”
“เชื่อสิ...เจ้าอย่ารู้เลย มันโหดร้ายเกินกว่าที่จะฟัง”
เมื่อสัสดีเล่นเกมไม่ยอมบอก มาเรียยิ้มรับแล้วขอร้องบางอย่างแทน
“งั้นท่าน...ช่วยดิฉันสอนเวทมนต์รักษาพื้นฐานด้วยเถอะคะ!”
สัสดีเลิกคิ้วแปลกใจ
“เจ้า...ยอมรับมันได้แล้วหรือ”
“ได้นานแล้วค่ะ...แต่กลางป่ากลางไร่แบบนี้ไม่มีคนสอนหรอกค่ะ”
“ข้าสอนไม่ค่อยเก่ง”
“แต่ก็พอได้ใช่ไหมคะ ได้โปรด...กรุณาด้วยเถอะค่ะ ฉันเจ็บใจตัวเองมากที่ช่วยเด็กคนนั้นแทบไม่ได้เลย”
สัสดีถูกขอร้องมากๆ เข้า...เขาดื่มชาแล้ววางแก้วแล้วยอมรับคำขอร้องนั้น
“งั้นมาเริ่มกันเลย ยกฝ่ามือตั้งฉากตรงหน้าอก แล้วก็---”
ช่วงบ่ายตลอดทั้งช่วง มาเรียก็ถูกสัสดีช่วยสอนใช้เวทมนต์ที่เธอเคยปฏิเสธมันมานานแสนนาน
◊◊◊
“ฮึ่ม...ฮัมฮึม...เอ๊...อื่อ...อื๊อ”
เสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกสติฉันจากฝันร้ายและยังได้ยินเสียงโยกของเก้าอี้ไม้อย่างเป็นจังหวะอีกด้วย
ทำไมถึงเพลียขนาดนี้นะ...
ฉันพยายามฝืนแรงให้เปลือกตามเปิดออกแต่แล้วกลับไม่ได้ผล มันยากยิ่งกว่ายกของหลายสิบกิโลอีกและหายใจแรงขึ้นนิดหน่อยแล้วเริ่มพยายามอีกครั้ง คราวนี้มีแสงแดดสว่างสาดส่องเข้ามาพบกับผู้หญิงในชุดบ้านนาเรียบๆ ผมสีน้ำตาลเข้มม้วนยาวถึงหน้าท้องกำลังนั่งโยกเก้าอี้ไม้เล็กน้อยโดยที่มือทั้งสองกำลังโอบรอบเสียงสีเขียวบริสุทธิ์ตรงกลางหน้าอกของเธอ แสงพระอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามายังตัวเธอทำให้ฉันเห็นเป็นภาพที่แสนจะอบอุ่นของแม่ที่กำลังนั่งเฝ้าลูกด้วยท่าที่สง่างามและดวงตาของเธอหันมามองฉันพอดี นัยน์ตาสีดำเบิกโตขึ้นอย่างดีใจแล้วเธอก็พูดกับฉัน
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านกลางไร่หลังนี้นะคะ คุณเฟลิกซ์ ฉัน...มาเรียค่ะ”
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.6 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ที่แท้ต้นเหตุฝันร้ายมาจากบ่อน้ำที่ตัวเฟลิกซ์เองพลาดทางตกลงไปนี่เอง!
และตอนนี้เป็นการเปิดตัวสองสามีภรรยาที่เรย์ลี่เคยพูดถึงอีกด้วย!
แล้วมาถึงเล่นปมของตัวละครใหม่อย่างมาเรียทันที!
(เล่นมาแบบนี้แล้วจะมีบทสำคัญในอนาคตหรือเปล่านะ!?)
แถมยังเปิดตัวสัสดีที่เป็นเจ้านายของเรย์ลี่อีก! อะไรนะ!? เขาเป็นแวมไพร์รูปหล่อ! ว๊ายกรี๊ด! :3
แล้วพวกเขาจะพาเฟลิกซ์ไปยังสถาบันนิวส์ไลฟ์ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
แต่คงไม่ล่ะมั้ง! เพราะตอนต่อไปที่เป็นบทสุดท้ายของบทหลบหนีกลางสมรภูมิรบที่มีชื่อว่า!
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ