Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
8.8
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
25 chapter
4 วิจารณ์
23.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) หนีกลางสมรภูมิรบ 4 [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ]ครึ่งแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งแรก
◊◊◊
“เจ้านี่ตายไวซะจริง”
เสียงนางฟ้าอ่อนหวานดังก้องหู ทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ขาวโพลนรอบตัวและพื้นเป็นตารางหินอ่อนทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงปลุกนั้นยังคงดังก้องไปทั่ว
“แบบนี้ทำให้พระเจ้าผิดหวังเอาง่ายๆ”
“เอลด้า...”
ฉันเอ่ยชื่อเจ้าของเสียงนั้น
ตายจริงๆ สินะ
“ใช่ เจ้าตายแล้วจากการตกขอบโลก”
เอลด้าที่สามารถอ่านใจพูดย้ำให้ชัดเจนและเสนอบางสิ่งที่น่าสนใจ
“มีประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินจากมนุษย์...คนเราควรได้รับโอกาสที่สองจริงไหม?”
“โอกาสที่สอง? ไม่ล่ะ ฉันไม่ต้องการมัน...เหนื่อยล่ะสำหรับการมีชีวิตอยู่”
ฉันปฏิเสธโดยทันทีด้วยอารมณ์ที่อ่อนล้า เอลด้าทำเสียงไม่ชอบใจ
“เฮ้อ...ไม่ลองพยายามสักหน่อยหรือ?”
“ไม่ล่ะ”
“การมีชีวิตมันสนุกนะ ได้ทำหลายๆ อย่าง”
“ฉันทำมามากพอล่ะ”
“เจ้านี่มัน...”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเธอเหมือนกลั้นอารมณ์โกรธไว้อย่างมากแต่ก็ไม่แคร์หรอกว่านางฟ้าจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ฉันพูด…
จนกระทั่งความต้องการที่แท้จริงปรากฏขึ้นมา
“เฮ้อ ยอมใจเจ้าเลย...ถึงอย่างงั้นเจ้าก็ขัดประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้หรอก”
“จะพูดอะไร?”
“พระเจ้ามีบัญชาให้เจ้ามีชีวิตต่อไป...เดี๋ยวเราจะช่วยย้อนเวลากลับไปล่ะกัน อย่าไปตายง่ายๆ อีกล่ะ และเอาหินคริสตัลยัดใส่แขนตัวเองด้วย...ถึงมันเป็นจะเป็นของปลอมก็เหอะแต่ก็มีมานาพอใช้ได้”
พอเอลด้าพูดถึงเรื่องหินคริสตัลทำให้ฉันนึกอะไรออกแล้วโทษตัวเอง
เราก็ได้หินนั่นมาแล้วนี่หว่า แล้วทำไมตอนนั้นลองใส่แขนก่อนที่จะตกลงไป...
หือ? ของปลอม...
“ของปลอม!? เธอว่าอะไรของปลอมนะ!?”
“จงเอาตัวรอดให้ได้ล่ะ อย่าทำตัวสมเพชให้เราสังเวชเจ้าอีก”
“เฮ้ยเดี๋ยว! บอกฉันเรื่องนั้นก่อน!”
และแล้วทุกอย่างก็สว่างขาวจนแสบตาอีกครั้ง...พอรู้สึกว่าแสงมันหายไปเลยเอาแขนที่ป้องหน้าลงเลยรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนกลางสะพานแขวนที่เดิมและอยู่ในสภาพดีอยู่
ย้อนเวลากลับมาตรงนี้เนี่ยนะ!?
ทันใดนั้นมีแสงสว่างลุกโชนจากข้างหลังพอหันไปดูเป็นธนูไฟปักเข้าที่เชือกที่รั้งสะพานไว้อยู่...ระหว่างนั้นนึกถึงเรื่องที่เอลด้าพูดไว้หยิบหินคริสตัลสีรุ้งขึ้นมายัดใส่ช่องว่างต้นแขนซ้ายแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้า ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายวันกับแขนซ้ายที่เริ่มขยับได้มันถาโถมเข้ามาในหัวอย่างมากมาย
แขนฉันขยับได้แล้ว!!
ดีใจได้พักเดียวเชือกที่รั้งสะพานไว้ขาดสะบั้นลง ฉันที่รู้ล่วงหน้าใช้มือขวาจับตัวสะพานไว้ พอมันเหวี่ยงกระแทกกับหน้าผาก็ใช้มือซ้ายจักรกลที่เพิ่งใช้ได้การจับที่สะพาน...
แต่ดูเหมือนว่าทั้งแขนซ้ายมันมีแรงมากเกินไป มือซ้ายที่ควรจับตัวทางเดินสะพานกลายเป็นไปพังแทนแล้วปักเอาที่หินหน้าผา
หือ? มันเจาะหน้าผาจนเกาะได้...สบายล่ะ!
พอคิดแบบนั้นได้ก็เริ่มทำการปีนขึ้น แต่เมื่อเห็นมีลูกธนูติดไฟกำลังเผาตัวรั้งสะพานบนตัวเลยรีบไต่หน้าผาไปทางด้านข้างแทนเพื่อหลบสะพานที่จะร่วงใส่หัว
เกือบไปแล้ว...เฮ้ย!
เหล่าลูกธนูติดไฟถูกยิงมาใกล้ตัวอีกทำให้ได้สติรีบปีนขึ้นอย่างว่องไวเท่าที่จะทำได้
อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียว!
“ว๊าก!”
ฉันร้องแบบนั้นเพราะมีลูกธนูติดไฟถูกยิงมาปักใกล้หน้า...และมือทั้งสองเผลอดีดีตัวออกตัวหงายหน้าร่วงลงไป
ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!
...
......
........
อะไรมารั้งคอฉันเนี่ย!?
พอลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศที่อยู่ต่ำกว่าระดับสะพานที่เคยมีอยู่พอสมควร เงากระพือปีกของนกใหญ่ทำให้ต้องหันหลังไปมอง...มันเป็นนกอินทรีย์ที่ตัวใหญ่พอควรและรอบตัวมันมีออร่าสีฟ้าอยู่ ที่ปากของมันคาบชุดที่ฉันสวมอยู่
นก...ใช่...นก
ฉันอึ่งกิมกี่อยู่นานสองนาน มันพาฉันปีกสูงขึ้นแล้วปล่อยลงอีกฝั่งของสะพานที่ต้องการข้ามมาแล้วมันก็บินจากไปทางแค้มป์เอลฟ์
นกนั่นของเอลด้านางฟ้าแน่ๆ ที่ไม่อยากให้ฉัน---
ยังคิดต่อไม่ทันจบ มีลูกธนูจากหอคอยไม้ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งข้างบนใกล้ๆ แม่น้ำคริสตัลยิงมาใส่แต่ไม่โดน ฉันรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าต่อไปจนเจอทางเข้าถ้ำ
น่าจะพ้นแล้ว...แต่ต้องไปให้ไกลกว่านี้อีก!
พอวิ่งเข้าลึกไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นว่าสิ่งที่ผุดอยู่รอบๆ ถ้ำเป็นก้อนหินใสสีฟ้าจางบ้างเข้มบ้างหลายขนาดมีอยู่เต็มไปหมด
สวยแฮะ...
แต่ความงดงามนั้นไม่ทำให้เท้าหยุดวิ่งได้ แขนซ้ายที่เพิ่งขยับได้ลองแกว่งขึ้นลงไปมา
เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษมั้ง...มันขยับได้ก็ดีขนาด---
“เฮ้----!!”
เพราะไม่มองทางข้างหน้าเลยตกลงอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหนเพราะร่างฉันจมลงเรื่อยๆ พยายามว่ายขึ้นก็ไม่มีทีทางจะช่วยให้พ้นน้ำเลย มันทำให้นึกถึงชะตากรรมเก่าที่โลกเดิม
ไม่ๆๆๆๆๆๆ ฉันจะตายเหมือนโลกเดิมงั้นหรอ!! จมน้ำ...เนี่ย...นะ
ภาพในตาที่เห็นเริ่มมืดลง ร่างกายเริ่มไม่ฟังที่สั่ง...ทันใดนั้นฉันเห็นผิวน้ำบนหัวแตกกระจายแล้วมีมือของใครบางคนยื่นมาจับแขนซ้ายที่เป็นจักรกลไว้...เขาเริ่มลากฉันขึ้นไป
ใครน่ะ...
และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้สติ
◊◊◊
“ดีมาก...ฟิล”
ยูกะลูบหัวนกอินทรีย์ของตัวเองที่เพิ่งกลับมาจากทำสิ่งที่เธอสั่งมันไป...คือการไปช่วยทั้งสองคนนั้น...ถึงแม้ว่าฟิลจะช่วยได้คนเดียวก็ตาม
“เอาล่ะ...เธอกลับไปพักได้แล้ว”
ว่าแบบนั้นไป เจ้านกอินทรีย์ที่แสนรู้ใจก็บินจากไป...ตอนนี้ยูกะอยู่ข้างหลังเต็นท์พยาบาลที่สอง เธอหยิบหินคริสตัลสีรุ้งขึ้นดูอีกครั้งก่อนที่จะเก็บแล้วเดินกลับเข้าเต็นท์ พอดีมีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
“ท่านยูกะขอรับ! ท่านแม่ทัพให้มาตามไปช่วยใช้เวทย์ซ่อมสะพานตรงน้ำตกหน่อยครับแล้วเข้าร่วมหน่วยตามล่าเดียวกันกับท่านแม่ทัพด้วยครับ!”
“จ๊ะ เดี๋ยวตามไป”
เมื่อทหารเอลฟ์ได้ยินเช่นนั้นก็ถอยออกจากเต็นท์ไป ยูกะทำหน้าเหมือนไม่เต็มใจอยากจะทำ เธอเดินตรงไปตู้ยาแล้วหยิบขวดยาที่ซ่อนอยู่ข้างในสุดของชั้นสอง มีลงหมึกเขียนข้างขวดว่า [ยาอันตรายใช้เฉพาะทาง]
คนที่ใช้เวทย์ค้นหาเฉพาะทางได้...มีแต่ฉันเท่านั้น
เอ่อ...ว่าแต่ทำไมท่านริสถึงไม่ให้ฉันใช้เวทย์นั้นช่วยค้นหาตั้งแต่ทีแรก?
ช่างเถอะ...ถ้าอย่างงั้นต้องทำให้ใช้การไม่ได้ชั่วคราว
เฮ้อ...ไม่อยากใช้ยาป่วยการเมืองนี่เลย
และแล้วการล้มป่วยของนักเวทย์คนสำคัญในแค้มป์ทำให้การล่าตัวเฟลิกซ์ล่าช้าออกไป
◊◊◊
[ชุมชนเมืองรอบนอกเขตศึกษานิวส์ไลฟ์ทางใต้]
“เฮ! รอน!”
เสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนดังจากในหมู่คนที่เดินพลุกพล่าน เขานัดเพื่อนที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้างล่างเขาเอง เจ้าตัวคนทักเดินเข้ามาใกล้ถึงเห็นดวงตาสีทองที่แฝงไปด้วยความขี้เล่นเข้ากับผมทองสั้นของเขาอยู่ มาในชุดเช่นเดียวกับเขา...มันเป็นชุดของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในสถาบันนิวส์ไลฟ์ ซึ่งสถาบันนิวส์ไลฟ์จะแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ๆ ก็คือเขตศึกษาที่เป็นวงในสุดและวงนอกคือชุมชนเมือง ส่วนชุดที่พวกเขาใส่นั้นมีเกราะเบาติดอยู่หน้าอกยาวถึงท้อง ตามข้อศอกทั้งแขนและขวาและชุดข้างในเป็นลายสีส้มสลับขาว
และดูเหมือนว่าเพื่อนที่ทักเมื่อครู่จะใส่ชุดเกราะมาไม่ครบเซตเลยถาม
“แกลืมสนับศอกซ้ายอีกแล้วหรือไง?”
“เหอะ ครั้งก่อนนึกว่าลืม...ไปๆ มาๆ หาไม่เจอไม่รู้ไปอยู่ไหน”
“ลืมไว้ที่ร้านออริน่าแน่ๆ”
พอเขาพูดชื่อร้านนั้นออกไปก็โดนหรี่ตาไม่พอใจใส่
“ทำไมนายต้องพูดชื่อร้านนั้นอยู่เรื่อย...นายชอบสาวเสิร์ฟใช่ไหม”
“ไม่ต้องทำเป็นเฉไฉ...แกมันอ่านทางโคตรง่ายเลยวะ” รอนว่าตามนิสัยพื้นเพของเพื่อน “และควรคิดออกได้แล้วว่าแกชอบถอดสนับศอกไว้ที่ร้านนั่นเป็นประจำ คงอยู่ที่นั่นแหละ”
“เหอะ...ไม่มี”
“หือ?” รอนขมวดคิ้ว “แล้วเอาไปไว้ไหน”
“ช่างมันเหอะ เดี๋ยวจัดการเอง...นายรู้ข่าวเรื่องผู้กล้ามาตามคำทำนายไหม?”
จู่ๆ เพื่อนของเขาก็เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย แต่ก็ยอมเล่นตามเพราะไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องสนับศอกต่อไปทำไม
“คำทำนาย!? บาร์เบส...คนอย่างแกสนใจเรื่องพรรคนั้นด้วย?”
“บ๊ะ! เป็นหัวข้อสนทนายอดฮิตเลยนะโว้ย” บาร์เบสเท้าเอว “ข่าวม้าด่วนล่าสุดบอกว่ามาตามทำคำนาย...แต่ดันมีลักษณะไม่ตรงตามที่ทายไว้”
“แล้ว...ที่ทายไว้มันยังไง?”
“พวกโบสถ์เฟธบอกเป็นชายผู้กล้าหาญมาพร้อมดาบอาญาศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหายไปตอนสงครามปราบจอมมารสองร้อยปีก่อน ฝั่งเอลฟ์ก็ว่าเป็นชายเอลฟ์ชั้นสูงผู้มาโปรด...แต่คนที่โผล่มานี่สิได้ยินว่าเป็นไซบอร์กผู้หญิงตั้งแต่แรกเลย”
พอรอนได้ยินแบบนั้นแล้วนึกอะไรในชั่วโมงเรียนออก
“คุ้นๆ...อาจารย์แชปปิ้นเคยบอกว่ามนุษย์ที่กลายเป็นไซบอร์กมักเป็นพวกที่สูญเสียอวัยวะไม่หรือไง ตั้งแต่กำเนิดไม่เคยได้ยิน”
“ก็นั่นแหละเลยทำให้สงครามสองฝ่ายอีกเดือดกว่าเดิมอีก พากันโยนความผิดว่า ‘เป็นเพราะแกนั่นแหละ ใช้เวทย์สาปแช่ง บลาๆๆๆๆๆๆ’ ศึกชิงเกทตรงกลางแม่น้ำคริสตัลเลยยื้ออีกยาวแน่ๆ”
พอเห็นท่าทางบาร์เบสใส่อารมณ์เลียนเสียงล้อใครบางคนก็รู้สึกเกลียดขึ้นมา...แต่มีเรื่องอื่นอยากจะรู้มากกว่าจัดการอารมณ์เกลียดนั้น
“แล้ว...ไซบอร์กนั่นเป็นยังไง?”
“เห็นว่ามีคนชิงตัวไปนะ ไม่รู้ฝ่ายไหน น่าจะเป็นอาณาจักรนิวส์ไลฟ์...เฮ้ย สถาบันนิวส์ไลฟ์ของที่นี่แหละ”
บาร์เบสที่เผลอหลุดชื่อเรียกดั้งเดิมของสถาบันนิวส์ไลฟ์ นั่นก็คืออาณาจักรนิวส์ไลฟ์ ซึ่งรอนเข้าใจอยู่ว่าเพิ่งมีมาตรการเปลี่ยนแปลงระบบเมืองใหม่เลยทำให้ชื่อเรียกเก่านั้นยังคงชินปากใครหลายคน…
แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญกับเรื่องที่สนทนากันอยู่ รอนถอนหายใจ
“นึกว่าแกรู้เรื่องมากกว่านี้ซะอีก”
“นี่ก็มากโขแล้วนะเพื่อนยาก...แล้วเรียกฉันมานี่ทำไม?” บาร์เบสกลับเข้าเรื่อง
“คดีแปลกประหลาดที่บ้านหลังนี้ ช่วยกันเคลียร์หน่อย”
รอนชี้นิ้วโป้งไปข้างหลังที่เป็นบ้านสองชั้นซึ่งโดยรอบข้างมีบ้านอื่นๆ ติดอยู่นับเป็นชุมชนที่แออัดพอสมควร...แต่บ้านหลังนี้ต่างจากหลังอื่นตรงที่มีออร่าสีฟ้าครอบคลุมทั้งหลังเพื่อรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ไม่ให้คนนอกเข้าไป
รอนที่เห็นบ้านหลังนั้นแล้วสะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย! นี่มันบ้านท่านประธานชมรมโบราณคดีนี่หว่า!?”
“อ้าว!? แกรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วย? คงเป็นข่าวร้ายสำหรับแกแล้วล่ะ”
รอนพูดถึงสิ่งที่รับรู้ก่อนมาที่นี่ ท่าทางทีเล่นทีจริงของบาร์เบสหายไป
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านโซล”
“เข้าไปดูด้วยกันเลย เอ่อ...ที่จริงตะกี้ลองเข้าไปคนเดียวดูนิดหน่อยแล้ว...คือมัน...แกน่าจะไปเห็นเองดีกว่า...มันบอกไม่ถูก”
รอนพูดเสร็จเดินนำไปยังหน้าประตูบ้าน เขาหยิบตราทรงหกเหลี่ยมบางอย่างยื่นแตะที่ตัวประตูบ้านทำให้ออร่าตรงประตูหายไป พวกเขาทั้งสองต่างเดินเข้ามาพบกับทางขึ้นบันไดตรงหน้าริมซ้ายและทางริมขวาตรงเข้าไปบางห้อง ซึ่งสภาพบ้านตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ รอนลากตัวบาร์เบสขึ้นชั้นสองคนแล้วเดินเลี้ยวทางซ้าย ซึ่งทำให้บาร์เบสตะลึงเพราะเขาจำได้ว่าสุดทางเดินนี้มันต้องมีห้องของคนที่รู้จักที่เป็นนักโบราณคดี แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือเศษซากกระจัดกระจายและตั้งแต่เพดานลงมายันครึ่งห้องมันหายไปราวกับว่าถูกกระชากไปและที่น่าแปลกใจสุดๆ ก็คือมันเป็นเฉพาะห้องนั้นห้องเดียว ส่วนอื่นของตัวบ้านไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
“รอน...นี่มันบ้าอะไร”
บาร์เบสที่เสียศูนย์ถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี
“เมื่อคืนที่ป้อมยามที่เจ็ดแจ้งมาว่าเมื่อคืนมีคนได้ยินเสียงคล้ายเวทมนต์ระเบิดขึ้น...เมียกับลูกบุญธรรมของเขาปลอดภัยดีเลยให้พวกเขาไปอาศัยที่ปลอดภัยแล้ว แต่...คนที่แกคิด...เหลือแค่ขาขวาไว้ดูต่างหน้า”
รอนพูดแล้วเอามือวางไว้บนบ่าของบาร์เบสหวังปลอบใจแล้วพูดต่อไป
“มันคงดีกว่านี้ถ้าพวกรุ่นพี่ปีห้าขึ้นไปมาดูด้วยตัวเอง แต่---”
“พวกรุ่นพี่ทั้งหมด...ไปช่วยคนที่ลี้ภัยสงครามนอกเมืองอยู่” บาร์เบสที่พอทำใจได้แล้วว่าตามเหตุผล
“อือใช่...งานนี้พวกเราปีสามต้องลุยกันเอง ถึงจะพูดแบบนั้น...ปีสามที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลแถวนี้เหมือนกันมีอยู่กันแค่ไม่กี่คน”
รอนกล่าวอย่างท้อแท้ก่อนที่ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจดูสภาพในห้องอย่างละเอียด แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าห้องไป พวกเขาได้ยินเสียงผู้หญิงจำนวนมากร้องกรี๊ดอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่มองหน้ากันเองเหมือนรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย พวกเขาเดินกลับไปยังทางเดิมแต่ไม่ลงบันได เดินเลยไปเปิดประตูที่ไปยังระเบียงชั้นสองหน้าบ้านแทน สิ่งที่ทั้งคู่เห็น ณ เบื้องล่างนั้นเหล่าสาวๆ มากมายหลายตารูปร่างสูงใหญ่มาครบกำลังล้อมวงชายคนหนึ่งที่ยืนเก๊กทำตัวเป็นเจ้าชายอยู่กลางกลุ่ม ไว้ผมดำสั้นหน้าตาขาวใสและดูนิ่มนวลจนดูเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำมองรอบข้างอย่างมีความสุข ชุดที่ใส่เหมือนกับบาร์เบสและรอนทุกประการและเขาคนนั้นเริ่มโปรยเสน่ห์อย่างเคยตัว
“โอะโอ้ ทำไมถึงมีเจ้าหญิงมากมายมาอยู่รอบตัวข้าละครับนี่?”
แน่นอนว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นหัวใจสาวๆ รอบตัวร้องกรี๊ดกร๊าด
“คิรินซัง! เจ้าหน้าละอ่อนนั่น! ทำไมต้องเป็นมันด้วย!”
บาร์เบสที่ลืมเรื่องคดีร้องโวยไม่พอใจ รอนยิ้มเหยาะ
“แต่เจ้านั่นไม่ได้เป็นพวกสมบูรณ์แบบ...เป็นพวกปฏิเสธใครไม่เป็น”
“แล้ว?”
บาร์เบสทวนแล้วรอนผงกหน้าให้มองดูคิรินซังที่เริ่มมีสาวบุกเข้าประชิดตัวและความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้น
“เจ้าชายซามะ! ช่วยรับข้าวกล่องที่ดิฉันสุดหัวใจนี่ด้วยเถอะค่ะ”
“อ่าครับ”
“ท่านเจ้าชาย! รับช่อดอกไม้นี้ด้วยค่ะ!”
“สวยมากครับ”
“เจ้าชายข๊า! เจ้าชายต้องแต่งงานกับฉันแต่เพียงผู้เดียวนะคะ!”
“คะครับ---หา!”
“ท่านเจ้าชายเป็นของฉันแล้ว!”
“ดะเดี๋ยว!”
“ยัยบ้านี่! องค์ชายเป็นของฉันนะ!”
“ฉันต่างหากล่ะ!”
“ของฉัน! ของฉัน! ของฉัน!”
มหกรรมฝูงซอมบี้ไล่ตบกันเองจึงเกิดขึ้น...จังหวะนั้นคิรินซังมองมาทั้งสองคนบนระเบียงพอดี
“บาร์เบส! รอน! ขอเข้าไปหาพวกนายนะ!”
คิรินซังไม่พูดเปล่าเดินมายังหน้าบ้านโดยมีสาวๆ เกือบร้อยชีวิตตามติดไม่ห่างโดยยังมีศึกไล่ตบกันเองดำเนินอยู่ด้วย
“เวรล่ะ” บาร์เบสอุทาน “บ้านนี้พังแน่ๆ!”
“ไม่หรอก ลืมแล้วหรือไงว่าบ้านมันมีเวทย์คุ้มครองอยู่”
“เจ้าหน้าอ่อนนั่นจะพาพวกสาวเข้ามาด้วยล่ะสิ!”
บาร์เบสกังวลสุดขีด แต่แล้วมีเสียงข้างล่างดังขึ้นมา
“เฮ! เราเข้าไม่ได้! พวกนายมาเปิดให้หน่อยได้ไหม”
“หือ!? ใช้ตรานั่นไม่ได้หรือไง?”
“อ๋อ เครื่องประดับห่วยๆ นั่นไม่พกให้หนักหรอก”
“เฮ้อ”
ทั้งสองคนที่อยู่บนระเบียงถอนหายใจพร้อมกัน...รอนตบไหล่เพื่อน
“นี่ ไปเอาตัวมันเข้ามา...เอาแค่มันคนเดียวนะ เดี๋ยวจะล่อพวกผู้หญิงไว้ให้เอง”
บาร์เบสได้ยินแบบนั้นแล้วมองบนฟ้าแต่ก็ทำตามแต่โดยดีเดินกลับเข้าบ้านไป เขาสูดลมหายใจหนักแล้วตะโกนผู้หญิงทุกคน
“เฮ!!! พวกเธอโง่หรือไง!?”
“หา!?”
หลายเสียงร้องพร้อมกัน
“เธอคิดว่าเจ้าชายของพวกเธออยู่ตรงหน้าจริงงั้นเหรอ...รู้จักเวทย์สร้างภาพหลอนไหม? เจ้าชายใช้มันหนีไปทางตอกซ้ายมือไปทางอนุสาวรีย์แล้ว!”
เมื่อสาวๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างมองลงมาที่ๆ เจ้าชายของพวกเธอน่าจะอยู่หน้าบ้านข้างหน้ากลับไม่อยู่แล้วเลยพากันวิ่งไปตามทางที่รอนบอก ซึ่งความจริงแล้วบาร์เบสใช้จังหวะที่พวกผู้หญิงกำลังสนใจรอนพูดอยู่ดึงตัวคิรินซังเข้ามาแล้วผนึกเวทย์กลับคืนเหมือนเดิม
“มีแต่เรื่องวุ่นวาย”
รอนบ่นแล้วเดินกลับเข้าบ้าน บาร์เบสกำลังพาคิรินซังขึ้นมาชั้นสองพอดีซึ่งเจ้าตัวกำลังพูดขอบใจ
“โอ้ว ขอบใจมากๆ เลยที่ชะ---”
รอนกระชากเสื้อยกตัวคิรินซังลอยขึ้นแล้วดันติดกำแพงไม้
“เฮ้ย! แกน่ะ...น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไงว่าหน้าที่ตัวเองตอนนี้ควรทำอะไร!”
“ใจเย็นก่อนรอน” บาร์เบสปลอบ
“ไม่เย็นโว้ย!” รอนปฏิเสธเสียงแข็ง “แกก็น่าจะรู้ดีนี่หว่า พื้นนี้แถวนี้เหลือแค่เราสามคนที่ต้องช่วยกันดูแลตลอดทั้งเดือนนี้! อยากให้พวกรุ่นพี่กลับมาเห็นความล้มเหลวที่ต้องดูแลความสงบแถวนี้หรือยังไง!”
“ดะเดี๋ยวเซ่!” คิรินซังพยายามดิ้น “ข้าก็เดินลาดตระเวนตามตารางอยู่นะ! แต่พวกผู้หญิงนั้นตามตื้อไม่ปล่อยเลย!”
“แล้วแกทำไมไม่ไล่พวกนั้นไป!?”
“ไล่แล้ว! นายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ? ว่าพวกผู้หญิงนั่นฟังซะที่ไหน! ถึงขอร้องอยู่หลายวันแล้วว่าอยากทำงานอยู่ในเขตศึกษาของสถาบัน ไม่ก็คอยรับเรื่องอยู่ป้อมยามประจำการของพวกเราก็ได้!”
เมื่อคิรินซังพูดจบ รอนช่างใจอยู่สักพักก็ปล่อยตัวเขาลง
“เรื่องนั้นค่อยไปคุยกับหัวหน้าพร้อมกัน...ตอนนี้นายต้องช่วยคดีประหลาดบ้านนี้ก่อน”
“คดี!?”
“มีบางอย่างที่อยากให้ทั้งสองคนช่วยหน่อย”
รอนเดินนำพากลับเข้าห้องที่ถูกระเบิดหายไปครึ่งห้องส่วนบน คิรินซังที่เพิ่งเห็นครั้งแรกเลยออกอาการเหวออย่างเห็นได้เช่น รอนเดินไปยังตรงมุมห้องที่มีโต๊ะหักอยู่และกล่องเหล็กที่เปิดไม่ออก บาร์เบสเห็นแล้วบอกข้อมูลบางอย่าง
“กล่องนี่มัน...ที่ท่านโซลเคยบอกว่าเป็นของอาจารย์ลัคกี้นี่หว่า?”
“กล่องนั้นหรือ? ที่อยากให้ช่วยเปิด”
คิรินซังเดาอย่างงั้นแต่รอนส่ายหัวแล้วชี้ไปทางกำแพงบ้านที่เป็นไม้ทางซ้ายใกล้มือและใกล้โต๊ะแทน
“ตรงนั้นที่มีรอยสลัก...อยากรู้ว่ามันคืออะไร ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นไดอิ้งเมสเสจของเขาก็ได้”
(Hint)
“นี่มันลายมือโซลจริงๆ” บาร์เบสที่เคยทำงานใกล้ชิดผู้เคราะห์เอ่ย “แต่ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ? ว่าเป็นข้อความก่อนตาย”
“ดูสิ มีมีดตกอยู่ใกล้ๆ ที่น่าจะใช้แกะสลัก” รอนว่า “บาร์เบส...นายพอตรวจสอบได้ไหมว่าไดอิ้งเมสเสจนั่นมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ใช่ไหม? นายน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้”
เมื่อบาร์เบสได้ยินแบบนั้นแล้วเอามือลูบที่ไดอิ้งเมสเสจแล้วพยักหน้า
“ใช่...รอยยังใหม่ๆ อยู่เลย”
“แล้ว...มันเขียนว่ายังไง? ดูแทบไม่ออกเลยนะนั่น”
คิรินซังออกความเห็น ทั้งสามคนต่างยืนจ้องมันสักพัก บาร์เบสเอ่ยเป็นคนแรก
“น่าจะเป็นภาษาพื้นฐานล่ะครับ ท่านโซลมีลายมือค่อนข้างแย่อยู่แล้วยิ่งพยายามใช้มีดสลักเป็นข้อความเลยยิ่งดูไม่รู้เรื่อง”
“คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน...ที่แกะข้อความนี่”
รอนเอ่ยแบบนั้น…ทุกอย่างอยู่ในความเงียบเพราะทุกคนรู้ดีว่ามันขาดบางสิ่งบางอย่างไป บาร์เบสเป็นคนทำลายบรรยากาศด้วยการเอ่ยถึงคนต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้
“คิดถึงรุ่นพี่เรย์ลี่จัง”
“ถ้ามีเธอคงจะเฮฮากว่านี้...และได้เรื่องกว่านี้” รอนเสริม
“ยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้าสนใจด้วย”
คิรินซังเอ่ยความในใจแล้วทั้งสองคนหันมามองด้วยสีหน้าที่บอกว่า ‘ฝันไปเหอะ’ เจ้าตัวคนถูกมองรีบแก้ตัว
“ระ...รู้ตัวน่า! รุ่นพี่เรย์ลี่ไม่เห็นข้าเป็นผู้ชายที่น่าสนใจแม้แต่น้อย”
“ฮ่าๆๆ นึกว่าจะหลงตัวเองแบบโงหัวไม่ขึ้นซะอีก” บาร์เบสว่า “เกือบปีแล้วสินะที่รุ่นพี่เขาย้ายไปหน่วยตามหาเด็กใหม่นั่น”
ต่างคนต่างเพ้อถึงเพื่อนร่วมงามคนเก่าจนรอนที่เป็นคนที่พึ่งพาได้ที่สุดในตอนนี้ได้สติตบมือหนึ่งครั้งแล้วกล่าวขึ้น
“เอาล่ะ ถึงคดีนี้อาจจะยากเกินไปสำหรับพวกเราแต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเก็บหลักฐานและพยานไว้เท่าที่จะทำได้เพื่อรอให้มืออาชีพกลับมาไขคดี”
“งืม เห็นด้วย” บาร์เบสว่า
“คงต้องเป็นแบบนั้นครับ” คิรินซังเสริม
และแล้วพวกเขาก็เริ่มทำการสำรวจบ้านหลังนั้นทุกซอกทุกมุมตามหน้าที่ตนเอง
◊◊◊
ที่นี่มัน...บาร์ที่ฐานทัพนิ!?
ความประหลาดใจมีเต็มหัวไปหมดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาว่าฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้บาร์ทันเดอร์และบรรยากาศรอบๆ ด้วยเต็มไปด้วยคนใส่ชุดเกราะน้อยใหญ่ที่เธอจำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมหน่วยเดียวกัน
ทำไมฉัน...ถึงมาอยู่นี่ล่ะ?
“ชอบเหม่อประจำเลยนะเฟลิกซ์”
มีผู้หญิงทักเรียกซ้ายมือแล้วเดินถือแก้วช็อตเข้ามานั่งข้างๆ เธอไว้ผมสีม่วงยาวเลยบ่า นัยน์ตาสีเขียวมรกตอยู่ในชุดสีฟ้าแถบเหลืองที่เป็นชุดลำลองขององค์กรที่มีสัญลักษณ์ดาวสามดวง
นานามิ...เพื่อนสนิทของฉันเองและเธอก็บ่นตามนิสัยตัวเอง
“หัดสนใจหาผู้ชายมาดิ๊งสักคนไหมล่ะ แก้เหงาได้พริ๊บทิ้งเลยนะ ยิ่งพวกเราเพิ่งสิบแปดสิบเก้าเอง”
พอได้ยินแบบนั้น ฉันถึงกับบังอ๋อว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่นี่เพราะอะไร
ฉันเพิ่งทำภารกิจช่วยคนสำคัญคนหนึ่งพร้อมกับหน่วยรบที่มีนานามิเป็นหัวหน้าทีม
ใช่ๆ ฉันเพิ่งจะอายุสิบแปด...วัยรุ่นกำลังดีเลยล่ะ
และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งใช้พลังจิตถล่มทิ้งท้ายตามคำสั่งลับของท่านวิคตอเรีย
ระเบิดตูมตามน่าดูมากเลยล่ะ
ความรู้สึกสนุกสนานที่ได้ท้าทายสิ่งที่ยากแล่นพล่านไปทั้งตัวกลายเป็นความสุขที่ฉันได้รับ ก่อนที่จะซดแก้วเหล้าจนหมด
ส่วนเรื่องผู้ชาย...
“นานามิ เธอน่าจะรู้ดีสิว่าฉันคบกับใครอยู่”
“ฮ่าๆๆ หัดนอกใจหาความสนุกใส่ตัวบ้างสิ วัยรุ่นนะเฮ้ยวัยรุ่น”
นานามิเสนอเส้นทางที่ชวนให้พบเจอแต่เรื่องยุ่งยากก่อนที่จะมีคนที่สามเข้ามาเสริม
“โฮะโฮะ มิน่าไม่เคยเห็นท่านนานามิมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที...ขอเหมือนกับเฟลิกซ์หนึ่ง”
แก้วที่นานามิถืออยู่เกือบหลุดมือ ฉันหัวเราะแห้งๆ เพราะรู้ว่าเจ้าของเสียงเล็กแหลมนั้นเป็นใคร เธอสูงร้อยเจ็ดสิบสองไว้ผมชมพูหวานที่ยาวถึงต้นคอ นัยน์ตาสีม่วงอยู่ในชุดสีเหลืองน้ำเงินที่น้อยชิ้นเน้นความคล่องตัวที่ข้างเอวมีปืนพกสองกระบอกสีขาวเหน็บอยู่ เดินเข้ามานั่งข้างขวาฉันแล้วสั่งบาร์เทนเดอร์ นานามิยิ้มแสร้งแล้วบอกกับเธอ
“รันเนอร์...ถ้าเธอไม่ใช่หนึ่งในคนสำคัญของเฮฟเว่นพันนิชเชอร์ล่ะก็---”
“อย่าคิดให้เสียเวลาเลย โฮะโฮะ!”
พอได้ยินรันเนอร์โต้ตอบแบบนั้นฉันกุมหน้าท้องอดขำไม่ได้ ทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันประจำแต่ก็รักกันดี แต่แล้วกลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เอ่อล้นในจิตใจ
รู้สึกเหมือนฝันไปเลยแฮะ อย่างกับว่าเราผ่านเรื่องราวเวลานี้มาแล้ว...
“ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากให้เธอเข้าร่วมกับเฮฟเว่นพันนิชเชอร์นะเฟลิกซ์”
คำขอร้องที่แลดูจริงจังของรันเนอร์ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงว่าพวกเธอ...ฉันยิ้มตอบรับกลับไป
“เป็นหน่วยซัพพอร์ตดีกว่าค่ะ ไม่ถนัดออกบู๊แนวหน้าแบบนั้น”
“เถอะหน่า!” รันเนอร์กุมมือฉัน “เดี๋ยวฉันไปขอร้องเลขาธิการเองว่าให้เธอใช้พลังได้ตามใจชอบ!”
“รันเนอร์ อย่าพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สิ” นานามิว่า “ก็รู้อยู่ว่าเบื้องบนปิดบังพีทู (P.P.) ของเฟลิกซ์ไว้เป็นความลับขั้นสุดยอดขนาดไหน ขืนไปแนวหน้าความลับแตกหมดพอดี”
“ยังไงก็ต้องแตกสักวันอยู่แล้วหน่า ก็ให้มันแตกไวๆ จะได้หมดปัญหาไปเลย”
“จะมีแต่ปัญหาเพิ่มสิไม่ว่า”
ทั้งสองคนเริ่มเขม่นกัน แต่บาร์เทนเดอร์ที่ฉันเพิ่งสังเกตว่าเขาหัวโล้นและมีดวงตาสีฟ้าวางขวดเหล้ากระแทกให้เสียงดังเล็กน้อยเพื่อเป็นการหยุดทั้งสองคนแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ขอโทษนะพวกเธอ เรื่องความลุงความลับระดับสูงนี่ช่วยไปพูดกันที่อื่นจะได้ไหม ยืนอยู่ตรงนี่ได้ยินพวกเธอพูดเรื่องความลับกองทัพเป็นประจำ ไม่คิดสักหน่อยหรือครับว่าความลับจะรั่วเพราะผม?”
“โฮะโฮะ ถ้ามันรั่วไปเมื่อไรก็จะได้มีคนรับผิดชอบไงค่ะคุณลุง โฮะโฮะ”
รันเนอร์พูดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ บาร์เทนเดอร์พ่นลมไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเลยส่งแก้วช็อตหนึ่งให้รันเนอร์แบบพิเศษ
“งั้นขอจัดของแรงให้เธอเป็นพิเศษ”
“รู้ใจฉันดีนิ! โฮะโฮะ...อึก!”
รันเนอร์ตอบรับอย่างเย้อหยิ่งแล้วยกซดหมด...เธอสะอึกแล้วหันมามองหาฉันและนานามิด้วยแก้มแดงๆ ปากอ้าเหวอ
อ้าว...โดนซะแล้วรันเนอร์
“ลุง! จัดอะไรให้ยัยนั่นไป!?” นานามิถาม
“อยากลองไหม? ทั้งสองคน”
“ไม่ล่ะ”
“ไม่ดีกว่า”
ฉันกับนานามิตอบพร้อมกันแล้วเริ่มได้ยินรันเนอร์เพ้อคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยตามภาษาคนเมา พอพลันสายตามองไปยังข้างหน้าเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นมองแต่ฉัน...
อาติกะ
เขาเป็นผู้ชายที่ฉันคบเป็นแฟนกันอยู่ ผมสั้นดำนัยน์ตาดำ...ทุกๆ อย่างที่เป็นเขาดูเรียบๆ แต่มันทำให้หัวใจฉันหวั่นไหวเพราะเขาถือกล่องเล็กๆ สีแดงกำมะหยี่ ไซต์แบบนั้นมีสิ่งเดียวที่อยู่ข้างใน
“เฟลิกซ์...”
อาติกะเอ่ยสั้นๆ อย่างอบอุ่น มันมากพอที่จะทำให้หน้าฉันแดงระรื่น เขาคุกเข่าลงแล้วยื่นกล่องแดงกำมะหยี่มาข้างหน้าเล็กน้อย นานามิพลิ้วปากอย่างไม่น่าเชื่อ รันเนอร์ที่เมามายพอได้เห็นกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เริ่มตื่นปีนบนเคาเตอร์ตะโกนบอกทุกคน
“เฮ!!! ทุกๆ คน! มี...คน...กำลัง...จะขอแต่งงาน...สาว...ตรง...นี้! โฮะ...โฮะ…โอ้ว โลกหมุนเองหรอเนี่ย...”
แล้วรันเนอร์ก็เอนตัวจะร่วงลงพื้นแต่นานามิรับได้ทัน เพลงที่เปิดให้ฟังดับลง ทุกๆ คนต่างมองทางฉันและอาติกะยิ่งทำให้ความเขินอายที่มีอยู่พุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ฝ่ายชายตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แต่งงานกับผมด้วยเถอะครับ! เบบี้!”
ชื่อเรียกเฉพาะที่ไว้เรียกกันแค่สองคนแต่กลับพูดให้ทุกๆ คนได้ยินแทบทำให้ฉันลมจับ แต่ก็ยังประคองสติไว้อยู่ นานามิที่แบกร่างรันเนอร์พลิ้วปาก
“อ๋อ...ถึงขั้นเรียกกันแบบนั้นแล้วหรอเนี่ย งืม...ไวนะเพื่อนฉัน”
“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ!”
ฉันรีบบอกเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดแล้วหันกลับมามองอาติกะที่คุกเข่าก้มหน้ายื่นกล่องแดงกำมะหยี่...และเขาก็นิ่งอยู่แบบนั้นอยู่สิบวินาทีจนมีคนพูดขัด
“เฮ้ยๆ อาติกะ เปิดกล่องแล้วสวมแหวนนิ้วนางเพื่อนฉันสักทีดิ!”
นานามิบอกแบบนั้นเสร็จ คนรอบข้างต่างพากันร้องเจี๊ยวจ๊าวส่งแรงเชียร์...อาติกะเอ่ยบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
“คือ...อยากให้เธอเป็นคนเปิดดูมันเองครับ! เดี๋ยวผมจะสวมให้เอง!”
เรื่องแปลกๆ ที่เขาเอ่ยมาก็สมกับเป็นเขา ฉันลุกขึ้นแล้วเข้าใกล้กล่องแดงกำมะหยี่แล้วใช้มือทั้งสองคนบรรจบจับกล่องแล้วค่อยๆ เปิดมันออก...แต่สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ในกล่องนั้นมันเป็นลูกตาสีแดงของมนุษย์สดๆ
นัยน์ตาสีแดง...
“ว๊าย!”
ฉันตกใจปัดทั้งกล่องทิ้งไป เสียงดังกระทบพื้นช่างดังชัดเจนเพราะทุกคนต่างเงียบกันหมด...แต่ความเงียบนั้นช่างสยดสยองเพราะใบหน้าคนที่มองมุงดูกลับไม่มีตา จมูกและปาก
“เอ่อ...ทุกคน...ล้อกันเล่น...ใช่ไหม”
ไม่มีใครตอบ...
“อย่าแกล้งฉันแบบนี้สิ!”
ก็ยังไม่มีใครตอบ...
“มันไม่ตลกนะ! ช่วยหยุด---อ๊าก!”
จู่ๆ เหมือนมีของแข็งฟาดเข้าที่หลังศีรษะทำให้ฉันล้มลงไปนอนอยู่ใกล้ๆ อาติกะที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้า ฉันที่มึนงงจนภาพเบลอพยายามเพ่งมองใบหน้าของคนเป็นแฟน...เขาต่างจากคนอื่นตรงที่มีรอยยิ้มที่ฉีกกว้างเกือบทั้งหน้าจนน่าสยองขวัญ ฉันใช้เท้าถีบเขาออกไป
“เฟลิกซ์...เธอนี่มันใจเสาะจริงๆ”
เสียงของนานามิที่ฉันรู้สึกเหมือนมีแสงสวรรค์มาโปรดแต่พอหันไปมองเธอดีๆ แล้ว...ใบหน้าเธอหายไปทั้งหมดเหลือแต่รอยยิ้มน่าสยดสยองเหมือนกับอาติกะและในมือถือเก้าอี้ที่ใช้ฟาดหัวฉันก่อนหน้านี้
“นานามิ...เธอหยอกฉันแรงไปแล้วนะ!”
“อย่ามาละเหม่อยัยโง่! เธอทำให้เด็กคนนั้นต้องตายไม่ใช่หรือไง...เพราะเธอไม่กล้ามากพอ...ทั้งๆ ที่ช่วยไว้ได้!”
นานามิที่มีแต่รอยยิ้มเค้นเสียงด้วยอารมณ์โกรธสุดแรงเกิด ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงใครเลยพึมพำออกไป
“อันนา...อ๊าก!”
จู่ๆ อาติกะเข้ามาบีบคอฉัน ทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างเริ่มกู่เข้ามาและได้ยินเสียงนานามิสาปแช่งไปด้วย
“เฟลิกซ์! เธอต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองก่อไว้! ถึงจะหนีไปโลกอื่นมิติอื่นพวกเราทุกๆ คนก็จะตามไปกระชากหัวเธอ! และจะมอบความตายที่แสนทรมานให้เธอไม่รู้ลืมเลยล่ะ! ฮ่าๆๆๆ!!!”
เสียงหัวเราะของเพื่อนสนิทดังก้องในหัวเราะ คนที่เธอรักที่สุดกำลังบีบคอให้ขาดอากาศตาย ทุกคนรอบข้างต่างเข้ามาทำร้ายตัวฉัน...
บางที...นี่เป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ...แล้วสินะ
“พวกแกถอยไปให้หมด!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
รันเนอร์ที่น่าจะเมาไม่ได้สติกลับใช้ปืนกระบอกขาวพกคู่ไล่ยิงทุกๆ คนจนล้มระเนระนาด เธอเดินมาเข้าใกล้อยู่ข้างกาย...ยังดีที่ใบหน้าของรันเนอร์ยังมีอวัยวะครบทุกประการ
“ขะขอบคุณนะ...ที่ชะ---”
“เฟลิกซ์...เธอน่ะ ตื่นได้แล้ว”
หา!?
รันเนอร์เอ่ยบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจแล้วเอาปืนพกคู่มาจ่อหัวเตรียมลั่นไก
“เธอตื่นได้แล้ว!!!”
ปัง!!
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.5 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ในที่สุดแขนซ้ายของเฟลิกซ์ก็ขยับได้สักที! (แต่ของปลอมนี่มันยังไงหว่า?)
แต่ดันไม่พ้นเคราะห์ก็ร่วงลงไปเกือบตายอีกรอบถ้าไม่ได้นกของยูกะมาช่วยไว้ ซึ่งเฟลิกซ์เข้าใจว่าเป็นนกของเอลด้าซะงั้น!
แล้วด้วยความซวยของนางวิ่งไปตกบ่อน้ำลึกจนจมน้ำเหมือนกับโลกที่แล้ว...ยังดีที่มีใครไม่รู้ช่วยเธอไว้
แต่ความฝันย้อนหลังความจำสิบกว่าปีก่อนทำไมถึงทำร้ายเฟลิกซ์ขนาดนั้นล่ะ?
เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับอันนากันแน่?
แล้วเรื่องราวบทใหม่ของทั้งสามคน รอน, บาร์เบสและคิรินซังที่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นกับโซล นักโบราณคดีที่สถาบันนิวส์ไลพ์ที่ถูกอะไรบางอย่างทำให้หายไปแต่ก็ยังเหลือข้อความปริศนาที่หายไปเกือบหมดทิ้งไว้ให้พวกเขาตามหา
และแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป?
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งหลัง
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งแรก
◊◊◊
“เจ้านี่ตายไวซะจริง”
เสียงนางฟ้าอ่อนหวานดังก้องหู ทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ขาวโพลนรอบตัวและพื้นเป็นตารางหินอ่อนทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงปลุกนั้นยังคงดังก้องไปทั่ว
“แบบนี้ทำให้พระเจ้าผิดหวังเอาง่ายๆ”
“เอลด้า...”
ฉันเอ่ยชื่อเจ้าของเสียงนั้น
ตายจริงๆ สินะ
“ใช่ เจ้าตายแล้วจากการตกขอบโลก”
เอลด้าที่สามารถอ่านใจพูดย้ำให้ชัดเจนและเสนอบางสิ่งที่น่าสนใจ
“มีประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินจากมนุษย์...คนเราควรได้รับโอกาสที่สองจริงไหม?”
“โอกาสที่สอง? ไม่ล่ะ ฉันไม่ต้องการมัน...เหนื่อยล่ะสำหรับการมีชีวิตอยู่”
ฉันปฏิเสธโดยทันทีด้วยอารมณ์ที่อ่อนล้า เอลด้าทำเสียงไม่ชอบใจ
“เฮ้อ...ไม่ลองพยายามสักหน่อยหรือ?”
“ไม่ล่ะ”
“การมีชีวิตมันสนุกนะ ได้ทำหลายๆ อย่าง”
“ฉันทำมามากพอล่ะ”
“เจ้านี่มัน...”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเธอเหมือนกลั้นอารมณ์โกรธไว้อย่างมากแต่ก็ไม่แคร์หรอกว่านางฟ้าจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ฉันพูด…
จนกระทั่งความต้องการที่แท้จริงปรากฏขึ้นมา
“เฮ้อ ยอมใจเจ้าเลย...ถึงอย่างงั้นเจ้าก็ขัดประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้หรอก”
“จะพูดอะไร?”
“พระเจ้ามีบัญชาให้เจ้ามีชีวิตต่อไป...เดี๋ยวเราจะช่วยย้อนเวลากลับไปล่ะกัน อย่าไปตายง่ายๆ อีกล่ะ และเอาหินคริสตัลยัดใส่แขนตัวเองด้วย...ถึงมันเป็นจะเป็นของปลอมก็เหอะแต่ก็มีมานาพอใช้ได้”
พอเอลด้าพูดถึงเรื่องหินคริสตัลทำให้ฉันนึกอะไรออกแล้วโทษตัวเอง
เราก็ได้หินนั่นมาแล้วนี่หว่า แล้วทำไมตอนนั้นลองใส่แขนก่อนที่จะตกลงไป...
หือ? ของปลอม...
“ของปลอม!? เธอว่าอะไรของปลอมนะ!?”
“จงเอาตัวรอดให้ได้ล่ะ อย่าทำตัวสมเพชให้เราสังเวชเจ้าอีก”
“เฮ้ยเดี๋ยว! บอกฉันเรื่องนั้นก่อน!”
และแล้วทุกอย่างก็สว่างขาวจนแสบตาอีกครั้ง...พอรู้สึกว่าแสงมันหายไปเลยเอาแขนที่ป้องหน้าลงเลยรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนกลางสะพานแขวนที่เดิมและอยู่ในสภาพดีอยู่
ย้อนเวลากลับมาตรงนี้เนี่ยนะ!?
ทันใดนั้นมีแสงสว่างลุกโชนจากข้างหลังพอหันไปดูเป็นธนูไฟปักเข้าที่เชือกที่รั้งสะพานไว้อยู่...ระหว่างนั้นนึกถึงเรื่องที่เอลด้าพูดไว้หยิบหินคริสตัลสีรุ้งขึ้นมายัดใส่ช่องว่างต้นแขนซ้ายแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้า ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายวันกับแขนซ้ายที่เริ่มขยับได้มันถาโถมเข้ามาในหัวอย่างมากมาย
แขนฉันขยับได้แล้ว!!
ดีใจได้พักเดียวเชือกที่รั้งสะพานไว้ขาดสะบั้นลง ฉันที่รู้ล่วงหน้าใช้มือขวาจับตัวสะพานไว้ พอมันเหวี่ยงกระแทกกับหน้าผาก็ใช้มือซ้ายจักรกลที่เพิ่งใช้ได้การจับที่สะพาน...
แต่ดูเหมือนว่าทั้งแขนซ้ายมันมีแรงมากเกินไป มือซ้ายที่ควรจับตัวทางเดินสะพานกลายเป็นไปพังแทนแล้วปักเอาที่หินหน้าผา
หือ? มันเจาะหน้าผาจนเกาะได้...สบายล่ะ!
พอคิดแบบนั้นได้ก็เริ่มทำการปีนขึ้น แต่เมื่อเห็นมีลูกธนูติดไฟกำลังเผาตัวรั้งสะพานบนตัวเลยรีบไต่หน้าผาไปทางด้านข้างแทนเพื่อหลบสะพานที่จะร่วงใส่หัว
เกือบไปแล้ว...เฮ้ย!
เหล่าลูกธนูติดไฟถูกยิงมาใกล้ตัวอีกทำให้ได้สติรีบปีนขึ้นอย่างว่องไวเท่าที่จะทำได้
อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียว!
“ว๊าก!”
ฉันร้องแบบนั้นเพราะมีลูกธนูติดไฟถูกยิงมาปักใกล้หน้า...และมือทั้งสองเผลอดีดีตัวออกตัวหงายหน้าร่วงลงไป
ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!
...
......
........
อะไรมารั้งคอฉันเนี่ย!?
พอลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศที่อยู่ต่ำกว่าระดับสะพานที่เคยมีอยู่พอสมควร เงากระพือปีกของนกใหญ่ทำให้ต้องหันหลังไปมอง...มันเป็นนกอินทรีย์ที่ตัวใหญ่พอควรและรอบตัวมันมีออร่าสีฟ้าอยู่ ที่ปากของมันคาบชุดที่ฉันสวมอยู่
นก...ใช่...นก
ฉันอึ่งกิมกี่อยู่นานสองนาน มันพาฉันปีกสูงขึ้นแล้วปล่อยลงอีกฝั่งของสะพานที่ต้องการข้ามมาแล้วมันก็บินจากไปทางแค้มป์เอลฟ์
นกนั่นของเอลด้านางฟ้าแน่ๆ ที่ไม่อยากให้ฉัน---
ยังคิดต่อไม่ทันจบ มีลูกธนูจากหอคอยไม้ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งข้างบนใกล้ๆ แม่น้ำคริสตัลยิงมาใส่แต่ไม่โดน ฉันรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าต่อไปจนเจอทางเข้าถ้ำ
น่าจะพ้นแล้ว...แต่ต้องไปให้ไกลกว่านี้อีก!
พอวิ่งเข้าลึกไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นว่าสิ่งที่ผุดอยู่รอบๆ ถ้ำเป็นก้อนหินใสสีฟ้าจางบ้างเข้มบ้างหลายขนาดมีอยู่เต็มไปหมด
สวยแฮะ...
แต่ความงดงามนั้นไม่ทำให้เท้าหยุดวิ่งได้ แขนซ้ายที่เพิ่งขยับได้ลองแกว่งขึ้นลงไปมา
เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษมั้ง...มันขยับได้ก็ดีขนาด---
“เฮ้----!!”
เพราะไม่มองทางข้างหน้าเลยตกลงอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหนเพราะร่างฉันจมลงเรื่อยๆ พยายามว่ายขึ้นก็ไม่มีทีทางจะช่วยให้พ้นน้ำเลย มันทำให้นึกถึงชะตากรรมเก่าที่โลกเดิม
ไม่ๆๆๆๆๆๆ ฉันจะตายเหมือนโลกเดิมงั้นหรอ!! จมน้ำ...เนี่ย...นะ
ภาพในตาที่เห็นเริ่มมืดลง ร่างกายเริ่มไม่ฟังที่สั่ง...ทันใดนั้นฉันเห็นผิวน้ำบนหัวแตกกระจายแล้วมีมือของใครบางคนยื่นมาจับแขนซ้ายที่เป็นจักรกลไว้...เขาเริ่มลากฉันขึ้นไป
ใครน่ะ...
และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้สติ
◊◊◊
“ดีมาก...ฟิล”
ยูกะลูบหัวนกอินทรีย์ของตัวเองที่เพิ่งกลับมาจากทำสิ่งที่เธอสั่งมันไป...คือการไปช่วยทั้งสองคนนั้น...ถึงแม้ว่าฟิลจะช่วยได้คนเดียวก็ตาม
“เอาล่ะ...เธอกลับไปพักได้แล้ว”
ว่าแบบนั้นไป เจ้านกอินทรีย์ที่แสนรู้ใจก็บินจากไป...ตอนนี้ยูกะอยู่ข้างหลังเต็นท์พยาบาลที่สอง เธอหยิบหินคริสตัลสีรุ้งขึ้นดูอีกครั้งก่อนที่จะเก็บแล้วเดินกลับเข้าเต็นท์ พอดีมีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
“ท่านยูกะขอรับ! ท่านแม่ทัพให้มาตามไปช่วยใช้เวทย์ซ่อมสะพานตรงน้ำตกหน่อยครับแล้วเข้าร่วมหน่วยตามล่าเดียวกันกับท่านแม่ทัพด้วยครับ!”
“จ๊ะ เดี๋ยวตามไป”
เมื่อทหารเอลฟ์ได้ยินเช่นนั้นก็ถอยออกจากเต็นท์ไป ยูกะทำหน้าเหมือนไม่เต็มใจอยากจะทำ เธอเดินตรงไปตู้ยาแล้วหยิบขวดยาที่ซ่อนอยู่ข้างในสุดของชั้นสอง มีลงหมึกเขียนข้างขวดว่า [ยาอันตรายใช้เฉพาะทาง]
คนที่ใช้เวทย์ค้นหาเฉพาะทางได้...มีแต่ฉันเท่านั้น
เอ่อ...ว่าแต่ทำไมท่านริสถึงไม่ให้ฉันใช้เวทย์นั้นช่วยค้นหาตั้งแต่ทีแรก?
ช่างเถอะ...ถ้าอย่างงั้นต้องทำให้ใช้การไม่ได้ชั่วคราว
เฮ้อ...ไม่อยากใช้ยาป่วยการเมืองนี่เลย
และแล้วการล้มป่วยของนักเวทย์คนสำคัญในแค้มป์ทำให้การล่าตัวเฟลิกซ์ล่าช้าออกไป
◊◊◊
[ชุมชนเมืองรอบนอกเขตศึกษานิวส์ไลฟ์ทางใต้]
“เฮ! รอน!”
เสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนดังจากในหมู่คนที่เดินพลุกพล่าน เขานัดเพื่อนที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้างล่างเขาเอง เจ้าตัวคนทักเดินเข้ามาใกล้ถึงเห็นดวงตาสีทองที่แฝงไปด้วยความขี้เล่นเข้ากับผมทองสั้นของเขาอยู่ มาในชุดเช่นเดียวกับเขา...มันเป็นชุดของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในสถาบันนิวส์ไลฟ์ ซึ่งสถาบันนิวส์ไลฟ์จะแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ๆ ก็คือเขตศึกษาที่เป็นวงในสุดและวงนอกคือชุมชนเมือง ส่วนชุดที่พวกเขาใส่นั้นมีเกราะเบาติดอยู่หน้าอกยาวถึงท้อง ตามข้อศอกทั้งแขนและขวาและชุดข้างในเป็นลายสีส้มสลับขาว
และดูเหมือนว่าเพื่อนที่ทักเมื่อครู่จะใส่ชุดเกราะมาไม่ครบเซตเลยถาม
“แกลืมสนับศอกซ้ายอีกแล้วหรือไง?”
“เหอะ ครั้งก่อนนึกว่าลืม...ไปๆ มาๆ หาไม่เจอไม่รู้ไปอยู่ไหน”
“ลืมไว้ที่ร้านออริน่าแน่ๆ”
พอเขาพูดชื่อร้านนั้นออกไปก็โดนหรี่ตาไม่พอใจใส่
“ทำไมนายต้องพูดชื่อร้านนั้นอยู่เรื่อย...นายชอบสาวเสิร์ฟใช่ไหม”
“ไม่ต้องทำเป็นเฉไฉ...แกมันอ่านทางโคตรง่ายเลยวะ” รอนว่าตามนิสัยพื้นเพของเพื่อน “และควรคิดออกได้แล้วว่าแกชอบถอดสนับศอกไว้ที่ร้านนั่นเป็นประจำ คงอยู่ที่นั่นแหละ”
“เหอะ...ไม่มี”
“หือ?” รอนขมวดคิ้ว “แล้วเอาไปไว้ไหน”
“ช่างมันเหอะ เดี๋ยวจัดการเอง...นายรู้ข่าวเรื่องผู้กล้ามาตามคำทำนายไหม?”
จู่ๆ เพื่อนของเขาก็เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย แต่ก็ยอมเล่นตามเพราะไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องสนับศอกต่อไปทำไม
“คำทำนาย!? บาร์เบส...คนอย่างแกสนใจเรื่องพรรคนั้นด้วย?”
“บ๊ะ! เป็นหัวข้อสนทนายอดฮิตเลยนะโว้ย” บาร์เบสเท้าเอว “ข่าวม้าด่วนล่าสุดบอกว่ามาตามทำคำนาย...แต่ดันมีลักษณะไม่ตรงตามที่ทายไว้”
“แล้ว...ที่ทายไว้มันยังไง?”
“พวกโบสถ์เฟธบอกเป็นชายผู้กล้าหาญมาพร้อมดาบอาญาศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหายไปตอนสงครามปราบจอมมารสองร้อยปีก่อน ฝั่งเอลฟ์ก็ว่าเป็นชายเอลฟ์ชั้นสูงผู้มาโปรด...แต่คนที่โผล่มานี่สิได้ยินว่าเป็นไซบอร์กผู้หญิงตั้งแต่แรกเลย”
พอรอนได้ยินแบบนั้นแล้วนึกอะไรในชั่วโมงเรียนออก
“คุ้นๆ...อาจารย์แชปปิ้นเคยบอกว่ามนุษย์ที่กลายเป็นไซบอร์กมักเป็นพวกที่สูญเสียอวัยวะไม่หรือไง ตั้งแต่กำเนิดไม่เคยได้ยิน”
“ก็นั่นแหละเลยทำให้สงครามสองฝ่ายอีกเดือดกว่าเดิมอีก พากันโยนความผิดว่า ‘เป็นเพราะแกนั่นแหละ ใช้เวทย์สาปแช่ง บลาๆๆๆๆๆๆ’ ศึกชิงเกทตรงกลางแม่น้ำคริสตัลเลยยื้ออีกยาวแน่ๆ”
พอเห็นท่าทางบาร์เบสใส่อารมณ์เลียนเสียงล้อใครบางคนก็รู้สึกเกลียดขึ้นมา...แต่มีเรื่องอื่นอยากจะรู้มากกว่าจัดการอารมณ์เกลียดนั้น
“แล้ว...ไซบอร์กนั่นเป็นยังไง?”
“เห็นว่ามีคนชิงตัวไปนะ ไม่รู้ฝ่ายไหน น่าจะเป็นอาณาจักรนิวส์ไลฟ์...เฮ้ย สถาบันนิวส์ไลฟ์ของที่นี่แหละ”
บาร์เบสที่เผลอหลุดชื่อเรียกดั้งเดิมของสถาบันนิวส์ไลฟ์ นั่นก็คืออาณาจักรนิวส์ไลฟ์ ซึ่งรอนเข้าใจอยู่ว่าเพิ่งมีมาตรการเปลี่ยนแปลงระบบเมืองใหม่เลยทำให้ชื่อเรียกเก่านั้นยังคงชินปากใครหลายคน…
แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญกับเรื่องที่สนทนากันอยู่ รอนถอนหายใจ
“นึกว่าแกรู้เรื่องมากกว่านี้ซะอีก”
“นี่ก็มากโขแล้วนะเพื่อนยาก...แล้วเรียกฉันมานี่ทำไม?” บาร์เบสกลับเข้าเรื่อง
“คดีแปลกประหลาดที่บ้านหลังนี้ ช่วยกันเคลียร์หน่อย”
รอนชี้นิ้วโป้งไปข้างหลังที่เป็นบ้านสองชั้นซึ่งโดยรอบข้างมีบ้านอื่นๆ ติดอยู่นับเป็นชุมชนที่แออัดพอสมควร...แต่บ้านหลังนี้ต่างจากหลังอื่นตรงที่มีออร่าสีฟ้าครอบคลุมทั้งหลังเพื่อรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ไม่ให้คนนอกเข้าไป
รอนที่เห็นบ้านหลังนั้นแล้วสะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย! นี่มันบ้านท่านประธานชมรมโบราณคดีนี่หว่า!?”
“อ้าว!? แกรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วย? คงเป็นข่าวร้ายสำหรับแกแล้วล่ะ”
รอนพูดถึงสิ่งที่รับรู้ก่อนมาที่นี่ ท่าทางทีเล่นทีจริงของบาร์เบสหายไป
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านโซล”
“เข้าไปดูด้วยกันเลย เอ่อ...ที่จริงตะกี้ลองเข้าไปคนเดียวดูนิดหน่อยแล้ว...คือมัน...แกน่าจะไปเห็นเองดีกว่า...มันบอกไม่ถูก”
รอนพูดเสร็จเดินนำไปยังหน้าประตูบ้าน เขาหยิบตราทรงหกเหลี่ยมบางอย่างยื่นแตะที่ตัวประตูบ้านทำให้ออร่าตรงประตูหายไป พวกเขาทั้งสองต่างเดินเข้ามาพบกับทางขึ้นบันไดตรงหน้าริมซ้ายและทางริมขวาตรงเข้าไปบางห้อง ซึ่งสภาพบ้านตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ รอนลากตัวบาร์เบสขึ้นชั้นสองคนแล้วเดินเลี้ยวทางซ้าย ซึ่งทำให้บาร์เบสตะลึงเพราะเขาจำได้ว่าสุดทางเดินนี้มันต้องมีห้องของคนที่รู้จักที่เป็นนักโบราณคดี แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือเศษซากกระจัดกระจายและตั้งแต่เพดานลงมายันครึ่งห้องมันหายไปราวกับว่าถูกกระชากไปและที่น่าแปลกใจสุดๆ ก็คือมันเป็นเฉพาะห้องนั้นห้องเดียว ส่วนอื่นของตัวบ้านไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
“รอน...นี่มันบ้าอะไร”
บาร์เบสที่เสียศูนย์ถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี
“เมื่อคืนที่ป้อมยามที่เจ็ดแจ้งมาว่าเมื่อคืนมีคนได้ยินเสียงคล้ายเวทมนต์ระเบิดขึ้น...เมียกับลูกบุญธรรมของเขาปลอดภัยดีเลยให้พวกเขาไปอาศัยที่ปลอดภัยแล้ว แต่...คนที่แกคิด...เหลือแค่ขาขวาไว้ดูต่างหน้า”
รอนพูดแล้วเอามือวางไว้บนบ่าของบาร์เบสหวังปลอบใจแล้วพูดต่อไป
“มันคงดีกว่านี้ถ้าพวกรุ่นพี่ปีห้าขึ้นไปมาดูด้วยตัวเอง แต่---”
“พวกรุ่นพี่ทั้งหมด...ไปช่วยคนที่ลี้ภัยสงครามนอกเมืองอยู่” บาร์เบสที่พอทำใจได้แล้วว่าตามเหตุผล
“อือใช่...งานนี้พวกเราปีสามต้องลุยกันเอง ถึงจะพูดแบบนั้น...ปีสามที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลแถวนี้เหมือนกันมีอยู่กันแค่ไม่กี่คน”
รอนกล่าวอย่างท้อแท้ก่อนที่ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจดูสภาพในห้องอย่างละเอียด แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าห้องไป พวกเขาได้ยินเสียงผู้หญิงจำนวนมากร้องกรี๊ดอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่มองหน้ากันเองเหมือนรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย พวกเขาเดินกลับไปยังทางเดิมแต่ไม่ลงบันได เดินเลยไปเปิดประตูที่ไปยังระเบียงชั้นสองหน้าบ้านแทน สิ่งที่ทั้งคู่เห็น ณ เบื้องล่างนั้นเหล่าสาวๆ มากมายหลายตารูปร่างสูงใหญ่มาครบกำลังล้อมวงชายคนหนึ่งที่ยืนเก๊กทำตัวเป็นเจ้าชายอยู่กลางกลุ่ม ไว้ผมดำสั้นหน้าตาขาวใสและดูนิ่มนวลจนดูเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำมองรอบข้างอย่างมีความสุข ชุดที่ใส่เหมือนกับบาร์เบสและรอนทุกประการและเขาคนนั้นเริ่มโปรยเสน่ห์อย่างเคยตัว
“โอะโอ้ ทำไมถึงมีเจ้าหญิงมากมายมาอยู่รอบตัวข้าละครับนี่?”
แน่นอนว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นหัวใจสาวๆ รอบตัวร้องกรี๊ดกร๊าด
“คิรินซัง! เจ้าหน้าละอ่อนนั่น! ทำไมต้องเป็นมันด้วย!”
บาร์เบสที่ลืมเรื่องคดีร้องโวยไม่พอใจ รอนยิ้มเหยาะ
“แต่เจ้านั่นไม่ได้เป็นพวกสมบูรณ์แบบ...เป็นพวกปฏิเสธใครไม่เป็น”
“แล้ว?”
บาร์เบสทวนแล้วรอนผงกหน้าให้มองดูคิรินซังที่เริ่มมีสาวบุกเข้าประชิดตัวและความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้น
“เจ้าชายซามะ! ช่วยรับข้าวกล่องที่ดิฉันสุดหัวใจนี่ด้วยเถอะค่ะ”
“อ่าครับ”
“ท่านเจ้าชาย! รับช่อดอกไม้นี้ด้วยค่ะ!”
“สวยมากครับ”
“เจ้าชายข๊า! เจ้าชายต้องแต่งงานกับฉันแต่เพียงผู้เดียวนะคะ!”
“คะครับ---หา!”
“ท่านเจ้าชายเป็นของฉันแล้ว!”
“ดะเดี๋ยว!”
“ยัยบ้านี่! องค์ชายเป็นของฉันนะ!”
“ฉันต่างหากล่ะ!”
“ของฉัน! ของฉัน! ของฉัน!”
มหกรรมฝูงซอมบี้ไล่ตบกันเองจึงเกิดขึ้น...จังหวะนั้นคิรินซังมองมาทั้งสองคนบนระเบียงพอดี
“บาร์เบส! รอน! ขอเข้าไปหาพวกนายนะ!”
คิรินซังไม่พูดเปล่าเดินมายังหน้าบ้านโดยมีสาวๆ เกือบร้อยชีวิตตามติดไม่ห่างโดยยังมีศึกไล่ตบกันเองดำเนินอยู่ด้วย
“เวรล่ะ” บาร์เบสอุทาน “บ้านนี้พังแน่ๆ!”
“ไม่หรอก ลืมแล้วหรือไงว่าบ้านมันมีเวทย์คุ้มครองอยู่”
“เจ้าหน้าอ่อนนั่นจะพาพวกสาวเข้ามาด้วยล่ะสิ!”
บาร์เบสกังวลสุดขีด แต่แล้วมีเสียงข้างล่างดังขึ้นมา
“เฮ! เราเข้าไม่ได้! พวกนายมาเปิดให้หน่อยได้ไหม”
“หือ!? ใช้ตรานั่นไม่ได้หรือไง?”
“อ๋อ เครื่องประดับห่วยๆ นั่นไม่พกให้หนักหรอก”
“เฮ้อ”
ทั้งสองคนที่อยู่บนระเบียงถอนหายใจพร้อมกัน...รอนตบไหล่เพื่อน
“นี่ ไปเอาตัวมันเข้ามา...เอาแค่มันคนเดียวนะ เดี๋ยวจะล่อพวกผู้หญิงไว้ให้เอง”
บาร์เบสได้ยินแบบนั้นแล้วมองบนฟ้าแต่ก็ทำตามแต่โดยดีเดินกลับเข้าบ้านไป เขาสูดลมหายใจหนักแล้วตะโกนผู้หญิงทุกคน
“เฮ!!! พวกเธอโง่หรือไง!?”
“หา!?”
หลายเสียงร้องพร้อมกัน
“เธอคิดว่าเจ้าชายของพวกเธออยู่ตรงหน้าจริงงั้นเหรอ...รู้จักเวทย์สร้างภาพหลอนไหม? เจ้าชายใช้มันหนีไปทางตอกซ้ายมือไปทางอนุสาวรีย์แล้ว!”
เมื่อสาวๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างมองลงมาที่ๆ เจ้าชายของพวกเธอน่าจะอยู่หน้าบ้านข้างหน้ากลับไม่อยู่แล้วเลยพากันวิ่งไปตามทางที่รอนบอก ซึ่งความจริงแล้วบาร์เบสใช้จังหวะที่พวกผู้หญิงกำลังสนใจรอนพูดอยู่ดึงตัวคิรินซังเข้ามาแล้วผนึกเวทย์กลับคืนเหมือนเดิม
“มีแต่เรื่องวุ่นวาย”
รอนบ่นแล้วเดินกลับเข้าบ้าน บาร์เบสกำลังพาคิรินซังขึ้นมาชั้นสองพอดีซึ่งเจ้าตัวกำลังพูดขอบใจ
“โอ้ว ขอบใจมากๆ เลยที่ชะ---”
รอนกระชากเสื้อยกตัวคิรินซังลอยขึ้นแล้วดันติดกำแพงไม้
“เฮ้ย! แกน่ะ...น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไงว่าหน้าที่ตัวเองตอนนี้ควรทำอะไร!”
“ใจเย็นก่อนรอน” บาร์เบสปลอบ
“ไม่เย็นโว้ย!” รอนปฏิเสธเสียงแข็ง “แกก็น่าจะรู้ดีนี่หว่า พื้นนี้แถวนี้เหลือแค่เราสามคนที่ต้องช่วยกันดูแลตลอดทั้งเดือนนี้! อยากให้พวกรุ่นพี่กลับมาเห็นความล้มเหลวที่ต้องดูแลความสงบแถวนี้หรือยังไง!”
“ดะเดี๋ยวเซ่!” คิรินซังพยายามดิ้น “ข้าก็เดินลาดตระเวนตามตารางอยู่นะ! แต่พวกผู้หญิงนั้นตามตื้อไม่ปล่อยเลย!”
“แล้วแกทำไมไม่ไล่พวกนั้นไป!?”
“ไล่แล้ว! นายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ? ว่าพวกผู้หญิงนั่นฟังซะที่ไหน! ถึงขอร้องอยู่หลายวันแล้วว่าอยากทำงานอยู่ในเขตศึกษาของสถาบัน ไม่ก็คอยรับเรื่องอยู่ป้อมยามประจำการของพวกเราก็ได้!”
เมื่อคิรินซังพูดจบ รอนช่างใจอยู่สักพักก็ปล่อยตัวเขาลง
“เรื่องนั้นค่อยไปคุยกับหัวหน้าพร้อมกัน...ตอนนี้นายต้องช่วยคดีประหลาดบ้านนี้ก่อน”
“คดี!?”
“มีบางอย่างที่อยากให้ทั้งสองคนช่วยหน่อย”
รอนเดินนำพากลับเข้าห้องที่ถูกระเบิดหายไปครึ่งห้องส่วนบน คิรินซังที่เพิ่งเห็นครั้งแรกเลยออกอาการเหวออย่างเห็นได้เช่น รอนเดินไปยังตรงมุมห้องที่มีโต๊ะหักอยู่และกล่องเหล็กที่เปิดไม่ออก บาร์เบสเห็นแล้วบอกข้อมูลบางอย่าง
“กล่องนี่มัน...ที่ท่านโซลเคยบอกว่าเป็นของอาจารย์ลัคกี้นี่หว่า?”
“กล่องนั้นหรือ? ที่อยากให้ช่วยเปิด”
คิรินซังเดาอย่างงั้นแต่รอนส่ายหัวแล้วชี้ไปทางกำแพงบ้านที่เป็นไม้ทางซ้ายใกล้มือและใกล้โต๊ะแทน
“ตรงนั้นที่มีรอยสลัก...อยากรู้ว่ามันคืออะไร ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นไดอิ้งเมสเสจของเขาก็ได้”
(Hint)
“นี่มันลายมือโซลจริงๆ” บาร์เบสที่เคยทำงานใกล้ชิดผู้เคราะห์เอ่ย “แต่ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ? ว่าเป็นข้อความก่อนตาย”
“ดูสิ มีมีดตกอยู่ใกล้ๆ ที่น่าจะใช้แกะสลัก” รอนว่า “บาร์เบส...นายพอตรวจสอบได้ไหมว่าไดอิ้งเมสเสจนั่นมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ใช่ไหม? นายน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้”
เมื่อบาร์เบสได้ยินแบบนั้นแล้วเอามือลูบที่ไดอิ้งเมสเสจแล้วพยักหน้า
“ใช่...รอยยังใหม่ๆ อยู่เลย”
“แล้ว...มันเขียนว่ายังไง? ดูแทบไม่ออกเลยนะนั่น”
คิรินซังออกความเห็น ทั้งสามคนต่างยืนจ้องมันสักพัก บาร์เบสเอ่ยเป็นคนแรก
“น่าจะเป็นภาษาพื้นฐานล่ะครับ ท่านโซลมีลายมือค่อนข้างแย่อยู่แล้วยิ่งพยายามใช้มีดสลักเป็นข้อความเลยยิ่งดูไม่รู้เรื่อง”
“คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน...ที่แกะข้อความนี่”
รอนเอ่ยแบบนั้น…ทุกอย่างอยู่ในความเงียบเพราะทุกคนรู้ดีว่ามันขาดบางสิ่งบางอย่างไป บาร์เบสเป็นคนทำลายบรรยากาศด้วยการเอ่ยถึงคนต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้
“คิดถึงรุ่นพี่เรย์ลี่จัง”
“ถ้ามีเธอคงจะเฮฮากว่านี้...และได้เรื่องกว่านี้” รอนเสริม
“ยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้าสนใจด้วย”
คิรินซังเอ่ยความในใจแล้วทั้งสองคนหันมามองด้วยสีหน้าที่บอกว่า ‘ฝันไปเหอะ’ เจ้าตัวคนถูกมองรีบแก้ตัว
“ระ...รู้ตัวน่า! รุ่นพี่เรย์ลี่ไม่เห็นข้าเป็นผู้ชายที่น่าสนใจแม้แต่น้อย”
“ฮ่าๆๆ นึกว่าจะหลงตัวเองแบบโงหัวไม่ขึ้นซะอีก” บาร์เบสว่า “เกือบปีแล้วสินะที่รุ่นพี่เขาย้ายไปหน่วยตามหาเด็กใหม่นั่น”
ต่างคนต่างเพ้อถึงเพื่อนร่วมงามคนเก่าจนรอนที่เป็นคนที่พึ่งพาได้ที่สุดในตอนนี้ได้สติตบมือหนึ่งครั้งแล้วกล่าวขึ้น
“เอาล่ะ ถึงคดีนี้อาจจะยากเกินไปสำหรับพวกเราแต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเก็บหลักฐานและพยานไว้เท่าที่จะทำได้เพื่อรอให้มืออาชีพกลับมาไขคดี”
“งืม เห็นด้วย” บาร์เบสว่า
“คงต้องเป็นแบบนั้นครับ” คิรินซังเสริม
และแล้วพวกเขาก็เริ่มทำการสำรวจบ้านหลังนั้นทุกซอกทุกมุมตามหน้าที่ตนเอง
◊◊◊
ที่นี่มัน...บาร์ที่ฐานทัพนิ!?
ความประหลาดใจมีเต็มหัวไปหมดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาว่าฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้บาร์ทันเดอร์และบรรยากาศรอบๆ ด้วยเต็มไปด้วยคนใส่ชุดเกราะน้อยใหญ่ที่เธอจำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมหน่วยเดียวกัน
ทำไมฉัน...ถึงมาอยู่นี่ล่ะ?
“ชอบเหม่อประจำเลยนะเฟลิกซ์”
มีผู้หญิงทักเรียกซ้ายมือแล้วเดินถือแก้วช็อตเข้ามานั่งข้างๆ เธอไว้ผมสีม่วงยาวเลยบ่า นัยน์ตาสีเขียวมรกตอยู่ในชุดสีฟ้าแถบเหลืองที่เป็นชุดลำลองขององค์กรที่มีสัญลักษณ์ดาวสามดวง
นานามิ...เพื่อนสนิทของฉันเองและเธอก็บ่นตามนิสัยตัวเอง
“หัดสนใจหาผู้ชายมาดิ๊งสักคนไหมล่ะ แก้เหงาได้พริ๊บทิ้งเลยนะ ยิ่งพวกเราเพิ่งสิบแปดสิบเก้าเอง”
พอได้ยินแบบนั้น ฉันถึงกับบังอ๋อว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่นี่เพราะอะไร
ฉันเพิ่งทำภารกิจช่วยคนสำคัญคนหนึ่งพร้อมกับหน่วยรบที่มีนานามิเป็นหัวหน้าทีม
ใช่ๆ ฉันเพิ่งจะอายุสิบแปด...วัยรุ่นกำลังดีเลยล่ะ
และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งใช้พลังจิตถล่มทิ้งท้ายตามคำสั่งลับของท่านวิคตอเรีย
ระเบิดตูมตามน่าดูมากเลยล่ะ
ความรู้สึกสนุกสนานที่ได้ท้าทายสิ่งที่ยากแล่นพล่านไปทั้งตัวกลายเป็นความสุขที่ฉันได้รับ ก่อนที่จะซดแก้วเหล้าจนหมด
ส่วนเรื่องผู้ชาย...
“นานามิ เธอน่าจะรู้ดีสิว่าฉันคบกับใครอยู่”
“ฮ่าๆๆ หัดนอกใจหาความสนุกใส่ตัวบ้างสิ วัยรุ่นนะเฮ้ยวัยรุ่น”
นานามิเสนอเส้นทางที่ชวนให้พบเจอแต่เรื่องยุ่งยากก่อนที่จะมีคนที่สามเข้ามาเสริม
“โฮะโฮะ มิน่าไม่เคยเห็นท่านนานามิมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที...ขอเหมือนกับเฟลิกซ์หนึ่ง”
แก้วที่นานามิถืออยู่เกือบหลุดมือ ฉันหัวเราะแห้งๆ เพราะรู้ว่าเจ้าของเสียงเล็กแหลมนั้นเป็นใคร เธอสูงร้อยเจ็ดสิบสองไว้ผมชมพูหวานที่ยาวถึงต้นคอ นัยน์ตาสีม่วงอยู่ในชุดสีเหลืองน้ำเงินที่น้อยชิ้นเน้นความคล่องตัวที่ข้างเอวมีปืนพกสองกระบอกสีขาวเหน็บอยู่ เดินเข้ามานั่งข้างขวาฉันแล้วสั่งบาร์เทนเดอร์ นานามิยิ้มแสร้งแล้วบอกกับเธอ
“รันเนอร์...ถ้าเธอไม่ใช่หนึ่งในคนสำคัญของเฮฟเว่นพันนิชเชอร์ล่ะก็---”
“อย่าคิดให้เสียเวลาเลย โฮะโฮะ!”
พอได้ยินรันเนอร์โต้ตอบแบบนั้นฉันกุมหน้าท้องอดขำไม่ได้ ทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันประจำแต่ก็รักกันดี แต่แล้วกลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เอ่อล้นในจิตใจ
รู้สึกเหมือนฝันไปเลยแฮะ อย่างกับว่าเราผ่านเรื่องราวเวลานี้มาแล้ว...
“ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากให้เธอเข้าร่วมกับเฮฟเว่นพันนิชเชอร์นะเฟลิกซ์”
คำขอร้องที่แลดูจริงจังของรันเนอร์ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงว่าพวกเธอ...ฉันยิ้มตอบรับกลับไป
“เป็นหน่วยซัพพอร์ตดีกว่าค่ะ ไม่ถนัดออกบู๊แนวหน้าแบบนั้น”
“เถอะหน่า!” รันเนอร์กุมมือฉัน “เดี๋ยวฉันไปขอร้องเลขาธิการเองว่าให้เธอใช้พลังได้ตามใจชอบ!”
“รันเนอร์ อย่าพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สิ” นานามิว่า “ก็รู้อยู่ว่าเบื้องบนปิดบังพีทู (P.P.) ของเฟลิกซ์ไว้เป็นความลับขั้นสุดยอดขนาดไหน ขืนไปแนวหน้าความลับแตกหมดพอดี”
“ยังไงก็ต้องแตกสักวันอยู่แล้วหน่า ก็ให้มันแตกไวๆ จะได้หมดปัญหาไปเลย”
“จะมีแต่ปัญหาเพิ่มสิไม่ว่า”
ทั้งสองคนเริ่มเขม่นกัน แต่บาร์เทนเดอร์ที่ฉันเพิ่งสังเกตว่าเขาหัวโล้นและมีดวงตาสีฟ้าวางขวดเหล้ากระแทกให้เสียงดังเล็กน้อยเพื่อเป็นการหยุดทั้งสองคนแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ขอโทษนะพวกเธอ เรื่องความลุงความลับระดับสูงนี่ช่วยไปพูดกันที่อื่นจะได้ไหม ยืนอยู่ตรงนี่ได้ยินพวกเธอพูดเรื่องความลับกองทัพเป็นประจำ ไม่คิดสักหน่อยหรือครับว่าความลับจะรั่วเพราะผม?”
“โฮะโฮะ ถ้ามันรั่วไปเมื่อไรก็จะได้มีคนรับผิดชอบไงค่ะคุณลุง โฮะโฮะ”
รันเนอร์พูดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ บาร์เทนเดอร์พ่นลมไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเลยส่งแก้วช็อตหนึ่งให้รันเนอร์แบบพิเศษ
“งั้นขอจัดของแรงให้เธอเป็นพิเศษ”
“รู้ใจฉันดีนิ! โฮะโฮะ...อึก!”
รันเนอร์ตอบรับอย่างเย้อหยิ่งแล้วยกซดหมด...เธอสะอึกแล้วหันมามองหาฉันและนานามิด้วยแก้มแดงๆ ปากอ้าเหวอ
อ้าว...โดนซะแล้วรันเนอร์
“ลุง! จัดอะไรให้ยัยนั่นไป!?” นานามิถาม
“อยากลองไหม? ทั้งสองคน”
“ไม่ล่ะ”
“ไม่ดีกว่า”
ฉันกับนานามิตอบพร้อมกันแล้วเริ่มได้ยินรันเนอร์เพ้อคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยตามภาษาคนเมา พอพลันสายตามองไปยังข้างหน้าเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นมองแต่ฉัน...
อาติกะ
เขาเป็นผู้ชายที่ฉันคบเป็นแฟนกันอยู่ ผมสั้นดำนัยน์ตาดำ...ทุกๆ อย่างที่เป็นเขาดูเรียบๆ แต่มันทำให้หัวใจฉันหวั่นไหวเพราะเขาถือกล่องเล็กๆ สีแดงกำมะหยี่ ไซต์แบบนั้นมีสิ่งเดียวที่อยู่ข้างใน
“เฟลิกซ์...”
อาติกะเอ่ยสั้นๆ อย่างอบอุ่น มันมากพอที่จะทำให้หน้าฉันแดงระรื่น เขาคุกเข่าลงแล้วยื่นกล่องแดงกำมะหยี่มาข้างหน้าเล็กน้อย นานามิพลิ้วปากอย่างไม่น่าเชื่อ รันเนอร์ที่เมามายพอได้เห็นกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เริ่มตื่นปีนบนเคาเตอร์ตะโกนบอกทุกคน
“เฮ!!! ทุกๆ คน! มี...คน...กำลัง...จะขอแต่งงาน...สาว...ตรง...นี้! โฮะ...โฮะ…โอ้ว โลกหมุนเองหรอเนี่ย...”
แล้วรันเนอร์ก็เอนตัวจะร่วงลงพื้นแต่นานามิรับได้ทัน เพลงที่เปิดให้ฟังดับลง ทุกๆ คนต่างมองทางฉันและอาติกะยิ่งทำให้ความเขินอายที่มีอยู่พุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ฝ่ายชายตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แต่งงานกับผมด้วยเถอะครับ! เบบี้!”
ชื่อเรียกเฉพาะที่ไว้เรียกกันแค่สองคนแต่กลับพูดให้ทุกๆ คนได้ยินแทบทำให้ฉันลมจับ แต่ก็ยังประคองสติไว้อยู่ นานามิที่แบกร่างรันเนอร์พลิ้วปาก
“อ๋อ...ถึงขั้นเรียกกันแบบนั้นแล้วหรอเนี่ย งืม...ไวนะเพื่อนฉัน”
“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ!”
ฉันรีบบอกเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดแล้วหันกลับมามองอาติกะที่คุกเข่าก้มหน้ายื่นกล่องแดงกำมะหยี่...และเขาก็นิ่งอยู่แบบนั้นอยู่สิบวินาทีจนมีคนพูดขัด
“เฮ้ยๆ อาติกะ เปิดกล่องแล้วสวมแหวนนิ้วนางเพื่อนฉันสักทีดิ!”
นานามิบอกแบบนั้นเสร็จ คนรอบข้างต่างพากันร้องเจี๊ยวจ๊าวส่งแรงเชียร์...อาติกะเอ่ยบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
“คือ...อยากให้เธอเป็นคนเปิดดูมันเองครับ! เดี๋ยวผมจะสวมให้เอง!”
เรื่องแปลกๆ ที่เขาเอ่ยมาก็สมกับเป็นเขา ฉันลุกขึ้นแล้วเข้าใกล้กล่องแดงกำมะหยี่แล้วใช้มือทั้งสองคนบรรจบจับกล่องแล้วค่อยๆ เปิดมันออก...แต่สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ในกล่องนั้นมันเป็นลูกตาสีแดงของมนุษย์สดๆ
นัยน์ตาสีแดง...
“ว๊าย!”
ฉันตกใจปัดทั้งกล่องทิ้งไป เสียงดังกระทบพื้นช่างดังชัดเจนเพราะทุกคนต่างเงียบกันหมด...แต่ความเงียบนั้นช่างสยดสยองเพราะใบหน้าคนที่มองมุงดูกลับไม่มีตา จมูกและปาก
“เอ่อ...ทุกคน...ล้อกันเล่น...ใช่ไหม”
ไม่มีใครตอบ...
“อย่าแกล้งฉันแบบนี้สิ!”
ก็ยังไม่มีใครตอบ...
“มันไม่ตลกนะ! ช่วยหยุด---อ๊าก!”
จู่ๆ เหมือนมีของแข็งฟาดเข้าที่หลังศีรษะทำให้ฉันล้มลงไปนอนอยู่ใกล้ๆ อาติกะที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้า ฉันที่มึนงงจนภาพเบลอพยายามเพ่งมองใบหน้าของคนเป็นแฟน...เขาต่างจากคนอื่นตรงที่มีรอยยิ้มที่ฉีกกว้างเกือบทั้งหน้าจนน่าสยองขวัญ ฉันใช้เท้าถีบเขาออกไป
“เฟลิกซ์...เธอนี่มันใจเสาะจริงๆ”
เสียงของนานามิที่ฉันรู้สึกเหมือนมีแสงสวรรค์มาโปรดแต่พอหันไปมองเธอดีๆ แล้ว...ใบหน้าเธอหายไปทั้งหมดเหลือแต่รอยยิ้มน่าสยดสยองเหมือนกับอาติกะและในมือถือเก้าอี้ที่ใช้ฟาดหัวฉันก่อนหน้านี้
“นานามิ...เธอหยอกฉันแรงไปแล้วนะ!”
“อย่ามาละเหม่อยัยโง่! เธอทำให้เด็กคนนั้นต้องตายไม่ใช่หรือไง...เพราะเธอไม่กล้ามากพอ...ทั้งๆ ที่ช่วยไว้ได้!”
นานามิที่มีแต่รอยยิ้มเค้นเสียงด้วยอารมณ์โกรธสุดแรงเกิด ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงใครเลยพึมพำออกไป
“อันนา...อ๊าก!”
จู่ๆ อาติกะเข้ามาบีบคอฉัน ทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างเริ่มกู่เข้ามาและได้ยินเสียงนานามิสาปแช่งไปด้วย
“เฟลิกซ์! เธอต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองก่อไว้! ถึงจะหนีไปโลกอื่นมิติอื่นพวกเราทุกๆ คนก็จะตามไปกระชากหัวเธอ! และจะมอบความตายที่แสนทรมานให้เธอไม่รู้ลืมเลยล่ะ! ฮ่าๆๆๆ!!!”
เสียงหัวเราะของเพื่อนสนิทดังก้องในหัวเราะ คนที่เธอรักที่สุดกำลังบีบคอให้ขาดอากาศตาย ทุกคนรอบข้างต่างเข้ามาทำร้ายตัวฉัน...
บางที...นี่เป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ...แล้วสินะ
“พวกแกถอยไปให้หมด!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
รันเนอร์ที่น่าจะเมาไม่ได้สติกลับใช้ปืนกระบอกขาวพกคู่ไล่ยิงทุกๆ คนจนล้มระเนระนาด เธอเดินมาเข้าใกล้อยู่ข้างกาย...ยังดีที่ใบหน้าของรันเนอร์ยังมีอวัยวะครบทุกประการ
“ขะขอบคุณนะ...ที่ชะ---”
“เฟลิกซ์...เธอน่ะ ตื่นได้แล้ว”
หา!?
รันเนอร์เอ่ยบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจแล้วเอาปืนพกคู่มาจ่อหัวเตรียมลั่นไก
“เธอตื่นได้แล้ว!!!”
ปัง!!
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.5 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ในที่สุดแขนซ้ายของเฟลิกซ์ก็ขยับได้สักที! (แต่ของปลอมนี่มันยังไงหว่า?)
แต่ดันไม่พ้นเคราะห์ก็ร่วงลงไปเกือบตายอีกรอบถ้าไม่ได้นกของยูกะมาช่วยไว้ ซึ่งเฟลิกซ์เข้าใจว่าเป็นนกของเอลด้าซะงั้น!
แล้วด้วยความซวยของนางวิ่งไปตกบ่อน้ำลึกจนจมน้ำเหมือนกับโลกที่แล้ว...ยังดีที่มีใครไม่รู้ช่วยเธอไว้
แต่ความฝันย้อนหลังความจำสิบกว่าปีก่อนทำไมถึงทำร้ายเฟลิกซ์ขนาดนั้นล่ะ?
เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับอันนากันแน่?
แล้วเรื่องราวบทใหม่ของทั้งสามคน รอน, บาร์เบสและคิรินซังที่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นกับโซล นักโบราณคดีที่สถาบันนิวส์ไลพ์ที่ถูกอะไรบางอย่างทำให้หายไปแต่ก็ยังเหลือข้อความปริศนาที่หายไปเกือบหมดทิ้งไว้ให้พวกเขาตามหา
และแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป?
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 4 - [เพื่อปกป้องคนอย่างเธอ] – ครึ่งหลัง
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ