Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  23.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) หนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก] - ครึ่งแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. หนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก] - ครึ่งแรก

◊◊◊

“โอ้ย!”

“ฮึก!”

“ว๊าย!”

ก้นฉันจ้ำเบ้ากับพื้นดิน พอลืมตาขึ้นดูก็พบว่าอยู่บนเนินเขาสักที่และเบื้องล่างไม่สูงนักมีป่ารอบล้อมและทางซ้ายเห็นแม่น้ำคริสตัลที่ถึงแม้อยู่ที่สูงแล้วยังไม่เห็นอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ

วาปมาจริงๆ หรอเนี่ย เหมือนกับในหนังเลย...

“เจ็บๆๆๆๆๆๆๆๆ! กะสูงไปนิด”

นักเวทย์เจ้าของเวทย์เทเลพอร์ตเอาไม้คทายันยกก้นตัวเองลุกขึ้นแล้วปัดแข้งปัดขาพวกฝุ่นออกไป ส่วนอัศวินเชสเซอร์ที่ลอยลงมาท่าสวยมองรอบตัวแล้วชะงักมองที่ไกลๆ ไปทางแม่น้ำแล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี

“ท่านนักเวทย์...ทำไมเทเลพอร์ตใกล้แค่นี้!?”

“ไกลอยู่นะ ห่างจากพวกนั้นตั้งสองร้อยเมตร”

“นั่นแหละที่เรียกว่าใกล้!” เชสเซอร์เถียงสุดขาดใจ

“ไกลกว่านี้เรย์ลี่จำตำแหน่งไม่ได้แล้วค่ะ ที่จำแถวนี้ได้เพราะเมื่อกี้เดินลาดตระเวนถึงนี่หรอกนะ ขืนเทเลพอร์ตมั่วเดี๋ยวไปอยู่ในหินกันพอดีแถมตอนนี้มานาเรย์ลี่ก็...”

เธอพูดยังไม่ทันจบ ร่างเธอโซเซล้มไปกับพื้นอย่างอ่อนแรงแม้มีไม้คทายันไว้ก็เอาไม่อยู่ ฉันกับอัศวินสาวรีบเข้าไปช่วยประคองลุกขึ้น

“ใช้ยังไงให้มานาหมด!?” เชสเซอร์ว่า

“ก็...เวทย์เทเลพอร์ตมัน...กินมานาเยอะนี่น่า” เรย์ลี่หอบ “อีกแปบหนึ่งก็ดีขึ้นล่ะ เรย์ลี่ฟื้นมานาตัวเองได้เร็วอยู่”

“แต่พวกนั้นมันจะจับไอเวทย์มาทางนี้ได้หรือเปล่าท่านนักเวทย์!?”

เพียงเชสเซอร์ถามเข้าประเด็นสำคัญ เรย์ลี่ถึงกับหน้าซีดเผือกกว่าเดิมจากผลของมานาเหลือน้อย เธอแลบลิ้นตอบอย่างเขินอาย

“ฮ่ะฮ่าๆ ลืมเรื่องนั้นสนิทเลย”

“ท่านนักเวทย์! หือ!?”

ปัก!

ลูกธนูลูกหนึ่งลอยมาเฉียดเส้นผมอัศวินไป เพียงเท่านั้นเชสเซอร์ตัดสินใจอุ้มตัวเรย์ลี่แล้วออกตัววิ่งทันที

เดี๋ยวนะ...

พอลูกธนูลูกสองกับสามลอยมาฉันถึงได้สติ

“รอฉันด้วย!”

◊◊◊

[เวลาผ่านไปสักพัก]

ลงเอยแบบเดิมอีกรอบ

ไม่แน่ใจว่าใช้เวลาวิ่งหนีพวกเอลฟ์มากเท่าไร สิ่งที่คิดในหัวเมื่อครู่เป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ฉันกับเชสเซอร์อยู่ในโล่เวทมนต์ที่เรย์ลี่สร้างขึ้นมาคลุมรอบตัวอีกครั้งที่แหลมยอดหน้าผา

“หึๆ ไม่มีทางให้หนีแล้ว! เชสเซอร์!”

เอลฟ์ชายคนเดิมเอ่ยอย่างเด็ดขาด ข้างกายเขาเต็มไปด้วยบรรดาลูกน้องถือดาบและคันธนูเล็กใหญ่พร้อมประจัญบานโล่เวทมนต์ให้สิ้นซาก สาวอัศวินที่ถูกเอ่ยกัดฟันไม่ชอบใจอย่างหนักแต่ดาบที่ถืออยู่ในมือกลับไม่สั่นมากนัก เรย์ลี่ที่แทบจะยืนด้วยแรงตัวเองไม่ไหวบ่น

“รู้งี้เรย์ลี่ไม่น่าใช้เวทย์เทเลพอร์ตเลย”

“นั่นสิครับ” เอลฟ์ชายว่า “ไอ้เราก็นึกเวทย์ที่กินมานามากขนาดนั้นจะทำให้งานเราล้มเหลวแล้ว”

“โอ้ว พี่ชายเอลฟ์คนนั้นสนใจพวกเวทย์สากลด้วยหรอ?”

“เป็นพื้นฐานของเอลฟ์ที่จำเป็นต้องรู้...ไว้ใช้จับไอเวทย์”

“อยากเกิดเป็นเอลฟ์จัง” เรย์ลี่ว่าไปนั่น

“อย่าถ่วงเวลาไปมากกว่านี้เลย รีบๆ ส่งตัวผู้กล้าจอมปลอมพร้อมหินนั่นมาซะดีๆ!”

เอลฟ์ชายขู่บีบบังคับอีกครั้ง เรย์ลี่ถอนหายใจแล้วหยิบขวดเล็กๆ รูปทรงคล้ายที่ใส่น้ำยาทาเล็บในชาติที่แล้วของฉัน มันใสจนเห็นของเหลวข้างในสีฟ้าเข้ม เรย์ลี่ถาม

“รู้จักไอ้นี่ไหม? พี่ชายเอลฟ์ผู้รอบรู้”

“หือ! นั่นมัน---”

“ขวดยาเพิ่มมานาแบบเต็มสูบ...มันค่อนข้างมีผลข้างเคียงนิดหน่อยด้วย พี่ชายเอลฟ์คงเข้าใจดีใช่ไหม”

พอเรล์ยี่ขู่แบบนั้นไปทำให้เอลฟ์ทั้งหมดยกเว้นเอลฟ์ชายที่เป็นหัวหน้าผงะถอยหลัง

“เฮ้ย! อย่าหลุดตำแหน่งสิเฮ้ย! มันแค่พูดไม่ทำจริงหรอก ขืนดื่มเข้าไปทำให้พลังมานาเสถียร์แม้แต่เจ้าตัวกับคนรอบข้างก็จะ---”

“อือ...อร่อยจัง!”

ขวดที่เรย์ลี่ถือนั้นถูกปล่อยลงพื้นแต่มันไม่แตกเป็นชิ้นๆ มีเพียงแต่รอยร้าวแต่ข้างในกลับไม่มีของเหลว...แน่นอนเธอกินเข้าไปเรียบร้อย เอลฟ์ชายอีกฝ่ายหน้าเหวออย่างชัดเจน เรย์ลี่หันหลังกลับมาแล้วหยิบหินคริสตัลสีรุ้งขึ้นมาให้อัศวิน

“เอาล่ะเชสเซอร์...ฝากคุณเฟลิกซ์กับหินนี่ไว้กับเธอด้วยนะ”

“ท่านนักเวทย์จะทำ---”

เชสเซอร์กำลังจะถามหาเหตุผลแต่เธอไม่สนใจฟังหันมาถามฉัน

“คุณเฟลิกซ์ ไว้ครั้งหน้าช่วยเล่าโลกนู้นให้ฟังอีก...ถ้าเรย์ลี่มีโอกาสได้พบกันอีกละนะ”

“เดี๋ยว! เหวอ!”

จู่ๆ ร่างกายฉันกับเชลเซอร์ลอยขึ้นมาอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ที่มือขวาของเรย์ลี่ที่ยื่นมาเปล่งแสงราวกับว่าทั้งสองคนถูกควบคุมด้วยมือนั้น แล้วทันทีที่เรย์ลี่สะบัดมือ...ทั้งสองถูกพัดลอยไปไกลอย่างกะทันหัน ฉันทำได้แต่มองดูเนินเขาที่มีเรย์ลี่อยู่เล็กลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะตกลงสู่ใจกลางแม่น้ำคริสตัลนั้น ฉันได้แต่คิดสงสัยอยู่ในใจ

ทำไมกัน...ทำไมถึงต้องช่วยฉันถึงขนาดนี้!

◊◊◊

“หว่า...พวกเขาไปไกลแล้ว ไม่ตามไปหรอ”

เรย์ลี่เอ่ยขึ้นโดยที่ยังหันไปมองทิศทางที่เธอส่งสองคนนั้นไป เอลฟ์ชายที่ตกตะลึงอยู่สั่งลูกน้อง

“บิส!”

“รับทราบครับ”

กลุ่มเอลฟ์กว่าสิบคนแยกตัวออกไป หัวหน้าเอลฟ์หน้าเดินเข้ามาใกล้โล่เวทมนต์แล้วถามอย่างหวั่นเกรง

“ตัวจริงของเธอคืออะไรกันแน่”

ถามไปสักพัก เรย์ลี่หันกลับมาทำหน้าแสร้งว่าไม่รู้เรื่อง

“หือ? พูดถึงเรื่องอะไรหว่า”

“เวทย์ที่ไม่ต้องร่าย...มีแค่สองเผ่าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเอลฟ์กับปีศาจ”

คำอธิบายความสามารถพิเศษเฉพาะเผ่านั้นทำให้เรย์ลี่หน้านิ่งไป

“แล้วไง...นายต้องการรู้ไปทำไมละ”

“หึๆ ไม่ยอมบอก...ไม่เป็นไร ไว้พวกเรารอให้มานาเธอปั่นป่วนเพราะยานั่นอีกครึ่งชั่วโมงก็จะจับทรมานให้ยอมคลายเรื่องนั้นเอง คุณนักเวทย์ปีศาจ”

“เดาว่าเรย์ลี่เป็นอย่างงั้นสินะ แล้ว...คำสั่งปฏิบัติกับเราที่ได้มาแต่แรกคืออะไรล่ะ จะได้ทำตัวถูก”

“ฆ่าทิ้งให้หมด แล้วนำศพผู้กล้าจอมปลอมกลับไป”

“ฮ่าๆๆ กะแล้วเชียว...”

เรย์ลี่ก้มหน้าเล็กน้อยทำให้เอลฟ์ชายไม่เห็นดวงตาเธอ...แต่เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัวกว้างกว่าเดิมเล็กน้อยแทนก่อนที่จะก้มเก็บขวดยาที่ดื่มไปขึ้นมาชูให้เห็น ทั้งร่างของเรย์ลี่เริ่มมีอาการกระตุกเล็กน้อย

“นี่ๆ ถามหน่อยสิ...นายคิดว่าตัวยาที่อยู่ในขวดยาเฉพาะนี่ เป็นตัวเดียวกันหรอ...เมี๊ยว”

เอลฟ์ชายได้ยินแบบนั้น ตั้งท่าระวังขึ้นมา

“นี่เธอเป็น---”

“ยาที่เรย์ลี่ดื่มเข้าไปมันไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิดหรอกนะเมี๊ยว มันก็แค่ยาฟื้นฟูมานาธรรมดาๆ เท่านั้นเองเมี๊ยว...ที่ผสมสมุนไพรบางอย่างที่ปลุกสัญชาตญาณสัตว์ที่แท้จริงในตัวนะเมี๊ยว”

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ!” เอลฟ์ชายบอกเสียงหลง “ทุกคนเตรียมพร้อมไว้! เจ้านี่มันกำลังคลุ้งคลั่ง!”

“เรย์ลี่คลุ้มคลั่ง!? ฮ่าๆๆๆๆ! เขาเรียกว่าคืนสู่ร่างเดิมต่างหากนะเมี๊ยว! ดูเซ่...เล็บเคี้ยวคมกริบที่ยาวนี่ไม่ได้เชือดเนื้อมานานแค่ไหนแล้วนะเมี๊ยว...คิดแล้วสั่นไปทั้งตัวเลย! อยากจะชิมเลือดเอลฟ์จัง”

เรย์ลี่ไม่พูดเปล่า เอาลิ้นเลียเล็บมือตัวเองที่กำลังงอกออกมาเป็นกรงเล็บทำให้ทุกสายตาที่จ้องมองในตอนนี้เห็นเธอเป็นโรคจิต ไม่เพียงแค่ที่มือเท่านั้น ที่ศีรษะมีหูแมวงอกขึ้นมาและหางสีน้ำตาลที่บั้นท้าย เอลฟ์ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตะคอกท้าทาย

“หยุดแหกปากแล้วออกมาจากโล่เวทมนต์ได้แล้ว เจ้ากึ่งสัตว์เดรัจฉาน!”

“จัดให้เลยเมี๊ยว!”

และแล้วภูเขาลูกนั้นมีแต่เสียงร้องเจ็บปวดเจียนตายของใครหลายคนเป็นเวลาหลายนาที

◊◊◊

“เจ้าหมูน้อย...วันหลังอย่าเดินซุ่มซ่ามอีกนะ”

หมูป่าตัวเล็กที่มีปีกสีขาวคู่ตั้งชี้ตรงกระพือปีกสั้นๆ ดีใจหลังถูกสาวสวมผ้าคลุมสีเขียวแก่ใจดีร่ายเวทย์ฮีลรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าขวาข้างหลังแล้วมันรีบวิ่งแจ้นกลับฝูงของมันไป ผู้ที่รักษาให้ลุกขึ้นมองตามหลังมันอย่างมีความสุขก่อนที่จะเอามือเสยเปิดฮู้ดเปิดออกเพื่อรับลมอากาศแถวนี้เต็มปอด

“อากาศแถวนี้บริสุทธิ์ดีจังแต่ต้องรีบไปด่านชายแดนเปิดใหม่นี่สิ อยากอยู่แถวนี้นานๆ แท้ๆ”

เธอเป็นเอลฟ์สาวที่ไว้ผมบลอนด์หางม้านัยน์ตาสีเขียวมรกตชุดที่สวมข้างในเสื้อคลุมคล้ายชุดกี่เพ้าแบบไม่มีลายสีเขียวอ่อนเปิดส่วนเอวทั้งสองข้าง หูแหลมยาวกางออกมาได้ทรง หน้าอกคัพบีและสูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นได้ เอลฟ์สาวหงายหน้าขึ้นฟ้าเพราะได้ยินเสียงนกอินทรีย์ร้องเรียกหาเจ้านาย มันบินโฉบลงมาเกาะต้นแขนซ้ายที่กางรับมัน เธอลูบหัวมันอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

“เป็นไงบ้างฟิล ไม่ได้เจอซะนานเลยนะ”

ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพัก เอลฟ์สาวเอ่ยขึ้นราวกับรู้ภาษาสัตว์

“มีอะไรให้ฉันอยากเห็นเหรอ?”

เธอค่อยๆ เอามือขวาแตะที่ศีรษะของนกอินทรีย์แล้วหลับตาราวกับว่ามีบางอย่างที่นกตัวนี้อยากให้เห็น หลังจากใช้เวทย์ดูความทรงจำของนกเสร็จเธอลืมตาขึ้นอย่างตื่นตูม

“นำทางฉันไปเร็วเข้า!”

นกอินทรีย์กระพือปีกบินไปทางทิศตะวันออก เอลฟ์สาวไม่รอช้าใช้เวทย์ไม่ร่ายโดยนัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอเกิดเรืองแสงแล้วที่แผ่นหลังมีปีกคล้ายผีเสื้อใสสีเขียวงอกขึ้นมาแล้วออกตัวบินตามไป

“ทำไมถึงมีคนลอยน้ำไปทางขอบโลกด้วย!?”

พอบินไปถึงแม่น้ำคริสตัลที่มีขนาดใหญ่ราวกับเป็นแอ่งน้ำ เธอมองดูรอบตัวโดยที่ทางขวาเป็นพื้นที่ที่ไร้แผ่นดินทำให้จากแม่น้ำกลายเป็นน้ำตกลงสู่ความมืดมิดที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรรออยู่ ณ เบื้องล่าง

“อยู่ไหนกันแน่นะ”

เธอพูดกับตัวเองแล้วหลับตาลงแล้วใช้เซนต์สัมผัสถึงสิ่งที่มีชีวิตไล่ตั้งแต่ทางน้ำตกทิศใต้ไปยังทิศเหนือก็พบร่างผู้หญิงทั้งสองกำลังลอยน้ำโดยเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สติแต่มีอีกอย่างที่ทำให้เธอต้องแปลกใจ ออร่าสีฟ้าที่ครอบคลุมตัวทั้งสองคนนั้นทำให้พวกเขาไม่จมน้ำ

ออร่าเวทย์คุ้มครอง!?

เอลฟ์สาวเก็บความสงสัยนั่นไว้แล้วบินเข้าไปใกล้ใช้มือทั้งสองที่เปล่งแสงฟ้าบังคับให้ร่างทั้งสองคนที่กำลังพัดตามกระแสน้ำอยู่ลอยขึ้นมาแล้วพาเข้าชายฝั่งตะวันตกก่อนที่จะบินลงมาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด

ใครเป็นคนร่ายเวทย์พวกนี้ให้นะ...ถึงจะรีบร้อนไปหน่อยแต่ใช้ได้ผลดีเลย ใส่คุณสมบัติสองอย่างมาพร้อมกันด้วย...

แต่ไอเวทย์แบบนี้คุ้นๆ เหมือนของ---

ยังไม่ทันจะคิดต่อก็มีวัตถุบางอย่างกลิ้งออกมาจากตัวอัศวินสาวเป็นหินคริสตัลหกเหลี่ยมสีรุ้งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอก้มเก็บมันขึ้นมาทำให้เธอสะท้านไปทั้งตัวจนเผลอทำหลุดมือ

“มานาเสถียรขนาดนี้นี่มันอะไรกัน”

เธอตั้งสติใหม่อีกครั้งแล้วบรรจงหยิบหินสีรุ้งขึ้นมาดูพิจารณาอีกครั้ง

มีคนใช้เวทย์กลบไอมานาที่แท้จริงไว้...

พอคิดแบบนั้นแล้วมองสองคนที่สลบอยู่

พวกเขาได้มาจากไหนกันนะ

ไม่สิ ตอนนี้ฉันต้องพาพวกเขาไปรักษาก่อน

◊◊◊

“แค่ก! แค่กๆๆๆ”

พอรู้สึกตัวเฟลิกซ์ก็สำลักออกมาเป็นชุด

ทำไมเพลียอย่างนี้นะ…ฉันอยู่ที่ไหนแล้วมันเกิดบ้า---

จำได้ล่ะ เราถูกเด็กคนนั้นช่วยไว้อีกแล้ว

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแสงไฟเทียนไขเข้าตาที่ไม่แสบตามากนัก เหมือนว่าตอนนี้นอนอยู่ในเต็นท์ผ้าสีขาวพอเอี้ยวคอไปทางขวาพบกับเอลฟ์สาวคนหนึ่งกำลังนั่งบดยา เธอใส่ชุดกี่เพ้าสีเขียวอ่อนผมผมบลอนด์มัดรวมและเธอหันมาราวกับรู้ว่าฉันเพิ่งฟื้นจึงได้เห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตงดงามเกินบรรยายที่หันมองสบตาพอดี ฝ่ายบดยาเลิกคิ้วถาม

“เอ๋!? ตื่นตั้งแต่เมื่อไรคะ?”

“ก็...ก็...”

ทำไมขยับปากไม่ค่อยได้

“ไม่ต้องฝืนก็ได้”

สาวผมบลอนด์เขยิบตัวเข้ามาใกล้แล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็คตัวให้

อือ...แค่อยากรู้ว่าเธอเป็นใครกัน

ฉันจ้องหน้าเธอนานจนเหมือนรู้ว่าอยากจะถามอะไร

“ดิฉัน...ยูกะแห่งอาณาจักรเฮฟเวินค่ะ”

เฮฟเวิน!? เฮฟเวินพันนิช—

อ่า...คงไม่ใช่อย่างที่คิดล่ะมั้ง

“หรืออาณาจักรเอลฟ์ค่ะ”

เอลฟ์!?

พอได้ยินแบบนั้นแล้วเพิ่งตั้งสติเห็นหูหางยาวของยูกะ

พวกเอลฟ์! ฉันโดนจับมางั้นหรอ!?

“ดิฉันไม่รู้พวกคุณไปลอยอยู่กลางแม่น้ำได้ยังไง แต่ต้องขอบคุณคนที่ร่ายเวทย์พยุงช่วยชีวิตก่อนหน้านี้ไว้...ตอนนี้คุณพักผ่อนต่อเถอะ ไว้อาการดีขึ้นเมื่อไรมาคุยกันต่อนะคะ”

เธอกล่าวเสร็จกางฝ่ามือขวาที่เรืองแสงสีฟ้าตรงหัวฉัน ความง่วงเข้าจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก่อนที่จะหลับสายตาดันไปเห็นเชสเซอร์ที่สลบอยู่อีกเตียง

เดี๋ยวเซ่…ฉันยัง---

◊◊◊

“บังเอิญมากไปแล้ว หลักฐานที่อาจารย์ได้มา!”

มนุษย์ชายผมน้ำตาลสั้นสวมแว่นเล็กผู้หนึ่งที่กำลังนั่งกุบหัวเคร่งเครียดบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือวิจัยโบราณคดีและสิ่งที่เขากังวลอยู่นั้นคือของบางอย่างที่อยู่กล่องเหล็กเหลี่ยมขนาดครึ่งเมตรที่เขาเพิ่งปิดฝามันลงไป

“พ่อคะ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ตะกี้เหมือนได้ยินเสียงของตก”

เสียงเรียกของลูกสาวที่เปิดประตูห้องโผล่หัวมาทำหน้าเป็นห่วง คนเป็นพ่อส่ายมือ

“เปล่าจ๊ะ แค่จัดการเก็บของ...พ่อขอโทษที่กวนลูกนอนด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไม่ง่วงเลย”

“งั้นก็ไปนอนได้แล้วไป๊ พรุ่งนี้มีคลาสแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

“ข๊าาาาาาาาา แต่...พ่อจำไม่ได้หรอว่าวันนี้วันอะไร”

“หือ!? จำได้สิ ที่ใต้เตียงลูกมีกล่องของขวัญอยู่ลองไปแกะดูสิ”

“เอ๋!?”

พอลูกสาวได้ยินแบบนั้นรีบมุดหัวปิดประตูห้องวิ่งจ้ำไปที่ห้องตัวเอง

“อย่าวิ่งสิลูก! ไม่เคยเกรงใจคนอื่นเลย...ลูกสาวบุญธรรมของพ่อ”

เขาบ่นแบบนั้นไปเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากก่อนที่จะยิ้มเพราะได้ยินเสียงร้องดีใจและสุขใจของลูกสาวที่เก็บอาการไว้ไม่อยู่จนต้องร้องออกมาเสียงดัง

วันนี้เป็นวันครบรอบสองปีที่รับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรมซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อคนที่เป็นภรรยาอยากเลี้ยงลูกและเป็นนโยบายของทางสถาบันนิวส์ไลฟ์ที่ต้องการให้ [เด็กใหม่] เรียนรู้การมีครอบครัว

แต่ถึงอยากจะมีลูกก็มีไม่ได้...เพราะผลพ่วงสงครามจอมมารสองร้อยปีก่อนที่ทำให้ทุกเพศทุกเผ่าไม่สามารถให้กำเนิดทายาท แต่ด้วยการปรับสมดุลของธรรมชาติ เกทที่ทำเป็นประตูแห่งการเริ่มต้นสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ได้ส่งสิ่งที่มีชีวิตอย่างเช่น มนุษย์, ปีศาจ, เอลฟ์ และ ฯลฯ มามากมายแต่ละปีเพื่อทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป

และ [เด็กใหม่] ที่ว่านี้คือคำเรียกของผู้ที่ถูกเกทกำเนิดขึ้นมา...ถ้าพ้นห้าปีแรกก็จะถูกเรียกตามชื่อและเผ่าพันธุ์ตามปกติ แต่มันก็ใช้ได้ในเฉพาะสถาบันนิวส์ไลฟ์ที่เปรียบเสมือนอาณาจักรขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางเยื้องมาทางขวาที่เชื่อมต่อทั้งสามอาณาจักรไว้ด้วยกัน

อาณาจักรเฟธออฟก็อด หรือ อาณาจักรมนุษย์ มีอาณาเขตตั้งแต่ทางซ้ายครึ่งบนจนถึงกลางทวีปกึ่งล่างและไหล่ขวากลางเล็กน้อย

อาณาจักรเฮฟเวิน หรือ อาณาจักรเอลฟ์ มีอาณาเขตตั้งแต่ทางซ้ายครึ่งล่างจนถึงกลางทวีปครึ่งล่าง

อาณาจักรปีศาจที่ล่มสลายอยู่ทางขวาของทวีป ซึ่งอยู่กันเป็นก็กเป็นเหล่าไม่มีใครเป็นผู้นำ

และสุดท้ายอาณาจักรที่มีพื้นที่ผ่านขั้นต่ำแต่ผู้คนมักไม่เรียกว่าอาณาจักร เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ถูกเรียกว่าสถาบันนิวส์ไลฟ์แทน มีพื้นที่ไม่มากนักโดยการปกครองจะขึ้นอยู่กับสภานักเรียนแทน แต่พื้นที่ของสถาบันนี้กลับตั้งอยู่ทางเชื่อมทั้งสามอาณาจักรทำให้มีผู้คนเดินทางผ่านไปมาจำนวนมาก

อาจารย์ของผมก็เป็นหนึ่งในคณะเดินทางนั้นเหมือนกัน เขามักถูกเรียกว่าลัคกี้แมนเพราะโชคดีมักไปเจอหลักฐานโบราณคดีอยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่สถานที่ที่เขาไปตรวจสอบไม่น่าจะมีอะไรแท้ๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ผมยอมรับเป็นอาจารย์ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แต่เป็นแนวคิดที่เปิดกว้างและทันสมัยของเขา...มันปลุกไฟในตัวผมเป็นอย่างมากและหวังว่าจะช่วยกันหาหลักฐานการกำเนิดของทวีปคริสตัลฟอร์แห่งนี้ให้เจอ

ใช่...เพราะสิ่งนั้นแหละทำให้อาจารย์ผมมักถูกเพ่งเล็งจากพวกคลั่งโบสถ์เคร่งศาสนาที่มีแนวคิดสวนทางของอาจารย์ แต่ด้วยความตีนไวของเขาเลยรอดพ้นจากเงื้อมมือพวกเขาอยู่บ่อยๆ

แต่ทว่าเจ็ดปีก่อน...หลังเจอกล่องที่ทำด้วยเหล็กกล้าอย่างดีที่เปิดไม่ได้ ณ สถานโบราณแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำคริสตัลในป่าทางตะวันออกของอาณาจักรเอลฟ์ อาจารย์บอกว่ามันเป็นกล่องเหล็กที่ไม่มีคุณสมบัติพื้นฐานในโลกนี้เลย ของที่อยู่ข้างในต้องชี้ชัดถึงตัวตนบางอย่างแน่ๆ แต่กว่าจะเปิดได้นั้นอาจารย์ใช้เวลากว่าสิบวันเพราะเงื่อนไขการเปิดของมันก็คือ กดตัวเลขให้ถูกหกหลักที่มีแป้นกดให้กด ซึ่งลองคำนวณเล่นๆ แล้วมันน่าจะใช้เวลามากกว่านี้โดยหักลบเวลาพักผ่อนไป อาจารย์คงมั่วแล้วถูกสมชื่อฉายาลัคกี้แมนแน่ๆ แล้วใช้เวลาอีกหนึ่งวันหมกตัวในห้อง จนในที่สุดอาจารย์เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักและมอบเอกสารบางส่วนที่เขาเจอในกล่องเหล็กนั้นแล้วยังบอกอีกว่า

“ความจริงโลกนี้ช่างโลกร้าย”

ซึ่งผมรับมันมาอ่านดู...ก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่มีอยู่ในเอกสาร มันเป็นการอธิบายบางสิ่งบางอย่างที่ซับซ้อนพร้อมภาพประกอบที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร หลังจากนั้นอาจารย์เขาก็กลับเข้าห้องส่วนตัวเพื่อดูของที่มีอยู่ในกล่องเหล็กนั่นอีกต่อไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า ผมคิดว่าสิ่งที่เขารู้นั้นต้องเป็นอะไรที่สวนทางทฤษฏีเขามากๆ แน่ๆ เลยไม่คิดอะไรรออีกวันเพื่ออะไรๆ จะดีขึ้น

แต่ทว่า...พอตื่นมาไปยังห้องทำงานของเขา...มันหายไปแล้ว หายไปทั้งห้องทุกๆ อย่าง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเป็นอย่างงั้น อาจารย์หายสาบสูญตั้งแต่วันนั้นเว้นแต่กล่องเหล็กที่ตกลงอยู่ข้างล่างและนั่นทำให้ผมเพียงพยายามอย่างหนักตลอดเจ็ดปีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดถึงนั้นคืออะไรกันแน่

และแล้วในที่สุดก็เข้าใจมัน ความเป็นจริงของโลกใบนี้ มันโหดร้ายอย่างที่เขาว่าจริงๆ

ถึงหัวใจไม่อยากบอกว่าเชื่อก็ตามที

พอคิดแบบนั้นแล้วมือเริ่มสั่นต้องระบายออกด้วยการจดอะไรสักอย่างบนกระดาษแต่หมึกหมดไม่ว่าจะหายังไงก็ไม่เจอหมึกสำรอง อาการมือสั่นของเขายังคงหนักขึ้นเรื่อยจนกวาดสายตาไปเห็นมีดเล็กเล่มหนึ่งเลยคว้ามาแล้วมองหาสิ่งที่รองรับได้

“กำแพงนี่แหละ!”

เขาบรรจงกรีดคำสลักมันบนกำแพงจนครบประโยค แต่ยังไม่ทันได้อ่านทวนให้ชื่นใจก็เกิดประหลาดขึ้น จู่ๆ ในห้องก็มีแสงสว่างจ้าขึ้นมาจนแสบตา เขาพยายามมองให้เห็นถึงตัวตนต้นกำเนิดแสงแต่ก็มองไม่ออก มีเพียงแต่เสียงกึกก้องที่ทำให้เขาเข้าใจสาเหตุที่อาจารย์หายสาบสูญไป

“เจ้าล้ำเส้นมากไปแล้ว!”

และแล้วทุกอย่างก็ขาวโพลนสว่างไปหมด...มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือยิ้มรับมัน

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.3 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

หายหน้าหายตาไปเกือบครึ่งเดือนเลยทีเดียวเพราะธุระส่วนตัวล้วนๆ (กำลังหมดช่วงวัยรุ่นก็งี้แหละ)

ตอนแรกว่าจะเขียนตอนนี้ยาวเป็นพิเศษเพื่อชดเชยที่หายไป แต่ปรากฏว่ามัน “ยาวเกินไป” อ่านแล้วเหนื่อยตายก่อนแน่ๆ เลยแบ่งเป็นสองพาร์ทครึ่งแรกกับครึ่งสองแทน (เดี๋ยวอีกพาร์ทลงติดๆ กันเลย)

กลับมาสรุปเนื้อเรื่องตอนนี้กันเลยดีกว่า

อ่ะอ้าว!? และแล้วเรย์ลี่ตัดสินใจเสียสละตัวเองเพื่อให้ทั้งสองคนปลอดภัย แล้วชะตากรรมเธอในหมู่เอลฟ์จะเป็นยังไงเนี่ย แต่เธอกลายร่างเป็นแมวด้วยล่ะ! >w<

และตอนนี้ยังได้พบกับเอลฟ์สาวนามว่า [ยูกะ] เธอจะมาเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่นะ แต่ที่รู้ๆ นางจิกหินคริสตัลของเฟลิกซ์ไปแล้วล่ะ!

แล้วเรื่องราวของพ่อหนุ่มมีลูกสาวบุญธรรมที่เป็นศิษย์ของอาจารย์โบราณคดี [ลัคกี้แมน] จะจบลงแบบนั้นจริงๆ งั้นหรอ? แล้วมันจะมีปมอะไรทิ้งไว้ให้ตัวเอกอย่างเฟลิกซ์ตามเก็บหรือไม่? (ว่าแต่มันคือปมอะไรหว่า...นั่นสิ...งืม...ช่างมันเถอะ)

แล้วเฟลิกซ์จะตื่นมาพบกับเรื่องผจญภัยอะไรต่อไป?

โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก] ครึ่งหลัง

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

By Spy442299

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา