Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) แกนกลางคริสตัล 4 - [หนทางชดใช้บาป]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
- แกนกลางคริสตัล 4 - [หนทางชดใช้บาป]
◊◊◊
[สถาบันนิวส์ไลฟ์ – หอสมุดส่วนกลาง]
“โธ่...ลืมถามเจ้าบาร์เบสว่าไปมุดอยู่ชั้นไหน”
รอนเอามือกุมหัวหลังจากเดินที่เข้ามายังตรงกลางหอสมุดที่มีลักษณะเป็นหอคอยสูงห้าสิบชั้นกว้างประมาณร้อยเมตรโดยที่มีจุดศูนย์กลางกว้างสี่สิบเมตรให้แหงนหน้ามองขึ้นทะลุเห็นทุกชั้นตลอดจนหลังคาที่มุงด้วยกระจกสีรูปลักษณ์คล้ายแม่ชีมาโปรดสัตว์และนั่นคือปัญหาที่เขาต้องหาตัวบาร์เบสให้เจอ
เขาพยายามนึกอยู่ว่ามันอยู่ที่ไหน...
“นั่นมันจอมเกียจค้านตัวพ่อนี่...นึกอะไรถึงมาที่แห่งนี้ละ?”
บรรณารักษ์เอลฟ์สาวแว่นผมม้วนฟ้าเข้มที่นั่งอยู่โต๊ะประจำตำแหน่งโบกมือทักทาย เขาเดินเข้าไปหา
“มาหาเพื่อน”
“เพื่อน? เอ๋...เราว่าจอมขี้เกียจอย่างนายน่าจะเข้าใจระดับความสัมพันธ์ของเพื่อนผิดไปนะ”
“อย่ากวนได้ไหม ถ้าไม่คิดจะช่วยก็ไม่ต้องยุ่ง”
“ฮ่าๆ ทำเป็นจริงจังไปได้...หาบาร์เบสอยู่ใช่ไหม เห็นเขาไปที่ชั้นสี่สิบสองตรงหมวดอักษรศาสตร์ยุคกลางนะ”
“อือ...”
“ไม่ขอบคุณสักนิดเลยหรอ?”
“ไม่ล่ะ”
“เชอะ...ไร้มารยาทซะจริง ลงบัญชีดำเลยดีไหมเนี่ย”
แน่นอนว่าเขาไม่แคร์หลังจากนั้นเดินตรงไปยังประตูเหล็กลิฟต์ที่ตัวลิฟต์ข้างในเป็นกระจกใสแก้วที่จุได้สามคน รอนไม่แน่ใจว่าเป็นของนักเรียนฝ่ายอะไรเป็นคนพัฒนามันขึ้นแต่มันค่อนข้างสะดวกสบายกว่าขึ้นบันไดและไม่เปลื้องใช้คัมภีร์เวทย์ลอยตัวด้วย เขากดปุ่มเลขสี่และสองต่อลำดับกันเพราะถ้ากดช้ามันจะไปแค่ชั้นที่กดครั้งแรก
การที่เขามันหาเพื่อนที่นี่เพราะต้องการมารู้ความคืบหน้าเรื่องคดีการหายตัวไปของอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมโบราณคดีโดยบาร์เบสอาสามานั่งแกะข้อความที่พบในที่เกิดเหตุเลยมาใช้หอสมุดแห่งนี้เป็นฐานข้อมูล มันเป็นเวลากว่าสี่วันแล้วที่เพื่อนเขาหมกตัวอยู่แต่ในนี้และถ้าพ้นคืนนี้ไปก็จะเป็นวันที่ห้า
รอนมองดูแต่ละชั้นที่กำลังเลื่อนลงละสายตาไปเรื่อยๆ บางชั้นกำแพงเป็นกระจกให้เห็นทิวทัศน์พลบค่ำที่ชวนให้น่าพักผ่อนแต่มันขัดกับงานลาดตระเวนตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนและถ้าเลิกงานก็เหงื่อจนไม่อยากจะไปไหนแล้ว
“เมื่อไรจะพ้นช่วงสงครามสักที”
ตึ่ก!
ลิฟต์หยุดการทำงานลง เขารู้สึกว่ามันยังไม่น่าจะถึงชั้นที่ต้องการจะไปเลยไม่ได้ขยับตัว พอประตูเลื่อนเหล็ก็กเหกดหดหเปิดพบกับเผ่าปีศาจตนหนึ่งที่ไว้ผมเกือบสั้นชี้ตรงสีแดง สูงร้อยหกสิบ นัยน์ตาสีฟ้าใสสะอาด สวมชุดนักเรียนเกาะอกสีส้มแถบขาวของสถาบันแห่งนี้ โดยรวมแล้วถ้ามองผ่านๆ จะนึกว่าเป็นผู้ชายแต่ถ้าสังเกตดีๆ ที่ใบหน้าแอบมีความน่ารักที่ถูกความเศร้าหมองปิดเกือบมิดและเนินอกน้อยๆ ที่เป็นหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้หญิงของแท้ ที่คอของเธอสวมสร้อยรูปลักษณ์สีแดงบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็น มันมีเส้นรอบวงกลมแล้วมีเครื่องหมายบวกคิดอยู่ข้างล่าง เธอเดินเข้ามาเบียดเล็กน้อยแล้วกดเลขชั้นเจ็ดสิบซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแล้วก้มมองพื้นเหม่อลอยแม้ตัวลิฟต์จะสั่นเริ่มการทำงานก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย
ใคร? เด็กใหม่หรือ? ไม่เคยเห็น...เธอโคตรตรงสเปค!
ใจรอนเต้นรัวๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คุยกับเธอจะได้ไหม? บรรยากาศรอบตัวเธอน่าอึดใจชะมัด...แต่...ก็ถูกใจเธออยู่ดี!
เขาแอบมองปีศาจสาวข้างตัวหลายรอบจนเริ่มสังเกตความผิดปกติบางอย่างแถวๆ หลังชายเสื้อที่มองลึกเข้าไป
หะหะหะหะเห็นไอ้นั่นแล้ว! ทำไมเธอถึงไม่ระวังตัวเลย!
“คือ...เอ่อ...คุณผู้หญิงครับ...”
เธอนิ่ง
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
เธอก็ยังนิ่ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอก็ยังคงนิ่งสนิท เขาเลยเอามือขวาแตะบ่าทันใดนั้นสาวปีศาจสะดุ้งเฮือกตกใจเอาหลังพิงกระจกแก้ว ทำสีหน้าหวาดหวั่นกลัวเขาเป็นอย่างมาก รอนเห็นว่าท่าไม่ดีที่จะเริ่มความสัมพันธ์กันแบบนี้เลยชิงอธิบายก่อน
“ขอโทษครับ! ไม่ตั้งใจเสียมารยาทจะแตะตัวเธอเลย! แต่ผมเรียกคุณตั้งหลายรอบแล้วเลย...”
อีกฝ่ายยังคงไม่เชื่อใจ...รอนสูดลมหายใจสุดแรงก่อนที่จะบอกความตั้งใจแรกเริ่มไป
“จะบอกว่าเสื้อเกาะอกคุณมันจะหลุดแล้วครับ! มันเริ่มเห็นตรงนั้น...แล้ว”
ความตรงไปตรงมาของรอนทำให้สาวปีศาจทอมบอยหน้าแดงจัดแล้วก้มองหน้าอกตัวเองรีบดึงจัดแจงมันขึ้นมาใหม่ รอนหันหน้ามองทางอื่นให้อีกฝ่ายทำอะไรให้เสร็จก่อน
เวรๆๆๆๆ เมื่อกี้มันเป็นเรื่องไม่ควรพูดตรงๆ เลยนี่หว่า!
จบเห่ล่ะ โอกาสมีชีวิตคู่...
“ขะขะขอบใจ!”
เสียงสาวแสบดังขึ้นที่เข้ากับบุคลิกของหล่อนทำให้รอนหันกลับมา เธอไม่สบตากับเขาเลยแต่ด้วยความพูดของหล่อนทำให้รอนคิดว่าคงไม่ถูกเกลียดเข้าแล้ว
“อ่า...ไม่เป็นไรครับ”
“หะเห็นมัน...ชัดๆ แล้วใช่ไหม?”
“มะมะไม่เห็นอะไรทั้งนั้นครับ!”
“โกหก! ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่เลย!” หล่อนหันกลับมาจ้องตาก่อนที่จะหันมองทางอื่นอีกรอบ “โลกนี้...เขาว่ากันว่าเห็นร่างเปลือยก็เป็นสาวเจ้าไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
คำถามนั้นทำให้รอนรู้สึกว่าเหมือนถูกเชิญชวนให้ตอบตามพล็อตยังไงก็ไม่รู้
“งั้นผมจะรับผิดชอบเอง! ได้โปรดคบ—”
ตึ่ก!
ลิฟต์มาหยุดชั้นที่สี่สิบสองเป็นชั้นที่เขาจะมาหาเพื่อน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว...ถ้าไม่ใช่ว่าบาร์เบสอยู่แถวหน้าลิฟต์พอดี
“อ้าวรอน! นายมาพอดีเลย เอาของกินอะไรมาฝากเปล่าคือเรากำลังจะ...อุ้ย วิ๊ดหวิ๊ว...นั่นแฟนนายหรอ! ชอบแนวสาวห้าวก็ไม่บอก เรามีเพื่อนแบบนี้เพียบเลยนะโว้ย”
“อ๊าก!”
และแล้วรอนก็ถูกถีบออกมาจากลิฟต์ สาวทอมบอยปีศาจรีบกดให้ลิฟต์เลื่อนสูงลับตาไป บาร์เบสเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วถึงกลับนอนขำกลิ้งจนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนเรื่องรบกวนคนอื่น พอคนเตือนจากไปรอนกระชากคอบาร์เบสกระซิบถามทันที
“แก-ทำ-แบบ-นั้น-ทำไม!”
“ใจเย็นก่อนสิ!”
“ไม่เย็นโว้ย!”
“เมื่อกี้แค่แซวเล่นเอง”
“ตูไม่เล่นโว้ย!”
กว่ารอนจะสงบลงได้กินเวลาไปหลายนาที บาร์เบสพาเขาไปยังโต๊ะทำงานส่วนตัวที่จองไว้ตรงหัวมุมทางตะวันตกของหอสมุดชั้นสี่สิบสองแห่งนี้ มันมีชั้นหนังสือล้อมรอบเป็นตัว U โดยตรงกลางเป็นโต๊ะยาวสามเมตรที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ กระดาษและหมึก...ชัดเจนว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บาร์เบสกำลังเผชิญกับมันอยู่ ซึ่งเจ้าตัว ณ เวลานี้ไม่ได้สนใจของพวกนั้นเลย
“เฮๆ สรุปแล้วเธอคนนั้นเป็นใคร?”
“เกือบจะรู้แล้วแต่เป็นเพราะแก!”
“ฮ่าๆ โทษทีโทษที ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ไว้โอกาสหน้าก็ได้”
“มันจะมีโอกาสหน้าหรือเปล่าเหอะ”
“เฮ้ยๆ รอน...นายถูกใจสาวทอมปีศาจจริงๆ งั้นหรอ”
“ก็เออสิวะ...”
“หึๆ ขอให้โชคดีล่ะกัน” บาร์เบสตบบ่าแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำที่นั่งมาสี่วันติดแล้ว “แล้วที่มานี่เพื่อเช็คว่าเราไม่ได้อู้งานใช่ไหม”
“ก็ใช่อยู่...งานแกะข้อความสุดท้ายของอาจารย์ชมรมแกไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“เราว่าจะเลิกล้มมันล่ะ”
“หา!? ทำไม?”
“ลายมืออาจารย์มันแกะยากมาก...เหลือแค่ครึ่งล่างแล้วแกะสลักไม้อีก หลายวันนี้ก็หาคนอื่นมาช่วยๆ กันแล้วก็ยังไม่ได้เรื่องเลย อีกอย่าง...ยังไม่รู้ว่าเจ้านี่มันจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของอาจารย์โซลเลย? สู้ไปแงะกล่องเหล็กนั่นน่าจะดีกว่า...เออ แล้วแงะได้หรือเปล่านั่น”
รอนถูกถามแบบนั้นทำหน้าหนักใจ
“คงต้องรอให้พวกรุ่นพี่กลับมาอย่างเดียว”
“งานนี้เกินฝีมือเราจริงๆ”
บาร์เบสถอนหายใจยกมือยอมแพ้ในที่สุด รอนข้องใจอะไรบางอย่างเลยถาม
“เฮ้ย...แต่นี่มันเกี่ยวข้องถึงชีวิตคนที่แกรู้จักดี จะยอมแพ้ง่ายๆ มันไม่ดีมั้ง”
“เลิกดื้อรั้งในเรื่องที่เปล่าประโยชน์กับเชื่อมั่นสิ่งที่ไม่รู้ มันคนละเรื่องนะรอน ฉันไม่ได้ยอมแพ้เรื่องอาจารย์แม้แต่น้อยเพียงแต่อยากหาทางที่เป็นไปได้มากที่สุด”
“งั้นก็ดี...มาช่วยรับเวรแทนฉันหน่อยสักสองวัน”
“เฮ้ย! มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหน?”
“ก็แกไม่อยู่ ถึงได้ทำงานหนักสองเท่าแทนไง”
“เออๆ...ทำก็ได้ เจ๊าๆ กันไป ขอจัดการเก็บของพวกนี้สักพักเดี๋ยวลงไปหาอะไรกินกัน”
“อือ”
รอนอยากจะช่วยเพื่อนเก็บของอยู่แต่คิดว่าถ้าหยิบอะไรมั่วซั่วจะเละกว่าเดิมเลยยืนรอแทน เขาหันมองรอบตัวไปเรื่อยๆ ไปสะดุดแผนที่แผ่นดินเหนือชั้นหนังสือติดผนังข้างหลังบาร์เบส
“แผนที่นั่น...”
เขาหรี่ตามองพยายามสะกดชื่อที่อยู่ตรงขวาล่างของแผนที่ซึ่งเป็นภาษาพื้นฐานที่เล็กมาก บาร์เบสได้ยินแบบนั้นแล้วไม่ได้หันตามไปดูเพราะรู้ดีว่าอะไรอยู่ข้างเขา
“อ๋อ...แผนที่ภูมิศาสตร์คริสตัลฟอร์ไง”
“มีของแบบนี้ด้วย?”
“ในชั้นเรียนหัดตั้งใจบ้างสิ” บาร์เบสว่าไปนั่น “มันเป็นของที่ทำไว้หลายร้อยปีแล้ว อันนี้แค่ของก็อบปี้แต่ก็มีการทำงานทางเวทย์เหมือนกับต้นฉบับ”
“ทำงานทางเวทย์?”
“คล้ายๆ กลไกเวทมนต์นั่นแหละ ที่สร้างเงื่อนไขอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งไง” บาร์เบสอธิบายไปเก็บของไปด้วย “แผนที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อศึกษาสภาพภูมิประเทศและเตือนสภาวะฟอร์ดาวน์...รอน จำได้ใช่ไหมว่าฟอร์ดาวน์คืออะไร”
“เออ จำได้...แผ่นดินร่วงลงใต้โลกขอบโลกอะไรนั่นใช่ไหม”
“งั้นเห็นเส้นแบ่งอาณาเขตแผ่นดินเป็นหกเหลี่ยมพวกนั้นไหม เวลาอาณาเขตส่วนไหนจะฟอร์ดาวน์ภายในวันสองวันมันจะขึ้นเตือน”
“ใช่สีแดงๆ กระพริบหรือเปล่า”
“อือนั่นแหละ...เฮ้ย นายก็ยังตั้งใจเรียนบ้างอยู่นี่หว่า”
“เปล่า...มันกระพริบอยู่”
ทันใดนั้นของที่บาร์เบสกำลังขนอยู่ถูกปล่อยลงพื้น เขาหันกลับไปมองที่แผนที่คริสตัลฟอร์ ตรงกลางล่างมีแผ่นดินหกเหลี่ยมย่อส่วนที่มีเมืองด่านแรกของอาณาจักรเฟธกำลังส่องแสงกระพริบสีแดง
“เมืองบาลาส...ออริน่าอยู่ที่นั่นนิ!?”
◊◊◊
[เมืองบาลาส – ยี่สิบนาทีหลังจากแผ่นดินไหว]
“ผู้จัดการออริน่าค่ะ...ขอเรียนให้ทราบว่าตอนนี้เสริมอาคารทั้งหลังด้วยเวทมนต์เชื่อมกับชิลด์คริสตัลเสร็จแล้วค่ะ! แต่ว่ามัน...”
พนักงานโรงแรมเมอรี่อินคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องใช้เวทมนต์เฉพาะสถานการณ์แบบนี้เข้ามารายงานกับผู้จัดการที่ถูกเรียกด้วยชื่อว่าออริน่า ฉันที่เพิ่งลงบันไดลงมาหลังจากขึ้นไปบนห้องเพื่อสวมผ้าคลุมปิดบังตัวไว้เพราะเริ่มมีคนข้างนอกเข้ามาหลบภัยภายในโรงแรม พอลงมาถึงชั้นแรกก็เห็นแท่งคริสตัลหกเหลี่ยมขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตรตั้งอยู่กลางห้องโถงโรงแรมแห่งนี้โดยที่พื้นใต้คริสตัลนั้นมีวงเวทย์หกเหลี่ยมขนาดสามเมตรถูกเขียนขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้งสองอย่างนั้นต่างส่องแสงกระพริบทุกๆ สิบวินาที ผู้จัดการถอนหายใจแล้วบ่นพึมพำ
“ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
เราเพิ่งรู้ว่าโลกนี้มีแผ่นดินไหวด้วย
ฉันคิดแบบนั้น
“ท่านสัสดีบอกกับเธอแบบนั้นจริงๆ เหรอ? เป็นความคิดที่ไม่ดีเลยนะ”
“ก็ใช่สิ เรย์ลี่จะโกหกไปทำไม...ท่านสัสดียังบอกว่าคุณมาเรียเป็นคนบอกเองเรื่องแขนซ้ายนั่น อะไรก็ตามที่เพิ่มโอกาสก็ต้องคว้าไว้ เป็นสิ่งที่สัสดีสั่งสอนมาตลอดไม่ใช่หรอ?”
ได้ยินเสียงคุยกันใกล้ตัวเป็นมาเรียกำลังเถียงอยู่กับเรลี่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์เลยเดินไปเข้ากลางวง เธอถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง
“ถ้าเป็นแบบนั้น...ฉันจะคุ้มครองคุณเฟลิกซ์เอง ส่วนเธอเรย์ลี่เป็นคนนำทาง”
“โอ้ว! เชื่อใจแล้วเย้! เอ๊ะ!? ถ้าเกิดอะไรเรย์ลี่ต้องโดนก่อนใครเลยอ่ะดิ!”
“ก็ใช่ไงค่ะ”
มาเรียยักไหล่ตอบราวกับเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เรย์ลี่อมแก้มป่องแล้วคว้าแขนขวาฉันกอด
“เชอะ! แต่เรย์ลี่อยากจะอยู่ข้างๆ ท่านพี่ตลอดนี่น่า!”
“มันเรื่องอะไรกันหรอคะ?”
ฉันที่ฟังกลางคันไม่รู้เรื่องตั้งนานเอ่ยถาม มาเรียเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเต็มหนัก
“เราจะไปช่วยท่านสัสดีค่ะ คุณเฟลิกซ์คงอยากไปด้วยใช่ไหม?”
“แน่นอน...คันไม้คันมืออยากลองแขนซ้ายนี่ใจจะขาดแล้ว”
ที่ฉันว่างั้นไปเพราะหลังจากได้ลองของที่ห้องต่างมิติกับเจ้าหุ่นยนต์แมงมุมแล้วค้นพบว่าแขนซ้ายใช้งานได้คล่องแคล่วและเอนกประสงค์กว่าที่คิด มันยิงมือออกไปคล้ายตะขอได้และควบคุมการเลี้ยวได้ดั่งใจนึกกับพลังหมัดของมันแม้แต่เจ้าหุ่นแมงมุมนั่นยังกระเด็น เมื่อเรย์ลี่เห็นว่าทุกอย่างผ่านอนุมัติเลยชูมือขึ้น
“งั้นพวกเราก็รีบไปกันเลย! ท่านสัสดีกำลังรอให้พวกเราไปช่วยอยู่นะ!”
เรย์ลี่ลั่นวาจาเสร็จขยับแข้งขากระโดดไปมาให้เห็นแล้วพากันเดินเกาะกลุ่มจะออกจากโรงแรมนี้ แต่ถูกผู้จัดการออริน่าทักก่อน
“พวกคุณจะไปไหน!?”
“ไปหาคนๆ หนึ่งค่ะ” มาเรียตอบด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะคุย
“งั้นคุณลูกค้าต้องระวังตัวหน่อย สถานการณ์เมืองตอนนี้วุ่นวายมาก...ไม่ใช่สิต้องถึงขั้นเรียกว่าอาณาเขตเมืองกำลังเข้าขั้นวิกฤต”
“หมายความว่าไง?”
ฉันถามให้มันชัดเจนเพราะได้ยินคำว่า ‘อาณาเขตเมือง’ ซึ่งเป็นคำที่เคยเห็นผ่านตาแถวๆ ป้ายหน้ากิลด์ผจญภัยแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดถึงตอบคนละเรื่อง
“เห็นคริสตัลกระพริบนี้ไหม...มันมีการตอบสนองกับแกนกลางคริสตัลของอาณาเขตเมืองต่อเมื่อมานาของแกนกลางเริ่มเสื่อมลง เท่าที่ดูมาสักพัก อาจจะร้ายแรงมากถึงกับทำให้เกิดฟอร์ดาวน์ขึ้นมาได้”
คำตอบนั้นทำให้ฉันและอีกสองคนนิ่งสนิทก่อนที่จะได้รับคำอธิบายเพิ่มเติม
“แต่มันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์...ถ้าเข้าไปตรวจสอบแกนกลางคริสตัลได้ล่ะก็...”
“แล้ว...มันทำไมล่ะ? มันก็ตรวจสอบได้ไม่ใช่หรือไงว่ามันจะฟอร์ดาวน์หรือไม่ฟอร์ดาวน์”
เรย์ลี่ถามตรงไปตรงมาและนั่นทำให้สีหน้าผู้จัดการแย่ลงไปอีก
“แผนที่เข้าไปตรวจสอบแกนกลางคริสตัลที่ได้มาจากผู้ว่าเมืองนี้...มันเป็นของปลอม”
“ของปลอม!? เดี๋ยวก่อนนะคะ แล้วเอาเรื่องนี้มาบอกพวกเราทำไม? คิดว่าพวกเราช่วยอะไรได้หรือคะ?”
มาเรียที่เพิ่งนึกได้เลยถามกลับไป ผู้จัดการเลิกคิ้ว
“หือ!? ก็เห็นลูกน้องเราว่าเห็นหนึ่งในพวกคุณไปพูดคุยติดต่อกับผู้ว่าฯ ติดต่อกันวันสองวันนี้เลยคิดว่าพวกคุณน่าจะช่วยฉันไปหาผู้ว่าฯ ที่หายตัวไปตอนนี้ได้”
“ผู้ว่าฯ...”
ทั้งฉันและมาเรียพึมพำแล้วมองหน้ากันก่อนที่จะหันไปบอกกับผู้จัดการด้วยการส่ายหน้า เธอขมวดคิ้วถามต่อ
“ไม่ได้ไปหากันจริงๆ หรือคะ...งืม บางทีพวกคุณอาจจะไม่รู้จักเขาตำแหน่งนั้นก็ได้...เพราะเขามักถูกเรียกว่านักเวทย์ประจำเมืองนี้”
“นั่นแหละที่ฉันไปเจอมา!”
ฉันรีบตอบกลับแบบนั้นไปเลยทำให้ความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้จัดการอีกครั้ง
“ช่วยพาฉันไปหาเขาที!”
“เอ่อ...คือเรื่องนั้นล่ะค่ะที่มีปัญหา คือว่ามันเป็นแบบนี้นะคะ...”
มาเรียว่าแล้วเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักเวทย์ประจำเมืองกับแกนกลางคริสตัลที่เอทินไปเจอเข้า...พอเล่าจบก็ใบหน้าของผู้จัดการซีดเผือกสนิท
“ถะถ้าเป็นแบบนี้แล้ว...ต้องให้ทุกคนที่นี่เมืองนี้...อพยพเดี๋ยวนี้เลย”
“มันไม่ตื่นตูมไปหน่อยหรอ? มันยังไม่ชัวร์ว่าเกิดขึ้นแน่ๆ นี่น่ะ” เรย์ลี่ออกความเห็น
“แต่เรื่องที่พวกคุณว่ามานั้นทำให้ความเป็นไปได้มีมากขึ้นเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ”
ตัวเลขความเป็นไปได้มากขนาดนั้นทำให้ใจฉันไม่สู้ดีเพราะเคยมีประสบการณ์ตกขอบโลกตั้งสองครั้ง
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย...ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นจริงล่ะก็...
“พวกเราต้องรีบไปตามหาพวกสัสดีเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
มาเรียเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“แหงสิค่ะ! เดี๋ยวฉันนำทางให้!”
เรย์ลี่วิ่งออกนำไปก่อนแล้วตามด้วยฉันและมาเรีย ส่วนผู้จัดการนั้นยืนทำใจอยู่หนึ่งนาทีก่อนที่จะหันไปสั่งลูกน้องทุกคน
“ทุกคน! นี่คือภาวะฉุกเฉิน! อพยพออกจากอาณาเขตเมืองนี้ทันที!...ปรากฏการณ์ฟอร์ดาวน์กำลังจะเริ่มแล้ว!”
◊◊◊
[ครึ่งชั่วโมงต่อมา – ย่านสลัมในเมืองบาลาส]
“ในซ่อง!?”
เรย์ลี่ที่เป็นคนนำทางพอเดินย่างก้าวเข้าเขตชุมชนหนาแน่นเอ่ยขึ้นมาจนมาเรียดุใส่
“ปากเสีย! นี่มันย่านสลัม...ไม่ใช่ว่าสลัมทุกที่จะเป็นซ่องไปซะหมดนะคะ”
“ข๊าค่ะ ขอโทษค่ะ”
เรย์ลี่ขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจริงใจนักแต่ฉันก็ไม่สนใจเพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือตามหาพวกของสัสดีให้ครบแล้วรีบเผ่นออกจากอาณาเขตเมืองนี้...ซึ่งตอนแรกฉันเข้าใจว่าแค่ออกจากเมืองนี้ก็พ้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วต้องข้ามแม่น้ำคริสตัลไปทางเหนือแล้วเดินเท้าต่ออีกหน่อยก็จะพ้น ‘อาณาเขตเมือง’ จริงๆ ที่จะมีเส้นทึบเวทมนต์สีฟ้าที่มีแต่ผู้ใช้เวทย์ระดับกลางขึ้นไปถึงจะเห็นมันได้ เรื่องนี้รู้มาจากมาเรียอธิบายระหว่างทางมานี่
ท้องฟ้าเวลานี้เริ่มเห็นดาวแล้ว...ฉันกับอีกสองคนเดินเข้าย่านสลัมไปเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านที่ดูรกร้างแห่งหนึ่งที่มีเอทินยืนหลับเฝ้าทางเข้าบ้านนี้อยู่ มาเรียเข้าไปปลุก
“คุณเอทิน...คุณเอทินค่ะ”
“หือ!? ห๊ะหา!? ใครหรือ?”
“ฉันมาเรียเองค่ะ ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คะ?”
มาเรียถามแต่เจ้าตัวยังอยู่ในสถานะกึ่งหลับกึ่งตื่นเงยหน้าขึ้นมองมาเรียอย่างไม่ได้สติ เรย์ลี่เห็นท่าไม่ดีเพราะเสียเวลาเลยช่วยทำให้มันสั้นลง
“มาเรียข๊า ถอยหน่อยถอยหน่อยเดี๋ยวปลุกเจ้าโล้นนี่เอง!”
“อ๊าก!!!”
เอทินเอามือกุมเป้าลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายเพราะเรย์ลี่เหวี่ยงเท้าสุดแรงเกิดเข้าที่จุดสำคัญของผู้ชายจนฉันอ้าปากค้าง
ขวานผ่าซากสุดๆ เลยยัยนี่!
“เรย์ลี่! เธอไปเจาะกล่องดวงใจเขาทำไม!?” มาเรียถาม
“เอ่อ...ทำไมเขาดูทรมานจัง”
เรย์ลี่พูดแล้วทำสีหน้าไม่สู้ดี มาเรียเลิกคิ้ว
“อย่าบอกนะเธอไม่รู้ว่าเขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกับสิ่งที่เธอทำเมื่อกี้”
“เจ็บ!? อ้าว...ได้ยินมาว่าวิธีนี่ทำให้ผู้ชายตื่นนอนได้ทันทีเลยนิ” เรย์ลี่เบ้ปาก “แต่เรื่องเจ็บตัวไม่เห็นจะรู้นิ”
“ไปเตะแบบนั้นเป็นใครก็เจ็บทั้งนั้น! รีบใช้เวทย์บรรเทาให้เขาเดี๋ยวนี้เลย!”
“คะค่ะ!”
และแล้วฉันก็ยืนรอความวุ่นวายนี่ประมาณสองนาทีถึงจะจบลง เอทินที่ได้สติทำหน้าป่วยเกือบลาโลกถึงแม้จะได้เวทมนต์ช่วยรักษาอาการปวดแล้วแต่การผ่านความเจ็บปวดของช่วงล่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต มาเรียรีบถามเข้าเรื่อง
“คุณเอทิน...แล้วท่านสัสดีละคะ?”
“อะอ๋อ...เข้าไปข้างในนี้แล้ว...อุ้ย” เอทินชี้ทางไปยังในบ้านร้าง
“ในบ้านนี้!?”
“เห็นว่ามันมีถ้ำที่ขุดลึกลงไปในบ้านร้างนี้ครับ...โอ้ย”
“อือๆ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ...คุณรีบออกจากอาณาเขตเมืองนี้เถอะ”
“หือ? ให้ออกเมืองนี้?”
“ไม่ใช่ค่ะ ออกจากอาณาเขตเมืองนี้เลยค่ะ คือ...พื้นที่บล็อกอาณาเขตเมืองนี้กำลังจะฟอร์ดาวน์ค่ะ”
เพียงเท่านั้นเอทินเบิกตาโตตื่นเต็มที่ มาเรียว่าต่อ
“อย่าถามต่อว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น...คุณรีบหนีไปเถอะค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
เอทินวิ่งก้าวขาเก้งกางออกไป เรย์ลี่แอบขำกับท่าทางนั้นก่อนที่จะถูกมาเรียส่งสายตาดุใส่ว่าเป็นคนทำเขาแท้ๆ ยังไปหัวเราะเยาะอีก ฉันเพิ่งสังเกตว่าแถวนี้ไม่มีคนอยู่เลยสักคนเลยคิดว่าคงอพยพกันหมดแล้วเพราะระหว่างทางที่วิ่งมามีเสียงดังไปทั่วเมืองคล้ายโทรโข่งบอกให้อพยพ มาเรียบอกว่าเป็นเวทย์ขยายเสียงที่ใครสักคนเป็นคนใช้แน่นอน
และยังมีเรื่องการสันนิฐานเกี่ยวกับกินซ่าของสัสดีที่เคยพูดไว้กับเรย์ลี่ผ่านโทรจิตก่อนที่จะติดต่อไม่ได้ เห็นว่าการที่กินซ่าทำการดูดมานาจากตัวมนุษย์อยู่เรื่อยๆ นั้นเหมือนกับช่วงร้อยปีก่อนที่นางที่เผ่าปีศาจซึ่งตอนนั้นไม่ว่าอะไรที่ดูดมานาได้นางก็จะดูดไปหมดโดยที่นางทำลงไปนั้นสัสดีสงสัยว่าทำไปเพื่อเพิ่มขีดจำกัดสูงสุดมานาในตัว แต่ไม่รู้ว่าจะกักเก็บมานาไว้มากทำไมเพราะดันตายเสียก่อน...ก่อนที่จะเจอนางอีกครั้งในเมืองนี้ วิธีการคืนชีพของสาวแวมไพร์คนนี้ก็เป็นปริศนาอีกชิ้นหนึ่ง
ทั้งนี้ทั้งนั้นกว่าที่สัสดีจะรู้ตัวว่าตัวเองถลำลึกออกนอกภารกิจในการพาตัวเฟลิกซ์ไปสู่อาณาจักรนิวส์ไลฟ์ก็หาตัวกินซ่าเจอพอดี...เลยตัดสินใจแค่เตือนเธอและจะออกจากเมืองนี้
แต่ทว่ากลับเกิดเรื่องสองอย่างพร้อมกัน
ทำให้สัสดีไม่สามารถปล่อยเรื่องพวกนี้ได้ แน่นอนว่าฉันถามว่าทำไมต้องแคร์ด้วย...เรย์ลี่ให้คำตอบว่าที่สถาบันนิวส์ไลฟ์ปลูกฝังเกี่ยวกับเรื่องแกนกลางคริสตัลและต่อต้านการเกิดฟอร์ดาวน์มากอยู่ มันอาจจะไปสะกิดความรู้สึกเบื้องลึกของเขาและคิดว่าสองเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ จุดเชื่อมต่อก็คือวงเวทย์ประจำเมืองที่มีส่วนเชื่อมต่อกับแกนกลางคริสตัลถูกแอบแก้ไขโดยกินซ่า
เรื่องยุ่งยากซะจริงๆ
ฉันเกาหัวแล้วมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
บ้านร้างหลังนี่...
ฟืววววววววว...
เสียงปะทุคล้ายปืนดังขึ้น ฉันตกใจดันไปตามต้นต่อเสียง...เป็นเรย์ลี่ที่ชูบางสิ่งที่คล้ายปืน แฟลร์แต่กระบอกมันใหญ่กว่ามากและมันยิงพลุสีส้มขึ้นไปกลางอากาศแล้วมันส่องแสงสว่างอยู่พักหนึ่ง
มีของแบบนี้ในโลกนี้ด้วย!?
“เรย์ลี่!? เธอทำอะไร?” มาเรียถาม
“ยิงสัญญาณเรียกกำลังเสริมที่รออยู่นอกเมืองค่ะ” เรย์ลี่ตอบแล้วเก็บปืนนั้นลง “คงมาตอนเรากลับขึ้นมาพอดี”
“กำลังเสริม?” มาเรียไม่เข้าใจ
“ของท่านสัสดีค่ะ...เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะ”
ครืนๆๆ
เกิดแผ่นดินไหวอีกรอบ ซึ่งฉันเองไม่แน่ใจว่าเป็นอาฟเตอร์ช็อกเหมือนกับชาติที่แล้วหรือเปล่าแต่มันไหวแรงน้อยลง มาเรียมองเรย์ลี่แล้วให้พยักหน้าให้สัญญาณก่อนที่จะพูดกับฉัน
“คุณเฟลิกซ์...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้อยู่ข้างๆ ฉันและทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่างนะคะ”
แล้วเธอก็จับข้อมือฉันเดินเข้าอุโมงค์ลับใต้บ้านร้างหลังนี้โดยมีเรย์ลี่เป็นคนนำทาง
◊◊◊
หลังจากที่ผ่านกันเดินผ่านรูถ้ำเล็กๆ ที่คล้ายกับทางหนีลับที่บ้านหลังแรกที่ฉันเคยอยู่นั้นก็พบกับโพลงถ้ำภายในขนาดใหญ่แต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟน้อยๆ จากไม้คทาของเรย์ลี่ พวกเราทั้งสามคนเกาะกลุ่มค่อยๆ เดินตามเรย์ลี่ที่จมูกเธอได้กลิ่นของสัสดี แต่แล้วกลับเดินเข้ามาติดกับวงเวทย์แบบวงกลมที่เพิ่งเห็นบนโลกนี้ครั้งแรกบนพื้น
ขยับตัวไม่ได้!?
“หึหึ พลังเวทย์ของข้ามันดีขึ้นถึงขนาดใครๆ ก็จับกลิ่นอายมันไม่ได้เลยหรือนี่”
กินซ่าเอ่ยขึ้นจากในเงามืดแล้วเดินมาทำหน้าพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้
ปัดโธ่โว้ย พลาดจนได้…
“นั่นมันผลงานเราต่างหาก อุตสาห์เสี่ยงใช้วงเวทย์ต้องห้ามมานานจนได้อันที่สามารถกลบกลิ่นเวทย์ของเธออีกทั้งสร้างความมืดขึ้นมานี่อีก”
เสียงที่สองดังขึ้นเป็นผู้ชายเสียงแหบหน่อยรู้สึกคุ้นหูพอสมควรแต่ฉันยังไม่เห็นหน้าเพราะหันไปมองทางขวาต้นตอของเสียงไม่ได้และมันมืดมากด้วย
ไม่ได้มีคนเดียวหรอเนี่ย!?
“ข้ารู้น่า...รีบๆ เตรียมการให้ข้าต่อได้แล้ว...เดี๋ยวข้าจัดการพาสามตัวที่ไปลานบวงสรวงเอง”
“ขอรับขอรับ”
สองคนนั้นตกลงกันเสร็จก็มีเสียงกระทุ้งไม้เท้าหนึ่งที ทำให้พื้นนี้ภายในถ้ำนี้เกิดสว่างจ้าขึ้นมาจนแสบตา ระหว่างนั้นเหมือนถูกลมพัดกระแทกที่กินซ่าเสกเวทมนต์ใส่ตัวลอยไปกลิ้งชนใครสักคนที่อ้าแขนรับพอดี
“เจ้าเด็กใหม่!”
“สะสัสดี!?”
กลายเป็นว่าตัวฉันปลิวมาอยู่ในอ้อมแขนของสัสดีพอดี...และการที่เขาหลีกเลี่ยงการสัมผัสแขนซ้ายจักรกลโดยตรงทำให้มือขวาของเขาที่สอดใต้แขนซ้ายมานั้นเกือบจะสัมผัสโดนหน้าอกฝั่งขวา
แล้วฉันมาคิดบ้าเรื่องนั้นอะไรตอนนี้เนี่ย!
“โอ้ย!”
“เจ็บๆๆๆๆๆ”
“มาเรีย! เฟลิกซ์! เรย์ลี่!? มาได้ไงเนี่ย!?”
อัศวินอาเซียที่นั่งอยู่กับพื้นข้างๆ ถาม
“ท่านคราวน์ใช้โทรจิตเรียกพวกเขามาใช่ไหมคะ”
ยูกะถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี สัสดีถอนหายใจ
“ข้าผิดเองที่ลากพวกเจ้าสามคนมานี่”
บทสนทนาของทั้งห้าคนที่เกิดขึ้นฉันไม่สนใจเท่ากับสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัวตอนนี้ มันเป็นโพรงถ้ำกว้างสิบเมตรที่เต็มไปด้วยหินคริสตัลที่ผุดขึ้นตามพื้นผนังและเพดาน ที่ๆ ฉันอยู่นั้นอยู่ติดมุมที่มีสนามพลังหรือบาเรียครึ่งทรงกลมสีฟ้าครอบไว้อยู่แล้วข้างหน้ามีแท่งคริสตัลฟ้ารูปร่างหกเหลี่ยมชัดเจนขนาดใหญ่กว่าตัวฉันสิบเท่า มันปักอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยคริสตัลที่ประสานเชื่อมต่อไปยังคริสตัลชิ้นอื่นไปทั่วบริเวณพร้อมกันถ่ายโอนพลังบางอย่างที่ฉันเห็นมันเรืองแสงสีฟ้าออกเป็นคลื่นรอบตัวและพื้นถ้ำในนี้ยังมีหลุมที่เป็นเหวตกสู่โลกเบื้องล่างที่มองไม่เห็นกว่าสิบที่ทำให้รู้สึกโชคดีขึ้นมาที่ไม่เดินตกหลุมนรกพวกนี้
และแล้วฉันก็เห็นหน้าตาผู้ชายปริศนาอีกคนที่อยู่ข้างๆ กินซ่าอย่างชัดเจน เขากำลังใช้คทาวาดเส้นวงเวทย์กลางอากาศโดยใช้คริสตัลเป็นพลังในสร้างเส้นเรืองแสงสีฟ้าขึ้นมา
นั่นมันนักเวทย์ประจำเมืองที่เจ้าเอทินไปให้เขารักษานิ…
เขาที่บอกให้เราหนีไปแล้วเลือกที่จะสู้กับกินซ่า
นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!?
“นี่...ทำไมสองคนนั้นถึงอยู่ด้วยกัน”
ฉันเอ่ยขึ้นมาพูดกับตัวเองแล้วชี้นิ้วไปยังทั้งสองคนเบื้องหน้า อาเซียตอบอย่างขุ่นแค้น
“เราถูกพวกเขาเล่นละครตบตาเข้าให้นะสิ”
“โล่มานากังขังนี่มันอะไรเนี่ย รูปร่างแบบนี้ไม่เคยเห็น”
เรย์ลี่ชื่นชมกับโล่สีฟ้าที่ครอบตัวพวกเราทั้งหมด เธอพยายามจะเดินออกไปแต่โล่มานาไม่ยอมให้ผ่าน เธอเลยตะโกนเรียกคนร้ายทั้งสองคน
“เฮ! พวกแกสร้างโล่นี่ยังไงอ่ะ!? ฉันอยากรู้! บอกหน่อยเด่!”
“เรย์ลี่ โล่นี่มันกั้นเสียง พวกเขาไม่ได้ยินหรอก”
สัสดีว่าเช่นนั้น เรย์ลี่เลยถอยกลับมานั่งลงที่เดิมและแล้วทุกคนก็ได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกันและกัน ฉันหันไปดูทางแท่งคริสตัลอันใหญ่หรือสัสดีเรียกมันว่าแกนกลางคริสตัลอีกที ก็เห็นร่างของกินซ่าค่อยๆ จมลงในแกนกลางนั่น ทันใดนั้นมีคลื่นที่แผ่ออกไปรอบถ้ำของแกนกลางย้อนกลับเข้าหากินซ่าเหมือนกำลังเติมพลังยังไงอย่างงั้น
นักเวทย์ประจำเมืองนั่นฉีกยิ้มเห็นได้แต่ไกล เขาเดินมาทางนี้เข้ามาใกล้แล้วใช้คทาแตะที่ตัวโล่ที่คลุมอยู่ครั้งหนึ่งเกิดปฏิกิริยาคลื่นกระจายเหมือนโยนหินลงน้ำแต่โล่นั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
“ต้องขออภัยทุกคนด้วย เราไม่คิดว่าพวกคุณจะดื้อดึงเข้ามายุ่งมากขนาดนี้”
“แก!!”
อาเซียเลือดร้อนลุกขึ้นวิ่งโถเข้าใส่แต่ชนกับโล่มานาเลยหงายหลังล้มลง โอบีออกโรงเตือน
“อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบเมื่อกี้อีก ไม่งั้นจะจับโยนหลุมเหวสู้ก้นโลกนี่…อ๋อ เราปิดการทำงานวงเวทย์ประจำเมืองไว้แล้ว ไม่มีการเทเลพอร์ตอัตโนมัติช่วยคนที่ตกลงอีกต่อไป”
เมื่อคำขู่จบลง สัสดีที่เงียบขรึมถามว่า
“ท่านโอบี ท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่...ถึงไปร่วมมือกับกินซ่าปีศาจกระหายมานา?”
“ถามหาเหตุผลงั้นเหรอ...มันแสนจะเรียบง่าย เพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
“หา!?”
อะไรของตาแก่หน้าคล้ายลากัซเนี่ย!?
ฉันกระพริบตาปิบๆ กับเหตุผลตื้นเขินที่เคยฟังจากหนังภาพยนตร์ชาติที่แล้วจนเคยชิน สัสดีที่ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีถามต่อไป
“ท่านโอบี ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“จะให้พล่ามให้ฟังใช่ไหม? ได้ๆๆ งั้นฟังไว้ให้ดีก่อนที่พวกเธอจะไม่ได้ฟังอีกต่อไปแล้วล่ะกัน”
พอได้ยินตัวร้ายพูดแบบนั้นแล้วฉันกรอกตาขึ้น
นี่มันพล็อตตัวร้ายปากมากชัดๆ
ถึงไม่อยากจะฟังแต่มันเข้าหูผ่านๆ เลยรู้มาบ้างว่า ไอ้ตาแก่หน้าคล้ายลากัซที่เป็นนักเวทย์ประจำเมืองบาลาสที่นี่เนี่ยเคยเข้าร่วมรบกับสงครามระหว่างผู้กล้าคนก่อนกับจอมมารเมื่อสองร้อยปีก่อนแน่นอนว่ามันเกิดก่อนสงครามสามเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ ตาโอบีนี่เป็นหนึ่งคนในทีมผจญภัยของผู้กล้าทำหน้าที่เป็นนักเวทย์สนับสนุน พอจบสงครามเขาได้ตระหนักว่ามนุษย์อ่อนแอพึ่งแต่สิ่งของที่อัดพลังเวทย์ไว้ต่างกับพวกเผ่าปีศาจและเอลฟ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีสื่อนำหรือของพวกนั้นเลยคิดริเริ่มหาหนทางทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจหรือเอลฟ์ซะเองแต่ถูกคนในกลุ่มผู้กล้าไม่เห็นด้วยเลยถูกถีบหัวส่ง
เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นความแค้นฝังลึกตลอดสองปีร้อยที่ผ่านมา เขาทำการทดลองอะไรหลายๆ อย่างจนบางครั้งลองกับตัวเองแต่พลาดเลยมีร่างกายเหี่ยวแห้งไม่ค่อยแข็งแรงแต่ยังคงไม่หยุดหาทางต่อไปจนค้นพบวิธีหนึ่งเจ้า ยูกะที่เริ่มจะเดาออกเลยเอ่ยขึ้น
“วงเวทย์โบราณต้องห้าม...แบบวงกลม?”
“หึ!? พวกเอลฟ์อย่างเจ้ารู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย ทำไมเราไม่ยักรู้” โอบีหรี่ตาลง “หรือว่าไปเจอหนังสือเล่มนั้นที่บ้านเรา”
“ของอันตรายพันนั้นไปเจอที่ไหนฉันจะตามเผาทิ้งให้หมด!”
ยูกะโกหกออกไป อาเซียหันมามองหน้ายูกะด้วยสีหน้ามึนงงซึ่งยูกะส่งซิกให้เล่นละครตามน้ำ โอบีส่งเสียงหัวเราะในลำคอตอบ
“หึๆ ของดีแบบนั้นเธอเผาหมดได้ยังไง? เป็นนักเวทย์เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ควรเห็นคุณค่าของมันสิ...หรือโดนพวกเอลฟ์ชั้นสูงเป่าหูจนเพี้ยนไปแล้ว?”
“ของอันตรายคือของอันตรายวันยันค่ำค่ะ ฉันไม่เสี่ยงที่จะปล่อยให้มันมีตัวตนอยู่บนโลกนี้”
“ฮ่าๆ ชั่งเถอะ หนังสือเล่มนั้นที่เธอเจอมันแค่แบบคัดลอก ของจริงที่มีคำอธิบายเราฝากไว้กับคนที่ไว้ใจแล้ว”
สิ่งที่โอบีบอกนั้นทำให้ยูกะกัดฟัน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรถึงมีกินซ่าเข้ามาเอี่ยวด้วย? ท่านเป็นคนปลุกชีพนางขึ้นมาหรือ”
สัสดีลากกลับมาเข้าเรื่อง ฉันที่เพิ่งเอะใจได้แอบชมในใจ
นี่มันเทคนิคหลอกถามข้อมูลตรงๆ กันเลยนิ!? ใช้ได้อยู่นะสัสดี
“ปลุกชีพ!? เราไม่รู้เรื่องอะไรนั้นหรอก นางกับเราเจอกันด้วยชะตากรรมฟ้าลิขิต...”
และโอบีก็พล่ามยาวไปเรื่อยเปื่อยกับเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนเจอกัน แต่แล้วยูกะสังเกตถึงบางอย่าง
“ท่านนักเวทย์...ช่วยหยุดอยู่นิ่งๆ ได้ไหมคะ”
“หือ? เธอคิดจะทำอะไร...ไม่มีอะไรผ่านโล่ต้องห้ามนี่ได้หรอกถ้าเราไม่กำหนดมันขึ้นมาใหม่”
“ดวงตาท่าน...เหมือนกับคนถูกสะกดจิต ท่านกำลังถูกกินซ่าสะกดจิตอยู่นะคะ!!”
ประโยคเด็ดของยูกะทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปทันที โอบีผงะถอยหลังเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าที่ระแวงสุดขีด
“เธอพูดอะไร!? เราเนี่ยนะจะถูกสะกดจิต...เป็นไปไม่ได้! นางออกจะบริสุทธิ์ใจมากขนาดนั้น”
ประโยคลงท้ายของโอบีทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในโล่มานาเลิกคิ้วพร้อมๆ กัน ยูกะเริ่มทำการไซโคต่อ
“ท่านรู้ตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ...ฉันเชื่อว่าท่านอยากจะเป็นตัวของตัวเองไม่เป็นของใครอื่น ลองใช้เวทย์ไล่ผลของการสะกดจิตสิ”
“ไม่!! ไม่จริง!”
เหมือนโอบีจะคลั่งไปแล้ว เขาใช้คทาจ่อที่โล่มานานี้...เสียงของยูกะที่พยายามกล่อมไปไม่ถึงเสียแล้ว แต่เสียงจากภายนอกก็ยังเข้ามาได้ตามปกติ
“หึๆ เท่านี้เราก็ไม่ได้ยินพวกแกเห่าหอนอะไรอีกแล้ว ฮ่า! พูดบ้าๆ อะไรออกมา เรารับใช้กินซ่าอย่างเต็มใจเพื่อนางที่จะกลายเป็นจอมมารคนใหม่ทำให้เรากลายเป็นปีศาจได้สมใจหวังสักที! ที่เราทำอยู่นี่เพื่อลดระยะเวลาเส้นทางสู่จอมมารลง ไม่ต้องให้เธอเสียเวลาไปดูดมานาจากพวกชั้นต่ำข้างบนนั่น!”
ในที่สุดจุดประสงค์ที่แท้จริงก็หลุดออกมาจากปากโอบีที่กำลังเสียสติจนได้
อ๋อ ที่ว่าดูดมานาให้ตัวเองเรื่อยๆ นั้นเป็นวิธีกลายเป็นจอมมารได้เนี่ยนะ?
แล้วเจ้าแกนกลางนั่นจะทำให้กินซ่ากลายเป็นจอมมารได้เร็วขึ้น!?
“แล้วพวกแกจะกลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อท่านจอมมารคนใหม่! ฮ่าๆ”
โอบีหัวเราะในจังหวะพอดีกับแผ่นดินไหวสั่นพอดี มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรมากแต่ความที่จังหวะได้เลยทำให้ประโยคที่เขาพูดมาเหมือนมีพลัง
ทุกๆ คนกำลังกลายเป็นเครื่องสังเวย...ตอนนี้เราทำเป็นกักพลังไม่ได้อีกแล้ว
ฉันคิดแบบนั้นเพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากห้องต่างมิตินั้นมันน่าจะใช้พลิกสถานการณ์ตอนนี้ได้...เกี่ยวกับแขนซ้ายของฉันเองที่ผู้คุมประตูบอกคุณสมบัติและวิธีใช้ของมันเป็นรางวัลในการกำจัดหุ่นยนต์แมงมุมจากความทรงจำชาติเก่านั่น
ที่มือซ้ายฉันมันสามารถทำลายเวท---
แต่มันสายเกินไป...อยู่ดีๆ ร่างกายฉันพุ่งออกไปหาโอบีที่ร่ายเวทย์บางอย่าง ที่กลางอกของแนถูกคทาคริสตัลของเขาแทงจมเข้าให้
“อ๊าก!!”
“ในนามของข้า...#$@#)%@#)*)#$@$”
โอบีร่ายคำบางอย่างแต่หูของฉันมันอื้อไปหมด ยังคงสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่ถูกคทาแทงเข้ากลางอกจนโอบีร่ายเวทย์เสร็จเลยใช้เท้ายันถีบส่งตัวฉันเข้าโล่มานากักขังตามเดิม เริ่มมีเลือดไหลทะลักออกมาตรงกลางอกเลยเอามือกุบไว้แต่รู้สึกได้ว่าตรงนั้นกลายเป็นรูขนาดใหญ่แล้ว พอมองไปที่โอบีเห็นปลายคทานั้นมีก้อนเนื้อบางอย่างบีบเต้นเป็นจังหวะ
หะ...หัวใจ...ฉัน
สติฉันกำลังจะเลือนหายแต่แล้วกลับดีขึ้นเพราะมีเสียงดนตรีที่ไพเราะดังขึ้น มันเป็นจังหวะง่ายๆ ที่ฟังสบายหู...เรย์ลี่รีบเข้ามานั่งใกล้ๆ กำลังเป่าเครื่องดนตรีอย่างหนึ่งที่คล้ายฮาร์โมนิก้าหรือเม้าส์ออแกนไม้สั้นเสียงส่วนใหญ่เป็นคีย์ C แต่ที่ทำให้ฉันตื่นตาขึ้นมาเพราะบนระหว่างที่เป่าเพลงนั้นมีออร่าสีเขียวลอยเข้ามาหาตัวฉันและบนศีรษะเรย์ลี่เองมีหูแมวงอกขึ้นมา สัสดีและยูกะต่างช่วยกันร่ายเวทย์รักษาให้ฉันด้วย โอบีที่ยืนดูเอ่ยขึ้น
“โฮะโห...ได้เห็นหายากเลยนะนั่น เผ่าสัตว์โบราณกับเวทย์ดนตรีนี่...เหมาะจริงๆ ที่จะใช้เป็นเครื่องสังเวย ฮ่าๆ”
จะทำแบบเดียวกับฉัน...กับคนอื่นด้วยหรอ?
ฉันที่จะตายแลมิตายแลยังเป็นห่วงคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้ โอบียกหัวใจของฉันที่ยังเต้นอยู่ไม่รู้เพราะเหตุใดขึ้นมาเชยชม
“หัวใจของคนที่มีออร่าแปลกๆ อย่างเธอนี่มีดีอย่างงี้นี่เอง หึหึ...อีกไม่ช้าเธอก็จะตายแม้จะมีคนฮีลให้ตั้งสามคนก็ตาม...แต่อย่างน้อยเราน่าจะรู้สักหน่อยว่าเธอเป็นตัวอะไรกันแน่ แม่สาวผ้าคลุมที่กินซ่าย้ำหนักย้ำหนาว่าต้องเอาหัวใจเธอมาให้ได้...”
“อยาก...รู้งั้นหรอ...”
ฉันเกรงคอขึ้นเพื่อมองโอบีถนัดตาแล้วเปล่วเสียงเท่าที่จะทำได้
“งั้น...กะแก...ดูให้เต็มตาก็แล้วกัน!”
แขนซ้ายที่เก็บแรงไว้นานได้เวลายกขึ้นมาเล็งใส่โอบี มือซ้ายจักรกลพุ่งทะลุโล่มานากังขังออกไปชนเขาอย่างเต็มแรงจนหงายหลังร่วงลงเหวที่อยู่ข้างหลังพอดีหัวใจฉันก็เช่นกัน เสียงร้องโหยหวนดังย้อนกลับมา
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!”
พอแขนซ้ายเด้งกลับมาหาเอนหลังลงพื้นเหมือนเดิม
อย่างน้อยลากมันลงนรกไปด้วยกันได้แล้ว...
แล้วอะไรกันเนี่ย มามุงดูฉันอะไรเยอะแยะ...
ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังจะตายอีกครั้งใช่ไหม เวลาอยู่บนโลกนี้สั้นเหลือเกิน...ขนาดมีแขนซ้ายโกงนี่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ประมาทเกินไป...ฉันควรใช้แขนซ้ายนี้พังโล่กักขังนี่ตั้งนานแล้ว ถ้ารู้ว่ามันพังได้แต่แรกนะ
ครั้งนี้ฉันตายแน่...ลาก่อน.ทุกคน
◊◊◊
นี่มัน...บ้านที่มาเรียเคยอยู่นิ?
ฉันที่ได้สติเอนตัวขึ้นมาจากเตียง สภาพห้องโดยรอบแล้วเหมือนกับบ้านหลังนั้นต่างเพียงมันสว่างจ้ารอบตัวจนมองพวกสิ่งของเหมือนกับภาพวาด เก้าอี้เอนที่อยู่เยี่ยงปลายเตียงทางขวาไปหน่อยมีมาเรียนั่งคอยดูอยู่
“คุณเฟลิกซ์”
“มาเรีย!? ที่นี่มันที่ไหนคะ?”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ คงเป็นโลกระหว่างความเป็นความตายละมั้งคะ”
มาเรียตอบด้วยสีหน้าร่าเริงเหมือนตอนแรกที่ได้เจอกัน
อ๋อ...นี่ฉันตายจริงๆ ด้วยแฮะ
แต่ว่า...
“แล้วทำไมมาเรียถึงอยู่นี่?”
มาเรียได้ฟังคำถามนั้นแล้วได้แต่ยิ้มตอบ
โอ้...ไม่นะ...
“นี่ฉัน...ทำให้คนอื่นต้องตายกันหมดหรอเนี่ย!?”
“หือ? ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกค่ะ คุณเฟลิกซ์ช่วยทุกคนไว้ต่างหาก”
“ช่วยไว้?”
“ทุกคนถูกปลดพันธะการจากนักเวทย์ประจำเมืองก็เพราะคุณ”
“งั้นหรอค่ะ ดีแล้ว...งั้นคุณก็คงเป็นภาพลวงตาที่ฉันสร้างขึ้น?”
ฉันถามเท่าที่คิดได้ มาเรียส่ายหัว
“ตัวฉันตอนนี้ก็คือตัวจริงค่ะ...ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้คุยกับเฟลิกซ์ผ่านความฝันระหว่างที่ฉันกำลังจะจากโลกนี้”
สิ่งที่มาเรียพูดนั้นทำให้ฉันใจหาย
“คุณมาเรีย...ทำไม?”
มาเรียลุกขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียงแล้วใช้มือทาบกลางอกไว้
“ก็หัวใจคุณเฟลิกซ์มันไม่มีแล้วสิค่ะ ฉันเลยใช้คริสตัล...ที่เป็นหัวใจของตัวฉันเองมาแทนที่ให้คุณ”
เพียงเท่านั้นน้ำตาฉันไหลพราก...
“ทำไมกัน...ทำไมล่ะ? เราเพิ่งได้รู้จักกันไม่นาน...ฉันทำแต่เรื่องวุ่นวายแทนๆ ทำไมถึง—”
ฉันพูดไม่ทันจบเธอเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล
“จะพูดว่าใจดียอมเสียสละชีวิตให้กับคนที่รู้จักไม่นาน...คงถูกแค่ส่วนหนึ่งล่ะมั้งคะ ที่ฉันทำแบบนี้แค่ต้องการชดใช้บาปที่เคยทำไว้กับเรย์ลี่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กใหม่อยู่เท่านั้นเอง...เป็นความเห็นแก่ตัวของดิฉันล้วนๆ”
มาเรียพูดแล้วตาตกลง ฉันรีบบอกทันทีว่า
“มะไม่เลยค่ะ! คุณทำสิ่งที่วิเศษมากๆ จนฉันไม่ควรรับไว้ด้วยซ้ำ...ฉันต่างหากที่เห็นแก่ตัว!”
“หึๆ เรย์ลี่พูดอะไรทำนองนี้เหมือนกันเลย...” มาเรียหัวเราะเบาๆ “ตอนที่ฉันกำลังปรับสภาพตัวเองให้กลายเป็นหัวใจของคุณ เอาแต่พูดว่า ‘อย่าทำนะ! ชิ่งหนีตายก่อนชดใช้หนี้ชีวิตเธอไม่ได้! เรย์ลี่ไม่อนุญาต!’ ฮ่าๆ นะตลกดีใช่ไหมคะ”
“มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับเรย์ลี่กันแน่?”
ฉันถามไปมาเรียเอาแต่ยิ้มเหมือนรำลึกความหลังชั่วครู่แล้วจึงบอก
“เกรงว่าไม่มีเวลาเล่ามากพอด้วยสิ...เอาเป็นว่าหนี้ชีวิตที่ติดไว้ทำให้ฉันยอมตายเพื่อเรย์ลี่ได้แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมให้ตายง่ายๆ ล่ะกันค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ตัดสินใจไม่ถามต่อไป ร่างของมาเรียเริ่มจางลงมีเพียงแต่ตรงกลางอกเธอที่มีแสงประกายสีฟ้าที่มีคริสตัลอยู่ภายในตามที่เคยบอกไว้ว่าคริสเมนอย่างเธอนั้นมีคริสตัลเป็นหัวใจ…เป็นแกนกลางสำคัญที่แสดงการมีอยู่ของคริสเมน
“คุณมาเรีย! ได้โปรดอย่าไปไหนเลย! ฉันยัง...ฉันยังไม่ได้ตอบแทนคุณเลยนะ!”
มาเรียยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ คุณเฟลิกซ์ตลอด อยู่กลางใจคุณไงค่ะ...ต่อไปนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ เจ้าสิ่งนี้มันอาจจะทำให้คุณใช้เวทมนต์ขึ้นมาก็ได้...ขอให้สนุกกับมันนะคะ”
น้ำตาหยดสุดท้ายจากมาเรียไหลลงบนหน้าขาฉันก่อนที่ทั้งร่างจะจางหายเหลือแต่แท่งคริสตัลสว่างใสลอยอยู่และมันค่อยๆ ลอยเข้าหากลางอกฉัน
และแล้วโลกรอบตัวก็ขาวโพลนจนทุกอย่างเรือนหายจางไปเหลือแค่ความรู้สึกบางอย่างที่ถลาโลมเข้ามาจำนวนมาก
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.15 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
รอนกับบาร์เบสกลับมามีบทอีกครั้งหนึ่งพร้อมเปิดตัวปีศาจสาวทอมบอย(ซึน?)
ส่วนเฟลิกซ์และพรรคพวกก็เผชิญกับศัตรูที่แท้จริง(และไปไวมาก)
แต่มันทำร้ายเฟลิกซ์ด้วยการกระชากหัวใจไป! มาเรียที่เป็นคริสเมนเลยเสียสละคริสตัลที่เป็นหัวใจให้แก่เธอ! ถึงแม้เฟลิกซ์ไม่อยากรับก็ตาม
แล้วหลังจากนี้เป็นไงต่อ ในเมื่อตัวการใหญ่อย่างกินซ่ากำลังกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างและเมืองบาลาสแห่งนี้กำลังร่วงหล่นสู่ความมืดมิด
โปรดติดตามตอนไปที่มีชื่อว่า
- แกนกลางคริสตัล 5 – [จงเป็นผู้กล้า!]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ