Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  23.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) แกนกลางคริสตัล 3 - [ลางร้าย]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. แกนกลางคริสตัล 3 - [ลางร้าย]

◊◊◊

คนๆ นี้คือนักเวทย์ประจำเมืองที่อาเซียพูดถึงงั้นหรอ...

ฉันกัดริมฝีปากแล้วแอบมองใบหน้าของนักเวทย์ประจำเมืองหรือโอบีสไตรเกอร์กำลังคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับแกนกลางคริสตัลและฟอร์ดาวน์ที่อาเซียกับมาเรียเดินทางมาปรึกษาอย่างเคร่งเครียด ณ ห้องใต้ดินบ้านหลังหนึ่ง

ทำไมหน้าของตาลุงนักเวทย์นี่เหมือนกับเจ้าตาแก่ลากัซชาติที่แล้วด้วย

ตาแก่ที่เป็นเบอร์หนึ่งในการตามรำควาญฉันเรื่องพลังจิต...คงไม่ตามมาถึงโลกนี้ล่ะมั้ง

แต่แอบมองเราหลายรอบนี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยแฮะ

ฉันเผลอเขย่าเท้าตามนิสัยเดิมที่เวลารู้สึกไม่ดีและไม่มีใครเห็นเพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีโต๊ะยาวบังให้อยู่ ขยับผ้าคลุมไม่ให้โอบีสไตรเกอร์ที่นั่งอยู่ฟังตรงข้ามเห็นแขนซ้ายจักรกลของฉัน หลังจากที่เขาฟังเรื่องราวจากมาเรียและอาเซียจบลงหันไปถามเอทินที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา

“เรื่องนั้นมันจริงหรือ เอทิน...ถ้าจรืงแล้วทำไมถึงไม่รายงานให้ทราบ”

“เอ่อ...คือ...ตอนแรกข้าคิดว่ามันเป็นความฝัน”

“ความฝัน!?” อาเซียร้องเสียงสูง “เรื่องแบบนั้นแกคิดว่ามันยังเป็นความฝันอีกเหรอหะ!?”

“ขะขะเข้าใจกันหน่อยสิ!” เอมินผวาจัด “ก็ข้าเมานี่หว่า ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น”

“สิ่งที่เอทินพูดก็มีส่วนถูก มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้” โอบีว่าตามนั้น “แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน”

“มีมูลจริงหรือคะท่าน?” อาเซียรีบถาม

“คือ...พวกหัวค้าธุรกิจรายใหญ่แถวนี้ปกติจะมีสิ่งที่เรียกว่าชิลด์คริสตัล (Shield Crystal) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องทรัพย์พวกเขาในยามฉุกเฉิน ซึ่งลักษณะการทำงานของมันคล้ายๆ แกนกลางคริสตัล...ถ้าแกนกลางคริสตัลเกิดทำงานผิดปกติ—”

“ชิลด์คริสตัลก็จะมีผลกระทบไปด้วย...สินะ” ฉันพึมพำเห็นด้วย ทุกสายตาจึงจ้องมาที่เดียวกันหมด “อ่า...แค่คิดตามที่บอกน่ะ แล้วมันมีผลจริงๆ หรือเปล่า?”

“เมื่อเช้ามีการแจ้งการขนย้ายจำนวนมากจากหลายธุรกิจเจ้าใหญ่...”

“ถ้างั้น...ที่ฉันเห็นพวกรถม้าพวกเรือเป็นขบวนก่อนหน้านี้มัน—”

“พวกเขากำลังย้ายหนีอย่างแน่นอน”

“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงไม่มีการแจ้งเตือนให้ชาวบ้านอพยพล่ะ!?”

พออาเซียถามแบบนั้นไป โอบีทำสีหน้ายุ่งยากขึ้นมาทันทีซึ่งมาเรียไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อย่าบอกนะคะว่าปกปิดเรื่องนี้ไว้!”

“ไม่เชิงปกปิดหรอก พวกคุณอย่าเพิ่งคิดเองเออเองสิ” โอบีว่า “มันยังไม่แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ อาจจะเสื่อมสภาพตามกาลเวลาแต่ยังไม่ถึงขั้นเกิดฟอร์ดาวน์หรอก”

“และถ้ามันเกิดล่ะ?”

อาเซียตอกย้ำอีกครั้ง พอเห็นโอบีสไตรเกอร์ไม่ยอมพูดขึ้นมาสักที มาเรียเลยถามถึงสถานที่

“แล้วทางไปแกนกลางคริสตัลของเมืองนี้อยู่ที่ไหนคะ”

“แกนกลางคริสตัล...มันถูก—”

โอบีสไตรเกอร์หยุดกลางคันเพราะมีแสงสีฟ้าสว่างขึ้นจากข้างหลังเขา มันเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่มาเรียบอกฉันว่ามันเป็นของประจำเมือง พอแสงนั่นหายไปปรากฏร่างของใครคนหนึ่งที่ทำให้ตาของฉันเบิกโตขึ้นทันที

หือ!? ทำไมวงเวทย์นั่นถึงเปล่งแสง?

แล้วทำไม...เจ้ายูริแวมไพร์นั่นโผล่มาดื้อๆ ตรงนั้นล่ะ!

ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ผลลัพธ์ก็คือกินซ่าปรากฏตัวอยู่กลางวงเวทย์ประจำเมืองแล้ว และเอทินออกอาการแค้นสุดเดือดตะโกนลั่น

“นางนั่นมันทำเพื่อนข้าปางตาย!”

“เพื่อนเจ้า? คนไหนหรือ...ข้าไม่ได้ใส่ใจจำแม้แต่น้อย ข้าสนแต่ที่รักของข้าตรงหน้า”

กินซ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุดเย้ายวนเช่นเคยเล่นเอาสันหลังฉันเย็นวาบ

“แก!”

“อย่าๆๆ เอทิน ขืนเข้าไปตอนนี้ตายแน่!” โอบีออกโรงห้ามไว้

“แต่มัน—”

“ไม่ว่าใครที่บังอาจเทเลพอร์ตเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต มันผู้นั้นจะถูกโซ่ตรวนแห่งมนตราจองจำ!”

สิ้นเสียงของโอบี โซ่ขนาดเท่าแขนผุดขึ้นจากผนังหินโดยมีวงเวทย์หกเหลี่ยมขนาดเล็กเป็นฐานและโซ่ที่ปรากฏขึ้นมาจำนวนกว่าสิบเส้นพุ่งไปตึงร่างกินซ่าไว้

“ว๊าย! นี่มันอะไรกัน!”

นักเวทย์ประจำเมืองลุกขึ้นแล้วหยิบไม้เท้าที่มีคริสตัลติดอยู่แล้วเอ่ย

“พวกเธอทุกคน! รีบออกจากที่นี่เร็วเข้า! เดี๋ยวถูกลูกหลงอย่าหาว่าไม่เตือน! กลับไปอยู่ที่ปลอดภัยซะ!”

ทุกคนได้ยินแบบนั้นแล้วต่างวิ่งขึ้นบันไดออกจากห้องใต้ดินนี่ไป แต่ก่อนนั้นฉันก็รู้สึกไม่ดีที่จะทิ้งคนแก่ไว้กับกินซ่า แต่ภาพที่เห็นก่อนออกจากห้องเขาวาดวงเวทย์ขึ้นมากลางอากาศแล้วใช้คริสตัลจี้กลางวงทำให้มีบาเรียหกเหลี่ยมครึ่งลูกขึ้นครอบคลุมจุดที่กินซ่าอยู่เป็นการขังเธอไว้ พอเห็นแบบนั้นแล้วเลยคิดว่าคงรับมือพอไหวแต่อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

◊◊◊

“เธอห้ามออกไปไหนอีก! มาเรียฝากดูแลนางให้ดีด้วย”

“ขอไปด้วยคนสิ!”

“ไม่! มันอันตรายเกินไป เธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เป็นอะไร”

สัสดีขมวดคิ้วสั่งก่อนที่จะเดินออกจากโรงแรมพร้อมกับอาเซียและยูกะที่สวมฮู้ดปิดปังหูยาวของตนเองกับเอทินมุ่งหน้าไปยังบ้านของนักเวทย์ประจำเมืองที่ฉันเพิ่งจะหนีมาและดูเหมือนว่าสัสดีเพิ่งจะกลับมาโรงแรมหลังจากไปทำธุระ [ลับๆ] บางอย่าง

อะไรเนี่ย…อุตสาห์คาบข่าวมาบอกเรื่องกินซ่าแท้ๆ โดนต่อว่าซะงั้น

ฉันมองแผ่นหลังของคนที่กำลังวิ่งออกไปอย่างไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองผิดตั้งแต่แรกที่ฝ่าฝืนคำสั่งสัสดี

แล้วทำไมยามนั่นถึงได้ไปกับเขาด้วย...

มาเรียเดินเข้ามาจับบ่าฉัน

“คุณเฟลิกซ์...อย่าได้โกรธเคืองท่านสัสดีเลยนะคะ อันที่จริงแล้วท่านเป็น—”

“เป็นห่วง...เข้าใจค่ะ เพราะเป็นห่วงอะไรไม่เข้าเรื่องถึงไม่ชอบใจยังไง”

ใช่ ฉันก็รู้ดีอยู่ว่าสิ่งที่สัสดีทำไปนั่นเพื่ออะไร...เราเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะดูไม่ออก

แต่มันก็น่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ

“ชิ!”

และแล้วฉันก็ยอมให้มาเรียพาขึ้นห้องไปโดยที่แบกความเจ็บใจไว้เต็มอก

◊◊◊

“ยูกะ...เรื่องร่องรอยเวทย์เจออะไรบ้าง”

สัสดีที่เดินสำรวจความเสียหายภายในห้องใต้ดินที่มีวงเวทย์ประจำเมืองอยู่เอ่ยถามยูกะที่กำลังคุยกับเอทิน พวกเขาใช้เวลาไม่นานมาถึงที่นี่

“มีการใช้เวทมนต์หลายอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่มีผิดแน่นอนค่ะ” ยูกะตอบแล้วหันไปคุยกับยามเหมือนเดิม “ช่วยหาตามที่ขอได้ไหมคะ?”

“ถ้าช่วยท่านโอบีได้ ข้ายินดีทำตามขอรับ”

ยามเอทินบอกแล้วเดินอย่างร้อนรนออกจากห้องใต้ดินไป อาเซียเองกำลังก้มสำรวจหาเบาะแสแถวโต๊ะยาวตามคำสั่งของสัสดีและแอบชำเลืองดูยูกะที่กลับไปใช้เวทมนต์ตรวจสอบต่อแล้วพึมพำบอกตัวเอง

“ใช่เอลฟ์คนนั้นที่เฟลิกซ์บอกแน่ๆ ที่จู้จี้กับท่านสัสดี...”

อาเซียกัดฟันอย่างเจ็บใจ ตอนที่เธอเห็นสัสดีกับเอลฟ์อยู่ด้วยกันที่หน้าโรงแรมก่อนหน้านี้ทำให้อาเซียอดคิดมากไม่ได้และยิ่งประกอบกับเรื่องที่เฟลิกซ์เล่าก่อนหน้านี้ว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันในห้องฝั่งตรงข้ามอีกด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกปวดร้าวลึกในใจก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเพราะสัสดีทัก

“อาเซีย...นั่นเจ้าทำอะไรอยู่?”

“หะหาเบาะแสตามคำสั่งอยู่ค่ะ”

“งั้นหรือ...เมื่อกี้เห็นเจ้าเหม่ออยู่”

“ขอ...โอ๊ย! เจ็บๆๆๆๆๆๆๆๆ”

อาเซียกำลังจะลุกขึ้นเอ่ยขออภัยที่ชอบพูดติดปากแต่ก้าวติดขาตัวเองเลยล้มลงหัวฟาดขอบโต๊ะแล้วลงนอนกุบหัวร้องลั่นกลิ้งไปมาใต้โต๊ะ  สัสดีเดินมาดูอาการ

“วันนี้เจ้าเป็นอะไร ทำตัวแปลกกว่าทุกวัน”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ! ฉันไม่เคย—”

“ข้าว่าเจ้าต้องมีอะไรกับยูกะแน่ๆ เห็นมองเธอหลายรอบแล้ว”

“ท่านสัสดี! ดูนี่!”

อาเซียเอื้อมมือหยิบของบางอย่างที่ติดอยู่ใต้โต๊ะเป็นหนังสือเล่มเก่าๆ ยื่นให้สัสดีเปิดดู มันเป็นตำราเวทมนต์ที่แปลกตาเพราะภายในเล่มนั้นมีวงเวทย์แบบวงกลมมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ยูกะ! เธอรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

ยูกะเดินมารับเปิดดูแล้วทำสีหน้าตกตะลึง

“นี่มัน...วงเวทย์โบราณ ทำไมมันถึงสมบูรณ์แบบขนาดนี้?”

“หมายความว่าอย่างไร”

“คือท่านคราวน์รู้เรื่องวงเวทย์โบราณบ้างหรือเปล่าคะ”

สัสดีส่ายหัว พอยูกะหันมามองอาเซียเธอก็ส่ายหัวเช่นกัน

“ฉันเองถึงแม้ว่าจะเข้าถึงตำราเวทย์ชั้นสูงของเอลฟ์หลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนที่มีหนังสือบันทึกลักษณะวงเวทย์โบราณไว้ครบถ้วนขนาดนี้” ยูกะอธิบาย “นอกจากบันทึกนักเดินทางของเอลฟ์เกือบเจ็ดร้อยปีได้บันทึกชีวิตประจำวันพวกเขา...ว่ามีการใช้เวทย์ลักษณะวงกลมนี่ด้วย”

“แล้ว?”

“เห็นบันทึกว่าวงเวทย์วงกลมส่วนใหญ่มันเป็นเวทย์ต้องห้ามค่ะเลยไม่มีบันทึกทำให้มันสาบสูญไป ทว่าหนังสือเล่มนี้กลับมีบันทึกรูปร่างวงเวทย์ครบวงไว้มากมาย...แต่ไม่ได้มีคำอธิบายวิธีการใช้และผลลัพธ์”

“มันถือว่าเป็นของอันตรายใช่ไหม?”

สัสดีที่มองในอีกมุมหนึ่งเอ่ยถาม ยูกะตอบรับตื่นเต้น

“ก่ำกึ่งค่ะ...ถ้าเกิดให้พวกสภาไม่ว่าเผ่าไหนๆ ก็ตามรู้การมีตัวตนของหนังสือเล่มนี้เข้า...มันจะเกิดเรื่องแย่ยิ่งกว่าเรื่องผู้กล้าจอมปลอมอีก แต่ถ้าได้รู้วงเวทย์วงกลมส่วนที่มีประโยชน์...น่าจะช่วยปฏิวัติการใช้เวทย์เลยก็ว่าได้”

แววตาของยูกะผู้ที่ชื่นชอบการใช้เวทมนต์นั้นเปล่งประกายซะจนสัสดีไม่อยากจะทำลายทิ้งเลยขอความเห็น

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าควรทำอย่างไรกับหนังสือเล่มนั้นดี”

“ถ้าตอบในฐานะหนึ่งในสิบสองนักเวทย์อัจฉริยะ ฉันจะขอเก็บไว้เองค่ะ”

ยูกะยิ้มตอบเข้าข้างตัวเองก่อนที่จะกลับเข้าประเด็น

“แต่ทำไมหนังสือแบบนี้ถึงอยู่ที่นี่ได้?”

สัสดีบ่นก่อนที่จะถอนหายใจเพราะเขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วเลยออกคำสั่ง

“พวกเราต้องรีบตามหาท่านนักเวทย์ประจำเมืองโดยด่วน เขาเป็นคนเดียวที่ให้คำตอบได้ถ้าไม่ถูกกินซ่าเล่นงานก่อน”

“เจอแล้ว!”

เอทินเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วชูอะไรบางอย่างที่เล็กมากแต่ยูกะรู้ดีแก่ใจเพราะเป็นคนสั่งให้เอทินไปหาของเอง

“ได้เส้นผมมากี่เส้น?”

ยูกะถาม เอทินเดินลงบันไดมาวางเส้นสีขาวบนโต๊ะ

“ได้สามเส้นครับ...แต่มันไม่ใช่เส้นผม”

“ไม่ใช่เส้นผม...แล้วมันคือ...อย่าบอกนะว่าเป็นเส้นตรง—”

“เคราของท่านโอบีครับ”

คำตอบนั้นทำให้ยูกะรู้สึกโล่งใจมากเลยทีเดียวแต่คนอื่นไม่เข้าใจว่าเธอถึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น สัสดีมองเคราสีขาวแล้วนึกอะไรออก

“ยูกะ...เจ้าจะใช้เวทย์แกะรอยใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ ทีแรกจะใช้เวทย์ตาทิพย์แต่อยู่ในเมืองแบบนี้ตามหายากแน่ๆ...แต่ท่านยังจำได้อีกนะคะ ที่เราสองคนหลงรักในป่า...อ่า หลงทางในป่าเขาวงกตนั่น...เอ่อ...งืม...”

จู่ๆ ยูกะม้วนตัวขัดเขินขึ้นมาเพราะเผลอพูดความหลังระหว่างเธอกับสัสดีเข้า อาเซียกัดฟันกรอดๆ เจ็บใจอย่างแรงก่อนที่สัสดีจะเตือนสติ

“ยูกะ...เรื่องนั้นไว้ก่อน”

“ค่ะ! แต่ก่อนที่จะใช้เวทย์นั้น...ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเพราะไม่รู้ว่าเวทย์นำทางนี้จะนำทุกคนไปเจออะไรนอกจากท่านนักเวทย์ประจำเมือง ฉันจะเริ่มเขียนวงเวทย์รอไว้”

“ทำไมเธอไม่ร่ายเวทย์เลยล่ะ พวกเอลฟ์สามารถทำแบบนั้นได้เลยนี่น่าไม่เห็นต้องเสียเวลาวาดวงเวทย์เลย”

อาเซียถามเท่าที่รู้ ยูกะยิ้มตอบ

“ไม่อยากให้เสียมานามากเกินไปก่อนต่อสู้จริงค่ะ การวาดวงเวทย์แล้วใช้งานจะเสียมานาน้อยกว่าแบบร่ายมาก”

ยูกะพูดเสร็จหยิบม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งในตู้หนังสือที่มีไว้เผื่อลงวงเวทย์โดยเฉพาะมากางบนโต๊ะแล้วเริ่มเขียน อาเซียพยักหน้ากับความรู้ใหม่ที่ค้างคาใจมานานแล้วสัสดีออกคำสั่ง

“อาเซียเช็คอาวุธกับเสื้อเกราะให้พร้อมไว้ ส่วนเจ้า...เอทิน ช่วยมากับพวกเราทีเพราะคนที่รู้เส้นทางดีในเมืองนี้มีเพียงแต่เจ้าที่ช่วยได้ตอนนี้”

“เพื่อท่านโอบีแล้วข้ายอมทำตามขอรับ”

เอทินพยักหน้ารับแล้วสัสดีออกคำสั่งต่อไป

“จงเตรียมอาวุธให้พร้อมซะ”

◊◊◊

“นมร้อนๆ ค่ะ”

“ขอบคุณนะ”

ฉันยื่นมือรับแก้วนมจากมาเรียมาดื่มแก้เซ็ง ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในห้องที่พักเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ แล้ว

ไม่ว่ายังไง...เรื่องที่เกิดขึ้นนั่นไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด

คิดแบบนี้ดีแล้วสินะ

“คุณเฟลิกซ์ ยังคิดมากเรื่องนั่นอีกเหรอคะ?” มาเรียถาม

“ประมาณนั้น...เราปล่อยให้ผู้ชายแก่ๆ คนนั้นอยู่กับกินซ่ามันจะดีหรอ?”

“ดิฉันเห็นทักษะการใช้เวทย์ของเขาแล้วไม่น่าเป็นห่วงมากนะคะ อีกอย่างท่านสัสดีก็ตามไปสบทบแล้วด้วย”

“นั่นสิ...”

คิดมากไปเองแท้ๆ

ฉันโยนความรู้สึกเป็นห่วงทิ้งไป มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะห่วงคนอื่นที่กำลังเผชิญอันตรายต่อหน้า...มันเป็นนิสัยพื้นเพของตัวเราเอง

และนิสัยแบบนั้นถึงทำให้อันนาต้องพบกับจุดจบ

“เหลืออีกสามม้วนเอง”

มาเรียพึมพำบางอย่างกับม้วนกระดาษที่เธอหยิบออกมาดู ฉันมองดูก็นึกได้ว่ามันเป็นแบบเดียวกันกับที่อาเซียเคยให้ใช้ที่เป็นม้วนคัมภีร์เวทมนต์

“นั่นใช่ม้วนคัมภีร์เวทย์หรือเปล่า?”

“หือ? ใช่ค่ะ...รู้จักสิ่งนี่แล้วเหรอคะ?”

“เคยขออาเซียอันหนึ่งค่ะ เป็นเวทย์ล่องหน...แต่มันใช้ไม่ได้”

“ใช้ไม่ได้? ยังไงคะ?”

“ก็ เวลาใช้มันต้องกำแน่นๆ ใช่ไหม?”

“ค่ะ...แล้วเวทย์มันก็จะทำงานกับตัวคนกำเอง ยกเว้นจะใช้กับคนอื่นให้รีบปัดพวกละอองเวทย์ให้คนนั้นค่ะ”

“อ่า...ยังไงหว่า?”

“แบบนี้ค่ะ”

มาเรียหยิบม้วนคัมภีร์เวทย์อันหนึ่งขึ้นมากำแน่นด้วยมือขวา พอแบมือออกก็มีละอองสีเขียวรวมตัวกันเป็นลูกบอลเปล่งแสงอ่อนๆ ลอยอยู่เหนือมือ เธอนำมันมาประกบกลางอกฉัน แน่นอนว่าฉันสะดุ้งแต่พอรู้สึกถึงความอบอุ่นสิ่งที่เข้าไปในตัวเลยนิ่งไม่ขยับ

“เอ่อ...เมื่อกี้มัน—”

“เวทย์รักษา [ฮีล] ค่ะ”

“อ๋อ”

ฉันเอามือทาบตรงที่ลูกบอลเวทย์จมลงกลางอกเข้าไป มันยังรู้สึกอุ่นๆ พอรู้สึกตัวฉันรีบเล่าเรื่องที่ใช้คัมภีร์เวทย์ล่องหนแต่มันไร้ผล มาเรียทำหน้าคิดหนักก่อนที่จะบอกข้อสันนิฐาน

“ไม่แน่นะคะ...คุณเฟลิกซ์อาจจะเป็นพวกที่ใช้เวทมนต์ไม่ได้เลย”

“หะ!?”

ชะใช้เวทมนต์…ไม่ได้!?

เฮ้ยๆ! มาอยู่โลกแฟนตาซีทั้งนี้แต่กลับใช้เวทมนต์ไม่ได้เนี่ยนะ!?

“ขะขอลองใช้ได้ไหม...คะคัมภีร์นั่น”

ฉันตะกุกตะกะขอร้อง มาเรียหยิบคีมภีร์เวทย์ฮีลให้แล้วฉันรีบกำทันที แต่ผลลัพธ์กลับเหมือนที่ใช้ตอนที่เผชิญหน้ากลับกินซ่าในซอยสลัม มันกลายเป็นละอองเม็ดเล็กเม็ดน้อยไม่รวมเป็นลูกบอลและมันสลายหายไป มาเรียกุมมือขวาฉันไว้

“เท่าที่ฉันเคยรู้มาสมัยที่เรียนอยู่ที่สถาบันนิวส์ไลฟ์ มนุษย์มีมานาน้อยเลยต้องใช้พวกอุปกรณ์เวทมนต์เสริมแทนค่ะ คัมภีร์เวทย์ก็เช่นเดียวกัน...แต่ก็ยังดึงมานามาใช้เล็กน้อยเพื่อให้มันทำงาน เว้นแต่...มนุษย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่แทบจะไม่มีมานาในตัว เลยใช้ไม่ได้เลยค่ะ”

“แล้วถ้าฝึกฝนมากๆ ล่ะ”

“อาจถึงตายได้เลยนะคะ”

มาเรียย้ำถึงความเป็นไปไม่ได้...ฉันก็หัวเราะใส่

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

นั่นสินะ กะแล้วพระเจ้ามันต้องแกล้งฉันแน่ๆ

พอคิดแบบนั้นแล้วมองแขนซ้ายจักรกลตัวเอง

เหลือแต่อันนี้แล้วสินะ...ยังมีเรื่องที่ต้องค้นหาพลังที่แท้จริงของเจ้านี่ มันคงเอามาแทนที่ฉันที่ไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้แน่ๆ

แล้วจะไปลองใช้ที่ไหนล่ะ? หุ่นไม้สวนหลังโรงแรมนี่...ฟาดทีเดียวพังแน่ๆ

ต้องเป็นที่กว้างๆ พังพื้นพังอะไรก็ได้ไม่มีใครหว่า

นอกเมืองงั้นหรอ...ตอนนี้ฉันออกไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้างั้น—

วกำลังวางแผนในใจอยู่ดีๆ ภาพรอบตัวเกิดมีแสงสีขาวทับซ้อนขึ้นมาแล้วเตียงที่เคยนั่งอยู่ก็หายไป ก้นเลยกระแทกกับพื้น

“โอ้ย!! อะไรเนี่ย!”

“จัดให้ตามคำขอ!”

เสียงคุ้นๆ ที่ดังก้องรอบตัวทำให้ฉันตาโต

เอลด้า!

พอลุกขึ้นมองรอบๆ ตัวพบกับโลกขาวรอบตัวอีกครั้ง พื้นเป็นตารางหินอ่อนอย่างชัดเจนและข้างหน้าไม่กี่ก้าวมีแท่นหินอ่อนข้าวหกเหลี่ยมยื่นขึ้นมามีปุ่มแดงที่น่าเดินเข้าไปกดอยู่ เสียงเอลด้าดังก้องไปทั่วบริเวณโดยที่ไม่ปรากฏตัวให้เห็น

“เราจะอธิบายให้เจ้าเพียงครั้งเดียว”

“หือ!? เดี๋ยวๆ นี่เธอมาฉันมาที่ไหนเนี่ย!?”

“ไม่ต้องถาม มีหน้าที่ฟังก็พอ ห้ามขัดจนกว่าจะพูดจบนะ”

“เอ่อ...มาไม้ไหนล่ะนิ”

“สิ่งที่เจ้าร้องขอเมื่อครู่ สมหวังตามที่เจ้าต้องการด้วยการมอบพื้นที่ [ห้องต่างมิติ] แห่งนี้ไว้ให้ฝึกฝนความสามารถตัวเองได้อย่างอิสระ เมื่อเจ้าผ่านบททดสอบต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ในความทรงจำเจ้า”

คำอธิบายของเอลด้านั้น รู้สึกดีใจหน่อยๆ แต่จะดีใจมากกว่านี้ถ้าไม่มีเงื่อนไขแปลกๆ ต่อท้าย

บททดสอบกับความทรงจำฉัน!?

“ถ้าเจ้าพร้อมที่จะครอบครองห้องต่างมิตินี้เมื่อไร กดปุ่มข้างหน้าได้เลย”

และเราก็เดินเข้ามากดทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ แท่นที่กดค่อยๆ เลื่อนลงซ่อนแนบเนียนไปกับพื้น ฉันกรอกตาซ้ายขวาหาบางอย่าง

ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนิ!?

โครม!!!!!!

เงาดำๆ บางอย่างเหนือหัวที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นพุ่งตกลงมาตรงข้างหน้าห่างกันแค่สิบเมตร ลมสวนปะทะเกือบทำให้ล้มลงถ้าไม่ใช่ว่าเอาเท้ายันไว้ทัน ฉันลดการ์ดแขนลงดูสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า มันเป็นสิ่งที่ฉันรู้จักเป็นอย่างที่เมื่อชาติที่แล้ว เครื่องจักรแมงมุมสีดำสลับแดงสี่ขาขนาดลำตัวเมื่อรวมขาแล้วกว้าง 5 เมตร ส่วนตากล้องเซนเซอร์ลูกกลมสีแดงส่องแสงมาทางฉันช่วยเสริมความเกรงครามและยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกที่แผ่นหลังของมันมีสองกระบอกปืนใหญ่ที่บรรจุกระสุนหัวระเบิด ขนาด 57 มม. ที่เล็งเป้ามาทางฉัน ที่กลางตัวมันมีสัญลักษณ์คล้ายไม้กางเขนสีแดงคว่ำหัว มันเป็นทั้งหุ่นยนต์ให้คนบังคับหรือปล่อยให้ AI บังคับเองก็ได้

เนโอสไปเดอร์!? เจ้าหุ่นแมงมุมของพวกกลุ่มต่อต้านใต้ดินไอริสของชาติก่อนนิ!?

แล้วไหงมันมาอยู่นี่ได้!!

“ทำไมทำหน้าเหมือนกลัวเจ้านี่มากมาย ทั้งๆ ที่ชาติก่อนเจ้าล้มตัวพวกนี้ได้สบายๆ”

เอลด้าพูดกึ่งเยาะเย้ยราวกับว่าเป็นคนเสกมันมาเอง

“นั่นเพราะชาติก่อนฉันมีพลังโกงเวอร์นี่หว่า! แถมไม่ใช่ตัวคนเดียวด้วย!”

“งั้นก็เริ่มได้เลย”

“หา!? เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่พร้อม—อ๊าก!!”

เผลอแปบเดี๋ยวฉันถูกขาข้างหนึ่งของเนโอสไปเดอร์ฟาดเข้าให้ที่ต้นแขนซ้าย ร่างกายถูกโยนไปตามทิศทางที่ถูกฟาดไปแล้วกลิ้งหมุนกับพื้นตารางหมากรุกสีขาว ก่อนที่จะลุกขึ้นมาอย่างไม่เป็นอะไรมาก

ดีนะโดนที่แขนซ้าย ถ้าแขนขวามีหวังกระดูกหักแน่น

แต่ทำไมถึงไม่มีโล่ขึ้นเหมือนคราวนั่นนะ!?

“นั่นก็เพราะโล่จากคริสตัลใส่ต้นแขนเจ้ามันกั้นเฉพาะพวกโจมตีระยะไกลยังไง”

เอลด้าอธิบายเสริมให้และเนโอสไปเดอร์ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า หันปากกระบอกปืนใหญ่ทั้งสองมาทางฉันเตรียมยิง

แย่แล้ว!

ไม่แน่ใจว่าเพราะตัวเองยังตั้งสติรับมือไม่ทันหรือโง่กันแน่เลยเอาแขนซ้ายยกขึ้นบังหน้าไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากกระสุนหัวระเบิดนั้นหรือไม่

ตูม!!

และแล้วโล่สีฟ้าใสปรากฏขึ้นข้างหน้าเธออีกครั้งเหมือนกับตอนที่ถูกกินซ่าเล่นงาน ครั้งนี้เธอเห็นมันอย่างชัดเจน เปลวไฟที่เกิดหลังจากการปะทุของกระสุนหัวระเบิดนั้นไม่สามารถเข้าแทรกแซงโล่พลังงานหรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งที่เข้าใจง่ายกว่าก็คือ [บาเรียทรงกลม] รอบตัวที่เกิดขึ้นมาจากมีลำแสงคลื่นบางอย่างไหลออกมาจากคริสตัลที่ใส่ไว้อยู่ต้นแขนก่อตัวเป็นเกราะกันไว้เหมือนกับในการ์ตูน อีกสิ่งที่ทำให้ประหลาดก็คือแรงปะทะจากการระเบิดนั้นไม่ส่งผลกับบาเรียสีฟ้านี่แม้แต่น้อย

อย่างงี้เองสินะ นอกจากแขนของเราจะทำเป็นสลิงห้อยโหนได้แล้ว ยังสร้างบาเรียแบบนี้ได้ด้วย

แล้วมัน...ป้องกันได้ทุกอย่างหรือเปล่าเนี่ย

ทำงานยังไง...นอกจากตั้งการ์ดขึ้นไว้อย่างงั้นหรอ แล้วตอนที่โดนกินซ่าไล่เล่นงานล่ะ ฉันก็ไม่ได้ตั้งการ์ดสักหน่อย...

แล้วทำไม---

ช่วงภวังค์ความคิดนั้นเริ่มเข้าใจบางอย่าง มองตรงไปยังหุ่นยนต์แมงมุมข้างหน้า

การมีอยู่ของห้องต่างมิติเพราะงี้เองสินะ เป็นสนามไว้ซ้อมชั้นดีเลยล่ะ!

เลือดภายในตัวฉันเริ่มพลุนพล่านมากขึ้น มันชวนให้นึกถึงความหลังเก่าๆ ที่เคยร่วมออกรบกับพรรคพวกที่โลกเก่า เริ่มออกตัววิ่งเข้าหาเนโอสไปเดอร์อย่างไม่เกรงกลัว

ฉันต้องเก่งกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้!

◊◊◊

[หนึ่งชั่วโมงต่อมา – ย่านสลัมในเมืองบาลาส]

“บ้านร้างหลังนี้...ฉันสัมผัสได้ถึงมานาจากคริสตัลค่ะท่านคราวน์”

ยูกะกางแขนซ้ายขวางไว้ให้ทุกคนหยุดเดินตามหลังจากที่เธอใช้เวทย์ตามหาเจ้าของ ใช้เส้นเคราของโอบีนักเวทย์ประจำเมืองที่กลายเป็นแท่งหกเหลี่ยมสีทองขนาดเล็กลอยนำทางเหมือนสุนัขดมกลิ่นตามหาเจ้าของเรื่อยๆ จนย่างก้าวมาในย่านสลัมที่เต็มไปด้วยโสเภณีและมาถึงหน้าบ้านร้างสองชั้นที่เวทย์ตามหาเจ้าของชี้ว่าโอบีอยู่ในนั้น

“บ้านร้างกลางชุมชนหนาแน่นขนาดนี้เนี่ยนะ” อาเซียไม่อยากจะเชื่อสายตา

“ในบ้านมีทางลงไปใต้ดิน...เป็นอุโมงค์ลึก”

ยูกะพูดออกมาในขณะที่หลับตาใช้เวทย์ตาทิพย์ สัสดีรีบเขย่าตัวให้การทำงานของเวทย์คลายออก

“แค่นั้นก็พอแล้วยูกะ อย่าลืมว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นกินซ่าที่เชี่ยวชาญเรื่องจับกลิ่นอายเวทย์”

“เอ๊ะ!? ลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปซะสนิท ขอโทษด้วยค่ะ!”

“ไม่หรอก เธอแค่ประมาทไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์เผชิญหน้าต่อสู้กับเผ่าปีศาจจริง”

“แต่ฉันเคยไปช่วยรบที่พื้นที่สงคราม—”

“ได้ข่าวว่าเจ้าอยู่แนวหลัง”

สัสดีว่าเช่นนั้นทำให้ยูกะถอนหายใจยอมแพ้แล้วเข้าเรื่องต่อ

“ท่านคราวน์คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวงเวทย์ประจำเมืองที่ถูกแอบแก้ไขหรือเปล่าคะ”

“ข้าไม่แน่ใจ...แต่ก่อนหน้านี้ที่มอบหมายงานให้เจ้าตามรอยวงเวทย์ล่องหนที่ถูกเขียนต่อจากวงเวทย์ประจำเมือง ไม่ได้ตรวจสอบแถวนี้หรือ”

“ไม่ค่ะ คือเห็นว่ามันไม่น่าจะมีได้...หือ!? ท่านเห็นมัน?”

“ยูกะ...เจ้าตั้งสติหน่อยสิ แล้วจะได้กลิ่นอายเส้นวงเวทย์ใต้เท้าเรานี่”

ยูกะสูดลมหายใจเข้าแล้วจ้องมองบนพื้นอยู่สักพักก็สัมผัสได้ถึงเส้นวงเวทย์ที่ถูกเขียนลากยาวเข้าบ้านร้างข้างหน้านี้ เธอเอ่ยขึ้นตามความรู้ของตน

“มันกำลังจะทำงาน?”

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งวงเวทย์ประจำเมือง กินซ่าและแกนกลางคริสตัล ข้าอนุญาตทั้งสองคนให้ใช้เวทมนต์และอาวุธเต็มที่แม้ต้องสังหารใครก็ตาม”

“รับคราบค่ะ!”

สองสาวว่าพร้อมกัน ส่วนเอทินชี้ตัวเองเหมือนจะบอกว่า ‘แล้วข้าล่ะ?’ และแล้วยูกะถามขึ้นมา

“มีแผนหรือยังคะว่าจะเข้าไปยังไงดี?”

“เข้าตรงๆ เลยเพราะไม่มีเวลาแล้ว” สัสดีก้าวเดินประตูที่จะพังแลมิพังแล “แต่ระวังตัวทุกย่างก้าวก็แล้วกัน...เอทิน! เจ้าเฝ้าหน้าบ้านนี้ไว้อย่าให้ใครเข้าออกเด็ดขาด พวกข้าจะเข้าไปช่วยนายของเจ้าเอง”

“ครับ!”

หลังจากสั่งยามหัวโล้นให้เฝ้าทางเข้าไว้แล้ว พวกเขาทั้งสามคนเดินเข้าบ้านร้างที่ทรุดโทรมและแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่พื้นกลางบ้านนั้นถูกแกะออกไว้ก่อนอยู่แล้วเผยให้เห็นทางอุโมงค์ขนาดเล็กเหมือนกับทางลับที่บ้านกลางป่าที่มาเรียกับแอนดิวอาศัยอยู่ พวกเขาเดินทางต่อไปโดยใช้แสงไฟสีขาวที่ปลายไม้คทาของสัสดีนำทาง อาเซียที่รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปเลยหาเรื่องถามด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดในชีวิต

“ไม่ทราบว่าทั้งสองคนรู้จักกันได้ยังไง”

“อาเซีย...มันใช่เวลาถามไหม?” สัสดีว่า

“แล้วเป็นแฟนกัน...ใช่...ไหม...คะ” น้ำเสียงอาเซียเบาลง “ตอนไหนยังไง...ทำไมฉันที่เป็นอัศวินข้างกายท่านสัสดีไม่รู้เรื่อง”

“รู้เรื่องนั้นจากไหน?”

“เอาเป็นว่ารู้ล่ะกันค่ะ”

“หึ เด็กใหม่นั่นชักจะก่อปัญหาขึ้นทุกวัน”

“เฟลิกซ์ไม่เกี่ยวหรอก”

“เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้วข้าคงต้องเคลียร์กับเจ้าให้รู้เรื่อง ทำไมต้องเจ้ากี้เจ้าการกับข้ามากนัก?”

สัสดีหยุดเดินแล้วจับเข่าคุยกับอาเซีย

“เปล่า...แค่ทำหน้าที่เป็นอัศวินข้างกายท่านยังไงละคะ”

“แต่เจ้าทำเหมือนเป็นพี่สาวบุญธรรมข้า”

อาเซียได้ยินแล้วอารมณ์พุ่งปรี๊ด

“ไม่คิดสักหน่อย! ฉันอยากเป็นมากกว่านั้น!”

หล่อนกระทืบเท้าแล้วออกเดินเป็นคนนำเองและคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคนที่เธอชอบกลับคิดแค่เป็น ‘พี่สาวบุญธรรม’ เท่านั้น ยูกะเห็นปฏิกิริยาแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ สัสดีหันไปถาม

“ขำอะไรของเจ้า”

“ท่านคราวน์ซื่อหรือบื้อกันแน่...ผู้หญิงคนนั้นชอบคุณนะ”

“ชอบ!? คนอย่างอาเซีย?” สัสดีอาการไม่อยากเชื่อจริงๆ

“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะถ้าจะเอาเธอเป็นภรรยาคนที่สอง...แต่ต้องหาเจ้านี่มาเพิ่มเองนะคะ”

ยูกะไม่พูดเปล่ายกนิ้วนางข้างขวาขึ้นมา ทันใดนั้นแหวนเงินค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากการปลดคลายเวทย์ที่ใช้ซ่อนไม่ให้คนอื่นเห็น

“ยูกะ...ข้าไม่คิดอะไรกับอัศวินของข้าหรอก”

“ให้เวลาพิสูจน์เถอะ ผู้หญิงคนนั้นเดินห่างจากเรามากไปแล้ว”

และทั้งสองคนเริ่มเดินเร่งฝีเท้าตามอาเซียให้ทันจนถึงหัวโค้งปลายทางออกพอดี ปรากฏให้เห็นถ้ำใต้ดินที่กว้างใหญ่แต่มองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะมืดพอสมควรจะมีแต่อาเซียที่ยืนหันข้างนิ่งอยู่ สัสดีรีบเดินเข้าไปหา

“อาเซีย...อย่าแตกกลุ่มได้ไหม ขืนเกิดมีกับ—”

ทันทีที่แตะตัวอาเซีย นัยน์ตาสัสดีเบิกโตพลิกตัวหันหลังจะผลักตัวยูกะที่ตามมาติดๆ แต่ไม่ทันเสียแล้ว ที่พื้นทั้งสามคนเกิดมีวงเวทย์หกเหลี่ยมที่ถูกซ่อนไว้เปล่งประกายแสงฟ้าขึ้นมาทำให้ขยับตัวไม่ได้

“หึหึหึ...ติดกับง่ายๆ ไม่สมกับที่คุยไว้เลย...นายอ่อนแรงลงมากนะคราวน์”

กินซ่าปรากฏตัวจากเงามืดมาทักทายทุกคนที่ขยับตัวไม่ได้

“ข้าเองก็กลัวแทบตายที่นายขู่จะฆ่าฉันอีกรอบ เฮ้อ...โดนนายหลอกนี่เจ็บช้ำหัวใจจริงๆ” กินซ่าแสดงท่าทางประกอบกับสิ่งที่พูด “โอ้ว...พาเอลฟ์ที่ไหนมาด้วย พลังเวทย์เจ้าสูงใช้ได้เลยแต่ประมาทแบบนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะจ๊ะ เอ...แหวนเงินแบบนั้นมัน...”

กินซ่าทอดมองไปยังแหวนบนนิ้วนางของยูกะ สัสดีพยายามส่งนัยน์ตาเย็นชาดุร้ายใส่แต่นางไม่สนใจจู่ๆ เข้าไปขโมยจูบคราวน์ต่อหน้าต่อหน้ายูกะกับอาเซียแล้วยิ้มชอบใจ

“หึๆ รสชาติจูบนายไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย...และก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณภรรยาคนที่สองและคนที่สาม ส่วนข้านั้นคือฟาราเมียร์ กินซ่า ภรรยาอันดับหนึ่งของคราวน์”

กินซ่าโน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วฉีกยิ้ม สองสาวข้างกายคราวน์ต่างส่งสายตาเคียดแค้นใส่กินซ่าที่ทำท่านับหัวคนอยู่

”หนึ่ง สอง สาม...สามคน...ยังไม่ครบเลยนิ คงต้องรออีกต่อไปอีกหน่อยแล้ว”

“เดี๋ยวคนที่เหลือก็มาแล้ว เมื่อครู่ท่านสัสดีเขาเพิ่งใช้โทรจิตหาใครสักคน”

จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น คราวน์รู้สึกคุ้นหูชอบกล เจ้าของเสียงนั้นพูดต่อ

“และเธอรีบจัดการเอาพวกนี้ไปอยู่มุมถ้ำตรงนั้นเตรียมทำเป็นเครื่องบูชายัญจะได้ไหม เดี๋ยวตรงนี้เราจะทำพิธีปลุกแกนกลางได้สักที เบื่อการเล่นละครเต็มแก่แล้ว”

เจ้าของเสียงบุรุษปริศนาย่างกายเข้ามาอยู่ข้างหลังกินซ่านั้นทำให้คราวน์ตะลึง

◊◊◊

“คุณมาเรีย...ไม่เชื่อจริงๆ หรอว่าฉันดูแลตัวเองได้แล้ว”

“ไม่ค่ะ!”

“นะๆๆๆ ให้ฉันไปเหอะนะ”

“บอกว่าไม่ไงคะ!”

“ถ้างั้นช่วยปล่อยหนูลงเถอะ...อุ๊บ!”

ฉันพนมมือขอร้องมาเรียที่กำลังใช้เวทย์ควบคุมร่างกายเราหน้าคว่ำลอยอยู่เหนือเตียงไม่ให้ไปไหน พอขอร้องแบบนั้นแล้วถึงถูกปล่อยให้ร่วงลงบนเตียงเหมือนเดิม...ที่ถูกมาเรียใช้เวทย์แบบนั้นเพราะก่อนหน้านี้ฉันที่จู่ๆ นอนแน่นิ่งไปเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเพราะถูกดึงวิญญาณ (ตามที่เอลด้าบอก) ไปยังห้องต่างมิติ แล้วพอฟื้นขึ้นมา ความมั่นใจเต็มร้อยที่จะวิ่งเข้าหาอันตรายเพราะได้ลองแขนซ้ายแล้วเลยจะวิ่งออกไปแต่ถูกมาเรียเสกเวทมนต์ควบคุมร่างกายที่ไม่รู้เรื่องว่าอะไรลอยกลับเข้าห้อง

เชอะ ถ้าฉันมีพลังควบคุมแบบนั้นมั้งนะ...

หรือจะใช้แขนซ้ายนี่ดีไหม...มันออกจะรุนแรงไปหน่อยมั้งถึงจะไม่เท่ากับชาติที่แล้วก็เหอะ

“คุณเฟลิกซ์...ทำไมต้องหาเรื่องอันตรายใส่ตัวด้วยคะ?”

มาเรียที่นั่งเก้าอี้ขวางทางประตูอยู่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง

มันก็จริงอยู่แฮะ...เพราะอะไรนะ

ฉันพยายามนึกย้อนวันวานเก่าๆ นึกให้ออกว่าทำไมตัวเองถึงมีนิสัยแบบนี้

นานามิ...

มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นบนหัวเป็นเพื่อนรักที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด

เพราะยัยนานามิคนเดียวที่ชอบยุฉันให้หลงใหลกับความตื่นเต้นเสี่ยงตายจนติดเป็นนิสัย

แล้วยังไงล่ะ ฉันจะบอกมาเรียยังไงดี...

เอาแบบปัดๆ ไปก่อนล่ะกัน

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

อีกฝ่ายถอนหายใจรับเหมือนไม่ได้คาดหวังคำตอบจากฉันที่พยายามทำหน้าไร้เดียงสาอยู่

“เฮ้อ...คุณเฟลิกซ์เป็นแบบนี้ยิ่งต้องตามดูแลถึงสถา---ว้าย!!”

มาเรียยังพูดไม่ทันจบประตูข้างหลังเธอถูกเปิดออกผลักเก้าอี้ที่นั่งอยู่ล้มหน้าคว่ำพร้อมเจ้าตัว ส่วนคนที่เปิดประตูด้วยแรงเต็มที่ เธอคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสสุดๆ

“ในที่สุดเรย์ลี่คนนี้ก็ได้เจอคุณเฟลิกซ์อีกครั้งแล้วนะ...เอ๋!! มาเรียทำไมถึงนอนหน้าคว่ำบนพื้นอย่างงั้นล่ะ!?”

เรย์ลี่!?

เธอไม่พูดเปล่าหลิ่วตาใส่ฉันด้วยพร้อมกับคำพูดคำจาเหมือนหลงใหลอะไรในตัวฉัน...แน่นอนว่ามันทำให้สันหลังเสียววูป แต่พอเห็นหน้ามาเรียที่เพิ่งลุกขึ้นมาแล้วสันหลังแทบขยับไม่ได้เลยเพราะหน้าเธอเหมือนกันอารมณ์โกรธมาก

“ยังมีหน้าพูดแบบนั้นอีกเหรอคะ! เรย์ลี่!”

ด้วยอำนาจพลังจิตควบคุมสิ่งของตามปลายมือ เธอใช้มันดึงตัวเรย์ลี่แล้วเหวี่ยงไปบนเตียงอีกตัวแล้วปัดมือกลางอากาศปิดประตูเสียงดังลั่นโรงแรม เรย์ลี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สนุกสนานไม่เปลี่ยนแปลง

“แหมแหม่ มาเรียทำเบาๆ หน่อยสิ ทำกับเค้ารุนแรงแบบเนี่ยเดี๋ยวไม่—”

คนที่ถูกเหวี่ยงขึ้นเตียงหยุดพูดกลางคั้นเพราะบรรดาด้ามมีดกว่าสิบเล่มที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาเรียใช้พลังคุมอยู่มาลอยอยู่ข้างๆ พร้อมที่จะพุ่งแทงใครก็ได้ทุกเมื่อแล้วเธอพูดจิกเน้นทุกคำ

“ช่วยกรุณาทำตัวให้เหมือนกับคนที่ดิฉันสมควรรู้สึกผิดหน่อยจะได้ไหมคะ! และดิฉันไม่ค่อยมั่นใจกับเวทย์นี่ที่ไม่ได้ใช้มานานอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นอย่ากวนประสาทค่ะ!”

“แฮ่กๆ ยอมแล้วจ้า”

เรย์ลี่ยกมือยอมแพ้และฉันที่อยู่อีกเตียงหนึ่งกำลังอึ้งกับการแสดงออกของสองคนนี้

อะไรของพวกเขาเนี่ย...แล้วเรย์ลี่โผล่มานี่ได้ไง

ไม่สิ...เธอรอดจากพวกเอลฟ์ได้ยังไง?

หลังจากนั้นทั้งสองคนคุยกระซิบกันถึงพริกถึงขิงชนิดที่ไม่อยากให้ฉันได้ยินแม้แต่นิดเดียว พอคุยกันเสร็จมาเรียหันมาสั่งฉันไว้

“คุณเฟลิกซ์ อย่าออกไปไหนเด็ดขาดนะคะ เดี๋ยวจะเอาน้ำมาเสิร์ฟให้...หวังว่าเข้าใจดี”

ฉันพยักหน้าแล้วเธอเดินออกไป

ทำหน้าดุซะขนาดนั้นใครจะกล้าออก

“คุณเฟลิกซ์ข๊า!”

เป็นการจู่โจมไม่ทั้งตั้งด้วย เธอเอาหัวไส้เอวฉันราวกับลูกแมวไม่ก็ลูกหมา

“ดะดะดะเดี๋ยว! อย่าทำแบบนั้น! ฮ่าๆๆๆ อย่าๆๆๆๆ! เธอรอดมาได้ไงเนี่ย!?”

“รอด!? อ๋อ” เรย์ลี่ผงะตัวนั่งบนเตียงข้างๆ ฉัน “ก็เคยบอกแล้วไงค่ะ ว่าเรย์ลี่เป็นนักเวทย์อัจฉริยะแห่งยุคเลยนะ! ถึงแม้ว่าเฉพาะเวทย์สากลก็เหอะ”

เหตุผลที่ว่ามานั้นทำให้ฉันเข้าใจได้สักที

เก่งนี่เอง...

“แล้วตามมาถึงนี่ได้ไงเนี่ย?”

“ท่านสัสดีโทรจิตบอกฉันค่ะ”

“โทรจิต?”

“เป็นเวทย์พันธะสัญญาค่ะ เรื่องนั้นอย่าเพิ่งสนใจเลย” แล้วหล่อนก็เข้ามากอดเอวอีกรอบ “คุณเฟ...ไม่สิ ต่อไปนี่ขอเรียกว่าคุณพี่ได้หรือเปล่า”

“ห๊ะ!?”

“หน๊าาาาาาาาาา ขอร้องล่ะ”

เรย์ลี่อ้อนวอนอย่างหนัก ฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะถูกเรียกแบบนั้นแต่มันไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย...

แต่ก็ช่างเหอะ

“ได้ๆ”

“เย้! รักคุณพี่ที่สุดเลย! ตั้งแต่แรกที่เจอกันรู้สึกถูกโชคชะตายังไงก็ไม่รู้ พอแยกทางกัน...เรย์ลี่ถึงรู้ว่าชีวิตนี่ขาดท่านพี่ไม่ได้!”

เหตุผลที่เรย์ลี่รัวใส่เข้ามาทำให้ฉันหัวเราะแห้งๆ

ความรักบริสุทธิ์โคตรๆ เหมือนกับอันนากันเปี๊ยบ

เพราะเผลอนึกถึงเรื่องอดีตที่ปวดร้าวตาเลยตก...มองเรย์ลี่ที่ยังกอดอยู่แบบนั้น

จะเผลอสิ่งที่ผิดพลาดอีกหรือเปล่านะ

มือขวาที่ลังเลจะลูบหัวสั่นอยู่อย่างงั้น เรย์ลี่รู้สึกตัวถอยออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าท่านพี่?”

“ก็นิดหน่อย...มัน...อ่า...นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา”

“เกี่ยวกับโลกที่ท่านพี่จากมาหรือเปล่าคะ!?”

“อ่า...งืม”

“ว้าว! เรย์ลี่อยากฟังอีกต่อจากคราวก่อนเลย!” เธอทำตาโตก่อนที่จะหรี่ตามองทางอื่นอย่างรวดเร็ว “แต่เรามีสิ่งที่ต้องทำก่อนค่ะ สำคัญมากๆ ด้วย”

จู่ๆ เรย์ลี่ลุกขึ้นมาจับแขนขวาฉันแล้วมาตรงหน้าต่างเปิดอยู่

“เราไปช่วยสัสดีด้วยกันเถอะ!”

“เดี๋ยว!!”

เรย์ลี่ตัดสินใจลากฉันกระโดดลงหน้าต่างด้วยกันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกให้ละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำแบบนี้ แต่กลับตัวลอยกลางอากาศทั้งคู่ด้วยเวทมนตร์ที่เคยโดนก่อนหน้านี้ ฉันสัมผัสได้ว่าคุณมาเรียกำลังจ้องมองอย่างดุร้ายจากแถวๆ นี้

ทำไมฉันถึงได้ซวยขนาดนี้นะ

◊◊◊

[หลายนาทีต่อมา]

“ช่วยอธิบายมาด้วยค่ะ”

มาเรียที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะหกเหลี่ยมที่ชั้นหนึ่งภายในโรงแรมเมอรี่อินถามเอาจริงเอาจัง ทั้งฉันและเรย์ลี่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันต่างคอตก

เดี๋ยวสิ มันไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อย

พอคิดได้แบบนั้นฉันเอามือซ้ายจักรกลปิดหน้าแล้วเอามือขวาชี้เรย์ลี่ราวกับว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

“แว๊ก! ท่านพี่ข๊า! ทำไมหักหลังเรย์ลี่แบบนี้ล่ะ เราตกลงกันแล้วมิใช่หรอ”

“หา!?”

ฉันร้องลั่นมองหน้าเรย์ลี่ที่ทำสายตาอ้อนวอนให้เล่นตามน้ำด้วย

ยัยนี่แสบมาก

มาเรียได้ยินเช่นนั้นหันหน้ามาหาคำตอบ แน่นอนว่าฉันรีบส่ายหน้ารัวๆ ว่าไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ และชี้ตัวเรย์ลี่ย้ำชัดเจนว่าเรื่องที่กระโดดหนีจากหน้าต่างนั้นเป็นฝีมือเธอล้วนๆ

“เรย์ลี่...ช่วยพูดตรงๆ ด้วยค่ะ มันทำให้เรื่องง่ายกว่า”

“เฮ้อ ก็ได้ก็ได้” เรย์ลี่แบมือส่ายหัวช่วยไม่ได้ “คืองี้นะ ก่อนที่จะมาถึงนี้ตามคำสั่งสัสดี จู่ๆ เขาก็โทรจิตมาขอความช่วยเหลือเลยจะยืมมือคุณเฟลิกซ์ไปช่วยอีกแรง”

ทุ๊บ!!

มาเรียทุบโต๊ะไม่พอใจอย่างแรงและเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นว่าเธอโกรธถึงขนาดต้องระบายอารมณ์ออกมาเลยทีเดียว

“นี่เธอ...อยากให้มันซ้ำรอยอดีตหรือยังไง!?”

“อ๋อเรื่องนั้นหรอ...เรย์ลี่ไม่คิดมากอะไรหรอก มันก็แค่อุบัติเหตุ”

ทุ๊บ!!

“เธอไม่คิด แต่กับฉันมันไม่ใช่!!”

มาเรียตะคอกทุบโต๊ะทั้งสองมืออีกครั้งก่อนที่จะเอามือขวากุมหน้าแล้วนั่งลง

เฮๆ สองคนนี้เคยมีเรื่องมาก่อนหรือไงเนี่ย?

“เผลออารมณ์ร้อนจนได้” มาเรียว่า “ขอโทษคุณเฟลิกซ์ด้วยนะคะที่มาเห็นด้านที่ไม่ค่อยดีของฉัน”

“ไม่หรอกไม่หรอก”

ฉันตอบแบบนั้นไปหวังว่าจะช่วยให้คลายกังวล เรย์ลี่แทรกด้วยน้ำเสียงร่าเริงเกินผิดปกติเช่นเคย

“อิอิ เรย์ลี่ชอบอีกด้านหนึ่งของมาเรียมากกว่านะ มันดาร์คของจริงเลยล่ะ!”

“กรุณาช่วยทำเหมือนคนที่ดิฉันควรรู้สึกติดค้างหน่อยจะได้ไหมคะ...พูดสองรอบแล้วนะ”

มาเรียกล่าวเช่นนั้นพร้อมส่งสายตาเย็นชาใส่เรย์ลี่ที่ฉันเพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก เจ้าตัวคนกวนประสาททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วลากกลับเข้าเรื่องหลักเฉย

“แล้วมาเรียจะไปช่วยสัสดีอีกแรงไหม ตอนนี้เดาได้ว่ากำลังลำบากแน่ๆ เรย์ลี่พยายามโทรจิตไปหาแล้วเหมือนติดกับดักเวทมนต์บางอย่าง”

“ไปแน่ค่ะ รู้ทางไปใช่ไหม”

“อ่ะแน่นอน...ครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างเรย์ลี่ตามดมกลิ่นได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนต์ตามหาด้วยซ้ำ อิอิ”

ครึ่งคนครึ่งสัตว์...

พอฉันได้ยินแบบนั้นแล้วหูผึ่งขึ้นมาอยากถามหาคำตอบ

แต่...

“ผู้จัดการ!”

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากตรงเคาน์เตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ พนักงานโรงแรมคนหนึ่งกำลังทำตัวนอบน้อมต่อหน้าสองคนที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาที่นี่ คนแรกเป็นผู้หญิงสวมแว่นตาสีม่วงผมมัดรวบก็เป็นสีม่วงอ่อนที่เคยเห็นมาก่อน เสื้อขาวมีโบว์อันเล็กแดงติดอยู่ที่กระดุกเม็ดบนสุดที่มีหน้าอกพอๆ กับของมาเรีย กระโปรงทรงเอสีดำ โดยรวมแล้วเหมือนกับชุดสำหรับผู้จัดการโรงแรมชาติก่อนจริงๆ หากไม่ติดว่าคุณภาพเนื้อผ้าที่ดูจากภายนอกแล้วดูด้อยกว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างมาก เธอคนนั้นเป็นคนที่พนักงานทั้งหมดที่นี่ต่างเรียกว่าผู้จัดการ

ส่วนอีกคนที่เดินคู่กันมานั้นไม่ใช่ใครอื่นก็คือตาลุงแอนดิวนั่นเองที่กำลังหน้าซีดเพราะเห็นมาเรียราวกับไม่คิดว่ามาเรียจะอยู่ที่นี่ เธอลุกขึ้นเข้าไปถามสามีตัวเอง

“เดทวันนี้กับคุณผู้หญิงข้างๆ นี่สนุกไหมคะที่รัก”

“มะมาเรีย!?”

แอนดิวออกอาการทำตัวไม่ถูก มาเรียเองก็ฉีกยิ้มประชด

คุณมาเรียเพิ่งเจอเรื่องอารมณ์ไม่ดีมาแล้วดันมาเจอเรื่องแบบนี้อีก...ลุงไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ

ฉันคิดอย่างงั้นแอนดิวเหงื่อไหลพรากเห็นได้ชัดเจนแต่จู่ๆ มาเรียเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“เฮ้อ ที่รัก...นับแต่นี้เราแยกทางกันนะคะ บ้านหลังนั้นยกให้คุณดูแลต่อได้เลย...ส่วนดิฉันจะเดินทางร่วมคณะกับท่านสัสดี”

“มาเรีย! ใจเย็นๆ ก่อน! ผมอธิบายได้”

“เห็นเข้าโรงแรมทำอย่างว่าคงไม่ต้องอธิบายก็ได้มั้งคะ”

“นี่แฟนของคุณหรือ...รูปร่างใช่ได้เหมาะกับการเอามาเป็นเมดส่วนตัวของขุนนางมาก”

แอนดิวที่เกือบหัวขาดได้ผู้หญิงผมอ่อนที่ถูกเรียกจากพนักงานที่นี่ว่าผู้จัดการมองพิจารณาเรือนร่างของมาเรีย

 “แล้วคุณมายุ่งอะไรกับอดีดสามีดิฉันคะ”

ทั้งสองคนปะทะกันผ่านสายตาจนแผ่นดินเริ่มสะเทือนจากเล็กน้อยแล้วเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มประคองตัวเองไม่อยู่

หือ? แผ่นดินสะเทือนเพราะเรื่องนี้...ไม่ใช่แล้วมั้ง!!

“กรี๊ด!!”

“ว๊าย!!”

ครืนๆๆๆๆๆๆ

พลบค่ำวันนั้นเมืองบาลาสเกิดแผ่นดินไหวที่ทำให้บ้านเรือนหลายหลังถล่ม

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.14 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

ตอนนี้จัดความยาวเป็นพิเศษโดยไม่แบ่งเป็นตอนย่อยเลยฮ่าๆ (ไม่รู้จะแบ่งตรงไหน)

ทุกๆ อย่างที่ได้รู้กำลังโยงเข้าหาเส้นทางอันตรายที่ล้วนมีแต่ปริศนา

สัสดี ยูกะและอาเซียถูกกินซ่าเล่นงาน

เรย์ลี่ เฟลิกซ์และมาเรียจะออกไปช่วยพวกเขาได้หรือไม่

แล้วทำไมถึงต้องมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตอนนี้?

เพราะอะไรกันแน่? เมืองบาลาสกำลังจะฟอร์ดาวน์งั้นหรอ?

โปรดติดตามตอนไปที่มีชื่อว่า

  1. แกนกลางคริสตัล 4 - [หนทางชดใช้บาป]

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา