Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  24.32K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งกลาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งกลาง

◊◊◊

“อุ้ย! ฮ่าๆ...ทะทะทะโทษที! เข้าผิดห้อง”

ปัง!

ฉันตะกุกตะกะพูดออกไปหลังจากที่ทั้งสองคนในห้องรู้สึกตัวก่อนที่จะเดินกลับออกมาปิดประตูห้องแล้วเอาหลังพิงประตู

นี่ฉันดวงดีหรือดวงซวยกันแน่เนี่ย!? ดันเข้าไปเป็นกอขอคอพวกเขา

เดี๋ยวๆ ตะกี้ยูกะไม่ใช่หรอ? แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ได้? นี่มันเมืองของอาณาจักร---

ตุ๊บ!

อ๊าก!! หลังฉัน!

ยังคิดไม่ทันจบตัวฉันก็หงายลงไปลงนอนกับพื้นภายในห้องเพราะสัสดีเปิดประตูที่ฉันพิงหลังอยู่แล้วตอกคำถามเย็นชาใส่

“เธอมาก็ดีแล้ว จะเข้าเรื่องนั้นเลย...เธอไปเจอแวมไพร์ผู้หญิงที่ชื่อว่ากินซ่าใช่ไหม”

“ใช่...”

ฉันตอบอัตโนมัติออกไปไม่คิดจะปิดบัง สัสดีหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ ยูกะพูดขึ้นมาว่า

“น่าจะยืนยันได้แน่นอนแล้วนะคะ ท่านคราวน์”

“อือ เป็นนางไม่ผิดแน่ ร่องรอยเวทมนต์ที่เหลืออยู่เฟลิกซ์ก็เหมือนเช่นกัน...แล้วเธอโดนเวทย์อะไรจากนางคนนั้นมา?”

“อ่า...ไม่ได้โดนนะ แค่เฉียดๆ” ฉันคิดว่างั้นนะ

“เฉียดๆ ของเธอมันมีอะไรบ้าง”

“เวทย์วจีกับ...หอกน้ำแข็ง”

คำตอบนั้นทำให้ยูกะประหลาดใจ

“แล้วรอดเงื้อมมือมาได้ยังไงคะ? เวทย์วจีนั่น!?”

“คงจะเป็นเพราะไม่ได้บอกชื่อจริงๆ ไปละมั้ง ฮ่าๆ”

“ชื่อ!? ฉันเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายใช้เวทย์วจีที่จงเจาะเฉพาะตัวบุคคล...ถึงมันจะมีเงื่อนไขยากหน่อยแต่ถ้าสำเร็จจะให้ผลที่แน่นอนมากเลยทีเดียว งืม”

ยูกะเอ่ยคำอธิบายในสิ่งที่ตนเองรู้ สัสดีหรือในอีกชื่อหนึ่งที่ฉันเพิ่งเคยได้ยินก็คือคราวน์พูดว่า

“ยูกะ...เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนั้น แค่ทำงานที่ข้ามอบหมายให้”

“แต่ว่า—”

“เรื่องที่ให้ทำเจ้ามันสำคัญกว่าเรื่องนี้มาก จดจ่อต่องานที่ได้รับก็พอ”

ทั้งสองคนคุยกันถึงเรื่องที่เข้าใจกันเอง ฉันที่นอนหงายอยู่นานยกมือ

“ขอขัดจังหวะแป๊บหนึ่ง...ทำไมคุณยูกะมาอยู่ที่นี่ได้”

ยูกะที่ถูกพูดถึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาใกล้ฉัน ยื่นมือลงมา

“อย่างที่เคยบอกก่อนหน้านี้ค่ะ ฉันเป็นสายลับ...และเป็นสายลับให้กับท่านคราวน์ผู้นี้ค่ะ”

“อ๋อ”

หลังจากนั้นทั้งสองคนซุบซิบคุยบางเรื่องค่อนข้างนานแต่ไม่อยากขัดเลยยืนรอจนคุยกันเสร็จ สัสดีหันบอกมาเรื่องที่จะสำคัญมาก

“เฟลิกซ์ เจ้าต้องอยู่ที่นี่กับมาเรียและอาเซียในระหว่างวันสองวันนี้เจ้าห้ามออกนอกเขตโรงแรมเป็นอันขาดและอย่าเอาแขนนั่นไปเที่ยวโชว์คนอื่น”

“เฮ! ฉันไม่ใช่โรคจิตนะเฮ้ย!”

“ถ้าเข้าใจแล้ว กรุณากลับห้องและทำเหมือนว่าไม่เคยเจอเอลฟ์ด้วย”

“แต่—”

กะจะต่อล้อต่อเถียงกับเรื่องที่เจ้ากี้เจ้าการ แต่พอเห็นสายตาที่ดุดันและเย็นชาของสัสดีแล้วมันชวนหงุดหงิดจนไม่อยากสาวเรื่องต่อบอกประชดทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องไป

“เค! จะทำตัวเรียบร้อยเป็นเด็กดีเชื่อฟังใครก็ไม่รู้...ค่ะ!”

ปัง!

“เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นผลดีต่องานเลยนะคะ ท่านคราวน์”

ยูกะเอ่ยอย่างอ่อนแรงหลังเฟลิกซ์ออกจากห้องไปเพียงครู่เดียว คราวน์ที่ถอนหายใจบอกอย่างเรียบง่าย

“มันจำเป็น”

“แต่วิธีปฏิเสธของท่านมันไม่รุนแรงไปหน่อยเหรอ”

“โอเค ข้ายอมรับข้อผิดพลาดนั้น...อันที่จริงหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ”

พอได้ฟังเหตุผลแล้ว ยูกะถอนหายใจตาม

“ผู้ชายไม่ว่าเผ่าไหนๆ เป็นแบบนี้เอาซะหมด ไม่เคยแคร์ความรู้สึกผู้หญิงบ้างเลย”

“เรื่องให้ตรวจสอบปลายอาคมวงเวทย์นั่น ให้มารายงานภายในสองวันได้ไหม”

“หือ!? ท่านเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย แต่ทำไมถึงต้องเร่งขนาดนั้นด้วย”

“ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี...ยิ่งรู้เร็วยิ่งดีกว่าว่าวงเวทย์ประจำเมืองนั่นมีอะไรเกี่ยวข้องกับกินซ่า”

“พอเป็นผู้หญิงคนอื่น ท่านจมูกไวนัก”

สัสดีได้ยินแบบนั้นหันมาทำหน้าเย็นชาใส่ ยูกะยิ้มแล้วตอบอย่างน้อยใจ

“ข้าเองรู้ดีว่าที่พูดไปเมื่อครู่มันงี่เง่า แต่ก็อดคิดไม่ได้ ความสามารถแบบนั้นทำไมใช้ได้ผลเฉพาะกลิ่นอายพลังเวทย์ผู้หญิงด้วย”

สัสดีใช้มือขวาโอบแก้มเธอแล้วมอบจูบเป็นคำตอบแทนโดยที่เขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าต้นเหตุคนที่ทำให้เมื่อคืนถูกเอลฟ์โจมตีที่บ้านกลางไร่นั้นคือยูกะ

◊◊◊

[เช้าวันต่อมา]

“คง...จะมีเหตุผลนั้นแหละ ท่านสัสดีมักทำแบบนี้เสมอ...ฉันชินแล้ว”

อาเซียตอบแล้วจิบชาในถ้วยที่อยู่บนโต๊ะในห้องพัก ข้างเคียงนั้นมีคุ้กกี้หกเหลี่ยมที่รสชาติไม่ได้ดีอะไรมากมายที่มีพนักงานโรงแรมมาเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าเมื่อครู่นี้เอง

ส่วนฉันนั่งอยู่ปลายเตียงเคาะเท้าอย่างหงุดหงิดที่ยังค้างคาจากเมื่อคืน ฉันตัดสินใจแหกคำสั่งเล่าเรื่องเมื่อคืนให้อาเซียฟัง...อันที่จริงตอนแรกไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะเดาว่าอาเซียเป็นอัศวินประจำตัวของสัสดี น่าจะรู้เรื่องทุกอย่างแต่กลับได้สีหน้าตะลึงกลับมาแทน โดยเฉพาะเรื่องเอลฟ์ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังทำเตรียมปำปั้มกันกับสัสดีเป็นอย่างมากด้วย กว่าฉันจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรบอกอาเซียเป็นอย่างยิ่งก็สายเกินไป ร่างกายเธอสั่นอยู่ตอนเวลาราวกับไม่ยอมรับความจริงนั้นและพึมพำกับตัวเองว่า ‘อยู่กันสองต่อสอง’, ‘จูบกันด้วย’, ‘ทำไมเราไม่เคยรู้’ วนไปวนมา

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะแอบชอบสัสดีอยู่จริงๆ ด้วย...ขอโทษนะ!

ฉันมองสิ่งรอบๆ ตัวเพื่อหาเรื่องอื่นมาคุย

“นี่! แล้วมาเรียไปไหน?”

“...”

“คุณอัศวิน...นี่!”

“ห๊ะหา!?”

“คุณมาเรียเขาไปไหนหรอ?”

“อ๋อ...ท่านสัสดีออกไปแต่เช้ามืดแล้วล่ะ”

“ไม่ใช่! พูดถึงคุณมาเรียต่างหาก”

“อ้าวเหรอ? อ๋อ! เห็นว่าออกไปตามหาแฟนเธอในเมืองนะ เพิ่งออกไปหลังเธอตื่นเอง”

“งั้นเหรอ...”

เอาไงดี...ขืนอยู่ในห้องทั้งวันเฉาตายแน่ๆ

พอคิดแบบนั้นแล้วมองแขนซ้ายตัวเองนึกถึงเรื่องเมื่อวาน

มันสร้างโล่กันเองขึ้นมาได้...มันยิงส่วนตรงมือออกไปเหมือนกับตะขอด้วย

มีฟังก์ชั่นมากกว่าที่คิดแฮะ อย่างน้อยๆ พระเจ้าเฮงซวยนั่นไม่ได้ใจร้ายมากมายยังมีตัวช่วยบ้าง

แล้วจะไปลองซ้อมแขนซ้ายที่ไหนล่ะ?

ฉันลองมองไปรอบๆ ตัวเพื่อจะทำให้คิดออกดันไปเห็นหน้าต่างเข้าเลยเดินไปทางนั้นส่องมองออกไปเห็นสนามหญ้าที่น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนหลังของโรงแรม มีม้านั่งสองสามที่กับโต๊ะที่น่าจะไว้จิบชาและหุ่นกระบอกไม้ที่มีรอยฟันเต็มไปทั่วตัว

หือ? ที่ให้ซ้อมฟันดาบด้วย? โรงแรมนี่ใช้ได้อยู่นะ ว่าแต่โรงแรมนี่ชื่ออะไรหว่า

“เดี๋ยวเราจะออกไปทำธุระไม่อยู่สักพักหนึ่ง ช่วยทำตัวเป็นเด็กดีตามที่สัสดีบอกด้วยนะ”

“ค่ะ...แต่ขอลงไปสวนข้างล่างนี้หน่อยได้ไหม? อยากลองเจ้านี่”

ฉันยกแขนซ้ายชูให้ดูเพื่อให้อาเซียเข้าใจความหมาย เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปนอกหน้าต่างจึงเลิกคิ้ว

“อ๋อ...ถ้าแบบนั้นได้ค่ะ”

“นี่! อีกอย่างหนึ่ง” ฉันเดินเข้าไปกระซิบ “พอมีของหรือเวทย์ที่ทำให้ล่องหนไหม? เผื่ออยากเดินเล่นข้างนอกนิดหนึ่ง”

“หะ!?”

อาเซียทำสีหน้ายุ่งยากสุดๆ ฉันรีบเสริมเหตุผล

“และก็เพื่อมีใครบุกเข้ามาด้วยจะได้เอาตัวรอดไง”

“งั้นเหรอ...งืม...ไม่ดีมั้ง”

“ดีสิค่ะ”

“ดี? เอาแบบนั้นก็ได้”

ดูเหมือนว่าอาเซียว่านอนสอนง่ายอย่างมาก เธอล้วงหยิบอะไรสักอย่างที่แนบอยู่ข้างตัวเป็นกระดาษสีน้ำตาลแลดูเก่าขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยมาให้ฉัน

“นี่คือคัมภีร์เวทมนต์ล่องหนชั่วคราว...อย่าเพิ่งกำมันนะ! เดี๋ยวมันจะทำงานเอาได้!” เธอห้ามฉันไว้ทัน “พอเธอกำมือแน่นแล้วมันร่ายเวทย์ล่องหนแก่คนใช้อัตโนมัติ จะหายตัวอยู่ราวๆ หนึ่งนาทีแต่ยังคงได้กลิ่นอยู่...ถ้าเกิดเรื่องมีใช้ พอใช้มันแล้ววิ่งหนีสุดชีวิตเลยนะ”

“อ่า...เข้าใจแล้วค่ะ”

“อ๋อ! อีกอย่างเธอจะไม่เห็นร่างกายตัวเองด้วยไม่ต้องตกใจล่ะ ไปล่ะท่านผู้กล้า!”

“ขอบคุณมากค่ะ!”

เธอเรียกแบบนั้นอีกแล้ว เราไม่มีส่วนไหนที่จะเป็นผู้กล้าได้สักนิด

ชุดที่เราใส่อยู่นี่มันก็...นักเรียนมอต้นชาติที่แล้วชัดๆ ใส่มาหลายวันแล้วไม่เห็นจะมีกลิ่นมีคราบสกปรกอะไรเลยแฮะ เป็นชุดวิเศษเหมือนฮีโร่กางเกงในแดงหรือยังไงนิ?

เดี๋ยวก่อนนะ...ถ้าฉันถูกยกย่องเป็นผู้กล้าจริงๆ ล่ะก็มันก็ต้องมีท่าเปิดตัวดิ?

ตัวเองเริ่มทะล่ำลึกห้วงความคิดตัวเองว่า...กำลังวิ่งขึ้นบนเวทีในชุดสาวกะลาสีชูดาบขึ้นฟ้าแล้วพูดว่า “ผู้กล้ามาแล้วค่ะ!” แล้วมีเสียงตบมือ...

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก! โคตรน่าอาย!

เดี๋ยวสิ ใบหน้าฉันตอนนี้มัน...

ฉันอดคิดถึงอีกคนที่มีใบหน้าและทรงผมเดียวกันในชาติที่แล้วไม่ได้

อันนา...

◊◊◊

[หนึ่งชั่วโมงต่อมา]

เมืองนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ เจอแต่สลัมกับทางตัน

ฉันที่สวมผ้าคลุมน้ำตาลทั้งตัวเอาปลายเท้าเคาะพื้นเล่นแก้เซ็ง หลังลองเดินสำรวจเมืองบาลาสแห่งนี้อีกครั้งและตอนนี้เธอก็อยู่ในตอกซอกซอยแห่งหนึ่งที่อยู่ทางเหนือของเมืองใกล้ๆ แม่น้ำคริสตัล แต่ด้วยความที่เป็นสลัมเลยเดินมาเจอทางตันอยู่บ่อยๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

ใครเป็นคนวางแผนผังเมืองฟ่ะ

เอาเหอะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว...กลับโรงแรมไปอยู่หลังสวนลองเจ้าแขนซ้ายดีกว่า

พอเดินกลับออกมาเห็นใครบางคนอีกหัวมุมรีบหลบมาทางเดิม

แม่สาวกินซ่านั่น! มาอยู่นี่ได้ไง? ตะกี้น่าจะเห็นฉันนะ...เห็นแน่ๆ!

ใช่ๆๆๆๆ! คัมภีร์เวทมนต์นั่น!

แม้มือไม้จะสั่นไปหมดแต่ก็ยังหยิบคัมภีร์ขึ้นมาใช้ได้ทันที เธอใช้มือขวากำมันทันใดนั้นคัมภีร์สลายหายไปกลายเป็นละอองสีขาว...

แล้วไงต่อ?

เวรล่ะ! ตัวฉันไม่ยอมล่องหน! อึก!

ลมหายใจหยุดนิ่งเพราะเจ้าตัวมาอยู่ตรงหน้าแล้ว สายตาของกินซ่าเต็มไปด้วยความแปลกใจแล้วมองทอดยาวเลยฉันไปก่อนที่จะเดินจากไป...และฉันก็นิ่งอยู่แบบนั้นเป็นนาที

ได้ผล!”

“ได้ผลบ้าอะไรย่ะ! ถ้าเราไม่ลบตัวตนเจ้าออกจากเจ้าแวมไพร์นั่นล่ะก็ ป่านนี้เจ้าของกลายเป็นศพแล้ว! สำนึกบุญคุณไว้บ้างสิ!”

จู่ๆ ก็มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น ฉันมองหารอบตัวก็ไม่เห็นจะมีใคร...พอนึกๆ ดูแล้วก็เริ่มจำได้

“เอลด้า!”

“ไม่ได้แวะมาทักซะนาน...เจ้าคิดถึงเราบ้างไหม”

“เหอะไม่”

“หัดตอบรักษาน้ำใจเถอะ! เดี๋ยวไม่มีเพื่อนเอาหรอกนะ! โฮะๆๆๆ”

“ใครจะเป็นเพื่อนกับหล่อนย่ะ”

“ก็คนนี้ไง”

เสียงสุดท้ายที่ไม่ได้ดังก้องหัวแต่ดังมาจากข้างหลังที่เป็นทางตัน ฉันหันหลังกลับมองก็เห็นร่างมนุษย์คนหนึ่งที่มีออร่าสีฟ้าปกคลุมทั้งตัวจนมองไม่เห็นร่างจริง แต่มันค่อยๆ จางลงจนเห็นรูปร่างที่แท้จริงที่ชวนช็อกอย่างแรงถึงชุดที่ใส่จะเป็นของผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาสไตล์แฟนตาซีย้อนยุคก็ตาม แต่นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่แสนดุดัน ผมม่วงยาวเลยบ่าเท้าหน้าอกคัพ B ที่เข้ากับรูปร่างที่ทะมัดทะแมงสูงกว่าฉันประมาณหนึ่งแล้วส่งยิ้มแปลกๆ ให้ฉันที่เผลอหลุดชื่อเพื่อนสนิทชาติที่แล้วถึงแม้จะรู้ว่าเอลด้าก็อบปี้ร่างนางมาใช้ให้แปลกใจเล่นก็ตาม

“นานามิ!?”

◊◊◊

ที่คาบเส้นแบ่งอาณาเขตเมืองสีฟ้ากว้าง 5 เมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบาลาส ซึ่งเส้นนั้นจะมีแต่ผู้ใช้เวทย์ระดับกลางขึ้นไปถึงจะมองเห็นมัน

ที่นั่นมีผู้หญิงที่สูง 160 ซม. ไว้ผมเปียถักยาวคู่สีเหลือง นัยน์ตาคู่ดำประกายสดใส สวมชุดที่คล่องแคล่วมีผ้าคลุมหลังเหมือนพวกโจรกำลังวางก้อนคริสตัลตามมุมต่างๆ ของวงเวทย์หกเหลี่ยมที่วาดขึ้นมาบนพื้นโล่งๆ ขนาดกว้างกว่าสามสิบเมตรและตรงกลางวงเวทย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนว่า ‘เจ้าโง่! ฉันเตรียมวงเวทย์รับเทเลพอร์ตแล้ว! รีบๆ มาสิ!’

“เฮ้อ...ดีนะที่เตรียมหินไว้พอดี”

เธอปาดเหงื่อหลังวางก้อนสุดท้ายก่อนที่จะเดินถอยหลังออกมาจากวงเวทย์ขนาดใหญ่ มองดูภาพรวมให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด

“เอาล่ะ...ได้เวลาของหนึ่งในสิบสองนักเวทย์อัฉจริยะแห่งยุคแล้ว!”

เธอพูดกับตัวเองที่อิงความจริง หยิบคทาสั้นที่ใช้ทดแทนอันเก่าที่ใช้สู้กับพวกเอลฟ์หลายวันก่อนจนพังไปและปลายหัวนั้นบรรจุหินคริสตัลที่ใสบริสุทธิ์กว่าออกมา ตั้งฉากชี้ไปยังกลางวงเวทย์หกเหลี่ยมและเริ่มร่ายคาถา

“ในนามของเรา! เรย์ลี่ สตีเฟน! จิตและกายจงรวมเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนผ่านโลกทั้งสาม! เทเลพอร์ต!”

วงเวทย์ที่วาดไว้เรืองแสงสีฟ้าขึ้นมา กระดาษที่วางไว้อยู่กลางวงวาร์ปหายไปแล้วงเวทย์ค่อยๆ ลดแสงสีฟ้าลงจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม เรย์ลี่ยืนรออยู่สองนาทีวงเวทย์ที่วาดไว้กลับเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนและสิ่งของจำนวนมากที่เป็นพวกเหล็กและฟันเฟืองต่างๆ ถูกวาร์ปส่งมา พวกเขาต่างมองรอบตัวแล้วมีคนหนึ่งตะโกนขึ้น

“ทุกคนไม่เป็นไรกันใช่ไหม”

ไม่มีเสียงตอบนั้นก็แสดงว่าปลอดภัยกันดี เรย์ลี่ยืนเท้าเอวรอใครบางคนที่เป็นหัวหน้าช่าง พอเห็นผู้ชายที่ไว้ผมสั้นสีน้ำตาลนัยน์ตาสีเหลืองใบหน้าทรงเพชรมีหนวดเคราเล็กน้อย เสื้อผ้าที่ใส่นั้นมีกระเป๋าอยู่ทั่วตัวและเลอะคราบสีดำมากมายกำลังสำรวจความเรียบร้อยหลังเทเลพอร์ตมา เลยตะโกนเรียก

“ช่างแจ๊ะ!”

คนถูกเรียกสะดุ้งโหยงราวกับว่าไม่ชอบชื่อนั้นเอามากๆ ทำหน้าไม่พอใจเดินเข้ามาหา

“อย่าเรียกชื่อนั้นอีกจะได้ไหม”

“โธ่! ก็เรย์ลี่ชอบชื่อนี่อ่ะ!”

“อีกอย่างวันหลังเธออย่าเขียนอะไรแบบนี้มาอีกจะได้ไหม? ถ้าเป็นคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลย”

หัวหน้าช่างยื่นกระดาษที่เธอวางไว้กลางวงเวทย์ก่อนหน้านี้มาให้ เรย์ลี่รับเก็บไว้อย่างเต็มใจ

“แหม่ จะได้รู้ไหงว่าปลายทางเป็นเรย์ลี่จริงๆ ไม่ใช่พวกอื่น”

“เฮ้อ...แล้วแต่เธอเหอะ นี่เพราะฉันเห็นแก่หน้าท่านสัสดีเลยไม่ว่าเรื่องมารยาทอะไร”

หัวหน้าช่างหลอกด่าเรย์ลี่อ้อมๆ ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีกลับยิ้มชอบใจ...ช่างแจ๊ะเหลือบไปเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเรย์ลี่ตรงเอวขวาเข้าเลยอดถามไม่ได้

“เลือดนั่น...เป็นของใคร”

“อย่าไปใส่ใจเลย! ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเรื่องมารยาทจะเก็บไว้คิดล่ะกัน แต่นายเองรีบๆ เตรียมเจ้านั่นไว้เถอะ เผื่อได้ใช้เร็วกว่าที่คิด”

“ได้...แต่ทำไมถึงไม่เทเลพอร์ตใกล้เมืองบาลาสมากกว่านี้?”

หัวหน้าช่างตั้งคำถามกับเรย์ลี่ ซึ่งเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเด็กคนนี้ไม่น่าจะตอบคำถามนั้นได้แต่แล้วต้องประหลาดเมื่อได้รับคำตอบอย่างชัดเจน

“ตามกลยุทธ์สงคราม การตั้งค่ายหรือสร้างอะไรก็ตามที่หวังผลอาณาเขตเมืองอีกฝ่าย ควรตั้งไว้คนละอาณาเขตกันนี่ เผื่อเกิดกรณีฟอร์ดาวน์ (Fall down) ขึ้นมา”

“ฟอร์ดาวน์? อือเข้าใจล่ะ แต่เด็กแก่แดดอย่างเธอพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วย?”

“หือ!? เปล่าหรอก เรย์ลี่กำลังใช้โทรจิตส่งหาท่านสัสดีอยู่พอดี เขาเลยฝากคำตอบมา”

เรย์ลี่พูดแบบนั้นทำให้หัวหน้าช่างรีบนึกย้อนสิ่งที่พูดทั้งหมดก่อนหน้านี้ก่อนที่จะโล่งใจเพราะไม่ได้นินทาอะไรเกี่ยวกับสัสดีแม้แต่น้อยและเอ่ยถามทันทีพอเห็นเรย์ลี่ตั้งท่าจะเดินตรงไปยังเรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำคริสตัลที่ใช้ข้ามไปยังเมืองบาลาส

“เดี๋ยวเธอ! จะไปไหน!?”

ช่างตะโกนถาม เรย์ลี่หันกลับมาหลิ่วตาใส่

“เข้าเมืองตามไปช่วยสัสดีไง...ไว้จะส่งสัญญาณเรียกให้ขับเจ้านั่นมาล่ะกัน ดูท้องฟ้าเหนือเมืองบาลาสไว้ให้ดีล่ะ ช่างแจ๊ะ! ฮ่าๆ!”

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.12 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

หว่า! ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างสัสดีกับเฟลิกซ์แย่ลงอีกล่ะ! ทั้งๆ ที่เขาช่วยเธอแท้ๆ!

แล้วยังมีความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับยูกะอีก! แล้วทำไมอาเซียได้ยินแล้วต้องเศร้าด้วยล่ะ!? หล่อนแอบชอบสัสดีงั้นหรอ!

และดูเหมือนว่าต่างคนต่างมีธุระที่ต้องแยกย้ายไปทำ เลยทำให้เฟลิกซ์ที่ไม่อาจอยู่โรงแรมทั้งวันออกมาเดินเล่นแล้วแจ็คพ็อต! เจอกับกินซ่าอีกครั้งซะงั้น!

แต่เธอก็ได้นางฟ้าที่คอยจับตาดูชะตากรรมอย่างเอลด้ามาช่วยแล้ว...แล้วทำไมหล่อนต้องใช้ร่างเพื่อนสนิทของเฟลิกซ์เมื่อชาติที่แล้วแทนตัวเองด้วย!

ในที่สุดเรย์ลี่ก็กลับมาแล้ว!

เรื่องราววันดีๆ ของเฟลิกซ์ในเมืองบาลาสจะเป็นยังไงต่อไป

โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. แกนกลางคริสตัล 2 - [Good Day] – ครึ่งหลัง

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา