บัลลังก์เลือด สงครามสี่เผ่าพันธุ์

8.5

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.00 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,814 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 15.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) สาวน้อยแห่งเมืองจตุราชิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ในเมืองจตุราชิตที่ถูกปล่อยให้รกร้างมานาน มนชิตเดินเข้ามาที่นี่ เขาเดินตรงขึ้นไปชั้นบนสุดที่ห้องใต้หลังคา เขาเห็นดารายานั่งคุกเข่าและเปิดฝาโลงศพของอาคิน เธอดึงกริชเหล็กนิลที่ปักอยู่กลางหัวใจของอาคินออกมาดูสักพักแล้วเธอก็เสียบกลับคืนที่เดิม ที่แท้ดารายาก็ซ่อนตัวอยู่ในนี้นี่เอง ..

“ตลอดชีวิตของผม ผมต้องเผชิญกับปัญหาคลานแคลนใครสักคนที่จะเข้าใจ และเอ่ยถึงความดีกับความชั่ว ข้อตกลงดั่งกล่าวไม่มีความหมายอะไรเลย คนเราทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ โดยไม่สนใจว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ มันชั่วร้ายมากนักเหรอที่อยากได้เพื่อสนองความต้องการของตนเอง ถึงแม้ว่ามันจะส่งผลกระทบกับผู้อื่นก็ตาม และการที่คนเราชั่วร้าย ผมเชื่อว่ามันคือการตอบโต้กับโลกที่ยุ่งเหยิงและไม่ยุติธรรมนี้” คำพูดของนคเรศ...

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร นคเรศกำลังยืนดูรูปวาดที่เขาสะสมตรงผนังห้องของตัวเองอยู่ กรองขวัญยืนอยู่ตรงประตูห้องทำงานของเขา ..

“โทษที ฉันไม่เข้าใจว่าคุณเชิญฉันมาทำไม?” กรองขวัญถาม นคเรศหันมาสนใจเธอแทน

“เพราะผมชอบที่มีคุณเป็นเพื่อน และผมก็รู้สึกว่าคุณสามารถเข้าใจความซับซ้อนของผมได้ คือผมกลับมาที่จตุราชิตเพื่อสืบหาว่าใครต่อต้านผมอยู่ แล้วผมก็พบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการการปกป้อง พี่ชายของผมเป็นคนดีเสมอมา เขาพยายามดึงผมเข้าไปช่วยเหลือเธอ เขาคิดว่าบางทีมันอาจจะช่วยผมได้ ...ปัญหาก็คือ ตั้งแต่ที่ผมได้รู้ว่ายังมีผู้หญิงอีกคน อ่อ ไม่ใช่สิ ...เด็กผู้หญิงซะมากกว่า เธอมีอิทธิฤทธิ์มากมายและกำลังถูกจองจำ ผมอยากจะช่วยผู้หญิงทั้งสองคนนี้ ปกป้องคนหนึ่งและปลดปล่อยอีกคน ...บอกผมหน่อย คุณขวัญ สำหรับคุณมันชั่วร้ายมากไหม?” นคเรศถาม

“จากการวิเคราะห์แล้ว ฉันไม่เชื่อเรื่องความชั่วร้าย ฉันคิดว่าคุณมีความสัมพันธ์แบบส่วนตัวที่ไม่มั่นคง เครียด หวาดระแวง โกรธเรื้อรัง และกลัวการถูกทอดทิ้ง ฉันคิดว่าคุณควรจะไปพบแพทย์นะ” กรองขวัญตอบ

“ผมขอเลือกที่จะคุยกับคุณดีกว่า ...ผมเลยจะเสนองานให้คุณทำ เป็นนักชวเลขให้ผม” นคเรศเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน

“ได้สิ แล้วเราจะเขียนอะไรกันดีล่ะ?” กรองขวัญถาม

“แน่นอน ก็ต้องเป็นความทรงจำของผมสิ ต้องมีใครสักคนอยากรู้เรื่องราวของผม และผมก็จะมีเวลาปรึกษาเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นด้วย อย่างเช่น เรื่องพ่อหนุ่มสุดหล่อในชุดสูทของคุณ มนชิต” นคเรศตอบ

“ขอโทษนะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน…” กรองขวัญไม่โอเคนัก

“เรื่องส่วนตัวของคุณ ตอนนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนของผมไปเรียบร้อยแล้ว ...คุณก็รู้ว่ามนชิตต้องการคุณ เพราะฉะนั้นเขาจะไว้ใจคุณซึ่งก็ดีสำหรับผม ...เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนนี้เมืองนี้ใกล้จะเข้าสู่ช่วงสงครามเต็มที ระหว่างผมกับมนชิต และเขามีกองทัพผีดิบกับหมอผีเด็กที่มีอำนาจอิทธิฤทธิ์โคตรเทพ” นคเรศลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินไปนอกห้อง

“ว่าไงนะ?” กรองขวัญไม่เข้าใจ เธองง นคเรศใช้ความเร็วพุ่งตัวเข้าไปหาเธอ เขาเอามือทั้งสองข้างจับไปที่หัวของเธอ

“~ คุณกำลังกลัว อย่ากลัว ~” นคเรศสะกดจิตเธอ กรองขวัญหายตกใจทันที

“ฉันไม่รู้สึกกลัวแล้ว นี่มันวิเศษมาก คุณทำได้ยังไง...” กรองขวัญสงสัยต่อ

“มันคือการสะกดจิต หนึ่งในความสามารถของผีดิบ เดี๋ยวคราวหลังผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเอง ...ตอนนี้ เรามาพูดเรื่องของมนชิตกันต่อเถอะ” แล้วนคเรศก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม

(*นักชวเลข เป็นอาชีพในการเขียนข้อความแบบย่อโดยใช้สัญลักษณ์แทนคำหรือประโยคนั้นๆ อาชีพนี้จะใกล้ชิดกับผู้ว่าจ้างหรือลูกค้าเป็นการส่วนตัวอย่างมาก)

...............................................................................................

.. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ชั้นบนสุดที่ห้องใต้หลังคา ..

“การฟื้นตัวของพวกผีดิบ เขาเหมือนกับแมลงสาบใส่สูท ...แต่มันไม่สำคัญแล้วล่ะ ถึงเวลาที่ต้องคืนอาคินให้นคเรศ” มนชิตนั่งมองร่างของอาคินที่นอนอยู่ในโลง

“คุณบอกให้ฉันหาวิธีฆ่าพวกผีดิบตนแรก งานของฉันยังไม่เสร็จ ถึงกริชสีดำนี่จะสามารถหยุดพวกเขาไว้ได้ แต่มันก็แค่นั้น” ดารายาไม่เห็นด้วยเลย

“ดารายา เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้วนะ นคเรศช่วยชีวิตฉัน ฉันเป็นหนี้เขา และเขาก็ต้องการพี่ชายคืน” มนชิตยืนขึ้นพูด

“คืนนี้จะมีเทศกาลดนตรีที่ถนน..ม่านสำราญ.. ...ฉันอยากไป ...ขอร้องล่ะ” ตลอดเวลาที่ผ่านมาดารายารู้สึกอึดอัดที่ต้องค่อยหลบอยู่แต่ในห้องนี้

“เหตุผลทั้งหมดที่เธอต้องมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าจะได้ไม่มีใครหาเธอเจอ เธอก็รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ที่ถนนม่านสำราญ นังหมอผีสมิตา เดชาภัทรจินดา แล้วเธอเองก็รู้ดีว่าพวกหมอผีจะทำอะไรกับเธอถ้าพวกนั้นเจอเธอเข้า” มนชิตไม่เห็นด้วย เขาเป็นห่วงดารายา

“แต่คุณควบคุมพวกหมอผีอยู่ไม่ใช่เหรอ อย่าให้พวกมันเข้ามายุ่งกับฉันสิ มนชิต ขอแค่คืนเดียว” ดารายาพูด

“ผมบอกว่าไม่” มนชิตยื่นคำขาด เขากำลังเดินออกจากห้อง

“ฉันทำทุกอย่างตามที่คุณขอ ...บางครั้งฉันก็คิดนะว่าคุณคงลืมว่าฉันทำอะไรได้บ้าง คุณรู้ไหมว่าฉันสามารถทำให้เลือดในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเดือดได้ เพียงแค่ฉันคิด” พูดจบดารายาก็ใช้อิทธิฤทธิ์ของเธอพิสูจน์กับมนชิต เธอจ้องเขาไปสักพักจนมนชิตรู้สึกว่าภายในร่างกายมันร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเหงื่อออกมากขึ้นๆจนผิดสังเกต จังหวะนั้นดารายาคลายพลังของเธอออก มนชิตยิ้มชอบใจ

“ก็ได้ เรามาประนีประนอมกัน โอเคนะ ...การที่ให้เธอไปเดินในงานคนเดียวมันอันตรายเกินไป ดังนั้นฉันจะแนะนำเธอให้เพื่อนฉันรู้จัก แล้วเราก็ไปเจอกันที่นั่น เธอเป็นผู้หญิงนิสัยดี พวกเธอต้องเข้ากันได้แน่ๆ” มนชิตยอมในที่สุด ดารายายิ้มจนแก้มปริ เธอดีใจมาก

 

.. ณ ร้านรสนิยม ถนนบัวบุญ กรองขวัญกำลังเช็ดเก้าอี้และเคาน์เตอร์อยู่ ..

“สวัสดี คุณขวัญ” นคเรศทักทายเธอ เขาเพิ่งเดินเข้ามาในร้านทั้งๆที่ร้านยังไม่เปิด

“คุณเข้ามาได้ยังไง มาหาฉันตอนนี้เนี้ยนะ ไม่มีใครโวยวายใส่คุณด้วย ...ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้เรื่องที่คุณพึ่งบอกฉันว่าคุณเป็นผีดิบและกำลังควบคุมจิตใจฉันอยู่ แล้วคุณก็ไม่พูดอะไรต่อ ฉันกลับมาลองคิดแล้ว คุณมันก็แค่ผู้ชายหน้าตาดี ...หล่อมาก มีวิธีพูดน่ารักและมีเงินอีกมหาศาลเอาไว้ผลาญเล่น คือความทรงจำของคุณ” กรองขวัญสงสัยเยอะแยะไปหมด

“มันคือการทำงานของวิธีการสะกดจิตน่ะ ที่รัก” นคเรศพูด

“ก็ใช่ แล้วคุณทำได้ยังไง มันคือการสะกดจิตจริงๆใช่ไหม เส้นประสาทในสมองของฉันถูกปิดอย่างนั่นเหรอ?” กรองขวัญสงสัยต่อ

“คุณนี่เหมือนพวกเด็กม.ต้นอยากรู้อยากเห็นจริงๆ มาคุยกันเรื่องมนชิตเถอะ ...คุณบอกว่าคุณมีข้อมูลมาให้ผม” นคเรศเดินมานั่งที่โต๊ะ กรองขวัญตามมานั่งด้วย

“คืนนี้เขาจะพาใครบางคนมางานดนตรีด้วยกัน เป็นเด็กผู้หญิงที่เขารับอุปการะไว้ เห็นได้ชัดว่าเธอคงจะผ่านช่วงเวลาที่แสนยากลำบากมา การต่อต้าน ปัญหาเรื่องความโกรธ อะไรประมาณนั้น ฉันขอเดาจากความรู้ด้านจิตวิทยาของฉัน เขาคงคิดว่าฉันจะดูแลเธอได้ แต่ตอนนี้ฉันปฏิเสธไปแล้ว” กรองขวัญรายงาน

“ผมก็จะไปงานนี้ และผมก็จะขอให้คุณเปลี่ยนใจด้วย” นคเรศมีแผนแล้ว

“คุณกำลังจะบังคับให้ฉันทำงั้นเหรอ แล้วจะมาพูดดีกับฉันเพื่ออะไรฺ?” กรองขวัญรู้ทัน

“เพราะว่าผมชอบคุณ ...หมายถึงผมชอบวิธีคิดของคุณ ภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันนี้ ผมคิดว่าเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ถึงจะอย่างนั้น ผมก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสในคืนนี้หลุดมือไปเป็นอันขาด ...คุณรู้ไหม นอกจากจะเป็นอาวุธลับที่ทรงอำนาจของมนชิตแล้ว เด็กดารายานั้นเธอจับพี่ชายของผมไว้ด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง ~ เด็กสาวคนนี้ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ โทรหามนชิตซะ บอกเขาว่าคุณเปลี่ยนใจ ~” นคเรศเขยิบเข้ามาใกล้ๆกรองขวัญแล้วเขาก็สะกดจิตเธอจนได้

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร อรนาทมาหาเหมือนจันทร์ที่บ้านพวกเธอนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น ..

“ฉันบอกคุณแล้วไง อรนาท ฉันสบายดี” เหมือนจันทร์หยิบนิตยสารมาอ่านเล่นระหว่างการสนทนา

“แต่เธอเลยกำหนดตรวจครรภ์แล้วนะ” อรนาทพูด

“แล้วจะให้ฉันทำยังไง เข้าเมืองเพื่อไปตรวจอัลตราซาวด์อย่างงั้นเหรอ อสูรตั้งครรภ์ที่มีหมอผีไปเป็นเพื่อน ฉันคงไม่ต้องสู้กับอะไรเลยสิ” เหมือนจันทร์พูด

“มีผู้หญิงเยอะแยะที่ตายท้องกลมและจากที่ฉันเห็น เธอเองก็ไม่ค่อยห่วงสุขภาพของตัวเองเท่าไหร่” เสียงของรวิภาพูดแทรกขึ้น เธอนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น กำลังใช้โน้ตบุ๊ค

“ฉันรู้จักกับหมอคนหนึ่งที่ไพรราช ฉันจองคิวนัดไว้ให้เธอแล้วด้วย ...คืนนี้หลังจากที่คลินิกปิด เราจะไปกัน มีแค่เราสองคน พวกผีดิบจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” อรนาทยืนยันความปลอดภัย

“โอเค ดีเยี่ยม กุมารแพทย์ที่ไพรราชก็ได้” เหมือนจันทร์ตอบตกลง พวกเธอลุกแล้วเดินออกไปทิ้งให้รวิภานั่งอยู่ในห้องนี้คนเดียว เธอกำลังค้นหาพิกัดบางอย่างในเว็บแผนที่จากภาพดาวเทียม

“น้องสาว อย่าบอกนะว่าเธอนั่งเสิร์ชอินเตอร์เน็ตทั้งวัน ...แล้วเราจะเริ่มจากอะไร พิมพ์คำว่าห้องใต้หลังคาอย่างนั้นเหรอ?” นคเรศเดินเข้ามา เขาเทเหล้าใส่แก้ว

“ฉันต้องคอยหาตัวอาคิน ถึงแม้ว่าจะต้องค้นหาห้องใต้หลังคาทุกที่ในเมืองนี้ก็ตาม” รวิภาตอบ

“เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะ” นคเรศแซว เขาดื่มเหล้าไปหนึ่งกริบ

“ฉันจำรายละเอียดห้องใต้หลังคาที่มนชิตพาฉันไปได้ มันมีหน้าต่างกระจกตรงข้างหลังโลงของอาคิน” รวิภาพูดโดยที่ไม่มองหน้านคเรศสักนิด สายตาของเธอจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ๊ค

“แค่นี้ก็ตีวงแคบได้แล้ว ฉันชอบวิธีการที่มันดูเป็นไปได้จริงๆมากกว่า ถ้าเทียบกับวิธีการที่มันน่าเบื่อ มนชิตเหมือนจะยังไม่คืนชีพให้กับพี่ชายของเรา มันทำให้ฉันคิดว่าในไม่ช้าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยน ถ้าความจงรักภักดีของดารายาที่มีต่อมนชิตเริ่มตึงเครียดขึ้นมา ไม่แน่นะ หมอผีเด็กนั่นอาจจะเปิดรับพันธมิตรคนใหม่” นคเรศมีแผนเรื่องดารายา

“ก็อย่างเคย การแสวงหาอำนาจของพี่มันสำคัญกว่าการช่วยเหลือพี่ชายเราอยู่แล้วนิ่” รวิภาจิกกัด

“ฉันชอบคิดหาวิธีการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวต่างหาก ชิงอาวุธลับของมนชิตมาซะ แล้วก็พาพี่ชายของเรากลับบ้าน” นคเรศพูด รวิภาได้แต่ยิ้มผ่านๆไป

 

     .. ณ เมืองจตุราชิต ในบ้านของดนัย เขาเปิดที่นี่เป็นบ่อนเล็กๆและขายเหล้าด้วย มันอยู่ในมุมอับที่ปิดทึบจนแสงแดดรอดผ่านเข้ามาไม่ได้ เป็นที่รวมตัวของเหล่าลูกสมุนผีดิบที่ดนัยเป็นคนดูแลอยู่ จิรพัสเดินเข้ามาที่นี่ เขาตรงไปหาดนัย ..

“เฮ้ ดนัย ...มีวิธีไหนที่ไวๆ เอิ่ม คือ...อยากได้แหวนเดินตอนกลางวัน นายพอมีวิธีที่จะได้มาไวๆไหม?” จิรพัสถาม ดนัยกำลังกินเหยื่อมนุษย์ผู้หญิงอยู่ เขาหยุดกินแล้วโยนศพของเธอลงพื้น หันหน้ามาหาจิรพัสแทน

“นายจะได้แหวนนั่นก็ต่อเมื่อได้รับเชิญเข้าวงใน สำหรับนายมันอาจจะไม่มีวันนั้น” ดนัยตอบ แล้วเขาก็หันไปหยิบเหล้ามาเติมใส่แก้ว

“อ่าฮะ แต่มันก็มีการเปิดรับสมาชิกใหม่ใช่ไหม ฉันหมายถึงตอนนี้ทยุตก็...นายก็รู้...” จิรพัสพูดถึงทยุต ดนัยหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นประจันหน้ากับจิรพัส

“อย่าเอ่ยชื่อทยุตเข้าใจไหม หมอนั้นไม่ควรต้องมาโดนอะไรแบบนี้ มนชิตแค่แสดงให้นคเรศเห็นเท่านั้น ...ฉันรอให้พวกผีดิบตนแรกออกไปจากเมืองแทบไม่ไหวแล้ว” ดนัยกลับไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม

“เราทั้งคู่” เสียงของรวิภา เธอเดินเข้ามาในบ่อน

“ตื่นเร็วพรรคพวก หันมาๆ ชนชั้นสูงอุส่ามาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองเชียวนะ” ดนัยหันมาเห็นรวิภา เขาเดินเข้าไปต้อนรับทันที

“อื้ม ...คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง ถ้าฉันอยากจะบอกว่าฉันสามารถช่วยนายเรื่องของนคเรศได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนทางด้านข่าวกรองเล็กๆ” รวิภายื่นข้อเสนอ

“เช่นอะไร?” ดนัยถามต่อ

“นายเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องระหว่างฉันกับมนชิตมาบ้างแหละ ว่าเคยมีวันที่ดีต่อกัน เหมือนตอนนี้เขาจะเดินหน้าคบใครบางคน ที่ฉันอยากรู้ก็คือใครคนนั้น” รวิภาตอบ

“คุณเห็นเขาอยู่กับบาร์เทนเดอร์” ดนัยสบถออกมา เขาเดินกลับไปนั่งที่เดิม

“แล้วคนที่ชื่อเจนล่ะ เขาคบกับเธอไหม คงมีแค่ผู้ชายตาบอดที่เลือกนางแทนที่จะเลือกฉัน ...จะต้องมีผู้หญิงคนอื่นๆในฮาเร็มของเขาอีกสิ” รวิภาถามต่อ ดนัยทำกวนไม่ตอบ

“ฟังนะ ฉันแค่อยากได้ข้อมูลเล็กๆเพื่อที่จะจบปัญหานี้ หลังจากนั้นฉันก็จะออกจากเมืองจตุราชิตทันที และฉันมั่นใจว่าจะสามารถพานคเรศไปด้วยกันแน่นอน สิ่งนี้จะทำให้การใช้ชีวิตของนายมันง่ายขึ้น” รวิภาพูดต่อ

“รู้ใช่ไหม ว่ามนชิตมีเรื่องมากมายให้จัดการ ถ้าเขากำลังจีบกับใครอยู่ เธอก็คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในย่านนี้ เธออาจจะอยู่แถวๆนี้ก็ได้ ผมรู้แค่นี้แหละ” ดนัยใบ้คำตอบให้

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิตยามเย็น ที่งาน ..ถนนม่านสำราญ มิวสิค เฟสติวัล 2013 ครั้งที่ 22 .. เทศกาลงานดนตรีของเมืองจตุราชิตที่จัดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆทุกปี มีการแสดงดนตรีสดมากมาย ทั้งดนตรีไทยและสากล ทั้งโชว์เดี่ยวและเป็นวงดนตรี ตลอดแนวถนน ร้านเหล้า และผับอโคจรทั้งเส้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสนุกสนานของผู้คนและนักท่องเที่ยวในเมือง มนชิตเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยรอบๆงานพร้อมกับลูกสมุนผีดิบของเขาอีก 7 – 8 ตน ..

“งานดนตรีปีนี้จัดซะใหญ่โต มีแต่คนมาเพื่อดื่มเลยต้องมีตาคอยสอดส่อง ฉันไม่ต้องการให้เกิดปัญหานั่นก็หมายว่าห้ามมีหมอผี ส่งคำสั่งไปที่ร้านคุณแดงบาร์ ถ้ามีหมอผีแม้แต่คนเดียวมาเพ่นพ่าน ฆ่าทิ้งได้เลย และที่ร้านก็ต้องไม่มีพวกผีดิบตนแรกด้วย ฉันไม่ชอบวิธีการสอดแนมของรวิภา อีกอย่างผู้หญิงของฉัน คุณขวัญเธอจะมางานนี้กับเพื่อนตัวน้อยของเธอ ฉันต้องการให้พวกแกคอยจับตาดูพวกเธอไว้ แค่ดูเท่านั้น ตกลงไหม ฉันไม่ต้องการให้ผีดิบตนไหนเข้าใกล้พวกเธอ เข้าใจตรงกันนะ ทุกคนจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาในงานนี้ โอเค้” มนชิตสั่งงานเหล่าผีดิบเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

     ตกดึกมนชิตพาดารายาของมาเดินเล่นในงาน เธอดูตื่นเต้นและดีใจมากเหมือนกับว่าไม่ได้ออกมาสูดอากาศโลกภายนอกมานาน

“ไปเลย” มนชิตพูดกับดารายา เขาอยากให้เธอสนุกกับค่ำคืนนี้ ดารายารีบวิ่งเข้าไปในร้านคุณแดงบาร์ ซึ่งก็มีการแสดงดนตรีสดในขณะนั้น เธอดูตื่นผู้คนนิดๆ มนชิตเดินตามมาประกบหลังเธอไว้

“นี่คือทุกอย่างที่เธอหวังไว้ใช่ไหม?” มนชิตถาม ดารายายิ้มจนแก้มจะฉีกอยู่แล้ว

“ใช่” เธอตอบมนชิตทันที ขณะนั้นเองเธอหันไปเห็นวัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆเดียวกันกับเธอ เขาหล่อ สูง ขาว รูปร่างดี ดูมีเสน่ห์ เขาคือ..ทิวา.. เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเดียวกับดารายา เธอมองเขาโดยที่ไม่ละสายตา

“งั้นเรามาพูดเรื่องกฎกันซะหน่อย” มนชิตพูด ดารายาดึงสติตัวเองกลับมา

“ฉันจะไม่พูดคุยกับใครเกี่ยวกับเรื่องของเรา ฉันไม่พูดทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีดิบหรือหมอผี หรือพวกตนแรก ทุกอย่าง อะไรก็ตาม ไม่พูด” ดารายาพูด มนชิตพยักหน้ารับทราบ

“คุณบอกว่าคุณจะไม่อยู่ตรงนี้กับฉัน” ดารายาพูดอ้อมๆประมาณว่ามนชิตกลับไปได้แล้ว

 

     .. ณ เมืองไพรราช อรนาทกับเหมือนจันทร์ขับรถมาถึงคลินิกแห่งหนึ่งที่เปิดทำการในป่าลึก ลักษณะของมันเป็นเหมือนกับบ้านพัก ..

“เนี่ยนะคลินิก?” เหมือนจันทร์หันไปถามอรนาท

“หมอพลอยเธออยู่คนเดียวและชอบสันโดษ เพราะคนของมนชิตชอบมาระรานคนไข้ของเธอบ่อยๆ ไปกันเถอะ เธอไม่กัดหรอก” อรนาทพูด เหมือนจันทร์ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในคลินิก จังหวะนั้นอรนาทกดโทรศัพท์มือถือโทรหาใครบางคน

“ส่งพวกเขาเข้ามาเลย กำชับว่าให้ทำอย่างรวดเร็วที่สุด” อรนาทสั่งงานกับคนในสาย ที่แท้มันก็คือกับดัก

 

     .. ณ ร้านคุณแดงบาร์ เมื่อถึงคิวที่วงดนตรีของทิวาต้องเล่น เขาเป็นนักไวโอลินของวงนี้ ดารายาจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา สไตล์การเล่นของวงทิวาเป็นแนวดนตรีลูกทุ่งคันทรี่ผสมผสานกับเครื่องดนตรีสากล ให้จังหวะมันๆบ้านๆ ฟังแล้วสนุกสนานเพลิดเพลินมาก ทิวาดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าปกติมากเมื่อเขาเล่นไวโอลิน ..

“ดีใจที่คุณมา ผมกลัวว่าคุณจะคิดว่าผมเป็นคนเจ้าอารมณ์จากงานการกุศลครั้งที่แล้ว” มนชิตนั่งอยู่ในบาร์กับกรองขวัญ เขามองดูดารายาอยู่ห่างๆ

“คนทุกคนต่างก็เคยมีเรื่องให้ต้องโมโหกันทั้งนั้น ...เอาเถอะ เดี๋ยวฉันคงต้องกลับไปที่ร้านแล้วล่ะ มีงานทำความสะอาดรออยู่ พอเสร็จแล้วก็ถึงคราวที่สาวๆจะออกเที่ยวกันบ้าง ถ้าคุณจำเป็นต้องไปดูแลคนอื่นหรืออะไรก็ตาม” กรองขวัญเห็นว่ามนชิตพาดารายามาด้วย

“คุณรู้ไหม คุณควรจะหยุดแว่บไปแว่บมาได้แล้ว” ดารายาหันมาหาทั้งคู่ เธอหมายถึงมนชิต

“แล้วรู้เหตุผลไหม มันเป็นเรื่องของอิทธิพล ฉันต้องไปคุยกับนายกเทศมนตรีต้องไปแสดงความเคารพน่ะ” มนชิตคุยเล่นกับดารายา เธอขำแล้วหันกลับไปดูทิวาเล่นไวโอลินบนเวทีต่อ เขากำลังเมามันกับการสีไวโอลินให้เข้ากับจังหวะเพลงลูกทุ่ง มนชิตลุกเดินออกไป กรองขวัญเดินเข้าไปหาดารายา

“เขาชื่ออะไรเหรอ หนุ่มหล่อกับไวโอลินคนนั้นน่ะ?” กรองขวัญถาม เธอรู้ว่าดารายาสนใจเขาอยู่

“ทิวา ...ฉันรู้ว่าเขาต้องมา วงของเขาชอบมาเล่นที่นี่” ดารายาตอบ

“นี่พวกเธอสองคนรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว” กรองขวัญถามต่อ

“ก็ตั้งแต่สิบขวบ ฉันจำเป็นต้องออกจากโรงเรียน หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คืนนี้ฉันตั้งใจไว้ว่าจะหาโอกาสคุยกับเขา” ดารายาตื่นเต้นเล็กน้อย เธอกำลังดีใจ

...............................................................................................

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังของสภา และข้าวของที่เสียหายจากความทรุดโทรมของสถานที่ เขาแต่งตัวดี หน้าตาจริงจัง ดูเครียดอยู่ตลอดเวลา รวิภาเดินเข้ามาที่นี่ ชายคนนั้นหันไปมองเธอ ..

“ที่นี่ปิดตัวไปนานแล้ว ถ้าคุณต้องการที่จะมาร้องเรียน กรุณาไปที่สถานีตำรวจเถอะ” เสียงของเขา ชายคนนี้คือ ..คมกริช อัษฎาวุฒิชัย.. ผู้นำเผ่ามนุษย์คนปัจจุบัน ลุงแท้ๆของกรองขวัญ

“ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ฉันชอบที่นี่นะ โดยเฉพาะตรงบานหน้าต่าง ...ฉันเดินทัวร์รอบเมืองมาทั้งวัน ฉันสังเกตเห็นว่าที่นี่มีห้องใต้หลังคาที่มีบานหน้าต่าง” รวิภาเดินเข้ามาหาเขา

“นี่คุณสนใจบานหน้าต่างของที่นี่จริงๆงั้นเหรอ?” คมกริชเดินเข้าไปใกล้เธอ

“ถึงขนาดใช่คำว่าครอบงำในจิตใจได้เลยล่ะ ...ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ?” รวิภาถามชื่อ

“คมกริช ...ชื่อผม แล้วคุณคือ...” คมกริชถามกลับ

“ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ...เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” รวิภาถามต่อ เธอสังเกตเห็นรอยเลือดกระเซ็นไปทั่วสถานที่

“ที่นี่เคยเป็นศูนย์รวมของผู้คนในเมือง เราเรียกมันว่าสภา มันถูกปล่อยทิ้งร้างมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ ตั้งแต่คืนที่มีการสังหารหมู่ สมาชิกชั้นสูงของสภาถูกฆ่าตาย 9 คน โดยคนในสภาด้วยกันเอง ...ตอนนี้คุณกำลังยืนอยู่บนกองเลือดของพวกเขา” คมกริชอธิบายให้ฟัง

“ฉันไม่ใช่พวกขวัญอ่อนหรอกนะ ห้องใต้หลังคาอยู่ตรงไหน?” รวิภาเข้าเรื่อง

“ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าที่นี่ปิดทำการ” คมกริชไม่ยอมบอก

“~ ห้องใต้หลังคาอยู่ที่ไหน ~” รวิภาสะกดจิตเขา

“เดินผ่านเคาน์เตอร์จะเจอบันไดตรงขึ้นไปชั้นบนสุด” คมกริชถูกสะกดจิต

“ขอบคุณค่ะ ~ ลืมซะว่าฉันเคยมาที่นี่ ~” รวิภาสะกดจิตให้เขาลืมก่อนที่เธอจะเดินผ่านเขาไป เธอตรงไปตามทางที่คมกริชบอก แล้วเธอก็พบกับห้องใต้หลังคาจริงๆ เธอเปิดประตูห้อง

“ฉันจำได้แล้ว” รวิภาจำห้องของดารายาได้แล้ว แต่เธอเข้าไปไม่ได้ เธอมองไปที่โลงศพของอาคินก่อนที่จะรู้สึกวูบ พอรู้ตัวอีกทีเธอยืนอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่ตัวเมืองของตระกูลวิรุฬห์กร เธอแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณ

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” รวิภางงไปหมดแล้ว

“สุภาพหน่อย รวิภา” เสียงของอาคินเขายืนอยู่ข้างหลังเธอ

“อาคิน” รวิภาเห็นเขาก็รีบเข้าไปกอดทันที

“นี่คือที่ไหนกัน?” รวิภายังคงสงสัย

“เธอจำไม่ได้เหรอ บ้านของเราไง เธอกับฉันเรากำลังจะไปดูโขนกัน ฉลองต้อนรับการกลับมาของเธอสู่สังคมในเมืองจตุราชิตหลังจากที่นคเรศดึงกริชออก มันคือภาพความทรงจำที่พี่กับเธอมีร่วมกัน อยากให้เธอรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่คุณไสยใดๆของดารายา” ที่แท้ก็เป็นฝีมือของอาคิน เขาใช้พลังจิตดึงรวิภาเข้ามาในหัวเพื่อที่จะได้สื่อสารกัน

“พี่ใช้พลังได้ แล้วทำไมถึงยังไม่ฟื้นล่ะ?” รวิภาสงสัย

“ดารายาเผลอดึงกริชออก หล่อนไม่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียวอำนาจของมันจะเสื่อมลงชั่วคราว ต่อให้ปักลงไปใหม่ก็ไม่เป็นผล อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้พี่ก็จะฟื้นขึ้น เหมือนได้เกิดใหม่” อาคินอธิบาย

“งั้นก็ส่งฉันกลับไปที่ห้องใต้หลังคาทีสิ แล้วเราจะได้หาทางพาพี่ออกไปจากที่นี้” รวิภาพูด

“พี่เกรงว่าพี่ยังไม่พร้อมที่จะกลับไป รวิภา เด็กดารายานี่ขี้สงสัยแล้วก็ดื้อเอาเรื่องด้วย หลังจากนี้พี่อาจจะขอคุยอะไรกับหล่อนสักหน่อย เผลอๆอาจจะได้เสนอเรื่องการสงบศึก ...ดังนั้น ถ้าเราสามารถยุติสงครามระหว่างผีดิบกับหมอผีได้ เราก็จะสามารถกำจัดภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับเหมือนจันทร์และลูก บางทีหลังจากนั้นนคเรศและครอบครัวของเราทั้งหมดจะได้รู้จักกับความสงบสุขซะที ระหว่างนี้พี่ต้องการให้เธอดูแลเหมือนจันทร์ ยังไงหล่อนก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราไปแล้ว รวิภา พี่ต้องการให้หล่อนและเด็กในท้องอยู่ในความดูแลของพวกเรา สาบานสิ รวิภา” อาคินพูดจบก็คลายพลังจิตออกทันที รวิภาได้สติกลับมา เธอยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเช่นเดิม

“ฉันสาบาน” รวิภาสาบาน แล้วเธอก็เดินออกไป

...............................................................................................

     .. ณ คลินิกของหมอพลอยที่เมืองไพราช เหมือนจันทร์กำลังนอนทำอัลตราซาวด์กับคุณหมอสาวสวย หน้าหวาน ขาวและสูง เธอชื่อว่า พญ.ไพลิน เรียกสั้นๆว่า หมอพลอย ก็ได้ ..

“ลูกของคุณมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเชียวค่ะ” หมอพลอยพูด

“ฉันแน่ใจว่าเธอจะต้องเป็นหญิงแกร่งเหมือนกับแม่ของเธอ” เหมือนจันทร์พูดด้วยความดีใจ หมอพลอยหยิบผ้ามาให้เธอเช็ดเจลออกจากท้อง ระหว่างนั้นเธอก็สังเกตเห็นปานรูปพระจันทร์เสี้ยวของเหมือนจันทร์

“เป็นปานที่แปลกดีนะคะ มีเอกลักษณ์ดี” หมอพลอยพูด เหมือนจันทร์รีบใส่เสื้อคลุมปิดบังปานของเธอทันที

“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ?” เหมือนจันทร์ตัดบท ตอนนั้นไลน์ของเธอก็ดังขึ้น รวิภาทักเธอมา ถามว่าเธออยู่ไหน

“ความดันในกระแสเลือดของคุณสูงนิดหน่อย ฉันขอให้ยาลดความดันก่อนนะ” หมอพลอยพูดจบก็เดินออกไปคุยกับอรนาท เหมือนจันทร์จึงหันไปโฟกัสที่โทรศัพท์มือถือของเธอต่อ เหมือนจันทร์พิมกลับไปว่าอยู่ที่ไพรราช คลินิกของหมอท้องถิ่น ตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงขู่คำรามราวกับสัตว์บ้าเลือดดังออกมาจากในป่าเป็นระยะๆ เธอจึงลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ปรากฏว่าเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ขับเข้ามาที่คลินิก หมอพลอยเดินกลับมาพร้อมกับยาของหล่อน

“เอิ่ม คุณหมอรู้ไหม ฉันไม่ค่อยถูกจริตกับยาจำพวกนี้เท่าไหร่” เหมือนจันทร์รู้สึกทะแม่งๆ

“บอกตามตรงเลยนะ ฉันก็เหมือนกับคุณนั่นล่ะ” หมอพลอยนำยาไปวางไว้ที่โต๊ะ

     เหมือนจันทร์สังเกตเห็นชายฉกรรจ์ 4 – 5 คนเดินเข้ามาในคลินิก พวกเขาเดินเข้าไปคุยกับอรนาทจังหวะนั้นหมอพลอยพุ่งตัวเข้ามาหาเธอพร้อมกับเข็มฉีดยา เหมือนจันทร์รู้ทันจึงกระชากตัวเธอมาโขกศีรษะแล้วชิงเข็มฉีดยามาฉีดใส่เจ้าตัวแทน หมอพลอยโดนเข้าไปก็สลบทันที ที่แท้มันคือยาสลบ หนึ่งในชายฉกรรจ์พวกนั้นเห็นท่าทีของเหมือนจันทร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหาเธอ เหมือนจันทร์วิ่งไปปิดประตูห้องตรวจแล้วล็อคกลอนก่อนที่พวกนั้นจะเข้ามาได้ เธอหาทางหนีด้วยการทุบหน้าต่างกระจกแล้ววิ่งเข้าไปในป่า เหล่าชายฉกรรจ์พังประตูเข้ามาเห็นเธอวิ่งออกจากคลินิกไปแล้ว

 

          .. ณ ถนนม่านสำราญสุดหัวมุม ทิวานักดนตรีหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ของค่ำคืนนี้กำลังจะเดินกลับบ้าน ..

“สวัสดี ทิวาใช่ไหม ...ฉันเชื่อว่านายกับฉันเรามีประสบการณ์ที่ต้องมานั่งแชร์กัน ~ ทำตัวดีๆ แล้วช่วยงานฉัน ส่งข้อความไปบอกกับดารายาหน่อย ~” นคเรศมารอดักทิวา เขาเดินเข้ามาสะกดจิตหนุ่มน้อย

 

     .. ณ ร้านคุณแดงบาร์ในขณะที่ร้านกำลังปิด ดารายาและกรองขวัญต่างมองหาตัวทิวากัน ..

“หมอนั่นไม่น่าจะหายตัวไวขนาดนั้นนะ เขาพึ่งจะลงจากเวทีเมื่อกี้นี้เอง” กรองขวัญรู้สึกเซ็ง

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงมันก็เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าอยู่แล้ว” ดารายาตัดพ้อตัวเอง

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกดารายา...” กรองขวัญอยากปลอบใจเธอ

“ลืมมันไปซะเถอะ” พูดจบดารายาก็เดินออกไปจากร้าน

“~ ไปบอกหล่อนว่านี่มาจากหนุ่มนักดนตรีของหล่อน แล้วคุณก็จะช่วยพาหล่อนออกไปทางประตูหลัง ดังนั้นมนชิตจะไม่มีทางเห็น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม อย่าให้หล่อนคลาดสายตา ~” เสียงของนคเรศ เขาเข้ามาทางด้านหลังสะกดจิตสั่งงานกับเธอแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยว! ดารายา” กรองขวัญตระโกนเรียกเธอแล้วเดินตามออกไป

...............................................................................................

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ในเมืองจตุราชิต กรองขวัญพาดารายากลับมาที่นี่ เธอเห็นทิวากำลังยืนหันหลังให้เธออยู่ตรงสุดทางเดินของชั้นล่าง ..

“ไม่ ฉันทำไม่ได้” ดารายาประหม่า เธอไม่มั่นใจเลย กรองขวัญส่งยิ้มแล้วดันตัวเธอให้เดินเข้าไปหาเขา จังหวะนั้นทิวารู้สึกว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาเขาจึงหันไปมอง แน่นอนคือหญิงสาวที่เขากำลังรอคอย

“ไง ..ทิว.. ฉันได้โน้ตของนาย” ดารายาเริ่มทักเขาก่อน เธอเรียกเขาอย่างสนิทสนมแล้วรีบเดินเข้าไปหาเขา

“ฉันได้ข้อความของเธอ” ทิวาทักกลับ

“ขอบคุณนะ ที่พาฉันมาที่นี่” ดารายาพูดไปด้วยความเขินอายและตื่นเต้น จริงๆแล้วเธอก็อาศัยและซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หนุ่มสาวต่างเขินอายกันและกัน

“มันวิเศษมากที่ได้เจอกับเธอ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันกำลังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ฝันไป ฉันก็แค่... ว้าว” ทิวาพูดจาหวานๆใส่เธอ มันเลี่ยนจนเธอต้องหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“ว่าแต่เธอหายไปไหนมา แล้วทำไมต้องนัดฉันมาเจอกันที่นี่ล่ะ มันชวนสยองนะรู้ไหม เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นที่นี่น่ะ” ทิวารับรู้ถึงชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าตอนนี้มันจะถูกทำความสะอาดใหม่แล้วก็ตาม

“ไม่รู้สิ แต่ฉันชอบมันนะ นายรู้หรือเปล่า ที่นี่มันเงียบมากจริงๆ ...ฉันหมายถึงที่นี่ก็ไม่ได้แย่นักหรอก เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นก็แค่เหตุการณ์ที่มาแล้วผ่านไป จริงไหมล่ะ?” ดารายาอธิบายให้เขาเข้าใจ เธอมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้

“เดี๋ยวนะ ...ช่างมันเถอะ เรามาพูดเรื่องวันที่เธอหายตัวไปจากโรงเรียนดีกว่า เธอหายไปเลย ฉันหมายถึงหายไปจริงๆ” ทิวาพูดถึงวันที่ดารายาเลิกเรียนหนังสือ

“ฉันมีความจำเป็นน่ะ ธุระด่วนที่ต้องจัดการกับอะไรบางอย่าง” ดารายาตอบไปตามมารยาท

“อ่อ แล้วเธอสบายดีไหม ...ฉันหมายถึง เธอก็ดูสบายดีนะ จริงๆแล้วเธอดูดีมากเลย ...ว่าแต่เธอจะกลับไปเรียนหรือเปล่า?” ทิวาพูดจาหวานใส่เธออีกแล้ว สายตาของเขามองเจ้าหล่อนตาไม่กระพริบ ดารายารู้สึกเขินและอดขำในท่าทางของเขาไม่ได้

“คงไม่ล่ะ แต่ฉันอยากให้นายรู้ไว้ว่าถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้เจอกัน ฉันก็คิดถึงนายนะ ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ได้เห็นหน้านายที่โรงเรียน ได้ดูนายซ้อมไวโอลิน” ดารายาเดินเข้าไปใกล้ๆทิวา เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“แหม ...ที่นี่ก็เหมาะกับการมานั่งฟังเพลงซะด้วยสิ” ทิวาเดินถอยหลังแล้วหยิบไวโอลินที่เขาซ่อนมันไว้ออกมา ดารายาเหมือนจะรู้ใจ เธอยิ้มแล้วก็นั่งลงกับพื้น ทิวาค่อยๆบรรเลงเพลงขับกล่อมจากไวโอลินอย่างช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองมาที่เธอ ขณะนั้น ทางด้านหลังเคาน์เตอร์ ห้องของหน่วยรักษาความปลอดภัย กรองขวัญกำลังนั่งเหม่อและฟังเสียงไวโอลินของทิวาไปพร้อมๆกัน

“เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นะ แม้แต่คุณเองก็ไม่สามารถสะกดจิตใครให้เล่นดนตรีได้แบบนั้น” เสียงของนคเรศแทรกขึ้นมา เขากำลังยืนมองหนุ่มสาวทั้งคู่ผ่านจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดในอาคาร

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นอะไร สำหรับฉันมันอาจจะฟังดูบ้า แต่มันก็คงเข้าท่าที่สุดแล้วล่ะ ...การสังหารหมู่ที่นี่ มันไม่มีต้นสายปลายเหตุ เป็นแค่เหตุการณ์ที่โหดร้าย ...ในชีวิตคุณ คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องอะไรแบบนี้บ้างไหม ผู้ชายดีๆคนหนึ่งที่อยากจะอุทิศตนเพื่อสาธารณะ จู่ๆก็ลุกขึ้นมาเป็นฆาตกร” กรองขวัญพูด นคเรศเดินเข้าไปนั่งข้างๆเธอ สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับจอภาพ

“ผมเห็นมาเยอะตราบชั่วชีวิตของผม โลกใบนี้คือสถานที่ที่โหดร้าย ผมเจอมาเยอะ” นคเรศพูดกับกรองขวัญ

“ไม่จริง โลกใบนี้ไม่ได้โหดร้าย ผู้คนก็ไม่ได้โหดร้าย คนทุกคนล้วนอยากจะเป็นคนดี แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้พวกเขากลายเป็นคนเลว บางสิ่งที่ทำให้พวกเขาควบคุมตัวองไม่ได้ ทำให้พวกเขากระทำบางอย่างลงไป สิ่งๆนั้นมักจะมีเครื่องหมายบอกให้รับรู้ถึงอาการ เหมือนคนเป็นโรค แต่ชายที่ฉันกำลังพูดถึง เขาไม่ได้มีอาการอย่างที่ว่ามาเลย เขาไม่ได้ขี้เมา เขาไม่ได้เสพยา...” กรองขวัญคิดต่าง

“ดูเหมือนคุณจะรู้เรื่องนี้ดีนะ ...คุณรู้จักเขาใช่ไหม?” นคเรศพอจะเดาออก

“เขาชื่อ ..ศรัญ.. เขาเป็นพี่ชายของฉันเอง ...เดี๋ยวนี้ฉันนอนไม่หลับ ชอบฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดที่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย” ที่แท้ ฆาตกรสังหารหมู่ก็คือพี่ชายแท้ๆของกรองขวัญ

“เราทุกคนต่างสู้อย่างลำพังกับปีศาจในจิตใจของตัวเองทั้งนั้น” นคเรศพูด

“แล้วจะเป็นยังไงถ้าวันหนึ่งปีศาจตัวนั้นกลายมาเป็นฉันเอง” กรองขวัญพูด

“...ผมมีธุระต้องไปทำต่อ แต่ก่อนที่จะทำ ~ คุณควรออกไปจากที่นี่ซะ ไปดื่มด่ำกับดนตรีแล้วลืมเรื่องราวพวกนี้ออกจากใจของคุณ ~” นคเรศสะกดจิตให้เธอลืมความเจ็บปวดในใจแล้วไล่ให้ออกไป

...............................................................................................

.. ริมถนนในเมืองจตุราชิต คมกริชกำลังเดินตามหาใครบางคนอยู่ ..

“มนชิต” พอเขาพบคนที่กำลังตามหาก็ตระโกนเรียก

“ยินดีต้อนรับกลับมา คุณคมกริช ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่” มนชิตอึ้งนิดๆที่ได้เห็นเขา

“ผมขอเดาจากสิ่งที่เกิดขึ้นบนห้องใต้หลังคาในสภาของผมละกัน” คมกริชพูด

“โอ้ ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะสนใจ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังรู้ว่าผมได้ช่วยเหลือคุณไปเรื่องสองเรื่อง” มนชิตลำเลิกบุญคุณ

“ผมเข้าใจแต่... คุณรู้ใช่ไหมว่าพวกผีดิบตนแรกกลับมาแล้ว ผมพึ่งได้เจอกับคนน้อง รวิภา เมื่อประมาณสองสามชั่วโมงก่อน เข้ามาสอดแนมรอบๆสภา ถามถึงห้องใต้หลังคา เธอไม่รู้ว่าผมก็ดื่มหญ้าวังเวียน ผมคิดว่าคุณมีปัญหาที่ต้องจัดการแล้วล่ะ” คมกริชรายงาน

“ผมรู้ว่าไม่ได้ให้เกียรติสำหรับโศกนาฏกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับคุณและสภาของคุณ แต่ตอนนี้ที่ผมรู้ก็คือคุณมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือหรือคุณจะมาแค่เพื่อวิจารณ์” มนชิตพูด

“อย่าลืมสิ มนชิต ที่คุณมีคุณงามความดีและชื่อเสียงในเมืองนี้ได้ ก็เพราะคนที่รู้ความลับของคุณเกื้อหนุนคุณ” คมกริชโต้กลับ

“และที่เมืองนี้เจริญขึ้นก็เพราะผม คนของผม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการเครื่องเตือนความทรงจำมาบอกผมแล้วกัน” มนชิตไม่ยอมให้ถูกหมิ่นอยู่ฝ่ายเดียว

“มนชิต ดนัยบอกว่าพวกสาวๆหายไป” จิรพัสเดินเข้ามาแทรกการสนทนา

“เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่” มนชิตพูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับจิรพัส

...............................................................................................

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ ทิวากำลังเก็บเครื่องดนตรีของเขาอยู่ ดารายายืนยิ้มไม่หุบริมฝีปากเลยสักนิด ..

“พวกเธอทั้งคู่นี่น่ารักกันจริงๆ จนฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันมันเต็มไปด้วยความอบอุ่น น่าเสียดายที่ฉันต้องคุยกับสาวน้อยคนนี้ ฉะนั้น ทิวา ~ ไปนั่งรอแล้วนับหนึ่งถึงหนึ่งแสน ~ อย่างเงียบๆนะ อย่างนั้นแหละเด็กดี ...ฉันคิดว่าเธอคงรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉะนั้นเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ....เธอกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก ส่วนฉันถูกจัดอยู่ในกรณีของพันธมิตรที่น่าสงสาร เธอจงรักภักดีต่อมนชิตและเขาเก็บเธอไว้ในห้องใต้หลังคา แน่นอนว่าเธอคงอยากจะได้อิสรภาพมากกว่านี้สักหน่อย มนชิตให้เธออาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกับนักโทษคนหนึ่ง” นคเรศเดินเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เขาสะกดจิตทิวาเพื่อที่จะได้คุยกับดารายา

“มนชิตไม่ได้ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นนักโทษ เขาให้ฉันอยู่อย่างปลอดภัย เขาเป็นเพื่อนของฉัน” ดารายาแย้งกลับ

“ฉันไม่สงสัยเลยถ้าเขาจะเป็นเพื่อนเธอ เด็กสาวที่ถูกจับตัวไว้ในช่วงสงครามระหว่างหมอผีกับผีดิบ ฉันอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีกว่าของเธอก็ได้นะ ฉันจะให้เธออยู่ในที่ที่ปลอดภัย และฉันจะให้อิสรภาพแก่เธอ ...ถ้ามนชิตทำแบบนั้นได้ ทำไมเขาถึงไม่ทำล่ะ คำถามก็คือถ้ามนชิตไม่สามารถปกป้องเธอได้ล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เธอแคร์?” นคเรศเดินไปยืนข้างๆทิวา เขากำลังขู่

“ถ้าใครก็ตามพยายามจะทำร้ายคนที่ฉันแคร์ ฉันจะฆ่าพวกมันด้วยมือของฉันเอง” ดารายาเริ่มหงุดหงิด

“ถ้าอย่างนั้น...เธอก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งมนชิต บางทีเธออาจจะสงสัยมาตลอดว่ามนชิตเพื่อนรักของเธอหลอกใช้เธอให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า ในช่วงเวลาที่เธอกำลังห่อเหี่ยวอยู่ในห้องใต้หลังคาอย่างโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันพ่อทูนหัวของเธอก็เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป” นคเรศเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ เขาพูดให้ดารายารู้สึกกับมนชิตในด้านลบ

“คุณรู้สึกไหม ว่าเลือดของคุณมันกำลังเดือด” ดารายาใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้เลือดในร่างกายของนคเรศร้อนขึ้นจนเหงื่อของเขาออก นคเรศรู้ทันจึงใช้ความเร็วกระชากทิวามาล็อคคอเอาไว้

“ช่างน่าสงสารที่เธอจะต้องมาเสียเขาไป ทั้งๆที่เธอกับเขาเพิ่งจะได้พบกัน และฉันขอชื่นชมทักษะการเล่นไวโอลินของนายจริงๆ” นคเรศกำลังขู่ดารายาด้วยชีวิตของทิวา

“อย่าแม้แต่จะคิดนะ!” ดารายากำลังโมโหเพราะเป็นห่วงทิวา

“ฉันก็หวังว่าฉันจะไม่ต้องทำมันนะ ที่รัก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเธอ” นคเรศกำลังแยกเขี้ยว ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทอง เขาคิดที่จะกัดด้วยเขี้ยวของอสูร

“ปล่อยเขาไป เดี๋ยวนี้!” ดารายาตระโกน

“เธอควรจะรู้ไว้นะว่าฉันเป็นพวกอดกลั้นต่อความต้องการไม่เก่ง” สิ้นคำพูดของนคเรศ ดารายาใช้อาคมของเธอหักขาของนคเรศ เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่ยังคงล็อคคอทิวาอยู่ นคเรศดึงกระดูกขาของตัวเองให้กลับเข้าที่เดิม

“ช่างน่าประทับใจ แต่เธอคงไม่ต้องการที่จะสู้กับฉันหรอก ที่รัก เด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์อาจจะต้องลงเอยด้วยความตาย” นคเรศพูด

“ได้โปรดปล่อยผมไป” ทิวาพูด เขากลัวสุดขีด

“ทางเลือกของเธอ หมอผีสาว คือสาบานว่าจะภักดีต่อฉันคนเดียวแล้วเด็กหนุ่มคนนี้จะรอด” นคเรศยั่วให้ดารายาโกรธสุดขีด เธอทำให้หลอดไฟทุกดวงในอาคารระเบิด

“ยืนกรานจะต่อต้านฉันงั้นเหรอ” สิ้นคำพูดของนคเรศ อิทธิฤทธิ์ของดารายาทำให้เกิดลมพัดรุนแรงในตัวอาคาร และแล้วเธอก็ระเบิดอารมณ์ที่เต็มไปด้วยพลังของเธอออกมา ทำให้กระจกทั้งตึกระเบิดพร้อมกัน ทั้งสามคนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง

...............................................................................................

     .. ณ ป่าในเมืองไพรราช เหล่าชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คนพร้อมด้วยอาวุธปืน พวกเขาวิ่งไล่ล่าเหมือนจันทร์ เธอซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของป่ารอจังหวะเข้าจัดการกับพวกเขาทีละคน เธอแย่งอาวุธมาจากชายฉกรรจ์ที่เธอจัดการเพื่อใช้ไว้เล่นงานชายฉกรรจ์คนอื่นๆ การตั้งครรภ์ไม่เป็นผลต่อการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดของเธอเลยสักนิด เธอจัดการกับพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับสัตว์ร้าย ดวงตาของเธอกลายเป็นสีเหลืองนวลอ่อน แสดงให้เห็นถึงอารมณ์แห่งความโกรธของสัญชาตญาณอสูรในตัวเธอ หมอผีผู้ชายคนหนึ่ง เขารอดจากการจู่โจมของเธอ และเขากำลังเดินเข้ามาเพื่อจัดการกับเธอ ทันใดนั้น รวิภาปรากฏตัวขึ้นด้วยความเร็วแล้วก็หักคอเขาทิ้งทันที ..

“บอกก่อนเลยนะว่าฉันค่อนข้างประทับใจ” รวิภาอึ้งนิดๆที่อสูรแม่ลูกอ่อนสามารถจัดการกับกลุ่มชายฉกรรจ์ได้เกือบทั้งหมดด้วยตัวเอง

“เธอหาฉันเจอได้ไง?” เหมือนจันทร์สงบสติอารมณ์แล้วเดินเข้ามาหารวิภา

“แมสเสจของเธอช่วยฉันได้ครึ่งทาง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือความสามารถในการได้ยินเสียงของผีดิบที่ฉันมี พวกนี่เป็นใคร?” รวิภาอธิบายแล้วถามต่อ เธอมองไปที่ศพของชายฉกรรจ์ที่นอนเกลื่อนกลาด

“นักฆ่ารับจ้าง หมอผี อะไรสักอย่าง” เหมือนจันทร์ตอบ รวิภาได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่ง ไม่ไกลนักจากตรงที่พวกเธอยืนอยู่

“มีพวกมันมาเพิ่ม วิ่ง!” รวิภาสั่งให้เหมือนจันทร์วิ่งหนีไป เธอจะรับมือเอง เหมือนจันทร์ไม่ลังเลเพื่อรักษาชีวิตลูกของเธอจึงต้องวิ่ง

“ถ้าฉันได้เงินค่าจ้างสำหรับทุกปัญหาที่ครอบครัวฉันลากฉันเข้ามาก็คงจะดี” รวิภาบ่น ขณะนั้นเองมีลูกธนูพุ่งเข้ามาปักที่ลิ้นปี่และอีกหนึ่งดอกปักที่กลางหลังของเธอ มันเป็นธนูอาบยาสลบ รวิภาล้มลงไปกับพื้น

“รวิภา!” เหมือนจันทร์เห็นเหตุการณ์ เธอตกใจมาก ทันใดนั้นลูกธนูอีกหนึ่งดอกพุ่งเข้ามาปักที่ไหล่ขวาของเธอ เหมือนจันทร์ล้มลงกับพื้นสลบไปเช่นกัน

...............................................................................................

     .. ณ ถนนราตรีรมย์ที่คึกครื้นอยู่ทุกค่ำคืน กรองขวัญกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจด้วยการสะกดจิตของนคเรศ มนชิตวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความร้อนใจ ..

“เธออยู่ที่ไหน ดารายาเธอหายไปไหน?” มนชิตถามกรองขวัญ

“เธออยู่กับเด็กหนุ่มที่สภาของเมืองน่ะ” กรองขวัญตอบ

“คุณรออยู่ที่นี่จนกว่าผมจะกลับมารับนะ” มนชิตพูดจบก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว

 

     .. ณ ป่าในเมืองไพรราช รวิภาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ยาสลบหมดฤทธิ์ เธอเริ่มดึงลูกธนูทั้งสองดอกออก ..

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” รวิภาอุทานขึ้น เมื่อพบกับศพของผู้ชายมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆตัวเธอ สภาพของศพนั้นแทบจะทนดูไม่ได้ มีแต่ร่างกายที่ไม่ครบ 32 ส่วน ทั้งรอยกัดขนาดใหญ่และรอยฉีดขาดของกล้ามเนื้อ

“เหมือนจันทร์ ...เหมือนจันทร์!” รวิภาตระโกนเรียกหาอสูรแม่ลูกอ่อน

 

     .. ณ สภาของเผ่ามนุษย์ ดารายาฟื้นขึ้นมา เธอพบว่าอาคารแห่งนี้เต็มไปด้วยซากของเศษกระจกและร่องรอยจากการระเบิดราวกับว่ามีสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ เมื่อได้สติเต็มที่เธอจึงรีบลุกขึ้นยืน ..

“ทิวา” เธอมองไปรอบๆไม่พบกับชายหนุ่มนักดนตรี เธอจึงรีบวิ่งออกไปตามหาเขา โดยที่ไม่ทันสังเกตว่านคเรศยืนจ้องเธออยู่บนชั้นสองและกำลังคุยโทรศัพท์

“ที่ว่าเธอหายไปหมายความว่าไง?” นคเรศพูดกับบุคคลในสาย

“แล้วพี่คิดว่าไงล่ะ มีแต่เลือดกับศพเต็มไปหมด ใครบางคนฉีกคนพวกนี้ออกเป็นชิ้นๆ และฉันก็ไม่เห็นแม่อสูรสาวตั้งท้องนั่นเลย” มันเป็นสียงของรวิภา เธอกำลังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเหมือนจันทร์

“หาต่อไป ฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุด” นคเรศพูดจบก็วางสายทันที เขาจับทิวาให้ลุกขึ้นยืน

“ได้โปรด อย่าทำอะไรผมเลย” ทิวาดูกลัวมาก

“จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากจะทำหรอกนะ น่าเสียดาย มันหมดเวลาที่จะทำตัวดีๆด้วยแล้วล่ะ” นคเรศผลักทิวาให้ตกลงมาจากชั้นสองทันที พร้อมกับโยนไวโอลินของเขาลงไปด้วย ทิวานอนแน่นิ่ง เขากำลังจะตายอย่างช้าๆ

“ทิว โอ้ ไม่นะ ไม่ ไม่จริง ฉันเสียใจ ฉันเสียใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนาย” ดารายาเดินกลับมาแล้วพบกับทิวาที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น เธอตกใจมาก เธอรีบวิ่งเข้าไปนั่งข้างๆเขา ใช้ต้นขาของเธอหนุนหัวเขาเอาไว้ เธอร้องไห้เสียใจเพราะคิดว่านี่เป็นความผดของเธอ แต่จรงๆแล้วมันเป็นแผนของนคเรศ

“เป็นอีกเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับผลลัพธ์จากสงคราม ก็คือคนบริสุทธิ์ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเอง ความผิดอย่างมหันต์ที่เธอจะต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต เลือดของหนุ่มน้อยนักดนตรีที่เปื้อนมือเธอ” นคเรศปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน

“ออกไปห่างๆเขาซะ!” ดารายาไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยกับนคเรศ

“ตอนนี้อย่างเพิ่งใจร้อนสิ ฉันสามารถรักษาเขาได้นะ ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือแค่ขอร้อง” นคเรศเดินเข้าไปนั่งย่องๆใกล้ๆทั้งสองคน ดารายาเริ่มลังเลใจ แต่พอเธอเห็นสภาพของทิวาที่กำลังใกล้ตายอย่างทรมาน เธอจึงต้องตัดสินใจทันที

“ฉันขอร้องคุณ” ดารายาพูด

“เพื่อเธอดารายา ด้วยความยินดี” นคเรศกัดข้อมือของตัวเองให้เป็นแผลแล้วเอาให้ทิวาดื่มเลือดของเขา ร่างกายของทิวารักษาตัวเองอย่างรวดเร็วจากเลือดของนคเรศ เขาเริ่มได้สติกลับมา นคเรศบีบไปที่แก้มของเขา

“~ นายจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจบงานเทศกาลดนตรี รวมถึงเรื่องที่นายได้พบกับดารายา ~” นคเรศสะกดจิตให้ทิวาลืม

“อะไรนะ ไม่” ดารายาไม่เห็นด้วย เธอไม่อยากให้ทิวาลืมเธอ

“ถ้าเขาจำได้ว่าเคยพบกับเธอ เขาจะออกตามหาเธอ แล้วถ้าเกิดพวกหมอผีรู้เรื่องเข้า พวกนั้นก็จะรู้ทันทีว่าเธอมีจุดอ่อนตรงไหน ชีวิตของทิวาอาจจะจบลงด้วยการเป็นเชลยในแผนการอันโหดร้ายเพื่อควบคุมเธอ ...โอเค ลุกขึ้นและไปได้แล้ว” นคเรศอธิบาย เขาดึงตัวทิวาให้ลุกขึ้นยืน

“~ อย่าลืมเอากล่องไวโอลินกลับไปด้วย นายจะจำได้ว่าลืมไวโอลินไว้ที่หลังเวทีร้านคุณแดงบาร์ และจงจำไว้ว่านายต้องรอบคอบมากกว่านี้ ~ ...ทุกอย่างถูกแก้ไขเรียบร้อย ตอนนี้เธอก็ติดหนี้ฉันครั้งหนึ่งแล้วนะ” นคเรศสะกดจิตทิวาต่อ พอสะกดจิตเสร็จเขาก็หันคุยกับดารายา ส่วนทิวาก็เดินไปเก็บกล่องไวโอลินแล้วก็เดินจากไป ดารายาหยิบไวโอลินของทิวาที่หล่นอยู่ใกล้ๆตัวเธอขึ้นมา เธอพบว่ามันพังซะแล้ว จังหวะนั้นนคเรศใช้โอกาสหายตัวไปอย่างเงียบๆ เธอพยายามมองหาเขาแต่ก็ไม่พบ

“ดารายา ...เกิดอะไรขึ้น แล้วเธอกลับมาทำอะไรที่นี่?” มนชิตเดินเข้ามาในตึก เขามองดูสภาพรอบๆและไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่

“ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ไง จำได้ไหม” ดารายาเหวี่ยงใส่เขา แล้วเธอก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา

...............................................................................................

     .. ณ เมืองไพรราช รวิภาออกตามหาเหมือนจันทร์จนมาเจอเข้ากับคลินิกของหมอพลอย เธอจึงเดินเข้าไปในคลินิก แล้วก็สังเกตเห็นร่างของหมอพลอยที่นอนสลบอยู่กับพื้น ระหว่างที่กำลังจะเดินดูว่าเป็นใครนั้น รวิภารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เธอจึงหันไปมอง นคเรศยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องตรวจ ..

“เยี่ยม พี่สามารถทอดทิ้งการแสวงหาอำนาจเพื่อมาช่วยคนในครอบครัวได้แล้ว ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวังงั้นเหรอ?” รวิภาก็พูดจิกกัดทันทีที่เห็นหน้านคเรศ

“ใครทำอะไรเธอ รวิภา?” นคเรศไม่สนใจคำพูดจิกกัด

“ฉันไม่รู้” รวิภาตอบ

“หมายความว่าไง เธอไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนฆ่าพวกที่จู่โจมเธอล่ะ?” นคเรศถามต่อ

“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้ นี่ฉันโดนลูกธนูปักอกนะ ถ้าไม่ใช่เหมือนจันทร์งั้นใครเป็นคนฆ่า?” รวิภาตอบ ทันใดนั้นทั้งสองคนได้ยินเสียงสัตว์ร้ายบางอย่างร้องดังขึ้นจากข้างในป่า พวกเขารู้ทันทีว่ามันคือตัวอะไร

“น่ารักมาก บางทีพวกญาติๆของเธออาจจะรู้ว่าเธออยู่ไหน” รวิภาคิดว่าน่าจะเป็นเสียงของพวกอสูรเจ้าถิ่นที่รู้จักกับเหมือนจันทร์ เธอจึงรีบเดินออกจากคลินิกเพื่อตามเสียงไป นคเรศตามหลังมาติดๆ พอเปิดประตูหน้าคลินิกออกมา พวกเขาก็พบกับเหมือนจันทร์ สภาพของเธอมอมแมมไปทั้งตัว

“เหมือนจันทร์เกิดอะไรขึ้น บอกฉันมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?” นคเรศรีบตรงเข้าไปหาเธอทันที เหมือนจันทร์ดูเหม่อลอยไม่มีสติ

“ฉันจำไม่ได้” เหมือนจันทร์ตอบ นคเรศลองตรวจดูบาดแผลตามร่างกายของเธอ

“แผลของเธอหายไปหมด ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนตัวเธอเลย” นคเรศรู้สึกประหลาดใจ

“หนึ่งในประโยชน์ของการเป็นอสูรไง จำได้ไหม?” เหมือนจันทร์พูด

“ไม่ ไม่ได้เร็วขนาดนี้” นคเรศคาใจ

“ให้เธอนั่งพักก่อน ...เป็นเพราะเด็กน่ะ เลือดผีดิบของนคเรศปะปนอยู่ในร่างกายเธอเลยทำให้สามารถรักษาได้ทุกบาดแผลอย่างรวดเร็ว ลูกของเธอรักษาเธอนะ ...เธอหนีออกมาได้ยังไง พวกมันมีจำนวนมากกว่าแถมเธอก็ไม่มีอาวุธ ศพของพวกมันถูกฉีกเป็นชิ้นๆ” รวิภาเดินเข้าไปประคองตัวเหมือนจันทร์มานั่งที่ตรงบันไดหน้าคลินิก

“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอสูรตนอื่นมาช่วยไว้ ฉันรู้สึกว่าพวกเขาพยายามจะปกป้องฉัน” เหมือนจันทร์พูด

“พวกหมอผีควรจะช่วยกันคุ้มครองเธอ เมื่อฉันร่วมมือกับสมิตา เดชาภัทรจินดา ....” นคเรศกำลังโมโพวกหมอผี

“สมิตาไม่ผิด ไม่ใช่เธอ แต่เป็นหมอผีที่ชื่ออรนาท” เหมือนจันทร์อธิบาย

“ได้ จะอรนาทหรือว่าสมิตา สำหรับฉันมันเหมืนกัน ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด” นคเรศตัดสินใจ

“ก็ไม่แน่ ถ้าอาคินไปถึงที่นั่นก่อน” รวิภาพูด

“อาคิน เธอพบเขาอย่างงั้นเหรอ?” เหมือนจันทร์หันไปถาม

“เขาติดต่อมาและเขามีแผน ทั้งหมดที่เขาขอคือให้พวกเราคอยดูแลเธอ” รวิภาตอบ เหมือนจันทร์ยิ้มออกแล้ว

“เห้ ถ้างั้นพวกเราจะกลับบ้านกันได้หรือยัง ฉันอยากจะหลับข้ามวันเลยล่ะ” เหมือนจันทร์ลุกขึ้นยืนจู่ๆเธอก็วูบไป โชคดีที่นคเรศรีบวิ่งมาประคองตัวเธอไว้ เขาตัดสินใจอุ้มเธอ เหมือนจันทร์คงจะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน บวกกับการที่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย

“ไม่เป็นไร ฉันอุ้มเธอไว้แล้ว ที่รัก” ทั้งสามคนพากันกลับบ้าน

(*อำนาจพิเศษของอสูร 1 อสูรสามารถเยียวยาบาดแผลของตัวเองได้เร็วกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั่วไปในรูปแบบตามธรรมชาติ สิ่งนี่ไม่ใช่การรักษาบาดแผลให้หายแบบเลือดของผีดิบ)

...............................................................................................

.. ณ บ้านของดนัย มนชิตกำลังต่อว่าลูกสมุนผีดิบของเขา ..

“ฉันกำชับแล้วใช่ไหม ว่าให้จับตามองเด็กสาวไว้ตลอดเวลา” มนชิตหันไปพูดกับดนัย

“อะไรกัน ผู้หญิงของนายกับเด็กสาวนั่นพากันหนีออกจากร้านเอง แล้วมันเป็นความผิดของฉันงั้นเหรอ ...มองหน้าทำไมมนชิต นายจะส่งฉันไปที่คุกเหมือนกันใช่ไหม?” ดนัยพูดจากวนประสาทเลยถูกมนชิตหักคอจนสลบไป ผีดิบทุกคนหน้าซีดอึ้งตามๆกัน

“เมื่อมันตื่น บอกมันด้วยว่าแค่คำขอโทษแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ดีกว่าทัศนคติของมัน” มนชิตเดินไปจับไหล่จิรพัสแล้วป้อนคำสั่ง เขารับฟัง รวิภาเปิดประตูเข้ามาในบ่อน มนชิตเห็นเธอเลยดินไปต้อนรับ

“น่ากลัวจังที่สภาน่ะ ฉันได้ข่าวมาว่าแก๊สรั่วจนทำให้ระเบิด เวทนาจริงๆ” รวิภาทักทายด้วยการแขวะ

“ฉันได้ยินมาว่าวันนี้เธอรับบทเป็นแม่สาวสายลับทำภารกิจ” มนชิตแขวะกลับ

“จะให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งล่ะ ฉันต้องการอาคินคืน” รวิภาพูด

“นั้นคือสิ่งที่เธอต้องการทั้งหมดอย่างนั้นเหรอ ...เธอจะได้อาคินคืน ระหว่างนั้นช่วยอยู่ห่างๆจากที่นี่และคนของฉันด้วย” มนชิตพูด เขาเดินเข้ามาประจันหน้ากับเธอ

“ทำไมล่ะ หึงเหรอ?” รวิภายียวนกวนประสาท

“ฉันหรอ ...ฉันพบราชินีคนใหม่แล้วล่ะ” มนชิตตอบ

“ยัยขวัญ แม่สาวบาร์เทนเดอร์นั่นอะเหรอ ...หยุดหลอกตัวเองซะที มนชิต หล่อนก็คืออาหารดีๆนี่เอง แต่แค่มีบางอย่างที่ดึงดูดนายจากสิ่งที่นายต้องการจริงๆ ซึ่งหลังจากหลายปีที่ผ่านมามันคงจะยากที่จะปฏิเสธ ฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง ตรงหน้านาย” รวิภารุกหนัก เธอขยับตัวเข้าไปชิดกับเขา ใบหน้าของเธอค่อยๆยื่นไปประจบกับหน้าของมนชิต เขาดึงสติกลับมาแล้วดินออกไปจากบ่อน

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของกรองขวัญ เธอกลับมาที่บ้านกำลังจะถอดเสื้อผ้าเพื่อจะอาบน้ำ ในขณะที่เธอกำลังส่องกระจกนคเรศปรากฏขึ้นที่ระเบียงห้องของเธอ เขายืนพิงประตู ..

“คุณนคเรศ คุณมาทำอะไรที่นี่?” กรองขวัญยกเลิกกิจกรรมที่กำลังจะทำ แล้วหันหลังเดินไปหาเขา

“คืนนี้เป็นคืนที่วุ่นวายสำหรับผม ผมนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ที่คุณบอกผมว่าคุณฝันร้ายจนนอนไม่หลับ ผมคิดว่าผมพอที่จะช่วยคุณได้ ขอผมเข้าไปข้างในได้ไหม?” นคเรศยังไม่สามารถเดินเข้าไปในบ้านของกรองขวัญได้หากเธอยังไม่เชิญ

“พิลึกคน เข้ามาสิ ...เดี๋ยวก่อนนะ ...จริงด้วย ฉันบอกกับคุณว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครแต่ฉันบอกคุณ แล้วคุณก็พูดบางอย่างที่เกี่ยวกับศรัญ คุณพูดว่าเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับปีศาจในตัวเขา ตอนเขาฆ่าคนพวกนั้น ฉันคิดว่าเขาคงมีอาการป่วยทางจิตแต่ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้าหากว่ามีผีดิบสะกดจิตให้เขาทำ” กรองขวัญให้เข้ามาได้ นคเรศจึงเดินเข้ามาในห้องของเธอ

“แล้วถ้ามันเป็นจริง คุณจะอุทิศตนเดินตามล่าพวกคนที่กระทำผิดไหม คุณจะเสียสละตัวเองเพื่อค้นหาความจริงอย่างงั้นเหรอ เพื่ออะไรกันล่ะ?” นคเรศเดินข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเดินถอยหลังหนี

“เพื่ออะไรอย่างงั้นเหรอ เพราะนี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ฉันมาอยู่ในเมืองจตุราชิตไง” กรองขวัญขึ้นเสียง

“คุณขวัญ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รออยู่ในจุดจบของเรื่องลึกลับนี้ มันจะทำให้คุณมีแต่ความเจ็บปวด ไม่มีอะไรที่จะเอาชีวิตพี่ชายของคุณกลับมาได้ ความหวังเดียวของคุณสำหรับความสงบสุขก็คือลืมมันไปซะ” นคเรศพยายามจะพูดโน้มน้าวให้เธอยอมจำนน กรองขวัญรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เธอจะไม่ยอมเด็ดขาด

“ไม่” เธอส่ายหัว

“และเดินหน้าต่อไป” นคเรศพูด

“ไม่ อย่ามาสะกดจิตให้ฉันลืมเรื่องนี้” กรองขวัญพูด

“แล้วถ้าผมยอมให้คุณจดจำมันไว้ ความรู้สึกพวกนั้นก็จะกัดกินจิตใจของคุณ การที่คุณเอาแต่ตามหาความจริงมันจะพาคุณเข้าสู่เรื่องอันตราย” นคเรศเป็นห่วงเธอ

“คุณไม่ต้องทำมาเป็นห่วงฉันหรอก! คุณแค่อยากให้ฉันลืมเรื่องนี้แล้วโฟกัสแค่เรื่องของมนชิตคนเดียว ฉันจะได้เป็นสาวน้อยนักสืบให้คุณต่อไป” กรองขวัญขึ้นเสียง เธอไม่ยอมท่าเดียว

“ผมอยากได้ความภักดีจากคุณ ใช่ และถึงแม้ว่าผมจะดูเหมือนเห็นคนแก่ตัว แต่แผนของผมมันไปไกลเกินกว่าที่ตัวผมควรจะเป็น ตัดเรื่องอำนาจออกไป ผมก็ยังต้องเคารพพี่ชายของผมอยู่ดี” นคเรศระเบิดอารมณ์กลับ

“แล้วพี่ชายของฉันล่ะ พี่ชายแท้ๆของฉัน พวกเราผูกพันกันมาทั้งชีวิต และฉันก็รู้ว่าเขาไม่ได้พลั้งมือทำลงไป ฉันต้องการแค่ชื่อของคนที่สั่งให้เขาทำ ฉันต้องการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่! อย่าเอามันไปจากฉัน!” กรองขวัญอยากให้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าช่วยเข้าใจและเห็นใจเธอบ้าง นคเรศกำลังขยับ กรองขวัญโวยวายและขัดขืน เขาใช้จังหวะเพียงแค่แป๊บเดียวจับไปที่หัวของเธอทั้งสองมือ

“~ คุณจะต้องไม่ทำอะไรทั้งนั้น พี่ชายของคุณแค่ป่วย เขาฆ่าคนและฆ่าตัวตาย มันก็แค่โศกนาฏกรรม สิ่งที่คุณพอจะทำได้คือการใช้ชีวิตต่อไป ~ ...รับรู้เพียงแค่ว่าพี่ชายของคุณได้จากไปอย่างสงบก็พอแล้ว และคุณก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ผมจะค้นหาเองว่าเกิดอะไรขึ้นและเมื่อผมเจอต้นตอ ผมจะทำให้แน่ใจว่าคนที่ทำร้ายพี่ชายคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด ส่วนคุณ คืนนี้คุณจะนอนหลับและฝันไปให้ไกลแสนไกลจากตรงนี้ ดินแดนที่ไม่มีความชั่วร้ายและทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นคนดี” นคเรศสะกดจิตเธอจนได้ กรองขวัญค่อยๆนั่งลงที่เตียงอย่างช้าๆ เขากุมมือเธอไว้ แล้วเธอก็เคลิ้มหลับไปในที่สุด

...............................................................................................

     .. ณ ห้องใต้หลังคาของสภาเผ่ามนุษย์ ดารายายืนจับไวโอลินของทิวา เธอคิดที่จะซ่อมมัน เธอรู้สึกเสียดายช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้พูดคุยกับเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาอันน้อยนิดก็ตาม เธอใช้อาคมให้ลมพัดโมบายกังสดาลกระทบกันจนเกิดเสียง มันทำให้เธอนึกถึงเสียงไวโอลินของทิวา ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงของประตูห้องค่อยๆแง้มแล้วเปิดออก ดารายาหันไปมองแต่ไม่พบใคร เธอรู้สึกว่ามันผิดปกติจึงค่อยๆเดินไปที่โลงศพของอาคิน ..

“ไม่เป็นไร ดารายา ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเธอ ฉันแค่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้วล่ะ” อาคินยืนอยู่ข้างหลังเธอ เขาตัวซีดมากเนื่องจากไม่ได้ดื่มเลือดมาเกือบ 1 เดือนเต็ม เขาตั้งใจจะมาเจรจากับเธอ

_จบตอน_

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา