หนาวปรารถนา [Sixteen]

-

เขียนโดย Kankrao

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.38 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,744 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ของขวัญวันเกิดที่โหดร้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เราขึ้นไปคุยข้างบนออฟฟิศดีกว่ามั้ยครับ อันนี้เอาขึ้นไปด้วยก็ได้ครับคุณหนาวเดี๋ยวผมถือให้”

เวทิตเห็นกาแฟยังไม่ทันได้พร่องเลยรีบอาสาช่วย ภีมวัจน์ไม่ได้อยากให้ใครหาว่าหวงของแต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธหนุ่มใหญ่ยังไงเพราะถือยืนรอเขาอยู่แล้ว

“เชิญค่ะ”

ปาริดาในวัยห้าสิบสองตามรายงานที่เขาอ่านมานั้น ดูหุ่นบางร่างน้อยใบหน้าก็อ่อนวัยกว่าอายุเป็นสิบปี ผิดกับปัญญาที่หน้านำอายุไปเป็นสิบในความคิด แต่ความเป็นกันเอง กับการให้เกียรติผู้อื่นทั้งสองดูเหมือนจะมีไม่ต่างกันนัก พนักงานทุกคนที่ยกมือไหว้เขาเห็นว่าเป็นไปด้วยความสมัครใจ หาใช่ต้องฝืน

ชั้นสองเป็นออฟฟิศไม่ใหญ่มาก พนักงานนั่งอยู่สองสามคนเท่านั้นอาจจะเป็นเพราะช่วงพักทานข้าวเสร็จใหม่ๆ หรือยังไงเขาก็ไม่อาจจะเดาได้ ห้องเจ้าของก็ไม่ใช่เช่นกันเมื่อเขาเดินตามเข้าไป “คุณหนาวรีบชิมก่อนครับเดี๋ยวจะเย็นก่อน”

เวทิตวางกาแฟให้ตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ “ความจริงปาสั่งใหม่ก็ได้นะคะจะได้ลอง...”

ปาริดากำลังจะอวดความอร่อยของกาแฟในร้านตัวเอง แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายจะหาว่าโม้เลยหยุดพูดแค่นั้น ส่วนปัญญากะว่าจะถือโอกาสสั่งมาจิบสักแก้วแก้ง่วงก็พลอยเปลี่ยนใจไปด้วยเพราะกลัวจะเสียเวลาของอีกฝ่ายที่เห็นว่ารีบ แม้จะง่วงนอนเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับก็ตีสาม

ภีมวัจน์แม้เอะใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงหยุดพูดกลางครัน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรหรือถามแต่อย่างใด และไม่ได้พูดอะไรนอกจากยกแก้วขึ้นจิบ แล้วรอให้คนอื่นเริ่มก่อน “เข้าเรื่องเลยนะครับ คุณหนาวบอกว่าต้องรีบบินกลับบ้านก่อนค่ำ”

เวทิตเอ่ยเพราะเป็นตัวกลางในการเจรจาแล้วส่งเอกสารเมลให้เขาเมื่อวานนี้มาให้ดูอีก เขารับมาอ่านอีกรอบอย่างไม่จำเป็นอะไรเพื่อให้เจ้าของทั้งสองเป็นคนพูดขึ้นก่อน “ทำไมคุณหนาวสนใจโรงแรมของเราล่ะคะ”

ปาริดาเอ่ยแทนสามีที่ชักช้าไปนิดตามประสาคนที่คิดใคร่ครวญก่อนถึงจะเอ่ยปาก ภีมวัจน์บอกตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง และตัดสินใจถามออกไปเพื่อหวังจะให้สองสามีภรรยาตอบตามความจริงอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน

“แล้วทำไมถึงจะขายครับ”

ปัญญาหันไปหาภรรยาก่อนหันมาหาคนถามอย่างชั่งใจครู่หนึ่งแล้วถึงตอบ “ตรงๆ นะครับคุณหนาว ก็อย่างที่ผมบอกคุณเวทิตไปและตามรายงานนั่นล่ะครับ ผมอายุมากแล้วเรียกได้ว่าใกล้หมดไฟก็คงไม่ผิดนัก ส่วนแฟนก็ไม่ถนัดงานพวกนี้ ลูกก็ยังเด็กจะมาสานต่อได้ก็อีกหลายปี เลยคิดว่าขายดีกว่า จะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนแล้วทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ตามที่แกถนัดน่ะครับ”

ภีมวัจน์ชื่นชมในความเป็นคนตรงของปัญญาไม่น้อยเลยยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเงียบ เป็นการโยนให้ใครก็ได้เอ่ยอะไรออกมา ทำเอาสองเจ้าของหันไปมองเวทิตเพราะไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นอีกถ้าคนซื้อไม่ได้ตั้งคำถามมา เวทิตเจ้าเดิมเลยเป็นตัวกลางถามทางนั้นทีทางนี้ที จนแต่ละฝ่ายได้ข้อมูลครบครัน

“เอ่อ! แล้วเรื่องราคาขายล่ะครับคุณปัญพอจะดั้มพ์ลงอีกได้หรือเปล่าครับ”

เพราะหนุ่มใหญ่รู้ดีว่าเพดานของคนซื้ออยู่ตรงไหน เลยรีบตรงประเด็นจะได้ก้าวต่อ ปัญญาหันไปหาภรรยาอีกคำรบก่อนตัดสินใจเอ่ย “ก็คงยืนไว้ที่ห้าร้อยสิบหกล้านตามที่แจ้งไว้แต่แรกครับ บอกตามตรงว่าราคานี้หลังใช้หนี้แล้วผมเหลือติดมือไม่เท่าไหร่หรอกครับ อย่าต่อผมเลยถือเป็นการให้ผมเอาไว้เป็นทุนให้ลูกเถอะนะครับ แกยังเด็กต้องกินต้องใช้อีกเยอะ”

เจอไม้นี้เข้าเวทิตก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีก เพราะรู้จักครอบครัวนี้ดีและมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่รับเอาโรงแรมไปร่อนขายให้ลูกค้า แต่ก็นานนับปีแล้วยังไม่มีใครเอาจริงๆ สักคน เลยหันไปหาฝ่ายซื้อเพื่อขอความคิดเห็น แต่ก็รอนานเป็นนาทีกว่าจะยินเสียงเล็ดรอดออกมา “คือผมก็ขอตรงๆ นะครับว่า เพดานตั้งไว้แค่ห้าร้อยล้านเท่านั้น เพราะผมจะต้องเผื่อไว้ปรับปรุงอะไรต่อมิอะไรอีกมาก ถ้าเรามาเจอกันตรงจุดนี้ได้ ผมยินดีตัดสินใจโดยไม่ขอไปดูที่อื่นเลยครับ”

สองฝ่ายขายนิ่ง เวทิตไม่รู้จะทำยังไงเมื่อไม่มีใครถอยให้ใคร เลยคิดขึ้นได้ว่าควรจะทำให้สถานการณ์หายตึงเครียด “พอดีคุณหนาวชอบเลขสิบหกน่ะครับ เห็นว่าโรงแรมคุณปัญมีเลขสิบหกมาเกี่ยวข้องหลายอย่าง แกเลยมาดูที่นี่ก่อนน่ะครับ”

“เหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าเกิดวันที่สิบหกเหมือนน้องเหนือของเราด้วย”

ปาริดาเห็นดีเห็นงามเลยเปลี่ยนเรื่อง ภีมวัจน์ไม่ได้ตอบแค่ยิ้มเท่านั้น เวทิตเจ้าเดิมเลยเดินหมากอีก “นอกจากจะวันที่เดียวกันแล้ว ยังเกิดเวลาเดียวกันเป๊ะครับคุณปา แถมอายุห่างน้องเหนือสิบหกปีพอดิบพอดีด้วยนะครับ”

“เหรอคะ บังเอิญจังเลย แล้ววันนี้ที่บอกว่าจะกลับบ้านก็คงจะไปฉลองกับคนที่บ้านใช่มั้ยคะ”

“ครับ”

ฝ่ายขายพูดยืดยาวแต่ฝ่ายจะซื้อตอบแค่นั้น “เราก็เหมือกันค่ะ ตั้งใจว่าเสร็จนี่จะรีบไปหาซื้อของขวัญให้แล้วก็ไปรับที่โรงเรียนกลับไปฉลองที่บ้านค่ะ”

เรื่องวันเกิดถูกพูดถึงสักพัก เวทิตเห็นว่าถึงเวลาต้องวกมาที่ปัญหาเดิมแล้ว เลยหยิบยกขึ้นมาอีก แต่ฝ่ายขายก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม นั่นทำให้ฝ่ายซื้อฟันธงแล้วว่าคงจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมนี้แล้ว “งั้นลองเอาไปคิดดูอีกรอบก็แล้วกันนะครับ”

เขาเลยเอ่ยคำนี้ออกมา แล้วนิ่งเงียบคนอื่นมองตากันไปมานานเป็นนาทีก็ไม่มีอะไรหลุดออกมาอีก “งั้นเราค่อยคุยกันเรื่องราคาอีกทีดีมั้ยครับ สรุปวันนี้คงยังไม่ได้แน่ๆ ต่างคนก็ต่างจะรีบไปวันเกิดด้วย เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรคืบหน้าผมติดต่อมาหาอีกรอบนะครับ”

“ได้ครับ”

ภีมวัจน์เอ่ยลาทั้งสองแล้วก็ลงมาชั้นล่างพร้อมเวทิตและอาสาไปส่งเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับ “คุณหนาวคิดว่ายังไงครับ พอเอาได้หรือเปล่าครับ ผมว่าถ้าปรับนั่นนี่ทำการตลาดดีๆ ก็คงจะคืนทุนในอีกไม่นานนะครับ ทำเลก็ดีด้วย”

“รอทั้งนั้นลดราคาก็แล้วกันครับ”

 

“ลดไม่ได้หรอกแม่ หักลบกลบหนี้แล้วเราเหลือไม่เท่าไหร่เลย ใจแข็งๆ ไว้ก่อนเถอะ เผื่อมีเจ้าอื่นมาแบบไม่ต่อ เพราะราคานี้เราไม่ได้บอกผ่านนะ”

ปัญญาหันไปหาภรรยาที่เดินเคียงข้างลงมาชั้นล่าง “ก็แม่อยากรีบๆ ขาย รีบๆ ใช้หนี้ให้หมดนี่นาพ่อ บอกตรงๆ นะว่าเหนื่อยเต็มทีแล้ว ไม่ไหวแล้ว”

“ทนอีกนิดนะแม่นะ คงไม่นานหรอก ว่าแต่ตกลงจะเอายังไงล่ะตอนนี้”

ปัญญาหมายถึงโปรแกรมสำหรับลูกสาวสุดรัก ปาริดาที่เดินลงมาถึงชั้นล่างแล้วและกำลังมองหากันยาผู้เป็นแม่บ้านทางนั้นทีทางนี้ที เมื่อยังไม่เห็นก็เลยตอบสามี “แม่จะไปห้างซื้อของให้ลูก ส่วนพ่อก็ไปกับกันยาและบุญมา พอถึงตลาดก็ให้ทั้งสองลงซื้อของไปทำอาหารเย็นนี้ พ่อก็ขับเลยไปรับลูกจากโรงเรียน กลับมาสองคนนั้นก็ซื้อของเสร็จพอดี แล้วเราก็ไปเจอกันที่บ้านเลย”

ควบคู่กับการเดินออกไปอีกด้านหาลานจอดรถ ก็ยังไม่เห็นทั้งสองอยู่ดี “กลับไปกลับมาหลายรองจัง แล้วสองคนนั้นหายไปไหนล่ะ”

ปัญญาเองก็หา “ไม่รู้เหมือนกัน อ้อ! โน่นๆ บุญมามาทางโน้นแล้วค่ะพ่อ ว่าแต่กันยาไปไหนล่ะบุญมา”

“ไปรอที่รถคุณปัญแล้วครับ”

บุญมาที่ถือแก้วกาแฟสำหรับตัวเองที่ยังไม่ได้แตะแม้แต่จิบเดียว “อ้าวเหรอ! งั้นเอางี้บุญมาไปพากันยาไปซื้อของแล้วก็ตรงกลับบ้านไปทำอาหารรอเลย เดี๋ยวฉันกับคุณปาจะไปรับน้องเหนือเอง”

ปัญญาขี้เกียจเดินอ้อมไปด้านหน้าอีก “ครับๆ”

บุญมารับคำแล้วเตรียมหมุนกลับ “เดี๋ยวๆ นี่กาแฟใคร” เจ้านายเรียกปุ๊บเขาก็หมุนตัวกลับมาปั๊บอย่างรวดเร็ว

“ของผมครับ”

“กินหรือยัง”

“ยังครับ”

“ดี! เอามานี่แล้วนายไปสั่งใหม่ ลงบัญชีฉันไว้ก็แล้วกัน กำลังง่วงพอดี เมื่อกี้จะสั่งแล้วก็เกรงใจแขก”

“ครับ”

บุญมารับคำแล้วยิ้มให้เจ้านายที่ยกแก้วเย็นๆ ขึ้นจิบ “ปะแม่! เดี๋ยวลูกจะรอ”

และลูกสาวคนเดียวที่สองพ่อแม่รักยิ่งกว่าชีวิตก็กำลังนั่งรออยู่ม้าหินใกล้ๆ ประตูที่สามารถจะมองเห็นรถพ่อแล่นเข้ามารับได้ไม่ยาก ปรารถนา สุริยวงศ์ หรือชื่อที่เจ้าตัวรวมทั้งคนทั้งบ้านเรียกจนติดปากว่า น้องเหนือ กำลังอ่านหนังสือเล่มโปรดสลับกับคอยมองไปยังประตูครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพ่อกับแม่บอกว่าจะมารับในอีกไม่นาน โดยไม่ได้ล่วงรู้ว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิต

‘โคร้ม!!!!!!!!!’

เจ้าของส่วนสูงร้อยหกสิบกับน้ำหนักสี่สิบที่มีกระโปรยลายสก๊อตสีเทากับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวสะอาดตามีโลโก้สถานศึกษาปักไว้ตรงกระเป๋าหน้าตกใจกับเสียงดังสนั่นจนต้องหันไปตามทิศทางที่ผู้คนยืนมองรถโตโยต้าคัมรี่สีดำพุ่งชนรถพ่วงอย่างจังจนกระเด็นมาชนกับเสาประตูโรงเรียนพังยับไปครึ่งคัน

“ปรารถนาอย่าออกไป มาหาครูนี่เร็ว”

เด็กสาวกำลังจะวิ่งออกประตูไปดูตามคนอื่น แต่ก็มีครูชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยชัดแจ๋วเดินมาห้ามไว้ก่อน และเมื่อเห็นว่านักเรียนอยากรู้อยากเห็นความเป็นไปภายนอกรั้วไม่น้อย รวมทั้งตัวเองด้วย ครูเลยเป็นฝ่ายจูงมือเดินไปตรงรั้วเหล็กดัดโปร่งมองเห็นภายนอกได้ชัดเจน สายตาอยากรู้อยากเห็นของทั้งสองจับจองไปยังผู้คนที่กำลังช่วยกันเปิดประตูรถที่อัดก๊อปปี้กับเสาประตูอยากอย่างลำบาก

“นั่นมันรถคุณพ่อนี่คะทีเช่อร์”

สาวน้อยตาเบิกโพรงด้วยความตกใจ ครูสาวก็ใช่ว่าจะไม่ตกใจ ตั้งใจจะหันมาหาลูกศิษย์แต่ก็ช้าไปแล้ว เมื่อร่างผอมๆ เล็กๆ วิ่งไปแหวกฝูงชนที่ยืนล้อมมุงดูรถอยู่โดยรอบ ว่าจะมุดตัวเข้าไปได้ก็ต้องเบียดคนนั้นคนนี้ไปแทบตาย

“คุณพ่อ!!! คุณแม่!!!”

 

‘Happy birthday to you, Happy birthday to you, Happy birthday Happy birthday Happy birthday to you.’

แม้จะได้ยินเพลงนี้ปลายปี แม้จะไม่อยากให้ใครต้องเหนื่อยจัดอะไรให้ และแม้จะไม่อยากเป่าเค้กที่น้องๆ ประคองเดินมาหายังไง แต่สุดท้ายภีมวัจน์ก็จำต้องเป่าเบาๆ ลงไปหาเทียนอยู่ดี โดยมีสาวสวยในวัยเดียวกันคือ ญาติกา บุญตั้งตรง หรือชื่อที่เขาและใครๆ เรียกคือ ออม ยืนคอยส่งยิ้มให้อยู่ข้างๆ อย่างคนมีความสุข

รวมทั้งแม่เขาและพนักงานนับร้อยที่ต่างก็มาเต็มบ้าน งานนี้เซอร์ไพร้ส์เขามากมายในแง่ที่ไม่เคยมีใครมาร่วมงานมากขนาดนี้ตั้งแต่แม่กับน้องๆ จัดให้ หรืออีกนัยคือเขาไม่เคยอยากให้ใครที่ไม่สนิทหรือพนักงานเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตอันเป็นส่วนตัวอย่างนี้มากก่อนนั่นเอง แต่เมื่อคุณนายแม่ คุณน้องทั้งสอง บวกคนใกล้ชิดอีกหนึ่งจัดแจงเองซะทั้งหมด เขาจะทำอะไรได้นอกจากเล่นไปตามน้ำ

ภีมวัจน์กวาดตามองผู้คนรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างที่นั่งอยู่ตามสนามหญ้าหลังบ้านที่มีสปอร์ตไล้ท์ให้แสงสว่างไปทั่ว ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและมีอาหารในจานกระดาษอยู่ตรงหน้า กินไปคุยไปอย่างมีความสุข จนอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของวันเกิด หันไปเห็นคุณนายแม่กับเพื่อนสนิทอย่าง ญาณี บุญตั้งตรง หรือแม่อุ้ย คนกันไปยิ้มไปเขาเลยพลอยยิ้มตาม

เกือบสี่ทุ่มที่หนุ่มๆ อย่างเขาและคนอื่นๆ ยอมยกธงขาวให้สาวๆ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะวงแตกแต่อย่างใดๆ ด้วยการเดินขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำอาบท่านอน เพราะเหนื่อยมาตั้งแต่เช้ามืด พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับเป็นตาย อาจจะเป็นเพราะไวน์ที่เดิมเข้าไปหลายขวดก็เป็นได้ บวกกับพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เขาเลยปล่อยตัวให้หลับไวและกะว่าจะตอนตื่นสายๆ เป็นของขวัญวันเกิดให้กับตัวเองสักวันในรอบหนึ่งปี

‘กริ๊งๆๆๆๆ’

แต่เสียงนี้ก็ปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้า ทำเอาเขาหัวเสียน้อยๆ แต่ก็งัวเงียคว้ามือถือขึ้นมากดรับอยู่ดีทั้งที่สองตายังคงปิดอยู่

‘คุณหนาวเหรอครับ ผมเวทิตนะครับ ขอโทษนะครับที่โทรมากวนแต่เช้า คือผมแค่อยากจะบอกว่าคุณปัญกับคุณปาเสียแล้วนะครับเมื่อวานนี้ เป็นอุบัติเหตุทางรถตอนไปรับลูกสาวน่ะครับ’

 

แม้จะเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว และมีท่าทีว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว เพราะการเจรจาไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น แต่ภีมวัจน์ก็ขึ้นเครื่องมางานศพของทั้งสองทันทีในบ่ายวันนั้นเพื่อให้ทันพิธีรดน้ำศพ โดยมีเวทิตที่สนิทกับผู้ตายมาสักระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ช่วงเป็นนายหน้าขายโรงแรมเป็นคนคอยต้อนรับ คอยแนะนำให้เขารู้จักกับวิภพ เพื่อนสนิทของปัญญาและเป็นทนายประจำบ้านให้ด้วย รวมทั้งประนพผู้เป็นพี่ชายของปาริดาและเป็นญาติเพียงคนเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ เพราะพ่อแม่ของทั้งสองจากไปหลายปีมาแล้ว ส่วนญาติคนอื่นๆ ก็แยกกันไปคนละทิศคนละทางไม่ได้ติดต่อกันเลยในช่วงหลังๆ มานี้

‘มีเงินก็นับเป็นน้อง มีทองก็นับเป็นพี่ แต่พอมีหนี้ไม่มีทั้งพี่ทั้งน้อง’

ภีมวัจน์คิดถึงคำนี้ของพ่อกับแม่ในสมัยตั้งตัวใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเขายังเรียนอยู่มัธยมต้น ส่วนน้องคนกลางที่ห่างกันสามปีก็อยู่ประถมหกน้องคนเล็กที่ห่างเขาหกปีก็อยู่ประถมสาม ทุกคนจะต้องช่วยงานหลังกลับจากโรงเรียนไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่เหมือนลูกบ้านอื่น ไข่ที่เหลือใบเดียวยังต้องเอามาแกงให้กินได้ทั้งครอบครัวในวันที่ไม่มีจริงๆ

เขาจำได้ว่าแม่เคยแคะเศษเหรียญในกระปุกออมสินของเขาเอาไปเป็นค่าล้างแผลตอนพ่อเดินไปเหยียบเศษแก้วจนทำงานไม่ได้หลายวัน หลังจากแม่ไปขอยืมเงินญาติผู้ใหญ่ของพ่อห้าพัน เพื่อเอามาหมุนแล้วจะรีบใช้คืน แต่แม่บอกว่าเขาไม่ให้ด้วยการบอกว่าไม่มีหน้าตาเฉย แม้เขาจะเป็นเด็กแต่ไม่มีทางเชื่อพอๆ กับทุกคนในบ้าน ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็บอกว่าจะไม่ไปยืมเงินใครอีกเลย

=============

ในกรณีของสองผัวเมียที่ตายจากแล้วทิ้งหนี้ก้อนโตเอาไว้ให้คนอยู่ข้างหลังอย่างลูกสาวตาดำๆ ที่เขาเห็นแล้วก็สงสารและสะเทือนใจยิ่งกับสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนและนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างศพพ่อกับแม่มาตั้งแต่บ่าย คนวุ่นวายเดินไปมาทำนั่นทำนี่คือคนที่เขาเห็นเดินตามผู้ตายมาในวันนัดคุยกันที่โรงแรม เขาไม่รู้ว่าสำคัญกับเด็กสาวยังไง แต่สายตาที่มองมาหาเด็กนั้นดูห่วงใยอย่างลึกซึ้ง

ผิดกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆ กลับที่เอาแต่คอยต้อนรับแขกเพียงอย่างเดียว และต้องเป็นแขกที่แต่งกายภูมิฐานด้วย ภีมวัจน์ก้มมองเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำผ้าคอตตอนทรง Slim Fit กางเกงขายาวทรงกระบอกสีดำจากผ้า Twill Cotton Spandex ด้านในมีป้ายประทับไว้ด้วยอักษรสองตัวคือ PK ซึ่งเขาและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกิจการจะต้องใส่ หนึ่งคือขายให้ในราคาส่ง กับสองเพื่อโปรโมทแบรนด์ของบริษัทไปด้วยในตัว

จากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นี้และจากตำแหน่งที่นั่งอยู่รวมกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ โดยการจัดแจงของเวทิต ทำให้ประนพหันมายิ้มให้เขาบ่อยครั้ง และคอยกวักมือเรียกให้เด็กหมั่นเอาน้ำกับกาแฟมาคอยเสิร์ฟให้อย่างไม่จำเป็น เพราะเขาไม่ได้แตะต้องอะไรเลยตั้งแต่มาถึง และชาชินกับการเป็นเป้าสายตาที่หลายๆ คนมองมาหา โดยเฉพาะสาวแก่แม่หม้ายทั้งหลายมักจะมองตามเขาตาเป็นมัน

หล่อไม่หล่อเวลาโกรธยังดูดีเลยคุณหนาวน่ะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสาวๆ ในบริษัทถึงไม่กลัวนัก

เลขาตัวดีมักจะบอกบ่อยๆ แต่เขาไม่เคยใส่ใจ พอๆ กับไม่ได้แคร์สายตาผู้คนรอบข้างด้วย เพราะกำลังให้ความสนใจกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งจากใบหน้าเลย เขาเห็นตั้งแต่มาถึงใหม่ๆ ไม่ต้องสงสัยว่าก่อนหน้านั้นก็คงจะร้องไห้มานานแล้ว จนขอบตาช้ำบวมเปล่ง ใบหน้าซีดเซียว ร่างผอมๆ ดูอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมง

“น้องเหนือ!!!”

เพราะความที่อยู่ใกล้ เพราะความที่จ้องมองเด็กสาวอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขารีบลุกวิ่งไปประคองร่างเล็กๆ ล้มฟุบลงกับพื้นศาลาได้ทันท่วงที หลังเสียงหลายคนอุทานขึ้นด้วยความตกใจ ความโกลาหลเกิดขึ้นในตอนนั้น ทุกคนต่างวิ่งหายาดมยาลมยาหม่องกันให้วุ่น เพราะนี่เป็นรอบที่สามของวันแล้วที่เด็กสาวเป็นลมล้มพบเพราะความเสียใจ

“ผมว่าพาไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ เด็กอ่อนแรงแล้วก็อิดโรยมากเลย”

เขารีบเสนอกับผู้หญิงที่แทบถลามาหาเด็กสาวผู้สิ้นสติในอ้อมแขนของเขา “ค่ะๆ เดี๋ยวจะเรียกบุญมาให้เอารถออกเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณพาน้องเหนือมาทางนี้เลยค่ะ”

ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำรถก็แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโรงพยาบาลเอกชนใกล้ที่สุดที่เขาสั่งให้เลี้ยวเข้ามาแล้ว ภีมวัจน์เดินเร็วกว่าอีกคนเลยถึงห้องฉุกเฉินก่อน และไม่ถึงยี่สิบนาทีเด็กสาวก็ฟื้นขึ้นมา แล้วร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับอก แม่จ๋า ที่เขาได้ยินเด็กสาวเรียกพร้อมกับจับมือกันและกันไว้

“คนไข้อ่อนเพลียมากค่ะ หมอคงต้องให้แอดมิตดูอาการสักคืนสองคืนก่อนนะคะ ไม่แน่ว่าจะต้องมีจิตแพทย์มาช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจคนไข้ด้วยหรือเปล่า เพราะได้รับความกระทบกระเทือนจากการสูญเสียอย่างรุนแรง”

ภีมวัจน์หันไปมองคนที่เด็กเรียก แม่จ๋า ที่เดินเข้ามาฟังคำวินิจฉัยของแพทย์เจ้าของไข้ด้วยกัน เขาสังเกตเห็นสีหน้าหวาดหวั่นน้อยๆ เกิดขึ้นก็หญิงตรงหน้า ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะโรงพยาบาลนี้ขึ้นชื่อเรื่อง ฟันคนไข้หัวแบะ อยู่แล้ว ที่เขารู้เพราะน้องสาวเป็นหมอ เจอกันทีไรก็มักจะได้ฟังเรื่องราวของพวกที่ขูดรีดเงินเอาจากความเจ็บป่วยเกินความจำเป็นเสมอๆ

พ่อแม่เพื่อนหนิงเปิดโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน ฟันคนไข้หัวแบะ แทบทุกรายคนมีตังค์ก็รอดไปแต่คนจนที่ดันถูกพวกกู้ภัยส่งเข้าไปนี่สิ เป็นหนี้เป็นสินจนหมดตัวก็มีนะพี่หนาว ถ้าเราจะทำแบบนั้นนะหนิงไม่เอาด้วยหรอก กลัวบาปน่ะ

“ได้ครับ เดี๋ยวผมขออนุญาตเป็นเจ้าของไข้ให้เองนะครับ”

เขาเลยตัดสินใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลท่าทีนอบน้อมเพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าอวดร่ำอวดรวย แต่เพราะห่วงเด็กจริงๆ แล้วยิ้มให้ทั้งหมอและญาติคนไข้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาก็ได้เดินตามรถเข็นที่มีเด็กสาวนอนแน่นิ่งเพราะได้ยานอนหลับกับยาบำรุงร่างกายจากหมอเข้าไปอย่างละเข็มตรงไปยังห้องพักพิเศษเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณนะคะคุณภีมวัจน์”

เขาหันไปหาคนข้างๆ อย่างสงสัยหลังจากพยาบาลจัดการกับคนไข้ให้อยู่ในสภาพเป็นคนไข้เต็มตัวของวอร์ดแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครรู้จักเขา แต่ก็คิดขึ้นได้ตอนไปวัดเวทิตเป็นคนแนะนำให้รู้จักกันแล้ว เขาเสียเองที่เป็นฝ่ายจำไม่ได้ เพราะมีคนมากหน้าหลายตาให้จดจำ

“เอ่อ! ไม่เป็นไรครับ”

“ป้าชื่อกันยาค่ะ เป็นแม่บ้านแล้วก็เป็นแม่นมน้องเหนือมาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ”

ภีมวัจน์ยิ้มบางๆ ให้กับคำตอบนั้น แล้วนั่งเงียบ “เอ่อ...แล้วเมื่อวานที่คุยกันผลเป็นยังไงคะ คุณภีมวัจน์ตกลงซื้อโรงแรมหรือเปล่าคะ”

คนถูกถามทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็เดาได้ว่าแม่บ้านคนนี้คงเป็นที่ไว้วางใจสองสามีภรรยาไม่น้อย ถึงได้เล่าเรื่องสำคัญๆ ให้ฟัง

“อืม! ยังตกลงเรื่องราคากันไม่ได้ครับ”

“จนป่านนี้ป้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อค่ะ ว่าเสียคุณทั้งสองไปแล้ว นับประสาอะไรกับน้องเหนือคะ”

“ผมเสียใจด้วยครับ ผมก็ช๊อกเหมือนกันที่รู้เรื่อง”

ภีมวัจน์หยุดไว้แค่นั้น เพราะไม่แน่ว่าคนข้างๆ อยากคุยด้วยเรื่องนี้ต่อหรือไม่ เขาจำต้องเดินไปยกกล่องทิชชูบนหลังตู้ใกล้เตียงมาดึงแล้วส่งให้กันยาที่น้ำตานองหน้าด้วยความเสียใจ “ขอบคุณค่ะ ป้าจะต้องโทรให้เด็กที่บ้านมาอยู่กับน้องเหนือก่อนค่ะ เพราะป้าจะต้องรีบกลับไปดูแลแขกที่วัดอีก คุณภีมวัจน์จะกลับไปด้วยหรือเปล่าคะ”

แม่บ้านเอ่ยทั้งน้ำตา คนถูกถามนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม! คงต้องขอตัวหาที่พักก่อนครับไว้พรุ่งนี้ค่อยไปใหม่ เรื่องคนเฝ้าผมจ้างพยาบาลพิเศษให้ได้นะครับ ป้าจะได้ไม่ต้องยุ่งวิ่งไปวิ่งมา”

จากโปรแกรมเดิมคือเขาบินมาเคารพศพ ฟังพระสวดอภิธรรมแล้วก็จะบินกลับ แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ก็คงต้องค้างอีกสักคืนหรือสองก่อน เพราะความสงสารความห่วงในตัวเด็กน้อยผู้ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนบ้าง แต่ที่แน่ๆ เขาเดาได้ว่าไม่ใช่ทางที่ดีขึ้นล้านเปอร์เซ็นท์

“ขอบคุณค่ะ แต่ป้าทิ้งน้องเหนือไว้กับคนแปลกหน้าไม่ได้หรอกค่ะ ตื่นขึ้นมาก็คงจะร้องหาป้าเป็นคนแรกแล้ว ช่วงนี้ห่างไม่ได้เลยค่ะ ต้องคอยนอนอยู่เป็นเพื่อนตลอด”

 

ภีมวัจน์จับจองโรงแรมพีเอส บูติค เป็นที่หลับนอนในค่ำคืนนี้ มีห้องเหลือให้เลือกมากมายหลายราคา พอได้กุญแจห้องแล้วเลยเดินออกไปหาซื้อเสื้อผ้าตามร้านข้างทางใช้ไปก่อน เพราะไม่เตรียมอะไรมานอกจากชุดใส่กับตัว เขาแวะเข้าห้องน้ำชั้นล่างก่อนขึ้นห้องพักเพราะอยากลองเสื้อผ้าด้วย ถ้าใส่ไม่ได้จะเอาไปเปลี่ยนทีเดียวเลย นั่งได้ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้ากับเสียงคนคุยกันไม่น้อยกว่าสามและกำลังเดินเข้ามา

“พี่บุญบอกว่าเห็นกับตาตอนคุณนพหอบซองคนมาช่วยงานขึ้นรถแล้วขับออกไป ไม่สนใจจะหันมาถามด้วยซ้ำว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง งานสวดเหลืออีกตั้งหกคืน ขยับอะไรก็เป็นเงินทั้งนั้น ไม่รู้ป้าจ๋าจะทำยังไงต่อดี น้องเหนือก็ป่วยอยู่โรงพยาบาล รอดตัวไปที่คนจ่ายให้ ไม่งั้นยุ่งกว่านี้อีก”

“เฮ้อ! แล้วดือนนี้พวกเราจะได้เงินไหมล่ะ สงสัยต้องหางานใหม่แล้วมั้ง ไม่มีคุณปัญกับคุณปาคิดเหรอว่าพวกเราจะอยู่ได้ ให้คุณนพมาบริหารน่ะเหรอ คงไม่พ้นเอาไปขายถูกๆ ให้ใครสักคนแล้วเชิดเงินหนี”

“เอ้ย! เชิดได้ยังไง ต้องเอาไปใช้หนี้ก่อนดิ ไม่รู้จะพอหรือเปล่าหรอก เห็นทางบัญชีบอกว่าหลายร้อยล้านนะ”

“หน้าอย่างนายนั่นน่ะเหรอจะใช้หนี้ ฉันยังอดห่วงไม่ได้นะ ไม่มีใครใหญ่ในบ้านแล้วนอกจากนายนั่น สักวันคงจะหาทางดอดเข้าห้องหลานแน่ๆ พอย่ำยีจนหนำใจก็คงจะเอาไปขายให้อาเสี่ยสักคน ได้เงินแล้วคงไปล้างผลาญในบ่อนจนหมดอีก เฮ้อ! ยิ่งคิดยิ่งสงสารน้องเหนือ”

“แกก็ว่าไป เขาไม่ได้ร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”

“ว่าได้เหรอ เห็นอยู่วัดนี่คอยประจบประแจงแต่พวกมีตังค์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีอะไรให้ขายก็คงไม่พ้นเอาหลานนั่นล่ะ น้องเหนือน่ารักซะขนาดนั้น เลี้ยงอีกไม่กี่ปีก็กำลังพอดีเลยล่ะ คงได้หลายล้าน”

“พอๆ เลยแก ปากเสีย ไปเร็วๆ”

ภีมวัจน์ออกมาหลังจากพนักงานทั้งสองเดินออกไปสักพักแล้ว ขณะล้างมืออยู่หน้าอ่างเขาก็ครุ่นคิดไปด้วยกับบทสนทนา แม้ไม่กล้าคิดว่าประนพจะกล้าถึงขนาดนี้ แต่คนเราเมื่อไม่มีมันก็ย่อมทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน หลังลองเสื้อผ้าแล้วใส่ได้พอดีเขาก็เดินออกไประหว่างนั้นก็กดมือถือหาเวทิตเป็นคนแรก

พอไปถึงห้องก็โทรหา ‘ลุงสมควร’ ผู้เป็นทนายประจำของบริษัทเขาเป็นคนที่สอง ส่วนแม่กับน้องๆ นั้นคงจะบอกอะไรยังไม่ได้ตอนนี้ หรืออย่างน้อยก็ทางโทรศัพท์ เลยคิดว่าบอกด้วยตัวเองเห็นหน้ากันชัดๆ ตอนกลับไปจะดีกว่า ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเวทิตก็มาเคาะประตูห้องเรียก คนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือวิภพเพื่อนสนิทและเป็นทนายของปัญญา อีกคนคือกันยา คนสุดท้ายที่เสนอหน้าอยู่คือประนพ เพราะงานนี้จะขาดเขาไม่ได้ แม้ไม่ค่อยจะชอบหน้านัก แต่ภีมวัจน์ก็จำต้องเชิญมาด้วย

“จะคุยในนี้หรือไปที่อื่นดีครับ”

เจ้าของห้องเอ่ย เพราะมองเข้ามาในห้องแล้วแลจะแคบไม่เหมาะสำหรับต้อนรับแขกสักเท่าไหร่นัก “งั้นผมจะลงไปบอกให้คนเปิดห้องประชุมเล็กก็แล้วกันนะครับ”

ประนพเอ่ยอย่างอวดศักดาว่าข้าใหญ่ใครๆ ต้องทำตามคำสั่งได้ไม่ยาก จากนั้นสองหนุ่มก็เดินตามไปหาลิฟต์แล้วกดลงมาชั้นสอง พนักงานตรงล๊อบบีรีบทำตามคำสั่ง ระหว่างเดินไปพนักงานก็หันไปคุยเรื่องงานศพกับ ‘คุณภพ’ ที่ทุกคนรู้จักดีเพราะมาใช้บริการโรงแรมนี้ตลอดเวลาไม่เคยไปใช้ที่อื่นเลย ด้วยอยากอุดหนุนเพื่อนที่มีปัญหาเรื่องการเงินอย่างหนักนั่นเอง

“คุณเวทิตบอกผมว่าคุณภีมวัจน์อยากคุยเรื่องซื้อโรงแรมเหรอครับ”

ประนพเอ่ยแบบตรงไปตรงมาเพราะดึกไม่อยากให้เสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะตัวเองที่ไม่เชื่อว่าจะมีการซื้อขายเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ได้ง่ายๆ หรือถ้าได้ก็คงจะถูกกดราคาจนพอแค่ใช้หนี้สินหลายร้อยล้านไม่หลงเหลือมาถึงเขากับหลานน้อยตาดำๆ ถึงคนละล้านสองล้านแน่ๆ

“ครับ ผมคิดไว้ว่าอย่างนั้น แต่นั่นต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ผมตั้งเอาไว้ก่อนนะครับ”

‘นั่นประไร’ ประนพยิ้มมุมปากเย้ยคนซื้อนิดๆ ว่าไม่ผิดที่คิดไว้เลย สองหนุ่มต่างวัยเห็นท่าทางแบบนี้แล้วก็แอบถอนหายใจ และภาวนาให้หนุ่มผู้กำลังกุมชะตาชีวิตของบ้านสุริยวงศ์อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจลุกหนีไปซะก่อนเท่านั้น

“ผมขอตรงประเด็นเลยนะครับ”

ภีมวัจน์ไม่สนใจกับภาษากายที่ประนพแอบแสดงออกมาแม้จะเห็นเต็มตาอยู่แล้ว “เชิญคุณภีมวัจน์ว่ามาเลยครับ พวกเรารอฟังอยู่”

======================

 

แจ้ง Line ID อีกรอบนะคะ เป็น nujanc ค่ะขออภัยอย่างแรงที่ตก 'c' ไปหนึ่งตัวค่ะ

 

เว็บขีดเขียน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา