ป่วนรักนายจิตป่วย
5.9
เขียนโดย wimon
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.36 น.
6 ตอน
4 วิจารณ์
8,955 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 20.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เคย์ (เปิดเพลงฟังไปด้วยก็ดีนะคะ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2เคย์
เวลา 16:30น. บ่ายสี่โมงครึ่งเสียงนาฬิกาลูกตุ้มดังสองชุดเป็นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน เสียงนักเรียนอื้ออึงแสดงถึงความดีใจ ส่วนตัวผมเองนั้นกลับรู้สึกว่า ทำไมไม่นานกว่านี้นะ ผมพยายามจะหากิจกรรมทำหลังเลิกเรียนเสมอ ทั้งชมรม ติวเตอร์ หรือแม้กระทั่งขอช่วยงานคุณครูจนเกือบค่ำ อย่างน้อยก็ช่วยยื้อเวลากลับบ้านได้บ้างล่ะ ใครๆก็บอกผมว่าโรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองที่ให้ความรู้ ใช่แล้วผมมองโรงเรียนแห่งนี้เป็นบ้านของผมเสมอ และเป็นบ้านที่ผมชอบที่สุดก็ว่าได้ ถึงจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรก็ตามที ผมพยายามจะอยู่ที่โรงเรียนให้มากที่สุด แต่เคย์ก็จะมานั่งรอผมกลับบ้านพร้อมกันเสมอ ครอบครัวของเคย์คงไม่ชอบแน่ที่ลูกชายของเขากลับบ้านจนเกือบค่ำเพราะผม ผมพยายามจะไล่เคย์กลับก่อนแต่ไม่เป็นผล เคย์บอกกับผมว่า เขาจะไม่มีวันทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ในความคิดของผมไม่ได้มีอะไรสะกิดใจเลยแม้แต่เล็กน้อย แต่ในคำพูดนั้นผมสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงความเป็นใยที่อบอุ่นไม่ใช่น้อย ใช่ว่าคำพูดแค่นี้จะนับว่าเป็นเพื่อนสนิทผมได้นะ อย่างที่บอกไปเคย์กับผมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล แน่นอนครับ เรารู้จักกันมาเกือบเจ็ดปี ผมกับเคย์ ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ทั้งงานเทศกาล สวนสัตว์ ทะเล ช่วงเวลาที่ผ่าน ผมไม่เคยผูกมิตรกับใครเลย เพียงเพราะว่ามีเคย์อยู่ ก็คงพอแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะเจอปัญหามากมายหนักหนาแค่ไหนเคย์มักจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ แล้วพาผมก้าวผ่านมันมาได้โดยตลอด
“โซมะ รอนานไหมเวรวันแรกก็แบบนี้แหละ ฮ่าๆแวะเกมส์เซ็นเตอร์กันหน่อยไหม?” ใบหน้าของเคย์ยื่นเข้ามาใกล้จนสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อบนใบหน้าชัดเจน เคย์เองก็รู้ว่าเราไม่ชอบบ้านของตัวเองสักเท่าไหร่
“ไปร้านหนังสือการ์ตูนแทนได้ไหม อยากจะเช่ากลับไปอ่านที่บ้านสักสี่เล่ม” ผมคิดว่าไปร้านหนังสือมันคงจะดีกว่า
“แล้วแต่ ท่านโซมะ จะบัญชาขอรับ ฮ่าๆ” หนุ่มน้อยผมน้ำตาลเข้มขุกเข่าลงประนึ่งว่ารับคำสั่งจากหัวหน้า ผมลุกขึ้นยืนเก็บสัมภาระของตัวเองก่อนที่ผมจะก้าวเท้าออกไปนั้น มีมือหนึ่งเข้ามาจับมือผมไว้แน่นก่อนที่ก้าวเดินออกจากห้องเรียน
ไม่นานนักเราก็ถึงร้านหนังสือ ผมเลือกเช่าหนังสือการ์ตูนสี่เล่ม ส่วนเคย์ก็เลือกที่จะเช่าการ์ตูนเรื่องเดียวกันกับผมสองเล่ม เปิดเรียนวันแรกก็ถือว่าเป็นวันดีๆวันหนึ่งของผมเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเคย์จะดูมีความสุขมากกว่าผมสะอีกนะ
“นี่ ที่บ้านน่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าทุกข์ใจอะไร โทรหาฉันได้ทุกเมื่อนะโซมะ” ในคำพูดนั้นผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ แต่เคย์กลับพูดออกมาด้วยความจริงใจ คงไม่ได้แกล้งผมเล่นแน่ๆ
“อื้ม ยังไงฉันก็ต้องนึกถึงนายคนแรกอยู่แล้วล่ะ” ใช่แล้วก็เคย์เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมนี่นะก็ต้องคิดถึงเป็นคนแรกสิ จะให้ไปนึกถึงใครกันล่ะ
“กลับมาแล้วครับ” ผมแยกกับเคย์ที่หน้าปากซอย ผมกลับมาถึงบ้านตอน หกโมงครึ่งถือว่าเป็นเวลาที่พอเหมาะทีเดียว
“โซมะ….ลูกกลับมาแล้วหรอ นี่ไปสวัสดีพ่อเขาสักหน่อยสิลูก” น้ำเสียงของแม่ที่ดูเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ นี่ก็สองปีแล้วที่พ่อกับแม่แยกกันอยู่ แต่คุณพ่อก็ยังมาหาคุณแม่อยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่พ่อมาที่นี่ผมมักมีปัญหากับพ่อเสมอ วันนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้น เคย์คงจะรู้ว่าวันนี้พ่อต้องมาที่นี่แน่ๆ
“อื้ม ผมฝากแม่ไปแทนแล้วกัน” ผมไม่อยากเจอคนที่ผมเรียกว่าพ่อ ทุกครั้งที่ผมเจอ เขามักจะหาเรื่องผมเสมอ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำไปทำไมในเมื่อผมเป็นลูกชายของเขา และผมไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย
“โซมะ อย่าทำตัวมีปัญหาจะได้ไหมจ๊ะ” คุณแม่ก็จะเข้าข้างคุณพ่อเสมอเพียงเพราะคำว่า รัก นั่นแหละครับ เนื่องจากผมต้องอยู่กับคุณแม่ ผมจำเป็นต้องทำตามในสิ่งที่แม่บอก
ครืด…ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นและควันของบุหรี่ เสียงทีวีที่เปิดดังราวกลับโรงภาพยนต์ เศษขยะกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะชายฉกรรจ์ ตัวใหญ่กว่าผมถึงสองเท่าผมสีดำเข้ม ใส่สร้อยทองคำเส้นโต ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดของผม และผมเรียกเขาว่าคุณพ่อ
“สวัสดีครับ คุณพ่อ” ผมกล่าวทักทายเป็นมารยาทก่อนที่จะปิดประตูห้องเป็นอย่างเดิม
“เดี๊ยวก่อนสิ ไอ้ลูกชาย พ่อแกมาทั้งทีจะไม่คุยกันหน่อยหรอหือ….” ชายคนนั้นหันมามองหน้าผมท่าทางดูถูกดูแคลน ผมเดินก้าวเท้ากลับเข้ามาในห้อง ลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
“ผมเหนื่อยน่ะครับ ผมอยากพักผ่อน” ผมพูดออกไปปัดการสนทนานี้
“เอ้านี่…เอาไว้ใช้สะนะฉันคิดว่าแกโตพอที่จะมีมือถือเป็นของตัวเองได้แล้วส่วนนี่ก็เก็บไว้กินไว้ใช้ซะนะ” ชายคนนั้นหยิบมือถือและเงินสด จากในกระเป๋ามากองไว้บนโต๊ะ ทำเอาผมต้องกลับหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง
“ต้องการอะไรจากผมกันแน่ บอกมาตรงๆจะดีกว่านะครับ” ผมเสียงแข็ง สายตามาตรงไปที่ชายคนนั้น
“ไม่ต้องการอะไรมากนักหรอก ฉันแค่อยากจะอยู่นี่สักสองอาทิตย์คิดว่ายังไงล่ะลูกชาย หึ” เขาหยิบบุรี่ขึ้นมาดูดพร้อมกับพ่นควันใส่หน้าของผม ผมได้แต่เพียงกัดฟันแน่น
“พอดีฉันเบื่อลูกสาวที่เอาแต่ใจแล้วด้วย อยากจะมาเล่นกลับลูกชายสุดที่รักบ้าง” คำว่าลูกสาวคงหมายถึง ลูกที่เกิดมาจากผู้หญิงของพ่อ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก คำว่าลูกชายสุดที่รักเนี่ยสิฟีงแล้วแขยงหูชะมัด แต่การมาของพ่อครั้งนี้คงไม่เหมือนเคยแน่ๆ เขาพูดด้วยหน้าตาที่เรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความเกร็งขาม
“ผมคงจะขัดอะไรไม่ได้หรอก แต่อย่ามาทำให้แม่ผมเสียใจก็แล้วกัน” ผมหยิบมือถือและเงินสดที่คุณพ่อผมกองไว้บนโต๊ะเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องนั้นโดยทันที ผมตรงไปที่โทรศัพท์บ้านแล้วกดโทรหา เคย์เพื่อนสนิททันที
“ฮัลโหล บ้านกาตะค่ะ” เสียงปลายสายเป็นเสียงของคุณแม่ของเคย์แน่นอน
“สวัสดีครับ ผมโซมะครับ ขอสายเคย์หน่อยจะได้ไหมครับ”
"รอสักครู่นะ เคย์อยู่บนห้องน่ะ" เสียงปลายสายกำลังตะโกนเรียกเคย์อยู่
“ว่าไงโซมะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” เสียงขี้เล่นของเขาถามเหมือนรู้ใจ
“พอจะออกไปข้างนอกกลับฉันได้รึเปล่า” ผมชวนเคย์ออกไปข้างนอก
“อื้ม… เจอกันที่ร้านกรูเม่ต์ในอีกสิบนาทีแล้วกันฉันจะออกไปเดี๊ยวนี้แหละ” เคย์นัดแนะสถานที่ผมเรียบร้อย ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยทันที แล้วออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกคุณแม่เอาไว้แล้วไปตามนัดที่เคย์บอก
ผมเป็นฝ่ายมารอเคย์ตามนัด ผมมองไปรอบๆร้านทั้งๆที่วันนี้เป็นวันจันทร์แต่ผู้คนกลับหนาตาเป็นพิเศษทำให้สังเกตหาเคย์ได้ยากเลยทีเดียว ผมเปิดเมนูของร้านไปมาเป็นการฆ่าเวลา
”คุณลูกค้า จะสั่งอะไรไหมคะ ^^ ” พนักงานต้อนรับเดินตรงมาถามออเดอร์โต๊ะผม
“ขอเป็น โกโก้เย็นปั่นแก้วนึงครับ” ผมเลือกเครื่องดื่มเย็นจะเป็นการดีกว่า ไม่นานนักหนุ่มน้อยที่เราคุ้นเคยก็เดินตรงหรี่เข้ามานั่ง พร้อมเรียกพนักงานร้าน
“ผมขอสั่ง โดนัทหนึ่งชิ้นกับน้ำโคล่าหนึ่งแก้วครับ” ดูเหมือนว่าเคย์จะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
“ว่าไง ท่านโซมะมีอะไรให้ผมรับใช้รึขอรับ” หนุ่มขี้เล่นคนเดิมพูดจาหยอกล้อผมเล่น
“เขามาที่นี่ล่ะ ดูเหมือนเขาจะอยู่ที่นี่สักสองอาทิตย์ แล้วเขาก็ให้นี่ฉันมา” ผมวางโทรศัพท์มือถือและเงินที่พ่อให้มา เคย์ขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แล้วล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรสักอย่างในกระเป๋ากางเกง
“นายก็ได้มาเหมือนกันหรอ แถมยังรุ่นเดียวกับฉันอีก” ผมตะลึงไปสักพัก เขาก็ได้มาเหมือนกับผม ผมจ้องมองมันตาไม่กระพริบ
“อื้อ พ่อของฉันให้ฉันมาได้หนึ่งเดือนละ แต่ฉันไม่รู้จะเอาไว้ติดต่อกับใคร ไหนๆนายก็มีมันแล้ว ขอแอดอีเมลกับเบอร์ไว้แล้วกัน” เคย์คว้ามือถือของผมไปกดอย่างคล่องแคล่ว
“นี่ เมลและเบอร์ของฉัน ต่อไปนี้เราติดต่อกันผ่านไอ้นี่แล้วกัน” เคย์ยื่นมือถือของผมคืน
“โซมะ ไม่ต้องกลัวนะไม่ว่าจะเกิดอะไรฉัขึ้นนจะอยู่ข้างนาย” เคย์จ้องมาที่หน้าของผม เขาค่อยๆยื่นมือขึ้นมาแตะที่หัวของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเลื่อนมือลงมาแตะที่ข้างแก้มของผม ฮึ่กทำไมมือของเคย์ถึงได้อบอุ่นขนาดนี้ ทำเอาผมรู้สึกดีไม่ใช่เล่น
“นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดเลยเคย์” ผมเผลอพูดออกไปมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากข้างใน ใช่แล้วไม่ว่าผมจะเผชิญหน้ากับอะไร เขาก็พร้อมจะจับมือผมก้าวผ่านไปเสมอ ตั้งแต่เรื่องที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ เคย์เองก็อ้อนขอให้ครอบครัวย้ายมาที่นี่ด้วย ทั้งๆที่คุณพ่อของเคย์ก็ต้องขับรถไปทำงานไกลกว่าเดิม ทั้งเวลาที่ผมทุกข์ใจเขาก็คอยให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มที่สดใสเสมอ และเคย์ก็ยังรู้ว่าผมไม่ชอบที่จะอยู่บ้าน คอยที่จะพาออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก ผมจับมือของเคย์ที่อยู่ข้างแก้มของผมความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ทำไมผมถึงใจสั่นได้ขนาดนี้นะ...
เวลา 16:30น. บ่ายสี่โมงครึ่งเสียงนาฬิกาลูกตุ้มดังสองชุดเป็นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน เสียงนักเรียนอื้ออึงแสดงถึงความดีใจ ส่วนตัวผมเองนั้นกลับรู้สึกว่า ทำไมไม่นานกว่านี้นะ ผมพยายามจะหากิจกรรมทำหลังเลิกเรียนเสมอ ทั้งชมรม ติวเตอร์ หรือแม้กระทั่งขอช่วยงานคุณครูจนเกือบค่ำ อย่างน้อยก็ช่วยยื้อเวลากลับบ้านได้บ้างล่ะ ใครๆก็บอกผมว่าโรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองที่ให้ความรู้ ใช่แล้วผมมองโรงเรียนแห่งนี้เป็นบ้านของผมเสมอ และเป็นบ้านที่ผมชอบที่สุดก็ว่าได้ ถึงจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรก็ตามที ผมพยายามจะอยู่ที่โรงเรียนให้มากที่สุด แต่เคย์ก็จะมานั่งรอผมกลับบ้านพร้อมกันเสมอ ครอบครัวของเคย์คงไม่ชอบแน่ที่ลูกชายของเขากลับบ้านจนเกือบค่ำเพราะผม ผมพยายามจะไล่เคย์กลับก่อนแต่ไม่เป็นผล เคย์บอกกับผมว่า เขาจะไม่มีวันทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ในความคิดของผมไม่ได้มีอะไรสะกิดใจเลยแม้แต่เล็กน้อย แต่ในคำพูดนั้นผมสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงความเป็นใยที่อบอุ่นไม่ใช่น้อย ใช่ว่าคำพูดแค่นี้จะนับว่าเป็นเพื่อนสนิทผมได้นะ อย่างที่บอกไปเคย์กับผมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล แน่นอนครับ เรารู้จักกันมาเกือบเจ็ดปี ผมกับเคย์ ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ทั้งงานเทศกาล สวนสัตว์ ทะเล ช่วงเวลาที่ผ่าน ผมไม่เคยผูกมิตรกับใครเลย เพียงเพราะว่ามีเคย์อยู่ ก็คงพอแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะเจอปัญหามากมายหนักหนาแค่ไหนเคย์มักจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ แล้วพาผมก้าวผ่านมันมาได้โดยตลอด
“โซมะ รอนานไหมเวรวันแรกก็แบบนี้แหละ ฮ่าๆแวะเกมส์เซ็นเตอร์กันหน่อยไหม?” ใบหน้าของเคย์ยื่นเข้ามาใกล้จนสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อบนใบหน้าชัดเจน เคย์เองก็รู้ว่าเราไม่ชอบบ้านของตัวเองสักเท่าไหร่
“ไปร้านหนังสือการ์ตูนแทนได้ไหม อยากจะเช่ากลับไปอ่านที่บ้านสักสี่เล่ม” ผมคิดว่าไปร้านหนังสือมันคงจะดีกว่า
“แล้วแต่ ท่านโซมะ จะบัญชาขอรับ ฮ่าๆ” หนุ่มน้อยผมน้ำตาลเข้มขุกเข่าลงประนึ่งว่ารับคำสั่งจากหัวหน้า ผมลุกขึ้นยืนเก็บสัมภาระของตัวเองก่อนที่ผมจะก้าวเท้าออกไปนั้น มีมือหนึ่งเข้ามาจับมือผมไว้แน่นก่อนที่ก้าวเดินออกจากห้องเรียน
ไม่นานนักเราก็ถึงร้านหนังสือ ผมเลือกเช่าหนังสือการ์ตูนสี่เล่ม ส่วนเคย์ก็เลือกที่จะเช่าการ์ตูนเรื่องเดียวกันกับผมสองเล่ม เปิดเรียนวันแรกก็ถือว่าเป็นวันดีๆวันหนึ่งของผมเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเคย์จะดูมีความสุขมากกว่าผมสะอีกนะ
“นี่ ที่บ้านน่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าทุกข์ใจอะไร โทรหาฉันได้ทุกเมื่อนะโซมะ” ในคำพูดนั้นผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ แต่เคย์กลับพูดออกมาด้วยความจริงใจ คงไม่ได้แกล้งผมเล่นแน่ๆ
“อื้ม ยังไงฉันก็ต้องนึกถึงนายคนแรกอยู่แล้วล่ะ” ใช่แล้วก็เคย์เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมนี่นะก็ต้องคิดถึงเป็นคนแรกสิ จะให้ไปนึกถึงใครกันล่ะ
“กลับมาแล้วครับ” ผมแยกกับเคย์ที่หน้าปากซอย ผมกลับมาถึงบ้านตอน หกโมงครึ่งถือว่าเป็นเวลาที่พอเหมาะทีเดียว
“โซมะ….ลูกกลับมาแล้วหรอ นี่ไปสวัสดีพ่อเขาสักหน่อยสิลูก” น้ำเสียงของแม่ที่ดูเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ นี่ก็สองปีแล้วที่พ่อกับแม่แยกกันอยู่ แต่คุณพ่อก็ยังมาหาคุณแม่อยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่พ่อมาที่นี่ผมมักมีปัญหากับพ่อเสมอ วันนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้น เคย์คงจะรู้ว่าวันนี้พ่อต้องมาที่นี่แน่ๆ
“อื้ม ผมฝากแม่ไปแทนแล้วกัน” ผมไม่อยากเจอคนที่ผมเรียกว่าพ่อ ทุกครั้งที่ผมเจอ เขามักจะหาเรื่องผมเสมอ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำไปทำไมในเมื่อผมเป็นลูกชายของเขา และผมไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย
“โซมะ อย่าทำตัวมีปัญหาจะได้ไหมจ๊ะ” คุณแม่ก็จะเข้าข้างคุณพ่อเสมอเพียงเพราะคำว่า รัก นั่นแหละครับ เนื่องจากผมต้องอยู่กับคุณแม่ ผมจำเป็นต้องทำตามในสิ่งที่แม่บอก
ครืด…ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นและควันของบุหรี่ เสียงทีวีที่เปิดดังราวกลับโรงภาพยนต์ เศษขยะกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะชายฉกรรจ์ ตัวใหญ่กว่าผมถึงสองเท่าผมสีดำเข้ม ใส่สร้อยทองคำเส้นโต ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดของผม และผมเรียกเขาว่าคุณพ่อ
“สวัสดีครับ คุณพ่อ” ผมกล่าวทักทายเป็นมารยาทก่อนที่จะปิดประตูห้องเป็นอย่างเดิม
“เดี๊ยวก่อนสิ ไอ้ลูกชาย พ่อแกมาทั้งทีจะไม่คุยกันหน่อยหรอหือ….” ชายคนนั้นหันมามองหน้าผมท่าทางดูถูกดูแคลน ผมเดินก้าวเท้ากลับเข้ามาในห้อง ลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
“ผมเหนื่อยน่ะครับ ผมอยากพักผ่อน” ผมพูดออกไปปัดการสนทนานี้
“เอ้านี่…เอาไว้ใช้สะนะฉันคิดว่าแกโตพอที่จะมีมือถือเป็นของตัวเองได้แล้วส่วนนี่ก็เก็บไว้กินไว้ใช้ซะนะ” ชายคนนั้นหยิบมือถือและเงินสด จากในกระเป๋ามากองไว้บนโต๊ะ ทำเอาผมต้องกลับหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง
“ต้องการอะไรจากผมกันแน่ บอกมาตรงๆจะดีกว่านะครับ” ผมเสียงแข็ง สายตามาตรงไปที่ชายคนนั้น
“ไม่ต้องการอะไรมากนักหรอก ฉันแค่อยากจะอยู่นี่สักสองอาทิตย์คิดว่ายังไงล่ะลูกชาย หึ” เขาหยิบบุรี่ขึ้นมาดูดพร้อมกับพ่นควันใส่หน้าของผม ผมได้แต่เพียงกัดฟันแน่น
“พอดีฉันเบื่อลูกสาวที่เอาแต่ใจแล้วด้วย อยากจะมาเล่นกลับลูกชายสุดที่รักบ้าง” คำว่าลูกสาวคงหมายถึง ลูกที่เกิดมาจากผู้หญิงของพ่อ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก คำว่าลูกชายสุดที่รักเนี่ยสิฟีงแล้วแขยงหูชะมัด แต่การมาของพ่อครั้งนี้คงไม่เหมือนเคยแน่ๆ เขาพูดด้วยหน้าตาที่เรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความเกร็งขาม
“ผมคงจะขัดอะไรไม่ได้หรอก แต่อย่ามาทำให้แม่ผมเสียใจก็แล้วกัน” ผมหยิบมือถือและเงินสดที่คุณพ่อผมกองไว้บนโต๊ะเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องนั้นโดยทันที ผมตรงไปที่โทรศัพท์บ้านแล้วกดโทรหา เคย์เพื่อนสนิททันที
“ฮัลโหล บ้านกาตะค่ะ” เสียงปลายสายเป็นเสียงของคุณแม่ของเคย์แน่นอน
“สวัสดีครับ ผมโซมะครับ ขอสายเคย์หน่อยจะได้ไหมครับ”
"รอสักครู่นะ เคย์อยู่บนห้องน่ะ" เสียงปลายสายกำลังตะโกนเรียกเคย์อยู่
“ว่าไงโซมะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” เสียงขี้เล่นของเขาถามเหมือนรู้ใจ
“พอจะออกไปข้างนอกกลับฉันได้รึเปล่า” ผมชวนเคย์ออกไปข้างนอก
“อื้ม… เจอกันที่ร้านกรูเม่ต์ในอีกสิบนาทีแล้วกันฉันจะออกไปเดี๊ยวนี้แหละ” เคย์นัดแนะสถานที่ผมเรียบร้อย ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยทันที แล้วออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกคุณแม่เอาไว้แล้วไปตามนัดที่เคย์บอก
ผมเป็นฝ่ายมารอเคย์ตามนัด ผมมองไปรอบๆร้านทั้งๆที่วันนี้เป็นวันจันทร์แต่ผู้คนกลับหนาตาเป็นพิเศษทำให้สังเกตหาเคย์ได้ยากเลยทีเดียว ผมเปิดเมนูของร้านไปมาเป็นการฆ่าเวลา
”คุณลูกค้า จะสั่งอะไรไหมคะ ^^ ” พนักงานต้อนรับเดินตรงมาถามออเดอร์โต๊ะผม
“ขอเป็น โกโก้เย็นปั่นแก้วนึงครับ” ผมเลือกเครื่องดื่มเย็นจะเป็นการดีกว่า ไม่นานนักหนุ่มน้อยที่เราคุ้นเคยก็เดินตรงหรี่เข้ามานั่ง พร้อมเรียกพนักงานร้าน
“ผมขอสั่ง โดนัทหนึ่งชิ้นกับน้ำโคล่าหนึ่งแก้วครับ” ดูเหมือนว่าเคย์จะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
“ว่าไง ท่านโซมะมีอะไรให้ผมรับใช้รึขอรับ” หนุ่มขี้เล่นคนเดิมพูดจาหยอกล้อผมเล่น
“เขามาที่นี่ล่ะ ดูเหมือนเขาจะอยู่ที่นี่สักสองอาทิตย์ แล้วเขาก็ให้นี่ฉันมา” ผมวางโทรศัพท์มือถือและเงินที่พ่อให้มา เคย์ขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แล้วล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรสักอย่างในกระเป๋ากางเกง
“นายก็ได้มาเหมือนกันหรอ แถมยังรุ่นเดียวกับฉันอีก” ผมตะลึงไปสักพัก เขาก็ได้มาเหมือนกับผม ผมจ้องมองมันตาไม่กระพริบ
“อื้อ พ่อของฉันให้ฉันมาได้หนึ่งเดือนละ แต่ฉันไม่รู้จะเอาไว้ติดต่อกับใคร ไหนๆนายก็มีมันแล้ว ขอแอดอีเมลกับเบอร์ไว้แล้วกัน” เคย์คว้ามือถือของผมไปกดอย่างคล่องแคล่ว
“นี่ เมลและเบอร์ของฉัน ต่อไปนี้เราติดต่อกันผ่านไอ้นี่แล้วกัน” เคย์ยื่นมือถือของผมคืน
“โซมะ ไม่ต้องกลัวนะไม่ว่าจะเกิดอะไรฉัขึ้นนจะอยู่ข้างนาย” เคย์จ้องมาที่หน้าของผม เขาค่อยๆยื่นมือขึ้นมาแตะที่หัวของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเลื่อนมือลงมาแตะที่ข้างแก้มของผม ฮึ่กทำไมมือของเคย์ถึงได้อบอุ่นขนาดนี้ ทำเอาผมรู้สึกดีไม่ใช่เล่น
“นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดเลยเคย์” ผมเผลอพูดออกไปมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากข้างใน ใช่แล้วไม่ว่าผมจะเผชิญหน้ากับอะไร เขาก็พร้อมจะจับมือผมก้าวผ่านไปเสมอ ตั้งแต่เรื่องที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ เคย์เองก็อ้อนขอให้ครอบครัวย้ายมาที่นี่ด้วย ทั้งๆที่คุณพ่อของเคย์ก็ต้องขับรถไปทำงานไกลกว่าเดิม ทั้งเวลาที่ผมทุกข์ใจเขาก็คอยให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มที่สดใสเสมอ และเคย์ก็ยังรู้ว่าผมไม่ชอบที่จะอยู่บ้าน คอยที่จะพาออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก ผมจับมือของเคย์ที่อยู่ข้างแก้มของผมความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ทำไมผมถึงใจสั่นได้ขนาดนี้นะ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ