SEA and DREAM ทะเล ความฝัน และความจริง
เขียนโดย ทรายละเอียด
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.55 น.
แก้ไขเมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 22.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ผู้จุดแรงบันดาลใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอ่าวดงตาลยามเย็น หาดทรายสีขาวทอดยาว ต้นตาลที่ขึ้นอย่างหนาแน่นสมกับชื่อหาดสลับกับทิวสนที่ขึ้นตลอดแนว เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังครืนๆ ลมพัดแรง เสียงลมที่ปะทะกับใบสนดังหวีดหวิว ผู้คนที่มักจะมาพักผ่อนกันในวันหยุด ทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ทำให้บรรยากาศดูเงียบเหงายิ่งขึ้น ผมยืนตรงระเบียงบ้านพัก จ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ขอบล่างดูคล้ายแตะขอบน้ำทะเล อีกไม่นานความมืดก็จะมาแทนที่ความสว่าง หมุนเวียนแบบนี้มาตั้งแต่โลกเราอุบัติขึ้นมา เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ มีเกิด ก็ย่อมมีแก่ มีเจ็บ และตาย เวียนว่ายในวัฎสงสาร ไม่มีใครสารถหยุดหรือเปลี่ยนความเป็นจริงข้อนี้ได้
ผมเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดเพชรบุรี กลับมาจากร่วมงานพระราชทานเพลิงศพบุคคลซึ่งผมรักและเทิดทูนรองจากพ่อและแม่ บุคคลซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและหลักในการดำรงชีวิตให้กับผม “อาภาคย์” หรือ นาวาตรีภาคย์ เพชรพันธ์ อาภาคย์ลาจากโลกมนุษย์ไปแล้ว วินาทีแรกที่ผมเห็นร่างของแกนอนสงบนิ่งอยู่บนที่นอนสำหรับรดน้ำศพ เข่าผมทรุดลงกับพื้นทันที น้ำตาลูกผู้ชายทะลักล้นออกมามากมาย ความรู้สึกมันเกินบรรยายจริงๆ นี่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต นี่ผมจะไม่ได้พบเจออาภาคย์ผู้สดใสร่าเริงอีกแล้วหรือนี่ นึกถึงวันที่รดน้ำศพ ผมจับมือที่ไร้การสนองตอบและซีดขาวไว้เนิ่นนาน จ้องมองร่างไร้วิญญาณของอาภาคย์ ผมไม่สารถพูดหรือเปล่งวาจาใดๆออกมาได้ ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่เต็มลำคอ ครอบครัวของอาภาคย์จัดสวดอภิธรรมศพเจ็ดคืน มีบุคคลมาร่วมงานมากมายทั้งพลเรือน นักการเมืองท้องถิ่น และทหารตำรวจ ด้วยความที่คุณอามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนทุกฝ่าย ห้วงเวลางานศพ ทุกคนพูดถึงความดีและความน่ารักของอาภาคย์ น่าเสียดายที่ความตายมาพรากแกไปเร็วเหลือเกิน จนถึงวันพระราชทานเพลิงศพซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณอาได้จากโลกอันวุ่นวายของเราไปแล้ว ขอบตาของผู้ร่วมงานทุกคนแดง มีคราบน้ำตาด้วยความอาลัยรัก ภรรยาของอาภาคย์บอกว่า ก่อนตายแกบอกไว้ว่า “อย่าเสียใจกับการตายของแก เพราะคนตายหมดเวรกรรมกับโลกมนุษย์แล้ว คนเป็นต่างหากที่ต้องเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไป” เสร็จงานศพแล้วผมและภรรยาขับรถจากเพชรบุรีกลับสัตหีบ ผมขับรถด้วยอาการเศร้าซึมเงียบงันมาตลอดทาง จริงของอาภาคย์ ชีวิตคนที่ยังอยู่ต่างหากที่ยังต้องสู้ ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องฟันฝ่า
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานภายในห้องรับแขก หยิบสมุดบันทึกเล่มใหม่ขึ้นมา ตั้งใจจะเขียนทุกสิ่งรำลึกถึงบุคคลผู้มีพระคุณกับผมคนนี้ คนที่ทำให้ผมมีชีวิตที่ดีเฉกเช่นวันนี้ ผมจรดปากกาลงบนกระดาษพร้อมดำดิ่งสู้ห้วงแห่งความทรงจำ....
ผมชื่อ นาวาโท พชรพล แสนแก้ว ผู้บังคับการเรือ เรือหลวงนราธิวาส ที่ผ่านมาเคยมีหลายต่อหลายถามผมว่าทำไมจึงอยากเป็นทหาร และทำไมจึงเลือกเป็นทหารเรือ และทุกครั้งผมจะตอบแบบภาคภูมิใจว่าผมรักทหารเรือ ผมรักชีวิตที่แสนสงบของทหารเรือ ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมผมจึงรักทหารเรือ ผมจะขอบันทึกไว้ในบันทึกเล่มนี้ละกัน...
ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนประจำจังหวัดเพชรบุรี เย็นวันหนึ่งผมไปเตะฟุตบอลและนั่งเล่นพูดคุยที่บ้านเพื่อน กลับถึงบ้านราวสามทุ่ม คุณพ่อเดินออกมารับที่หน้าบ้าน “มิกซ์ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมกลับบ้านมืดค่ำแบบนี้ทุกวันเลยนะ การบ้านหรืองานที่ครูสั่งไม่ทำบ้างรึไง ถ้าลูกยังเหลวไหลแบบนี้นะ อนาคตเราจะเป็นยังไง” พ่อร่ายยาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ก็ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากเลยพ่อ ชะตานำพาให้เป็นอะไรผมก็เป็นอย่างนั้นแหล่ะ” ผมตอบพ่อกลับไปแบบวัยรุ่นสิ้นคิดคนหนึ่ง สิ้นคิดที่ว่าไม่คำนึงถึงอนาคตตัวเอง สิ้นคิดที่ทำลายความหวังของบุพการี พ่อผมได้ฟังแบบนั้นแววตาส่อแววผิดหวัง พ่อพูดแกมออกคำสั่งกับผมว่า “ศุกร์นี้ ไปแก่งกระจานกับพ่อ พ่อจะพาเราไปรู้จักคนคนหนึ่ง” ผมแอบเบ้ปาก เชอะ!! จะพบใคร พ่อก็แค่ไปดื่มเหล้าน่ะดิ ใครจะอยากไปด้วย แหวะ!!! พ่อผมเปิดร้านขายขนมจำพวกทองม้วนและขนมหวานเมืองเพชรในตลาดท่ายาง ทุกเย็นวันศุกร์หรือเสาร์พ่อจะไปร่วมวงสรวลเสเฮฮากับบรรดาเพื่อนของแก กลุ่มที่พ่อไปด้วยบ่อยก็จะมีกันประมาณเจ็ดคนครับคบหากันมาตั้งแต่ผมยังเล็กอยู่ แต่ก่อนก็มีไปเล่นดนตรีด้วยกันบ้างเพราะพ่อผมมีฝีมือด้านการตีกลอง แต่พักหลังไม่เล่นดนตรีแล้วไปดื่มเหล้าอย่างเดียว ผมเคยไปพบเพื่อนพ่อกลุ่มนี้นะแต่เมื่อนานมากแล้วล่ะแต่จำใครไม่ได้เลย ในที่สุดวันศุกร์นั้นพ่อก็ลากผมไปด้วยจนได้ “พ่อจะพาเรารู้จักกับ อาภาคย์ เราจำได้รึป่าว” ผมส่ายหน้า “อาภาคย์เคยเป็นนายทหารเรือ พ่ออยากให้มิกซ์คุยกับเค้า เผื่อว่าเราจะมีทัศนคติที่ดีขึ้นบ้าง” พ่อผมบอกระหว่างที่ขับรถไปแก่งกระจาน “นี่พ่ออยากให้ผมเป็นทหาร? โหย..ไม่เอาอ่ะ เหนื่อย ตัวดำ” พ่อผมฟังแล้วตอบกลับสั้นๆ “ลองไปคุยกับอาเค้าก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยตอบพ่อ จำไว้ว่าพ่อจะแนะนำแต่สิ่งดีๆให้เราเท่านั้น” พ่อขับรถมาไม่นานก็จอดรถหน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง ด้านหน้าของที่พักจะเป็นสนามหญ้าและมีต้นก้ามปูใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นก้ามปูมีโต๊ะหินอ่อนอยู่ตัวหนึ่ง ผมเห็นเพื่อนพ่อสี่คนกำลังนั่งดื่มสุรากันอยู่ “อ้าว!! พี่โจ้ สวัสดีครับ มาๆพี่ กำลังตั้งวงรออยู่เลย แหม วันนี้พาไอ้รูปหล่อมาซะด้วย” เสียงเพื่อนๆของพ่อทักมาแต่ไกล “เออ สวัสดีทุกคน เอ้า มิกซ์ ไหว้อาๆสิลูก จำใครได้บ้างป่าว นี่อาวุฒิเป็นทนายความ นี่อาโอเป็นเจ้าของร้านขายอิฐ และนี่อาภาคย์คนที่พ่อบอกเรา” ผมไหว้ทุกคน ส่วนสายตาจับจ้องไปที่อาภาคย์ ตอนนั้นอาภาคย์อายุประมาณ 38-39 ปี เป็นผู้ชายรูปร่างสูงและบึกบึน ผิวสองสี ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มได้รูป ตาโต ขนตายาว จมูกโด่งเหมือนฝรั่ง จัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูดี อืม..ผมเห็นครั้งแรกก็ประทับใจนะ รูปร่างหน้าตาแกเหมาะที่จะเป็นทหารจริงๆ พ่อผมนั่งที่โต๊ะแล้วบอกว่า “นี่พวกเรา วันนี้มีของมาฝากว่ะ” พ่อหยิบขวด vodka ขึ้นมาพร้อมเครื่องดื่มมะนาวโซดา พ่อบอกว่ากลุ่มนี้ชอบดื่มมากแต่ดื่มกันทีไรเมาหัวทิ่มหัวตำทุกที พ่อเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนไปเล่นดนตรีกันเคยดื่ม vodka จนเมาถึงขั้นพังเวทีดนตรีเลย แน่นอนครับด้วยความที่ผมเด็กที่สุดในนี้ก็เลยมีหน้าที่ชงให้พวกผู้ใหญ่ไปตามระเบียบ
ดื่มกันได้สักพัก พ่อผมพูดกับอาภาคย์ว่า “ภาคย์ ปีนี้ลูกพี่ก็จะจบ ม.3 แล้วว่ะ มันยังไม่รู้เลยว่าอนาคตอยากเป็นอะไร ตัวพี่เองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไร พี่ว่าภาคย์พูดเก่งก็เลยอยากให้เราจุดประกายให้มันน่ะ” อาภาคย์ทำตาโต “อะไรพี่โจ้ ผมนี่นะ พูดตรงๆนะครับ ชีวิตผมยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย นี่จะสี่สิบแล้วงานราชการก็แย่ ธุรกิจส่วนตัวก็ยังเดี้ยง อย่าให้เจ้ามิกซ์มันฟังเลยครับ” พ่อผมเอามือทั้งสองข้างวางบนไหล่อาภาคย์แล้วพูดว่า“เอาเถอะน่า ชีวิตแบบนี้แหล่ะที่ทำให้คนเราเข้มแข็ง พี่รู้ว่าสักวันเอ็งต้องสำเร็จ คนเก่งคนขยันมันไม่มีทรุดหรอกโว้ย เชื่อพี่” อาภาคย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แกพูดกับผมว่า “เอ็งมีเวลาเยอะไหมล่ะ เรื่องของอายาวนะ จะฟังตั้งแต่ตอนไหนล่ะ มีเวลาเยอะรึป่าว” ผมตอบไปว่า “ผมมีเวลาทั้งคืนครับคุณอา คืนนี้พ่อให้ค้างที่นี่” อาภาคย์หัวเราะ เพื่อนของพ่อบอกว่าให้เล่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาเลยแล้วกัน เพราะไม่เคยฟังจากอาภาคย์เลย “การจะเป็นทหารมันไม่ใช่จะเป็นเพราะเท่ห์หรือตามใจใครหรอกนะ มันต้องอยากเป็นเพราะใจอยากให้เป็น ขอบอกก่อนว่าอาไม่ใช่คนเพอร์เฟ็ค ออกไปทางล้มเหลวด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่จะบอกก็คือคนเรานั้นความสุขมันไม่ได้เกิดจากใคร ไม่ได้เกิดจากยศถาบรรดาศักดิ์รวมถึงไม่ได้เกิดจากเงินทอง แต่มันเกิดมาจากความรู้สึกจากใจ สิ่งที่จะเล่ามันมีทั้งสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดี ขอให้มิกซ์จดจำในสิ่งทีดีนะ ส่วนสิ่งที่แย่ฟังเอาไว้เป็นอุทธาหรณ์” อาภาคย์พูดกับผมยืดยาว แค่ฟังแกพูดแค่นี้ เหมือนมีสิ่งดึงดูดให้ผมอยากจะฟังเรื่องเล่าของแกเหลือเกิน “โอเค งั้นมิกซ์ ทำหน้าที่ชงเหล้าให้ดี ต่อไปนี้ นาวาตรีภาคย์ จะขอเล่าอัตชีวประวัติที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ให้กัลยาณมิตรในที่ฟัง เอ้าเชิด........”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ