หวงรักประกาศิตลับ
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 21.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) หวงรักประกาศิตลับ ตอนที่ 2 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงซึ่งพอฤทัยใช้ความคิดอย่างหนัก มองปัญหาในหลายแง่มุมสุดท้ายเธอจึงเลือกตัดความลำบากใจที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองออกไปแล้วลองคิดในมุมของสมาชิกครอบครัวสิริสกุล
ความจริงแล้วพิลาสินีเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อและแม่ของเธอรับเป็นบุตรบุญธรรมในช่วงหลายปีแรกของชีวิตคู่ ซึ่งเกือบถอดใจว่าคงไม่มีทายาทร่วมกัน แต่ห้าปีเศษต่อมาแม่ก็ตั้งท้องเธอทั้งยังเป็นที่มาของชื่อจริง ซึ่งนำมาด้วยความรัก ความปลื้มอกปลื้มใจ
แต่หลังจากที่แม่คลอดพราวพุธ สุขภาพก็ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร หลายต่อหลายครั้งที่ท่านเกลี้ยกล่อมให้เพกาเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ด้วยกัน แต่ด้วยความที่เพกาเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว ถึงแม้จะให้กำเนิดพิชชุดาแล้วแต่ก็ยังปฏิเสธที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่เรื่อยมา กระทั่งแม่ของเธอจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพกาจึงได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ครอบครัวสิริสกุลจึงเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอวลไปด้วยความรักและความเข้าใจ
พิลาสินี พอฤทัย พราวพุธ พิชชุดา ยังเป็นชื่อที่แม่ของเธอตั้งใจตั้งให้ลูกๆ ทุกคนด้วยความรัก แม้จะรู้ว่าพิลาสินีไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ไม่เคยมีใครคิดเป็นอื่นเช่นนั้น ทุกคนยังให้ความเคารพ รักใคร่ในตัวพี่สาวคนโตเสมอมา แล้วในวันนี้ที่ธุรกิจของครอบครัวกำลังพบวิกฤตครั้งใหญ่หลวง พิลาสินียังจะรับผิดชอบแบกรับเอาภาระอันหนักอึ้งไว้เพียงผู้เดียว
เธอซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของสิริสกุลจะนิ่งดูดาย มองเห็นพี่สาวต้องจมอยู่กับความอดสูใจที่ต้องกลายไปเป็นผู้หญิงของมหาเศรษฐีผู้มีท่าทีเฉยเมยต่อความรักอย่างลินเนอุส คอนราดสัน ได้อย่างไร?
เหตุผลทั้งหมดนั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอกล้าพอจะต่อสายถึงดอนญ่าเวนโตล่า ทั้งยังไม่ต้องอดทนรอสายอยู่ถึงครึ่งนาที เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นที่ปลายสาย
“สวัสดีจ้ะหนูพรีม” โลล่า ถามและรู้ได้จากเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์บนหน้าจอ
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ โลล่า... หนูไม่โทรมารบกวนเวลาอาหารเช้านะคะ” ถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“ความจริงฉันทานมื้อเช้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง แต่วันนี้ใจจดใจจ่อรอโทรศัพท์เธอ ฉันเลยเพิ่งทานมื้อเช้าเรียบร้อยไปเมื่อกี้นี้”
น้ำเสียงของโลล่าสดใสเจือไว้ด้วยความดีใจจนเธอรู้สึกได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ตั้งใจจะพูดนั้นยากยิ่งแม้จะสูดลมหายใจเข้าลึก เรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วสุดท้ายก็ยังมีอาการเหมือนคนน้ำท่วมปาก
แน่นอนว่าสตรีสูงวัยซึ่งอยู่ปลายสายซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาตลอดชีวิต รับรู้ได้ถึงความลำบากใจนั้นเป็นอย่างดี จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเสียเอง
“ฉันรู้ว่าเธอจะทำให้ฉันสมหวังใช่ไหม” โลล่าถามพลางยิ้มกว้าง ยกมือทาบอกด้วยความดีใจ
“ค่ะ... คือหนู เอ่อ...”
“ฉันเข้าใจ เธอไม่ต้องอธิบายอะไรเพราะทุกอย่างที่ฉันพูดไปเมื่อวานนี้ได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เธอแค่ทำใจให้สบายแล้วอีกสักชั่วโมง คาร์เมนจะไปรับเธอที่อพาร์ตเมนต์เอง” โลล่าบอกและตัดสินใจไม่ผิดเลยที่สั่งให้เลขานุการส่วนตัวรออยู่ที่ฟิลาเดลเฟียเสียก่อน
พอฤทัยได้แต่พยักหน้ารับแม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่เธอก็รู้ดีว่าความเงียบก็ไม่ต่างจากการตอบรับ ทว่าตอนนี้กลับมีอีกเรื่องที่สำคัญมากกว่า
“โลล่าคะ หนูมีเรื่องขอร้องค่ะ” พอฤทัยเอ่ยเลียบเคียง
“ถ้าหมายถึงเรื่องที่จะให้ฉันช่วยเหลือสิริแอทเซทล่ะก็ ไม่ต้องห่วง วางสายจากเธอแล้วฉันจะสั่งให้คนเข้าไปดูแลธุรกิจของครอบครัวเธอในทันที จะช่วยเหลือดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย เข้าที่เข้าทางจนสิริแอทเซทกลับมามั่นคงอีกครั้ง” โลล่าเข้าใจว่ามันเป็นการยากไม่น้อยที่จะให้พอฤทัยพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง “คำสัญญาจากฉันแบบนี้พอที่จะทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม มีเรื่องหนักใจอะไรอีกก็พูดกับฉันตรงๆได้เลย เธอก็เหมือนลูกสาวของฉันนะ หนูพรีม”
พอฤทัยยิ้มรับกับความเมตตานั้นแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด น้ำตาร้อนๆ จึงไหลลงจากสองตาจนต้องรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดน้ำตาออกมาจากแก้ม
“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ โลล่า...” แม้จะพยายามปรับเสียงแล้วแต่ยังฟังดูแปร่งๆ จนปลายสายรับรู้ได้ว่าเธอกำลังร้องไห้
“อย่าร้องไห้เลยนะหนูพรีม... ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดี เธอกำลังรู้สึกว่าตัวเองยอมแลกศักดิ์ศรีเพื่อประคับประคองสถานการณ์ของครอบครัว ไม่ต่างจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจของฉันหรอก” โลล่าปลอบใจและเปรียบเทียบให้ผู้ที่อ่อนประสบการณ์ชีวิตกว่าได้ฟัง “ฉันเอ็นดูเธอเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง รู้ว่าเธอมีความกตัญญูแต่กลับใช้ความรู้สึกดีๆของเธอบีบบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรนัก แต่สุดท้ายมันคือทางเลือกเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้”
“คุณไม่ได้บีบบังคับหนูหรอกค่ะ เรามีข้อตกลงร่วมกันต่างหาก” พอฤทัยแก้ไขความจริงอันขื่นใจ
“บีบบังคับกับมีทางให้เดินแค่ทางเดียว มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะหนูพรีม เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งเธอและฉันต่างก็ทำเพื่อครอบครัวอันเป็นที่รัก ฉันไม่อยากให้เธอเครียดจนกลายเป็นความกลัดกลุ้มใจ มันจะทำให้ความสดใสที่ผู้คนสัมผัสได้จากตัวเธอ รับรู้ได้จากดวงตาของเธอเลือนหายไปหมด ทำใจให้สบายนะหนูพรีม เรื่องยุ่งยากทุกอย่างปล่อยให้ฉันเป็นคนจัดการ” โลล่าสรุปพลางส่งสัญญาณให้หัวหน้าแม่บ้านติดต่อเลขานุการส่วนตัว
“ถ้าเอ่อ... ถ้าเรื่องคืนนี้ผ่านไปแต่หนูไม่ได้มีทายาทของเด มาร์คอส อยู่ล่ะคะ” ความสงสัยที่ผุดขึ้นอีกหนึ่งข้อ ผลักดันให้พอฤทัยถามออกไปในทันที
ใช่ว่าโลล่าจะไม่คิดถึงข้อนี้ แต่เพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีการป้องกันแม้จะเพียงแค่ครั้งเดียวโอกาสที่ฝ่ายหญิงจะตั้งครรภ์ก็มีสูงถึงแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็คงจะต้องแล้วแต่โชคชะตา ซึ่งโลล่าคิดว่าจุดประสงค์อันดีของเธอจะทำให้อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนี้เกิดทายาทของเด มาร์คอส อย่างแน่นอนแต่มันไร้ประโยชน์ที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้กับพอฤทัยได้รับรู้ เธอเปราะบางจนเกินไป
“เชื่อฉันเถอะหนูพรีม เธอคือดอนญ่าเด มาร์คอส” โลล่าบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยลาเพื่อสั่งการให้เลขานุการส่วนตัวดำเนินการในสิ่งที่ตระเตรียมต่อไป ที่สำคัญยังต้องจัดการเรื่องสิริแอทเซทที่เพิ่งรับปากไปเมื่อครู่ให้สัมฤทธิ์ผล
พอฤทัยลดโทรศัพท์เครื่องบางลงจากข้างหู แม้ไม่รู้ว่าจากนี้ต่อไปจะเกิดเรื่องร้ายหรือดีแต่เธอก็เลือกแล้วว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ครอบครัวได้พ้นจากวิกฤต ตลอดมาพี่สาวเธอไม่ได้มีความสุขในชีวิตคู่นัก แม้ว่าตอนนี้จะหย่าร้างกันแล้ว เธอก็อยากให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม ไม่ต้องไปแบกรับภาระที่หนักอึ้งไว้เพียงคนเดียว
หญิงสาวยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม ปล่อยความคิดไปไกลลิบลิ่วจนรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงดวงตาสีเขียวหม่น ความยิ่งยโสในตัวของเขากำลังข่มขวัญเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดว่าเขาจะโมโหโทโสสักเพียงใด หากรู้ว่าเธอกำลังร่วมมือกับโลล่าทำลายอิสรภาพที่เขาหวงแหนมาสามสิบห้าปีเต็ม
เธอกับลูกจะเป็นอย่างไร เขาจะยอมรับแต่โดยดีหรือให้เธอคลอดลูกแล้วเฉดหัวทิ้ง เก็บไว้เพียงทายาทเด มาร์คอส ที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิด?
พอฤทัยไม่รู้ว่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปพร้อมกับความคิดเลื่อนเปื้อนนานสักเท่าใด จนเสียงกริ่งที่ดังขึ้นทำให้สะดุ้งสุดตัว เหลือบสายตามองไปยังต้นกำเนิดของเสียง
“ดิฉันคาร์เมนค่ะ”
เสียงที่ดังผ่านอินเตอร์คอมเข้ามาในห้อง ทำให้พอฤทัยผุดลุกขึ้นจากโซฟาไปเปิดประตูห้องซึ่งมีร่างของคาร์เมนยืนรอพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร
คาร์เมนสำรวจเสื้อผ้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่ได้เห็นการกวาดสายตามองให้ต้องระคายอารมณ์เสียด้วยซ้ำ “โอ... ดิฉันขอโทษที่มาก่อนเวลาไปสิบนาที”
พอฤทัยส่ายหน้าพร้อมก้าวถอยหลัง เปิดทางให้เลขานุการวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้อง “เชิญเข้ามาข้างในก่อนค่ะ ฉันเองต่างหากที่ไม่ทันได้ดูเวลาเลย ขอโทษนะคะคาร์เมน”
คาร์เมนยิ้มกว้างนึกชอบใจกับกิริยามารยาทอันอ่อนน้อมถ่อมตนของหญิงสาวตรงหน้านี้เหลือเกิน เธอผายมือเชื้อเชิญให้นั่งบนโซฟาตัวเดี่ยวและเดินเลี่ยงไปยังเคาน์เตอร์ครัวขนาดย่อม หยิบจับข้าวของอย่างเบามือแต่กลับดูคล่องแคล่วจนผู้หญิงด้วยกันยังอดที่จะมองตามไม่ได้
“อย่าลำบากเลยนะคะ ความจริงดิฉันเรียบร้อยมาทุกอย่างแล้วทั้งอาหารเช้าและกาแฟ” คำพูดของเธอทำให้หญิงสาวชะงักมือชั่วครู่และเอื้อมไปหยิบซองชาสำเร็จรูปหย่อนลงในแก้วกระเบื้อง ไม่นานนักก็เดินกลับมาวางถ้วยชาหอมกรุ่นไว้ตรงโต๊ะเตี้ยเข้าชุดกับโซฟา
“รอสักครู่นะคะ ฉันขอจัดการตัวเองแป๊บเดียว ไม่นานหรอกค่ะ” พอฤทัยบอกขณะที่เดินไม่ยังห้องนอนของตนแต่คำถามของคาร์เมนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คุณยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหมคะ แล้วถ้าดิฉันเดาไม่ผิดก็คงจะหลับไม่เต็มอิ่มด้วย” คาร์เมนทำงานกับดอนญ่าเวนโตล่า มานานจึงซึมซับเอาความเป็นคนช่างสังเกตมาไม่น้อย “ถ้าดอนญ่าเวนโตล่า รับปากว่าจะทำเรื่องใดแล้ว ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหนทุกเรื่องก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีค่ะ คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ”
“ค่ะ” พอฤทัยรับคำพร้อมด้วยรอยยิ้มเนือยๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องจัดการกับตัวเองด้วยความรีบร้อน ในขณะที่ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้ได้
อันที่จริงแล้วเธอรู้ว่าโลล่าต้องจัดการเรื่องสิริแอทเซทตามที่รับปากเอาไว้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าที่ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย อาการเจ็บป่วยของผู้เป็นพ่อก็ยังเป็นเรื่องหนักใจผสมรวมเข้ากับความวิตกในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ ความหนักใจที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พอฤทัยรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังทิ้งน้ำหนักไว้ให้เธอแบกรับ
...ไม่นานนักพอฤทัยก็เดินออกมาจากห้องอีกครั้งด้วยเสื้อถักไหมพรมสีเขียวเข้มกับกางเกงสกินนี่สีดำ รวบผมลวกๆไว้กลางกระหม่อม ยิ่งทำให้เห็นโครงหน้าอ่อนเยาว์ได้อย่างชัดเจน จริงอยู่ว่าทรวดทรงของหญิงสาวตรงหน้าจะมีส่วนเว้าส่วนโค้งซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อตัวโคร่ง
แต่เมื่อเทียบรูปร่างอ้อนแอ้นกับผู้หญิงที่ผ่านมาของดอนเซเลสตร้าแล้ว คาร์เมนก็ต้องลอบถอนหายใจเพราะไม่อยากจะคิดว่าดอนเซเลสตร้าจะเบามือกับหญิงสาวแสนบอบบางคนนี้สักเท่าไหร่
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ” คาร์เมนละทิ้งความคิดของตัวเองชั่วครู่เมื่อเห็นหญิงสาวเดินมาหยุดตรงหน้า
“ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” ตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมาคล้องหัวไหล่ เดินนำหน้าไปเปิดประตูห้องตามมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี หลังจากนั้นคาร์เมนจึงเป็นฝ่ายเดินนำหน้าไปยังคาดิลแลคสุดหรูที่จอดรออยู่หน้าอพาร์ตเมนต์
ดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์
ภายในห้องทำงานใหญ่ของประธานบริหารดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ คอร์เปอร์เรชั่น ยังเต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนินที่เซเลสตร้าต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนงานเลี้ยงนักศึกษาทุนมูลนิธิ เด มาร์คอส จะเริ่มขึ้นในคืนนี้ อันที่จริงแล้วเขาเบื่อหน่ายกับการกล่าวสุนทรพจน์ เอือมระอากับสายตานับพันคู่ที่จ้องมองมาไม่ต่างจากเขาเป็นพ่อพระใจบุญ
ทุกสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น จริงอยู่ว่าทุนมูลนิธิเด มาร์คอส จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของนักศึกษาเรียนดีแต่ยากจน แม้ข้อผูกมัดที่ต้องทำงานในดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ หนึ่งปีเต็มนั่นก็เป็นเหมือนผลประโยชน์หลักในเมล็ดพันธุ์ที่ได้ให้น้ำให้อาหารมาตลอดเวลาที่เล่าเรียน
บุคลากรในดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ จะมีแต่ระดับอัจฉริยะไปจนถึงหัวกะทิที่มีผลการเรียนเป็นเลิศกระจายอยู่ในมหาวิทยาลัยมากกว่าห้าสิบมหาวิทยาลัย แม้ผลการเรียนดีเลิศนั้นจะไม่ได้การันตีว่าพวกเขาจะออกมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามเป้าหมายหลักขององค์กร แต่มันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเปิดสัมภาษณ์เลือกบุคคลเข้าทำงานตามปกติที่ไม่เคยรู้ว่าดี.เอ็ม เทเลลิ้งก์ มีวัตถุประสงค์ที่จะเชื่อมโยงระบบโทรคมนาคมของโลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร
“ดอนคะ เลยเวลาอาหารกลางวันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ดอนจะให้ดิฉันสั่งอาหารขึ้นมาให้เลยไหมคะ” เลขานุการหน้าห้องกดอินเตอร์คอมเข้ามาถามเป็นครั้งที่สอง
“อือ... สั่งขึ้นมาเลยก็ได้” เซเลสตร้าตอบโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า
หลายคนมักบอกว่าเขาเป็นคนจำพวกสุดโต่ง ทำงานหามรุ่งหามค่ำใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วง ไม่รู้จักจัดสรรเวลาให้ลงตัวแต่ในขณะเดียวกันหากเสร็จจากเมกะโปรเจกต์สักชิ้น เขาก็จะใช้เวลาพักผ่อนราวครึ่งเดือนที่ไม่ต้องรับโทรศัพท์ ข้อมูลข่าวสารธุรกิจเลยสักนิด
หากจะหาเวลาเช่นนั้นไม่ได้บ่อยเท่าที่ควร เพราะดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ กำลังอยู่ในช่วงขยายตลาดสู่ทวีปเอเชีย อีกทั้งตอนนี้การเมืองในอาร์เจนตินาก็เปราะบางนัก เพราะเป็นช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งซึ่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนได้เข้ามานั่งบริหารประเทศก็จะมีผลต่อสัญญาสัมปทานระบบโทรคมนาคมทั้งนั้น
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมคนสนิททั้งสองที่เดินเข้ามา โจม่าถือถาดอาหารกลางวันเข้ามาวางไว้บนโต๊ะอเนกประสงค์หน้ามินิบาร์ ส่วนฮาเวียร์ถือกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน
“หน้ากากของดอนครับ” ฮาเวียร์รายงานพร้อมกับเปิดกล่องกำมะหยี่ โชว์ให้เจ้านายได้เห็นหน้ากากที่จะใช้ในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้
ฝ่ามือหนาเอื้อมไปหยิบหน้ากากสีเมลทัลลิกซึ่งเป็นสีเดียวกันกับสูทที่เขาจะใช้ในงานเต้นรำคืนนี้ ปลายนิ้วสะอาดไล่ไปตามขอบของหน้ากากอันไร้ซึ่งลวดลาย มีเพียงแค่ความเว้าซึ่งข้างหนึ่งอยู่ในระดับจมูก อีกข้างหนึ่งต่ำลงมาสักหนึ่งนิ้วกระมังที่ทำให้มันดูลึกลับ น่าค้นหามากขึ้น
“ทำไมคราวนี้ดอนถึงได้กำหนดเป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากากล่ะครับ” โจม่าผู้ไม่เคยเก็บความสงสัยไว้กับตัวเองเลยสักครั้ง ถามขึ้นหลังจากที่เดินมายืนข้างคู่หู
“แค่อยากรู้ว่าถ้าไม่ได้เห็นสีหน้าของผู้คนที่มองมาอย่างเทิดทูนบูชาฉันแล้ว มันจะทำให้งานเลี้ยงน่าเบื่อนี่สนุกขึ้นมาบ้างรึเปล่าน่ะสิ” ตอบพร้อมกับทาบหน้ากากไว้บนใบหน้าของตน
คำตอบที่หลุดออกจากปากของเจ้านายทำให้คนสนิททั้งสองหันหน้าไปสบสายตากันอยู่ชั่วครู่ เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมเจ้านายถึงสั่งให้เตรียมสูทไว้สองชุด แต่ก่อนที่ความคิดจะล่องลอยไปไกลกว่านั้น ฮาเวียร์ก็ใช้ข้อศอกสะกิดคู่หูเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินไปยังโต๊ะอเนกประสงค์หน้ามินิบาร์
โจม่าจึงรีบเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ขวดสีเขียวมาวางไว้ข้างมือเจ้านาย “คราวนี้ดอนน่าจะสนุกนะครับเพราะอย่างน้อยคราวนี้สาวเนิร์ดกับหนุ่มเนิร์ดคงไม่ต้องไว้ท่าเหมือนเดิม เพราะต่างคนต่างสวมหน้ากากคงจะปลดปล่อยได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวจะเสียภาพพจน์ นอกเสียจากว่าจะตั้งใจบอกให้คนอื่นรู้”
โจม่ารายงานจากที่ไปสำรวจความเรียบร้อยในห้องบอลรูม ถัดจากชั้นผู้บริหารนี้ลงไปอีกห้าชั้นซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในทุกๆ ปี
“ฉันก็หวังว่าจะไม่ได้เห็นหนุ่มสาวคงแก่เรียน สวมแว่นหนาเตอะ ขนาดเต้นรำก็ยังเหยียบเท้ากันให้วุ่นวาย”
คำเปรยของเจ้านายทำให้โจม่ายิ้มกว้าง เพราะเป็นภาพชินตาของนักศึกษาที่เข้ารับทุนมูลนิธิเด มาร์คอส ปีแรกซึ่งยังไม่รู้ว่าการเต้นรำโดยเฉพาะเต้นแทงโก้นั้น จะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดอนญ่าเวนโตล่า อยากให้นักศึกษาทุกคนได้ซึมซับเอาวัฒนธรรมของอาร์เจนตินาเอาไว้ การเคลื่อนไหวเก้ๆ กังๆ จนเหยียบเท้าคู่เต้นรำจึงมีให้ได้เห็นจนชินตากับนักเรียนทุนปีแรก
หากจะมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้อีกครั้งเมื่อสำเร็จการศึกษาเท่านั้น ระหว่างนั้นนักศึกษาเกือบทุกคนจึงจะรวมตัวกันฝึกซ้อมการเต้นรำในจังหวะต่างๆ มาเป็นอย่างดี บางคนถึงขั้นหลงใหลกลายเป็นนักลีลาศไปหลายต่อหลายคนนัก บางคนยึดถือเป็นอาชีพซึ่งสามารถทำรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ
The Masquerade Ball ที่กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ถือเป็นงานบอลสวมหน้ากากครั้งแรกที่มูลนิธิเด มาร์คอส จัดขึ้น แม้คนภายนอกจะไม่เคยได้ล่วงรู้ถึงเหตุผลของงานรื่นเริงนี้ว่า... มันเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของเจ้าของมูลนิธิที่คิดหาวิธีขจัดความน่าเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นตลอดเวลาสามสี่ชั่วโมงของงานเลี้ยงเท่านั้นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ