ปลูกรักในรั้วใจ
10.0
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
39 ตอน
0 วิจารณ์
38.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) ตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_2)
อีกสองวันก็จะถึงงานสำคัญ ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวค่อยมีเวลาพักหายใจหน่อยเพราะทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว บ้านทวีกิจไพศาลก็เริ่มคึกคักเมื่อญาติ ๆ บางส่วนเดินทางมาพักที่บ้านเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานมงคล ถึงงานเช้าจะไม่ได้จัดที่นี่ แต่เจ้าบ้านอย่างคุณลำเภาก็อดไม่ได้ที่จะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานสารพัดอย่างเพื่อต้อนรับลูก ๆ หลาน ๆ เทียมภพกลับมานั่งดวลคออยู่กับพวกพี่น้องหลังจากช่วยรมย์นลินย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าหอเสร็จ แทนดาวเพิ่งจะไปรับชุดเพื่อนเจ้าสาววันนี้สด ๆ ร้อน ๆ ก็เห่อออกหน้าออกตา ลองแล้วลองอีกอยู่กับลูกผู้น้อง
“ขวัญไม่ชอบกระโปรงยาว ทำไมต้องสวมยาว ๆ ด้วยล่ะ เกะกะก็เท่านั้น” แทนขวัญลูกผู้น้องพลิกชุดราตรีที่พี่สาวเลือกให้แล้วก็วางมันลงบนเตียงอย่างเดิม น้ำเสียงบ่งบอกความไม่ถูกใจ
“แบบสั้นเอาไว้ใส่งานกลางวัน นี่...พี่จะเดินไปบ้านโน้น ไปยืมเข็มกลัดสวย ๆ ที่พี่ผึ้งสักอัน น้องขวัญจะไปไหม”
“พี่พลูไปเถอะ ขวัญจะไปลองกล้อง” แทนขวัญตอบเหนื่อย ๆ แล้วฉวยเอากล้องถ่ายรูปที่เพิ่งซื้อมาไม่กี่วันก่อนมาจับเล่น กดปุ่มต่าง ๆ หมุนเลนส์ไปมาอย่างคนเห่อของใหม่
ปลายเดือนกำลังพับเสื้อผ้าและจัดของจำเป็นส่วนที่เหลือลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่กางอ้าบนเตียง มีอีกใบที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ววางอยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนกว้างดูโล่งตาขึ้นเป็นกองเมื่อข้าวของบางส่วนถูกเก็บลงกระเป๋า กำหนดวันเดินทางจะมาถึงหลังเสร็จงานแต่งไปอีกสามวัน
แทนดาวเคาะประตูสองครั้งแล้วเปิดเข้ามา แวบแรกที่เห็นพี่สาวจัดข้าวของก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ สองปีอาจจะไม่ยาวนาน แต่ด้วยความรักและผูกพันก็ย่อมต้องคิดถึงกันมากเป็นธรรมดา หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ กระเป๋าเดินทางแล้วเริ่มพูดเสียงละห้อย
“น้องพลูคงคิดถึงพี่ผึ้งมากแน่ ๆ ไม่มีใครทำผม แต่งหน้าแต่งตัว เป็นเพื่อนช้อปปิ้งไปอีกตั้งสองปี”
“ก็คุณแฟงไง อีกไม่กี่วันเธอก็จะมาเป็นพี่สะใภ้เราแล้วนะ”
“พี่แฟงก็ต้องดูแลพี่หมาก จะมาดูแลน้องพลูได้ไง”
แทนดาวกระเถิบเข้าไปใกล้อีก ปลายเดือนวางกิจกรรมในมือมาลูบผมน้องแผ่วเบา ถึงจะมีช่วงเวลาที่ไม่ลงรอยกันทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องไม่ค่อยจะดีในตอนแรก แต่ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้วปลายเดือนถึงรู้ว่าตนเองรักน้องสาวคนนี้มากเพียงใด
“ในระหว่างที่พี่ไม่อยู่ น้องพลูช่วยดูแลคุณย่า พ่อกับแม่ของพี่ด้วยนะ โทรไปคุยกับพี่บ้าง แล้วถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมกันมั่งนะ พี่ก็คงจะคิดถึงเรามากเหมือนกัน”
“ค่ะ...พลูจะทำหน้าที่แทนพี่ผึ้ง แล้ววันรับปริญญา...พี่ผึ้งจะมาได้ไหม”
“พี่ยังให้คำตอบไม่ได้หรอกนะ แต่ที่แน่ ๆ งานแต่งของน้องพลูกับคุณชล พี่ต้องกลับมาแน่นอน อย่าลืมส่งข่าวแต่เนิ่น ๆ นะ”
แทนดาวโผเข้ากอดเอวพี่สาวด้วยใจเปี่ยมสุขถึงความรักและปรารถนาดีที่พี่สาวคนนี้มอบให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากคู่ที่ไม่ถูกกันถึงขั้นเกือบตัดญาติขาดมิตรจะมีวันที่กลับมารักใคร่กลมเกลียว จนเสียงประตูแง้มปลุกให้สองพี่น้องหันหน้าไปมองผู้มาใหม่ พี่ชายคนโตเดินยิ้มเผล่เข้ามา เทียมภพเดินตามหาน้องสาวคนเล็กไปทั่วบ้านจนแทนขวัญบอกว่ามาอยู่ที่นี่ พอเห็นว่าสองสาวกำลังกอดกันกลมก็อดปลื้มใจไม่ได้
“แอบมากอดกันอยู่สองคน ไม่เห็นชวนพี่มั่งไงสีผึ้ง...เก็บของอยู่เหรอ”
เทียมภพมาหยุดยืนตรงหน้าทั้งคู่แล้วกวาดตามองข้าวของที่วางกองกันอยู่บนเตียงก่อนจะแทรกตัวลงนั่งระหว่างกลาง เขากอดน้องสาวเอาไว้คนละข้างด้วยความรักเปี่ยมล้น มิรู้เหน็ดเหนื่อยที่ได้ทุ่มเทกายใจดูแลทั้งสองคนให้มีชีวิตที่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่น้อง ๆ ต้องการ เขาไม่เคยรีรอที่จะไปเสาะหามาให้ สองสาวต่างตื้นตันที่มีพี่ชายเป็นเทียมภพคนนี้
“พี่มีน้องสาวสองคน คนนึงทั้งสวย ทั้งเก่ง งานการอะไรทำได้ดีเยี่ยม...ไว้วางใจได้เลย ส่วนอีกคนก็เป็นเด็กดี น่ารักสดใส ใครอยู่ด้วยก็สุขกายสุขใจ ผู้ชายทั้งโลกนี้...จะมีใครน่าอิจฉาเท่าพี่กันล่ะ” เนื้อเสียงประกาศความภาคภูมิเหลือล้น
“เอาไว้จบเรื่องงานก่อน แล้วอีกสักพักพี่จะไปหานะ อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศกำลังดี”
“ดีค่ะ เดี๋ยวผึ้งจะพาเที่ยวเอง”
“นี่น้องพลู...พี่ตั้มถามหาแน่ะ ตาเต็งหนึ่งก็ร้องเรียกแต่อาพลู ๆ ”
เขาหันมาบอกน้องสาวคนเล็กที่รีบลุกออกไปอย่างว่าง่าย เข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างจะคุยกับพี่สาวเป็นการส่วนตัว พอน้องคนเล็กออกไปแล้วก็หันมาพูดกับน้องคนรองต่อด้วยท่าทีสงบ
“สีผึ้ง...ใจจริงแล้วพี่ไม่ได้อยากให้เราไปหรอกนะ แต่ถ้าเรายืนยันว่าต้องการไปเรียนต่อ...พี่ก็ไม่ห้าม แต่ถ้าไปด้วยเหตุผลอย่างอื่นก็อยากบอกว่า...การหลบหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี”
“พี่หมาก...” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหล่อด้วยน้ำใส
“แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้ว...ก็จงทำมันให้ดี พี่เชื่อว่าเราทำได้ รู้ไหม...ปลายเดือนมีความหมายว่าอะไร” เขาถามเสียงอบอุ่น หญิงสาวส่ายหน้าระคนความอยากรู้
“ตอนอารินท้อง คุณย่ารู้ว่าได้หลานผู้หญิงก็เลยจะตั้งชื่อเตรียมไว้ ตอนนั้นพี่ยังเด็ก...พอคุณย่าถามว่าอยากให้น้องชื่ออะไร พี่ก็ชี้ไปพระจันทร์เต็มดวงสว่างจ้าในคืนนั้น แล้วบอกว่า...ชื่อเดือนหงาย” เทียมภพหยุดขำ คนฟังหัวเราะตาม
“ท่านก็ว่า...ผู้หญิงอะไรชื่อคว่ำ ๆ หงาย ๆ มันฟังไม่เพราะ ก็เลยเปลี่ยนเป็นปลายเดือน ความหมายคือ....ดวงจันทร์ส่องสว่างตรงสุดปลายฟ้า สีผึ้ง...ถึงบางครั้งเราจะคิดว่าตัวเองอยู่ในมุมมืดลับสายตา แต่พระจันทร์ตรงปลายฟ้าก็ส่องสว่าง โดดเด่น”
“ผึ้งรักพี่หมากนะคะ” ปลายเดือนกราบแทบอกพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความตื้นตัน
“พี่รู้...พี่เองก็อยากให้เรามีความรักที่สมบูรณ์เสียที” เทียมภพเกริ่นนำเข้าเรื่องที่ต้องการบอกน้อง ปลายเดือนเข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องการพูดเรื่องอะไรต่อ
“คนที่เราคิดว่าเพียบพร้อมแต่จริง ๆ แล้วอาจจะบกพร่องหลายอย่าง กลับกัน...คนที่ดูว่าขาด ก็อาจจะมีครบทุกอย่าง สีผึ้ง...พี่อยากให้เราเปลี่ยนมุมมองในการเลือกคบคนเสียใหม่ รูปลักษณ์ภายนอก สังคม ชาติตระกูล ล้วนเป็นเปลือกห่อหุ้ม เราอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ต่างจากคนอื่น ความ ‘เท่าเทียม’ หรือ ‘เสมอกัน’ เขาวัดกันที่คุณธรรม ความคิด การกระทำ ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตหรือนามสกุลดัง ๆ....”
“ดูอย่างเราสิ...ผึ้งกำลังจะมีพี่สะใภ้เป็นลูกกำพร้า เธอเติบโตมาโดยการอุปการะจากคนอื่น แต่พี่ไม่เคยสนใจชาติกำเนิดเชื้อสายอะไรนั่น จิตใจและการกระทำของเธอสูงส่งกว่าลูกคุณหญิงคุณนายบางคนเสียอีก ผึ้งลองเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิดนึง แล้วก็จะมองเห็นคนที่รักและพร้อมจะดูแลน้องพี่ด้วยความรักจากใจจริง”
เทียมภพลูบแก้มน้องสาวแผ่วเบา เขาไม่อาจเดาว่าคนฟังจะมีความเห็นประการใดด้วยรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ค่อนข้างถือตัวและ ‘หยิ่ง’ ในสายเลือดมาก ปลายเดือนมักเลือกที่จะคบคนที่เสมอด้วย ยศ ศักดิ์ ฐานันดร สังคม มากกว่าจะที่มองลึกลงไปในจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพบกับผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเปลือกเคลือบที่ดูหรูหราสง่างามแต่เพียงภายนอก
งานมงคลสมรสระหว่างเทียมภพกับรมย์นลินจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกสมฐานะ พิธีการตอนเช้าทั้งหมดจัดขึ้นที่บ้านธาราพิศุทธิ์ตามความประสงค์ของฝ่ายเจ้าสาวที่อยากให้กระชับและเรียบง่ายที่สุด แต่กระนั้นแขกผู้ใหญ่ที่เชิญให้มาร่วมพิธีล้วนได้รับการ ‘คัดสรร’ มาแล้วทั้งสิ้น เรียกว่ามิได้น้อยหน้าใครเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ฝ่ายชายซึ่งเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธาน ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็คือคุณกระสินธุ์ คุณลุงของชลธี ท่านเป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทศรีตรังอันเก่าแก่ซึ่งครอบครองกิจการแทบจะทุกอย่างในจังหวัดตรัง เป็นนักการเมืองท้องถิ่นผู้กว้างขวางและมีอิทธิพลจนพูดได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก
สถานที่และอาหารการกินก็ใช้ออแกไนเซอร์จากธาราจัดการทั้งหมด บ้านทั้งหลังจึงดูถูกเนรมิตให้เป็นปราสาทดอกไม้สดโดยเลือกใช้สีเหลืองเป็นหลักตามรสนิยมของเจ้าสาว เริ่มตั้งแต่ซุ้มโค้งตรงประตูทางเข้าที่ดัดเป็นรูปหัวใจประดับดอกไม้สดกับผ้าแก้วผูกเป็นโบใหญ่ สนามหน้าบ้านที่ปลูกไม้ใบไม้ดอกไว้อย่างสวยงามวางร่มผ้ากับชุดเก้าอี้สนามสีเดียวกันสำหรับรับรองแขกที่มาร่วมพิธีในตอนเช้า
ขบวนขันหมากมาถึงตามฤกษ์เจ็ดนาฬิกาพอดี เสียงกลองยาวตีนำขบวนตั้งแต่ปากซอย เจ้าบ่าวนั่งเป็นสง่าอยู่บนเจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงคู่ใจที่วันนี้เปิดประทุนหราให้เจ้านายนั่งลอยหน้าลอยตา ตามติดมาด้วยขบวนสินสอดทองหมั้นและสิ่งของอื่น ๆ ครบเครื่องตามตำรา เทียมภพอยู่ในชุดไทยแบบประยุกต์ ท่อนบนเป็นเสื้อสูทสีแดงทับทิมสวมทับเสื้อกั๊กสีเดียวกัน ชั้นในสุดเป็นเสื้อเชิ้ตขาวผูกโบผ้าสีทอง ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าโจงกระเบนสีม่วงอ่อนปักแซมด้วยดิ้นทอง ทรงผมหวีปาดเรียบแปล้จนเพื่อน ๆ ต่างตั้งฉายาเรียกเจ้าบ่าวว่า ‘เจ้าคุณภพ’
ถัดจาก ‘เจ้าคุณภพ’ ก็เป็นญาติ ๆ และเฮียสี่ บ. ที่ช่วยกันถือต้นกล้วยต้นอ้อยคนละไม้ละมือ ใกล้ ๆ กันเป็นสามสาวพี่น้องคือ ปลายเดือน แทนดาว และแทนขวัญ ถือพานสินสอดเดินตามมา ทั้งสามอยู่ในชุดไทยรัชกาลที่ 5 สวมเสื้อลูกไม้แขนยาวสีทองกับผ้าซิ่นยาวแค่เข่าสีครีมทอดิ้นทองตรงชายผ้า แทนดาวยิ้มหน้าบานสุดที่วันนี้จะมีพี่สะใภ้ที่หมายตามานาน
พอขบวนเคลื่อนมาถึงกลางซอย เจ้าบ่าวก็มีอันต้องลงเดินเพราะเจอด่านประตูแรก จากนั้นก็มีประตูถัด ๆ เรียงยาวเป็นระยะถี่ไปอีกนับสิบกว่าจะถึงหน้าบ้าน เสียงต่อรองค่าผ่านทางกับเสียงหัวเราะครื้นเครงดังอึงอลสร้างความตื่นเต้นให้เจ้าสาวจนอดไม่ได้ที่จะแง้มม่านดู รมย์นลินนุ่งห่มชุดไทยสไบเฉียงปักด้วยปล้องทองเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงตลอดผืน บ่งบอกถึงความประณีตและชำนาญในเชิงช่างชั้นสูง ผ้านุ่งสีครีมสอดสลับดิ้นทองจับจีบหน้านางปักปล้องทองเฉกเดียวกับชายผ้านุ่ง เนื้อผ้าสีครีมทองขับให้เจ้าสาวแลดูผุดผ่องดุจรัศมีสีทองยามรุ่งอรุณ ใบหน้าหวานแต่งแต้มออกโทนสีทองกลมกลืนกับอาภรณ์ที่สวมใส่ ผมรวบตึงเกล้าเป็นมวยต่ำจับช่องดงาม ตรงมวยคาดด้วยมาลัยมะลิกรองละเอียด ปักแซมด้วยปิ่นทองคำแท้ที่คุณลำเภามอบให้เป็นการรับขวัญหลานสะใภ้ รับกับสายสะพายทองเส้นยาวและหัวเข็มขัดนพเก้าซึ่งคุณหลีออกแบบให้ใหม่และคิดราคาพิเศษให้โดยเฉพาะ
“ตื่นเต้นมากไหมจ๊ะ”
ชลธีเดินเข้ามาหาน้องสาวที่ยืนแอบดูขบวนขันหมากอยู่ริมหน้าต่าง หญิงสาวรีบเดินเข้ามาหาแล้วส่งสายตาบอกช่างแต่งหน้ากับเพื่อนอีกสามคนว่าขออยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วดึงมือน้องสาวให้นั่งลงข้างๆกัน
“เพลียมากกว่าค่ะ ก่อนวันงานก็ยุ่งเหยิงไปหมด แทบไม่ได้หยุดเลย”
ถึงปากจะบ่นเพลียแต่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับเสียงใส ๆ ชี้ชัดว่าเจ้าสาวตื่นเต้นขนาดไหน ชลธีมองน้องสาวด้วยสายตาปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แม่ของเขารับมาอุปการะตั้งแต่อายุได้วันเดียว วันนี้เติบโตเป็นสตรีสวยงามทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ เด็กผู้หญิงแสนอาภัพที่เกิดมาท่ามกลางความไม่พร้อมของผู้ให้กำเนิด หากมารดาเวทนาและสงสาร เขาเองก็อยากมีน้องเล็ก ๆ รมย์นลินจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และวันนี้ก็กลายเป็นเจ้าสาวแสนสวย
“ต่อไปนี้ใครจะเล่นเพลงให้พี่ฟังในวันหยุด ใครจะทำอาหารใต้รสจัด ๆ ให้กิน ใครจะคอยกวนใจพี่อีก”
“พี่ชลคะ...แฟงมีบุญวาสนาเหลือเกินที่ได้เป็นน้อง เป็นลูกของแม่ แฟงไม่เคยคิดว่าความกำพร้าหัวเดียวกระเทียมลีบเป็นปมด้อย คุณแม่กับพี่ชลเลี้ยงดูแฟงอย่างดีเกินความคาดหวังของลูกกำพร้าคนหนึ่งจะได้รับเสียอีก ชาตินี้จะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะสมควร”
ใบหน้าหวานเอนซบไหล่ผู้ที่เป็นทั้งพี่และพ่อ ความซาบซึ้งสำนึกในบุญคุณอาบเอิบอยู่ในหัวใจ ชลธีโอบไหล่น้องสาวกระชับ เขาไม่เคยคิดว่ารมย์นลินเป็นแค่เด็กในอุปการะ แต่หล่อนเป็นเสมือนน้องร่วมสายเลือด ดังนั้นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะใจหายเมื่อวันนี้มาถึง วันนี้ที่น้องสาวคนเดียวจะต้องไปเป็นของคนอื่น
“แฟงเป็นน้องที่ดี เป็นลูกที่ดี และพี่เชื่อว่าจะต้องเป็นแม่บ้านที่ดีแน่ ไอ้หมากมันโชคดีที่สุดที่ได้น้องแฟงไป ส่วนพี่...ก็โชคดีเหมือนกันที่ได้มันมาเป็นน้องเขย ไอ้หมากมันเป็นคนดี ถึงภายนอกจะดูไม่ได้เรื่อง พี่ถึงวางใจให้เราได้ใช้ชีวิตคู่กับมัน”
ชายหนุ่มพูดถึงเพื่อนรักที่กำลังตะโกนโหวกเหวกพยายามฝ่าประตูเงินประตูทองเข้ามา รมย์นลินเงยหน้ามองพี่ชาย ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตาจนคนเป็นพี่ต้องรีบกรีดให้
“อย่าร้องซี...เดี๋ยวก็หมดสวยกันพอดี”
ชายหนุ่มยื่นซองสีน้ำตาลที่ถือติดมือมาให้น้องสาว รมย์นลินรับมาเปิดดูช้า ๆ ในนั้นมีกระดาษสีขาวคล้ายจดหมายอยู่ปึกหนึ่ง หญิงสาวกวาดตาอ่านข้อความบนแผ่นแรกสุดจากนั้นก็ไล่เปิดที่เหลือดูผ่าน ๆ แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ชลเอาเอกสารพวกนี้มาให้แฟงดูทำไมคะ”
“อย่างที่พี่บอก...แฟงเป็นลูกที่ดีมาเสมอ ไม่เคยทำให้พี่กับแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ความภาคภูมิใจ นี่เป็นของขวัญวันแต่งงานที่พี่ตั้งใจมอบให้ เคียงธารา...จะเป็นของแฟง พี่ขอให้แฟงดูแลรักษามันต่อไปให้ดีเหมือนที่แม่กับพี่ทำมา”
รมย์นลินรีบสอดใบเอกสารสิทธ์ต่าง ๆ กลับเข้าซองอย่างเดิมแล้วรีบยื่นคืนให้ หล่อนไม่ควรได้รับอะไรมากไปกว่าความเมตตาที่บุคคลทั้งสองได้เลี้ยงดูมาจนได้ดิบได้ดีเพียงนี้
“แฟงไม่รับหรอกค่ะ เคียงธาราควรจะเป็นของเจ้าของที่แท้จริงโดยสายเลือด ไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างแฟง พี่ชลอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”
“แฟงจ๊ะ...สำหรับพี่กับแม่ แฟงคือสายเลือด ‘ธาราพิศุทธิ์’ ถึงเราจะใช้คนละนามสกุล ไม่ได้มีความเกี่ยวดองเป็นญาติ แต่รมย์นลิน...คือคนในครอบครัว พี่คิดดีแล้วที่ยกมรดกนี้ให้เราไปดูแลต่อ อย่างน้อย...รุ่นลูกหลานของแฟงจะได้มีเคียงธาราเอาไว้ระลึกถึง ตา ยาย ลุง ที่สร้างมันมาด้วยความรัก เด็ก ๆ จะได้รักใคร่กลมเกลียวเหมือนกับที่ครอบครัวเรารักกัน”
น้ำเสียงของชลธีช่างเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาจนทำให้รมย์นลินรู้สึกแน่นในอก ถ้าพี่ชายไว้วางใจให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลมรดกอันประเมินมูลค่าไม่ได้เช่นเคียงธาราแห่งนี้ ก็พร้อมที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลรักษามันอย่างดีที่สุดเป็นการตอบแทนพระคุณ
“แฟงจะดูแลเคียงธาราอย่างดีที่สุด จะปลูกฝังลูกหลานให้รักที่นั่นอย่างที่คุณแม่กับพี่ชลฝากความหวังไว้ แฟงกราบขอบพระคุณจากใจ”
รมย์นลินน้ำตารื้นเมื่อก้มกราบลงแทบตักด้วยความซาบซึ้ง ชลธีดึงตัวน้องสาวมากอดแนบแน่น หญิงสาวสัญญา
กับตัวเองว่าจะดูแลรีสอร์ทแห่งความรักความผูกพันให้ดีเพราะเคียงธาราคือความรัก คือความเป็นครอบครัวที่หล่อหลอมให้ตนเติบโตขึ้นมา
“ชอบใจมากนะแฟง เอาล่ะ...เสียงแห่เงียบแล้ว เดี๋ยวก็คงมีคนมาตามตัวเรา พี่ลงไปรอข้างล่างก่อน ส่วนเรื่องเอกสารนี่...รอให้จบเรื่องแต่งงานเสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้อง”
ตอนที่คุณวารีจูงบุตรสาวมาส่งให้กับเทียมภพ ทุกคนที่นั่งรายล้อมอยู่ตรงนั้นต่างเห็นอาการตะลึงตาค้างของ
เจ้าบ่าว แต่พอได้สติก็รีบล้วงกระดาษเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อกาฬ กิริยานั้นเรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนที่อยู่รอบ ๆ ตัว
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทางเก้อเขินเหมือนหนุ่มน้อยขาดความมั่นใจเมื่อจีบสาวครั้งแรก ยิ่งพอได้รับรอยยิ้มหวานจับจิตจากเจ้าสาวก็ยิ่งทำให้หัวใจชายชาตรีเต้นตึกตักผิดจังหวะ
“นายหมากทำท่ายั้งกะอิเหนาเห็นบุษบาครั้งแรก นี่ยังดีว่าเหงื่อแค่แตก...ไม่ถึงกับสลบ”
ท่านอดีตนายกฯ แซวเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง พิธีกรประกาศฤกษ์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและมอบสินสอดทองหมั้นละลานตาอันประกอบด้วย เงินสดใส่พานจำนวนหนึ่งและที่เป็นเช็คอีกสามใบ ทองรูปพรรณทั้งของเก่าของใหม่ เครื่องเพชร โฉนดที่ดิน แหวนเพชรซึ่งเป็นแหวนแต่งงานของคุณดวงทิพย์ที่ตั้งใจมอบให้บุตรชายไว้แต่งสะใภ้คนโต
“ยินดีต้อนรับ คุณรมย์นลิน ทวีกิจไพศาล”
เทียมภพกระซิบบอกเจ้าสาวของเขาขณะสวมแหวน จังหวะนั้นเกิดเสียงกดชัตเตอร์ถี่รัวจากช่างภาพที่จ้างมาและสื่อมวลชนที่ไม่ได้เชิญแต่ก็แห่มากันเอง เทียมภพอวดแหวนที่เพิ่งสวมให้เจ้าสาวแล้วยิ้มชื่นมื่นให้ตากล้องอย่างรู้งาน และโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครบอกบท เจ้าบ่าวไวไฟยิ่งกว่าน้ำมันเบนซินก็บรรจงหอมแก้มเจ้าสาวต่อหน้าแขกเหรื่อซึ่งเรียกเสียงตบมือเกรียวกับเสียงโห่ร้องจากเพื่อนฝูง
“คุณหมาก !” รมย์นลินทำเสียงดุแต่แก้มแดง
ส่วนของรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็มีพระเครื่องเลี่ยมกรอบทองจากคุณเที่ยงธรรม คุณดวงทิพย์
มอบชุดเครื่องประดับมุกล้อมเพชร คุณลำเภามอบกำไลทองฝังเพชรกับแหวนทองสลักนามสกุลให้เป็นสัญลักษณ์ว่า แต่นี้ต่อไปรมย์นลินคือคนในครอบครัวทวีกิจไพศาล คุณหลีมอบทองคำแท่งกับเงินขวัญถุง ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็มิได้น้อยหน้า ญาติจากทางใต้อย่างคุณลุงกระสินธุ์มอบเชคเงินสดตัวเลขเจ็ดหลักให้หนึ่งใบ ส่วนญาติคนที่ทำฟาร์มมุกให้สร้อยมุกแท้พร้อมต่างหูเข้าชุดกัน คุณวารีรับขวัญลูกเขยด้วยสร้อยพระ ส่วนชลธีนั้น นอกจากจะมอบทรัพย์สินบางส่วนให้น้องสาวไปแล้ว ก็ยังรับขวัญน้องเขยและว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยรถยนต์เอนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อหรูหราสัญชาติอังกฤษ
“ฉันซื้อให้แกพายัยแฟงกับลูก ๆ ไปไหนต่อไหน อย่าให้เห็นว่าวันหนึ่งแกให้ใครนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคันนี้...ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก” คนให้ถือโอกาสข่มและขู่ไปด้วย
“เออ...รู้แล้วล่ะน่า สันดานเก่า ๆ ทั้งหลายน่ะ ละ เลิก ลด ไปหมดแล้วเว้ย อ้อ...ถ้าจะมีคนนึงก็คงเป็นยัยพลู” สองหนุ่มหันไปมองคนที่เอ่ยถึงโดยพร้อมเพรียงกัน สาวน้อยกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล ชลธียิ้มมุมปากแล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น...ฉันอนุญาต”
ในขณะเดียวกัน คนที่ถูกพูดถึงก็เอาแต่ถ่ายรูปเล่นเลยไม่รู้ตัวว่า มีใครคนหนึ่งแอบมองตาละห้อยตั้งแต่เมื่อเช้า ยิ่งตอนที่ถือพานสินสอดคลานเข่ามาวางรวมกับข้าวของอื่น ๆ ก็แทบอยากอุ้มมานั่งตักแล้วกอดหอมให้ชื่นใจ ถ้าจะบอกว่าเจ้าบ่าวอย่างเทียมภพตื่นเต้นตะลึงงันกับความงามของเจ้าสาวเพียงใด ความรู้สึกของชลธีเมื่อห็นสาวน้อยในชุดไทยคนนี้ก็แทบไม่ต่างกัน
เมื่อเสร็จจากพิธีรับไหว้ก็ถึงเวลารดน้ำ คู่วิวาห์นั่งเคียงกันยิ่งดูเหมาะสมลงตัว ตรงหน้าของทั้งสองมีพานดอกไม้สดทรงพุ่มสำหรับรองรับน้ำสังข์ ท่านอดีตนายกฯ สวมมงคลให้คู่บ่าวสาว คุณลุงกระสินธุ์เจิมหน้าผาก จากนั้นบรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยมาต่อแถวรดน้ำอวยพร แทนดาวกับปลายเดือนทำหน้าที่ช่วยเติมน้ำสังข์ ส่วนเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคนช่วยแจกของชำร่วยเป็นตลับไม้เล็ก ๆ กลึงเป็นรูปทรงต่าง ๆ ลงแลกเกอร์เงางามบรรจุในถุงผ้าแก้วสีทอง นอกจากจะมีประโยชน์ใช้สอยไว้ใส่สิ่งของเล็ก ๆ แล้ว ยังแฝงความหมายอีกอย่าง คือ ไม้เป็นสินค้าเครื่องเรือนยุคแรกของทวีกิจ
พอจบพิธีรดน้ำ ก็เป็นเวลาพักผ่อนและเลี้ยงรับรองแขก เทียมภพจูงเจ้าสาวไปยังมุมที่พวกนักข่าวนั่งรวมกลุ่มกันหน้าสลอนเพื่อรอสัมภาษณ์และถ่ายรูป แทนดาวหมดหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวแล้วก็ปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำบ้าง พอกลับออกมาก็เห็นพี่ชายเจ้าสาวยืนยิ้มพยักหน้าเรียกให้ไปหา
ที่สวนหย่อมริมสระน้ำ สองหนุ่มสาวยืนใต้ร่มเงาของต้นปีบ ตั้งแต่เช้าก็เพิ่งจะได้คุยกันตอนนี้เองเพราะต่างคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ตอนอยู่ในช่วงพิธีการ ชลธีวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้ใกล้ ๆ แล้วเอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมของสาวน้อย ตรงขมับมีรอยชื้นเหงื่อจาง ๆ ริมฝีปากบางแต่งแต้มสีชมพูกลีบบัวน่าสัมผัสเหลือเกิน สายตาฉ่ำเชื่อมจับจ้องอยู่แต่วงหน้าพริ้มเพราที่แอบชะเง้อมองตั้งแต่ตอนเดินอยู่ในขบวนแห่ขันหมาก ความงามสะคราญสะกดสายตาจนไม่อาจละไปไหนได้เลย ยิ่งเวลาสวมชุดไทยครบเครื่องแบบนี้ก็ยิ่งดูน่ารัก สมสง่าบุตรีอดีตท่านทูต
“ลูกสาวใครเนี่ย...สวยจัง จีบได้ไหมครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ แฟนหวงมาก” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน
“นี่ขนาดหวงมาก...ก็ยังมีคนแอบมาขอเบอร์” น้ำเสียงเจือความไม่สบอารมณ์ตอนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเองมัวแต่ยุ่ง ๆ คุยกับแขกผู้ใหญ่ก็เลยเป็นการเปิดโอกาสให้ชายคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยใกล้ชิดกับแทนดาวจนได้
“คิดมากไปได้ เขาแค่อยากติดต่อให้น้องพลูไปสอนเปียโนให้หลานเขา เด็กอายุเจ็ดขวบเอง”
“งั้นพี่ก็ขอพูดแทนไอ้หมากเลยว่า...ไม่ได้ค่ะ อยากให้หลานเรียนก็ต้องมาที่โรงเรียน พี่คงยอมให้น้องพลูไปสอนตามบ้านไม่ได้หรอก”
“ว่าแต่พี่หมากไม่มีเหตุผล พี่ชลเองก็ชักจะไม่มีเหตุผลเหมือนพี่หมากเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“ไม่เหมือนกันนะ พี่มีเหตุผลอันสมควรจริง ๆ เดี๋ยวพี่จะเดินไปบอก...นายอะไรนะ...วิกฤตเหรอ ? ”
“สุกฤตค่ะ” หญิงสาวหัวเราะพรืดกับชื่อที่เขาจงใจเรียกผิด
“อะไรนั่นแหละ...ว่าน้องพลูไม่สะดวกสอนตามบ้านเพราะว่าแฟนไม่อนุญาต”
“ยี๋...นี่คุณพี่ชายของพี่สะใภ้จะไม่ให้ดิฉันกระดิกกระเดี้ยไปไหนเลยหรือคะ คนต้องทำมาหากินนะคะ ถ้าพี่หมากเลิกจ่ายเงินเดือนน้องพลู...แล้วจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้”
“ก็ไปทำงานกับพี่สิ สอนที่โรงเรียนเสร็จก็ไปเล่นที่โรงแรมเหมือนเดิม”
“น้องพลูเรียกค่าจ้างเองได้ไหมล่ะ”
“ก็ได้...แต่ยิ่งรียกแพง พี่บอกก่อนนะครับว่าต้องทำให้คุ้มค่า อาจจะต้องทำล่วงเวลาบางวัน เช่น ไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงกับเจ้านายบ้างตามโอกาส ถ้าขอโบนัสด้วยก็ต้องมีบริการพิเศษเพิ่ม เช่น เอาอกเอาใจ ชงกาแฟให้ นวดเนื้อตัวให้
แบบนี้ตกลงไหมครับ”
“ใช้แรงงานเยี่ยงทาสแบบนี้น้องพลูไม่เอาด้วยหรอก”
ชลธีหัวเราะอย่างเอ็นดูกับอาการหน้าตางอง้ำแล้วค่อย ๆ ใช้สองแขนเกี่ยวเอวคอดเข้ามาใกล้ ยิ่งอยู่ใกล้ชิดก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนหวานจนต้องถามตัวเองว่า...จะทนรอต่อไปได้อีกสักกี่วัน
“โอเค...เลิกเถียงกันดีกว่า ว่าแต่...วันนี้เหนื่อยไหมคะ น้องพลูกินอะไรหรือยัง เดินทั้งวันเมื่อยไหมเนี่ย”
“ไม่หรอกค่ะ ปลื้มใจจนหายหิว พี่แฟงสวยมากเลยค่ะ น้องพลูดีใจมาก ๆ ที่ได้พี่แฟงมาเป็นพี่สาวอีกคน”
“ขอบคุณที่ยอมรับแฟง แล้วพี่ชายของพี่สะใภ้คนนี้ล่ะ...รักไหมครับ”
เอวบางถูกรั้งเข้าจนชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกัน คนถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบ บนใบหน้าปรากฏแต่รอยยิ้มประหม่าจนคนมองอดรนทนไม่ไหวต้องเอียงหน้าไปสูดความหอมกำจายจากพวงแก้มเอิบอิ่มเสียฟอดใหญ่
“หืม...รักพี่ชลไหมคะ” เขาถามย้ำ
“ไม่รู้ค่ะ”
“ว้า...อะไรกัน ลุ้นแทบแย่แต่ตอบมาแค่…ไม่รู้ค่ะ”
“พี่ชลชอบแกล้ง”
“ก็น่ารัก...ก็เลยน่าแกล้งไง ไหน...วันนี้คนสวย คิส คิส พี่ชลหรือยังคะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาแทนการปฏิเสธ
“นะ....เพิ่งจะมีโอกาสอยู่ใกล้ก็ตอนนี้ เดี๋ยวจบพิธีแล้วก็ต้องแยกย้ายเตรียมตัวไปงานเลี้ยงตอนเย็นอีก คืนนี้คงยุ่งอีกบาน แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกัน พ้นคืนนี้ก็ได้พักแค่วันเดียวแล้วก็ต้องเดินทางไปเพชรบูรณ์อีก อยู่โน่นตั้งสามวันกว่าจะกลับ”
ชายหนุ่มชักเหตุผลร้อยแปดเพื่อโน้มน้าวให้หญิงสาวเห็นใจ แทนดาวก้มหน้างุดไม่พูดอะไรแล้วโน้มคอคนน่าสงสารลงมา คิส คิส ตามที่ขอ ปลายจมูกเล็กแตะลงบนแก้มสีน้ำผึ้งทั้งสองข้าง หน้าผากกว้าง ปลายจมูกโด่งแล้วหยุดเพียงเท่านั้น
“ยังไม่ครบ ขาดอีกทีนึง...” เขาทวงยิก
“ไม่เอาค่ะ พี่ชลนี่ไม่รู้จักพอ”
“กับน้องพลู...เท่าไหร่ก็ไม่พอ”
ไม่ทันสิ้นคำ แขนแข็งแรงก็ตวัดเอวบางให้ล้มตัวในอ้อมกอดแล้วกำลังจะโน้มหน้าลงไปจุมพิตตรงจุดที่เว้นไว้ แต่เสียงกระแอมกระไอกับเสียงกดชัตเตอร์ทำให้ทั้งคู่แทบจะผลักออกจากกันในทันที พอหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเทียมภพยืนตาโปนอยู่กับแทนขวัญลูกผู้น้องที่ถือกล้องคาในมือ
“มาหลบร้อนอยู่ตรงนี้นี่เองนะ...ไอ้พี่เขย ! ”
เสียงเหี้ยมมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในชุดโจงกระเบนเดินอาด ๆ เข้ามา แทนดาวเดินเลี่ยงไปหาลูกผู้น้องเพราะกลัวถูกรังสีอำมหิตที่กำลังแผ่กระจายอยู่รอบตัวคนเกิดก่อน
“ว้าว...ขวัญถ่ายรูปเมื่อกี้ได้พอดีเลย พี่พลูดูสิ...สวีทกว่าคู่แต่งงานอีกนะ” แทนขวัญโชว์ภาพที่จับได้ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะจูบกันให้ดู
“ลบออกเดี๋ยวนะขวัญ” แทนดาวพยายามแย่งกล้องในมือน้องสาวแต่ก็ไม่สำเร็จ
“พี่ตามหาเราตั้งนานนะยัยพลู คุณพ่อจะพาไปกราบท่านรังสิตเสียหน่อย ดีว่าน้องขวัญเห็นเราเดินมาตรงนี้ ไม่งั้นคงจะสบายปากไอ้เข้” คนพูดเน้นพยางค์สุดท้ายแล้วตวัดตามอง ‘ไอ้เข้’ ที่ยืนทำหน้าตาไม่รู้ร้อน
“งั้นน้องพลูไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ น้องขวัญ...รีบไปจากตรงนี้กันเถอะ”
หญิงสาวรีบจูงมือน้องออกไปเพราะกลัวระเบิดเวลาจะบึ้มเอา พอลับหลังสองสาว จอมโวยวายก็หันมาคุยกับคนที่ลักพาตัวน้องสาวคนเล็กอย่างไม่ค่อยจะอารมณ์ดีนัก
“เผลอไม่ได้เลยนะมึง ! ”
“ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย ที่จริงแกไม่น่าจะมาขัด คนมีมารยาทควรจะรอให้คนอื่นทำ ‘ธุระ’ เสร็จเสียก่อน”
“ไอ้นี่...”
ชลธีแกล้งยั่วให้เพื่อนที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นน้องเขยอย่างเป็นทางการหงุดหงิดเล่น ๆ เทียมภพทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังสาปแช่ง แต่สักเดี๋ยวก็กลับมาทำหน้าตาจริงจัง
“ตั้งแต่กลับมาเป็นเพื่อนกัน เรายังไม่ได้คุยกันในฐานะญาติเลยนะ แกรู้สึกยังไงวะ...ที่ได้ฉันเป็นน้องเขย” เทียมภพเปิดประเด็นขึ้นก่อน ชลธียกมือกอดอกแล้วมองเพื่อนรักนิ่งนานกว่าจะตอบ
“ถ้าจะว่ากันตามจริง...ก็คงต้องพูดว่า ชอบใจก็ไม่เต็มร้อย เกลียดก็ไม่เชิง ถ้าแกรู้จักเข้าตามตรอก ออกตาม
ประตู ไม่รวบรัดเอาเปรียบน้องสาวฉันยังงั้น ก็คงจะรู้สึกยินดีเต็มร้อยอยู่หรอก”
“แต่ฉันก็ไม่ได้ทิ้งขว้างแฟงนะ แกก็เห็นนี่ว่าฉันให้เกียรติเธอขนาดไหน” คนพูดทำหน้าเหมือนกินยาขม
“แล้วถ้าฉันพลั้งมือทำแบบนั้นกับน้องพลูมั่ง แล้วมาบอกแกแบบนี้...จะคิดยังไงล่ะ”
“ไม่ได้โว้ย ! กูเอาตาย” คนพูดขยับตัวจนหางกระเบนส่าย
“เอาเถอะ...ยัยแฟงก็รักแกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังไงเสีย...ฉันขอฝากน้องสาวคนนี้ด้วยก็แล้วกัน ยัยแฟงมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นัก เธอมีแค่ฉันกับแม่ที่เลี้ยงดูมา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็รักเหมือนน้องแท้ ๆ แกอย่าทำให้เธอเสียใจแม้แต่นิดเดียว”
เนื้อเสียงสงบเรียบเยียบเย็นแต่แฝงด้วยอำนาจประหลาด ถ้าเขาเปล่งวาจาด้วยเสียงและท่าทางแบบนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคนใด นั่นหมายถึงคำสั่งของเขาต้องได้รับการปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ไม่อาจต่อต้านหรือบิดเบือนได้
“เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยสนใจว่ารมย์นลินมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหน ใครคือพ่อแม่ของเธอ ฉันไม่ได้คบคนเพราะนามสกุลหรือชาติกำเนิด รมย์นลินเป็นผู้หญิงที่ฉันเลือกแล้ว...” เทียมภพบีบบ่าเพื่อน ต่างสบตากันนิ่ง
“ชล...ฉันรักรมย์นลินเท่า ๆ กับที่แกรัก ในฐานะสามี...ฉันจะยกย่องและให้เกียรติ เธอจะเป็นคุณผู้หญิงของทวีกิจ เป็นภรรยาฉัน เป็นแม่ของลูกฉัน และเป็นพี่สาวของน้องพลู”
สองหนุ่มสบตากันแน่วแน่ มีรอยยิ้มบาง ๆ จากใบหน้าคร้ามคมแสดงความพึงพอใจ เมื่อเทียมภพเห็นว่าเพื่อนรักวางใจในตัวเองมากพอแล้ว ก็ล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่เขย ชลธีเพ่งมองถุงผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทใบเล็กจิ๋วอย่างแปลกใจ ไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะมีของกำนัลมาเอาใจพี่ชายภรรยา เขาหยิบวัตถุในถุงผ้าใบจิ๋วออกมาแล้วก็ต้องนิ่งงันไปหลายนาที มันคือแหวนเพชรรูปหัวใจสีน้ำเงินคล้ายกับวงที่อันตรธานหายไปด้วยฝีมือของเพื่อนรักเพื่อนแค้นเมื่อหลายเดือนก่อน
“สั่งทำจากที่ไหน..เหมือนมาก” เขายกวงแหวนขึ้นพิจารณาให้ชัด ๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย...มีลูกกะตาไว้คั่นจมูกหรือไง จำไม่ได้เหรอวะ ? เป็นคนสวมให้เองแท้ ๆ ”
คำบอกเล่ายิ่งทำให้งงหนัก ก็เทียมภพเองที่เป็นคนบังคับถอดมันออกจากนิ้วของแทนดาวแล้วปาทิ้งไปในทะเล ตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว ส่วนเทียมภพก็อดทนกับท่าทางฉงนสนเท่ห์ของเพื่อนต่อไปอีกไม่ไหว ไอ้ครั้นจะรอให้ตรัสรู้เองก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาถึงเมื่อไหร่
“ก็แกทิ้งมันไปแล้วนี่”
“จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ทิ้ง คืนนั้นแค่ทำท่าให้ดูเหมือนว่าทิ้งมันไปแล้วจริง ๆ เพราะไม่อยากให้ยัยพลูมีพันธะผูกพันกะแก ใครวะ...จะโง่ทิ้งของมีค่าขนาดนี้ ตั้งใจจะเอาไปคืนนานแล้วล่ะ แต่หาโอกาสเหมาะไม่ได้ซะที ยิ่งเจอเรื่องยุ่งเหยิงไม่หยุดหย่อนก็เลยลืมไป”
“ทีหลังถ้าจะทำแบบนี้ก็เตี๊ยมกันก่อนนะ” ชลธียิ้มกว้างแล้วเก็บแหวนใส่ถุงผ้ากำมะหยี่อย่างเดิม
“ไอ้ชล...ขอบใจแกมากนะ ที่ช่วยดูแลใบพลูตอนที่ฉันยุ่ง ขอบใจที่อดทนกับน้องสาวขี้แย แกทำช่วยให้น้องโตขึ้นมากจนฉันพอจะกล้าปล่อยได้บ้าง ที่สำคัญ...ขอบคุณมากที่เป็นสุภาพบุรุษกับแทนดาวมาเสมอ”
ชลธียิ้มหยันนิด ๆ ให้กับความหมายในประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ เทียมภพไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า...เขาต้องใช้ความพยายามข่มอกข่มใจเพียงใดที่ต้องบังคับตัวเองให้เป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ว่า เกือบจะพลาดท่าห้ามตัวห้ามใจไม่อยู่ก็หลายครั้งหลายหน
“ฉันว่า...มันคงคิดถึงเจ้าของจะแย่แล้วล่ะ แล้วแกล่ะ...ยังมั่นคงต่อความรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า” เทียมภพมองถุงแหวนในมือของเพื่อนและพี่เขยแล้วเอ่ยถามด้วยวาจาแช่มชื่น เจ้าของแหวนไม่ตอบในทันทีแต่ทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง นาทีต่อมาเทียมภพก็ได้เห็นรอยสักรูปดาวสีน้ำเงินบนหน้าอกด้านซ้ายเหนือหัวใจ เพียงแค่นี้เขาก็รู้คำตอบทุกอย่างแก่ใจดีแล้ว
“หมาก...ตั้งแต่วันที่ฉันได้รู้จักแทนดาว จนถึงเดี๋ยวนี้...ความรักที่มีต่อเธอไม่เคยลดลงเลย”
งานเลี้ยงฉลองสมรสตอนค่ำจัดขึ้นที่โรงแรม The Prestige Thara โดยฝีมือทีมออแกไนเซอร์ทีมเดิม ทุกคนที่ได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าแบบไทย ๆ ก็จะได้เปลี่ยนรูปแบบมาสัมผัสกับสุนทรียะแห่งดนตรี ตลอดทั้งชั้นกราวด์ฟลอร์ไปจรดหน้าห้องบอลรูมซึ่งจุคนได้มากถึงแปดร้อยคน ถูกประดับด้วยดอกไม้สดแต่งโบด้วยผ้าโปร่งสีเหลืองทอง ตามมุมต่าง ๆ มีลวดดัดเป็นโครงตัวโน้ตเสียงต่าง ๆ แล้วเสียบด้วยดอกไม้สดอีกทีจนกลายเป็นตัวโน๊ตดอกไม้สวยงามน่ารัก
เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยง เทียมภพอยู่ในชุดทักซิโด้สีครีม ส่วนรมย์นลินแปลงโฉมจากแม่หญิงไทยเป็นเจ้าหญิงในชุดราตรีเปิดไหล่สีขาวปักเลื่อมพราวทั้งชุด ผมมวยเมื่อตอนเช้าถูกปล่อยลงมาระแผ่นหลังนวลเนียน ใบหน้าหวานถูกเติมสีให้เข้มขึ้นแต่ก็ยังคงความหวานละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าฉากประดับดอกไม้สดจัดเป็นรูปม้วนโค้งไปมาคล้ายเถาดอกไม้ ทั่วบริเวณงานประดับภาพถ่ายพรีเว้ดดิ้งริมทะเลของคู่บ่าวสาว
และเนื่องจากงานค่ำนี้ได้เชื้อเชิญแขกแทบจะทุกวงการ และยิ่งคึกคักมากขึ้นไปอีกเพราะมีดาราและคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมาร่วมด้วย ห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดจึงดูคับแคบลง แต่ด้วยความรอบคอบของชลธีจึงสั่งให้ตกแต่งพื้นที่หน้าห้องบอลรูมทั้งหมดเพื่อรองรับจำนวนแขก ดั้งนั้นผู้มีเกียรติที่ส่วนใหญ่สวมชุดสีเหลือง ครีม ทอง เดินขวักไขว่ไปทั่วทั้งในห้องและภายนอกอย่างอิสระ โต๊ะลงทะเบียนต้องแบ่งเป็นสามจุดโดยเกณฑ์กำลังบรรดาเพื่อนเจ้าสาวนับสิบคนมาช่วยกัน
“เมื่อไหร่จะจบพิธีเสียที ผมอยากส่งตัวเร็ว ๆ” เทียมภพเพียรกระซิบบอกเจ้าสาวอยู่หลายหนแล้ว แต่ก็มีเพียงตาเขียวปั้ดค้อนใส่เพราะทั้งรำคาญและเขินคนใจร้อน
ตรงกลางห้องบอลรูมชิดฝาด้านหนึ่งเป็นเวทีขนาดใหญ่ต่อทางเดินมาถึงกลางห้อง สุดปลายทางโต๊ะวางเค้กแต่งงานเจ็ดชั้นตรงตำแหน่งพอดีกับโคมไปคริสตัลระย้าย้อย บนเวทีใหญ่มีแกรนด์เปียโนสีดำที่ย้ายมาจากล็อบบี้ตั้งเด่นรายล้อมด้วยกระถางดอกไม้ มันกำลังเปล่งท่วงทำนองเพลงรักจากฝีมือบรรเลงของสตรีร่างอรชรในชุดราตรียาวไหล่ปาดสีครีมทอง ตัวกระโปรงแต่งผ้าโปร่งรูปดอกไม้ดูน่ารัก แทนดาวผู้รับหน้าที่ขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติในช่วงก่อนเริ่มพิธีการ
กว่าที่แขกเหรื่อจะนั่งประจำที่จนครบก็กินเวลาเป็นชั่วโมง แล้วจากนั้นพิธีการก็เริ่มขึ้นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ทั้งสองเดินขึ้นขึ้นไปบนเวทีรับฟังคำอวยพรจากท่านประธาน บิดามารดารวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ จากนั้นก็เป็นคิวของทั้งคู่กล่าวขอบคุณแขก รมย์นลินไม่พูดอะไรมากเพราะตื้นตันไปหมดนอกจากกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณและแขกที่มาไปตามบท แต่บทพูดของเทียมภพเล่นเอาคนทั้งห้องซาบซึ้งกินใจไปตาม ๆ กัน
“ผู้หญิงที่ยืนข้าง ๆ ผม ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าดนตรี ชีวิตของผมจึงมีทั้งจังหวะสนุก เศร้า ซึ้ง ผมนึกไม่ออกเลยว่า...ชีวิตที่ไม่มีรมย์นลินมันจะเรียบเรื่อย จืดชืดขนาดไหน ขอบคุณทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือความบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกัน ถ้าถามว่ารักเธอมากแค่ไหน....ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปเรียบกับอะไรดี มองไปทางไหนก็ไม่เจออะไรที่ใหญ่และกว้างมากพอที่จะสามารถบรรจุความรักที่ผมมีต่อเธอได้หมด”
เสียงปรบมือกราวสนั่นผสมกับเสียงเป่าปากดังลั่น เทียมภพยกมือขึ้นซับน้ำตาบนใบหน้าของเจ้าสาวที่ไหลออกมาอย่างสุดกลั้นด้วยความตื้นตันแล้วบรรจงจุมพิตแก้มนวลต่อหน้าสักขีพยานเบื้องล่าง เสียงเปียโนหวานดังขึ้นอีกครั้งขณะที่เจ้าบ่าวประคองตัวเจ้าสาวไปตัดเค้ก ปิดท้ายรายการด้วยการโยนช่อดอกไม้ พอถึงตอนนี้สาว ๆ ก็มารวมตัวกันหน้าเวทีสลอน พอพิธีกรให้สัญญาณ ช่อบูเก้กุหลาบเหลืองก็ปลิวไปตกที่ไหนสักแห่ง เสียงวี้ดว้ายของสาวโสดที่ต่างกรูกันเข้าไปแย่งช่อดอกไม้สร้างความครื้นเครงให้คนที่นั่งดู
“ว้าย ! ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
สาวผู้โชคดีที่รับดอกไม้ได้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ แทนขวัญ ทวีกิจไพศาล ลูกผู้น้องของเจ้าบ่าวที่สามารถคว้าดอกไม้แห่งความไม่เป็นโสดไว้ได้ แต่ในความโชคดีก็เหมือนเป็นความโชคร้ายของบุรุษคนหนึ่งที่ไปยืนอยู่ในรัศมีการต่อสู้เข้า
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง” หญิงสาวรีบเข้าไปช่วยชายเคราะห์ร้ายเก็บของที่ร่วงพื้นจากแรงปะทะเมื่อกี้
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่...” ชายโชคร้ายชูแว่นตาขาหักกับกระจกที่ถูกเหยียบจนร้าว แทนขวัญหน้าจ๋อยสนิท
“ตายแล้วน้องขวัญ ! แว่นตาพี่อชิหักเลย” แทนดาวเดินลิ่ว ๆ มาหาน้องสาวแล้วก็พบว่าชายโชคร้ายคืออชิตะยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น
“ขวัญไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ ก็ดอกไม้มันลอยมาทางนี้อ่ะ ขวัญไม่เห็นคุณ...เอ...คุณหมอคิมโดฮัน”
แทนขวัญเพิ่งจะเห็นใบหน้าคนที่เพิ่งประทุษร้ายเต็มตา เค้าหน้าละม้ายคล้ายกับตัวละครในซีรีย์เกาหลีเรื่องหนึ่งที่ทั้งตนและพี่สาวชื่นชอบ แต่คนถูกเรียกเหมือนจะไม่ปลื้มปริ่มเลยสักนิดเดียว
“น้องขวัญ...นี่คุณหมออชิตะ” แทนดาวแนะนำใหม่เพราะมั่นใจว่าหมอหนุ่มต้องงงกับชื่อนั้นแน่ ๆ
“คุณหมออชิตะ...ขวัญขอโทษนะคะ”
แทนขวัญยกมือไหว้ ในอ้อมแขนยังกอดช่อดอกไม้เอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูปอย่างระมัดระวัง ด้านอชิตะแว่นหักก็พยักหน้าส่ง ๆ ไปเพราะตอนนี้มองอะไรก็พร่ามัวไปหมด แทนดาวรู้ดีว่า อันสายตาของหมอเนิร์ดคนนี้สั้นกุด ซึ่งถ้าไม่สวมแว่นก็เหมือนถูกปิดตา
“ไม่เป็นไรครับ มีแว่นสำรองในรถอีกอัน เดี๋ยวผมจะไปเอา” หมอหนุ่มรีบบอก
“งั้นหรือคะ น้องขวัญพาพี่อชิไปสิ พาเดินไป...เร็ว” แทนดาวรุนหลังน้องสาว
แทนขวัญจูงข้อมืออชิตะออกมาข้างนอก ความโลภไม่ระวังทำให้เกิดอุบัติเหตุจนได้ ยิ่งรู้ว่าเป็นคนรู้จักของคุณเที่ยงธรรมก็ยิ่งทำให้หญิงสาวใจฝ่อเข้าไปอีก เพราะถ้าถูกตำหนิขึ้นมาก็จะเสียชื่อผู้ใหญ่ไปด้วย ในขณะที่ผู้เสียหายก็ยังไม่เอ่ยปากอะไรอยู่ดีจนเมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง
“แล้วคุณหมอจอดรถไว้ชั้นไหนเหรอคะ”
“ชั้นสิบครับ”
เพียงเท่านั้นแทนขวัญก็รีบจูงจนเกือบจะเป็นฉุดให้คนสายตาสั้นเดินตามมาไว ๆ ในความลางเลือน ชายหนุ่มเห็น
เพียงรูปร่างหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาดูไม่ค่อยชัดนัก สวมชุดออกสีขาวยาวกรอมเท้า ที่คอสะพายกล้องถ่ายรูป
“ถึงชั้นสิบแล้วค่ะ รถคุณหมออยู่แถวไหนคะ”
“เอห้า คันสีเงิน เอาล่ะ...พอผมกดสัญญาญาณกันขโมยก็เดินไปตามเสียงนะ”
ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะตามหารถยนต์คันนั้น แทนขวัญรอเขาเปิดประตูแล้วจะมุดตัวเข้าไปช่วยหา แต่ความรีบ
ก็เลยเอาศีรษะโขกกับคานประตูเท่านั้นเอง
“อูย...”
“กรรมตามสนอง”
เสียงทุ้มดังมาจากคนที่กำลังเดินอ้อมมาเปิดลิ้นชักตรงคอนโซลด้านหน้า ไม่ช้าแว่นตาอันใหม่ก็สวมทับลงบนใบหน้าสะอาดใจดีของอชิตะ ชายหนุ่มมองภาพรอบ ๆ ที่แจ่มชัดขึ้น สายตาราบเรียบกวาดมายังสาวน้อยที่ยังยืนหน้าง้ำเอามือคลึงขมับอยู่ที่เดิม ริมฝีปากปากเม้มเข้าหากันเหมือนระงับอารมณ์อะไรบางอย่าง อิริยาบถนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน
“เป็นไงครับ...เจ็บมากไหม แต่...ถึงผมจะเป็นหมอก็ไม่ได้พกยาหม่องมาด้วยหรอกนะ” อชิตะถามสาวน้อยที่เปลี่ยนเป็นยืนกอดอกจ้องมองมาที่ตนอย่างเอาเรื่อง
“ถือว่าหายกันก็แล้วกันนะคะ รถคุณหมอทำให้ขวัญต้องเจ็บตัว”
“หือ...คุณเหยียบแว่นตาผมหักนะ แล้วรถก็อยู่ของมันดี ๆ คุณไปโดนมันเองนะ ผมสิ...ต้องถามว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า จะบุบมากไหมนะ”
คำตอบสุภาพอ่อนโยนแต่ยียวนต่อมโกรธคนฟังเป็นอย่างมาก แทนขวัญรีบสะบัดตัวเดินหนีออกมาจากตรงนั้นแล้วรีบไปกดลิฟต์ อชิตะรีบล็อกรถแล้วตามมาทัน พออยู่ในลิฟต์ตามลำพัง เขาก็เพิ่งสังเกตว่าที่นิ้วชี้ข้างขวาของสตรีตรงหน้าสวมแหวนทองสลักนามสกุลแบบเดียวกับที่แทนดาวสวม
“เป็นญาติเจ้าบ่าวหรือครับ” ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากอาการพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“เวลาผู้ใหญ่พูดด้วย ก็ควรจะตอบให้ดี ๆ ไม่ใช่แค่พยักหน้า”
ถึงสีหน้าและแววของคนพูดจะดูเป็นปรกดี แต่แทนขวัญก็รู้สึกว่าหน้าชาด้วยรู้ว่าถูกตำหนิเข้าอย่างจัง มือที่กอดช่อดอกไม้รัดเข้าหากันแน่นขึ้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เลขบอกชั้นไม่กระพริบ
“ค่ะ”
คำตอบสั้นและห้วนแต่กลับทำให้คนฟังยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อันกิริยาปากเชิด หน้างอเช่นนี้ดูละม้ายคล้ายกับแทนดาวเวลางอนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งคู่เดินกลับเข้างานมาเจอแทนดาวที่กำลังถ่ายรูปกับพวกหลาน ๆ และญาติคนอื่น ๆ พอเห็นน้องสาวก็รีบปราดเข้ามาดึงตัว
“น้องขวัญ...มาถ่ายรูปเร็ว พี่อชิโอเคแล้วนะคะ”
“สบายมากครับ” หมอหนุ่มตอบเสียงสุภาพแล้วปรายตามามองสาวน้อยอีกคน แทนดาวมองตามแล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก
“พี่อชิคะ...นี่น้องขวัญ หรือ แทนขวัญ น้องสาวของพลูเอง”
อชิตะยิ้มมากขึ้นเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่าหล่อนเป็นใคร สายตาหลังกรอบแว่นมองสาวน้อยที่ยืนเคียงข้างพี่สาวอย่างพิจารณา ใบหน้าหงุดหงิดยังมีเค้าความสวยสดใสฉายชัดให้เห็น แทนขวัญรู้ตัวว่าถูกมองอยู่นานก็เกิดอาการ ‘ขวาง’ ขึ้นมาดื้อ ๆ
“พี่พลูถือดอกไม้ให้หน่อย ขวัญจะอุ้มตาเต็งหนึ่ง” หญิงสาวส่งช่อดอกไม้ให้พี่แล้วอุ้มหลานเล็กเข้าร่วมเฟรมถ่ายรูป แทนดาวกลัวพลาดช็อตนี้ด้วยก็รีบยัดช่อดอกไม้ใส่มืออชิตะที่ยังคงมองสาวน้อยในชุดราตีสีขาวไม่วางตา
“ฝากพี่อชิถือแป๊บนึงนะคะ”
“แทนขวัญ...ท่าทางจะเอาเรื่องน่าดู”
อชิตะพูดกับตัวเองแล้วมองช่อดอกไม้ในมือ ดอกไม้เจ้าสาว...แสดงว่าแทนขวัญยังโสด สายตาอ่อนโยนมองดอกไม้กับสาวน้อยสลับกันไปมา แทนดาวสวยสะคราญดุจดอกไม้แรกแย้มฉันใด แทนขวัญก็สดใสดุจดอกไม้ต้องน้ำค้างยามเช้าฉันนั้น ชายหนุ่มได้ตัดใจจากแทนดาวโดยสิ้นเชิงเหลือเพียงความเป็นพี่ชาย แต่...เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับแทนขวัญแน่นอน
พิธีการต่าง ๆ จบลงอย่างเรียบร้อยสวยงาม ตอนนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนส่งแขกที่เริ่มทยอยกลับ เหลือแต่บรรดาญาติของทั้งสองครอบครัวที่ยังคุยตามประสานาน ๆ เจอกันที พวกลูกหลานวัยรุ่นก็ยังสนุกกับการถ่ายรูปตามซุ้มที่จัดไว้ ส่วนรุ่นเล็ก ๆ ก็วิ่งเล่นไล่ดึงลูกโป่ง ดอกไม้ วุ่นวายทีเดียว งานนี้นอกจากจะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ของทวีกิจ ก็ยังเป็นการเลี้ยงส่งปลายเดือนไปในตัวด้วย หญิงสาวมีกำหนดการเดินทางไปศึกษาต่อในอีกสามวันถัดไป
“น้องผึ้งเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
บุรินทร์เอ่ยถามขึ้นเมื่อได้คุยกันตามลำพัง หนุ่มหน้าตี๋แกว่งแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือซึ่งเป็นภาพที่ออกจะแปลกตาไป ปรกติแล้วบุรินทร์จะไม่ข้องเกี่ยวกับของมึนเมาแตกต่างกับพี่ชายอีกสามคนที่ชอบสังสรรค์ ไม่รู้ว่าการดื่มนี้คือ อยากดื่มเพื่อเฉลิมฉลองงานมงคล หรือต้องการใช้น้ำเมาล้างอะไรในใจ
“เรียบร้อยทุกอย่างแล้วจ้ะ กว่าจะเปิดเทอมก็อีกสามเดือน แต่ผึ้งอยากไปอยู่ก่อน เพื่อนคนนึงแต่งงานมีครอบครัวอยู่นั่น เขาก็เลยอาสาพาเที่ยวพักผ่อนก่อนกลับไปเรียนจ้ะ”
ใบหน้าหวานหยดปนแววเศร้าจาง ๆ จนคนมองอดใจหายไม่ได้ ปลายเดือนคงจะคิดถึงบ้าน คิดถึงงาน แต่ไม่ว่าหล่อนจะตัดสินใจ ‘ไป’ เพราะเหตุใด สิ่งที่บุรินทร์ทำได้ก็คือยินดีด้วยในทุกสิ่ง
“แล้วเฮียบุ้งอยากจะไปเที่ยวบ้างไหมจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาแบบที่ไม่เคยยิ้มให้มาก่อน ซึ่งทำให้บุรินทร์ใจเขวไป
“คือ...เฮียก็อยากไปนะ แต่ว่าเป็นห่วงร้าน ทิ้งไปนาน ๆ ไม่ได้” อาการติดขัดยามตอบคำถามแลดูชอบกล คงจะเป็นเพราะมัวแต่แช่มชื่นกับรอยยิ้มเมื่อกี้อยู่
“ก็ฝากเฮียอีกสาม บ. ช่วยดูประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้หรือจ๊ะ พี่หมากวางแผนว่าจะไปช่วงหน้าหนาว เฮียบุ้งก็ไปด้วยกันสิจ๊ะ”
“แล้วน้องผึ้งอยากให้เฮียไปจริง ๆ เหรอ”
บุรินทร์ถามกลับอย่างอยากรู้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ปลายเดือนไม่เคยให้ความสนใจตนมากเกินกว่าถามสารทุกข์สุกดิบทั่ว ๆ ไป ไม่เลยแม้แต่สักครั้งที่จะถามว่าชอบอะไร อยากไปไหน หรือแม้กระทั่งยิ้มสวย ๆ อย่างเมื่อกี้
“จริงสิจ๊ะ ผึ้งจะพาเฮียบุ้งทัวร์มหานครนิวยอร์ก ไปแต่เมืองจีน...ไม่เบื่อหรือไง”
“ถ้ายังงั้นจะได้รีบเตรียมตัว เก็บข้าวของเดินทางไปพร้อมน้องผึ้งเลยดีไหม” ถึงจะพูดเล่นแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความดีใจ ปลายเดินหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกจ้ะ ผึ้งไม่ได้ไปไหน ถ้าเฮียบุ้งจะ...รอ...ผึ้งก็จะกลับมา”
เสียงหัวเราะและสีหน้าเปื้อนยิ้มขันจางหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าแดงซ่าน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเปล่งประกายจรัส ปลายเดือนเพ่งมองลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กของคนที่วางตำแหน่งเสมอพี่ชายมาทั้งชีวิต จริงอย่างที่เทียมภพพูดไว้ ถ้าลองเปิดใจมองดู...ก็จะเห็นว่าใครที่รักตนอย่างจริงใจ บุรินทร์วางแก้วในมือแล้วเปลี่ยนมาจับมือนุ่มนิ่มของปลายเดือน ความฟูฟ่องประทุขึ้นในโพรงอกเมื่ออีกฝายมิได้บ่ายเบี่ยงหรือชักมือกลับ
“เฮียบุ้งรอน้องผึ้งมาตลอด จนตอนนี้ก็ยังรอ...และจะรอต่อไปเรื่อย ๆ เอาไว้น้องผึ้งกลับมาเมื่อไหร่ เฮียบุ้งจะ...ลองขอน้องผึ้งเป็นแฟนดู”
“แล้วทำไมไม่ขอตอนนี้ล่ะจ๊ะ” คำถามนี้ทำเอาคนฟังต้องเอียงคออย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“น้องผึ้ง...”
“ถ้าขอตอนนี้...ก็จะได้คำตอบตอนนี้ แต่ถ้ารอผึ้งกลับมา...ก็ต้องรออีกสองปีกว่าเชียวนะ” หญิงสาวหลบสายตาเป็นประกายของคนตรงหน้า ในขณะที่ตัวเองก็ต้องซ่อนความขัดเขินเช่นกัน ได้ยินเสียงบุรินทร์สูดหายใจลึก
“เป็นแฟนกับเฮียบุ้งนะ...ปลายเดือน”
“จ้ะ”
สิ้นคำตอบเพียงสั้น ๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มแจ่มใสบนใบหน้าของทั้งคู่ บุรินทร์ยิ้มทั้งปากทั้งตาขณะยกมือนุ่มจุมพิต เกิดความสุขประหลาดในใจของปลายเดือนเมื่อตัดสินใจส่งมอบความรักให้กับบุรุษที่มีจิตใจมั่นคงต่อตนเพียงผู้เดียว สำหรับบุรินทร์...การรอคอยอย่างไร้ความหวังได้สิ้นสุดลงแล้ว จากนี้ก็จะเริ่มต้นสร้างเรื่องราวดี ๆ กับสตรีที่ผูกใจรักมานานแสนนาน
“สมใจแล้วสินะ...ยัยแม่สื่อ” เทียมภพวางมือบนไหล่เปลือยของน้องสาวคนเล็กที่ยืนแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้ดัดโค้งเป็นรูปโน้ตเพลง แทนดาวหันมายิ้มให้พี่ชายอย่างมีความสุขกับภาพที่เห็น
“นึกว่าจะจบไม่สวยเสียอีก ลุ้นแทบแย่เลยค่ะ”
“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา สีผึ้งคงยอมรับเอาวันนี้มั้ง”
“หวังว่าพี่ผึ้งจะรักเฮียบุ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ”
“ไม่ต้องหวังหรอก พี่สาวเราน่ะ...รักเฮียบุ้งมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมรับ” คำเฉลยทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว
“รักมานาน....พี่หมากรู้ได้ยังไงคะ”
“โธ่เอ๋ย...พี่เป็นคนดูแลเราสองคนมาตั้งกะตัวแดง ๆ นะ ต้องรู้สิว่า...ใครนิสัยเป็นยังไง สีผึ้งมีทิฐิมากและปากแข็ง บวกกับเหตุผลส่วนตัวบางอย่างก็เลยทำใจยอมรับเฮียบุ้งไม่ได้ ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน พี่สาวเราคนนี้ ถ้าไม่แบรนด์เนม...ก็ไม่หยิบ” เทียมภพอธิบายลักษณะนิสัยของน้องสาวคนรองอย่างเข้าใจถ่องแท้ แทนดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“เฮ้อ...ดีใจจัง ว่าที่พี่เขยเป็นเฮียบุ้ง พี่สะใภ้เป็นพี่แฟง ทั้งโลกนี้ใครจะโชคดีเหมือนน้องพลู”
หญิงสาวพูดล้อเลียนประโยคของพี่ชายพลางยิ้มร่า เทียมภพโอบตัวน้องสาวพาเดินห่างออกมาจนอยู่ในที่ปลอดคน สายตาอ่อนโยนยามทอดมองน้องสาวไม่ผิดแผกจากวันแรกที่ได้โอบอุ้มร่างน้อยเมื่อแรกเกิด
“มัวแต่สมหวังในความรักของคนอื่น แล้วหนูล่ะ...ตัดสินใจเรื่องของตัวเองว่ายังไง”
ดวงตาคู่สวยสบตาสีนิลของคนถามแล้วหลุบเปลือกตาลง คำตอบมีอยู่แก่ใจแต่ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย หล่อนมั่นใจแล้วว่ารักบุรุษหน้าคมผู้นั้นหมดทั้งหัวใจ
“น้องพลู...รักพี่ชลค่ะ ถ้าเขาถามอีก....หรือมีโอกาสที่จะบอก น้องพลูจะไม่ลังเลหรือกลัวอะไรอีกแล้ว ทั้งพี่ผึ้ง พี่หมาก ต่างก็ต้องฝ่าฟันและผ่านอะไรมามากมายกว่าจะได้สมหวัง แล้วน้องพลูยังจะรอให้เสียเวลาอีกทำไมกัน”
เทียมภพยิ้มอย่างภูมิใจกับคำตอบมั่นอกมั่นใจของน้อง มันถึงเวลาเสียทีจะยอมปล่อยมือหล่อนแล้วเดินตามอยู่ห่าง ๆ แทนดาวเติบโตแข็งแรงจนวางใจได้ว่า น้องสาวคนนี้จะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางที่เลือกเองได้อย่างมั่นคง
“ถ้าหนูมั่นใจแล้ว พี่จะพาหนูไปส่ง...”
ชายหนุ่มกุมมือเล็กของน้องสาวกระชับแล้วจูงให้เดินตามมา แทนดาวไม่รู้ว่าพี่ชายจะพาไปที่ไหนแต่ก็ไม่ได้
ซักถาม เทียมภพพาน้องสาวเข้าลิฟต์พิเศษสำหรับผู้บริหารแล้วแตะคีย์การ์ดพร้อมกับกดปุ่มขึ้นไปชั้นบนสุด จนเมื่อลิฟต์เปิดออก เลยอดที่จะหยุดถามไม่ได้
“จะไปไหนคะนี่ เดี๋ยวก็ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“เพราะยังงี้ พี่ถึงต้องรีบพาเรามา เอาล่ะ...ขึ้นบันไดทางโน้น”
พี่ชายยังคงจูงมือพาเดินไปเรื่อย ๆ จนขึ้นมาสุดบันไดชั้นบน เบื้องหน้าเป็นประตูที่เปิดสู่ระเบียงดาดฟ้า เทียมภพหยุดอยู่แค่ตรงนั้นแล้วมองหน้าน้องสาวอย่างพินิจ
“น้องพลูครับ...พี่หมากพาหนูมาส่งให้กับคนที่จะมาจูงมือหนูเดินต่อไปบนทางชีวิต” เทียมภพลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน
“พี่หมากไม่กลัวเขาจะปล่อยมือน้องพลูสักวันหรือคะ”
“วันนั้นจะไม่มี คนอย่างพี่...ถ้าไม่มั่นใจว่า ‘ใคร’ จะรักและหวังดีกับน้องพลูของพี่จริง ๆ ก็จะไม่มีวันมอบหัวใจดวงนี้ให้อยู่ในอุ้งมือคนนั้น” จมูกเนียนแตะที่แก้มพี่ชายแทนคำขอบคุณ เทียมภพจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาแล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ
“พอน้องพลูเปิดประตูออกไป...เขาจะรออยู่”
แทนดาวทอดสายตามองพี่ชายที่เดินกลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความตื่นเต้นส่งผลให้หัวใจเขย่าโยน ความพองฟูแผ่ขยายอยู่ในอก ถึงจะเดาถูกแต่ก็ยังลุ้นว่าหลังประตูบานนั้นจะมีใครคอยอยู่ หญิงสาวสูดหายใจยาวลึกแล้วค่อย ๆ ทาบฝ่ามือกับบานประตูเหล็กผลักออกไป เท้าทั้งสองข้างพาร่างก้าวออกไปสู่ดาดฟ้าใต้แสงจันทร์นวลสกาวและดวงดาวไหวระยิบ
หลังเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวตามประเพณีและพวกผู้ใหญ่กลับออกไปกันหมดก็เหลือเพียงคู่บ่าวสาวหมาด ๆ รมย์นลินมองพานส่งตัวที่วางอยู่เบื้องหน้าแล้วเหลือบมองบนเตียงนอนหลังใหม่ที่โปรยทับด้วยกลีบดอกไม้สดปนกับธนบัตรและเหรียญที่ญาติผู้ใหญ่โปรยไว้เป็นเคล็ด พอกวาดสายตามาข้าง ๆ ก็พบเจ้าบ่าวของตัวเองนั่งตาเชื่อมกรุ้มกริ่ม ลักษณะนี้เตือนให้รมย์นลินต้องรีบหลบตา
“เหนื่อยมากไหมครับ วันนี้คนเยอะมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พรุ่งนี้คอยดูเถอะ...หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องลงข่าวแต่งของเรา อย่างวันนี้หน้าฟีดบนเฟสบุ๊คมีแต่ข่าวเราเต็มไปหมด เพราะใคร ๆ ก็อยากเห็นหน้าคุณ อยากรู้จักผู้หญิงที่ทำผู้หญิงด้วยกันอกหักครึ่งค่อนประเทศ” เจ้าบ่าวป้ายแดงคุยอวด คนฟังค้อนให้อย่างนึกหมั่นไส้
“แฟงไม่ได้อยากเป็นข่าวด้วยสักหน่อย แสดงว่าคุณน่ะ...ไปก่อเรื่องไว้มาก ก็เลยมีแต่คนสนใจ”
เทียมภพเชยคางมนเพื่อพิศดูใบหน้าเจ้าสาวแสนสวย ความงดงามตรึงใจที่มองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ แต่สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่เกี่ยวหัวใจของชายหนุ่ม หากแต่เป็นจริยาวัตร ทัศนคติ การดำรงชีวิต ที่เทียมภพเห็นสมควรแล้วว่ารมย์นลินมีความเพียบพร้อมที่จะมาเป็นคู่ชีวิต
“รมย์นลิน...นับจากวันนี้ไป คุณคือคุณผู้หญิงแห่งบ้านทวีกิจไพศาล คุณพ่อคุณแม่ของผม...คือพ่อแม่ของคุณ คุณมีคุณย่าที่เมตตาเอ็นดูคุณ จะมีน้องสาวอีกสองคนที่จะเป็นเพื่อนคุณ คุณจะเป็นนายหญิงคอยดูแลความเป็นไปในบ้านให้เรียบร้อย บริวารจะเชื่อฟังและพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของคุณผู้หญิง และอีกไม่นาน...คุณจะให้กำเนิดทายาททวีกิจรุ่นที่สี่ คุณจะเป็นแม่ของลูก ๆ เป็นศรีภรรยาของผม”
เทียมภพจูบแก้มปลั่งฝาดสีเรื่อของเจ้าสาว รมย์นลินรับฟังด้วยความตื้นตันในหัวใจที่เขาให้เกียรติเชิดชูถึงเพียงนี้ และแม้เทียมภพจะไม่ให้อะไรเลย หล่อนก็พอใจเพียงแค่ได้ตำแหน่ง ‘ศรีภรรยา’ ของเขา สองมือยกขึ้นประนมแล้วก้มกราบลงแทบตักสามีเหมือนจะฝากตัว
“แฟงกราบขอบคุณที่กรุณาและเมตตาและจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุด แฟงขอฝากชีวิตนี้ทั้งชีวิต...ไว้กับคุณ”
เทียมภพประคองร่างระหงขึ้นมากอดแนบชิด เขาเชื่อมั่นว่ารมย์นลินจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี และเขา...จะดูแลครอบครัวให้มีความสุขที่สุด เป็นสามีและพ่อที่ดีตามที่ได้รับโอวาทจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้เป็นสำคัญกับเพื่อนรัก
“ผมรักคุณนะครับ”
เขาจูบหน้าผากมนแล้วระเรื่อยมาหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่ม จากนั้นก็ถอดพวงมาลัยคล้องคอทั้งของตัวเองและรมย์นลินแขวนไว้ที่หัวเตียงแล้วค่อย ๆ ช้อนร่างบางขึ้นวางบนเตียงกว้าง มือข้างหนึ่งจับชายผ้าปูตลบลง เพียงเท่านั้นเศษกลีบดอกไม้กับธนบัตรและเหรียญก็กระจายไป เปิดทางให้ร่างสองร่างนอนอิงแอบกันโดยไร้สิ่งกีดขวาง
“จะไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ” เสียงหวานกระซิบถาม
“เดี๋ยวค่อยอาบ นี่รู้ไหม...ใกล้จะถึงวันเกิดน้องพลูแล้ว เธอมาขอของขวัญกับผมเมื่อวานนี้เอง” ชายหนุ่มบอกเสียงหวานขณะปลดเปลื้องเสื้อสูทออกจากร่าง
“ปีนี้มาแปลก บอกว่าอยากได้ของขวัญมีชีวิต”
“น้องพลูอยากได้อะไรเหรอคะ” คนถามพาซื่อเพราะคิดไปถึงพวกสัตว์เลี้ยงน่ารัก เทียมภพยิ้มเป็นปริศนาแล้วก้มลงกระซิบชิดริมหูเล็กขณะที่อีกมือรูดซิปด้านหลังชุดแต่งงานสีขาวลงจนสุด
“หลาน...น้องพลูบอกว่าอยากได้หลาน ถ้าไม่รีบทำให้เดี๋ยวจะงอน คุณก็รู้ว่าผมตามใจน้อง งั้นเรารีบมาผลิตกันกันดีกว่า เผื่อจะมีข่าวดีมอบให้น้องพลูเป็นของขวัญวันเกิด” คำตอบของคนตัวโตกระตุ้นให้เกิดริ้วแดงประดับพวงแก้มในทันที เทียมภพไม่อยากให้เสียเวลาอีกจึงมอบจุมพิตแสนรัญจวนให้เจ้าสาวในอ้อมกอด
ร่างสูงในชุดสูทสากลสีเทาหันมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดบานประตู นัยน์ตาสีเหล็กทอประกายระยับแข่งกับดาวพราวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ร่างอรชรเดินจับชายกระโปรงยาวก้าวเข้ามาช้า ๆ เจ้าของใบหน้าคมเดินเนิบ ๆ เข้าไปหาจนทั้งคู่หยุด ณ จุดกึ่งกลางดาดฟ้า บรรยากาศบนนี้เงียบสงบ มองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นแสงสียามราตรีของเมืองหลวง ทุกครั้งมันดูวุ่นวายไร้ความสงบ แต่วันนี้แทนดาวรู้สึกว่าเป็นค่ำคืนที่น่าพิสมัยเหลือเกิน
“นึกว่าจะเจอใคร ที่แท้...เป็นคุณอาธารานี่เอง”
แทนดาวทักขึ้นก่อน สรรพนามที่ใช้เรียกทำให้คนฟังยิ้มขัน นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกันแล้วหล่อนเรียกชื่อผิด ๆ อยู่นาน ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝงว่า ‘คุณอาธารา’ รั้งไหล่ลาดให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของกันและกัน
“แล้วที่ยืนตรงหน้าพี่นี่...คน...หรือนางฟ้า” มือหนาสอดเกี่ยวลอนผมยาวอย่างหลงใหล ยิ่งยามเมื่อสายลมปะทะก็ปลิดปลิวพลิ้วไหวราวยอดหญ้าต้องลม
“ลองพิสูจน์ดูสิคะ...ว่าเป็นอะไรกันแน่” สิ้นคำ ริมฝีปากหยักก็ยื่นเข้ามาจุมพิตริมฝีปากกระจับสีชมพูเรื่อ
“รู้แล้ว นี่มัน...นางฟ้า...ในร่างมนุษย์”
“ปากหวานจังนะคะ แล้วทำไมมาหลบที่นี่คนเดียว”
“มายืนดูดาว แต่น้องพลูเชื่อไหม...พี่แหงนจนปวดคอก็ยังไม่เจอดวงไหนจะสวยเท่า...ดาวที่อยู่ตรงหน้าพี่”
ปลายนิ้วอุ่นเชยคางเล็กขึ้น ดวงตาตรงอัลมอนด์สดใสจนเห็นเงาสะท้อนของเขาในนั้น คนถูกมองสานมือกันไว้ด้านหน้าอย่างรู้สึกประหม่า ถึงจะรู้จักกันมานานแต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับแววเกี้ยวพาเช่นนี้เสียที
“พี่หมากพาน้องพลูมาส่งให้คนที่...รักน้องพลูเท่าชีวิต คน ๆ นั้น...ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าน้องพลูไหมคะ”
“ไม่ผิด”
วลีหนักแน่นตอบออกมาแทบจะทันทียิ่งพาให้หัวใจดวงน้อยลอยสูงขึ้น มือบางยกขึ้นสัมผัสผิวละเอียดสีทองแดงที่ประกอบขึ้นเป็นใบหน้าคมคายของบุรุษที่ตนรักสุดหัวใจ
“ถ้าอย่างนั้น...น้องพลูอยากให้พี่ชลถาม ‘คำถาม’ เดิมอีกครั้งได้ไหมคะ”
“แล้วถ้าคำตอบมันเหมือนเดิม...”
“มันจะไม่เหมือนเดิมค่ะ”
เสียงหวานบอกหนักแน่นพร้อมกับมือเรียวบีบกระชับมืออุ่น ชลธีจ้องวงหน้างามลลออไม่วาง ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มหวานอบอุ่น เขาจุมพิตมือนุ่มคู่นั้นแล้วส่งสายตาสะกดให้คนตรงหน้าอยู่นิ่ง
“แต่งงานกับพี่ไหม”
“แต่งค่ะ”
รอยยินดีฉายชัดในดวงตาสีเหล็ก นาทีต่อมาวงแขนแข็งแกร่งก็รัดร่างอรชรเอาไว้แนบอก หัวใจทั้งสองดวงลอยสูงขึ้นไปอยู่คู่กัน ณ ผืนฟ้าพร่างดาว เป็นนานกว่าที่แขนแข็งแรงข้างเดียวกันจะผละร่างบางออกแต่ก็ห่างอยู่เพียงนิดเดียว “แทนดาว...กลับมาอยู่เคียงคู่ทะเลเหมือนเดิมนะครับ อย่าทิ้งท้องทะเลมืดมิดไปอีกเลย ในวันที่หัวใจของพี่ไร้ดวงดาวมาส่องสว่าง ทุกอย่างมันสิ้นหวังไปหมด ชีวิตพี่จะเป็นยังไงถ้าไม่มีแทนดาว”
หญิงสาวอิ่มเอมกับคำหวานที่เขาจาระไนออกมา แต่นั่นก็ยังไม่เท่าความรู้สึกลิงโลดเมื่อนิ้วนางข้างขวาสัมผัสกับวัตถุเย็น ๆ พอเพ่งมองดูก็เห็นแหวนทองคำขาว หัวแหวนเป็นบลูแซฟไฟร์หรือเพชรสีน้ำเงินรูปหัวใจ ใบหน้าหวานยิ้มกว้างพอ ๆ กับดวงตาที่เบิกโตอย่างตั้งคำถาม
“มันกลับมาอยู่กับเจ้าของของมัน พี่ชายเรา...ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ”
“ไม่มีวันไหนที่น้องพลูไม่คิดถึงมัน...พี่ชลเชื่อไหมคะ” หญิงสาวลูบคลำแหวนด้วยความดีใจและคิดถึงอย่างที่พูด
“เชื่อสิคะ...น้องพลูรักพี่ขนาดนี้ ก็ต้องรักทุกอย่างที่พี่ให้เหมือนกัน”
“ต๊าย...พูดเอง เออเองนะคะนั่น” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนแล้วดึงร่างเล็กมากอดอีกครั้ง จมูกโด่งกดลงบนกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยผมหอม
“ถ้าไม่อยากให้พี่ทึกทักเอาเอง น้องพลูก็ต้องพูดออกมา” เกิดความเงียบนานช้า แทนดาวซุกหน้ากับอกอุ่นทำเหมือนไม่ได้ยินที่จนคนพูดต้องถามย้ำ
“พี่รักน้องพลูเหลือเกินแล้ว แล้วน้องพลูล่ะคะ...รักพี่ชลไหม” คนตัวเล็กอมยิ้มอยู่สักครู่ก็เขย่งปลายเท้าขึ้นแตะกลีบปากกับริมฝีปากหยักเบา ๆ
“น้องพลูรักพี่ชลค่ะ ดาวดวงนี้จะอยู่เคียงคู่ทะเลตลอดไป”
ภายใต้ท้องฟ้ามืดดุจกำมะหยี่ประดับดาวเป็นจุดเล็ก ๆ สองร่างตระกองกอดกันแนบแน่นถ่ายทอดความรู้สึกล้ำลึกให้กันและกัน ไออุ่นของลมหายใจจากคนร่างสูงค่อย ๆ รดไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากมนจนมาจรดที่ริมฝีปากระเรื่อ รสสัมผัสผิวเนิบนาบนุ่มนวลราวกลีบดอกไม้ต้องเกร็ดน้ำค้าง ช่างหวานและสุขล้น ต้นรักที่ทั้งคู่ช่วยกันดูแลตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ด บัดนี้งอกงามผลิดอกเบ่งบาน ถึงบางครั้งจะมีหนอนแมลงมารบกวนให้รำคาญ แต่ทว่ารั้วใจที่มั่นคง...เหล่าหนอนแมลงต่างก็ล่าถอยไปในที่สุด
-อวสาน-
ความรัก...เคยทำให้เขา...บุรุษผู้แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าทรุดกายลงด้วยอาการใจแตกสลายเพราะพิษร้ายของมัน
ความรัก....ได้หล่อหลอมให้เธอ...สตรีบอบบางกลับแข็งแกร่งด้วยอานุภาพของมัน
สองคน สองใจ ช่วยกันเพาะปลูกต้นรัก...ในรั้วแห่งใจ คนหนึ่งเป็นดิน คนหนึ่งเป็นน้ำ ความเอาใจใส่เอื้ออาทรซึ่งกันและกันคือปุ๋ยชั้นดี จากเมล็ดเล็ก ๆ ค่อยแทงราก แตกยอดอ่อนจนฝังรากแก้วลึกลงในหัวใจของทั้งคู่...ปลูกรักในรั้วใจ
อีกสองวันก็จะถึงงานสำคัญ ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวค่อยมีเวลาพักหายใจหน่อยเพราะทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว บ้านทวีกิจไพศาลก็เริ่มคึกคักเมื่อญาติ ๆ บางส่วนเดินทางมาพักที่บ้านเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานมงคล ถึงงานเช้าจะไม่ได้จัดที่นี่ แต่เจ้าบ้านอย่างคุณลำเภาก็อดไม่ได้ที่จะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานสารพัดอย่างเพื่อต้อนรับลูก ๆ หลาน ๆ เทียมภพกลับมานั่งดวลคออยู่กับพวกพี่น้องหลังจากช่วยรมย์นลินย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าหอเสร็จ แทนดาวเพิ่งจะไปรับชุดเพื่อนเจ้าสาววันนี้สด ๆ ร้อน ๆ ก็เห่อออกหน้าออกตา ลองแล้วลองอีกอยู่กับลูกผู้น้อง
“ขวัญไม่ชอบกระโปรงยาว ทำไมต้องสวมยาว ๆ ด้วยล่ะ เกะกะก็เท่านั้น” แทนขวัญลูกผู้น้องพลิกชุดราตรีที่พี่สาวเลือกให้แล้วก็วางมันลงบนเตียงอย่างเดิม น้ำเสียงบ่งบอกความไม่ถูกใจ
“แบบสั้นเอาไว้ใส่งานกลางวัน นี่...พี่จะเดินไปบ้านโน้น ไปยืมเข็มกลัดสวย ๆ ที่พี่ผึ้งสักอัน น้องขวัญจะไปไหม”
“พี่พลูไปเถอะ ขวัญจะไปลองกล้อง” แทนขวัญตอบเหนื่อย ๆ แล้วฉวยเอากล้องถ่ายรูปที่เพิ่งซื้อมาไม่กี่วันก่อนมาจับเล่น กดปุ่มต่าง ๆ หมุนเลนส์ไปมาอย่างคนเห่อของใหม่
ปลายเดือนกำลังพับเสื้อผ้าและจัดของจำเป็นส่วนที่เหลือลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่กางอ้าบนเตียง มีอีกใบที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ววางอยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนกว้างดูโล่งตาขึ้นเป็นกองเมื่อข้าวของบางส่วนถูกเก็บลงกระเป๋า กำหนดวันเดินทางจะมาถึงหลังเสร็จงานแต่งไปอีกสามวัน
แทนดาวเคาะประตูสองครั้งแล้วเปิดเข้ามา แวบแรกที่เห็นพี่สาวจัดข้าวของก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ สองปีอาจจะไม่ยาวนาน แต่ด้วยความรักและผูกพันก็ย่อมต้องคิดถึงกันมากเป็นธรรมดา หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ กระเป๋าเดินทางแล้วเริ่มพูดเสียงละห้อย
“น้องพลูคงคิดถึงพี่ผึ้งมากแน่ ๆ ไม่มีใครทำผม แต่งหน้าแต่งตัว เป็นเพื่อนช้อปปิ้งไปอีกตั้งสองปี”
“ก็คุณแฟงไง อีกไม่กี่วันเธอก็จะมาเป็นพี่สะใภ้เราแล้วนะ”
“พี่แฟงก็ต้องดูแลพี่หมาก จะมาดูแลน้องพลูได้ไง”
แทนดาวกระเถิบเข้าไปใกล้อีก ปลายเดือนวางกิจกรรมในมือมาลูบผมน้องแผ่วเบา ถึงจะมีช่วงเวลาที่ไม่ลงรอยกันทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องไม่ค่อยจะดีในตอนแรก แต่ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้วปลายเดือนถึงรู้ว่าตนเองรักน้องสาวคนนี้มากเพียงใด
“ในระหว่างที่พี่ไม่อยู่ น้องพลูช่วยดูแลคุณย่า พ่อกับแม่ของพี่ด้วยนะ โทรไปคุยกับพี่บ้าง แล้วถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมกันมั่งนะ พี่ก็คงจะคิดถึงเรามากเหมือนกัน”
“ค่ะ...พลูจะทำหน้าที่แทนพี่ผึ้ง แล้ววันรับปริญญา...พี่ผึ้งจะมาได้ไหม”
“พี่ยังให้คำตอบไม่ได้หรอกนะ แต่ที่แน่ ๆ งานแต่งของน้องพลูกับคุณชล พี่ต้องกลับมาแน่นอน อย่าลืมส่งข่าวแต่เนิ่น ๆ นะ”
แทนดาวโผเข้ากอดเอวพี่สาวด้วยใจเปี่ยมสุขถึงความรักและปรารถนาดีที่พี่สาวคนนี้มอบให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากคู่ที่ไม่ถูกกันถึงขั้นเกือบตัดญาติขาดมิตรจะมีวันที่กลับมารักใคร่กลมเกลียว จนเสียงประตูแง้มปลุกให้สองพี่น้องหันหน้าไปมองผู้มาใหม่ พี่ชายคนโตเดินยิ้มเผล่เข้ามา เทียมภพเดินตามหาน้องสาวคนเล็กไปทั่วบ้านจนแทนขวัญบอกว่ามาอยู่ที่นี่ พอเห็นว่าสองสาวกำลังกอดกันกลมก็อดปลื้มใจไม่ได้
“แอบมากอดกันอยู่สองคน ไม่เห็นชวนพี่มั่งไงสีผึ้ง...เก็บของอยู่เหรอ”
เทียมภพมาหยุดยืนตรงหน้าทั้งคู่แล้วกวาดตามองข้าวของที่วางกองกันอยู่บนเตียงก่อนจะแทรกตัวลงนั่งระหว่างกลาง เขากอดน้องสาวเอาไว้คนละข้างด้วยความรักเปี่ยมล้น มิรู้เหน็ดเหนื่อยที่ได้ทุ่มเทกายใจดูแลทั้งสองคนให้มีชีวิตที่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่น้อง ๆ ต้องการ เขาไม่เคยรีรอที่จะไปเสาะหามาให้ สองสาวต่างตื้นตันที่มีพี่ชายเป็นเทียมภพคนนี้
“พี่มีน้องสาวสองคน คนนึงทั้งสวย ทั้งเก่ง งานการอะไรทำได้ดีเยี่ยม...ไว้วางใจได้เลย ส่วนอีกคนก็เป็นเด็กดี น่ารักสดใส ใครอยู่ด้วยก็สุขกายสุขใจ ผู้ชายทั้งโลกนี้...จะมีใครน่าอิจฉาเท่าพี่กันล่ะ” เนื้อเสียงประกาศความภาคภูมิเหลือล้น
“เอาไว้จบเรื่องงานก่อน แล้วอีกสักพักพี่จะไปหานะ อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศกำลังดี”
“ดีค่ะ เดี๋ยวผึ้งจะพาเที่ยวเอง”
“นี่น้องพลู...พี่ตั้มถามหาแน่ะ ตาเต็งหนึ่งก็ร้องเรียกแต่อาพลู ๆ ”
เขาหันมาบอกน้องสาวคนเล็กที่รีบลุกออกไปอย่างว่าง่าย เข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างจะคุยกับพี่สาวเป็นการส่วนตัว พอน้องคนเล็กออกไปแล้วก็หันมาพูดกับน้องคนรองต่อด้วยท่าทีสงบ
“สีผึ้ง...ใจจริงแล้วพี่ไม่ได้อยากให้เราไปหรอกนะ แต่ถ้าเรายืนยันว่าต้องการไปเรียนต่อ...พี่ก็ไม่ห้าม แต่ถ้าไปด้วยเหตุผลอย่างอื่นก็อยากบอกว่า...การหลบหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี”
“พี่หมาก...” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหล่อด้วยน้ำใส
“แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้ว...ก็จงทำมันให้ดี พี่เชื่อว่าเราทำได้ รู้ไหม...ปลายเดือนมีความหมายว่าอะไร” เขาถามเสียงอบอุ่น หญิงสาวส่ายหน้าระคนความอยากรู้
“ตอนอารินท้อง คุณย่ารู้ว่าได้หลานผู้หญิงก็เลยจะตั้งชื่อเตรียมไว้ ตอนนั้นพี่ยังเด็ก...พอคุณย่าถามว่าอยากให้น้องชื่ออะไร พี่ก็ชี้ไปพระจันทร์เต็มดวงสว่างจ้าในคืนนั้น แล้วบอกว่า...ชื่อเดือนหงาย” เทียมภพหยุดขำ คนฟังหัวเราะตาม
“ท่านก็ว่า...ผู้หญิงอะไรชื่อคว่ำ ๆ หงาย ๆ มันฟังไม่เพราะ ก็เลยเปลี่ยนเป็นปลายเดือน ความหมายคือ....ดวงจันทร์ส่องสว่างตรงสุดปลายฟ้า สีผึ้ง...ถึงบางครั้งเราจะคิดว่าตัวเองอยู่ในมุมมืดลับสายตา แต่พระจันทร์ตรงปลายฟ้าก็ส่องสว่าง โดดเด่น”
“ผึ้งรักพี่หมากนะคะ” ปลายเดือนกราบแทบอกพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความตื้นตัน
“พี่รู้...พี่เองก็อยากให้เรามีความรักที่สมบูรณ์เสียที” เทียมภพเกริ่นนำเข้าเรื่องที่ต้องการบอกน้อง ปลายเดือนเข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องการพูดเรื่องอะไรต่อ
“คนที่เราคิดว่าเพียบพร้อมแต่จริง ๆ แล้วอาจจะบกพร่องหลายอย่าง กลับกัน...คนที่ดูว่าขาด ก็อาจจะมีครบทุกอย่าง สีผึ้ง...พี่อยากให้เราเปลี่ยนมุมมองในการเลือกคบคนเสียใหม่ รูปลักษณ์ภายนอก สังคม ชาติตระกูล ล้วนเป็นเปลือกห่อหุ้ม เราอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ต่างจากคนอื่น ความ ‘เท่าเทียม’ หรือ ‘เสมอกัน’ เขาวัดกันที่คุณธรรม ความคิด การกระทำ ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตหรือนามสกุลดัง ๆ....”
“ดูอย่างเราสิ...ผึ้งกำลังจะมีพี่สะใภ้เป็นลูกกำพร้า เธอเติบโตมาโดยการอุปการะจากคนอื่น แต่พี่ไม่เคยสนใจชาติกำเนิดเชื้อสายอะไรนั่น จิตใจและการกระทำของเธอสูงส่งกว่าลูกคุณหญิงคุณนายบางคนเสียอีก ผึ้งลองเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิดนึง แล้วก็จะมองเห็นคนที่รักและพร้อมจะดูแลน้องพี่ด้วยความรักจากใจจริง”
เทียมภพลูบแก้มน้องสาวแผ่วเบา เขาไม่อาจเดาว่าคนฟังจะมีความเห็นประการใดด้วยรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ค่อนข้างถือตัวและ ‘หยิ่ง’ ในสายเลือดมาก ปลายเดือนมักเลือกที่จะคบคนที่เสมอด้วย ยศ ศักดิ์ ฐานันดร สังคม มากกว่าจะที่มองลึกลงไปในจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพบกับผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเปลือกเคลือบที่ดูหรูหราสง่างามแต่เพียงภายนอก
งานมงคลสมรสระหว่างเทียมภพกับรมย์นลินจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกสมฐานะ พิธีการตอนเช้าทั้งหมดจัดขึ้นที่บ้านธาราพิศุทธิ์ตามความประสงค์ของฝ่ายเจ้าสาวที่อยากให้กระชับและเรียบง่ายที่สุด แต่กระนั้นแขกผู้ใหญ่ที่เชิญให้มาร่วมพิธีล้วนได้รับการ ‘คัดสรร’ มาแล้วทั้งสิ้น เรียกว่ามิได้น้อยหน้าใครเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ฝ่ายชายซึ่งเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธาน ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็คือคุณกระสินธุ์ คุณลุงของชลธี ท่านเป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทศรีตรังอันเก่าแก่ซึ่งครอบครองกิจการแทบจะทุกอย่างในจังหวัดตรัง เป็นนักการเมืองท้องถิ่นผู้กว้างขวางและมีอิทธิพลจนพูดได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก
สถานที่และอาหารการกินก็ใช้ออแกไนเซอร์จากธาราจัดการทั้งหมด บ้านทั้งหลังจึงดูถูกเนรมิตให้เป็นปราสาทดอกไม้สดโดยเลือกใช้สีเหลืองเป็นหลักตามรสนิยมของเจ้าสาว เริ่มตั้งแต่ซุ้มโค้งตรงประตูทางเข้าที่ดัดเป็นรูปหัวใจประดับดอกไม้สดกับผ้าแก้วผูกเป็นโบใหญ่ สนามหน้าบ้านที่ปลูกไม้ใบไม้ดอกไว้อย่างสวยงามวางร่มผ้ากับชุดเก้าอี้สนามสีเดียวกันสำหรับรับรองแขกที่มาร่วมพิธีในตอนเช้า
ขบวนขันหมากมาถึงตามฤกษ์เจ็ดนาฬิกาพอดี เสียงกลองยาวตีนำขบวนตั้งแต่ปากซอย เจ้าบ่าวนั่งเป็นสง่าอยู่บนเจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงคู่ใจที่วันนี้เปิดประทุนหราให้เจ้านายนั่งลอยหน้าลอยตา ตามติดมาด้วยขบวนสินสอดทองหมั้นและสิ่งของอื่น ๆ ครบเครื่องตามตำรา เทียมภพอยู่ในชุดไทยแบบประยุกต์ ท่อนบนเป็นเสื้อสูทสีแดงทับทิมสวมทับเสื้อกั๊กสีเดียวกัน ชั้นในสุดเป็นเสื้อเชิ้ตขาวผูกโบผ้าสีทอง ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าโจงกระเบนสีม่วงอ่อนปักแซมด้วยดิ้นทอง ทรงผมหวีปาดเรียบแปล้จนเพื่อน ๆ ต่างตั้งฉายาเรียกเจ้าบ่าวว่า ‘เจ้าคุณภพ’
ถัดจาก ‘เจ้าคุณภพ’ ก็เป็นญาติ ๆ และเฮียสี่ บ. ที่ช่วยกันถือต้นกล้วยต้นอ้อยคนละไม้ละมือ ใกล้ ๆ กันเป็นสามสาวพี่น้องคือ ปลายเดือน แทนดาว และแทนขวัญ ถือพานสินสอดเดินตามมา ทั้งสามอยู่ในชุดไทยรัชกาลที่ 5 สวมเสื้อลูกไม้แขนยาวสีทองกับผ้าซิ่นยาวแค่เข่าสีครีมทอดิ้นทองตรงชายผ้า แทนดาวยิ้มหน้าบานสุดที่วันนี้จะมีพี่สะใภ้ที่หมายตามานาน
พอขบวนเคลื่อนมาถึงกลางซอย เจ้าบ่าวก็มีอันต้องลงเดินเพราะเจอด่านประตูแรก จากนั้นก็มีประตูถัด ๆ เรียงยาวเป็นระยะถี่ไปอีกนับสิบกว่าจะถึงหน้าบ้าน เสียงต่อรองค่าผ่านทางกับเสียงหัวเราะครื้นเครงดังอึงอลสร้างความตื่นเต้นให้เจ้าสาวจนอดไม่ได้ที่จะแง้มม่านดู รมย์นลินนุ่งห่มชุดไทยสไบเฉียงปักด้วยปล้องทองเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงตลอดผืน บ่งบอกถึงความประณีตและชำนาญในเชิงช่างชั้นสูง ผ้านุ่งสีครีมสอดสลับดิ้นทองจับจีบหน้านางปักปล้องทองเฉกเดียวกับชายผ้านุ่ง เนื้อผ้าสีครีมทองขับให้เจ้าสาวแลดูผุดผ่องดุจรัศมีสีทองยามรุ่งอรุณ ใบหน้าหวานแต่งแต้มออกโทนสีทองกลมกลืนกับอาภรณ์ที่สวมใส่ ผมรวบตึงเกล้าเป็นมวยต่ำจับช่องดงาม ตรงมวยคาดด้วยมาลัยมะลิกรองละเอียด ปักแซมด้วยปิ่นทองคำแท้ที่คุณลำเภามอบให้เป็นการรับขวัญหลานสะใภ้ รับกับสายสะพายทองเส้นยาวและหัวเข็มขัดนพเก้าซึ่งคุณหลีออกแบบให้ใหม่และคิดราคาพิเศษให้โดยเฉพาะ
“ตื่นเต้นมากไหมจ๊ะ”
ชลธีเดินเข้ามาหาน้องสาวที่ยืนแอบดูขบวนขันหมากอยู่ริมหน้าต่าง หญิงสาวรีบเดินเข้ามาหาแล้วส่งสายตาบอกช่างแต่งหน้ากับเพื่อนอีกสามคนว่าขออยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วดึงมือน้องสาวให้นั่งลงข้างๆกัน
“เพลียมากกว่าค่ะ ก่อนวันงานก็ยุ่งเหยิงไปหมด แทบไม่ได้หยุดเลย”
ถึงปากจะบ่นเพลียแต่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับเสียงใส ๆ ชี้ชัดว่าเจ้าสาวตื่นเต้นขนาดไหน ชลธีมองน้องสาวด้วยสายตาปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แม่ของเขารับมาอุปการะตั้งแต่อายุได้วันเดียว วันนี้เติบโตเป็นสตรีสวยงามทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ เด็กผู้หญิงแสนอาภัพที่เกิดมาท่ามกลางความไม่พร้อมของผู้ให้กำเนิด หากมารดาเวทนาและสงสาร เขาเองก็อยากมีน้องเล็ก ๆ รมย์นลินจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และวันนี้ก็กลายเป็นเจ้าสาวแสนสวย
“ต่อไปนี้ใครจะเล่นเพลงให้พี่ฟังในวันหยุด ใครจะทำอาหารใต้รสจัด ๆ ให้กิน ใครจะคอยกวนใจพี่อีก”
“พี่ชลคะ...แฟงมีบุญวาสนาเหลือเกินที่ได้เป็นน้อง เป็นลูกของแม่ แฟงไม่เคยคิดว่าความกำพร้าหัวเดียวกระเทียมลีบเป็นปมด้อย คุณแม่กับพี่ชลเลี้ยงดูแฟงอย่างดีเกินความคาดหวังของลูกกำพร้าคนหนึ่งจะได้รับเสียอีก ชาตินี้จะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะสมควร”
ใบหน้าหวานเอนซบไหล่ผู้ที่เป็นทั้งพี่และพ่อ ความซาบซึ้งสำนึกในบุญคุณอาบเอิบอยู่ในหัวใจ ชลธีโอบไหล่น้องสาวกระชับ เขาไม่เคยคิดว่ารมย์นลินเป็นแค่เด็กในอุปการะ แต่หล่อนเป็นเสมือนน้องร่วมสายเลือด ดังนั้นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะใจหายเมื่อวันนี้มาถึง วันนี้ที่น้องสาวคนเดียวจะต้องไปเป็นของคนอื่น
“แฟงเป็นน้องที่ดี เป็นลูกที่ดี และพี่เชื่อว่าจะต้องเป็นแม่บ้านที่ดีแน่ ไอ้หมากมันโชคดีที่สุดที่ได้น้องแฟงไป ส่วนพี่...ก็โชคดีเหมือนกันที่ได้มันมาเป็นน้องเขย ไอ้หมากมันเป็นคนดี ถึงภายนอกจะดูไม่ได้เรื่อง พี่ถึงวางใจให้เราได้ใช้ชีวิตคู่กับมัน”
ชายหนุ่มพูดถึงเพื่อนรักที่กำลังตะโกนโหวกเหวกพยายามฝ่าประตูเงินประตูทองเข้ามา รมย์นลินเงยหน้ามองพี่ชาย ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตาจนคนเป็นพี่ต้องรีบกรีดให้
“อย่าร้องซี...เดี๋ยวก็หมดสวยกันพอดี”
ชายหนุ่มยื่นซองสีน้ำตาลที่ถือติดมือมาให้น้องสาว รมย์นลินรับมาเปิดดูช้า ๆ ในนั้นมีกระดาษสีขาวคล้ายจดหมายอยู่ปึกหนึ่ง หญิงสาวกวาดตาอ่านข้อความบนแผ่นแรกสุดจากนั้นก็ไล่เปิดที่เหลือดูผ่าน ๆ แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ชลเอาเอกสารพวกนี้มาให้แฟงดูทำไมคะ”
“อย่างที่พี่บอก...แฟงเป็นลูกที่ดีมาเสมอ ไม่เคยทำให้พี่กับแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ความภาคภูมิใจ นี่เป็นของขวัญวันแต่งงานที่พี่ตั้งใจมอบให้ เคียงธารา...จะเป็นของแฟง พี่ขอให้แฟงดูแลรักษามันต่อไปให้ดีเหมือนที่แม่กับพี่ทำมา”
รมย์นลินรีบสอดใบเอกสารสิทธ์ต่าง ๆ กลับเข้าซองอย่างเดิมแล้วรีบยื่นคืนให้ หล่อนไม่ควรได้รับอะไรมากไปกว่าความเมตตาที่บุคคลทั้งสองได้เลี้ยงดูมาจนได้ดิบได้ดีเพียงนี้
“แฟงไม่รับหรอกค่ะ เคียงธาราควรจะเป็นของเจ้าของที่แท้จริงโดยสายเลือด ไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างแฟง พี่ชลอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”
“แฟงจ๊ะ...สำหรับพี่กับแม่ แฟงคือสายเลือด ‘ธาราพิศุทธิ์’ ถึงเราจะใช้คนละนามสกุล ไม่ได้มีความเกี่ยวดองเป็นญาติ แต่รมย์นลิน...คือคนในครอบครัว พี่คิดดีแล้วที่ยกมรดกนี้ให้เราไปดูแลต่อ อย่างน้อย...รุ่นลูกหลานของแฟงจะได้มีเคียงธาราเอาไว้ระลึกถึง ตา ยาย ลุง ที่สร้างมันมาด้วยความรัก เด็ก ๆ จะได้รักใคร่กลมเกลียวเหมือนกับที่ครอบครัวเรารักกัน”
น้ำเสียงของชลธีช่างเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาจนทำให้รมย์นลินรู้สึกแน่นในอก ถ้าพี่ชายไว้วางใจให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลมรดกอันประเมินมูลค่าไม่ได้เช่นเคียงธาราแห่งนี้ ก็พร้อมที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลรักษามันอย่างดีที่สุดเป็นการตอบแทนพระคุณ
“แฟงจะดูแลเคียงธาราอย่างดีที่สุด จะปลูกฝังลูกหลานให้รักที่นั่นอย่างที่คุณแม่กับพี่ชลฝากความหวังไว้ แฟงกราบขอบพระคุณจากใจ”
รมย์นลินน้ำตารื้นเมื่อก้มกราบลงแทบตักด้วยความซาบซึ้ง ชลธีดึงตัวน้องสาวมากอดแนบแน่น หญิงสาวสัญญา
กับตัวเองว่าจะดูแลรีสอร์ทแห่งความรักความผูกพันให้ดีเพราะเคียงธาราคือความรัก คือความเป็นครอบครัวที่หล่อหลอมให้ตนเติบโตขึ้นมา
“ชอบใจมากนะแฟง เอาล่ะ...เสียงแห่เงียบแล้ว เดี๋ยวก็คงมีคนมาตามตัวเรา พี่ลงไปรอข้างล่างก่อน ส่วนเรื่องเอกสารนี่...รอให้จบเรื่องแต่งงานเสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้อง”
ตอนที่คุณวารีจูงบุตรสาวมาส่งให้กับเทียมภพ ทุกคนที่นั่งรายล้อมอยู่ตรงนั้นต่างเห็นอาการตะลึงตาค้างของ
เจ้าบ่าว แต่พอได้สติก็รีบล้วงกระดาษเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อกาฬ กิริยานั้นเรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนที่อยู่รอบ ๆ ตัว
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทางเก้อเขินเหมือนหนุ่มน้อยขาดความมั่นใจเมื่อจีบสาวครั้งแรก ยิ่งพอได้รับรอยยิ้มหวานจับจิตจากเจ้าสาวก็ยิ่งทำให้หัวใจชายชาตรีเต้นตึกตักผิดจังหวะ
“นายหมากทำท่ายั้งกะอิเหนาเห็นบุษบาครั้งแรก นี่ยังดีว่าเหงื่อแค่แตก...ไม่ถึงกับสลบ”
ท่านอดีตนายกฯ แซวเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง พิธีกรประกาศฤกษ์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและมอบสินสอดทองหมั้นละลานตาอันประกอบด้วย เงินสดใส่พานจำนวนหนึ่งและที่เป็นเช็คอีกสามใบ ทองรูปพรรณทั้งของเก่าของใหม่ เครื่องเพชร โฉนดที่ดิน แหวนเพชรซึ่งเป็นแหวนแต่งงานของคุณดวงทิพย์ที่ตั้งใจมอบให้บุตรชายไว้แต่งสะใภ้คนโต
“ยินดีต้อนรับ คุณรมย์นลิน ทวีกิจไพศาล”
เทียมภพกระซิบบอกเจ้าสาวของเขาขณะสวมแหวน จังหวะนั้นเกิดเสียงกดชัตเตอร์ถี่รัวจากช่างภาพที่จ้างมาและสื่อมวลชนที่ไม่ได้เชิญแต่ก็แห่มากันเอง เทียมภพอวดแหวนที่เพิ่งสวมให้เจ้าสาวแล้วยิ้มชื่นมื่นให้ตากล้องอย่างรู้งาน และโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครบอกบท เจ้าบ่าวไวไฟยิ่งกว่าน้ำมันเบนซินก็บรรจงหอมแก้มเจ้าสาวต่อหน้าแขกเหรื่อซึ่งเรียกเสียงตบมือเกรียวกับเสียงโห่ร้องจากเพื่อนฝูง
“คุณหมาก !” รมย์นลินทำเสียงดุแต่แก้มแดง
ส่วนของรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็มีพระเครื่องเลี่ยมกรอบทองจากคุณเที่ยงธรรม คุณดวงทิพย์
มอบชุดเครื่องประดับมุกล้อมเพชร คุณลำเภามอบกำไลทองฝังเพชรกับแหวนทองสลักนามสกุลให้เป็นสัญลักษณ์ว่า แต่นี้ต่อไปรมย์นลินคือคนในครอบครัวทวีกิจไพศาล คุณหลีมอบทองคำแท่งกับเงินขวัญถุง ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็มิได้น้อยหน้า ญาติจากทางใต้อย่างคุณลุงกระสินธุ์มอบเชคเงินสดตัวเลขเจ็ดหลักให้หนึ่งใบ ส่วนญาติคนที่ทำฟาร์มมุกให้สร้อยมุกแท้พร้อมต่างหูเข้าชุดกัน คุณวารีรับขวัญลูกเขยด้วยสร้อยพระ ส่วนชลธีนั้น นอกจากจะมอบทรัพย์สินบางส่วนให้น้องสาวไปแล้ว ก็ยังรับขวัญน้องเขยและว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยรถยนต์เอนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อหรูหราสัญชาติอังกฤษ
“ฉันซื้อให้แกพายัยแฟงกับลูก ๆ ไปไหนต่อไหน อย่าให้เห็นว่าวันหนึ่งแกให้ใครนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคันนี้...ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก” คนให้ถือโอกาสข่มและขู่ไปด้วย
“เออ...รู้แล้วล่ะน่า สันดานเก่า ๆ ทั้งหลายน่ะ ละ เลิก ลด ไปหมดแล้วเว้ย อ้อ...ถ้าจะมีคนนึงก็คงเป็นยัยพลู” สองหนุ่มหันไปมองคนที่เอ่ยถึงโดยพร้อมเพรียงกัน สาวน้อยกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล ชลธียิ้มมุมปากแล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น...ฉันอนุญาต”
ในขณะเดียวกัน คนที่ถูกพูดถึงก็เอาแต่ถ่ายรูปเล่นเลยไม่รู้ตัวว่า มีใครคนหนึ่งแอบมองตาละห้อยตั้งแต่เมื่อเช้า ยิ่งตอนที่ถือพานสินสอดคลานเข่ามาวางรวมกับข้าวของอื่น ๆ ก็แทบอยากอุ้มมานั่งตักแล้วกอดหอมให้ชื่นใจ ถ้าจะบอกว่าเจ้าบ่าวอย่างเทียมภพตื่นเต้นตะลึงงันกับความงามของเจ้าสาวเพียงใด ความรู้สึกของชลธีเมื่อห็นสาวน้อยในชุดไทยคนนี้ก็แทบไม่ต่างกัน
เมื่อเสร็จจากพิธีรับไหว้ก็ถึงเวลารดน้ำ คู่วิวาห์นั่งเคียงกันยิ่งดูเหมาะสมลงตัว ตรงหน้าของทั้งสองมีพานดอกไม้สดทรงพุ่มสำหรับรองรับน้ำสังข์ ท่านอดีตนายกฯ สวมมงคลให้คู่บ่าวสาว คุณลุงกระสินธุ์เจิมหน้าผาก จากนั้นบรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยมาต่อแถวรดน้ำอวยพร แทนดาวกับปลายเดือนทำหน้าที่ช่วยเติมน้ำสังข์ ส่วนเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคนช่วยแจกของชำร่วยเป็นตลับไม้เล็ก ๆ กลึงเป็นรูปทรงต่าง ๆ ลงแลกเกอร์เงางามบรรจุในถุงผ้าแก้วสีทอง นอกจากจะมีประโยชน์ใช้สอยไว้ใส่สิ่งของเล็ก ๆ แล้ว ยังแฝงความหมายอีกอย่าง คือ ไม้เป็นสินค้าเครื่องเรือนยุคแรกของทวีกิจ
พอจบพิธีรดน้ำ ก็เป็นเวลาพักผ่อนและเลี้ยงรับรองแขก เทียมภพจูงเจ้าสาวไปยังมุมที่พวกนักข่าวนั่งรวมกลุ่มกันหน้าสลอนเพื่อรอสัมภาษณ์และถ่ายรูป แทนดาวหมดหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวแล้วก็ปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำบ้าง พอกลับออกมาก็เห็นพี่ชายเจ้าสาวยืนยิ้มพยักหน้าเรียกให้ไปหา
ที่สวนหย่อมริมสระน้ำ สองหนุ่มสาวยืนใต้ร่มเงาของต้นปีบ ตั้งแต่เช้าก็เพิ่งจะได้คุยกันตอนนี้เองเพราะต่างคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ตอนอยู่ในช่วงพิธีการ ชลธีวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้ใกล้ ๆ แล้วเอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมของสาวน้อย ตรงขมับมีรอยชื้นเหงื่อจาง ๆ ริมฝีปากบางแต่งแต้มสีชมพูกลีบบัวน่าสัมผัสเหลือเกิน สายตาฉ่ำเชื่อมจับจ้องอยู่แต่วงหน้าพริ้มเพราที่แอบชะเง้อมองตั้งแต่ตอนเดินอยู่ในขบวนแห่ขันหมาก ความงามสะคราญสะกดสายตาจนไม่อาจละไปไหนได้เลย ยิ่งเวลาสวมชุดไทยครบเครื่องแบบนี้ก็ยิ่งดูน่ารัก สมสง่าบุตรีอดีตท่านทูต
“ลูกสาวใครเนี่ย...สวยจัง จีบได้ไหมครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ แฟนหวงมาก” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน
“นี่ขนาดหวงมาก...ก็ยังมีคนแอบมาขอเบอร์” น้ำเสียงเจือความไม่สบอารมณ์ตอนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเองมัวแต่ยุ่ง ๆ คุยกับแขกผู้ใหญ่ก็เลยเป็นการเปิดโอกาสให้ชายคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยใกล้ชิดกับแทนดาวจนได้
“คิดมากไปได้ เขาแค่อยากติดต่อให้น้องพลูไปสอนเปียโนให้หลานเขา เด็กอายุเจ็ดขวบเอง”
“งั้นพี่ก็ขอพูดแทนไอ้หมากเลยว่า...ไม่ได้ค่ะ อยากให้หลานเรียนก็ต้องมาที่โรงเรียน พี่คงยอมให้น้องพลูไปสอนตามบ้านไม่ได้หรอก”
“ว่าแต่พี่หมากไม่มีเหตุผล พี่ชลเองก็ชักจะไม่มีเหตุผลเหมือนพี่หมากเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“ไม่เหมือนกันนะ พี่มีเหตุผลอันสมควรจริง ๆ เดี๋ยวพี่จะเดินไปบอก...นายอะไรนะ...วิกฤตเหรอ ? ”
“สุกฤตค่ะ” หญิงสาวหัวเราะพรืดกับชื่อที่เขาจงใจเรียกผิด
“อะไรนั่นแหละ...ว่าน้องพลูไม่สะดวกสอนตามบ้านเพราะว่าแฟนไม่อนุญาต”
“ยี๋...นี่คุณพี่ชายของพี่สะใภ้จะไม่ให้ดิฉันกระดิกกระเดี้ยไปไหนเลยหรือคะ คนต้องทำมาหากินนะคะ ถ้าพี่หมากเลิกจ่ายเงินเดือนน้องพลู...แล้วจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้”
“ก็ไปทำงานกับพี่สิ สอนที่โรงเรียนเสร็จก็ไปเล่นที่โรงแรมเหมือนเดิม”
“น้องพลูเรียกค่าจ้างเองได้ไหมล่ะ”
“ก็ได้...แต่ยิ่งรียกแพง พี่บอกก่อนนะครับว่าต้องทำให้คุ้มค่า อาจจะต้องทำล่วงเวลาบางวัน เช่น ไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงกับเจ้านายบ้างตามโอกาส ถ้าขอโบนัสด้วยก็ต้องมีบริการพิเศษเพิ่ม เช่น เอาอกเอาใจ ชงกาแฟให้ นวดเนื้อตัวให้
แบบนี้ตกลงไหมครับ”
“ใช้แรงงานเยี่ยงทาสแบบนี้น้องพลูไม่เอาด้วยหรอก”
ชลธีหัวเราะอย่างเอ็นดูกับอาการหน้าตางอง้ำแล้วค่อย ๆ ใช้สองแขนเกี่ยวเอวคอดเข้ามาใกล้ ยิ่งอยู่ใกล้ชิดก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนหวานจนต้องถามตัวเองว่า...จะทนรอต่อไปได้อีกสักกี่วัน
“โอเค...เลิกเถียงกันดีกว่า ว่าแต่...วันนี้เหนื่อยไหมคะ น้องพลูกินอะไรหรือยัง เดินทั้งวันเมื่อยไหมเนี่ย”
“ไม่หรอกค่ะ ปลื้มใจจนหายหิว พี่แฟงสวยมากเลยค่ะ น้องพลูดีใจมาก ๆ ที่ได้พี่แฟงมาเป็นพี่สาวอีกคน”
“ขอบคุณที่ยอมรับแฟง แล้วพี่ชายของพี่สะใภ้คนนี้ล่ะ...รักไหมครับ”
เอวบางถูกรั้งเข้าจนชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกัน คนถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบ บนใบหน้าปรากฏแต่รอยยิ้มประหม่าจนคนมองอดรนทนไม่ไหวต้องเอียงหน้าไปสูดความหอมกำจายจากพวงแก้มเอิบอิ่มเสียฟอดใหญ่
“หืม...รักพี่ชลไหมคะ” เขาถามย้ำ
“ไม่รู้ค่ะ”
“ว้า...อะไรกัน ลุ้นแทบแย่แต่ตอบมาแค่…ไม่รู้ค่ะ”
“พี่ชลชอบแกล้ง”
“ก็น่ารัก...ก็เลยน่าแกล้งไง ไหน...วันนี้คนสวย คิส คิส พี่ชลหรือยังคะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาแทนการปฏิเสธ
“นะ....เพิ่งจะมีโอกาสอยู่ใกล้ก็ตอนนี้ เดี๋ยวจบพิธีแล้วก็ต้องแยกย้ายเตรียมตัวไปงานเลี้ยงตอนเย็นอีก คืนนี้คงยุ่งอีกบาน แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกัน พ้นคืนนี้ก็ได้พักแค่วันเดียวแล้วก็ต้องเดินทางไปเพชรบูรณ์อีก อยู่โน่นตั้งสามวันกว่าจะกลับ”
ชายหนุ่มชักเหตุผลร้อยแปดเพื่อโน้มน้าวให้หญิงสาวเห็นใจ แทนดาวก้มหน้างุดไม่พูดอะไรแล้วโน้มคอคนน่าสงสารลงมา คิส คิส ตามที่ขอ ปลายจมูกเล็กแตะลงบนแก้มสีน้ำผึ้งทั้งสองข้าง หน้าผากกว้าง ปลายจมูกโด่งแล้วหยุดเพียงเท่านั้น
“ยังไม่ครบ ขาดอีกทีนึง...” เขาทวงยิก
“ไม่เอาค่ะ พี่ชลนี่ไม่รู้จักพอ”
“กับน้องพลู...เท่าไหร่ก็ไม่พอ”
ไม่ทันสิ้นคำ แขนแข็งแรงก็ตวัดเอวบางให้ล้มตัวในอ้อมกอดแล้วกำลังจะโน้มหน้าลงไปจุมพิตตรงจุดที่เว้นไว้ แต่เสียงกระแอมกระไอกับเสียงกดชัตเตอร์ทำให้ทั้งคู่แทบจะผลักออกจากกันในทันที พอหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเทียมภพยืนตาโปนอยู่กับแทนขวัญลูกผู้น้องที่ถือกล้องคาในมือ
“มาหลบร้อนอยู่ตรงนี้นี่เองนะ...ไอ้พี่เขย ! ”
เสียงเหี้ยมมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในชุดโจงกระเบนเดินอาด ๆ เข้ามา แทนดาวเดินเลี่ยงไปหาลูกผู้น้องเพราะกลัวถูกรังสีอำมหิตที่กำลังแผ่กระจายอยู่รอบตัวคนเกิดก่อน
“ว้าว...ขวัญถ่ายรูปเมื่อกี้ได้พอดีเลย พี่พลูดูสิ...สวีทกว่าคู่แต่งงานอีกนะ” แทนขวัญโชว์ภาพที่จับได้ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะจูบกันให้ดู
“ลบออกเดี๋ยวนะขวัญ” แทนดาวพยายามแย่งกล้องในมือน้องสาวแต่ก็ไม่สำเร็จ
“พี่ตามหาเราตั้งนานนะยัยพลู คุณพ่อจะพาไปกราบท่านรังสิตเสียหน่อย ดีว่าน้องขวัญเห็นเราเดินมาตรงนี้ ไม่งั้นคงจะสบายปากไอ้เข้” คนพูดเน้นพยางค์สุดท้ายแล้วตวัดตามอง ‘ไอ้เข้’ ที่ยืนทำหน้าตาไม่รู้ร้อน
“งั้นน้องพลูไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ น้องขวัญ...รีบไปจากตรงนี้กันเถอะ”
หญิงสาวรีบจูงมือน้องออกไปเพราะกลัวระเบิดเวลาจะบึ้มเอา พอลับหลังสองสาว จอมโวยวายก็หันมาคุยกับคนที่ลักพาตัวน้องสาวคนเล็กอย่างไม่ค่อยจะอารมณ์ดีนัก
“เผลอไม่ได้เลยนะมึง ! ”
“ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย ที่จริงแกไม่น่าจะมาขัด คนมีมารยาทควรจะรอให้คนอื่นทำ ‘ธุระ’ เสร็จเสียก่อน”
“ไอ้นี่...”
ชลธีแกล้งยั่วให้เพื่อนที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นน้องเขยอย่างเป็นทางการหงุดหงิดเล่น ๆ เทียมภพทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังสาปแช่ง แต่สักเดี๋ยวก็กลับมาทำหน้าตาจริงจัง
“ตั้งแต่กลับมาเป็นเพื่อนกัน เรายังไม่ได้คุยกันในฐานะญาติเลยนะ แกรู้สึกยังไงวะ...ที่ได้ฉันเป็นน้องเขย” เทียมภพเปิดประเด็นขึ้นก่อน ชลธียกมือกอดอกแล้วมองเพื่อนรักนิ่งนานกว่าจะตอบ
“ถ้าจะว่ากันตามจริง...ก็คงต้องพูดว่า ชอบใจก็ไม่เต็มร้อย เกลียดก็ไม่เชิง ถ้าแกรู้จักเข้าตามตรอก ออกตาม
ประตู ไม่รวบรัดเอาเปรียบน้องสาวฉันยังงั้น ก็คงจะรู้สึกยินดีเต็มร้อยอยู่หรอก”
“แต่ฉันก็ไม่ได้ทิ้งขว้างแฟงนะ แกก็เห็นนี่ว่าฉันให้เกียรติเธอขนาดไหน” คนพูดทำหน้าเหมือนกินยาขม
“แล้วถ้าฉันพลั้งมือทำแบบนั้นกับน้องพลูมั่ง แล้วมาบอกแกแบบนี้...จะคิดยังไงล่ะ”
“ไม่ได้โว้ย ! กูเอาตาย” คนพูดขยับตัวจนหางกระเบนส่าย
“เอาเถอะ...ยัยแฟงก็รักแกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังไงเสีย...ฉันขอฝากน้องสาวคนนี้ด้วยก็แล้วกัน ยัยแฟงมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นัก เธอมีแค่ฉันกับแม่ที่เลี้ยงดูมา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็รักเหมือนน้องแท้ ๆ แกอย่าทำให้เธอเสียใจแม้แต่นิดเดียว”
เนื้อเสียงสงบเรียบเยียบเย็นแต่แฝงด้วยอำนาจประหลาด ถ้าเขาเปล่งวาจาด้วยเสียงและท่าทางแบบนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคนใด นั่นหมายถึงคำสั่งของเขาต้องได้รับการปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ไม่อาจต่อต้านหรือบิดเบือนได้
“เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยสนใจว่ารมย์นลินมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหน ใครคือพ่อแม่ของเธอ ฉันไม่ได้คบคนเพราะนามสกุลหรือชาติกำเนิด รมย์นลินเป็นผู้หญิงที่ฉันเลือกแล้ว...” เทียมภพบีบบ่าเพื่อน ต่างสบตากันนิ่ง
“ชล...ฉันรักรมย์นลินเท่า ๆ กับที่แกรัก ในฐานะสามี...ฉันจะยกย่องและให้เกียรติ เธอจะเป็นคุณผู้หญิงของทวีกิจ เป็นภรรยาฉัน เป็นแม่ของลูกฉัน และเป็นพี่สาวของน้องพลู”
สองหนุ่มสบตากันแน่วแน่ มีรอยยิ้มบาง ๆ จากใบหน้าคร้ามคมแสดงความพึงพอใจ เมื่อเทียมภพเห็นว่าเพื่อนรักวางใจในตัวเองมากพอแล้ว ก็ล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่เขย ชลธีเพ่งมองถุงผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทใบเล็กจิ๋วอย่างแปลกใจ ไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะมีของกำนัลมาเอาใจพี่ชายภรรยา เขาหยิบวัตถุในถุงผ้าใบจิ๋วออกมาแล้วก็ต้องนิ่งงันไปหลายนาที มันคือแหวนเพชรรูปหัวใจสีน้ำเงินคล้ายกับวงที่อันตรธานหายไปด้วยฝีมือของเพื่อนรักเพื่อนแค้นเมื่อหลายเดือนก่อน
“สั่งทำจากที่ไหน..เหมือนมาก” เขายกวงแหวนขึ้นพิจารณาให้ชัด ๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย...มีลูกกะตาไว้คั่นจมูกหรือไง จำไม่ได้เหรอวะ ? เป็นคนสวมให้เองแท้ ๆ ”
คำบอกเล่ายิ่งทำให้งงหนัก ก็เทียมภพเองที่เป็นคนบังคับถอดมันออกจากนิ้วของแทนดาวแล้วปาทิ้งไปในทะเล ตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว ส่วนเทียมภพก็อดทนกับท่าทางฉงนสนเท่ห์ของเพื่อนต่อไปอีกไม่ไหว ไอ้ครั้นจะรอให้ตรัสรู้เองก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาถึงเมื่อไหร่
“ก็แกทิ้งมันไปแล้วนี่”
“จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ทิ้ง คืนนั้นแค่ทำท่าให้ดูเหมือนว่าทิ้งมันไปแล้วจริง ๆ เพราะไม่อยากให้ยัยพลูมีพันธะผูกพันกะแก ใครวะ...จะโง่ทิ้งของมีค่าขนาดนี้ ตั้งใจจะเอาไปคืนนานแล้วล่ะ แต่หาโอกาสเหมาะไม่ได้ซะที ยิ่งเจอเรื่องยุ่งเหยิงไม่หยุดหย่อนก็เลยลืมไป”
“ทีหลังถ้าจะทำแบบนี้ก็เตี๊ยมกันก่อนนะ” ชลธียิ้มกว้างแล้วเก็บแหวนใส่ถุงผ้ากำมะหยี่อย่างเดิม
“ไอ้ชล...ขอบใจแกมากนะ ที่ช่วยดูแลใบพลูตอนที่ฉันยุ่ง ขอบใจที่อดทนกับน้องสาวขี้แย แกทำช่วยให้น้องโตขึ้นมากจนฉันพอจะกล้าปล่อยได้บ้าง ที่สำคัญ...ขอบคุณมากที่เป็นสุภาพบุรุษกับแทนดาวมาเสมอ”
ชลธียิ้มหยันนิด ๆ ให้กับความหมายในประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ เทียมภพไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า...เขาต้องใช้ความพยายามข่มอกข่มใจเพียงใดที่ต้องบังคับตัวเองให้เป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ว่า เกือบจะพลาดท่าห้ามตัวห้ามใจไม่อยู่ก็หลายครั้งหลายหน
“ฉันว่า...มันคงคิดถึงเจ้าของจะแย่แล้วล่ะ แล้วแกล่ะ...ยังมั่นคงต่อความรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า” เทียมภพมองถุงแหวนในมือของเพื่อนและพี่เขยแล้วเอ่ยถามด้วยวาจาแช่มชื่น เจ้าของแหวนไม่ตอบในทันทีแต่ทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง นาทีต่อมาเทียมภพก็ได้เห็นรอยสักรูปดาวสีน้ำเงินบนหน้าอกด้านซ้ายเหนือหัวใจ เพียงแค่นี้เขาก็รู้คำตอบทุกอย่างแก่ใจดีแล้ว
“หมาก...ตั้งแต่วันที่ฉันได้รู้จักแทนดาว จนถึงเดี๋ยวนี้...ความรักที่มีต่อเธอไม่เคยลดลงเลย”
งานเลี้ยงฉลองสมรสตอนค่ำจัดขึ้นที่โรงแรม The Prestige Thara โดยฝีมือทีมออแกไนเซอร์ทีมเดิม ทุกคนที่ได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าแบบไทย ๆ ก็จะได้เปลี่ยนรูปแบบมาสัมผัสกับสุนทรียะแห่งดนตรี ตลอดทั้งชั้นกราวด์ฟลอร์ไปจรดหน้าห้องบอลรูมซึ่งจุคนได้มากถึงแปดร้อยคน ถูกประดับด้วยดอกไม้สดแต่งโบด้วยผ้าโปร่งสีเหลืองทอง ตามมุมต่าง ๆ มีลวดดัดเป็นโครงตัวโน้ตเสียงต่าง ๆ แล้วเสียบด้วยดอกไม้สดอีกทีจนกลายเป็นตัวโน๊ตดอกไม้สวยงามน่ารัก
เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยง เทียมภพอยู่ในชุดทักซิโด้สีครีม ส่วนรมย์นลินแปลงโฉมจากแม่หญิงไทยเป็นเจ้าหญิงในชุดราตรีเปิดไหล่สีขาวปักเลื่อมพราวทั้งชุด ผมมวยเมื่อตอนเช้าถูกปล่อยลงมาระแผ่นหลังนวลเนียน ใบหน้าหวานถูกเติมสีให้เข้มขึ้นแต่ก็ยังคงความหวานละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าฉากประดับดอกไม้สดจัดเป็นรูปม้วนโค้งไปมาคล้ายเถาดอกไม้ ทั่วบริเวณงานประดับภาพถ่ายพรีเว้ดดิ้งริมทะเลของคู่บ่าวสาว
และเนื่องจากงานค่ำนี้ได้เชื้อเชิญแขกแทบจะทุกวงการ และยิ่งคึกคักมากขึ้นไปอีกเพราะมีดาราและคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมาร่วมด้วย ห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดจึงดูคับแคบลง แต่ด้วยความรอบคอบของชลธีจึงสั่งให้ตกแต่งพื้นที่หน้าห้องบอลรูมทั้งหมดเพื่อรองรับจำนวนแขก ดั้งนั้นผู้มีเกียรติที่ส่วนใหญ่สวมชุดสีเหลือง ครีม ทอง เดินขวักไขว่ไปทั่วทั้งในห้องและภายนอกอย่างอิสระ โต๊ะลงทะเบียนต้องแบ่งเป็นสามจุดโดยเกณฑ์กำลังบรรดาเพื่อนเจ้าสาวนับสิบคนมาช่วยกัน
“เมื่อไหร่จะจบพิธีเสียที ผมอยากส่งตัวเร็ว ๆ” เทียมภพเพียรกระซิบบอกเจ้าสาวอยู่หลายหนแล้ว แต่ก็มีเพียงตาเขียวปั้ดค้อนใส่เพราะทั้งรำคาญและเขินคนใจร้อน
ตรงกลางห้องบอลรูมชิดฝาด้านหนึ่งเป็นเวทีขนาดใหญ่ต่อทางเดินมาถึงกลางห้อง สุดปลายทางโต๊ะวางเค้กแต่งงานเจ็ดชั้นตรงตำแหน่งพอดีกับโคมไปคริสตัลระย้าย้อย บนเวทีใหญ่มีแกรนด์เปียโนสีดำที่ย้ายมาจากล็อบบี้ตั้งเด่นรายล้อมด้วยกระถางดอกไม้ มันกำลังเปล่งท่วงทำนองเพลงรักจากฝีมือบรรเลงของสตรีร่างอรชรในชุดราตรียาวไหล่ปาดสีครีมทอง ตัวกระโปรงแต่งผ้าโปร่งรูปดอกไม้ดูน่ารัก แทนดาวผู้รับหน้าที่ขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติในช่วงก่อนเริ่มพิธีการ
กว่าที่แขกเหรื่อจะนั่งประจำที่จนครบก็กินเวลาเป็นชั่วโมง แล้วจากนั้นพิธีการก็เริ่มขึ้นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ทั้งสองเดินขึ้นขึ้นไปบนเวทีรับฟังคำอวยพรจากท่านประธาน บิดามารดารวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ จากนั้นก็เป็นคิวของทั้งคู่กล่าวขอบคุณแขก รมย์นลินไม่พูดอะไรมากเพราะตื้นตันไปหมดนอกจากกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณและแขกที่มาไปตามบท แต่บทพูดของเทียมภพเล่นเอาคนทั้งห้องซาบซึ้งกินใจไปตาม ๆ กัน
“ผู้หญิงที่ยืนข้าง ๆ ผม ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าดนตรี ชีวิตของผมจึงมีทั้งจังหวะสนุก เศร้า ซึ้ง ผมนึกไม่ออกเลยว่า...ชีวิตที่ไม่มีรมย์นลินมันจะเรียบเรื่อย จืดชืดขนาดไหน ขอบคุณทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือความบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกัน ถ้าถามว่ารักเธอมากแค่ไหน....ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปเรียบกับอะไรดี มองไปทางไหนก็ไม่เจออะไรที่ใหญ่และกว้างมากพอที่จะสามารถบรรจุความรักที่ผมมีต่อเธอได้หมด”
เสียงปรบมือกราวสนั่นผสมกับเสียงเป่าปากดังลั่น เทียมภพยกมือขึ้นซับน้ำตาบนใบหน้าของเจ้าสาวที่ไหลออกมาอย่างสุดกลั้นด้วยความตื้นตันแล้วบรรจงจุมพิตแก้มนวลต่อหน้าสักขีพยานเบื้องล่าง เสียงเปียโนหวานดังขึ้นอีกครั้งขณะที่เจ้าบ่าวประคองตัวเจ้าสาวไปตัดเค้ก ปิดท้ายรายการด้วยการโยนช่อดอกไม้ พอถึงตอนนี้สาว ๆ ก็มารวมตัวกันหน้าเวทีสลอน พอพิธีกรให้สัญญาณ ช่อบูเก้กุหลาบเหลืองก็ปลิวไปตกที่ไหนสักแห่ง เสียงวี้ดว้ายของสาวโสดที่ต่างกรูกันเข้าไปแย่งช่อดอกไม้สร้างความครื้นเครงให้คนที่นั่งดู
“ว้าย ! ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
สาวผู้โชคดีที่รับดอกไม้ได้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ แทนขวัญ ทวีกิจไพศาล ลูกผู้น้องของเจ้าบ่าวที่สามารถคว้าดอกไม้แห่งความไม่เป็นโสดไว้ได้ แต่ในความโชคดีก็เหมือนเป็นความโชคร้ายของบุรุษคนหนึ่งที่ไปยืนอยู่ในรัศมีการต่อสู้เข้า
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง” หญิงสาวรีบเข้าไปช่วยชายเคราะห์ร้ายเก็บของที่ร่วงพื้นจากแรงปะทะเมื่อกี้
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่...” ชายโชคร้ายชูแว่นตาขาหักกับกระจกที่ถูกเหยียบจนร้าว แทนขวัญหน้าจ๋อยสนิท
“ตายแล้วน้องขวัญ ! แว่นตาพี่อชิหักเลย” แทนดาวเดินลิ่ว ๆ มาหาน้องสาวแล้วก็พบว่าชายโชคร้ายคืออชิตะยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น
“ขวัญไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ ก็ดอกไม้มันลอยมาทางนี้อ่ะ ขวัญไม่เห็นคุณ...เอ...คุณหมอคิมโดฮัน”
แทนขวัญเพิ่งจะเห็นใบหน้าคนที่เพิ่งประทุษร้ายเต็มตา เค้าหน้าละม้ายคล้ายกับตัวละครในซีรีย์เกาหลีเรื่องหนึ่งที่ทั้งตนและพี่สาวชื่นชอบ แต่คนถูกเรียกเหมือนจะไม่ปลื้มปริ่มเลยสักนิดเดียว
“น้องขวัญ...นี่คุณหมออชิตะ” แทนดาวแนะนำใหม่เพราะมั่นใจว่าหมอหนุ่มต้องงงกับชื่อนั้นแน่ ๆ
“คุณหมออชิตะ...ขวัญขอโทษนะคะ”
แทนขวัญยกมือไหว้ ในอ้อมแขนยังกอดช่อดอกไม้เอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูปอย่างระมัดระวัง ด้านอชิตะแว่นหักก็พยักหน้าส่ง ๆ ไปเพราะตอนนี้มองอะไรก็พร่ามัวไปหมด แทนดาวรู้ดีว่า อันสายตาของหมอเนิร์ดคนนี้สั้นกุด ซึ่งถ้าไม่สวมแว่นก็เหมือนถูกปิดตา
“ไม่เป็นไรครับ มีแว่นสำรองในรถอีกอัน เดี๋ยวผมจะไปเอา” หมอหนุ่มรีบบอก
“งั้นหรือคะ น้องขวัญพาพี่อชิไปสิ พาเดินไป...เร็ว” แทนดาวรุนหลังน้องสาว
แทนขวัญจูงข้อมืออชิตะออกมาข้างนอก ความโลภไม่ระวังทำให้เกิดอุบัติเหตุจนได้ ยิ่งรู้ว่าเป็นคนรู้จักของคุณเที่ยงธรรมก็ยิ่งทำให้หญิงสาวใจฝ่อเข้าไปอีก เพราะถ้าถูกตำหนิขึ้นมาก็จะเสียชื่อผู้ใหญ่ไปด้วย ในขณะที่ผู้เสียหายก็ยังไม่เอ่ยปากอะไรอยู่ดีจนเมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง
“แล้วคุณหมอจอดรถไว้ชั้นไหนเหรอคะ”
“ชั้นสิบครับ”
เพียงเท่านั้นแทนขวัญก็รีบจูงจนเกือบจะเป็นฉุดให้คนสายตาสั้นเดินตามมาไว ๆ ในความลางเลือน ชายหนุ่มเห็น
เพียงรูปร่างหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาดูไม่ค่อยชัดนัก สวมชุดออกสีขาวยาวกรอมเท้า ที่คอสะพายกล้องถ่ายรูป
“ถึงชั้นสิบแล้วค่ะ รถคุณหมออยู่แถวไหนคะ”
“เอห้า คันสีเงิน เอาล่ะ...พอผมกดสัญญาญาณกันขโมยก็เดินไปตามเสียงนะ”
ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะตามหารถยนต์คันนั้น แทนขวัญรอเขาเปิดประตูแล้วจะมุดตัวเข้าไปช่วยหา แต่ความรีบ
ก็เลยเอาศีรษะโขกกับคานประตูเท่านั้นเอง
“อูย...”
“กรรมตามสนอง”
เสียงทุ้มดังมาจากคนที่กำลังเดินอ้อมมาเปิดลิ้นชักตรงคอนโซลด้านหน้า ไม่ช้าแว่นตาอันใหม่ก็สวมทับลงบนใบหน้าสะอาดใจดีของอชิตะ ชายหนุ่มมองภาพรอบ ๆ ที่แจ่มชัดขึ้น สายตาราบเรียบกวาดมายังสาวน้อยที่ยังยืนหน้าง้ำเอามือคลึงขมับอยู่ที่เดิม ริมฝีปากปากเม้มเข้าหากันเหมือนระงับอารมณ์อะไรบางอย่าง อิริยาบถนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน
“เป็นไงครับ...เจ็บมากไหม แต่...ถึงผมจะเป็นหมอก็ไม่ได้พกยาหม่องมาด้วยหรอกนะ” อชิตะถามสาวน้อยที่เปลี่ยนเป็นยืนกอดอกจ้องมองมาที่ตนอย่างเอาเรื่อง
“ถือว่าหายกันก็แล้วกันนะคะ รถคุณหมอทำให้ขวัญต้องเจ็บตัว”
“หือ...คุณเหยียบแว่นตาผมหักนะ แล้วรถก็อยู่ของมันดี ๆ คุณไปโดนมันเองนะ ผมสิ...ต้องถามว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า จะบุบมากไหมนะ”
คำตอบสุภาพอ่อนโยนแต่ยียวนต่อมโกรธคนฟังเป็นอย่างมาก แทนขวัญรีบสะบัดตัวเดินหนีออกมาจากตรงนั้นแล้วรีบไปกดลิฟต์ อชิตะรีบล็อกรถแล้วตามมาทัน พออยู่ในลิฟต์ตามลำพัง เขาก็เพิ่งสังเกตว่าที่นิ้วชี้ข้างขวาของสตรีตรงหน้าสวมแหวนทองสลักนามสกุลแบบเดียวกับที่แทนดาวสวม
“เป็นญาติเจ้าบ่าวหรือครับ” ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากอาการพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“เวลาผู้ใหญ่พูดด้วย ก็ควรจะตอบให้ดี ๆ ไม่ใช่แค่พยักหน้า”
ถึงสีหน้าและแววของคนพูดจะดูเป็นปรกดี แต่แทนขวัญก็รู้สึกว่าหน้าชาด้วยรู้ว่าถูกตำหนิเข้าอย่างจัง มือที่กอดช่อดอกไม้รัดเข้าหากันแน่นขึ้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เลขบอกชั้นไม่กระพริบ
“ค่ะ”
คำตอบสั้นและห้วนแต่กลับทำให้คนฟังยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อันกิริยาปากเชิด หน้างอเช่นนี้ดูละม้ายคล้ายกับแทนดาวเวลางอนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งคู่เดินกลับเข้างานมาเจอแทนดาวที่กำลังถ่ายรูปกับพวกหลาน ๆ และญาติคนอื่น ๆ พอเห็นน้องสาวก็รีบปราดเข้ามาดึงตัว
“น้องขวัญ...มาถ่ายรูปเร็ว พี่อชิโอเคแล้วนะคะ”
“สบายมากครับ” หมอหนุ่มตอบเสียงสุภาพแล้วปรายตามามองสาวน้อยอีกคน แทนดาวมองตามแล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก
“พี่อชิคะ...นี่น้องขวัญ หรือ แทนขวัญ น้องสาวของพลูเอง”
อชิตะยิ้มมากขึ้นเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่าหล่อนเป็นใคร สายตาหลังกรอบแว่นมองสาวน้อยที่ยืนเคียงข้างพี่สาวอย่างพิจารณา ใบหน้าหงุดหงิดยังมีเค้าความสวยสดใสฉายชัดให้เห็น แทนขวัญรู้ตัวว่าถูกมองอยู่นานก็เกิดอาการ ‘ขวาง’ ขึ้นมาดื้อ ๆ
“พี่พลูถือดอกไม้ให้หน่อย ขวัญจะอุ้มตาเต็งหนึ่ง” หญิงสาวส่งช่อดอกไม้ให้พี่แล้วอุ้มหลานเล็กเข้าร่วมเฟรมถ่ายรูป แทนดาวกลัวพลาดช็อตนี้ด้วยก็รีบยัดช่อดอกไม้ใส่มืออชิตะที่ยังคงมองสาวน้อยในชุดราตีสีขาวไม่วางตา
“ฝากพี่อชิถือแป๊บนึงนะคะ”
“แทนขวัญ...ท่าทางจะเอาเรื่องน่าดู”
อชิตะพูดกับตัวเองแล้วมองช่อดอกไม้ในมือ ดอกไม้เจ้าสาว...แสดงว่าแทนขวัญยังโสด สายตาอ่อนโยนมองดอกไม้กับสาวน้อยสลับกันไปมา แทนดาวสวยสะคราญดุจดอกไม้แรกแย้มฉันใด แทนขวัญก็สดใสดุจดอกไม้ต้องน้ำค้างยามเช้าฉันนั้น ชายหนุ่มได้ตัดใจจากแทนดาวโดยสิ้นเชิงเหลือเพียงความเป็นพี่ชาย แต่...เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับแทนขวัญแน่นอน
พิธีการต่าง ๆ จบลงอย่างเรียบร้อยสวยงาม ตอนนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนส่งแขกที่เริ่มทยอยกลับ เหลือแต่บรรดาญาติของทั้งสองครอบครัวที่ยังคุยตามประสานาน ๆ เจอกันที พวกลูกหลานวัยรุ่นก็ยังสนุกกับการถ่ายรูปตามซุ้มที่จัดไว้ ส่วนรุ่นเล็ก ๆ ก็วิ่งเล่นไล่ดึงลูกโป่ง ดอกไม้ วุ่นวายทีเดียว งานนี้นอกจากจะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ของทวีกิจ ก็ยังเป็นการเลี้ยงส่งปลายเดือนไปในตัวด้วย หญิงสาวมีกำหนดการเดินทางไปศึกษาต่อในอีกสามวันถัดไป
“น้องผึ้งเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
บุรินทร์เอ่ยถามขึ้นเมื่อได้คุยกันตามลำพัง หนุ่มหน้าตี๋แกว่งแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือซึ่งเป็นภาพที่ออกจะแปลกตาไป ปรกติแล้วบุรินทร์จะไม่ข้องเกี่ยวกับของมึนเมาแตกต่างกับพี่ชายอีกสามคนที่ชอบสังสรรค์ ไม่รู้ว่าการดื่มนี้คือ อยากดื่มเพื่อเฉลิมฉลองงานมงคล หรือต้องการใช้น้ำเมาล้างอะไรในใจ
“เรียบร้อยทุกอย่างแล้วจ้ะ กว่าจะเปิดเทอมก็อีกสามเดือน แต่ผึ้งอยากไปอยู่ก่อน เพื่อนคนนึงแต่งงานมีครอบครัวอยู่นั่น เขาก็เลยอาสาพาเที่ยวพักผ่อนก่อนกลับไปเรียนจ้ะ”
ใบหน้าหวานหยดปนแววเศร้าจาง ๆ จนคนมองอดใจหายไม่ได้ ปลายเดือนคงจะคิดถึงบ้าน คิดถึงงาน แต่ไม่ว่าหล่อนจะตัดสินใจ ‘ไป’ เพราะเหตุใด สิ่งที่บุรินทร์ทำได้ก็คือยินดีด้วยในทุกสิ่ง
“แล้วเฮียบุ้งอยากจะไปเที่ยวบ้างไหมจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาแบบที่ไม่เคยยิ้มให้มาก่อน ซึ่งทำให้บุรินทร์ใจเขวไป
“คือ...เฮียก็อยากไปนะ แต่ว่าเป็นห่วงร้าน ทิ้งไปนาน ๆ ไม่ได้” อาการติดขัดยามตอบคำถามแลดูชอบกล คงจะเป็นเพราะมัวแต่แช่มชื่นกับรอยยิ้มเมื่อกี้อยู่
“ก็ฝากเฮียอีกสาม บ. ช่วยดูประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้หรือจ๊ะ พี่หมากวางแผนว่าจะไปช่วงหน้าหนาว เฮียบุ้งก็ไปด้วยกันสิจ๊ะ”
“แล้วน้องผึ้งอยากให้เฮียไปจริง ๆ เหรอ”
บุรินทร์ถามกลับอย่างอยากรู้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ปลายเดือนไม่เคยให้ความสนใจตนมากเกินกว่าถามสารทุกข์สุกดิบทั่ว ๆ ไป ไม่เลยแม้แต่สักครั้งที่จะถามว่าชอบอะไร อยากไปไหน หรือแม้กระทั่งยิ้มสวย ๆ อย่างเมื่อกี้
“จริงสิจ๊ะ ผึ้งจะพาเฮียบุ้งทัวร์มหานครนิวยอร์ก ไปแต่เมืองจีน...ไม่เบื่อหรือไง”
“ถ้ายังงั้นจะได้รีบเตรียมตัว เก็บข้าวของเดินทางไปพร้อมน้องผึ้งเลยดีไหม” ถึงจะพูดเล่นแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความดีใจ ปลายเดินหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกจ้ะ ผึ้งไม่ได้ไปไหน ถ้าเฮียบุ้งจะ...รอ...ผึ้งก็จะกลับมา”
เสียงหัวเราะและสีหน้าเปื้อนยิ้มขันจางหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าแดงซ่าน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเปล่งประกายจรัส ปลายเดือนเพ่งมองลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กของคนที่วางตำแหน่งเสมอพี่ชายมาทั้งชีวิต จริงอย่างที่เทียมภพพูดไว้ ถ้าลองเปิดใจมองดู...ก็จะเห็นว่าใครที่รักตนอย่างจริงใจ บุรินทร์วางแก้วในมือแล้วเปลี่ยนมาจับมือนุ่มนิ่มของปลายเดือน ความฟูฟ่องประทุขึ้นในโพรงอกเมื่ออีกฝายมิได้บ่ายเบี่ยงหรือชักมือกลับ
“เฮียบุ้งรอน้องผึ้งมาตลอด จนตอนนี้ก็ยังรอ...และจะรอต่อไปเรื่อย ๆ เอาไว้น้องผึ้งกลับมาเมื่อไหร่ เฮียบุ้งจะ...ลองขอน้องผึ้งเป็นแฟนดู”
“แล้วทำไมไม่ขอตอนนี้ล่ะจ๊ะ” คำถามนี้ทำเอาคนฟังต้องเอียงคออย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“น้องผึ้ง...”
“ถ้าขอตอนนี้...ก็จะได้คำตอบตอนนี้ แต่ถ้ารอผึ้งกลับมา...ก็ต้องรออีกสองปีกว่าเชียวนะ” หญิงสาวหลบสายตาเป็นประกายของคนตรงหน้า ในขณะที่ตัวเองก็ต้องซ่อนความขัดเขินเช่นกัน ได้ยินเสียงบุรินทร์สูดหายใจลึก
“เป็นแฟนกับเฮียบุ้งนะ...ปลายเดือน”
“จ้ะ”
สิ้นคำตอบเพียงสั้น ๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มแจ่มใสบนใบหน้าของทั้งคู่ บุรินทร์ยิ้มทั้งปากทั้งตาขณะยกมือนุ่มจุมพิต เกิดความสุขประหลาดในใจของปลายเดือนเมื่อตัดสินใจส่งมอบความรักให้กับบุรุษที่มีจิตใจมั่นคงต่อตนเพียงผู้เดียว สำหรับบุรินทร์...การรอคอยอย่างไร้ความหวังได้สิ้นสุดลงแล้ว จากนี้ก็จะเริ่มต้นสร้างเรื่องราวดี ๆ กับสตรีที่ผูกใจรักมานานแสนนาน
“สมใจแล้วสินะ...ยัยแม่สื่อ” เทียมภพวางมือบนไหล่เปลือยของน้องสาวคนเล็กที่ยืนแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้ดัดโค้งเป็นรูปโน้ตเพลง แทนดาวหันมายิ้มให้พี่ชายอย่างมีความสุขกับภาพที่เห็น
“นึกว่าจะจบไม่สวยเสียอีก ลุ้นแทบแย่เลยค่ะ”
“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา สีผึ้งคงยอมรับเอาวันนี้มั้ง”
“หวังว่าพี่ผึ้งจะรักเฮียบุ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ”
“ไม่ต้องหวังหรอก พี่สาวเราน่ะ...รักเฮียบุ้งมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมรับ” คำเฉลยทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว
“รักมานาน....พี่หมากรู้ได้ยังไงคะ”
“โธ่เอ๋ย...พี่เป็นคนดูแลเราสองคนมาตั้งกะตัวแดง ๆ นะ ต้องรู้สิว่า...ใครนิสัยเป็นยังไง สีผึ้งมีทิฐิมากและปากแข็ง บวกกับเหตุผลส่วนตัวบางอย่างก็เลยทำใจยอมรับเฮียบุ้งไม่ได้ ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน พี่สาวเราคนนี้ ถ้าไม่แบรนด์เนม...ก็ไม่หยิบ” เทียมภพอธิบายลักษณะนิสัยของน้องสาวคนรองอย่างเข้าใจถ่องแท้ แทนดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“เฮ้อ...ดีใจจัง ว่าที่พี่เขยเป็นเฮียบุ้ง พี่สะใภ้เป็นพี่แฟง ทั้งโลกนี้ใครจะโชคดีเหมือนน้องพลู”
หญิงสาวพูดล้อเลียนประโยคของพี่ชายพลางยิ้มร่า เทียมภพโอบตัวน้องสาวพาเดินห่างออกมาจนอยู่ในที่ปลอดคน สายตาอ่อนโยนยามทอดมองน้องสาวไม่ผิดแผกจากวันแรกที่ได้โอบอุ้มร่างน้อยเมื่อแรกเกิด
“มัวแต่สมหวังในความรักของคนอื่น แล้วหนูล่ะ...ตัดสินใจเรื่องของตัวเองว่ายังไง”
ดวงตาคู่สวยสบตาสีนิลของคนถามแล้วหลุบเปลือกตาลง คำตอบมีอยู่แก่ใจแต่ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย หล่อนมั่นใจแล้วว่ารักบุรุษหน้าคมผู้นั้นหมดทั้งหัวใจ
“น้องพลู...รักพี่ชลค่ะ ถ้าเขาถามอีก....หรือมีโอกาสที่จะบอก น้องพลูจะไม่ลังเลหรือกลัวอะไรอีกแล้ว ทั้งพี่ผึ้ง พี่หมาก ต่างก็ต้องฝ่าฟันและผ่านอะไรมามากมายกว่าจะได้สมหวัง แล้วน้องพลูยังจะรอให้เสียเวลาอีกทำไมกัน”
เทียมภพยิ้มอย่างภูมิใจกับคำตอบมั่นอกมั่นใจของน้อง มันถึงเวลาเสียทีจะยอมปล่อยมือหล่อนแล้วเดินตามอยู่ห่าง ๆ แทนดาวเติบโตแข็งแรงจนวางใจได้ว่า น้องสาวคนนี้จะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางที่เลือกเองได้อย่างมั่นคง
“ถ้าหนูมั่นใจแล้ว พี่จะพาหนูไปส่ง...”
ชายหนุ่มกุมมือเล็กของน้องสาวกระชับแล้วจูงให้เดินตามมา แทนดาวไม่รู้ว่าพี่ชายจะพาไปที่ไหนแต่ก็ไม่ได้
ซักถาม เทียมภพพาน้องสาวเข้าลิฟต์พิเศษสำหรับผู้บริหารแล้วแตะคีย์การ์ดพร้อมกับกดปุ่มขึ้นไปชั้นบนสุด จนเมื่อลิฟต์เปิดออก เลยอดที่จะหยุดถามไม่ได้
“จะไปไหนคะนี่ เดี๋ยวก็ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“เพราะยังงี้ พี่ถึงต้องรีบพาเรามา เอาล่ะ...ขึ้นบันไดทางโน้น”
พี่ชายยังคงจูงมือพาเดินไปเรื่อย ๆ จนขึ้นมาสุดบันไดชั้นบน เบื้องหน้าเป็นประตูที่เปิดสู่ระเบียงดาดฟ้า เทียมภพหยุดอยู่แค่ตรงนั้นแล้วมองหน้าน้องสาวอย่างพินิจ
“น้องพลูครับ...พี่หมากพาหนูมาส่งให้กับคนที่จะมาจูงมือหนูเดินต่อไปบนทางชีวิต” เทียมภพลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน
“พี่หมากไม่กลัวเขาจะปล่อยมือน้องพลูสักวันหรือคะ”
“วันนั้นจะไม่มี คนอย่างพี่...ถ้าไม่มั่นใจว่า ‘ใคร’ จะรักและหวังดีกับน้องพลูของพี่จริง ๆ ก็จะไม่มีวันมอบหัวใจดวงนี้ให้อยู่ในอุ้งมือคนนั้น” จมูกเนียนแตะที่แก้มพี่ชายแทนคำขอบคุณ เทียมภพจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาแล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ
“พอน้องพลูเปิดประตูออกไป...เขาจะรออยู่”
แทนดาวทอดสายตามองพี่ชายที่เดินกลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความตื่นเต้นส่งผลให้หัวใจเขย่าโยน ความพองฟูแผ่ขยายอยู่ในอก ถึงจะเดาถูกแต่ก็ยังลุ้นว่าหลังประตูบานนั้นจะมีใครคอยอยู่ หญิงสาวสูดหายใจยาวลึกแล้วค่อย ๆ ทาบฝ่ามือกับบานประตูเหล็กผลักออกไป เท้าทั้งสองข้างพาร่างก้าวออกไปสู่ดาดฟ้าใต้แสงจันทร์นวลสกาวและดวงดาวไหวระยิบ
หลังเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวตามประเพณีและพวกผู้ใหญ่กลับออกไปกันหมดก็เหลือเพียงคู่บ่าวสาวหมาด ๆ รมย์นลินมองพานส่งตัวที่วางอยู่เบื้องหน้าแล้วเหลือบมองบนเตียงนอนหลังใหม่ที่โปรยทับด้วยกลีบดอกไม้สดปนกับธนบัตรและเหรียญที่ญาติผู้ใหญ่โปรยไว้เป็นเคล็ด พอกวาดสายตามาข้าง ๆ ก็พบเจ้าบ่าวของตัวเองนั่งตาเชื่อมกรุ้มกริ่ม ลักษณะนี้เตือนให้รมย์นลินต้องรีบหลบตา
“เหนื่อยมากไหมครับ วันนี้คนเยอะมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พรุ่งนี้คอยดูเถอะ...หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องลงข่าวแต่งของเรา อย่างวันนี้หน้าฟีดบนเฟสบุ๊คมีแต่ข่าวเราเต็มไปหมด เพราะใคร ๆ ก็อยากเห็นหน้าคุณ อยากรู้จักผู้หญิงที่ทำผู้หญิงด้วยกันอกหักครึ่งค่อนประเทศ” เจ้าบ่าวป้ายแดงคุยอวด คนฟังค้อนให้อย่างนึกหมั่นไส้
“แฟงไม่ได้อยากเป็นข่าวด้วยสักหน่อย แสดงว่าคุณน่ะ...ไปก่อเรื่องไว้มาก ก็เลยมีแต่คนสนใจ”
เทียมภพเชยคางมนเพื่อพิศดูใบหน้าเจ้าสาวแสนสวย ความงดงามตรึงใจที่มองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ แต่สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่เกี่ยวหัวใจของชายหนุ่ม หากแต่เป็นจริยาวัตร ทัศนคติ การดำรงชีวิต ที่เทียมภพเห็นสมควรแล้วว่ารมย์นลินมีความเพียบพร้อมที่จะมาเป็นคู่ชีวิต
“รมย์นลิน...นับจากวันนี้ไป คุณคือคุณผู้หญิงแห่งบ้านทวีกิจไพศาล คุณพ่อคุณแม่ของผม...คือพ่อแม่ของคุณ คุณมีคุณย่าที่เมตตาเอ็นดูคุณ จะมีน้องสาวอีกสองคนที่จะเป็นเพื่อนคุณ คุณจะเป็นนายหญิงคอยดูแลความเป็นไปในบ้านให้เรียบร้อย บริวารจะเชื่อฟังและพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของคุณผู้หญิง และอีกไม่นาน...คุณจะให้กำเนิดทายาททวีกิจรุ่นที่สี่ คุณจะเป็นแม่ของลูก ๆ เป็นศรีภรรยาของผม”
เทียมภพจูบแก้มปลั่งฝาดสีเรื่อของเจ้าสาว รมย์นลินรับฟังด้วยความตื้นตันในหัวใจที่เขาให้เกียรติเชิดชูถึงเพียงนี้ และแม้เทียมภพจะไม่ให้อะไรเลย หล่อนก็พอใจเพียงแค่ได้ตำแหน่ง ‘ศรีภรรยา’ ของเขา สองมือยกขึ้นประนมแล้วก้มกราบลงแทบตักสามีเหมือนจะฝากตัว
“แฟงกราบขอบคุณที่กรุณาและเมตตาและจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุด แฟงขอฝากชีวิตนี้ทั้งชีวิต...ไว้กับคุณ”
เทียมภพประคองร่างระหงขึ้นมากอดแนบชิด เขาเชื่อมั่นว่ารมย์นลินจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี และเขา...จะดูแลครอบครัวให้มีความสุขที่สุด เป็นสามีและพ่อที่ดีตามที่ได้รับโอวาทจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้เป็นสำคัญกับเพื่อนรัก
“ผมรักคุณนะครับ”
เขาจูบหน้าผากมนแล้วระเรื่อยมาหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่ม จากนั้นก็ถอดพวงมาลัยคล้องคอทั้งของตัวเองและรมย์นลินแขวนไว้ที่หัวเตียงแล้วค่อย ๆ ช้อนร่างบางขึ้นวางบนเตียงกว้าง มือข้างหนึ่งจับชายผ้าปูตลบลง เพียงเท่านั้นเศษกลีบดอกไม้กับธนบัตรและเหรียญก็กระจายไป เปิดทางให้ร่างสองร่างนอนอิงแอบกันโดยไร้สิ่งกีดขวาง
“จะไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ” เสียงหวานกระซิบถาม
“เดี๋ยวค่อยอาบ นี่รู้ไหม...ใกล้จะถึงวันเกิดน้องพลูแล้ว เธอมาขอของขวัญกับผมเมื่อวานนี้เอง” ชายหนุ่มบอกเสียงหวานขณะปลดเปลื้องเสื้อสูทออกจากร่าง
“ปีนี้มาแปลก บอกว่าอยากได้ของขวัญมีชีวิต”
“น้องพลูอยากได้อะไรเหรอคะ” คนถามพาซื่อเพราะคิดไปถึงพวกสัตว์เลี้ยงน่ารัก เทียมภพยิ้มเป็นปริศนาแล้วก้มลงกระซิบชิดริมหูเล็กขณะที่อีกมือรูดซิปด้านหลังชุดแต่งงานสีขาวลงจนสุด
“หลาน...น้องพลูบอกว่าอยากได้หลาน ถ้าไม่รีบทำให้เดี๋ยวจะงอน คุณก็รู้ว่าผมตามใจน้อง งั้นเรารีบมาผลิตกันกันดีกว่า เผื่อจะมีข่าวดีมอบให้น้องพลูเป็นของขวัญวันเกิด” คำตอบของคนตัวโตกระตุ้นให้เกิดริ้วแดงประดับพวงแก้มในทันที เทียมภพไม่อยากให้เสียเวลาอีกจึงมอบจุมพิตแสนรัญจวนให้เจ้าสาวในอ้อมกอด
ร่างสูงในชุดสูทสากลสีเทาหันมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดบานประตู นัยน์ตาสีเหล็กทอประกายระยับแข่งกับดาวพราวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ร่างอรชรเดินจับชายกระโปรงยาวก้าวเข้ามาช้า ๆ เจ้าของใบหน้าคมเดินเนิบ ๆ เข้าไปหาจนทั้งคู่หยุด ณ จุดกึ่งกลางดาดฟ้า บรรยากาศบนนี้เงียบสงบ มองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นแสงสียามราตรีของเมืองหลวง ทุกครั้งมันดูวุ่นวายไร้ความสงบ แต่วันนี้แทนดาวรู้สึกว่าเป็นค่ำคืนที่น่าพิสมัยเหลือเกิน
“นึกว่าจะเจอใคร ที่แท้...เป็นคุณอาธารานี่เอง”
แทนดาวทักขึ้นก่อน สรรพนามที่ใช้เรียกทำให้คนฟังยิ้มขัน นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกันแล้วหล่อนเรียกชื่อผิด ๆ อยู่นาน ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝงว่า ‘คุณอาธารา’ รั้งไหล่ลาดให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของกันและกัน
“แล้วที่ยืนตรงหน้าพี่นี่...คน...หรือนางฟ้า” มือหนาสอดเกี่ยวลอนผมยาวอย่างหลงใหล ยิ่งยามเมื่อสายลมปะทะก็ปลิดปลิวพลิ้วไหวราวยอดหญ้าต้องลม
“ลองพิสูจน์ดูสิคะ...ว่าเป็นอะไรกันแน่” สิ้นคำ ริมฝีปากหยักก็ยื่นเข้ามาจุมพิตริมฝีปากกระจับสีชมพูเรื่อ
“รู้แล้ว นี่มัน...นางฟ้า...ในร่างมนุษย์”
“ปากหวานจังนะคะ แล้วทำไมมาหลบที่นี่คนเดียว”
“มายืนดูดาว แต่น้องพลูเชื่อไหม...พี่แหงนจนปวดคอก็ยังไม่เจอดวงไหนจะสวยเท่า...ดาวที่อยู่ตรงหน้าพี่”
ปลายนิ้วอุ่นเชยคางเล็กขึ้น ดวงตาตรงอัลมอนด์สดใสจนเห็นเงาสะท้อนของเขาในนั้น คนถูกมองสานมือกันไว้ด้านหน้าอย่างรู้สึกประหม่า ถึงจะรู้จักกันมานานแต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับแววเกี้ยวพาเช่นนี้เสียที
“พี่หมากพาน้องพลูมาส่งให้คนที่...รักน้องพลูเท่าชีวิต คน ๆ นั้น...ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าน้องพลูไหมคะ”
“ไม่ผิด”
วลีหนักแน่นตอบออกมาแทบจะทันทียิ่งพาให้หัวใจดวงน้อยลอยสูงขึ้น มือบางยกขึ้นสัมผัสผิวละเอียดสีทองแดงที่ประกอบขึ้นเป็นใบหน้าคมคายของบุรุษที่ตนรักสุดหัวใจ
“ถ้าอย่างนั้น...น้องพลูอยากให้พี่ชลถาม ‘คำถาม’ เดิมอีกครั้งได้ไหมคะ”
“แล้วถ้าคำตอบมันเหมือนเดิม...”
“มันจะไม่เหมือนเดิมค่ะ”
เสียงหวานบอกหนักแน่นพร้อมกับมือเรียวบีบกระชับมืออุ่น ชลธีจ้องวงหน้างามลลออไม่วาง ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มหวานอบอุ่น เขาจุมพิตมือนุ่มคู่นั้นแล้วส่งสายตาสะกดให้คนตรงหน้าอยู่นิ่ง
“แต่งงานกับพี่ไหม”
“แต่งค่ะ”
รอยยินดีฉายชัดในดวงตาสีเหล็ก นาทีต่อมาวงแขนแข็งแกร่งก็รัดร่างอรชรเอาไว้แนบอก หัวใจทั้งสองดวงลอยสูงขึ้นไปอยู่คู่กัน ณ ผืนฟ้าพร่างดาว เป็นนานกว่าที่แขนแข็งแรงข้างเดียวกันจะผละร่างบางออกแต่ก็ห่างอยู่เพียงนิดเดียว “แทนดาว...กลับมาอยู่เคียงคู่ทะเลเหมือนเดิมนะครับ อย่าทิ้งท้องทะเลมืดมิดไปอีกเลย ในวันที่หัวใจของพี่ไร้ดวงดาวมาส่องสว่าง ทุกอย่างมันสิ้นหวังไปหมด ชีวิตพี่จะเป็นยังไงถ้าไม่มีแทนดาว”
หญิงสาวอิ่มเอมกับคำหวานที่เขาจาระไนออกมา แต่นั่นก็ยังไม่เท่าความรู้สึกลิงโลดเมื่อนิ้วนางข้างขวาสัมผัสกับวัตถุเย็น ๆ พอเพ่งมองดูก็เห็นแหวนทองคำขาว หัวแหวนเป็นบลูแซฟไฟร์หรือเพชรสีน้ำเงินรูปหัวใจ ใบหน้าหวานยิ้มกว้างพอ ๆ กับดวงตาที่เบิกโตอย่างตั้งคำถาม
“มันกลับมาอยู่กับเจ้าของของมัน พี่ชายเรา...ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ”
“ไม่มีวันไหนที่น้องพลูไม่คิดถึงมัน...พี่ชลเชื่อไหมคะ” หญิงสาวลูบคลำแหวนด้วยความดีใจและคิดถึงอย่างที่พูด
“เชื่อสิคะ...น้องพลูรักพี่ขนาดนี้ ก็ต้องรักทุกอย่างที่พี่ให้เหมือนกัน”
“ต๊าย...พูดเอง เออเองนะคะนั่น” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนแล้วดึงร่างเล็กมากอดอีกครั้ง จมูกโด่งกดลงบนกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยผมหอม
“ถ้าไม่อยากให้พี่ทึกทักเอาเอง น้องพลูก็ต้องพูดออกมา” เกิดความเงียบนานช้า แทนดาวซุกหน้ากับอกอุ่นทำเหมือนไม่ได้ยินที่จนคนพูดต้องถามย้ำ
“พี่รักน้องพลูเหลือเกินแล้ว แล้วน้องพลูล่ะคะ...รักพี่ชลไหม” คนตัวเล็กอมยิ้มอยู่สักครู่ก็เขย่งปลายเท้าขึ้นแตะกลีบปากกับริมฝีปากหยักเบา ๆ
“น้องพลูรักพี่ชลค่ะ ดาวดวงนี้จะอยู่เคียงคู่ทะเลตลอดไป”
ภายใต้ท้องฟ้ามืดดุจกำมะหยี่ประดับดาวเป็นจุดเล็ก ๆ สองร่างตระกองกอดกันแนบแน่นถ่ายทอดความรู้สึกล้ำลึกให้กันและกัน ไออุ่นของลมหายใจจากคนร่างสูงค่อย ๆ รดไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากมนจนมาจรดที่ริมฝีปากระเรื่อ รสสัมผัสผิวเนิบนาบนุ่มนวลราวกลีบดอกไม้ต้องเกร็ดน้ำค้าง ช่างหวานและสุขล้น ต้นรักที่ทั้งคู่ช่วยกันดูแลตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ด บัดนี้งอกงามผลิดอกเบ่งบาน ถึงบางครั้งจะมีหนอนแมลงมารบกวนให้รำคาญ แต่ทว่ารั้วใจที่มั่นคง...เหล่าหนอนแมลงต่างก็ล่าถอยไปในที่สุด
-อวสาน-
ความรัก...เคยทำให้เขา...บุรุษผู้แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าทรุดกายลงด้วยอาการใจแตกสลายเพราะพิษร้ายของมัน
ความรัก....ได้หล่อหลอมให้เธอ...สตรีบอบบางกลับแข็งแกร่งด้วยอานุภาพของมัน
สองคน สองใจ ช่วยกันเพาะปลูกต้นรัก...ในรั้วแห่งใจ คนหนึ่งเป็นดิน คนหนึ่งเป็นน้ำ ความเอาใจใส่เอื้ออาทรซึ่งกันและกันคือปุ๋ยชั้นดี จากเมล็ดเล็ก ๆ ค่อยแทงราก แตกยอดอ่อนจนฝังรากแก้วลึกลงในหัวใจของทั้งคู่...ปลูกรักในรั้วใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ