ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) ตอนที่ 35 ผ่านเลยไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 35 ผ่านเลยไป

 

            สองวันผ่านไปที่ปลายเดือนยังไม่กลับบ้าน ที่ทวีกิจก็ไม่ได้เข้าไปอันผิดวิสัยของคนที่รักงานและมีความรับผิดชอบสูง จนล่วงเข้าวันที่สาม สองพี่น้องเลยพากันไปดูที่คอนโดแต่ก็ไม่พบใคร ความสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับปลายเดือนก่อกวนจิตใจจนอยู่ไม่เป็นสุข เรื่องเก่าเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันก็มีเรื่องใหม่เข้ามาให้แก้ปัญหาอีกแล้ว

                “เป็นไปได้ไหมคะ...ว่าพี่ผึ้งไปต่างประเทศโดยไม่บอกใคร?” แทนดาวเอ่ยถามกับคุณระรินเมื่อยังไม่มีทีท่าว่าพี่สาวจะกลับมาหรือติดต่อมาแต่อย่างใด

                “ไม่หรอกค่ะ อาไปดูในห้องยังเห็นพาสปอร์ตอยู่ที่เดิม เสื้อผ้าก็ไม่ได้พร่องตู้ไป”

                “อย่าเพิ่งวิตกเลยครับอา บางทีสีผึ้งอาจจะไปอยู่บ้านเพื่อนคนใดคนหนึ่งเพราะไม่อยากให้เราไปตามที่คอนโด” เทียมภพพูดให้อาสะใภ้สบายใจทั้งๆ ที่ในใจก็กลัดกลุ้มเอาการ ถึงมั่นใจในตัวน้องสาวคนรองว่าเป็นคนเก่งและเอาตัวรอดได้ แต่ความเป็นหญิงก็ทำให้อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

                “ออฟฟิศก็ไม่เข้า คอนโดก็ไม่อยู่ แล้วนี่จะติดต่อพี่ผึ้งได้ยังไง” แทนดาวถามตัวเองในใจ ในหัวก็พยายามรำลึกว่ามีสถานที่ใดอีกที่พี่สาวมักจะชอบไปแต่ดูเหมือนจะจนปัญญาอยู่เท่านี้

                “เมื่อกี้บ้านใหญ่โทรมาค่ะ บอกว่าคุณชลธีมา” แม่คนหนึ่งเดินมาบอก แทนดาวมองหน้าพี่ชายอย่างเกรงๆ ว่าจะยอมให้ไปพบหรือเปล่า

                “ผมกลับก่อนก็แล้วกัน อาริน...ยังไงเสียสีผึ้งก็คือทวีกิจ รับรองว่าจะไม่มีการดำเนินคดีอะไรทั้งนั้น...วางใจนะครับ” สองพี่น้องให้กำลังใจอาสะใภ้อีกครั้งแล้วปลีกตัวออกมา

 

                ชลธีไม่ได้มาคนเดียว สตรีที่มาด้วยก็รู้จักมักคุ้นกันเลยไม่จำเป็นต้องทักทายเป็นทางการนัก ฝ่ายหลังเจาะจงอยากจะมาคุยกับแทนดาวตามลำพัง เจ้าของบ้านก็เลยพาไปที่ซุ้มกระดังงามุมสงบที่สุดรองจากบ่อปลาหลังบ้าน ปาลิดารอจนแม่บ้านยกน้ำกับขนมมารับรองเรียบร้อยก็เปิดประเด็นพูดคุย

                “เห็นว่าไม่สบาย...เป็นยังไงบ้างล่ะ?” คำถามนี้ออกจะแปร่งๆ อยู่สักเล็กน้อยเพราะโดยธรรมชาติแล้วคนอย่างปาลิดามักจะไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อสุขภาพของคนอื่นนอกจากตนเองและไอดอลในดวงใจอย่างชลธีเพียงผู้เดียว แต่กระนั้นคนถูกถามก็ยังดีใจที่นึกถึงกันไม่ว่าจะรู้สึกจริงๆ หรือแค่ถามไปตามมารยาทเท่านั้น

                “หายดีแล้วล่ะ ว่าแต่ลูกปลาเถอะ...เรื่องนั้นเคลียร์หรือยัง?” เป็นที่เข้าใจกันระหว่างสองสาวว่า ‘เรื่องนั้น’ หมายถึงเรื่องอะไร

                “เคลียร์แล้ว...วันนี้เองล่ะ” รอยยิ้มกระจ่างใสผุดขึ้นบนใบหน้าออกไทยผสมจีน ปาลิดายกแก้วน้ำส้มคั้นดูดอึกใหญ่แล้วเริ่มเล่ารายละเอียด

                “เมื่อวานพี่ชลโทรบอกลูกปลาให้ไปที่ทวีกิจ พอไปถึงน่ะ...เจออะไรรู้ไหม? ทั้งท่านประธานใหญ่รวมทั้งพี่ชล ผู้จัดการบัญชี บุคคล ฝ่ายกฎหมาย อ้อ..แล้วก็ยัยสินินุชตัวร้าย อยู่กันครบเซ็ตเลย” เสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกความสะใจเต็มที่

                 “งั้นเหรอ? แล้วตัดสินว่ายังไง?”

                “หลักฐานมัดตัวขนาดนั้นต้องก็ถูกไล่ออกตามระเบียบ อีกอย่าง...นางก็มีชนักปักหลังด้วยเรื่องที่ชอบไปหยิบยืมเงินพนักงานคนอื่นแล้วเบี้ยวเขา พอเรื่องแดงขึ้นพวกเจ้าทุกข์ก็มาชี้ตัวอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด นางบีบน้ำตาเรียกความเวทนาต่อใครๆ โอดว่าติดหนี้นอกระบบบ้าง แม่ป่วย ไม่มีเงินส่งแชร์บ้าง โอ๊ย...หลอกใครหลอกได้แต่หลอกคนอย่างลูกปลาไม่ได้หรอก”

                “แล้วชื่อ...ปราง...ที่ยัยนั่นพูดถึงล่ะ? ใช่ปรางเดียวกับที่เราสงสัยกันหรือเปล่า?”

                “แม่นเป๊ะ...ยัยนุชซัดทอดเปรมยุตาว่าเป็นคนจัดการวางแผนให้ขโมยเงินสองแสน ไม่เท่านั้นนะ...มันแอบปั๊มกุญแจลิ้นชักของลูกปลาไป แล้วที่กล้องเสียวันนั้นน่ะ...ก็ยัยนี่แหละที่เอาเงินไปปิดปากยาม” ปาลิดาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง

                 “ อุ๊ย...เธอต้องเห็นหน้ามันตอนบีบน้ำตาเรียกคะแนนจิตพิสัย ครวญว่า...ถูกบีบให้ทำเพราะไปยืมเงินยัยปรางแล้วไม่มีใช้ แม่นั่นก็เลยให้สร้างเรื่องใส่ร้ายลูกปลาเป็นการใช้หนี้ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นนะ...ยัยปรางนี่ร้ายสุดๆ เลย ให้ยัยนุชปั๊มกุญแจห้อง คีย์การ์ดและอื่นๆ อีกสัพเพเหราก็เลยเข้านอกออกในห้องพี่ชลได้ปรุ แถมยังจ้างเป็นต้นห้องคอยรายงานความเคลื่อนไหวว่าวันๆ นึงพี่ชลไปไหน ทำอะไร กับใครบ้าง”

                “เอ่อ...ในเมื่อพี่ชลรู้อย่างนี้แล้ว เขาจัดการคุณปรางยังไงบ้างล่ะ?”

                “อืม...ดูลางแล้วพี่ชลไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเท่าไหร่ คงสงสารยัยปรางมั้ง อย่างน้อยก็เคยคบกันมานาน ติดที่ว่าอยู่ต่อหน้าผู้บริหารหลายคนก็เลยต้องทำอะไรให้เด็ดขาดไม่งั้นก็จะดูไม่ดี”

                “แต่พลูเข้าใจพี่ชลนะ เรื่องบางเรื่องมันเคลียร์กันเองได้ อีกอย่าง...แค่ลูกปลาหลุดจากข้อครหาก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วหลังจากนี้ล่ะ…จะกลับไปทำงานที่ธาราอีกหรือเปล่า?

                “คงไม่แล้วล่ะ...ว่าจะกลับไปทำงานที่ห้องเย็นอย่างเดิม ไม่ไหวอ่ะ...คนที่นี่ใจร้ายเลือดเย็นจัง ถึงลูกปลาจะไม่ใช่คนดีเด่อะไรแต่อย่างน้อยก็ไม่เคยแทงข้างหลังใคร”

                สองสาวสบตากันอย่างต้องการอ่านความคิดของอีกฝ่าย รายละเอียดที่เพิ่งได้รับฟังทำให้แทนดาวเข้าใจผู้คนรอบข้างมากขึ้น  เช่น ปาลิดาที่ว่าโผงผาง ปากไว ยังยอมรามือให้กับคนที่ดูนุ่มนวลสุขุมอย่างเปรมยุตาง่ายๆ ทำให้เกิดคำถามสั้นๆ ในใจว่า แล้วตัวเองล่ะ...จะยอมถอยให้ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า

                “ลูกปลาบอกคุณเทียมภพแล้วว่าสิ้นเดือนนี้จะลาออก แต่ก่อนไป...ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะสารภาพ” แทนดาวเลิกคิ้วอย่างเป็นคำถาม สังเกตเห็นอาการลังเลและความสำนึกผิดบนใบหน้าฉาบเมคอัพจัดจ้าน

                “คือจริงๆ วันนี้ลูกปลาไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมหรือมาบอกข่าวเรื่องสินีนุชหรอก...”

                “ดูจะสำคัญมากเลยนะ...ถึงทำหน้ายังงี้”

                “สำคัญสิ...ถ้าไม่ได้พูดก็เหมือนมันติดค้างในใจน่ะ ยังจำข่าวนั่นได้ไหม? จริงๆ ลูกปลาตั้งใจขโมยข่าวมาให้ดู คิดเอาเองว่าเธอกับพี่ชลจะได้ทะเลาะกัน คิดว่านะ...ยัยปรางเป็นคนจัดฉากแล้วก็คงจะปล่อยข่าวเองนั่นแหละ แล้วก็ขอยืนยันเลยว่าพี่ชลบริสุทธิ์ในทุกๆ เรื่อง ที่ยืนยันได้ก็เพราะลูกปลาแอบเข้าไปหาหลักฐานในห้องทำงานพี่ชลแล้วเจอผลตรวจร่างกาย ในนั้นเขียนว่าเขากับนังปรางไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่เธอคิด ผลเลือดบอกว่าโดนวางยานอนหลับด้วย..เลวจริงๆ” สิ้นคำบอกเล่า แทนดาวก็โกรธที่ปาลิดาขึ้นมาที่ช่างกล้าทำแบบนั้น หล่อนจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าหลังจากนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างตนกับชลธีบ้าง

                “เอ๊ะ...งั้นวันนั้นที่พลูไปหาพี่ชลที่ออฟฟิศ เห็นว่าหาหลักฐานอะไรสักอย่าง คงหมายถึงผลตรวจนี่หรือเปล่า?”

                “คงใช่มั้ง ที่ลูกปลาขโมยมาเพราะเดาเอาว่าพี่ชลต้องเอาผลตรวจมาให้เธอดูแน่ๆ แต่พอเธอบอกว่าไม่เชื่อข่าวนั่น...ก็เลยทิ้งไปเพราะคิดว่าไม่น่ามีผลอะไร” ปาลิดาหยุดแค่นั้นเมื่อสังเกตสีหน้าไม่ค่อยดีของอีกฝ่าย

                “ทีแรกพลูก็ไม่เชื่อข่าวซุบซิบดารานั่นหรอก...แต่พอเอาหลายเหตุการณ์มาร้อยกันก็อดเขวไม่ได้” แทนดาวลูบกำไลที่เขาเพิ่งสวมคืนให้อย่างรู้สึกผิด ความไม่เชื่อใจเกือบจะนำมาซึ่งการพลัดพรากอันน่าสะเทือนใจ

                “ลูกปลาขอโทษจริงๆ นะ ตอนที่สารภาพเรื่องนี้กับพี่ชลก็กลัวว่าแกจะโกรธจนไม่อยากมองหน้า แต่ผิดคาด...พี่ชลไม่ดุเลยสักคำ ลูกปลาเลยอยากจะมาบอกใบพลูด้วยตัวเอง ใบพลูดีกับลูกปลาทุกอย่างแต่ดูเรื่องที่ตัวเองทำไว้สิ” ปาลิดาบอกเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิดจริงๆ

                “ให้มันผ่านไปเถอะลูกปลา ต้องขอบใจที่บอกกัน ไม่งั้นพลูก็คงติดใจเรื่องนี้ไปอีกนาน”

                “เรื่องที่จะพูดก็พูดหมดแล้ว...สบายใจแล้วล่ะ” สองสาวยิ้มให้กันอย่างเข้าอกใจ เมื่อทุกอย่างเปิดเผย...ก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิดไตร่ตรองเรื่องราวให้ถ้วนถี่จนเกือบจะเกิดโศกนาฏกรรมความรัก แค่เพียงแต่คิด...ก็เหมือนมีคลื่นความหวาดกลัวลูกเล็กซัดกระทบจิตใจเมื่อลองคิดว่า ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น...เขายังจะมีแก่ใจอยู่รออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น หรือยังจะทนกับความเอาแต่ใจของตัวเองอยู่หรือไม่

 

                เวลาล่วงถึงยามโพล้เพล้เต็มทีแต่แทนดาวยังคงเดินทอดอารมณ์เรื่อยเปื่อยจนมาหยุดนั่งพักตรงหัวสะพานริมบ่อปลา หญิงสาวหย่อนตัวลงนั่งบนบันไดขั้นแรกแล้วหยิบอาหารเม็ดสีน้ำตาลในกระปุกซัดกระจายลงไปในสระน้ำ ไม่ถึงหนึ่งนาทีฝูงปลาตัวอ้วนที่เลี้ยงไว้ก็ผุดขึ้นมาแย่งตอดกินอาหารจนน้ำกระเพื่อมเป็นวงคลื่น เสียงจ๋อมแจ๋มแย่งฮุบอาหารทำให้หญิงสาวยิ้มในความตะกละของพวกมัน ทุกครั้งเวลามีเรื่องรบกวนใจ แทนดาวมักจะหลบมาอยู่เงียบๆ ตรงนี้ประจำ ให้อาหารปลาแล้วคอยดูพวกมันแย่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ช่วยบรรเทาความเครียดได้ทางหนึ่ง

                เสียงกรอบแกรบข้างหลังทำให้หญิงสาวละสายตาที่กำลังมองดูปลาอย่างเพลิดเพลินเหลียวไปมองต้นเสียงก่อนจะระบายยิ้มให้ผู้มาใหม่ หญิงสาวรีบวางกระปุกอาหารลงพร้อมกับขยับตัวไปชิดขอบบันไดอีกฝั่งโดยอัตโนมัติเมื่อเขาทำท่าจะลงมานั่งด้วยกัน  ชลธีหยุดยืนค้ำหัวร่างเล็กจนดูคล้ายยักษ์ตัวโตกำลังจ้องมองมนุษย์ตัวเล็กๆ เขายังอยู่ในชุดทำงานเกือบจะเต็มยศเพียงแต่ไม่มีเสื้อนอกสวมทับ มือหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกสีขาวขุ่นมาด้วย

                “เห็นลูกปลาเข้าบ้านไปนานแล้วแต่ไม่เห็นน้องพลูตามเข้าไป พี่หาอยู่ตั้งนาน...หาจนทั่วเลยนึกได้ว่ายังมีตรงนี้อีกที่ที่น้องพลูชอบมา” ร่างสูงเอ่ยทักทายเสียงสดชื่นขัดกับสีหน้าเคร่งขรึมแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยความสูงทำให้เขาต้องวางเท้าบนบันไดขั้นล่างถัดไปอีกสองขั้น ในขณะที่แทนดาวดีใจที่เขาจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับตนได้เสมอ

                “น้องพลูก็นึกว่าพี่ชลกับลูกปลากลับไปแล้วก็เลยยังไม่เข้าบ้านค่ะ แล้ววันนี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหมคะ?”

                “พี่ต้องไปงานเลี้ยงต่อ อีกสักเดี๋ยวก็คงออกไป เป็นไงบ้างครับ...แผลหายดีหรือยัง

                “หายอักเสบแล้วค่ะ ต้องระวังอย่าให้โดนน้ำ อดนุ่งกระโปรงสั้นยาวเลย” หญิงสาวพลิกน่องขาทั้งสองข้างให้ดู รอยแผลตกสะเก็ดกับอาการบวมแดงทุเลาลงไปมาก

                “พี่ซื้อมาให้” ชายหนุ่มล้วงถุงหยิบสิ่งของบางอย่างยื่นให้ มันเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นเดียวกับที่เขาใช้แต่เป็นสีชมพูใหม่แกะกล่อง

                “พี่ซื้อไว้หลายวันแล้วเพราะเห็นว่าจำเป็น เบอร์ใหม่ เครื่องใหม่ เมมเบอร์พี่ใส่ให้แล้วด้วย”

                “ขอบคุณนะคะ แต่... เดี๋ยวพี่หมากก็ซื้อให้เองแหละ” แทนดาวมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าแม้ด้วยความเกรงใจ แล้วซ่อนรอย ‘อยากได้’ ด้วยการหันไปมองฝูงปลาที่เริ่มทยอยมุดน้ำหายไปเพราะไม่เหลืออาหารให้ฮุบแล้ว

                “รู้อีกนั่นแหละ...เครื่องนี้เอาไว้ติดต่อกับพี่คนเดียวก็ได้ ห้ามปิดเครื่อง ห้ามแบตหมด ห้ามลืม ห้ามไม่รับสายและห้ามรับสายช้า” เขาสั่งเป็นชุด แทนดาวหน้ามุ่ยหนักเข้าไปอีก นึกขวางๆ ในใจว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีฟังก์ชั่นสารพัดจนเกินความต้องการแล้ว ไม่ต้องไปยัดฟังก์ชั่นเสริม ห้า ห. เพิ่มอีกหรอก แต่ท้ายสุดก็รับเอามา

                “เรื่องที่น้องพลูเข้าใจพี่ชลผิดไป...ต้องขอโทษด้วยนะคะ ลูกปลาบอกความจริงทุกอย่างแล้ว” มือเล็กกระพุ่มไหว้เป็นการขอบคุณและขอโทษไปพร้อมกัน เรื่องที่ ‘ติดหนี้’ ยิ่งทำให้รู้สึกผิดไปกันใหญ่ ถ้าวันนั้นเขาตามไปไม่ทันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้อีกไหม

                “อันที่จริงน่ะ...พี่สงสัยคนใกล้ตัวอย่างสินีนุชมานานแล้ว เพราะเคยได้ยินเรื่องซุบซิบลอยเข้าหูอยู่ประจำเรื่องที่ชอบหยิบยืมเงินคนอื่นไปทั่ว ไหนจะติดหนี้บัตรเครดิตอีกหลายใบ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว อีกอย่าง...เรื่องงานก็ไม่มีอะไรบกพร่อง ทีนี้ก็คงเข้าทางปรางนั่นแหละ ได้โอกาสใช้มือสินีนุชทำเรื่องต่างๆ”

                “แล้วคุณปรางล่ะคะ...จะเป็นยังไง?”

                “พี่ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้อีกแล้ว ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายจัดการกันไป ผิด...ก็ต้องว่ากันไปตามผิด ปรางได้รับการให้อภัยมาเสมอจนเคยตัวว่าพี่จะใจอ่อนอีก แต่เรื่องที่เขาทำครั้งนี้มันกระทบกันไปหมด ตั้งแต่เรื่องเงิน เรื่องข่าวหรือเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้เราเข้าใจผิดกัน  พี่ไม่ห่วงตัวเองนักหรอกแต่น้องพลูน่ะสิ...อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ”

                “แล้วเธอจะไม่แค้นเหรอคะ? พี่ชลคิดว่าคุณปรางจะหยุดแค่นี้เหรอ?”

                “พี่เองก็ยังไม่วางใจนักหรอก ปรางน่ากลัวมาก พี่ขอโทษนะ...ที่ดูแลน้องพลูได้ไม่ดีพอ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ มันกลับทำให้น้องพลูเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ ได้รู้ใจคนว่า...บางทีคนที่เรารักนั่นแหละ ใจร้ายกับเราที่สุด” แทนดาวกลืนก้อนความขมขื่นลงคอเมื่อนึกถึงเรื่องที่พี่สาวกระทำกับตน ชลธีลูบศีรษะเล็กอย่างเข้าอกเข้าใจ

                “พี่เองก็คิดไม่ถึงว่าคุณสีผึ้งจะทำอะไรร้ายแรงแบบนั้น ที่สำคัญ...ทำไปเพื่ออะไรกัน”

                “เพราะต้องการตัวพี่ชลให้ได้ยังไงล่ะคะ ตั้งแต่จ้างคนไปป่วนน้องพลูเพื่อที่จะกันเราให้อยู่ห่างๆ กัน พี่ผึ้งคงจะเกลียดน้องพลูมากถึงขั้นส่งคนให้มา...จัดการขั้นเด็ดขาด”  ใบหน้าคนพูดสลดลงจนซีดเผือด ชลธีบีบไหล่บางอย่างปลอบประโลม ฝ่ามืออบอุ่นไล้ที่ปรางเนียนแล้วปัดผมเผ้าที่ถูกลมตีให้เข้าทรง ใจก็ครุ่นคิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดกว่าที่หญิงสาวจะลืมเรื่องเลวร้ายนั้น

                “พี่เข้าใจว่าคุณผึ้งเป็นคนมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่ ไม่น่าจะคิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ได้ พี่เอง...ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำใจให้อภัยเธอได้ไหม” เกิดประกายเยือกเย็นในดวงตาสีเหล็กเมื่อภาพความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าปลายเดือนจะโกรธเกลียดเขามากขนาดไหนที่พูดความจริงออกไป แต่ ณ เวลานั้นแทนดาวสำคัญที่สุด เขาจะไม่ยอมให้อะไรก็ตามทำให้หล่อนต้องมีอันเป็นไป นึกถึงภาพร่างกึ่งเปลือยนอนร้องไห้หมดแรงอยู่บนเตียงแล้ว...มันทำให้เขาทนไม่ได้

                “มันผ่านไปแล้วค่ะพี่ชล น้องพลูก็อยากจะโกรธพี่ผึ้งแต่ก็ทำไม่ได้ คำว่าพี่น้องมันมีเยื่อใยผูกพันลึกซึ้งกว่าที่น้องพลูคิดไว้มากนัก พี่ชลโกรธพี่ผึ้งได้แต่อย่าถึงกลับเกลียดกันเลยนะคะ”  แทนดาวเอนศีรษะพิงท่อนแขนหนาราวกับจะใช้เป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้ากับทุกสิ่ง  ชลธีเงียบ...ไม่มั่นใจว่าจะอภัยให้ผู้หญิงคนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ปลายเดือนทำลงไปมันยากเหลือเกินที่จะปล่อยให้ผ่านเลยไปอย่างที่แทนดาวว่า

                “ว่าแต่น้องพลู... เหนื่อยไหม? ท้อไหม? ที่ตั้งแต่รู้จักกับพี่ก็พาเจอแต่เรื่องแย่ๆ ยังอยากจะเดินไปกับพี่อยู่หรือเปล่าครับ?”

                “น้องพลูยังอยู่ตรงนี้ค่ะ...ที่เดิม เวลาพี่ชลเจอปัญหาหรือเรื่องอะไรก็ตามที่หนักหนา  น้องพลูก็จะอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” สองสายตาประสานกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ริมฝีปากหยักอุ่นประทับจูบหน้าผากนวลกับแก้มบางเพียงแผ่วเบาแทนความรู้สึกขอบคุณจากใจ มือบางบีบมือหนากระชับราวกับจะให้ความเชื่อมั่นว่า ดาวดวงนี้จะเปล่งประกายเป็นจุดสว่างเล็กๆ กลางทะเลในคืนที่ความมืดมนอนธการเข้าครอบคลุม

                ในความสลัวของแสงอาทิตย์อัสดงจวนเจียนจะลับขอบฟ้าไปทุกที ร่างของเทียมภพยืนหลบอยู่หลังไม้พุ่มสูงมองดูสองคนนั้นนั่งคุยกันอยู่เงียบๆ ถ้าเกิดเป็นเวลาอื่นคงไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ฝ่ายนั้นอยู่แนบชิดกับน้องสาวเช่นนี้แน่ แต่จากเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ทำให้เขาสุขุมขึ้น ความใจร้อนและเอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ได้มอบบทเรียนแสนสาหัสให้ตนมาแล้ว เขาเกือบจะไม่ได้น้องสาวคนนี้กลับคืนมาถ้าไม่มีเพื่อนคู่อาฆาตที่เกลียดจนเงาไม่อยากเหยียบคนนี้ช่วยเหลือไว้ เมื่อให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ก็ทำให้คิดอะไรได้รอบคอบขึ้น เฉกเช่นเวลานี้ที่เทียมภพตัดสินใจหันหลังกลับโดย

ปราศจากอารมณ์ขุ่นมัวใดๆ

 

                ชลธีทำงานด้วยสมาธิที่นับจะลดน้อยลงทุกทีเพราะมีเรื่องหนักใจเรื่องใหม่เข้ามา เขาเพิ่งกลับมาจากทวีกิจพร้อมกับข่าวที่อาจจะเรียกว่าร้ายแรงสำหรับคนบ้านนั้น นั่นคือปลายเดือนไม่กลับบ้านและติดต่อไม่ได้มาห้าวันแล้ว วูบแรกเขานึกเกลียดตัวเองจับใจที่ไม่น่ากระโตกกระตากจนเป็นเหตุให้หล่อนหวาดกลัวจนหนีหายไป เทียมภพเป็นคนแจ้งข่าวด้วยตัวเองและคำพูดซึ่งเกือบจะเป็นการขอร้องว่าให้ช่วยส่งคนตามหาปลายเดือน เขารับปากว่าจะช่วยอย่างเต็มความ สามารถเพราะอย่างไรเสียปลายเดือนก็เปรียบเสมือนญาติ

                 “ความจริงฉันก็ไม่อยากจะกวนแกหรอกนะ อีกอย่างก็รู้ว่าแกไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ แต่ยังไงก็เถอะ...ช่วยยัยผึ้งสักหน่อยก็ยังดี เพราะอีกหน่อยแกก็ต้องมาร่วมวงศากับตระกูลฉันอยู่แล้วนี่หว่า อ้ออีกเรื่องนึง เมื่อคืนนี้นะ...ฉันนอนคิดๆ ดูแล้วว่าคงไปห้ามแกไม่ให้ชอบใบพลูไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้น้องยังอยู่ในความดูแลของฉัน เพราะงั้น...อย่าทำอะไรให้มันรุ่มร่ามเกินพอดีนัก แกอาจจะใจอ่อนที่ไม่ฆ่าฉันได้ แต่ฉันใจแข็งพอที่ฆ่าแกได้นะ...อย่าลืม”

                “คุณชลคะ...มีแขกมาขอพบค่ะ” เสียงผู้ช่วยคนใหม่ดังผ่านเครื่องอินเตอร์โฟนเข้ามา ชลธีสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไปแล้วเหลือบมองตารางนัดบนปฏิทินก่อนจะถามกลับไปด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย

                “ใครเหรอ?”

                “คุณเปรมยุตาค่ะ” เสียงใสๆ ของเลขานุการคนใหม่ยังเป็นปรกติเพราะไม่รู้ว่าแขกคนนี้มีนอกมีในอย่างไรกับเขาก่อนหน้านี้

                “พาเธอไปห้องประชุมเล็กชั้นสี่นะ เดี๋ยวผมออกไป” หนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เตรียมตัวให้พร้อมรับเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดฝัน ครั้งสุดท้ายที่เขารับรู้ความเคลื่อนไหวของเปรมยุตาก็คือทนายของธาราได้เข้าแจ้งความคดียักยอกทรัพย์ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอีกจนดูเหมือนว่าเขาและหล่อนได้ตัดขาดจากการเป็นคนรู้จักกันแล้วอย่างถาวร

                 “หวังว่าปรางคงไม่ได้มารบกวนเวลางานของคุณนะคะ” เปรมยุตาเอ่ยทักขึ้นก่อนด้วยท่าทีสุขุมจนชลธีชักไม่วางใจ หล่อนดูสะสวยและสดใสไม่เหมือนคนที่กำลังมีคดีความ

                “ไม่นึกว่าคุณจะ...ว่าง....มาหาผม” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยแต่ก็แฝงความไม่สบอารมณ์

                “ถ้าชลหมายถึงปรางจะยุ่งเรื่องคดีจนไม่มีเวลาก็ต้องบอกว่าไม่เชิงหรอกค่ะ ปรางคงไม่ปล่อยให้ใครมาเอาผิดกันได้ง่ายๆ ปรางไปรับทราบข้อกล่าวหาเรียบร้อยและปฏิเสธทุกข้อหา อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ...ดูคุณไม่มีความสุขเลยที่ปรางยังไม่ได้เข้าคุก” น้ำเสียงของเปรมยุตาเย็นเยียบพอๆ กับสีหน้าและแววตาไม่ยินดียินร้าย

                “คุณหนีไปได้ไม่ตลอดหรอกปราง ทุกอย่างมันจะมัดตัวคุณจนดิ้นไม่หลุด”

                “ปรางมั่นใจว่าต้องหลุดเพราะว่าชลจะต้อง...ช่วย” เปรมยุตาหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอ่ยประโยคแฝงความหมายที่ทำให้ชลธีต้องย่นคิ้ว

                “ทำไมถึงคิดว่าผมจะช่วย?”

                “แหม...คุณจะใจร้ายขนาดปล่อยให้ลูกเมียไปลำบากอยู่ในคุกตารางเชียวหรือ?”

                “หมายความว่าไง?” คำถามติดออกจะดุดันและไม่เข้าใจหากแต่เปรมยุตาเพียงแต่ยิ้มเย็น

                “ปรางท้องค่ะ ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกค่ะ แต่พออาการมันแสดงออกมาค่อนข้างชัดเจนก็เลยไปให้หมอตรวจมาเมื่อวานนี้เอง” ชลธีมองรอยยิ้มหวานหยดในอาการอึ้งและตกใจไปพร้อมๆ กัน 

                “อย่าล้อเล่นนะปราง...ผมไม่สนุกด้วย!”  เขาลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง คิ้วขมวดมุ่นอย่างรู้สึกโกรธ เปรมยุตาคงจะจับความรู้สึกนั้นได้จึงก้มหน้าควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพายแล้วหยิบได้กระดาษใบหนึ่งยื่นให้

                “นี่คือผลการตรวจค่ะ ชลคงมั่นใจแล้วใช่ไหมคะ...ว่าปรางไม่ได้กุเรื่องขึ้น” ชลธีกวาดตาอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาเยือกเย็น

                “ปรางก็ไม่คิดนะคะว่าลูกจะมาเกิดเร็วอย่างนี้ แกคงอยากให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกัน...ชลว่าไหม?” หล่อนเดินมาเกาะแขนเขา ส่งสายตาหวานฉ่ำอย่างคนสมปรารถนามาให้ ชลธีไม่ปัดป้องเพราะมัวแต่อึ้งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

                “ผมเคยรักคุณมาก...แต่ก็ไม่มากเท่าที่รู้สึกขยะแขยงคุณเหลือทนตอนนี้ คุณทำได้ทุกอย่างจริงๆ นั่นล่ะ แต่เอาเถอะ...ผมจะรับผิดชอบ” เกิดประกายยินดีในดวงตาสีน้ำผึ้ง ร้อยยิ้มบางเบาผุดพรายจนหน้าบาน

                “จริงเหรอคะชล?”

                “จริงสิครับ ผมรับผิดชอบแน่นนอนหลังจากผลการตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่าเด็กเป็นลูกของผมจริง...ไม่ต้องห่วงเลย”

                “อะไรนะ! ชลพูดแบบนี้ได้ยังไง ผลตรวจมันก็ยืนยันแล้วว่าปรางท้องได้เกือบสองเดือนแล้ว เวลาสอดคล้องจากวันที่เรานอนด้วยกัน” รอยยิ้มสวยเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งด้วยโทสะ

                “จะให้ฟันธงตอนนี้มันไม่ได้ ผมเคยพลาดมาแล้วนะปราง...และก็ยังเจ็บมาจนทุกวันนี้ คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำไปแล้วเสมอ ในทำนองเดียวกัน อะไรที่ไม่ได้ทำ...ผมก็ไม่รับ”

                “คุณมันเลว! กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ทำไมล่ะคะ...ลูกของเราเกิดมาแล้ว ลูกที่คุณอยากมีมาตลอดไง ตอนนี้ปรางพร้อมแล้วที่จะมีแกแล้วทำไมคุณปฏิเสธกันแบบนี้ล่ะคะ?” เปรมยุตาเริ่มคร่ำครวญทั้งน้ำตา

                “ปราง...จริงอยู่ว่าผม ‘เคยปรารถนา’ แค่ไหนที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับคุณ แต่คุณเองไม่ใช่หรือที่ทำลายความฝันของผม แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไรอีก ได้โปรดเถอะปราง ถ้าเป็นลูกผมจริง...ก็จะเลี้ยงดูแกอย่างดีไม่ต้องห่วงเลย แต่ต้องหลังจากที่พิสูจน์แล้วว่าเด็กเป็นลูกผมจริงๆ ระหว่างนี้...คุณจะไปป่าวร้องเที่ยวบอกใครต่อใครว่าท้องกับผมก็เชิญถ้าไม่กลัวว่าเป็นการประจานตัวเอง ส่วนผมพร้อมเสมอที่จะอธิบายให้ทุกคนฟังว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง” เขาพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้เปรมยุตายืนตัวสั่นอยู่เพียงผู้เดียวแล้วปล่อยกรีดร้องออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

                คนเรา...ถ้าถึงคราวจนตรอกก็ย่อมคิดหาวิธีเอาตัวรอดให้จงได้ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเพราะมัวแต่คิดว่า... ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว

                               

                ยังไม่มีใครได้เบาะแสว่าปลายเดือนไปอยู่ที่ไหน เทียมภพกับแทนดาวใช้เวลาว่างหลังเลิกงานกับเลิกเรียนช่วยกันออกตระเวนหาตามบ้านเพื่อนที่อยู่ในหนังสือรุ่นแต่ทุกครั้งก็ไม่ได้อะไรกลับมา ถึงกระนั้นเทียมภพก็ยังชื่นชมในความตั้งใจและอดทนของน้องสาวคนเล็กที่ไม่แสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายหรือสิ้นหวังออกมาสักครั้ง ทั้งยังเป็นคนช่วยปลุกปลอบและให้กำลังใจคนในบ้านจนเขาต้องยอมรับว่าน้องสาวคนนี้ ‘โต’ กว่าที่คิดไว้มากมายนัก

                ไม่เว้นแม้แต่บุรินทร์ที่กลัดกลุ้มไม่แพ้กันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งข่าวว่าปลายเดือนหายตัวไป ครั้งล่าสุดที่เจอกันก็ตอนที่พามารดามาเยี่ยมคุณย่าลำเภาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน บ้านนี้ยังดูเป็นปรกติสุขจนไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

                “ผมนึกว่ายัยผึ้งจะมา ถ้าไม่เจอที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหนแล้ว” เทียมภพบ่นกับผู้ที่นับถือเป็นพี่อย่างจนความคิดจริงๆ

                “หมากแน่ใจนะว่า...น้องผึ้งไม่ได้ไปอยู่โรงแรมหรือห้องพักที่ไหน”

                “เพื่อนผมลองเชคดูตามโรงแรมทั่วกรุงเทพแล้วก็ไม่เจอ ส่วนตามที่พักเล็กๆ ยัยผึ้งคงไม่ไปอยู่หรอก”

                “ม๊าหลีเครียดมากเลยค่ะ ไม่ยอมกินข้าวเลย ดีนะที่เรายังปิดอาม่าได้ ไม่น่ามาบอกท่านเลย..น้องพลูรู้สึกแย่มากจริงๆ”  แทนดาวเดินหน้าเศร้ามานั่งลงข้างพี่ชาย ในคำพูดฉาบความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม แน่นอนว่าคุณหลีและคนอื่นๆ ต้องพลอยเป็นกังวลไปด้วยเพราะรักลูกหลานบ้านทวีกิจไพศาลเสมอสายเลือดแท้ๆ

                “ผมขอโทษนะเฮียบุ้งที่พาความไม่สบายใจมาให้” เทียมภพก้มหัวอย่างขอลุแก่โทษจากใจ บุรินทร์ตบบ่าให้กำลังใจ

                “ดีแล้วที่มาบอกกัน พวกเราจะช่วยเต็มที่ เฮียเบิ้มรู้จักคนเยอะแยะ...จะได้ช่วยกันสืบหา”

                “ขอบคุณครับเฮีย ถ้ายัยผึ้งรู้ว่าเฮียเป็นห่วงมากขนาดนี้ก็คงใจอ่อนจนได้”  บุรินทร์เพียงแต่ยิ้ม ดวงตาเศร้าสร้อยสื่อความนัยกลายๆ ว่าจะไม่มีวันนั้น...วันที่ปลายเดือนจะยอมมองตนในฐานะอื่นที่มิใช่พี่ชาย

 

                วันนี้ก็เป็นอีกวันที่สองพี่น้องกลับถึงบ้านดึกดื่น พอกลับมาก็แทบจะคลานขึ้นเตียงด้วยความเมื่อยล้าจากการฝ่าฟันสภาพจราจรในกรุงเทพมหานคร บางวันชลธีกับรมย์นลินก็ช่วยบ้างแล้วแต่จะว่างแค่ไหน บางครั้งสองหนุ่มก็หันหน้าปรึกษาหารือกันสีหน้าเคร่งเครียด ตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงมีคนเข้าออกบ้านทวีกิจไพศาลขวักไขว่ ไหนจะตำรวจ ไหนจะสายสืบ ไหนจะคนของเทียมภพและชายฉกรรจ์หน้าตาแปลกๆ ที่เป็นคนของชลธี

                บาดแผลของแทนดาวตกสะเก็ดหลุดไปหมดแล้วเหลือเพียงรอยสีชมพูจางๆ น่าแปลกที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดกับมันอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่าปลายเดือนหายตัวไป ถึงตนกับพี่สาวจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันนัก  แต่การที่มีปลายเดือนอยู่ในบ้านแล้วต้องทะเลาะถกเถียงกันก็ยังดีกว่าไม่มี แทนดาวเพิ่งจะรู้สึกถึงสายใยครอบครัวที่ผูกมัดกันไว้แน่นหนาและลึกซึ้ง ทุกๆ วันหญิงสาวจะเข้ามาในห้องนอนของพี่สาวคราวละนานๆ เผื่อจะพบเบาะแสอะไรบ้างถึงแม้ว่าห้องนี้ถูกรื้อจนไม่มีตรงไหนให้รื้ออีก บางวันเพลียจัดจนนอนหลับไปก็มีตอนนี้ทำได้เพียงภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอย่างคนจนตรอก

                หญิงสาวลุกขึ้นอย่างท้อใจเตรียมตัวจะกลับบ้านเพราะเลยเวลานอนมานานแล้ว แต่สายตาก็ไปสะดุดกับวัตถุอะไรสักอย่างที่ทำให้ต้องนั่งลงใหม่อีกหน ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ต้องก้มลงไปหยิบตะกร้าใส่เศษผงใต้โต๊ะ ในนั้นไม่มีอะไรนอกจากเศษกระดาษทิชชู ตลับเครื่องสำอางเปล่าๆ กับสำลี มือเล็กค่อยๆ หยิบขยะพวกนั้นขึ้นมาดูทีละชิ้นจนถึงเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ถูกขยำทิ้งอยู่ก้นตะกร้า 

หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาคลี่ดูอย่างสังหรณ์ใจผสมตื่นเต้นแล้วก็ต้องตาวาวเมื่อเห็นลายมือขยุกขยิกจดที่อยู่ของสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ลายมือนั้นเหมือนจะเร่งรีบเขียนให้เสร็จๆ ปลายเดือนคงจะโทรหาเพื่อนคนนี้แล้วรีบจดที่อยู่รวกๆ จากนั้นคงจะไปคัดลอกใหม่ด้วยลายมือสวยๆ แล้วทิ้งเศษกระดาษชิ้นนี้ก่อนจะออกจากบ้านไป  แทนดาวยิ้มกับตัวเอง ความหวังพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ ตั้งใจจะวิ่งไปบอกพี่ชายเดี๋ยวนี้แต่เห็นว่าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วเลยตัดสินใจโทรศัพท์หาชลธี

                “พี่ชลคะ...น้องพลูมีเรื่องรบกวนนิดนึง พี่ชลออกมาได้ไหมคะ?”

               

                ชลธีมองสาวน้อยในชุดทะมัดทะแมงพร้อมเป้สะพายหลังใบเล็กที่กำลังตะเกียกตะกายปีนรั้วออกมาจากบ้านด้วยอาการขบขัน เขายื่นมือไปช่วยรับตัวแมงมุมสาวที่ปีนป่ายบนรั้วไม้ระแนงอย่างทุลักทุเลให้ลงมาอย่างปลอดภัย ขืนให้ลงมาเองแขนขาก็คงได้พลิกได้็คง็แพลงกันบ้าง

                “คิดว่าน้องพลูจะหนีออกจากบ้านไปอีกคนซะแล้ว ทำไมไม่ออกมาดีๆ ล่ะ” เขาเอ่ยถามถามคนที่นั่ง

ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มที่ยังปนความขบขันกับภาพปีนกำแพงอยู่

                “ก็น้องพลูไม่อยากให้คนในบ้านต้องวุ่นวายนี่คะ คิดดูสิ...ถ้าพี่หมากรู้ก็ต้องโกลาหลกันอีกแน่ๆ เรียกพี่ชลดีกว่า อีกอย่าง...พี่ชลยังไม่นอนหรอกใช่ไหมคะ? น้องพลูรู้”

                “แล้วรู้ได้ไงว่ายังไม่นอน”

                “ก็พี่แฟงบอกว่าพี่ชลเป็นคนนอนดึก ถ้าไม่เลยเที่ยงคืนนอนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” ชลธีหัวเราะเบาๆ กับคำตอบ

                “เดาเก่งแฮะ...ทีนี้พี่ก็โกหกน้องพลูไม่ได้น่ะสิ”

                “แล้วทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ สิ ก็เราเป็น...ฟะ...แฟนกันไม่ใช่เหรอ?”

                “บางครั้งพี่ก็ไม่อยากให้แฟนไม่สบายใจนี่นา เอาเป็นว่าพี่ไม่เคยโกหกน้องพลูก็แล้วกัน” เขาตอบพลางยิ้มกับกิริยาเก้อกระดากของคนข้างๆ

                “ไม่โกหก...แต่ก็ไม่บอกทุกเรื่องใช่ไหมล่ะ”

                “มานี่สิ...” ชลธีละมือข้างซ้ายมาจับมือเล็กจุมพิตแผ่วเบาแล้วโอบร่างบางให้ซบอิงตรงซอกไหล่ ใช้มือข้างที่เหลือบังคับพวงมาลัยอย่างชำนาญ

                “เอาไว้แต่งงานกันก่อนแล้วจะไขข้อข้องใจทุกเรื่องที่น้องพลูอยากรู้”

 

                การหาที่อยู่ตามลายแทงบนเศษกระดาษใบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ชลธีรู้จักหมู่บ้านนี้ดีตามประสาอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มานาน ครู่ใหญ่ต่อมาทั้งคู่ก็มายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านหลังหนึ่งตามเลขที่ที่ระบุบนเศษกระดาษ

                “น้องพลูจะเข้าไปคนเดียวก่อนนะคะ จบงานนี้จะพาพี่ชลไปเลี้ยง”

                “พี่กินจุนะครับ” เขาตอบยิ้มๆ แล้วจุมพิตหน้าผากมนก่อนจะปล่อยให้สาวน้อยเดินไปกดกริ่งหน้าประตูบ้าน สักพักใหญ่ต่อมาก็มีหญิงวัยกลางคนท่าทางงัวเงียออกมา ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นานกว่าที่หญิงคนนั้นจะพาแทนดาวหายเข้าไปในบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะชะเง้อชะแง้ดูด้วยความเป็นห่วง

                แม่บ้านพาแขกยามวิกาลไปนั่งรอให้น้องนั่งเล่นอันเงียบสงัด รู้สึกผิดเหมือนกันที่มารบกวนเวลาหลับนอนแต่มันก็อดใจรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ได้จริงๆ สักพักใหญ่กว่าที่แม่บ้านคนเดิมจะลงมาพร้อมกับปลายเดือนในชุดนอนสีฟ้าจาง

                “พี่ผึ้ง...” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาทันที แทนดาวเดินเร็วๆ ไปหาปลายเดือนที่หยุดอยู่เพียงแค่บันไดขั้นสุดท้าย สองแขนตวัดโอบรอบตัวพี่สาวแน่นหนาราวกับกลัวว่าจะหนีหายไปอีก

                “พี่ผึ้งจริงๆ ด้วย รู้ไหมว่าพลูกับทุกคนๆ เป็นห่วงมากแค่ไหน? พวกเราตามหาพี่ผึ้งจนทั่วเลย” พูดได้แค่นั้นน้ำตาแห่งความดีใจก็ไหลรินออกมาอย่างสุดกลั้น หญิงสาวรับรู้ถึงความอบอุ่นของวงแขนที่ค่อยๆ โอบอยู่รอบตัว พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับดวงหน้าซีดเซียวอย่างคนอมทุกข์ของพี่สาวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

                “พี่ผึ้ง...”

                “พี่ขอโทษ” เสียงสั่นเครือเอื้อนเอ่ยเป็นครั้งแรก จากนั้นสองพี่น้องก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเป็นเวลาเนิ่นนาน ปล่อยให้น้ำตากับอ้อมแขนเป็นสื่อถ่ายทอดความรู้สึกทั้งมวล

                “กลับบ้านเราเถอะนะ...พี่ผึ้ง น้องพลูมารับกลับบ้าน”

                “พี่ทำตัวเลวจนไม่กล้ากลับไปหาคุณย่า ไม่กล้าไปเจอหน้าคุณลุงคุณป้าแล้วก็ละอายใจเกินกว่าที่จะไปพบพ่อกับแม่ด้วย”

                “เราทุกคน...ไม่มีใครโกรธเกลียดพี่ผึ้งนะคะ น้องพลูอธิบายให้ทุกคนเข้าใจหมดแล้ว แค่พี่ผึ้งกลับบ้านทุกอย่างก็จบค่ะ” แทนดาวมองสีหน้าสลดด้วยความสงสารและเห็นใจ

                “พี่ทำผิดกับเธอเอาไว้มาก ทำไม่ดีมาตลอด…ทำไมไม่โกรธพี่ล่ะ?”

                “น้องพลูเข้าใจความรู้สึกของพี่ผึ้ง และพี่ผึ้งก็เป็นพี่สาว จริงๆ แล้วพี่ผึ้งก็รักน้องพลูใช่ไหมคะ? แต่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ” ปลายเดือนสบตาน้องสาวนิ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วรวบตัวลูกผู้น้องเข้ามากอดแน่น

                “ไอ้ชั่วนั่นมันไม่ได้ทำอะไรน้องพลูใช่ไหม? มันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลวๆ ลงไปใช่หรือเปล่า?” ปลายเดือนดันตัวน้องสาวออกแล้วถามอย่างคาดคั้น

                “พี่ชลไปพาตัวออกมาได้ค่ะ น้องพลูไม่เป็นอะไร”

                “คืนนั้น...พี่กำลังจะกลับไปที่คอนโดเพื่อช่วยเรา แต่...คุณชลไปถึงก่อนพี่ก็เลยรออยู่ พี่ขอโทษนะ” ปลายเดือนละล่ำละลักสารภาพผิดทั้งน้ำตา จริงอยู่ว่าเดิมทีอยากจะให้น้องสาวมารหัวใจคนนี้มีอันย่อยยับไป แต่ความรักในเชื้อสายเดียวกันมีอานุภาพเหนือความชิงชังทั้งมวล จนท้ายที่สุดแล้วปลายเดือนก็รัก ‘เลือด’ มากกว่า

                “สองพี่น้องปรับความเข้าใจกันได้เร็วดีจัง น่าประทับใจจังเลยนะคะ” เสียงนุ่มนวลคุ้นหูทำลายความเงียบงัน แทนดาวหันกลับไปมองในทันทีแล้วก็ต้องร้องอุทานด้วยความแปลกใจ

                “คุณปราง! มาอยู่นี่ได้ยังไง?” คนถูกทักเพียงแค่ยิ้มไม่ตอบคำถามในทันที ร่างระหงในชุดนอนผ้าซาตินมันเลื่อมสีม่วงอ่อนกรุยกรายนั่งบนโซฟารับแขกอย่างใจเย็น

                “พี่ต้องถามน้องพลูมากกว่า...ว่ามาบ้านพี่ได้ยังไง?” คำถามกลับทำให้แทนดาวถึงบางอ้อ แต่ก็ยังสงสัยต่อว่าทำไมปลายเดือนถึงมาหลบอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่สองคนนี้ไม่ค่อยถูกกัน

                “ฉันเป็นคนบอกน้องให้มารับเอง ฉันพร้อมที่จะกลับบ้านแล้ว” ปลายเดือนชิงตอบแทนน้องสาว

                “อ้อ...จะกลับบ้านนี่เอง นับว่าคนบ้านเธอนี่จิตใจดีงามจริงๆ นะ ขนาดว่าทำให้คนที่เธอเรียกว่าน้องสาวเกือบจะเสียผู้เสียคน” เปรมยุตาพูดด้วยอาการหยันโลกเต็มที่

                “ฉันอยากให้เรื่องมันจบสักที ฉันทำผิดพลาดมากคราวนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละ” ปลายเดือนตวาดก้องทั้งน้ำตา แทนดาวนิ่งงันตั้งใจฟังเรื่องราวที่จะรับรู้ต่อไป

                “เธอจะโทษฉันงั้นหรือ?  ก็ใครกันล่ะที่ยึดฉันเป็นที่ปรึกษาทำเรื่องเลวๆ” เปรมยุตาเชิดหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วหันมาทางแทนดาวที่ยังนั่งฟังตาหูไม่กระดิก

                “จะบอกอะไรให้นะแม่หนูน้อย ว่าพี่สาวของเธอคนนี้น่ะ...ไม่ได้หวังดีกับเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว”

                “พอแล้ว! เธอจะพูดอีกทำไม ในเมื่อฉันกำลังจะกลับบ้าน จะกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ...ครอบครัวของฉัน” ปลายเดือนเถียงกลับ

                “จะมากลับตัวเป็นคนดีเอาตอนนี้น่ะ...มันไม่สายไปหน่อยหรือไง ป่านนี้แม่นี่คงจะฟ้องว่าเธอทำอะไรบ้างและที่มานี่ก็คงจะมาหลอกให้กลับไปรับโทษความผิดที่เธอก่อไว้ไงล่ะ”

                “ไม่จริงนะ!” แทนดาวทะลุกลางปล้อง

                “ถึงยังไงก็เถอะ...ฉันก็จะกลับไป ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สู้บากหน้าไปยอมรับความจริงดีกว่ามุดหัวอย่างคนไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้”

                “เธอมันโง่! เธอด้วยแทนดาว เธอไว้เนื้อเชื่อใจคนง่ายเกินไป หัดมองโลกในแง่ร้ายเสียบ้างสิ...แล้วจะรู้ว่าแม้แต่คนในครอบครัวก็กลายเป็นงูเห่าได้ แต่มันก็น่าอยู่หรอกนะ...จากที่เคยฟังพี่สาวเธอเล่าเนี่ย ชีวิตเขาน่าสงสารมากเลยนะ ฉันเชื่อแล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อแย่งทุกสิ่งจริงๆ แย่งครอบครัว แย่งคนรักของพี่สาวหรือแม้กระทั่งคนรักของฉัน!” เปรมยุตาย่างเข้ามาใกล้ขณะที่แทนดาวได้แต่ส่ายหน้าไม่เข้าใจกับคำพูดถากถางนั้น

                “อย่ายุ่งกับน้องสาวฉันนะ!” ปลายเดือนกางแขนป้องไว้ไม่ให้เปรมยุตาเข้าใกล้น้องมากไปกว่านี้

                “คิดผิด คิดใหม่นะใบพลู เธอจะปล่อยให้ฉันท้องไม่มีพ่ออย่างนั้นหรือ?” คราวนี้เสียงของหล่อนอ่อนลงจนสองพี่น้องงงกับการเปลี่ยนกิริยากะทันหันของอีกฝ่าย

                “เธอพูดอะไรน่ะ?” ปลายเดือนถามเสียงห้วน

                “อ้อ...ฉันยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังสินะ ถามน้องสาวของเธอดูสิ ใบพลูคงรู้ล่ะว่าวันนั้นชลพาใครเข้าห้อง และผลพวงจากวันนั้นก็อยู่ในท้องของฉันแล้วนี่ไง” เปรมยุตาจิ้มนิ้วที่ท้องตัวเอง สองสาวต่างนิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยิน

                “แล้วรู้อะไรไหม? ฉันไปบอกเขา แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเพราะเธอ...ใบพลู เธอทำให้เขาทิ้งฉัน”

                “อย่าเพิ่งไปเชื่อนะยัยพลู เปรมยุตา...ฉันไม่สงสัยหรอกที่คุณชลเขาไม่ยอมรับน่ะ ถึงเธอจะท้องจริง...แต่เด็กนั่นจะเป็นลูกเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แผนลากผู้ชายขึ้นห้องของเธอใครเชื่อก็โง่” ปลายเดือนรีบออกโรงช่วยเถียงแทนและในนาทีเดียวกันเปรมยุตาก็ปราดเข้าตบหน้าจนล้มคว่ำ

                “คุณทำร้ายพี่ผึ้งทำไม? ปล่อยนะ!” แทนดาวจะประคองตัวพี่สาวขึ้นมาแต่ถูกเปรมยุตาดึงตัวไปก่อน

                “สมควรแล้ว...พี่เธอมันปากพล่อย ฉันจะให้ดูอะไรนี่แน่ะ” แทนดาวถูกลากถูลู่ถูกังเข้ามาในห้องนอนแล้วถูกเหวี่ยงลงไปนั่งเผละบนเตียง เปรมยุตาเปิดลิ้นชักหยิบอะไรบางอย่างยื่นให้ด้วยอาการกระแทกกระทั้น แทนดาวถือกระดาษแผ่นนั้นด้วยมืออันสั่นระริกขณะไล่อ่านทุกตัวอักษรจนจบ ดีแล้วที่เปรมยุตาเหวี่ยงให้นั่งบนเตียง หาไม่แล้วคงจะเข่าอ่อนทรุดกองบนพื้นไม่เป็นท่า กระดาษแผ่นนี้ยืนยันว่าหล่อนท้องจริงๆ ดูจากวันที่และระยะเวลาการตั้งครรภ์ล้วนแต่ประจวบเหมาะกับวันที่ข่าวนั่นออกมา

                “ทีนี้รู้หรือยังว่าเธอทำให้ผู้หญิงคนนึงต้องอุ้มท้องไม่มีพ่อ” เปรมยุตาพูดทั้งน้ำตา

                “เรื่องนี้คุณกับพี่ชลต้องไปตกลงกันเอง...พลูช่วยอะไรไม่ได้” แทนดาวแข็งใจตอบออกไปแล้วจ้องมองอีกฝ่ายราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอม คำถามมากมวลตีกันอยู่ในสมอง หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะวิ่งเอามือปิดหน้าร้องไห้รับไม่ได้กับเรื่องนี้ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาบ่มให้รู้จักหยุดคิดไตร่ตรอง เปรมยุตาเพิ่งพูดเองเมื่อกี้ไม่ใช่หรือว่าหล่อนเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกได้ง่าย เพราะฉะนั้นก็จะไม่รีบด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ อีกแล้ว ไม่แน่...เวลานี้เปรมยุตาเองอาจกำลังพูดปดอยู่ก็ได้

                “หลักฐานชัดขนาดนี้ยังไม่เชื่ออีกเหรอ? หรือว่าเธอหน้าด้านเกินกว่าจะยอมรับความจริงกันแน่!” เปรมยุตาแผดเสียงก้องจนแม่บ้านวิ่งหน้าตื่นจะเข้ามาดู แต่พอเยี่ยมหน้าเข้ามาก็ถูกหมอนใบเขื่องปาใส่จนต้องวิ่งกลับไป แทนดาวนึกกลัวแต่ก็พยายามตั้งสติไว้ จะไม่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว

                “เลิกยุ่งกับใบพลู...แล้วคุณจะไม่เจ็บตัว!” เสียงกร้าวดังขึ้นพร้อมกับบุรุษร่างกำยำที่ทำให้เปรมยุตาตัวหดลงทันที ชลธีแบกหน้าถมึงทึงก้าวอาดๆ เข้ามาพร้อมกับปลายเดือน เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตอนที่ปลายเดือนวิ่งหน้าตื่นไปตามให้รีบมาดูยังไม่โกรธขนาดนี้ แต่พอเห็นว่าเปรมยุตากำลังขู่ตะคอกคนรักอย่างนั้นก็แทบข่มโทสะที่กดเก็บไว้ไม่ได้

                “ชล...คุณก็มาด้วยเหรอ?”

                “ผมมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกับใบพลู...นั่นคือมาหาคุณผึ้ง ตอนนี้ก็เจอตัวเธอแล้วงั้นพวกเราก็คงต้องรบกวนคุณเพียงแค่นี้ ไม่มีเรื่องอื่นต้องคุยกันอีกแล้ว” เขาแตะข้อศอกแทนดาวเบาๆ เป็นเชิงให้ถอยออกมา ปลายเดือนรีบฉุดมือน้องสาวให้มายืนด้วยกัน

                “มาก็ดี...พูดความจริงไปสิคะชล บอกพวกนั้นเรื่องของเรา” เปรมยุตาไม่ยอมแพ้แม้เสียงจะแผ่วลงไปมากแล้วก็ตาม แต่สายตายังคงแข็งกร้าวอย่างถือดี

                “ได้...เรื่องของเราก็คือ ‘อดีต’ ชัดหรือยัง”  ชลธีตอบกลับเสียงเรียบ

                “แล้วในท้องปรางนี่ล่ะ...มันคืออะไร?” เปรมยุตาจิกแขนเขาไว้แน่น ปากตะโกนอย่างคนบ้าคลั่ง หากแต่ชลธีเพียงแค่กระซิบเสียงรอดไรฟัน

                “คือความ ‘พลาด’ ที่คุณจงใจให้เกิดขึ้นไงล่ะ!” เพียงเท่านั้นหน้าของเขาก็ต้องสะบัดไปตามแรงฝ่ามือพร้อมกับร่างเปรมยุตาที่ทรุดตัวลงไปนั่งบนเตียงอย่างคนหมดแรงแล้วร้องไห้โฮเหมือนจะขาดใจ อีกสองคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ห่างพลอยใจเสียไปด้วย

                “น้องพลูไม่เป็นไรนะครับ” เขาหันมาถามอย่างเป็นกังวล แทนดาวพยักหน้าแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากร่างสะอื้นโยนของเปรมยุตา

                “น้องพลู ถ้ามีอะไรสงสัย...เก็บไว้ถามพี่พรุ่งนี้นะครับ” เขาบีบมือเย็นเฉียบของแทนดาวที่ยืนหน้าซีดแล้วหันมาหาปลายเดือนพร้อมกับยัดอะไรบางอย่างใส่มือ

                “คุณผึ้งครับ...คุณขับรถผมกลับบ้านไปก่อน ผมจะอยู่เคลียร์กับปรางอีกสักหน่อย” ปลายเดือนกำกุญแจรถแน่นพร้อมกับพยักหน้าเร็วๆ

                “พี่ฝากน้องพลูช่วยโทรหาแฟง บอกว่าพี่อยู่ไหนแล้วให้ส่งคนมารับ” หญิงสาวรับคำเป็นมั่นเหมาะแต่ไม่วายที่จะมองทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง

                “อย่าทำอะไรรุนแรงนะคะ” ปลายเดือนกำชับทิ้งท้าย

                “ไม่ต้องห่วงครับ ผมกับปรางเคยคบกันมานาน...รู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง”

 

                แทนดาวทำตามที่ชลธีสั่งไว้ทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่โทรหารมย์นลินก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็โทรหาพี่ชาย พอรายนี้รู้ว่าน้องสาวคนเล็กแอบปีนรั้วออกจากบ้านกลางดึกก็ทำเสียงเหมือนระเบิดลง ไม่ต้องนึกเลยว่าหน้าตาท่าทางตอนนี้จะเป็นอย่างไร         

                ห้องโดยสารโอ่โถงเงียบสนิท สองสาวต่างใช้ความคิดไปคนละทาง คนหนึ่งดวงตาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าขณะขับเคลื่อนพาหนะคันงามกลับบ้าน ในใจก็ครุ่นคิดหาคำพูดดีๆ ที่จะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนที่บ้านฟัง ส่วนอีกคนก็คิดถึงอีกสองคนที่เพิ่งจากมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะตกลงกันหรือพูดคุยกันเข้าใจหรือยัง

                “พลูกลัวจังค่ะพี่ผึ้ง คุณปรางแรงจัง...น่ากลัว” แทนดาวเปรยขึ้นอย่างหวาดหวั่น ด้วยความที่เคยสัมผัสกับความโหดร้ายของชลธียามที่โทสะทะลุเพดานว่าน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด

                “พี่เชื่อใจคุณชล น้องพลูเองก็ต้องหัดเชื่อใจเขาได้แล้ว”  แทนดาวเงียบ ปลายเดือนกับรมย์นลินพูดเหมือนกันก็คือให้เชื่อใจชลธี แต่เสี้ยวหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะคิด ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เปรมยุตาพูดเป็นความจริง...ก็พร้อมจะยอมตัดขาดความสัมพันธ์เด็ดขาด หล่อนทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กเกิดมากำพร้าพ่อ

                “พี่ผึ้ง...รักพี่ชลมากไหม?”

                “พี่รักเขามากและตอนนี้ก็ยังรักอยู่” ปลายเดือนละสายตาจากถนนมามองเสี้ยวหน้าน้องสาวนิดหนึ่งแล้วตอบออกไปตามความรู้สึกจริงจากใจ

                “แล้วพี่ผึ้งทนได้เหรอคะ...ที่ต้องตัดใจจากพี่ชลไป พี่ผึ้งทำได้ยังไง? พลูอยากทำได้บ้าง” คราวนี้คนถามเสียงสั่นเครือน้อยๆ ปลายเดือนลดความเร็วลงแล้วตั้งใจกลั่นกรองคำพูดถ่ายทอดแก่น้องสาว

                “มันยาก...พี่รู้ แต่น้องพลูไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น คุณชลรักน้องพลูมาก เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนอีกเลย...แม้แต่พี่ตั้งแต่ได้รู้จักน้องพลู” ปลายเดือนหยุดนิดหนึ่งเมื่อเห็นสายตาที่แสดงความไม่เชื่อของน้องสาว

                “ทำไมพี่จะไม่รู้ล่ะ? เธอคิดว่ามีพี่คนเดียวหรือไงที่ชอบเขา ทั้งเพื่อนพี่แล้วก็เหล่าสาวแก่แม่หม้ายต่างก็แก่งแย่งอยากเป็นแฟนเขาทั้งนั้น พี่ก็พอรู้ว่าเขาเองก็มีเรื่องผู้หญิงบ้างเหมือนกันแต่ไม่เคยเห็นเขายอมรับใครเป็นจริงเป็นจังจนมาเจอน้องพลู”

                “แต่เขายังมีคุณปราง...”

                “นั่นมันเรื่องอดีตของเขา ดูอย่างพี่หมากของเราสิ...มีมาตั้งกี่คนแล้วล่ะ แล้วอย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรก็ตามที่ยัยปรางนั่นพ่นเอาไว้เชียวนะ จริงมั่งไม่จริงมั่งอันนี้เราก็ไม่รู้”

แทนดาวตั้งใจฟังตาแป๋ว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามีคนเข้าอกเข้าใจจริงๆ รู้สึกถึงความต่างระหว่างพี่สาวกับพี่ชาย เทียมภพนั้นไม่มีอะไรนอกเหนือจากความรักที่มาพร้อมกับความเด็ดขาดในแบบฉบับของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับจากปลายเดือนคือความเข้าอกเข้าใจ ให้คำแนะนำกึ่งสั่งสอนและอธิบายให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างคนที่มีความรักในมุมมองและความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกัน

                “ส่วนเรื่องของเรา...พี่รู้ตัวว่าทำผิดไว้มาก แต่นี้ไปจะทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียที” ปลายเดือนเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมาได้และก็ได้รับสายตาชื่นชมจากคนนั่งข้างๆ เป็นยิ้มที่แทนดาวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันช่างสวยและประทับใจจนคนที่ยิ้มหวานอย่างตนเทียบไม่ติด ไม่แปลกใจเลยที่เวลาไปไหนๆ ปลายเดือนจะกลายเป็นดาวเด่นของสังคม ทั้งการวางตัวและรูปร่างหน้าตา ไม่มีที่ติแม้สักนิดเดียว

                “พี่ผึ้งเป็นพี่สาวที่น้องพลูรักเสมอ ส่วนเรื่องพี่ชล...” แทนดาวจะพูดต่อแต่ผู้เป็นพี่สาวยกมือเป็นเชิงห้าม

                “ฟังนะ...พี่รักคุณชลมาก แต่ว่าตอนนี้พี่มีคนที่รักมากกว่านั่นก็คือน้องสาวคนนี้ ที่ทำใจได้เพราะรู้มานานแล้วว่าเขาไม่ใช่ของพี่ น้องพลู...มันเป็นเรื่องยากนะที่คนสองคนจะมีใจตรงกันนอกเสียจากว่าจะเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ” สองพี่น้องมอบยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ได้ แทนดาวซึมซับทุกคำพูดไว้ในหัวใจ พี่สาวคนนี้ทั้งสวยและเก่งจนนับว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกอิจฉาลึกๆ

                หญิงสาวมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อในที่สุดความเข้าใจก็เกิดขึ้น อีกไม่นานนักปลายเดือนก็หักเลี้ยวรถเข้าบ้านที่เปิดประตูรออยู่แล้ว ไฟทุกดวงสว่างจ้าแสดงว่าเทียมภพทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกเรียกคนในบ้านให้ตื่นกลางดึก พอจอดรถเรียบร้อยคนที่วิ่งหน้าตื่นมาคนแรกก็หนีไม่พ้นพี่ชายจอมเฮี้ยบ

                “สีผึ้ง...ไปอยู่ที่ไหนมาน่ะฮึ? รู้ไหมว่าพี่กับคุณย่าเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว พ่อแม่เราก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วนั่นเอารถใครมาน่ะ? คุ้นๆ นะคันนี้” ปลายเดือนหันมามองน้องสาวแล้วก็ยิ้มให้กัน ปลายเดือนคงรู้ล่ะสิว่า...บางทีการเป็นคนโปรดมันก็อึดอัดแบบนี้เอง

                “โธ่...พี่หมาก ให้ผึ้งได้หายใจสักนิดเถอะค่ะ” ปลายเดือนร้องบอกพี่ชายก่อนจะรีบผละออกไปหาคนอื่นๆ แล้วร่ำไห้ยกมือไหว้ขอโทษผู้อาวุโส

                “ผึ้งกราบขอโทษทุกๆ คนค่ะ ผึ้งผิดเองทั้งหมดเลย” ปลายเดือนร้องไห้จนตัวสั่น คุณย่าต้องช่วยปลอบถึงจะสงบ

                “ผึ้งผิดเหลือเกินที่เกือบจะทำให้น้องต้อง...” พูดได้แค่นั้นก็หน้าสะบัดเพราะถูกคุณระรินตบหน้าให้อย่างแรงเพราะโกรธในการกระทำของบุตรสาว ทุกคนตกใจกับการกระทำของคุณระรินผู้ใจดีและอ่อนโยน

                “แกมันเลวมากสีผึ้ง! แกเกือบจะทำให้น้องต้องเสียผู้เสียคน แม่เลี้ยงแกมาไม่ดีตรงไหนเรอะ!” คุณระรินฟาดฝ่ามือบนซีกแก้มอีกข้างหนึ่งจนล้มลงไปนั่งทรุดกับพื้นจากนั้นก็ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างกระหน่ำตีบุตรสาวไม่นับ

                “อารินพอค่ะ! อย่าตีพี่ผึ้งเลย” แทนดาวร้องห้ามอาสะใภ้ที่กำลังหยิกทึ้งเนื้อตัวของพี่สาวด้วยความโมโห

                “พอครับ...อาริน เราคุยกันดีๆ เถอะ” เทียมภพรีบช่วยยึดมืออีกแรง คุณระรินร้องไห้โฮทั้งสงสารและโกรธบุตรสาว

                “ไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้วค่ะพี่ผึ้ง”

                 “ตั้งแต่เด็ก...ผึ้งก็อิจฉาน้องมาตลอดที่มีแต่คนรัก คิดแต่ว่าตัวเองไม่น่ารัก ไม่มีใครต้องการ...ก็เลยต้องใช้วิธีแอบรังแกน้องบ้าง ใส่ร้ายบ้าง บางทีก็แกล้งแรงๆ” ปลายเดือนปาดน้ำตาแล้วพูดต่อด้วยอารมณ์ที่สงบมากขึ้นกว่าเดิม

                “พอโตมา...ก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีกับน้อง ต้องคอยดูแล ถ้าทำอะไรผิดนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ตรงข้าม...ไม่ว่าใบพลูจะทำผิดสักแค่ไหนก็มีแต่คนให้อภัย” แทนดาวหน้าสลด ใช่...หล่อนตระหนักความจริงข้อนี้ดีและรู้สึกขมขื่นแทนพี่สาวเหลือเกิน

                “แต่พี่และทุกๆ คนก็รักเราไม่น้อยไปกว่าใบพลูเลยนะ” เทียมภพตกใจกับความคิดของน้องสาวคนรองมากเช่นกัน

                “นี่ล่ะค่ะ...คือสิ่งที่ผึ้งเสียใจมากที่สุดที่เคยคิดว่าไม่มีใครรัก เพิ่งจะรู้ตัวตอนที่น้องพลูไปตาม ทุกคนหยิบยื่นความรักให้ผึ้งอยู่ตลอดเวลาแต่ผึ้งเองต่างหากที่คอยปฏิเสธมัน ยิ่งทุกคนมาคาดหวังว่าผึ้งต้องเป็นคนดี เป็นกุลสตรีของบ้านก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่น้องจะทำอะไรก็ได้ในขณะที่ผึ้งถูกจำกัดสิทธิ์” หญิงสาวยังคงถ่ายทอดความอัดอั้นที่เกาะกินอยู่ในใจเป็นเวลานานออกมาอย่างต่อเนื่อง

                “แม่ผิดเอง...แม่ผิดที่เลี้ยงลูกมาแบบนี้ ไม่น่าบังคับลูกมากเลย” คุณระรินร่ำไห้กอดลูกสาว

                “ไม่ใช่ความผิดของแม่หรือว่าใครทั้งนั้นค่ะ ผึ้งต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย น่าตลกที่เกิดมาก็มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล ฐานะหรือการศึกษา แต่กลับแก้ไขความบกพร่องในใจไม่ได้ ผึ้งทำตัวแย่มากๆ”

                “ตอนนี้ผึ้งรู้แล้วว่าทุกคนก็รัก ไม่งั้นคงไม่ให้อภัยผึ้งหรอก โดยเฉพาะลุงธรรมกับป้าทิพย์” หญิงสาวหันมาทางบิดามารดาของน้องสาว ท่านทั้งสองพยักหน้าให้อย่างคนเข้าใจโลก

                “พูดจากันเข้าใจแล้วก็ไปหลับไปนอนเสียเถอะ อีกไม่นานฟ้าก็สว่างแล้ว” คุณย่ามองหลานๆ ที่กลับมารักใคร่ปรองดองกันแล้วก็ยิ้มอย่างชื่นอกชื่นใจ

                “คืนนี้น้องพลูไปนอนกับพี่ผึ้งนะคะ” แทนดาวมองพี่สาวอย่างมีความหวัง

                “ไปสิจ๊ะ”

                “ลืมอะไรกันหรือเปล่าสาวๆ ?” เทียมภพที่นั่งเงียบอยู่นานเรียกร้องความสนใจบ้าง แทนดาวเดินเข้าไปหาอย่างรู้หน้าที่ สองแขนเล็กยกขึ้นโอบรอบคอแล้วเขย่งปลายเท้าจูบเบาๆ ตรงไรคาง

                “พี่หมากนี่จริงๆ เลย ไม่รู้หรือไงว่าน้องพลูน่ะ...ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่คิดเหรอว่าน้องจะอายน่ะ” ปลายเดือนขัดแต่ก็อมยิ้ม

                “ใครบอก? ยังงอแงอย่างนี้น่ะเหรอโตแล้ว ว่าแต่เราเถอะ...ไม่อยากฝากรักกับพี่มั่งเหรอ ตั้งแต่โตเป็นสาวนี่ก็ไม่ได้หอมกันเลยนี่นา”

                “ผึ้งขอบายล่ะค่ะงานนี้ เก็บหน้าไว้ให้ว่าที่เจ้าสาวฝากรักเถอะ”

                “ฮึ...สาวๆ ทั้งเมืองอยากจะวิ่งเข้ามาหอมแก้มพี่กันทั้งนั้น มีแต่เราที่ปฏิเสธ อ้อ...พรุ่งนี้เรียนกี่โมงเนี่ย? พี่ว่าจะออกสายๆ หน่อย คืนนี้เพลียจริงๆ ถ้าไปเช้ามากก็ให้น้าตาลไปส่งก็แล้วกัน” เขาถามน้องสาวคนเล็กพลางกดจมูกกับแก้มนุ่มๆ

                “ผึ้งไปส่งเองก็ได้ค่ะ” ปลายเดือนอาสา เทียมภพหันมาหาน้องสาวคนเล็กบ้าง

                “ว้า...ตัวเหม็นจะแย่แล้วนะเรา ผมก็เหม็น อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยก่อนนอนล่ะ...รู้ไหม?”

                “ก็คนเขาออกไปทำงานนอกสถานที่นี่นา จะให้หอมตลอดเหมือนพี่แฟงได้ไงล่ะ”

                “เอ๊ะ...ชักรู้มากขึ้นแล้วนะเรา” เขาฝังจมูกบนแก้มอีกข้างของน้องสาวคนเล็ก แทนดาวมีความสุขเหลือเกินที่สามารถพาพี่สาวกลับมาคืนครอบครัวได้ทำให้นึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ท่อนหนึ่งในเนื้อเพลงมีความหมายไพเราะกินใจที่สุดจนอยากจะร้องดังๆ ให้ได้ยินกันทั่วบ้านว่า

“หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ”

 

                แต่แล้วก็เกิดเรื่องอีกจนได้....

                เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่สองสาวพี่น้องกำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงบนโต๊ะอาหารก็มีอันต้องหยุดกิจกรรมการรับประทานทันทีเมื่อได้ยินเสียงล้อเบียดถนนอย่างแรงดังเอี๊ยดตามด้วยเสียงโครมสนั่นลั่นบ้านอย่างกับถูกเครื่องบินรบปล่อยระเบิดลงมาอย่างนั้น  สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยอาการหวาดผวา ต่างคนต่างคิดในใจว่าสงครามโลกครั้งที่สามอุบัติขึ้นแล้วหรืออย่างไร สักครู่สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นมารายงานว่าให้รีบไปดูหน้าบ้าน แทนดาววิ่งนำมาก่อนแล้วก็ยกมือปิดปากกลั้นเสียงอุทานกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

                รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีแดงเลือดหมูจอดต่อท้ายรถของชลธีที่ปลายเดือนจอดทิ้งไว้เมื่อคืน คาดว่าเจ้าของรถสีแดงคงจะขับมาเร็วแล้วเบรกไม่ทันหรือไม่เช่นนั้นก็คงตั้งใจอัดบั้นท้ายรถคันงามเพื่อระบายแค้นเป็นแน่ รถคันใหญ่กว่าที่น่าสงสารต้องรับกรรมแทนเจ้าของเพราะไฟท้ายทั้งหมดแตกกระจายพร้อมๆ กับกระโปรงท้ายที่ยุบเข้าไป กันชนหลุดห้อยรุ่งริ่ง ส่วนรถคันก่อเหตุวินาศกรรมนั้นก็ยับเยินพอๆ กัน ด้านหน้าพังยุบไม่เหลือหลอ หนำซ้ำยังกวาดเอากระถางต้นไม้ ดอกไม้สุดหวงของคุณลำเภาล้มแตกระเนระนาดอีกสี่ห้าใบ

                ปลายเดือนวิ่งตามน้องสาวมาติดๆ แล้วก็ร้องลั่น รีบถลาไปกระชากประตูรถคันก่อเหตุแล้วตะโกนเรียกคนข้างในให้ออกมา เสียงโหวกเหวกปลุกให้เทียมภพที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่เพลินๆ ต้องทะลึ่งลุกพรวดพราดจากที่นอน

                “ลงมาเดี๋ยวนี้นะ! กล้าดีขนาดไหนถึงมาอาละวาดในบ้านฉัน”

                “น้องแกอยู่ที่ไหน!” เปรมยุตาก้าวลงมาช้าๆ เหมือนจะสะใจกับการกระทำของตัวเองอย่างมากแล้วหันซ้ายหันขวามองหาคนที่เอ่ยชื่อด้วยสายตาหาเรื่องเต็มที่ ปลายเดือนเห็นท่าไม่ดีรีบร้องบอกน้องสาว

                “ยัยพลูเข้าบ้านไป...ไปสิ!” แทนดาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ทำตาม ระหว่างทางก็สวนกับพี่ชายที่เดินอาดๆ ลงมาจากข้างบน

                “เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เสียงดังไปถึงข้างบนเลย” เขาถามอย่างหงุดหงิด

                “แย่แล้วค่ะพี่หมาก พี่ปรางกำลังทะเลาะกับพี่ผึ้ง” น้องสาวตอบเร็วจี๋แล้ววิ่งตามพี่ชายออกไปอีกครั้ง

                ที่หน้าบ้าน เปรมยุตากับปลายเดือนกำลังยื้อยุดกันโดยมีรถพังด้านหน้ากับพังด้านท้ายรวมทั้งเศษกระถางต้นไม้แตกเป็นฉากหลัง เขางงจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น สองคนนี่ไปมีเรื่องกันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้มาทำสงครามกันแต่เช้าอย่างนี้

                “ปล่อยนะ! ฉันจะไปตกลงกับมันให้รู้เรื่อง” เปรมยุตาแผดเสียงขณะพยายามจะฝ่าด่านของปลายเดือนกับสาวใช้อีกสองคนเข้าไปข้างในให้ได้

                “ถ้าเธอคิดจะมาหาเรื่องน้องฉัน...ก็ต้องผ่านฉันไปให้ได้ก่อน” ปลายเดือนตะโกนลั่น

                “นี่มันอะไรกันน่ะ...ยัยผึ้ง แล้วคุณมาได้ไงน่ะปราง?” เสียงทรงอำนาจของเทียมภพยุติทุกอย่างให้อยู่ในความสงบ สองสาวผละจากกันแต่ก็ยังจ้องหน้าชนิดไม่มีใครยอมใคร

                “ถามน้องสาวหน้าด้านของคุณดูสิ! แล้วจะรู้ว่าเรื่องอะไร”

                “น้องพลูไปเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ?” เขาถามกลับทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายใช้สรรพนามเรียกน้องสาวอย่างนั้น

                “มันคงไม่ได้เล่าให้ฟังล่ะสิ ไหนว่าเลี้ยงน้องมาดีนักหนายังไงล่ะ? ทำไมปล่อยให้มาแย่งผัวปรางได้!” เปรมยุตาแผดเสียงลั่นเหมือนตั้งใจจะให้คนทั้งซอยรับรู้เรื่องราวอัปยศครั้งนี้โดยทั่วกัน

                “คุณปรางคงมาทวงสิทธิ์ความเป็นเมียเก็บของเธอละมั้ง” แทนดาวตอบเสียงเย็นแล้วเดินเข้าบ้านไป ไม่อยากจะรับรู้หรือคิดอะไรเกี่ยวกับถ่านไฟที่ไม่ยอมดับระหว่างคู่หมั้นกับอดีตกิ๊กเก่าอีกแล้ว

                “กลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับคนบ้าอย่างเธอ!” ปลายเดือนชี้หน้าไล่

                “เธอก็ด้วยนะ…เธอหักหลังฉัน ทีตอนเป็นหมาหัวเน่าอยู่ล่ะก็มาขอความช่วยเหลือ แล้วไงถึงเปลี่ยนพรรคเปลี่ยน

พวกกะทันหันล่ะ? กลัวจะถูกจับยัดใส่กรงข้อหาสมรู้ร่วมคิดก่อคดีกระทำชำเราน้องสาวตัวเองใช่ไหมล่ะ!”

                “หุบปากนะ! ไม่งั้นแกจะไม่มีฟันเหลือไว้เคี้ยวข้าวสักซี่เดียว!” ปลายเดือนขู่และทำท่าจะเข้าไปทำร้ายเปรมยุตา

จริงๆ      

                “แล้วนี่จะรู้เรื่องกันไหมเนี่ย?” เทียมภพยืนเป็นกำแพงกันไม่ให้สองสาวกระโจนใส่กัน แล้วจู่ๆ รถเอนกประสงค์สีดำตราใบพัดสีฟ้าอีกคันก็แล่นเข้ามาด้วยความเร็วจนคิดว่าจะเสยท้ายรถแดงอีกต่อนึ่งเสียแล้ว แต่รถคันใหญ่ก็หยุดได้ทันท่วงทีแล้วคนขับก็ก้าวลงมาอย่างใจร้อน

                “ปราง! ขอร้องล่ะ...กลับไปกับผม เดี๋ยวจะไปส่งบ้านให้” ชลธีดึงแขนคนก่อเรื่องให้มาด้วยกันแต่อีกฝ่ายไม่ยอม

                “นี่แก! มันเกิดอะไรขึ้นวะ? เห็นบ้านฉันเป็นคลินิกปรึกษาปัญหาครอบครัวรึไง? ถึงได้ยกโขยงมาเคลียร์เรื่องในมุ้งกันถึงนี่!” เทียมภพตะคอกถามผู้มาใหม่

                “แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้แกช่วยฉันก่อนดีกว่า” ชลธีพูดเป็นเชิงขอร้องแล้วกระชากเปรมยุตาแรงกว่าเดิม

                “โอ๊ย!”

                “เฮ้ย! มึงทำอะไรปรางน่ะ...ปล่อยเธอนะโว้ย!” เทียมภพพยายามเข้าไปแยกชลธีออกมา

                “คุณผึ้ง ช่วยกันพี่คุณออกไปที...เร็ว!” เขาร้องบอกปลายเดือนแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เปรมยุตาสลัดตัวหลุดไปได้แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านอย่างว่องไวจนคนอื่นๆ ตามแทบไม่ทัน

 

                ในห้องโถงกลาง แทนดาวกำลังอยู่ในการปลอบประโลมของคุณย่า มีคุณพ่อคุณแม่นั่งอยู่ด้วย ไม่มีใครแสดงท่าทีตกใจหรือแปลกใจกับการพรวดพราดเข้ามาของเปรมยุตา จึงทำให้คนที่กำลังอาละวาดอยู่สงบนิ่งทันที แทนดาวไม่ปรายตามองผู้หญิงที่ยืนตาเขียวอยู่เบื้องหน้าสักนิด สองแขนยังคงกอดกับคุณย่าแน่น

                “นั่งลง...แล้วพูดคุยกันก่อนดีไหม?” คุณเที่ยงธรรมเอ่ยขึ้น แม้น้ำเสียงจะฟังดูสบายๆ แต่สีหน้าท่าทางกลับน่ายำเกรงจนเปรมยุตาเย็นสันหลังวาบ ในความใจดีมีเหตุผลของคุณเที่ยงธรรมนั้นเป็นที่รับรู้กันทั่วไป หากแต่ความที่เคยเป็นผู้ปกครองคนหมู่หมาก ท่านจึงรู้วิธีการ ‘กำหราบ’ คนใต้ปกครองด้วยสายตาสุขุมนิ่งลึกชนิดที่สามารถ ‘ข่ม’ คนที่คิดแข็งขืนมานักต่อนัก

                “พ่อ...อะไรกันครับเนี่ย?” คำถามเดิมหลุดจากปากเทียมภพเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเสียที ปลายเดือนค่อยๆ คลานเข่าเข้ามานั่งใกล้ๆ คุณย่าและช่วยปลอบน้องสาวอีกแรง ส่วนชลธีตามเข้ามายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเทียมภพ

                “หนู...ปราง...เชิญนั่งเถอะ” คุณลำเภาเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนอย่างมีไมตรีแต่คนถูกเชิญแค่ขยับก้าวเข้ามานิดเดียว ลำคอระหงตั้งตรงไม่เหลือเค้าความอ่อนหวานที่เคยมีอยู่ในตัวตน

                “ขอพูดตรงๆ ก็แล้วกันนะ ลุงว่าหนูมาที่นี่ผิดจุดประสงค์ไปหน่อย ที่นี่ไม่มี ‘สามี’ ให้แย่งกัน” คุณเที่ยงธรรมพูดเข้าประเด็นเนิบๆ

                “ใบพลู...ลูกสาวลุงยังเป็นนักศึกษา ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานแต่ก็มีคู่หมั้น” ท่านหยุดเว้นวรรคเพื่อมองไปทางชลธีที่ยังยืนนิ่งราวกับถอดหัวจิตหัวใจทิ้งไปแล้ว

                “คุณชลธีกับแทนดาวตกลงหมั้นหมายกันตามเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย ลุงไม่รู้ว่าชลธีเคยไปมี...อะไร...ยังไงกับหนูมาก่อนหน้านี้ ใบพลูเองก็ไม่รู้เรื่องเพราะฉะนั้นลูกสาวลุงจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หนูคงต้องไปคุยกันเอง”

                “หนูคุยกับเขาแล้วไงคะ...ถึงได้บากหน้ามาถึงนี่ หนูทราบดีว่าคุณชลกับใบพลูเป็นคู่หมั้นกัน แต่พวกคุณรู้หรือเปล่าว่ากำลังจะทำให้เด็กคนนึงกำพร้าพ่อ และที่มานี่ก็เพื่อมาขอความเห็นใจ” หยาดน้ำตาเม็ดโตค่อยๆ รินไหลลงมาตามแก้มนวล เปรมยุตาไม่สนใจที่จะเช็ดมันออกไปจากใบหน้า น่าแปลกที่ไม่มีใครตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ตรงข้าม...ทุกคนกลับนิ่งเฉย เว้นอยู่แต่คนเดียวที่ออกอาการประหวั่นพรั่นพรึงอย่างกับถูกผีหลอกจนเผลออุทานออกมา

                “หา...ว่าไงนะปราง! หมายความว่าคุณท้องกับมันงั้นหรือ? ไม่หรอก...เป็นไปไม่ได้” เทียมภพโพล่งขึ้น แทนดาว

สาบานได้ว่าเห็นพี่ชายหน้าซีดอย่างกับกระดาษก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นออกไป ไม่ช้าทุกคนก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับเคลื่อนออกไป

                “ผมไม่มีอะไรแก้ตัวครับ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง” ชลธีฉุดมือเปรมยุตาให้ออกมาด้วยกัน ไม่น่าเชื่อที่ฝ่ายนั้นยอมศิโรราบโดยดีแต่กระนั้นก็ยังส่งสายตาเย้ยหยันมายังแทนดาวที่ตอบโต้ด้วยกิริยาที่สงบเงียบแล้วสบตากับชลธีที่มองมาอย่างขอลุแก่โทษ

                “ว่าไงน้องพลู...ลูกโอเคไหม?” คุณเที่ยงธรรมหันกลับมาถามลูกสาวเมื่อความวุ่นวายได้ยุติลงแล้ว

                “น้องพลูไม่เป็นไร อย่างที่คุณพ่อบอก...น้องพลูมีหน้าที่อย่างเดียวคือเรียนหนังสือ งั้นน้องพลูไปดีกว่า ให้น้าตาลไปส่งก็ได้”

                “แล้วย่าจะทำขนมอร่อยๆ ไว้ให้นะลูก” คุณลำเภาบอกหลานสาวอย่างเอาใจ แทนดาวก้มลงหอมคุณย่าเป็นการขอบคุณแล้วเดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้าน คุณเที่ยงธรรมมองตามลูกสาวไปจนลับตาก่อนจะหันมาพูดกับมารดาและภรรยา

                “นับว่าชลธีรอบคอบดีมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งนานแล้ว ไม่งั้นผมคงไม่ใจเย็นขนาดนี้”

                “แล้วทำไมเขาถึงเล่าให้คุณฟังได้ล่ะคะ?”

                “วันที่เขามาขอน้องพลู ผมสงสัยที่เขากับลูกชายเราไม่ถูกกันก็เลยอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ความจริงเขาก็ไม่อยากเล่านักหรอก แต่ผมอธิบายว่าถ้าอยากจะเกี่ยวดองกันแล้วก็ควรจะเปิดอกซึ่งกันและกัน ผมขอโทษที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะรับปากกับเขาไว้”

                “แล้วคุณคิดว่า...คุณชลจะจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ หรือเปล่าคะ?” คุณดวงทิพย์ยังอดกังวลไม่ได้

                “ผมเชื่อใจเขานะ เชื่อมั่นในตัวเขา ตั้งแต่วันที่เขามาขอลูกสาวเราแล้วล่ะ”

               

                เปรมยุตาทำเกินไปแล้วคราวนี้ ชลธีไม่นึกว่าเรื่องมันจะบานปลายจนเลยเถิดทั้งที่คิดว่าได้พูดคุยกันจบแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่พอเช้ากลับมาโวยวายต่อว่าต่อขานถึงบ้าน พอไม่ได้ดั่งใจก็ขู่ว่าจะไปพูดกับแทนดาวเอง กว่าจะตามไปถึงก็บังเกิดความเสียหายมากมายแล้ว เขาไม่อาจทำใจให้สงบลงได้แม้แต่วินาทีเดียวเพราะเป็นห่วงแทนดาวแทบจะขาดใจจนต้องกลับมาบ้านทวีกิจไพศาลอีกก็พบแต่ปลายเดือนที่กำลังกำกับแม่บ้านให้เก็บกวาดบริเวณที่เกิดสงคราม

                “ผึ้งให้คนเอารถคุณชลไปเก็บในโรงรถแล้วค่ะ ส่วนของยัยนั่นให้เอาไปจอดไว้หน้าบ้านโน่น!” ปลายเดือนลงเสียงชื่อนั้นด้วยความโกรธแค้น

                “ผมจะให้คนมาเอากลับไปวันนี้เลย ส่วนของ...ปรางก็จะให้คนมาลากไปคืนที่บ้าน”

                “ผึ้งขอโทษด้วยนะคะ น่าจะเอาไปเก็บเสียตั้งแต่เมื่อคืน ไม่งั้นคงไม่พังอย่างนั้นหรอก”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะเปลี่ยนใหม่พอดี คงให้อู่ตีราคาเลย”

                “คุณชลพอจะมีเวลาให้ผึ้งสักครู่ไหมคะ?” ชลธีพยักหน้าแล้วเดินตามไปที่ซุ้มกระดังงา หญิงสาวนั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวหนึ่งแล้วเปิดบทสนทนาไม่อ้อมค้อม

                “คุณอาจจะเกลียดผึ้งไปเลยหลังจากฟังเรื่องนี้จบ”

                “อย่าเพิ่งคิดล่วงหน้าสิครับ”

                “ผึ้งผิดเอง ไม่น่าไปร่วมมือทำอะไรชั่วๆ กับเปรมยุตาเลย” หญิงสาวเล่าเนือยๆ พลางถอนหายใจ

                “ผึ้งกับปรางคุยกันมาได้สักพักก่อนหน้านี้ เราต่างรู้สึกว่าถึงจะไม่ชอบหน้ากันแต่อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ชอบ

เหมือนกันนั่นก็คือ ‘คุณ’ ฮึ...น่าอายใช่ไหมล่ะคะ” หญิงสาวคล้ายจะเยาะตัวเอง

                “ผึ้งรู้เรื่องที่คุณสองคนเคยเป็นแฟนกัน เลยคิดว่าจะใช้เธอทำให้คุณกับน้องพลูแตกกัน สุดท้ายพอไม่สำเร็จ...เราก็เลยคิดวางแผนที่มันหนักขึ้น จนโอกาสมาถึง...วันนั้นยัยพลูหนีออกจากบ้านผึ้งเลยพาน้องไปที่คอนโด แต่สุดท้ายแล้วผึ้งห่วงน้องมากกว่าเลยจะกลับไปช่วย พอรู้ว่าคุณชลไปที่นั่นแล้วก็เลยอยู่นิ่งๆ เสีย พอเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้...ผึ้งกลัวมากก็เลยไปหลบอยู่ที่บ้านเธอ ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชลกับเธอยังมีเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องนี้อีก ผึ้งไม่รู้เลยเรื่องที่เธอท้อง” ตอนนี้เสียงคนเล่าเบาลงจนแทบเป็นกระซิบ

                 “ผมเองก็ยอมรับว่าโกรธคุณมากแทบจะคลั่ง แต่ถ้าคุณสำนึกและกลับใจได้ ผม...และทุกๆ คนก็พร้อมที่จะให้อภัย น้องพลูรักคุณนะครับ”

                “ขอบคุณค่ะ” เมื่อความอึดอัดในใจได้ถูกทุกอย่างถูกระบายก็รู้สึกโล่งใจกว่าเดิมมาก

                “เอาล่ะ...ทีนี้ผมอยากเข้าไปพบคุณลุงสักหน่อย” เขาอยากจะกราบขอโทษผู้หลักผู้ใหญ่ให้เป็นเรื่องเป็นราวกับเรื่องน่าอดสูที่เกิดขึ้นในบ้านของคนรัก เขาไม่หวังว่าจะได้รับการให้อภัยเพราะเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ทำให้ลูกสาวท่านต้องไม่สบายใจ คอยแต่ให้กำลังใจตัวเองว่าความจริงใจจะสามารถเอาชนะทุกอย่างได้แน่นอน

               

                เทียมภพจอดรถอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ตระเวนหามาเกือบครึ่งค่อนวัน เรื่องที่เปรมยุตาป่าวประกาศปาวๆ เมื่อเช้าทำให้เครียดจัด ภาพความทรงจำเก่าๆ ตามมาหลอกหลอนเหมือนเอาหนังเก่ามาฉายวนซ้ำไปมา แสนจะเอือมและเบื่อหน่ายแต่ก็ต้องทนดูจนกว่าจะมันจะจบ ชายหนุ่มลงจากรถอย่างคนไม่มีเรี่ยวแรงโดยยังอยู่ในชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายเนื้อนิ่ม หน้าตาโทรมจัดจนดูไม่ได้ เขากดกริ่งประตูสองครั้ง สักพักก็มีแม่บ้านวัยกลางคนออกมาดู

                “คุณนายบอกว่าไม่สบาย ไม่รับแขกค่ะ” แม่บ้านคนนั้นตอบทื่อๆ เหมือนท่องมา

                “เปิดประตูเถอะนะป้า ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้านายป้าจริงๆ นะ”

                 “แต่คุณนายไม่รับแขกวันนี้นะคะ” แม่บ้านมองมาอย่างไม่ไว้ใจ เทียมภพชักจะเริ่มหมดความอดทนเข้าไปทุกที

                “งั้นป้าไปบอกปรางใหม่ว่าผม...เทียมภพ...มาหา แล้วถ้าเธอโกรธถึงขนาดจะไล่ป้าออก ผมก็ยินดีรับป้าไปทำงานด้วย จะให้เงินเดือนสูงกว่าครึ่งนึงเลยเอ้า...” เทียมภพยื่นข้อเสนอใหม่ แม่บ้านวัยกลางคนมองเขาอย่างประเมินความน่าเชื่อถือตั้งศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะชะเง้อมองไปยังพาหนะที่นำมา พอเห็นตราดาวสามแฉกการันตียี่ห้อและมูลค่าก็คิดว่าชายคนนี้ไม่น่าจะเป็นโจรกระจอก นางจึงเดินกลับเข้าไปรายงานเจ้าของบ้าน

                “แพงกว่านี้ก็มีนะป้า!” เขาตะโกนไล่หลังไปอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นกิริยาชะเง้อชะแง้ตีราคาประเมินค่าของรถยนต์ของตัวเอง คิดขำๆ ในใจว่าดีนะที่มีของพวกนี้ไว้ประดับบารมี ไม่งั้นป้าแกคงโทรแจ้งตำรวจตั้งแต่ที่มายืนโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านแล้ว

                เทียมภพทั้งนั่งรอยืนรอจนเมื่อยขบไปหมด กะว่าอีกห้านาทีถ้ายังไม่ได้รับการตอบสนองล่ะก็...จะปีนรั้วเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด เขากดกริ่งรัวอีกสามสี่ครั้งและคราวนี้ก็ได้รับการตอบที่ดีเกินคาด เปรมยุตาแบกหน้าที่มีแต่คราบน้ำตาเป็นทางออกมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง

                “ปรางขอโทษค่ะหมาก แต่วันนี้ไม่พร้อมจะพบใครจริงๆ”

                “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอปราง ผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้างไหม?” เทียมภพจับมือนุ่มมากุมไว้ เปรมยุตาเริ่มร้องไห้ออกมาอีกจนเขาต้องรวบตัวมากอดปลอบ สักครู่หญิงสาวก็เดินนำเข้าไปในบ้าน เทียมภพออกจะตกใจที่เห็นข้าวของทั้งหลายแหล่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบเหมือนถูกเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง เดาเอาว่าเปรมยุตาคงจะทุกข์ใจมาก

จนต้องระบายออกกับข้าวของพวกนี้ แต่ยังไม่ทันนั่งลงพูดจากันให้เรียบร้อยหล่อนก็โผเข้ากอดเขาแน่นจนรู้สึกอึดอัด

                “ปรางมันเลวในสายตาของทุกคนเลยใช่ไหม? ปรางผิดมากนักหรือไงที่ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา” หญิงสาวพรั่งพรูคำพูดออกมากับหยาดน้ำตา เทียมภพรู้สึกเจ็บเสียดในอกกับคำว่า ‘ลูก’ เขาลูบหลังสั่นเทาเบาๆ ก่อนจะเค้นเสียงพูดถามกระท่อนกระแท่นเต็มที

                “ปรางแน่ใจแล้วใช่ไหมว่า ‘ท้อง’ กับไอ้ชลมันแน่ๆ ?”

                “หมากก็เป็นอีกคนที่ไม่เชื่อปราง อยากจะดูผลการตรวจยืนยันหรือเปล่าล่ะ?” หญิงสาวที่กำลังสั่นสะอื้นหยุดอาการร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจทันทีพร้อมกับช้อนตามองอย่างร้าวราน เทียมภพดันตัวร่างอรชรออกแล้วกดบ่าให้นั่งลงเคียงข้างกัน

                “ปรางจ๋า...คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมเคยรักคุณมากขนาดไหน จนตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อคุณก็ยังอยู่เหมือนเดิม คุณยังตัดใจจากไอ้ชลไม่ได้จริงๆ เหรอ? ทั้งๆ ที่มันทำกับคุณอย่างไม่น่าได้ไปผุดไปเกิด”

                “ปรางก็อยากจะเกลียดเขาแต่มันทำไม่ได้ ปรางยังรักและเขาก็เป็นพ่อของลูก... แต่ปรางคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาหมั้นกับน้องสาวคุณ ปรางคงต้องอุ้มท้องคนเดียวลำพังต่อไป” เปรมยุตากระพริบตาถี่ๆ กล้ำกลืนความรู้สึกขมขื่นทั้งหมดลงไป

                “ปราง...ถ้าเรื่องทั้งหมดมันเป็นจริงอย่างที่คุณว่าล่ะก็...ผมจะช่วยเหลือคุณเต็มที่แน่นอน ไอ้ชลจะไม่มีวันได้เห็นหน้าน้องพลูอีก” เทียมภพบังคับเสียงไม่ให้สั่นพลางซับน้ำตาออกจากใบหน้าสวยหวานที่เคยหลงใหล นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความผิดหวังร้าวรานไม่แพ้กัน

                “แต่ปราง...ที่คุณเที่ยวบอกใครต่อใครน่ะ...มันไม่เป็นความจริงเลย”

                “หมากหมายความว่ายังไง?” คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบในทันที เทียมภพลุกขึ้นยืนตัวตรง สูดหายใจเข้าแรงๆ คิดหาคำพูดที่ดีที่สุดตอบออกไป

                “คุณตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้วนะปราง จากการทำแท้งคราวนั้น...หมอบอกว่าคุณจะไม่สามารถมีลูกได้อีก ผมเป็นคนขอร้องให้หมอปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ผมตั้งใจจะบอกคุณหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวว่าคุณจะเสียใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่ สภาพคุณตอนนั้นทำให้รู้สึกว่าไม่อยากให้มีอะไรไปกระทบอีก ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ” เปรมยุตานั่งฟังตาค้าง ไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปเองหรือเปล่า ความจริงที่ไม่เคยรู้มาทั้งชีวิตได้รู้วันนี้เอง การที่ชลธีไม่ยอมรับตนเป็นภรรยายังเจ็บปวดน้อยกว่าการที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้อีก

                และด้วยเหตุผลนี้เองที่อดีตสามีนอกใจไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นจนมีลูกด้วยกัน ที่มาของการจบชีวิตคู่อันไม่น่าจดจำ

                “คุณจำได้ไหม...วันที่ผมพาคุณไปส่งโรงพยาบาล ประโยคแรกที่คุณพูดตอนฟื้นขึ้นมา ลองนึกดูสิ...คุณบอกผมว่ายังไง?”  เปรมยุตาส่ายหน้าทั้งน้ำตาอาบแก้ม

                “คุณบอกผมว่า...ลูกคือสิ่งที่ปรารถนาที่สุด แต่จำเป็นต้องทำเพราะพ่อเด็กบอกให้ทำ คุณรู้ไหมว่าหลังจากนั้นผมกับไอ้ชลมีสภาพเป็นยังไง ผมกลายเป็นหมาบ้าที่ตามไล่กัดเพื่อนรักจนไม่เหลือมิตรภาพใดๆ อีกเลย” น้ำตาเม็ดโตหยดหยาดจากนัยน์ตาสีนิลตกกระทบลงบนแก้มนวลของคนที่เงยหน้ารอฟังคำพูดอยู่ทุกขณะจิต

                “ไม่นะ...อย่าพูดอีกเลย ได้โปรดเถอะ” หล่อนรำพันเบาๆ เทียมภพกระพริบตาขับไล่หยดน้ำตาเม็ดสุดท้ายแล้วก้ม

ลงจุมพิตหน้าผากมนนั้นเหมือนเป็นการสั่งลา

                “พอเถอะนะปราง... เพื่อผลดีกับตัวของคุณเอง ไอ้ชลมันเป็นคนดีมาตลอด มันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ไม่เคยปริปากเล่าความจริงว่าเป็นยังไง มันยอมเสียความเป็นเพื่อนเพื่อปกป้องคุณจนทุกวันนี้ ปรางจ๋า...ที่ผมขอร้องคุณ ไม่ใช่เพราะอยากให้น้องสมหวังแต่อยากให้คุณรักตัวเอง เนื้อแท้แล้วคุณเป็นคนดีนะ...ผมรู้ ยังมีคนอื่นที่ต้องการร่วมชีวิตกับคุณนะปราง” คราวนี้คนฟังถึงกับร้องโฮ เทียมภพกอดร่างสั่นสะท้านแน่นขึ้น ในขณะที่ตัวเองก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาเงียบๆ เช่นกัน

                “ปรางมันเลว! ใช่...ปรางเป็นคนไปทำแท้งเอง ชลต่างหากที่ไม่ยอม เขาขอร้องให้เก็บเด็กไว้แต่ปรางไม่พร้อมที่จะมีลูก ปรางไม่อยากให้ความผิดพลาดครั้งเดียวมาทำลายชีวิตที่เหลือของปราง” เปรมยุตาระเบิดความในใจออกมาในที่สุด

                “หมากเข้าใจถูกแล้ว...ปรางไม่ได้ท้อง ใบรับรองนั่นปรางก็ปลอมมันขึ้นมาเอง ปรางมันโง่...โง่ตั้งแต่แรก ถ้าปรางเชื่อชล...ชีวิตก็คงไม่เป็นแบบนี้ ปรางเป็นคนขอให้ชลสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแลกกับสัญญาที่ว่าปรางจะไปจากชีวิตเขาตลอดกาล ชลรักษาสัญญานั่นมาตลอด แต่ปรางสิ...ไม่ทำตามแถมยังย้อนกลับมาทำลายชีวิตเขาอีก” เสียงสะอื้นกระชั้นถี่เป็นห้วงๆ

                “เริ่มต้นชีวิตใหม่นะปราง ยังไม่สายเกินไปหรอก” เขาปลอบ

“ปรางจะทำยังไงดีคะ? ถึงจะแก้ไขความผิดที่ก่อไว้กับคุณสองคนแล้วก็น้องสาวของคุณได้”               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา