ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ตอนที่ 25 รักแล้วหรือยัง?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 25 รักแล้วหรือยัง?

           

แทนดาวตัวเกร็งด้วยความกลัวผสมตื่นเต้นเมื่อต้องตัดสินใจว่าจะ ‘ยอม’ หรือ ‘หยุด’ ใจหนึ่งก็อยากรู้อยากลองว่าจุมพิตแรกจะให้ความรู้สึกเหมือนที่นางเอกบรรยายไว้ในนิยายหรือไม่ แต่ในนาทีสุดท้ายคนตัวเล็กก็ตัดสินใจหยิบช็อคโกแลตชิ้นหนึ่งมาคั่นระหว่างปากตนเองกับปากหยักที่กดลงมาพอดี จุมพิตนี้จึงไม่สมบูรณ์ได้ดังใจเจ้าของใบหน้าคมคาย

“ถ้าอยากกินอะไรหวานๆ...ก็ช็อคโกแลตนี่ไงคะ” แทนดาวบอกเสียงเบา

 “ว้า...ก็พี่บอกแล้วไงคะว่าไม่ชอบขนมหวาน” เขาแกล้งทำเสียงดุ

“ไม่ชอบอะไรหวานๆแล้วทำไมถึงบอกว่าอยากได้จูบหวานๆล่ะ” คนตัวเล็กย้อนถามอายๆ

“ช่างยอกย้อนนักนะ เด็กอะไรปากก็ร้าย ช่างเถียงก็ที่หนึ่ง” เขาเอ็ดคนตัวเล็กที่มัวแต่เขินจนไม่รู้ตัวเลยว่าคนนั่งข้างๆแอบดึงกิ๊บที่ยึดมวยผมออกจนหมดปล่อยให้ผมยาวทิ้งตัวเป็นอิสระแล้วแทรกนิ้วเล่นอยู่ในกลุ่มผมสวย

“ขนาดน้องพลูเป็นแบบนี้พี่ชลยังคอยหาโอกาสรังแกกันอยู่เรื่อย” ใบหน้าหวานสะบัดหนีปลายนิ้วที่กำลังจะเขี่ยแก้มเล่น

“ฟังดูเหมือนพี่เป็นไอ้แก่ตัณหากลับเลยนะ”

“แล้วเป็นจริงมั้ยล่ะ?”

“ไม่รู้สิ...กับคนอื่นไม่เป็น เป็นแต่กับน้องพลูคนเดียว” เขาพูดเสียงนุ่มแล้วกดจมูกกับเส้นผมที่จับรวบไว้ในอุ้งมือ แทนดาวทำเสียงฮึดฮัดแล้วดึงผมกลับคืนมา

“วันนี้ยังไม่ได้หอมแก้มเลย...” เขาทวงถามคนตัวเล็กที่พยามจับผมม้วนกลับทรงเดิม

“แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นทุกครั้งที่เจอกันด้วยล่ะคะ? มันจะเยอะไปมั้ย?”

“เยอะตรงไหน? คนเป็นแฟนกันเค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” คนเจ้าเล่ห์ยังคงรบเร้าอยู่อย่างนั้น มือแข็งแรงจับข้อมือเล็กให้หยุดขมวดผม “ปล่อยมัน...พี่ไม่ชอบให้น้องพลูมัดผม” เจ้าของผมยาวมองหน้าคนเกเรด้วยความไม่พอใจที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการแต่ก็ยอมทำตาม ฝ่ามือหนาแทรกนิ้วทั้งห้าสางผมยาวที่พันกันให้เข้าที่เข้าทาง

“น้องพลูอยากกลับแล้วค่ะ ป่านนี้พี่หมากคงหาตัวไปทั่วแล้ว” คนตัวเล็กบอกเมื่ออีกฝ่ายยังทำท่าอ้อยอิ่งเพราะยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

“พี่ไม่มีแรงเดินแล้ว เมื่อเช้าก็ตื่นแต่มืดมาช่วยเค้าแห่ขันหมาก ข้าวปลาก็กินไปนิดๆหน่อยๆ ตอนเย็นก็เดินไปเดินมาขาขวิด” เขาบ่นให้คนในอ้อมแขนฟัง

“ช่วยไม่ได้นี่คะ ไม่ยอมทานข้าวเองแล้วจะมาบ่น เห็นถือแต่แก้วเหล้า” แทนดาวย้อน ชลธีหัวเราะในลำคอที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ

“นะคะ...ถ้าได้หอมแก้มคนสวยแล้วเรี่ยวแรงมันก็จะกลับมาโดยอัตโนมัติ” เสียงออดอ้อนอ่อนโยนขัดกับใบหน้าคมเข้มยังคงรอคอยการอนุญาตอย่างมีความหวัง จนผ่านไปพักหนึ่งเจ้าของพวงแก้มก็ยังก้มหน้านิ่ง เขาจึงจับคางเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วก็พบว่าที่หล่อนเอาแต่ก้มหลบก็เพราะซ่อนหน้าแดงปลั่งราวลูกเชอรี่

 “พี่จะถือว่าการเงียบคือการอนุญาต” แล้วโดยที่ไม่รั้งรอให้คนตัวเล็กประท้วงอะไรอีก จมูกโด่งก็ประทับลงบนแกมข้างขวาอย่างแม่นยำตามด้วยข้างซ้ายแบบไม่ทันให้หลบหลีก

“อื้อ...” เจ้าของแก้มร้องแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าต่อ

“รู้สึกสดชื่นมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที ป่ะ...ได้เวลาพาน้องสาวไปคืนพี่ชายเสียที ลักพาตัวมานานแล้ว” ชลธียิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ทุกอย่างสมใจแล้ว แทนดาวหยิบช็อคโกแลตที่วางเรียงในจานกลับใส่กล่องอย่างเดิมและกำลังจะปลดเสื้อนอกจากไหล่เปลือยคืนเจ้าของไปแต่ชลธีร้องห้าม

"ใส่ไว้แบบนี้แหละ พี่หวง...ไม่อยากให้ใครมอง” น้ำเสียงของเขาจริงจังจนแทนดาวไม่กล้าขัด ชลธีช่วยถือกล่องช็อคโกแลตส่วนอีกมือก็จับจูงมือเล็กพาเดินไปด้วยกัน แทนดาวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจจนไม่สามารถอธิบายได้ว่าตัวเองเป็นอะไร มืออุ่นที่กุมอยู่นี้สร้างความหวั่นไหวประหลาดที่เพิ่งจะเคยรู้สึกเอาวันนี้เอง

 

เทียมภพไม่ได้ร้อนรนกับการหายตัวไปของน้องสาวอย่างที่คิดแต่กำลังกินดื่มกับกลุ่มเพื่อนเก่าอย่างสนุกสนาน รมณ์นลินที่กำลังยืนคุยกับอชิตะและเพื่อนอีกสองสามคนมองเห็นพี่ชายกับลูกศิษย์สาวเดินมาก็รีบสาวเท้ามาหา

“น้องพลูอยากกลับหรือยังคะ? พี่ว่าจะให้พี่ชลไปส่งเพราะตอนนี้พี่ชายน้องพลูไม่ไหวแล้วล่ะ” รมณ์นลินพยักหน้าไปทางเทียมภพที่กำลังเมาได้ที่

“ตายแล้ว...นี่หมดสภาพเลยนะเนี่ย” แทนดาวอุทานเมื่อเห็นพี่ชายนั่งคอพับคออ่อนแต่ก็ยังกระดกเหล้าที่เพื่อนส่งให้เข้าปากบ้างหกบ้างอย่างเอร็ดอร่อย

“ก็เต็มคราบเลยค่ะ ไม่ได้มีใครบังคับเลยล่ะ มอมตัวเองแท้ๆ” รมณ์นลินบ่น

“ถ้าอย่างนั้นแฟงขับรถพี่กลับบ้านไปนะ พี่จะขับรถเจ้าหมากมันเอง” ชลธีบอกแล้วเดินไปหิ้วปีกเทียมภพออกมาจากกลุ่ม

“ไอ้ชล! มึงจะพากูไปไหน ไม่ไปโว้ย!” เทียมภพพยายามสะบัดตัวเมื่อเห็นว่าใครกำลังพยุงอยู่ พอกลุ่มเพื่อนเห็นชลธีอยู่ตรงนั้นก็กลายเป็นเขาอีกคนที่ถูกดึงตัวไว้

“เฮ้ยไอ้ชล! หายไปไหนมาวะ? กูหาอยู่ตั้งนาน นั่งก่อนสิ…มึงจะรีบกลับไปไหน” เพื่อนคนหนึ่งกดบ่าเขาให้นั่งลงแล้วยัดเครื่องดื่มใส่มือ

“เอ้า...ชนแก้วฉลองให้วันสิ้นอิสรภาพของไอ้อิศหน่อยพวกเรา!” เพื่อนคนเดิมตะโกนบอก ที่เหลือทำตามอย่างว่าง่ายรวมทั้งเจ้าบ่าวหมาดๆด้วย จากนั้นเสียงเฮฮาก็ดังลั่น

“เต็มที่เลยนะ กูเปิดห้องไว้สามห้องถ้าใครเมาก็ค้างที่นี่ได้เลย ห้ามขับนะโว้ย!” เจ้าบ่าวบอกเพื่อนๆแล้วกลับไปยืนช่วยเจ้าสาวส่งแขกที่เริ่มทยอยกลับ

“ชลดื่มได้เลยนะเดี๋ยวปรางพากลับเอง” เปรมยุตานั่งลงข้างๆ หล่อนไม่ได้ดื่มแต่อย่างใด

“พอแล้วล่ะ ผมต้องพาไอ้หมากไปส่งบ้าน ไหนจะน้องพลูอีก...” ชลธีบอกก่อนจะเดินไปหาเทียมภพที่ยังกรอกเหล้าเข้าปากไม่หยุด เปรมยุตาหน้าสลดลง

“น้องพลูไปไหนแล้วล่ะแฟง?” ชลธีหิ้วปีกคนเมาเดินโซซัดโซเซกลับมาแต่ก็เห็นเพียงน้องสาวยืนรออยู่คนเดียวก็แปลกใจ

 “คือ...คุณอชิบอกว่าจะพาน้องพลูกับคุณหมากกลับเอง ก็เลยเอากุญแจรถคุณหมากที่แกฝากไว้กับแฟง...ให้เค้าไป ตอนนี้รอน้องพลูไปเข้าห้องน้ำค่ะ” รมณ์นลินตอบ สีหน้าของชลธีเปลี่ยนไปทันที มือที่พยุงเพื่อนอยู่ก็สะบัดออกอย่างลืมตัวทำให้คนเมาล้มกลิ้งลงไปนั่งแหมะบนพื้น

“ตายแล้วคุณหมาก! เจ็บมั้ยคะนั่น?” รมณ์นลินรีบถลาเข้าไปหา

“แฟงจ๋า...ไอ้พี่คุณมันแกล้งผม” เทียมภพพูดอ้อแอ้ รมณ์นลินไม่มีแรงพอที่จะฉุดคนตัวโตให้ลุกขึ้นก็เลยต้องปล่อยให้นั่งอยู่อย่างนั้น สักพักแทนดาวก็เดินกลับมาโดยมีอชิตะตามมาใกล้ๆ

“ป่ะน้องพลู...พี่จะไปส่งเรากับพี่ชายเอง ขอกุญแจรถด้วย” เขาบอกคนตรงหน้าโดยไม่ได้หันไปมองหมอหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆแม้แต่น้อย

“อย่าดีกว่า คุณชลเองก็ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ผมจะพาพวกเค้าไปส่งเอง” อชิตะก้าวขึ้นมายืนข้างๆแทนดาวทำให้ชลธีไม่พอใจอย่างมาก

“ผมไม่ได้เมา สติทุกอย่างยังอยู่ครบ เอากุญแจมาให้ผม” เขาบอกเกือบจะเป็นคำสั่ง

“ถึงคุณไม่เมาแต่ผมเชื่อว่าคุณไม่รอดด่านตรวจตรงหัวถนนแน่นอน แถวนี้เค้าเข้มงวดเรื่องตรวจแอลกอฮอล์นะ” หมอหนุ่มพูดอย่างเป็นต่อ แทนดาวได้แต่ยืนฟังเงียบๆ

“พี่ชลเชื่อคุณหมอเถอะค่ะ มาช่วยกันพยุงคุณหมากดีกว่า” รมณ์นลินเตือนพี่ชาย แทนดาวรีบวิ่งเข้ามาช่วยคุณครู แต่จังหวะที่ก้มลงไปทำให้เสื้อนอกที่คลุมไหล่หลุดออกและตกลงไปบนพื้น พอจะก้มลงไปหยิบก็มีมือขาวสะอาดของอชิตะเก็บมันขึ้นมาแล้วรีบยื่นให้เจ้าของ จากนั้นก็ถอดเสื้อสูทสีเทาเข้มของตนคลุมไหล่ให้แทน

“ไปกันเถอะน้องพลู มาครับคุณแฟง...ผมจัดการเอง” อชิตะสอดแขนข้างหนึ่งที่เอวของเทียมภพแล้วฉุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แทนดาวรีบไปหยิบช่อทิวลิปกับกล่องช็อคโกแลตที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกัน ดวงตาทรงอัลมอนด์มองมาที่เขาอย่างขอโทษแล้วรีบเดินตามไป

“เราไปกันเถอะพี่ชล เดี๋ยวแฟงขับรถเองนะ” รมณ์นลินบีบแขนพี่ชาย หล่อนเห็นเขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น กรามขบกันจนเป็นสันนูน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างสะกดอารมณ์

“จับพี่ไว้แฟง จับไว้แน่นๆ ไม่งั้นพี่จะวิ่งไปกระทืบมันเดี๋ยวนี้!”

 

แทนดาวเหลือบมองพี่ชายที่นอนหลับหมดสติอยู่ตรงเบาะหลัง อชิตะทำหน้าที่สารถีอย่างตั้งใจ สายตาหลังกรอบแว่นชำเลืองมองกระจกอยู่เป็นระยะและมีบางจังหวะที่เหลือบมองร่างเล็กที่นั่งข้างๆ พอเห็นคนตัวเล็กกระชับเสื้อที่คลุมไหล่อยู่ก็เอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ

“หนาวมั้ยครับ?”  แทนดาวสะดุ้งนิดๆกับคำถาม เมื่อชั่วโมงก่อนก็มีคนถามคำถามเดียวกันนี้แต่ความรู้สึกนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ไม่หรอกค่ะ วันนี้เลยต้องรบกวนพี่อชิ เหนื่อยแย่เลยนะคะ...ต้องวกกลับไปเอารถอีก” แทนดาวบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่ลำบากอะไรหรอก สบายใจด้วยซ้ำที่ได้มาส่งน้องพลู อย่างน้อยก็มั่นใจว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัย” หมอหนุ่มหันมายิ้มบางๆให้แล้วกลับไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ ไม่นานนักพาหนะคันงามของเทียมภพที่มีหมออชิตะเป็นสารถีก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบในบ้านทวีกิจไพศาล แทนดาวถือสิ่งของต่างๆเข้าบ้านส่วนอชิตะประคองคนเมาตามมา

“ให้นอนตรงนี้แหละค่ะ เดี๋ยวที่เหลือน้องพลูจัดการเอง รถจอดไว้ตรงนั้นก็ได้ เดี๋ยวน้าตาลก็เอาไปเก็บเองค่ะ พี่อชิรอก่อนนะคะ” แทนดาวบอกอชิตะที่ค่อยๆหย่อนร่างหนาหนักของพี่ชายบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

“แต๊งกิ้วนะ...ไอ้แว่นโคนัน” เสียงอ้อแอ้ดังมาจากคนที่นอนสะลึมสะลือ เจ้าของฉายาที่ถูกตั้งสดๆหน้าตึงไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถือสาขณะที่อีกคนหันหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนรอยยิ้มขำขัน

แทนดาวกลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นและผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นหมาดๆ อชิตะมองร่างเล็กในชุดสวยที่แม้หน้าตาจะดูยุ่งๆแต่ก็ยังคงความน่ารักสดใสชวนให้มองเพลิน

“น้องพลูโทรเรียกแท็กซี่ให้แล้วนะคะ ดื่มน้ำเย็นๆกับเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะได้สดชื่นขึ้น” แทนดาวเลื่อนแก้วน้ำกับผ้าขนหนูให้

“ขอบใจจ้ะ”  หมอหนุ่มถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะแล้วหยิบผ้าเย็นมาเช็ดหน้า จังหวะนั้นเทียมภพที่นอนดิ้นไปมาก็กลิ้งหล่นผลั่กลงมานอนบนพื้น

“โอ๊ย! มึงแกล้งกูอีกแล้วนะไอ้ชล” คนตกโซฟาสบถ

“อะไรกันนักหนานะ ดูซิ...แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานไหวมั้ยล่ะเนี่ย” แทนดาวอ่อนใจกับพี่ชายเต็มทน อชิตะจะเข้ามายกตัวกลับขึ้นไปนอนอย่างเดิม

“ปล่อยให้นอนบนพื้นนี่แหละค่ะ นอนข้างบนเดี๋ยวก็ตกลงมาอีก” แทนดาวหยิบหมอนอิงมารองศีรษะพี่ชาย จังหวะที่ก้มๆเงยๆอยู่นั้นมือขาวสะอาดของอชิตะก็เอื้อมมาจับผมยาวไปทัดเก็บไว้หลังใบหูข้างหนึ่ง แทนดาวสะดุ้งโหยง

“พี่อชิจะทำอะไรคะ?” สาวน้อยร้องถามด้วยความตกใจ

“พี่ขอโทษ...” เขารีบดึงมือกลับและส่งสายตาขอโทษให้คนตรงหน้า อึดใจหนึ่งแทนดาวก็นึกโกรธและรู้สึกว่า ‘หวง’ เส้นผมของตัวเอง ไม่อยากให้ใครจับต้องสัมผัสนอกจากพี่ชายกับ...ชลธี

“พี่ได้ยินเหมือนเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน แท็กซี่คงมาแล้ว งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” เขารีบหยิบแว่นมาสวมแต่พอจะลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงงึมงำจากคนนอนหลับพูดอะไรบางอย่าง

“ไอ้ชล! มึงมันร้ายกาจ แต่ก็ยังไม่เท่าไอ้แว่นโคนัน!” แทนดาวหยิกเนื้อพี่ชายที่เมาแล้วรั่วพูดจาไม่รู้เรื่อง

“อย่าถือสาคนเมาเลยนะคะ ไปค่ะ...น้องพลูจะเดินไปส่ง” แทนดาวเดินนำอชิตะไปหน้าบ้าน หญิงสาวยกมือไหว้ลาและขอบคุณในคราวเดียว ก่อนขึ้นรถหมอหนุ่มก็พูดประโยคหนึ่งกับสาวน้อยที่มายืนส่ง

“น่าเสียดายจัง...พี่น่าจะได้เจอน้องพลูก่อน แต่ไม่เป็นไรหรอก...ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงกันได้”

 

                รมณ์นลินเหลือบมองถนนเบื้องหน้าสลับกับพี่ชายที่ยังหน้าบูดหน้าบึ้งตั้งแต่ออกมาจากงานเลี้ยง เข้าใจว่าคงจะเคืองอชิตะมากที่ตัดหน้าพาคู่หมั้นกลับไปบ้านไป แต่คิดดูให้ดีๆสิ่งที่อชิตะทำก็ถูกต้องแล้วเพราะว่าชลธีเองก็ดื่มไปเยอะ ก่อนออกมานี่ยังมีเพื่อนผู้หวังดีตามมาส่งแก้วให้ถึงรถ

                “วันนี้นอนบ้านแล้วกันนะคะ” หล่อนบอกพี่ชายที่นั่งเอาศอกเท้าขอบกระจกใช้ฝ่ามือประคองขมับตัวเอง

                “อืม...” เสียงตอบพึมพำทำให้รู้ว่ายังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์โทสะ พอเข้าบ้านได้ก็เหวี่ยงเสื้อนอก กระเป๋าสตางค์ เนคไท ไปคนละทิศละทาง

                “ส้ม...ส้ม! ส้มโว้ย!” ใบหน้าเคร่งขรึมตะโกนเรียกสาวใช้เสียงดังลั่น

                “พี่ชล! ป่านนี้ส้มคงนอนไปแล้ว จะเอาอะไรคะ?” รมณ์นลินที่เดินตามเก็บซากของพี่ชายร้องถาม ไม่นานนักสาวใช้ชื่อส้มก็เดินขยี้ตาออกมาจากบ้านพักที่อยู่ข้างๆกัน

                “ไปเอาเบียร์มา ในตู้เย็นมีกี่กระป๋องเอามาให้หมด แล้วก็ทำกับแกล้มให้สักอย่างด้วย” เขาสั่งสาวใช้เสียงเข้ม

                “ส้ม...ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง เอาของพวกนี้ไปเก็บข้างบนแล้วก็ไปนอนต่อเถอะ” รมณ์นลินส่งข้าวของของพี่ชายให้สาวใช้ที่ยืนงัวเงีย

                “พี่ชลดื่มจากงานมาเยอะแล้วนะคะ ขึ้นไปอาบน้ำนอนดีกว่า” หล่อนบอกพี่ชาย

                “เสียงเอะอะอะไรกันคะ? ลูกปลากำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว อ้าว...วันนี้พี่ชลมานอนบ้านเหรอ...ดีใจจัง” ปาลิดาที่เพิ่งเดินขยี้ตาลงมาจากชั้นบนรีบปรี่เข้ามาพอเห็นชลธี

                “ลูกปลา! กลับขึ้นไปนอนเดี๋ยวนี้แล้วห้ามลงมากวนใจพี่นะ ไม่งั้นพรุ่งนี้เช้าพี่จะส่งเรากลับระยอง” ชลธีร้องห้ามสาวหมวยเสียงดัง ปาลิดาจึงต้องหยุดยืนอยู่แค่บันไดขั้นสุดท้ายแล้วรีบกลับเข้าห้องอย่างเร็ว ตั้งแต่รู้จักกันมาก็ไม่เคยเห็นเขาเกรี้ยวกราดขนาดนี้

                “ส้ม! ไปเอาเบียร์มาเร็วๆสิ” เขาตะโกนสั่งอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปในหนังสือโดยไม่สนใจรมณ์นลินที่ได้แต่พยายามห้าม

                “ไอ้อชิ!”  ชลธีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและกระดกเบียร์ตาม โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไง ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็ยิ่งดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิมเวลาโมโห นี่สู้อุตส่าห์ใจเย็นว่าจะรอให้แทนดาวเรียนจบเรียบร้อยเสียก่อนค่อยเดินหน้าสานสัมพันธ์ ไม่อยากให้คำว่าแฟนไปรบกวนจิตใจของหล่อนให้ต้องว้าวุ่นก่อนเวลาอันควร แต่วางใจได้ไม่นานก็ดันมีอชิตะเข้ามาพัวพันเลยต้องรีบจัดแจงเอ่ยปากขอเป็นแฟนให้เป็นเรื่องเป็นราวจะได้คบหากันอย่างเปิดเผยมากขึ้นอีกนิด ที่ไหนได้...อชิตะมาดเนิร์ดคนนั้นกลับตามติดก้าวต่อก้าว

 

                ปาลิดาดีอกดีใจที่ชลธีเรียกเข้าไปพบในห้องทำงานแต่เช้า ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ร่วมสองเดือนก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ไอดอลในดวงใจมีธุระจะคุยกับตนเป็นการส่วนตัว นอกนั้นก็จะคุยผ่านเปรมยุตาเสียมากกว่า แต่พอรู้ตัวว่าโดนเรียกมาดุก็หน้างอก็หน้าคว่ำเป็นที่อ่อนอกอ่อนใจของชลธีเหลือเกิน

“พี่รู้มาว่าลูกปลาไปนั่งเฝ้าใบพลูแล้วก็ตำหนิเธอเรื่องมาสาย หน้าที่ของลูกปลาคือช่วยงานคุณปรางนะ เรื่องอื่นไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายอีก...เข้าใจมั้ย?” ชลธีบอกกึ่งตำหนิปาลิดาที่นั่งหน้าหงิกอยู่ตั้งแต่เข้ามา

“ก็ลูกปลาแค่ทำตามคำสั่งเองนะ ไม่ใช่ความผิดลูกปลาซะหน่อย” คนหน้างอเถียงด้วยความไม่พอใจ

“คำสั่ง? ใคร?” เขาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย จำได้ว่าไม่เคยสั่งพนักงานคนไหนตามประกบแทนดาวเลย

“ก็คุณปรางน่ะแหละ สั่งลูกปลาว่าให้ตามดูใบพลูให้ดี ไปไหน ทำอะไรบ้างก็ต้องรีบไปบอก” ปาลิดาสะบัดเสียงตอบ แพขนตาปลอมกระพือรัวๆ

“งั้นหรือ? ถ้างั้นนี่เป็นคำสั่งใหม่จากพี่ ห้ามไปวุ่นวายกับใบพลูในเวลางานอีก ไปทำงานต่อได้แล้ว”  เขาไล่สาวหมวยกลับไปทำงานเมื่อความจริงกระจ่างแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่พี่ชลจะกลับไปอยู่บ้านล่ะ ลูกปลาอยากมีโมเม้นต์นั่งกินข้าวเช้ากับพี่ชล กลับบ้านก็นั่งกินข้าวเย็นฝีมือลูกปลาด้วยกัน นั่งดูทีวีด้วยกัน นี่อยู่แต่กับพี่แฟง...เจ๊ก็วันๆเอาแต่เล่นเพลงอะไรไม่รู้ ลูกปลาฟังไม่รู้เรื่อง” ปาลิดาทำเสียงกระเง้ากระงอด ชลธีเกาหัวแกรกกับความคิดไม่เป็นของสาวหมวยคนนี้ ก็ไม่ใช่เพราะหล่อนหรอกหรือที่ทำให้เจ้าของบ้านอย่างเขาต้องระหกระเหเร่ร่อนไม่มีที่อยู่แบบนี้

“พูดจาเหลวไหล อยู่นี่ก็เจอกันทุกวันยังจะเอาอะไรอีก พี่งานยุ่งเลิกดึกดื่นขี้เกียจกลับไปนอนบ้าน” เขาตอบแบบขอไปทีก่อนจะกดเบอร์เบอร์เรียกผู้ช่วยเข้ามา

“คุณนุชเรียกคุณเปรมยุตามาพบผมหน่อยนะ...ตอนนี้เลย” เขาสั่งผู้ช่วยแล้วก็หันมาสั่งงานสาวหมวยอีกครั้ง

“เรามาก็ดีแล้ว เดี๋ยวลงไปเอาขนมที่ห้องเบเกอรี่ที่พี่สั่งไว้ขึ้นมาให้หน่อย” เขาเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงเหตุการณ์หวามไหวใต้แสงเทียนที่ได้อยู่กันสองคนกับแทนดาว เสียงเพลงไพเราะที่สาวน้อยคนนั้นบรรเลงยังคงดังติดตรึงใจ

“ต๊าย...พี่ชลอ่ะ เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องยิ้มหล่อละลายใจให้ลูกปลาขนาดนี้ก็ได้” ปาลิดากระมิดกระเมี้ยนเพราะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายยิ้มให้ตน ชลธีหุบยิ้มสนิทพอได้สติ

                “เพ้อเจ้อ พี่ไม่ได้ยิ้มให้เราซะหน่อย” เขาส่ายหน้าให้คนเพ้อเจ้อที่เดินสะบัดสะบิ้งออกไปและสวนทางกับเปรมยุตาที่เข้ามาพอดี

                “เห็นว่าชลอยากพบปรางหรือคะ?” เปรมยุตาถามอย่างสงสัย พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาก็เดาเอาว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ

                “ครับ...นั่งก่อนสิ” เขาผายมือไปที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามส่วนตัวเองก็หย่อนตัวลงนั่งเช่นกันแล้วเอนหลังพิงพนักสูงด้วยท่าทีสบายๆขัดกับสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึม

                “ลูกปลาบอกว่าคุณใช้ให้เธอตามประกบแทนดาว?” ชลธีเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ทำให้เปรมยุตาใจกระตุกวูบแต่ก็พยายามปรับท่าทีให้ดูเป็นปรกติ

                “ปรางก็แค่อยากช่วยดูแลแทนดาวในฐานะที่เป็น...คู่หมั้นของคุณ น้องสาวของหมากและลูกจ้างของธารา” เปรมยุตาช้ำยัดในวลีสุดท้าย

                “เธอได้รับการดูแลอย่างดีอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง” ชลธีลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนตรงหน้าต่างกระจกแล้วพูดกับคู่สนทนาที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม          

                “ผมเป็นคนจ้างแทนดาวมาทำงานที่นี่ คำว่า ‘ผมจ้างมา’ นั้นหมายความว่าผมเป็นคนจ่ายค่าแรงให้เธอด้วยเงินส่วนตัว ทางโรงแรมไม่ได้เป็นคนจ่ายจึงไม่ใช่นายจ้างของเธอ เพราะฉะนั้นเธอจะอยู่ในความดูแลของผมแต่เพียงผู้เดียว” เขาเน้นหนักและมองลึกลงไปในดวงตาสวยซึ้งที่มองกลับมาอย่างตัดพ้อ

                “คุณทำเพื่อเธอขนาดนี้เชียวหรือคะ?” เปรมยุตาถามด้วยเสียงเจือความน้อยใจ

                “ก็...ไม่เห็นจะมากมายอะไร แล้วผมก็หวังว่าใบพลูจะไม่รู้เรื่องนี้นะ” เขาเน้นย้ำ

                “ทำไมชลถึงต้องให้เธอมาอยู่ใกล้ชิดด้วยล่ะ คุณกำลังแก้แค้นปรางอยู่ใช่มั้ย? เลยพาเธอมาเหยียบย่ำหัวหัวใจปราง!”  เปรมยุตาโพล่งออกมา

                “คุณพูดอะไรน่ะปราง? ไอ้ที่น้องพลูมาทำงานที่นี่มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยนะ” ชลธีตกใจกับความคิดนี้มาก

“เลิกมองผมด้วยสายตามีเยื่อใยแบบนี้เสียทีเถอะนะ เพราะผมไม่สามารถมองตอบคุณด้วยสายตาแบบเดิมได้อีกแล้ว” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชาจนน่าใจหาย เปรมยุตาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังร่างสูงที่ยืนกอดอกหันหลังให้ สองแขนเรียวค่อยๆสอดรอบเอวหนานั้นแผ่วเบา ชลธีสะดุ้งรีบหันกลับมาแล้วจับแขนเรียวทั้งสองข้างที่ล้อมรอบเอวออกอย่างรวดเร็ว

“แต่ปรางรู้สึกว่าชลก็ยังมีเยื่อใยให้อยู่บ้าง ถึงแม้จะน้อยนิดก็ตาม...แต่ก็เชื่อว่ายังพอมีอยู่ ปรางเข้าใจถูกใช่มั้ยคะ?” ดวงตาหวานเศร้าจ้องมองนัยน์ตาสีเหล็กอย่างค้นคว้าขณะที่มือข้างหนึ่งค่อยๆรูดแขนเสื้อเชิ้ตข้างซ้ายของเขาขึ้นแล้วแตะสัมผัสรอยสักตัวอักษร ‘P’ ที่ประทับชัดอยู่บนท่อนแทนอย่างแผ่วเบา ชลธีมองตามอย่างใช้ความคิด

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่เหลืออะไรอะไรที่เป็น ‘เปรมยุตา’ อยู่ในหัวใจอีกแล้ว ที่คุณเห็นอยู่นี้...มันคือแผลเป็นที่ผมเก็บเอาไว้เตือนตัวเองว่าครั้งหนึ่งเคยเจียนตายเพราะความรักมาแล้ว ทุกครั้งที่ผมท้อแท้หรือทุกข์ใจก็จะมองรอยแผลนี้แล้วก็บอกตัวเองว่า ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง...ไม่มีอะไรจะสาหัสมากกว่านี้อีกแล้ว” ชายหนุ่มกลืนก้อนแข็งๆลงคอ สายตาของเขาว่างเปล่าขณะที่เปรมยุตาสะเทือนใจเมื่อคิดถึงที่มาของรอยสักบนท่อนแขนหรือที่ปัจจุบันถูกลดค่าเหลือเพียงรอยแผล เป็น

“ไปสักทำไมคะชล? ไม่เจ็บเหรอ” เปรมยุตาจับท่อนแขนข้างที่ชลธีเพิ่งไปสักอักษรตัว ‘P’ อันเป็นชื่อย่อทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของตน

“ไม่เจ็บหรอก ผมอยากให้ปรางอยู่กับผมตลอดเวลา อีกอย่างนะ...เมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อแท้หรือทุกข์ใจก็จะมองรอยสักนี้แล้วก็บอกตัวเองว่าจะต้องฝ่าฟันทุกอย่างไปให้ได้...เพื่อปราง”

 

                “ปรางขอโทษนะ” หล่อนโผกอดเขาแน่น

                “ปราง...ปล่อย!” ชลธีตกใจมากพยายามปลดตัวเองออกจากแวงแขนที่รัดรึงแน่นหนาแต่คนกอดก็ไม่ยอมทำตามเลยกลายเป็นว่ายื้อยุดกันอยู่ตรงนั้น

                “ว๊าย!” เสียงร้องอุทานดังลั่นของปาลิดาที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เรียกสติของทั้งคู่

                “นี่...คุณปรางกำลังปล้ำพี่ชลหรือพี่ชลกำลังปล้ำคุณปรางกันเนี่ย?” ปาลิดาร้องถามด้วยความตกใจจนปล่อยถุงขนมร่วงลงพื้น เปรมยุตารีบปล่อยมือจากร่างสูง

                “เหลวไหล! ไม่มีใครปล้ำใครทั้งนั้น” ชลธีดุแล้วรีบเดินออกไปโดยไม่ลืมก้มเก็บถุงขนมไปด้วย สองสาวยังยืนอึ้งมองหน้ากันไปมาอยู่สักพัก

                “ที่บ้านไม่มีใครสอนมารยาทหรือคะ? ว่าก่อนจะเข้าห้องใครต้องเคาะประตูก่อน” เปรมยุตาแค่นเสียงถามอย่างข่มอารมณ์เต็มที่

                “แล้วที่บ้านคุณปรางไม่มีใครสอนหรือคะ? ว่าการเข้ามาอ่อยผู้ชายถึงในห้องเค้าเรียกว่าหน้าไม่มียาง!” ปาลิดาย้อนกลับอย่างแรงจนคนถูกย้อนหน้าชา ได้แต่จ้องมองด้วยความเคียดแค้น ถ้าปาลิดาจะเป็นก้างชิ้นใหญ่หล่อนก็จะต้องหาวิธีเลาะก้างชิ้นนี้ให้เร็วที่สุด

 

                แทนดาวควานโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายที่กำลังสั่นเทาขึ้นมารับสายขณะเดินลงจากตึกเรียนเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันกับพวกเพื่อนๆ พอเห็นชื่อคนโทรบนหน้าจอก็ใจเต้นแรง

                “สวัสดีค่ะพี่ชล”

                “หิวหรือยังน้องพลู? พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วย” เสียงนุ่มตอบกลับมา

                “อืม...ตอนนี้คงไม่สะดวกมั้งคะ น้องพลูมีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง กว่าพี่ชลจะมาถึงก็บ่ายแล้วมั้ง” แทนดาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะปฏิเสธเพราะเห็นว่าเวลาไม่น่าจะพอ

                “ไม่หรอก...พี่มาถึงซักพักแล้ว มองมาทางซ้ายมือสิ” หญิงสาวหันไปมองอย่างที่บอกแล้วก็เห็นหนุ่มหน้าคมมาดเท่ห์สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงเลือดหมูพับแขนถึงข้อศอกกับแว่นกันแดดสีดำปรอทยืนโบกมืออยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก แทนดาวรีบกดวางสายแล้วเดินไปหา

                “พี่ชลมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่ไลน์บอกก่อนล่ะคะ?” คนตัวเล็กถามพลางโบกไม้โบกมือให้กลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องรอแล้ว

                “บอกแล้วจะเซอร์ไพร้ส์เหรอครับ พี่ชอบทำเซอร์ไพร้ส์” เขาตอบตาพราวแล้วแย่งตำราเรียนกับถุงกระดาษไปช่วยถือก่อนจะเดินนำไปที่ลานจอดรถ

                “จะไปไหนกันดีคะ?” คนตัวเล็กถามเมื่อขึ้นรถเรียบร้อย

                “อืม...น้องพลูอยากทานอะไรดี?” เขาถามกลับ

                “พี่ชลชอบผัดไทมั้ยคะ? มีร้านอร่อยอยู่เจ้านึง ไม่ไกลด้วยค่ะจะไม่เสียเวลา เดี๋ยวน้องพลูบอกทางให้” คนตัวเล็กบอกเสียงใส ชลธีพยักหน้าเห็นด้วย

                ร้านผัดไทที่ว่าอยู่ในตึกแถวสองคูหาไม่ใหญ่มากนักแต่หนาตาไปด้วยลูกค้ายามเที่ยงแบบนี้ มีทั้งหนุ่มสาวออฟฟิศและนักศึกษาที่มารับประทานร้านนี้เนืองแน่นการันตีว่าอร่อยจริง อากาศในร้านไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิดเพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา

                “เอาผัดไทหมี่กรอบกุ้งสดกับ...พี่ชลเอาเส้นอะไรดีคะ?” หล่อนหันมาถามคนนั่งตรงข้าม

                “เอาเหมือนน้องพลูก็ได้ครับ” เด็กเสิร์ฟจดแล้วรีบไปรับออร์เดอร์โต๊ะอื่นต่อ

                “น้องพลูมาร้านนี้บ่อยเหรอครับ?” เขาถามขณะรินน้ำใส่แก้วให้

                “แล้วแต่โอกาสค่ะ ต้องรอว่าเพื่อนคนที่มีรถจะมาหรือเปล่า ถ้าวันไหนเค้ามาพวกน้องพลูถึงจะขอติดรถมาด้วย” แทนดาวตอบพลางดูดน้ำเย็นคลายร้อน

                “ทำไมน้องพลูไม่หัดขับรถเองล่ะครับ? จะได้ไปไหนมาไหนเองสะดวก”

                “พี่หมากไม่ให้น้องพลูขับรถค่ะ แกห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ” ชลธีพยักหน้าเข้าใจ แน่นอนอยู่แล้วว่ารายนั้นไม่เคยยอมให้น้องสาวได้ทำอะไรเองเลย

                “เอาไว้ถ้ามีเวลา...พี่จะสอนน้องพลูขับรถ” เขาบอกเชิงสัญญากลายๆทำให้คนฟังหูผึ่ง

                “จริงนะคะ? ถ้าน้องพลูขับรถเองได้เมื่อไหร่...จะหนีเที่ยวทุกอาทิตย์เลย แล้วก็จะเก็บเงินซื้อรถเจมส์ บอนด์แบบพี่ผึ้ง พี่ชลรู้มั้ยว่าพี่หมากเพิ่งจะถอยรถใหม่ให้พี่ผึ้งอีกคันแล้ว...น่าอิจฉาที่สุด”  แทนดาวบอกด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉาที่ไม่จริงจังนัก

                “งั้นน้องพลูต้องไปหัดในสนามแข่งแล้วล่ะ ถ้าอยากขับรถซิ่งแบบนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ

                “แล้ววันนี้พี่ชลว่างหรือคะถึงแวะมาได้” คนตัวเล็กถามพลางตักเครื่องปรุงใส่จานผัดไทหอมกรุ่น

                “ว่างสิ...ก็พี่ชายเราเมาหัวทิ่มมาทำงานไม่ไหวก็เลยไม่มีประชุมตอนเช้า อ้อ...นี่จ้ะ...ค่าจ้างงวดแรกของน้องพลู ฝ่ายการเงินเค้าฝากมา” เขาบอกก่อนจะหยิบซองจดหมายสีขาวที่พบเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อส่งให้

                “ขอบคุณค่ะ” คนตัวเล็กยกมือไหว้แล้วรับซองมาเปิดดูด้วยความดีใจ ในซองมีธนบัตรใบละพันอยู่ประมาณสิบใบ ถึงมันจะน้อยกว่าที่พี่ชายให้ไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนแต่มันก็อดภูมิใจไม่ได้ที่เงินนี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

                “โห...ทำไมมันเยอะจังล่ะคะ ฝ่ายบัญชีคิดเงินผิดหรือเปล่าคะ? น้องพลูไปทำงานแค่สองวันเองนะ” แทนดาวตาโตกับจำนวนเงินที่ได้รับ

                “แล้วไม่ดีเหรอ? เห็นบอกว่าจะเก็บเงินซื้อรถ” เขาถามยิ้มๆ

                “อืม...นั่นสินะ ดีจัง...นี่ถ้าน้องพลูรับจ๊อบแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมนะ...ป่านนี้รวยไปแล้ว” คนตัวเล็กพูดอวดๆ ชลธีก้มหน้าตักอาหารเข้าปากเพื่อซ่อนรอยยิ้ม เขาเพิ่งจะแอบไปกดเงินในมหาวิทยาลัยก่อนที่หล่อนจะออกมาไม่นานเอง

                “ภูมิใจจัง...นี่เป็นเงินที่น้องพลูทำงานแลกมาครั้งแรกในชีวิต งั้นมื้อนี้น้องพลูเลี้ยงพี่ชลเอง...เต็มที่เลยนะคะ” คนตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะนับเงินอีกครั้งแล้วเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ ชลธียิ้มแบบกลั้นหัวเราะสุดขีด

                อักพักใหญ่ทั้งคู่ก็รับประทานอาหารเสร็จและชลธีก็กำลังพาสาวน้อยที่ยังคงปลื้มปริ่มกับเงินค่าจ้างกลับไปส่ง พอใกล้จะถึงโทรศัพท์เครื่องเล็กของแทนดาวก็ดังขึ้น

                “ว่าไงคะพี่อชิ?” เสียงทักทายของคนนั่งข้างๆทำให้ชลธีแทบเหยียบเบรกกึก

                “เลิกสี่โมงครึ่งค่ะ น้องพลูจะรออยู่ใต้ตึกคณะนะคะ” แทนดาววางสายแล้วก็หันไปมองหน้าชลธีที่นิ่งสนิท

                “นัดแนะจะไปไหนกันเหรอ?” พอจอดรถดีแล้วเขาก็หันมาถามเสียงเข้มจนคนฟังเริ่มหวั่น

                “เมื่อคืนน้องพลูลืมคืนเสื้อพี่อชิค่ะ วันนี้ก็เลยถือติดมือมาด้วย พี่อชิจะมาเอาเย็นนี้ค่ะ” คำตอบกลับยิ่งทำให้คนฟังอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก เขายังจำภาพที่หมอเนิร์ดแผนสูงคนนั้นเอาเสื้อคลุมไหล่ให้ผู้หญิงที่ตนเองเพิ่งจะขอเป็นแฟนได้แม่น

                “แล้วยังไง? บอกคนขับรถให้เอาไปคืนไม่ได้เหรอ? ทำไมต้องนัดกันมา?” เขายิงคำถามรัว สีหน้าท่าทางดูโกรธเกี้ยวจนแทนดาวกลัว

                “ก็...พี่อชิบอกว่าจะพาน้องพลูไปส่งบ้านด้วยค่ะ” เสียงตอบที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินแต่ก็ทำให้คนฟังโกรธจัดจนเผลอใช้มือดึงไหล่บางทั้งสองเข้ามาใกล้ๆ

                “แล้วน้องพลูก็ตกลงงั้นเหรอ? ลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดแล้วเหรอ? บอกว่าจะเป็นแฟนพี่...นี่ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะ นัดผู้ชายคนอื่นให้มารับซะแล้ว!” เขาพูดกระโชกโฮกฮากอย่างลืมตัวเพราะความหึงหวง ทานดาวรู้สึกกลัวมาก ตั้งแต่รู้จักกันมาวันนี้ชลธีดูน่าเกรงกลัวที่สุด

                “ก็น้องพลูไม่เห็นว่ามันจะเสียหายนี่คะ พี่อชิบอกคุณแม่แล้ว” สาวน้อยตอบอุบอิบ

                “แล้วทำไมตอนแรกไม่บอกพี่? ตั้งใจจะปิดกันใช่มั้ย?” เขาคาดคั้น ดวงตาสีเหล็กเต็มไปด้วยความโกรธ แทนดาวไม่กล้าสบตาด้วยเลยเอาแต่ก้มหน้า

                “มองหน้าพี่!” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาอย่างว่าง่าย

                “วันนี้คนที่จะมารับน้องพลูคือพี่...เข้าใจมั้ย?” เขาบอกเสียงเหี้ยมก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวของตรงเบาะหลังส่งให้คนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งอย่างอกสั่นขวัญแขวน

                “แล้วเสื้อพี่อชิล่ะคะ?” แทนดาวถามเบาๆเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้หยิบถุงกระดาษอีกใบให้

                “พี่จะเอาไปคืนให้เอง...ไม่ต้องห่วง” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชากึ่งประชกประชันอย่างไรไม่รู้ แทนดาวหุบปากสนิทไม่กล้าเถียงอะไร ชลธีมองหน้าซีดๆของคนตรงหน้าแล้วก็สงสาร เขาไม่ควรจะใส่อารมณ์กับแทนดาว คนที่ต้องรับความโมโหนี้ควรจะเป็นหนุ่มแว่นหนาคนนั้นต่างหาก

                มือหนาลูบศีรษะเล็กที่ยังมองเขาด้วยสายตาหวดหวั่น แก้มปลั่งสีชมพูที่อยากจะกดจมูกลงไปสูดดมความหอมแต่ต้องอดใจไว้เพราะทั้งคู่อยู่ในสถานศึกษา จึงทำได้เพียงลูบเส้นผมที่ผูกเปียไว้เรียบร้อยไม่ได้ปล่อยสยายจนอดเอานิ้วพันเล่นอย่างเคยก็รู้สึกเสียดาย

                “คนเผด็จการ เหมือนพี่หมากนั่นแหละ!”  คนตัวเล็กบอกงอนๆก่อนจะรีบลงไปจากรถอย่างรวดเร็ว ชลธีมองตามจนหล่อนเดินเข้าตึกไปแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์

                “โรงพยาบาลประชาเวชใช่มั้ยครับ? ผมอยากทราบว่าวันนี้นายแพทย์อชิตะ รัษฎาธรมีตรวจถึงกี่โมง? ช่วยแจ้งคุณหมอว่าผม...ชลธี ธาราพิศุทธิ์ อยากขอนัดพบ”

 

                แทนดาวแทบจะไม่มีสมาธิเรียนในวิชาที่เหลือเอาเสียเลย ได้แต่นึกหวาดหวั่นว่าชลธีจะทำอะไรบ้าง เวลาเขาโกรธแล้วเหมือนคนละคน น่ากลัวพอๆกับพี่ชายทีเดียว พอถึงช่วงพักเบรกก่อนเข้าเรียนวิชาสุดท้ายหล่อนก็หยิบโทรศัพท์จะโทรไปหาก็เห็นมีแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊คส่วนตัว พอเปิดเข้าไปดูก็พบว่าชลธีได้โพสต์ข้อความบนหน้าเพจของตน มีการเชคอินที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อสามสิบนาทีที่แล้วพร้อมขอความสั้นๆว่า  ‘มาหาหมอ!’

                “เฮ้อ...หวังว่าพี่ชลจะเอาเสื้อไปคืนพี่อชิดีๆนะ” หญิงสาวภาวนากับตัวเอง         

                ขณะเดียวกันคนที่รับอาสาเอาเสื้อมาคืนก็นั่งรอเจ้าของเสื้ออย่างใจเย็นในห้องพักแพทย์ที่จัดไว้เป็นส่วนตัว เพียงไม่นานหมอหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านก็เปิดประตูเข้ามา สีหน้ายังคงราบเรียบเช่นปรกติเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าชลธีมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร

                “สวัสดีครับ มาพบผมวันนี้...เป็นอะไรมาหรือครับ?” อชิตะทักเสียงสุภาพแต่คนฟังกลับรู้สึกตะขิดตะขวงอย่างไรชอบกล

                “ผมสบายดีมาก...ไม่ได้เป็นอะไร เผอิญเมื่อกลางวันผมไปทานข้าวกับแฟนผม...ใบพลูน่ะครับ ก็เลยรู้ว่าคุณหมอลืมเสื้อไว้เลยเอามาคืนให้” ชลธีลุกขึ้นมาเผชิญหน้าหมอหนุ่มแล้วยื่นถุงกระดาษให้ด้วยอาการกระแทกกระทั้น เขาเน้นสรรพนามที่ใช้เรียกแทนดาวอย่างจงใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าสถานะของตนกับผู้หญิงที่กำลังก้อร่อก้อติกอยู่นี้เปลี่ยนไปแล้ว

                “อ้อ...งั้นนอกจากจะเอาเสื้อมาคืนแล้ว ผมเดาว่าคุณชลจะมาบอกด้วยว่า...วันนี้ไม่ต้องไปรับน้องพลูแล้ว...ใช่มั้ยครับ?” อชิตะพูดเนิบๆอย่างเดาทางถูก

                “ครับ...ผมรู้สึกดีใจมากที่คุณหมอเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ” ชลธีประชด

                “อืม...ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณที่มีน้ำใจที่เอาของมาคืน” อชิตะวางถุงเสื้อไว้บนโต๊ะอย่างเดิมแล้วหันมาพูดกับแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแจ่มใสขึ้น “น้องพลูเธอน่ารักมากนะครับ อาจจะดูเอาแต่ใจไปหน่อยแต่ก็น่ารัก คุณชลโชคดีมากที่ได้รู้จักเธอก่อน”

                “หมอพูดแบบนี้หมายความว่าไง? ผู้หญิงที่คุณกำลังชื่นชมให้ฟังอยู่นี่น่ะ...เธอเป็นแฟนผมแล้วนะ!” ชลธีต่อว่าด้วยน้ำเสียงดุดัน อชิตะไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดจาเกี้ยวพาแทนดาวต่อหน้าแบบนี้

                “คุณชลธีไม่รู้สึกเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือครับ...ที่รวบรัดเรียกเธอว่าแฟน? คุณรักเธอแล้วงั้นหรือ? ที่สำคัญ...เธอรักคุณหรือยัง?” หมอหนุ่มถามกลับอย่างท้าทาย ทั้งสายตาและน้ำเสียงไม่มีความสุภาพเจือปนอยู่อีกแล้วแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงมี

                “นาย!...ผมเคยบอกหมอแล้วใช่มั้ยว่าอย่าให้มีครั้งที่สอง เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ! ไอ้รักหรือไม่รักเราก็รู้กันสองคนไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ” ชลธีหอบหายใจอย่างข่มโทสะเต็มที่ มือกำแน่นจนเจ็บ

                “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ คุณลองทบทวนดูให้ดีว่าผมทำอะไรที่เลวร้ายหรือยัง? อายุเราก็เท่าๆกันนะ อาการหึงหวงหน้ามืดแบบนี้เนี่ย...มันเหมาะกับหนุ่มๆเลือดร้อนที่เพิ่งจะหัดจีบสาว แต่นี่ก็แก่กันแล้ว ใช้ความคิดสิ...อย่าใช้แต่อารมณ์” อชิตะเหน็บอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้คนฟังหน้าชา

                “น้องพลูเธอยังเด็กมาก...ยังต้องเจอผู้คนอีกเยอะ ถ้าคุณชลเอาแต่โมโหหึงบ่อยๆแบบนี้เธออาจจะเบื่อได้” สุดจะกลั้นอารมณ์อีกต่อไป ชลธีก้าวเข้ามาคว้าคอเสื้อหมอหนุ่มแล้วดันไปติดผนังด้านหนึ่ง

                “อย่ามายุ่งกับแฟนผมนะ!” เขากดคออีกฝ่ายแน่นแต่อชิตะแค่จับข้อมือหนานั้นไว้มั่น สายตาหลังกรอบแว่นไม่ได้บ่งบอกความโกรธ มีแต่ประกายแห่งความอยากท้าทายเท่านั้น

                “คนที่มาก่อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป ขอโทษนะ!” อชิตะแกะมือที่กุมคอเสื้อแล้วปัดออกอย่างแรงก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายถอยหลังไปสามก้าว

                “ถึงวันนี้ผมจะไม่ได้ไปรับน้องพลูที่มหา’ลัย แต่ถึงยังไงก็ต้องไปเจอเธอที่บ้านอยู่ดีแหละ วันนี้ผมจะเข้าไปเยี่ยมอาธรรมแล้วท่านก็ชวนทานข้าวเย็นด้วย แล้วเจอกันเย็นนี้นะครับ” หมอหนุ่มทิ้งท้ายอย่างสุภาพเช่นเดิมพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ดูหยันอยู่ในที ชลธีตบโต๊ะระบายอารมณ์อย่างแรง

                “บ้าชิบ!” เขาได้แต่สบถกับตัวเองอย่างกราดเกรี้ยว มือชื้นเหงื่อกำพวงมาลัยแน่นขณะขับเคลื่อนพาหนะด้วยความเร็วสูงพอๆความความคุกรุ่นในจิตใจตอนนี้

“ไอ้หมอมันรู้ว่าเราจะมาบอกเรื่องน้องพลูเลยรีบโทรไปบอกลุงธรรมว่าจะเข้าไปหา ฮึ!... เป็นหมอ...หัวหมอสมชื่อเลยนะไอ้แว่น!”

 

                เทียมภพตัดสินใจไม่เข้าออฟฟิศในวันนี้เพราะยังรู้สึกมึนหัวเกินกว่าจะคิดการงานอะไรได้  เมื่อคืนแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยเพราะเมารั่วขนาดหนัก ภาพสุดท้ายที่จำได้คงจะเป็นเพื่อนเคยรักอย่างชลธีที่หิ้วปีกออกมาจากวงเหล้า เจ้าของร่างสูงสง่าผิวพรรณสว่างใสดุจสตรีเดินเข้ามาในโรงเรียนสอนดนตรีบ้านตัวโน้ตอย่างอารมณ์ดี  เขายิ้มบางๆขณะมองคุณครูกำลังปรบมือให้จังหวะเด็กที่กำลังซ้อมเล่นกีตาร์ในห้องเรียน        พอคนในห้องมองกลับมาแล้วเห็นว่าเป็นใครก็รีบเดินมาหา

                “นี่คุณขึ้นมาได้ยังไง? ผู้ปกครองต้องรอข้างล่างสิคะ” เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปิดประตูมาเอ็ดคนย่องเบาที่ยืนยิ้มเผล่

                “อ้าว...ก็ผมยังไม่มีลูกนี่ จะเป็นผู้ครองใครได้” เขาตอบกวนๆ

                “ลงไปรอข้างล่างค่ะ ข้างบนเฉพาะนักเรียน” หล่อนสั่งเสียงเฉียบขาด

                “ไม่ไป...ผมจะเดินดูบรรยากาศการเรียนการสอนไม่ได้หรือไง?” เขาต่อรอง รมณ์นลินถอนหายใจเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายดื้อแพ่งไม่ยอมว่าง่ายๆแน่

                “งั้นก็ไปนั่งรอให้ห้องทำงานของแฟงแล้วกันค่ะ” ร่างระหงเดินนำร่างสูงสะโอดสะองไปยังห้องทำงานที่อยู่อีกด้าน ขืนปล่อยให้เดินเพ่นพ่านก็จะทำให้นักเรียนเสียสมาธิ

                “รออยู่ในนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมา” เทียมภพยักหน้านิดๆแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ ห้องทำงานของรมณ์นลินประดับประดาไปด้วยถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรมากมาย มีรูปถ่ายกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รางวัลจากเวทีต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ในบรรดาภาพเหล่านั้นอาจจะมีเพียงรูปเดียวที่สะกดสายตาของเขาให้อยู่นิ่งแล้วค่อยๆเดินเข้าไปใกล้

                รูปถ่ายขนาดเล็กอัดอยู่ในกรอบวิทยาศาสตร์วางรวมอยู่บนชั้นโชว์ถ้วยรางวัล ภาพใบนั้นเป็นบรรยากาศจบการศึกษา มีรูปนักศึกษายืนรายล้อมบัณทิตจบใหม่สามคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง คาดว่าในภาพคงเป็นกิจกรรมบูมบัณทิตอันเป็นธรรมเนียมของทุกมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาจะมาล้อมวงรอบรุ่นพี่ในวันรับปริญญาแล้วร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยหรือประจำคณะให้

                แต่มันจะไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าหนึ่งในบัณฑิตสวมเสื้อครุยสีดำในภาพนี้ไม่ใช่ตนเองและหนึ่งในนักศึกษาที่ยืนรอบๆนั้นคือรมณ์นลิน เทียมภพเอื้อมมือหยิบกรอบรูปลงมาดูใกล้ๆ คำถามในใจผุดขึ้นมากมายจนไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้าเจ้าของภาพนี้แล้วจะถามอะไรก่อน

                “คุณหมากมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เสียงเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับเข้ามาถามอย่างแปลกใจ เทียมภพไม่ตอบแต่เดินเข้าไปใกล้พร้อมกับส่งภาพนั้นให้ดู รมณ์นลินมองตามแล้วก็หน้าซีดทันที

                “เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ...ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง?” เทียมภพมองหน้าซีดเผือดนั้นอย่างค้นคว้า รมณ์นลินจ้องมองลึกลงไปในในดวงตาสีนิลที่ทอประกายแห่งคำถามมากมาย

                “คุณหมากจำแฟงไม่ได้เลยหรือคะ?” คำถามนั้นออกจะฟังดูตัดพ้อแต่ก็ยังเจือความประหม่า มันน่าอายที่จะบอกเขาแต่มันก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เปิดใจเสียที

                “รุ่นน้องที่คุณเคยช่วยไว้ตอนที่ถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวในมหา’ลัย คุณเป็นคนลงไปช่วย แฟง  แล้วก็พาไปห้องพยาบาล” หญิงสาวเล่าพลางมองเขาด้วยประกายตาระยิบระยับ เทียมภพจ้องมองดวงตากลมโตนั้นคล้ายจะใช้มันเป็นตัวช่วยในการทบทวนความทรงจำ

                “พอจะจำได้ ผมเคยช่วยผู้หญิงคนนึงแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร” เขาตอบตามความเป็นจริง มือหนาจับไหล่บางทั้งสองข้างบีบเบาๆ

                “ที่คุณรับงานสอนใบพลู เพราะคุณเห็นชื่อผมในประกาศนั่นใช่มั้ย? คุณจำผมได้ใช่หรือเปล่า?” เขาถามเสียงแผ่วเบา รมณ์นลินเพียงแต่พยักหน้าเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีนิลมองตอบด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ถ้าเข้าใจไม่ผิด...รมณ์นลินเฝ้าติดตามเขามาตลอดเลยหรือ

                “ไม่ใช่เพราะว่าจำคุณได้หรอกค่ะ แต่แฟงไม่เคยลืมคุณต่างหาก”

                “ทำไมล่ะรมณ์นลิน...ทำไมไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก” เขาดึงร่างบางมากอดแนบแน่น ความรู้สึกตอนนี้มีทั้งตื่นเต้นมีความสุขและประทับใจอย่างบอกไม่ถูก เขามองสตรีในอ้อมแขนด้วยประกายตาลึกซึ้ง นั่นเท่ากับว่าตลอดเวลาเกือบปีที่เข้าใจผิดที่คิดว่ารมณ์นลินถูกพี่ชายส่งมาเป็นสายลับและนางนกต่อให้ศัตรูอย่างพี่ชายของหล่อนเข้าหาน้องสาว

                “แฟงอายค่ะ...ก็เลยไม่กล้าที่จะบอก ยิ่งตอนที่เรียนอยู่คุณหมากก็มีแฟนอยู่แล้ว...เลยยิ่งไม่กล้าไปกันใหญ่” คำสารภาพทำให้เทียมภพต้องกดจมูกกับหน้าผากนวลหนักๆ

                “คุณทำให้ผมรู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจคุณอยู่บ่อยครั้ง แฟง...ให้อภัยผมนะครับ” เขาเชยคางมนเพื่อจ้องมองลึกลงไปในดวงตาหวานปนเศร้าที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบสตรีคนหนึ่งที่เฝ้ามองตนอยู่ห่างๆมานานแสนนาน คนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาในตอนแรกแต่ตอนนี้กลับมาเขย่าหัวใจให้สั่นระรัว เทียมภพแตะริมฝีปากอุ่นจัดลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างเพื่อซับซาบ หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นแล้วไล่ลงมาที่จมูกเล็กก่อนจะจบตรงริมฝีปากอุ่นนุ่มที่ยังคงความหอมหวานละมุนเฉกเช่นทุกครั้งที่เคยสัมผัส

 

                ชลธียังคงอารมณ์เสียอยู่ตลอดบ่ายจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด ถ้าไม่ติดว่าอยู่โรงพยาบาลล่ะก็...คงจะวางมวยให้รู้เรื่องกันไปข้างหนึ่ง คู่แข่งทางธุรกิจยังไม่น่ากลัวเท่าคู่แข่งของหัวใจ ถ้าอชิตะเล่นแซะกันแบบนี้อยู่บ่อยๆ กลัวว่าแทนดาวอาจจะเขวได้เหมือนกัน เขานั่งนับถอยหลังรอเวลาจนถึงสี่โมงเย็นแล้วก็เก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมออกไปรับแทนดาว

                “พี่ชลจะไปไหนอ่ะ จะกลับบ้านหรือเปล่าคะ? ให้ลูกปลาไปด้วยนะ” ปาลิดาที่ยังคงอารมณ์ขึ้นจากการปะทะฝีปากกับเปรมยุตาเดินหน้าคว่ำเข้ามาหา

                “พี่ยังไม่ได้กลับบ้าน แล้วเราจะไปไหนตอนนี้? ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย” เขาบอกเหนื่อยๆ

                “ลูกปลาไม่อยากทำงานแล้วอ่ะ อีกอย่าง...ทำไมพี่ชลต้องยืนกอดกับคุณปรางแน่นขนาดนั้นด้วยล่ะ? นางอ่อยพี่ชลใช่มั้ย?” เสียงของปาลิดาทำให้เลขาสาวของเขาหันมามองด้วยความสนใจ ชลธีทำหน้าลำบาก

                “นี่...เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว แล้วนั่นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวนะ ห้ามเอาไปโพนทะนา คุณปรางจะเสียหายได้” เขาดุเสียงดังอย่างตั้งใจให้บุคคลที่สามที่กำลังเงี่ยหูฟังได้ยินด้วย

                “ลูกปลาไม่อยากทำงานกับคุณปรางแล้ว” ปาลิดาทำท่ากระฟัดกระเฟียด

                “เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ พี่มีธุระ” เขาตัดบทด้วยไม่อยากรับรู้ความเอาแต่ใจของเด็กสาวข้างบ้านคนนี้อีก พอดีกับที่เปรมยุตาเดินเข้ามา

                “กลับขึ้นมาก็ไม่บอก...พี่ตามหาเราไปทั่ว นี่เงินสองแสนค่าดอกไม้สด พรุ่งนี้เช้าไปโอนเข้าบัญชีเวนเดอร์เจ้าเดิมด้วยนะ” เปรมยุตายื่นซองสีน้ำตาลให้ สาวหมวยหน้าหงิกรับซองเงินไปเก็บเข้าลิ้นชักปิดกุญแจอย่างดี

                “ผมออกเร็วหน่อยนะวันนี้ ลูกปลา...คุณปรางเค้าเป็นเจ้านายของลูกปลาโดยตำแหน่ง ควรจะเชื่อฟังและให้ความเคารพเค้ามากกว่านี้ อยู่ที่นี่ไม่มีใครเป็นญาติใครทั้งนั้น ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบกันหมด เลิกเอาแต่ใจตัวเองซะที ดูแลด้วยนะปราง” เขาพูดกับสตรีทั้งสองคนที่ยืนอยู่ คนนึงรับฟังด้วยอาการสงบส่วนอีกคนทำหน้าเหมือนกินยาขม

                ชลธีมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย แทนดาวไม่ได้ลงมาจากตึกเรียนแต่วิ่งกระหืดกระหืดกระหอบมาจากอีกทางหนึ่ง ในมือถือถุงผ้าใส่หนังสือเรียนกับถุงพลาสติกตีตราร้านค้าแบรนด์ดังอีกสองใบ

                “พี่ชลมานานหรือยังคะ? พอดีว่าอาจารย์เลิกคลาสเร็วค่ะ น้องพลูไปเลยเดินมาบุญครองมาสักพักนึง” สาวน้อยบอกเขาพลางใช้กระดาษซับเหงื่อที่ผุดพรายตามใบหน้า ชลธีรีบติดเครื่องยนต์และเร่งเครื่องปรับอากาศให้เย็นฉ่ำเพื่อบรรเทาความร้อนของคนข้างๆ

                “ไปช้อปปิ้งมาเหรอ?” เขาถามพลางวางถุงต่างๆไว้ที่เบาะหลัง คนถูกถามพยักหน้าเร็วๆก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงใบหนึ่งมาแล้วล้วงอะไรบางอย่างส่งให้เขา

                “น้องพลูซื้อให้ค่ะ พี่ชลซื้อของให้น้องพลูตั้งหลายอย่างแถมยังให้โอกาสได้ทำงาน พอเงินออกแล้วน้องพลูก็เลยอยากซื้ออะไรให้พี่ชลบ้างค่ะ ส่วนอีกอันก็ของพี่หมากกับพี่ผึ้ง” ชลธีเปิดกล่องกระดาษแข็งแบนๆที่บรรจุผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มตัดด้วยเส้นสีขาว ตรงมุมมีป้ายยี่ห้อของแบรนด์หนึ่งที่เป็นอักษรย่อภาษาอังกฤษสี่ตัว ใบหน้าคมมองคนให้อย่างประทับใจ

                “ขอบคุณครับ พี่จะใช้มันให้บ่อยที่สุด” เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วมองตาหญิงสาวด้วยประกายหวานซึ้งจนอีกฝ่ายต้องหลบ

                “เอ๊ะ...น้องพลูเห็นกล่องขนม ซื้อไปฝากใครหรือคะ?” คนตัวเล็กเสเปลี่ยนเรื่องหันไปมองกล่องขนมประทับตราร้านเบเกอรี่จากโรงแรมของเขาเอง

                “นั่นน่ะเหรอ...พี่จะเอาให้น้องพลูตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วล่ะ จะได้แบ่งให้เพื่อนๆกินด้วย แต่ว่าระหว่างทางมันหล่นพื้นหน้าก็เลยเละ ก็เลยว่าจะเอากลับไปให้เด็กที่บ้านแทน” เขาบอกพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ปาลิดาทำมันตกพื้นตอนที่เห็นตนกับเปรมยุตายืนกอดกัน

                “ไหนคะ...ก็ไม่เห็นจะเละมากเลย” คนตัวเล็กเอื้อมมือไปหยิบกล่องขนมมาเปิดดู เป็นคัพเค้กหกชิ้นสีพาสเทลน่ากิน เพียงแต่หน้าครีมเลอะเปรอะฝากล่องทำให้แลดูไม่สวยแค่นั้นเองนอกนั้นก็ยังดูปกติดี

                “อืม...รสชาติก็ยังหอมอร่อยเหมือนเดิม อั้มเร็ว…” แทนดาวบิเค้กเป็นชิ้นเล็กๆแล้วจ่อให้ที่ปาก ชลธีจับมือที่จ่อชิ้นขนมเค้กไว้แล้วอ้าปากรับมาเคี้ยวช้าๆ สายตายังจับจ้องที่ดวงตาทรงอัลมอนด์ที่แสดงอาการตกใจนิดๆ

                “อื้ม...หอมอร่อยจริงด้วย” เขาตอบตาพราว แทนดาวเริ่มรู้สึกเขินนิดๆเลยเสกินชิ้นใหญ่ที่เหลืออยู่ในมือ แต่พอยกขนมแตะปากคนที่จ้องมองอยู่เมื่อครู่ก็ฉกปากวูบอย่างรวดเร็วมากัดที่ขนมชิ้นเดียวกันจนริมฝีกปากแทบจะแตะกันอยู่แล้ว คนตัวเล็กรีบกลืนเค้กนุ่มนิ่มจนเกือบติดคอส่วนคนตัวใหญ่ก็เคี้ยวขนมอย่างสบายใจ

                “หวานดีเนอะ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดีแล้วขับเคลื่อนพาหนะออกไป แทนดาวรู้สึกว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศมิได้ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายที่อุ่นจนร้อนในขณะนี้ได้เลย

                ไม่นานนักทั้งคู่กลับมาถึงบ้านทวีกิจไพศาล แทนดาวพาชลธีไปไหว้คุณย่าแล้วพาไปนั่งเล่นใต้ซุ้มกระดังงามุมโปรดอย่างเคยพลางชวนเขาคุยนั่นคุยนี่ พอหมดเรื่องคุยก็ชวนไปดูบ่อปลาหลังบ้าน ระหว่างทางเห็นชมพู่ลูกโตห้อยโตงเตงจนกิ่งงอก็เกิดความละโมบ

                “พี่ชลคะ...เก็บชมพู่กันเถอะ” แทนดาวบอกพลางชี้ให้ดูผลชมพู่เขียวใสบนต้นสูงใหญ่ที่หล่อนเคยปีนขึ้นไปเก็บมาให้เขาเมื่อตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก

                “งั้นพี่จะสอยมันลงมาแล้วน้องพลูก็เก็บนะ” เขาบอกก่อนจะรับไม้ไผ่ลำยาวที่ตรงปลายผูกตะขอไว้ใช้เกี่ยวขั้วผลไม้

                “กิ่งนั้นค่ะพี่ชล ลูกโตๆอยู่เป็นพวงเลย” คนตัวเล็กชี้ไปที่กิ่งหนึ่งที่ติดผลห้อยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ชลธีแค่ออกแรงกระตุกเล็กน้อยเท่านั้นทั้งกิ่งก็หักลงมาอย่างง่ายดาย

                “เดี๋ยวจะให้แป๋มทำพริกกะเกลือ พี่ชลเอากลับบ้านไปด้วยนะคะ เยอะแยะเลย...ดูสิ” แทนดาวรีบวิ่งเข้าไปเก็บอย่างชอบอกชอบใจ

                “น้องพลู...นั่นมันรังมดแดงนะ!” เขาร้องบอก แทนดาวมองกิ่งชมพูที่อยู่ในมืออย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งก็พบว่ามีรังมดแดงอยู่จริงๆและตอนนี้ฝูงมดก็กำลังไต่มาที่มือ

                “กรี๊ด!...” ด้วยอารามตกใจเลยโยนรังมดแดงสะเปะสะปะไปโดนชลธีเต็มแรง ใบไม้ที่ห่อหุ้มเป็นรังทรงกลมแตกกระจายลงบนตัวของหนุ่มร่างสูงที่ไปยืนในอยู่ในรัศมีนั้นพอดี พอรังแตกบรรดามดแดงต่างก็แห่กันออกมาเล่นงานคนที่สอยบ้านของพวกมันลงมาอย่างโกรธแค้น

                “พี่ชล!” แทนดาวร้องด้วยความตกใจ มดพวกนั้นกำลังไต่ไปตามตัวเขาและบางตัวเริ่มทำหน้าที่ปกป้องตัวเองจากศัตรู

“โอ๊ย....น้องพลูหลอกพี่มาฆ่าใช่มั้ย!” เขาโอดครวญพลางปัดมือไม้เป็นพัลวัน คนก่อเหตุรีบเข้าไปช่วยปัดมดแดงที่กำลังไต่และต่อยอยู่บนตัวของเขาอย่างสนุกสนาน

                แทนดาวถูกคุณย่าดุชุดใหญ่ที่ดันไปโยนมดแดงใส่เขาเข้า คุณแม่ยังตีซ้ำให้ต่อหน้าอีกทำให้รู้สึกอายมากที่ถูกตีก้นต่อหน้าหนุ่ม

                “เรานี่นะ...ไปทำแบบนั้นกับพี่เค้าได้ยังไง ขอโทษคุณชลเค้าเดี๋ยวนี้นะ!” คุณดวงทิพย์ยังไม่หายโมโหลูกสาวที่ทำ ‘งามหน้า’ ด้วยการโยนรังมดแดงใส่แขกคนสำคัญถึงจะไม่ได้เจตนาก็ตามที

                “ขอโทษค่ะ”

                “ไม่เป็นไรครับ น้องพลูคงไม่ตั้งใจให้โดนผมหรอก” เขาบอกคุณดวงทิพย์แต่ส่งสายตาเอาเรื่องให้คนตัวเล็กที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆคุณลำเภา

                “ไปหายาหม่องมาเร็วเข้า แล้วอย่าเอาอะไรไปโยนใส่เค้าอีกนะ” คุณดวงทิพย์ไล่ลูกสาวตัวดีพาเจ้าทุกข์ไปปฐมพยาบาล แทนดาวเดินคอตกพาคนเจ็บจากพิษมดแดงไปยังปีกด้านข้างของบ้านที่จัดเป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ มีอ่างปลาขนาดใหญ่รองรับน้ำตกจำลอง

                “นั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องพลูไปเอายาก่อน”

                “หวังว่าคงไม่ได้เอาอะไรใส่ไปอีกล่ะ หรือถ้าจะทำอย่างนั้นจริงๆเอาแค่บาดเจ็บสาหัสพอนะครับ...อย่าให้ถึงตายเลย” เขาพูดล้อแต่ตาดุ คนถูกกวนย่นจมูกใส่แล้วคิดว่าเอาพริกป่นผสมลงไปด้วยเสียดีไหมหนอ ไม่กี่นาทีต่อมาคนก็ก่อเรื่องก็ถือขวดยาหม่องขนาดใหญ่มาวางตรงหน้าแล้วพาตัวเองไปนั่งอีกฟากหนึ่ง แกว่งมือเล่นกับปลาในอ่างน้ำตกจำลองอย่างไม่ใส่ใจว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป

                “อ้าว...แล้วไม่ทาให้พี่ด้วยเหรอ?” เขาชูขวดยาหม่องขึ้น

                “เอามาให้แล้วก็ทาเองสิ แค่มดกัดนะคะ...ไม่ได้แขนหัก” หล่อนตอบแล้วกลับไปสนใจฝูงปลาสีสวยต่อ ไม่แยแสกับผู้ได้รับบาดเจ็บจากน้ำมือตัวเอง

                “ว้า...แสบไปหมดทั้งตัว ยังต้องมาทายาเองอีก” เขาบ่นไปพลางแต้มเนื้อยาเบาๆตรงรอยแดงตามลำแขน

                “แล้วข้างหลังจะทำยังไง? ไม่ถนัดเลย” เขาหันหลังให้พลางเลิกเสื้อให้เห็นแผ่นหลังที่มีแต่รอยแดง บางจุดยังมีซากมดติดอยู่เลย พยายามเอี้ยวตัวที่จะทายาแต่ก็ทำไม่ได้  คนตัวเล็กมองอย่างขัดใจก่อนจะเข้าไปความช่วยเหลือ

                “เอ่อ...ขอโทษนะคะ ถอดเสื้อดีกว่าจะได้ทายาได้ทั่ว” แทนดาวค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ดจนสุด หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงเมื่อปลดเปลื้องเสื้อตัวนั้นออกไปเผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลอมแดง อดไม่ได้ที่จะลอบมองแผ่นอกเปลือยหนาหนั่นที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนที่ดูแลตัวเองอย่างดี

                “มองอะไร...หืม?” เขาก้มหน้าลงมาถามเมื่อยังเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองอยู่แต่บริเวณนั้น

                “เปล่าค่ะ คือ...จะบอกว่าพี่ชลหุ่นดีจัง มีซิกแพคด้วย” คนตัวเล็กบอกออกไปตรงๆทำให้คนฟังหัวเราะเสียงดัง

                “เซี้ยวใหญ่แล้วนะ ห้ามไปพูดแบบนี้กับใครเชียว ผู้หญิงอะไร...มองผู้ชายถอดเสื้อแล้วยังมาบอกว่าหุ่นดี พอเรามองบ้างก็หาว่าลามก” เขาแกล้งเอ็ดไม่จริงจังนักพลางเขี่ยผมที่หลุดจากมัดเปีย

                “น้องพลูแค่มองเฉยๆไม่ได้คิดอะไรนะคะ” คนตัวเล็กรีบเถียง นิ้วก็แตะยาหม่องจิ้มไปตามรอยแดงๆที่กระจายอยู่บนแผ่นอก

                “แน่ใจเหรอคะ?...ว่าไม่ได้คิดอะไร” ใบหน้าเข้มก้มลงมาใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากเส้นผม คนตัวเล็กเอี้ยวตัวหลบกลัวว่าจะโดนแกล้งอะไรอีก

                “ไม่ได้กำลังจิตนการอยู่หรอกหรือว่ากำลังซบซุกกับอกแน่นๆของพระเอกนิยายที่ชอบอ่าน” เขาพูดต่อพลางยึดมือที่กำลังทายาดึงเข้ามาหาตัวจนชิดแผ่นอกกว้าง

                “น้องพลูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะ” แทนดาวพยายามดิ้นแต่ก็ยิ่งถูกรัดแน่นขึ้น ศีรษะเล็กอิงแอบบนอกเปลือยจนรู้สึกถึงความอบอุ่นจากผิวเนื้อสีทองแดงนี้

                “ปล่อยค่ะ...นี่บ้านน้องพลูนะ พี่หมากกลับมาเห็นจะเป็นเรื่อง” คนตัวเล็กร้องห้ามเมื่อมือหนาเริ่มซุกซนไต่ลงไปเกาะเกี่ยวอยู่แถวๆเอวเล็ก ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวเองไปอยู่ข้างหลังคนขี้แกล้ง

                “อื๋อ...พี่ชลทนได้ยังไงเนี่ย” แทนดาวร้องด้วยความสยดสยองเมื่อเห็นจุดแดงๆกระจายทั่วแผ่นหลังสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดขณะหยิบซากมดสองสามตัวออก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนก่อนดี

                “รู้มั้ยว่าพี่ชินเพราะถูกน้องพลูหยิกเอา ทุบเอาบ่อยๆ หนังด้านขึ้นเยอะเลย” เขาบอกขันๆ

                “เยอะแล้ว...น้องพลูไม่ได้ทำขนาดนั้นซะหน่อย” ด้วยความหมั่นไส้เลยออกแรงทายาซึ่งเรียกว่า ‘จิ้ม’ ให้แรงๆจะถูกกว่า

                “นั่นไงล่ะ...กำลังเสริมความแข็งแกร่งให้พี่อยู่ล่ะสิ”

                “ถ้ายังไม่เลิกพูดมากจะให้กินทั้งขวดเลย” หล่อนขู่ฟ่อพลางจ่อขวดให้ที่ปากคนช่างพูด ชลธีหัวเราะชอบใจ

                “ดุจริ๊ง...เมียในอนาคตคนนี้” พอพูดจบก็ได้รับกำปั้นหนักหน่วงทุบให้ที่กลางหลังดังปึ้ก คนถูกทุบไม่รอช้ารีบฉวยข้อมือที่เพิ่งประเคนกำปั้นกระชากกลับมาข้างหน้าแล้วพลิกกลับอย่างรวดเร็วจนคนถูกดึงเสียหลักไถลมาอยู่บนตักอย่างง่ายดาย

                “ว้าย...ปล่อยเค้านะ!” หล่อนร้องเสียงหลง

                “เอาล่ะ...ทีนี้ก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว เอ...จะทำอะไรดีน้า...ตีก้นเหรอ อืม...ไม่เอาดีกว่าจะช้ำเสียเปล่าๆ” เขาพูดชิดริมหูสร้างความสยิวกิ้วให้คนบนตักได้ไม่น้อย แทนดาวรู้ตัวว่ากำลังเสียท่าและครั้งนี้คงหนีไม่พ้น

                “ปล่อยเถอะค่ะ ถ้าคราวนี้ยังทำบ้าๆอีกนะน้องพลูจะไปฟ้องคุณพ่อเองด้วย”

                “ได้ทำแล้วถูกเพ่นกบาลเอาก็ยังดี...ถือว่าคุ้ม” คนพูดก้มหน้าลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จุดหมายแรกอยู่ที่แก้มแดงเย้ายวนนั่น เจ้าตัวยังดิ้นปัดๆอยู่บนตักไม่หยุดแล้วก็ไถลลื่นตกลงไปในอ่างน้ำตกจำลองในที่สุด

                “กรี๊ด...ไอ้พี่ชลบ้า! ไอ้คนบ้า! ฮือ...” แทนดาวนั่งจำเบ้าอยู่กับพื้นอ่าง ฝูงปลาแตกกระจายไปตัวละทิศละทางเมื่อมีวัตถุแปลกปลอมตกลงมาตูมใหญ่ น้ำบางส่วนกระเซ็นโดนชลธีที่ยืนหน้าเหวอจากนั้นก็หัวเราะลั่นแบบไม่เกรงใจ

                “ฮ่าๆ น้องพลูนี่เอาใจยากจัง อยากเล่นน้ำก็ไม่บอก” เขายื่นมือให้หญิงสาวจับแต่หล่อนสะบัดหน้าหนี รู้สึกเจ็บที่ก้นกบ

                “ยื่นมือมาสิน้องพลู จะนั่งแช่อยู่ทำไมกัน  เดี๋ยวปลาก็ช็อคตายหมดพอดี” เขาเปลี่ยนจากหัวเราะร่ามาพูดเป็นงานเป็นการแต่ก็กลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์

                “ไม่ต้องมายุ่งเลย! เพราะพี่ชลคนเดียวแท้ๆ” คนดื้อพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ก็ลำบากเต็มทนจนคนยืนดูทนไม่ไหวต้องช่วยดึงตัวขึ้นมาโดยไม่สนใจเสียงคัดค้าน

                “ก็น้องพลูจะดิ้นทำไมกัน ยอมเสียแต่แรกดีๆก็หมดเรื่อง” แทนดาวหันขวับมามอง เนื้อตัวมีแหนกับพืชน้ำติดเต็มไปหมด

                “บ้าเหรอ!...ใครจะไปยอมเล่า พี่หมากกลับมาหรือยังเนี่ย? พี่หมากขา...ฮือๆ” หล่อนร้องหาพี่ชายทั้งๆที่ตัวเปียกโชก มือหนึ่งกำพืชน้ำที่ขยุ้มไว้ตอนพลัดตกลงไป อีกมือปาดแหนที่ติดตามแก้ม

                “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าน้องพลู?” พอขำจนพอใจก็สอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง

                “ไม่ต้องมายุ่ง! ไม่ต้องมาสนใจ! พี่ชลไม่ได้ตกน้ำนี่” มือเล็กยังวุ่นวายปัดเศษใบไม้เศษแหนออกจากเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดที่ตอนนี้เปียกชุ่มจนแนบไปกับส่วนเว้าส่วนโค้ง ยังดีที่หล่อนสวมเสื้อกล้ามไว้อีกชั้นหนึ่งมิฉะนั้นคงได้เห็นไปถึงไหนต่อไหน เพราะเพียงแค่นี้ยังเล่นเอาคนมองใจหวิว  ชลธีละสายตาจากภาพยวนตาแล้วส่ายหน้าให้กับความดื้อดึง คงต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่หล่อนจะยอมสลัดความเป็นเด็กเอาแต่ใจและเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัว และเขานี่แหละ...จะช่วยทำให้มันเร็วขึ้น

                “พี่ว่าน้องพลูไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่จะหิวจนตาลายจนคิดว่าน้องพลูเป็นข้าวปั้นห่อสาหร่าย” เขาแนะนำ แทนดาวรีบยกแขนขึ้นสูดดมกลิ่นประหลาดที่ติดตัวขึ้นมาแล้วก็ทำหน้ายักษ์ใส่

                “ว่าเค้าตัวเหม็นเหรอ? ก็เพราะใครกันล่ะ คอยก่อนเถอะ...จะกลับมาแก้แค้น” หล่อนสะบัดหน้าใส่อีกครั้งและเตรียมจะหนีไป ชลธีรีบรั้งแขนเอาไว้แล้วกระตุกเบาๆให้เข้ามาประชิดตัวอีกครั้ง

                “มานี่สิ” แทนดาวไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว...จมูกโด่งคมสันก็ฉกวูบลงมาที่แก้มข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วและแม่นยำแถมยังสูดย้ำตั้งสองครั้งซ้อน

“อืม...วันก่อนกลิ่นชีสเค้กแต่วันนี้กลิ่นข้าวปั้นห่อสาหร่าย น้องพลูนี่หอมน่ากินจริงๆนะ อยากจะเคี้ยวแล้วกลืนลงคอเสียเดี๋ยวนี้เลย” ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าของใบหน้าคมสันยังโน้มลงไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมผสมโลชั่นโกนหนวด หากแต่อึดใจต่อมาก็ต้องหยุดใบหน้าที่กำลังก้มต่ำลงตรงสู่เป้าหมายเมื่อรู้สึกตัวว่าการกระทำครั้งนี้ไม่ได้รับรู้กันเพียงแค่สองต่อสองอีกต่อไป เขาคลายอ้อมกอดออกและผละจากร่างบางช้าๆ ขณะที่อีกฝ่ายยังไม่หายตกใจและก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อมองตามชายหนุ่มไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งแน่นอนว่าระยะขนาดนั้นย่อมมองเห็นรายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน

                “คุณผึ้ง...” ชลธีเรียกชื่อคนที่ยืนกำลังมองอยู่แต่ไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือประหลาดใจใดๆ ผิดกับคนข้างๆที่ตอนนี้หน้าตาซีดเผือดอย่างกับเห็นผี

                “ขอโทษค่ะ พอดีว่าคุณย่าให้ผึ้งมาตามคุณไปทานของว่าง หาเสียตั้งนาน...ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณชล...อยู่ที่นี่” ปลายเดือนเน้นคำสุดท้ายขณะจ้องมองสภาพของทั้งคู่อย่างจับผิด ความริษยาแล่นวูบไปทั่วร่างเมื่อเห็นน้องสาวในสภาพเปียกปอนและชายหนุ่มที่เปลือยท่อนบน ทั้งคู่กำลังแนบชิดและเหมือนว่ากำลังจะแลกจุมพิตกันอยู่รอมร่อ

                “พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย รังมดแดงตกใส่ผม น้องพลูก็เลยพามาทายา” เขาอธิบายสั้นๆ น้ำเสียงยังคงนิ่งไม่แสดงอาการอะไรแล้วรีบหยิบเสื้อมาสวมกลับอย่างเดิม แทนดาวเห็นพี่สาวเหยียดยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งหากแต่สีหน้าก็ยังคงระรื่นยามเจรจากับเขา

                “งั้นหรือคะ? แต่จากสภาพที่ผึ้งเห็นกับตานี่...มันอาจจะไม่งามนัก เกรงว่าเรื่องนี้คงจะต้องเรียนให้ผู้ใหญ่ทราบ” น้ำเสียงและสายตาที่ทอดมองมายังลูกผู้น้องเต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ยถากถางระคนโกรธแค้นซึ่งทำให้แทนดาวร้อนวูบและเย็นวาบในคราวเดียวกัน เพราะท่าทางแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ตนเองไม่รอดจากการถูกพี่สาวเล่นงานแน่

                “มันยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ พี่ผึ้งล่ะก็...ชอบเว่อร์อยู่เรื่อย” แทนดาวเถียงกล้าๆกลัวๆ

                “เรื่องนี้ถ้าจะหาคนผิดล่ะก็...คงต้องเป็นผมแต่เพียงผู้เดียว” เขาขยับออกมาข้างหน้าพร้อมกับจับมือคนข้างๆเตรียมจะพาเดินออกไปด้วยกัน ปลายเดือนมองภาพนั้นด้วยความริษยามากขึ้น

                “คุณชลไม่ผิดหรอกค่ะ คนของผึ้งต่างหาก...ที่ปล่อยตัว ปล่อยใจ การได้ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายแนบชิดแบบนี้อาจจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเธอ...ก็เลยอยากรู้อยากลองไม่คิดจะสงวนตัวแบบที่กุลสตรีพึงเป็น เห็นทียัยพลูจะต้องได้รับการอบรมครั้งใหญ่ ถึงแม้จะเป็นคู่หมั้นกัน...แต่ยัยพลูยังเป็นน้องของผึ้งอยู่” แทนดาวรู้สึกว่ามือที่กุมมือของตนอยู่นั้นร้อนขึ้นและรับรู้ถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น กรามของเขาขบเป็นสัน  นี่เขากำลังโกรธหรือเปล่า?

                “น้องพลูไม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าถ้าจะหาคนผิดก็ต้องเป็นผม” น้ำเสียงเย็นชาและกระด้างที่ถ่ายทอดออกไปทำให้คนฟังอย่างปลายเดือนถึงกับตัวสั่น ชลธีออกตัวปกป้องแทนดาวอย่างถึงที่สุดและมันคงเป็นการไม่ฉลาดถ้าหล่อนจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใหญ่จริงๆ

                “แต่ถ้าคุณผึ้งยังไม่พอใจ อยากจะรายงานเรื่องนี้กับคุณลุงคุณป้า ผมก็จะไม่คัดค้านเพราะมีคำอธิบายดีๆเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว” เขาย้ำชัดและนั่นก็ทำให้ปลายเดือนหน้าร้อน แทนดาวกระตุกมือเขาเบาๆเป็นเชิงบอกว่าให้หยุด รู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างถ้าทำให้พี่สาวโกรธไปมากกว่านี้

                “คุณชล...” ปลายเดือนคราง รู้ว่าตัวเองแพ้แน่แล้ว

                “เห็นทีคงต้องขอตัวนะครับ คุณผึ้งว่าคุณย่าเรียกผมใช่มั้ย?” เขาไม่รอฟังคำตอบแต่รีบจูงมือแทนดาวที่ยังหน้าซีดไปจากตรงนั้น ทิ้งให้ปลายเดือนยืนมองตามไปด้วยความเจ็บแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้ หากจะมีวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะทำให้แทนดาวพบกับความผิดหวังหรือสูญเสีย ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะทำ

                “พี่ชลไม่น่าไปพูดกับพี่ผึ้งแบบนั้นเลย” เมื่อออกมาพ้นจากรัศมีอำมหิตของพี่สาวแล้วแทนดาวก็ติงเขา ชลธีปล่อยมือนุ่มนิ่มนั้นแล้วเปลี่ยนไปเป็นลูบไล้เส้นผมสลวยที่ชื่นชอบ

                “พี่ขอโทษที่ไปว่าญาติน้องพลูแบบนั้น แต่พี่ทนไม่ได้...ถ้าใครจะมากล่าวหาน้องพลูว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ทั้งๆที่พี่เห็นและรู้ว่ามันไม่เป็นความจริง” เขาพูดเสียงนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่นจนคนฟังอดปลื้มไม่ได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา