ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) ตอนที่ 24 Will You Be My Girl?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
   ตอนที่ 24 Will you be my girl?
 
เทียมภพนั่งมองน้องสาวคนเล็กด้วยความหมั่นไส้เต็มทนที่ดูจะตั้งอกตั้งใจเตรียมข้าวของจำเป็นสำหรับการเริ่มงานวันแรกในวันพรุ่งนี้ เขาวางหนังสือพิมพ์ภาษอังกฤษฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะกาแฟก่อนจะย้ายตัวเองลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นใกล้ๆน้องสาวที่ยังวุ่นวายกับการหยิบโน่นนี่จัดใส่เป้ สมุดโน้ต เครื่องเขียน ยาดม อุปกรณ์แต่งหน้า วางกระจัดกระจายบนพื้นขณะที่คนตัวเล็กตรวจรายการสิ่งของและขีดฆ่ารายการที่จัดใส่เป้แล้ว
“ตื่นเต้นมากหรือไง? กะอีแค่ไปรับจ๊อบแค่นี้” พี่ชายอดถามไม่ได้ น้ำเสียงนั้นประชดจนน้องสาวต้องหยุดมือที่กำลังจัดข้าวของแล้วเขยิบมานั่งใกล้ๆ
“ก็น้องพลูอยากให้ทุกอย่างราบรื่นไม่ติดขัดก็เลยต้องเตรียมตัวให้พร้อม อยากให้การทำงานวันแรกเป็นการเริ่มต้นที่ดีนี่คะ” เทียมภพสบตาใสๆแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นคู่นั้นแล้วก็สูดหายใจลึก ทำให้นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาอายุเท่าๆน้องสาว ตอนนั้นตนเองยังเป็นวัยรุ่นเสเพลไม่เอาการเอางาน จำได้ว่าวันแรกที่บิดาบังคับเคี่ยวเข็ญให้เข้าบริษัทก็ไปทั้งๆที่ยังเมาค้างก็เลยถูกบิดาทำโทษด้วยการให้ไปเป็นเด็กติดรถส่งเฟอร์นิเจอร์
“แล้วเลิกกี่โมงคะ? พี่จะได้ไปรับ”
“หนึ่งทุ่มค่ะ พรุ่งนี้มีนัดส่งงานอาจารย์เลยจะออกจากมหา’ลัยช้าหน่อย บอกทางนั้นแล้วว่าจะไปเข้างานหกโมงเย็น”
“พี่จะให้แป๋มไปนั่งเป็นเพื่อนนะ บอกตรงๆพี่ไม่กล้าให้เราไปแกร่วที่นั่นคนเดียว” เทียมภพลูบผมน้องสาวพร้อมกับส่งสายตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยท่วมท้น แทนดาวล้มตัวลงนอนเอาศีรษะหนุนตักกว้างของพี่ชาย
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่หมาก ให้น้องพลูได้ดูแลตัวเองบ้างนะคะ” แทนดาวบอกพี่ชาย นี่ถ้าพี่หมากเกิดรู้ว่าตนเองเคยบุกเดี่ยวไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่งจะว่าอย่างไรหนอ
“เฮ้อ...เมื่อไหร่เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ซะที พี่จะได้ไม่ต้องห่วงจนแทบจะบ้าอย่างนี้” เขาบ่นเบาๆ
“ก็นี่ไงคะ...น้องพลูกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าดูแลตัวเองได้ พี่หมากไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เทียมภพมองคนที่กำลังนอนหนุนตักอย่างใช้ความคิด เอาเถิด...ถือซะว่านี่เป็นการฝึกหัดให้น้องได้กระพือปีกบินเองเป็นครั้งแรก
“เอาล่ะ...ในเมื่อพี่เป็นคนยอมให้เราไปทำงานที่นั่น ก็จะขออวยพรให้โชคดีในการทำงานวันแรกนะคะ” เขาลูบศีรษะเล็กที่อุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อย ถึงในอกจะเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลต่างๆนานาแต่ยังมีมุมภูมิใจเล็กๆว่าน้องสาวคนนี้กำลังจะเติบโตขึ้นไปอีกนิด แทนดาวยันกายลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็โน้มจมูกไปแตะที่แก้มพี่ชายเบาๆแล้วกอดเอวหนานั้นไว้อย่างแสนรัก
 
ปลายเดือนไม่พอใจมากที่พี่ชายอนุญาตให้น้องสาวคนเล็กไปทำงานที่โรงแรมของชลธีเพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็มีหวังคงชวดจากเขาถาวร
“ถ้างั้นวันนี้ผึ้งไปรับยัยพลูให้นะคะ พี่หมากจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา เห็นว่าต้องไปปทุมไม่ใช่หรือคะ?” ปลายเดือนบอกพี่ชายขณะนั่งรับประทานอาหารเช้า
“แล้วเราว่างเหรอ? ไหนว่ามีนัดกับลูกค้า” เทียมภพละสายตาจากไอแพดมาถามน้องสาวคนรอง
“ลูกค้ายกเลิกนัดไปแล้วค่ะ”
“งั้นวันนี้น้องพลูกลับกับสีผึ้งนะคะ เดี๋ยวบ่ายๆพี่จะให้น้าตาลไปรับที่มหา’ลัย” เขาหันมาบอกน้องสาวคนเล็กที่วันนี้หน้าตาออกจะสดใสและร่าเริงเป็นพิเศษ
            “ค่ะ” คนตัวเล็กรับคำสั้นๆแล้วดื่มนมอุ่นจนหมดแก้ว
            “เออนี่...สีผึ้ง พี่ว่าจะให้เราตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะแต่เห็นว่ากลับดึก” เทียมภพยื่นกล่องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆหุ้มหนังสีดำคล้ายกล่องเครื่องประดับให้น้องสาวคนรอง
            “เซอร์ไพร้ส์อะไรคะเนี่ย? วันเกิดผึ้งมันเลยไปตั้งนานแล้ว” ปลายเดือนถามด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย
            “ไม่ใช่ของขวัญวันเกิดซะหน่อย แต่เป็นรางวัลสำหรับน้องสาวคนขยันต่างหาก” เทียมภพบอกอย่างมีเลศนัยพร้อมกับยิ้มกว้าง แทนดาวมองด้วยความสนใจ
            “เอ๊ะ!...นี่มัน” ปลายเดือนเปิดกล่องดูก็พบว่าในนั้นเป็นกุญแจรถยนต์ ตรงหัวกุญแจประทับสัญลักษณ์โลโก้ปีกนกอินทรีย์
            “ของขวัญสำหรับคนเก่งและคนขยันของทวีกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดแห่งภูมิภาคเอเชีย” เทียมภพบีบไหล่น้องสาวคนรองพร้อมกับพยักพเยิดไปทางหน้าบ้าน แทนดาววิ่งออกไปก่อนใคร
            “ว้าว!...นี่มันรถของเจมส์ บอนด์” แทนดาวมองพาหนะสัญชาติอังกฤษสีแชมเปญใหม่เอี่ยมที่จอดเทียบอยู่หน้าบ้าน โลโก้รูปปีกนกอินทรีย์สะท้อนประกายกับแสงยามเช้า จำได้ว่ารถยนต์คันนี้เป็นพาหนะคู่ใจของตัวเอกจากภาพยนตร์ซีรีย์สายลับอันโด่งดัง
            “ขอบคุณค่ะพี่หมาก” ปลายเดือนที่เพิ่งตามออกมาเห็นของขวัญรีบยกมือไหว้พี่ชายด้วยความดีใจ
            “พี่เห็นว่าคันเก่าเราใช้มาหลายปีแล้ว จะเก็บไว้หรือขายต่อก็ตามใจนะ ไม่ต้องเอาเงินมาคืนพี่หรอก” เขากอดน้องสาวคนรองด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน
            “ผึ้งขอเก็บไว้เป็นตัวสำรองดีกว่าค่ะ มันยังใหม่อยู่เลย อีกอย่างพี่หมากก็เป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญเรียนจบปริญญาโท ผึ้งอยากเก็บไว้” ปลายเดือนบอกพี่ชายด้วยความซาบซึ้ง
            “เมื่อไหร่น้องพลูจะมีแบบนี้บ้าง?” แทนดาวที่ยังลูบคลำรถใหม่ไม่หยุดหันมาถามพี่ชายด้วยสายตาเว้าวอน
            “เราน่ะเหรอ...ไปกับพี่น่ะดีแล้ว ขืนปล่อยให้ขับรถเองมีหวังไม่ต้องทำอะไรนอกจากโทรเรียกประกันให้เราทั้งวัน” พี่ชายตอบพลางส่ายหน้า
            “หรือถ้าอยากได้จริงๆก็ต้องไปทำงานที่ทวีกิจแล้วก็สร้างผลงานดีๆแบบสีผึ้งนี่ พี่ถึงจะซื้อให้” ที่จริงจุดประสงค์ที่เขาซื้อรถใหม่ให้ปลายเดือนนั้นนอกจากจะเป็นรางวัลอย่างที่บอกแล้ว ยังต้องการให้น้องสาวคนเล็กเปลี่ยนใจอยากไปทำงานที่บริษัทด้วย
            “ไม่เอาหรอก...ถ้าต้องเป็นแบบนั้นน้องพลูยอมนั่งรถเมล์ดีกว่า” คนตัวเล็กตอบงอนๆก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปหยิบกระเป๋ากับตำราเรียน
            “ใครเค้าจะกล้าให้เธอขับรถ แค่ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้เลย” ปลายเดือนที่ชื่นชมของขวัญชิ้นใหม่จนพอใจแล้วก็เดินตามมาถากถางน้องสาว
            “ถึงน้องพลูจะไม่เก่งเรื่องงานแต่ก็มีพรสวรรค์อย่างอื่น สักวันนึงพลูจะต้องมีเหมือนพี่ผึ้ง” คนตัวเล็กบอกอย่างมั่นใจ ปลายเดือนหัวเราะเยาะ
            “จ้ะ...ฉันจะรอดูนะ ว่าแต่...วันนี้ให้พี่ขับรถใหม่ไปส่งมั้ย?” พี่สาวถามอย่างเยาะเย้ย
            “ไม่...พลูไปกับพี่หมากได้ เชิญพี่ผึ้งขับรถใหม่ไปอวดคนแถวสี่แยกไฟแดงเถอะ อ้อ...อย่าลืมถ่ายรูปลงเฟสบุ๊ค ไอจี ทวิตเตอร์ให้ครบล่ะ เค้าจะได้รู้กันทั่วว่าคุณปลายเดือน ทวีกิจไพศาลได้ของปลอบใจหรูหราชดเชยกับการอกหักรักคุดมานับครั้งไม่ถ้วน!” ปลายเดือนได้แต่ยืนอึ้งกับคำยอกย้อนของน้องสาวก่อนจะปล่อยเสียงกรี๊ดดังลั่น
            “เสียงยัยผึ้งร้องกรี๊ดทำไมน่ะ? เป็นอะไรหรือเปล่า?” เทียมภพได้ยินเสียงร้องแสบหูของน้องสาวคนรองดังลอดเข้ามาในรถจึงถามน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งก้าวขึ้นมา
            “อ๋อ...จิ้งจกน่ะค่ะ จิ้งจกมันตกใส่พี่ผึ้งพอดีก็เลยร้องกรี๊ด ไปกันเถอะค่ะเดี๋ยวสาย” แทนดาวตอบยิ้มๆปนสะใจเล็กๆที่แกล้งยั่วพี่สาวให้โกรธได้
            แทนดาววิ่งกระหืดกระหอบรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำแข่งกับเวลาที่ใกล้จะถึงหกโมงเย็นในอีกสิบนาที ไม่คิดว่าปริญญานิพนธ์ที่นำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาจะมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขหลายจุดจนต้องคุยนานกว่าเวลาที่กะไว้ ไม่มีเวลาที่จะขึ้นไปทักทายชลธีได้แต่ส่งไลน์บอกเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนว่ากำลังเดินทาง หญิงสาวฝากข้าวของอื่นๆนอกจากโน้ตเพลงกับโทรศัพท์มือถือไว้กับประชาสัมพันธ์แล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมานั่งประจำที่ด้วยความลุ้นระทึก แค่มาทำงานวันแรกก็สายไปห้านาทีเสียแล้ว
            “เธอมาสายนะ!” เสียงแหลมเจือความไม่พอใจดังมาจากปาลิดาที่ยืนกอดอกมองมาจากด้านข้างด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก
            “พลูไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามา” แทนดาวตอบสั้นๆแล้วรีบกางสมุดโน้ต วางตำแหน่งนิ้วมือบนคีย์อยู่ในท่าเตรียมพร้อม
            “นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง มาสายก็คือมาสาย ลูกปลามีหน้าที่จดบันทึกการมาทำงานของเธอแล้วก็คอยเฝ้าดูขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย” ปาลิดาลอยหน้าลอยตาพูดอย่างวางอำนาจ แทนดาวเม้มริมฝีกปากระงับความไม่พอใจ คิดว่าชลธีคงสั่งให้หล่อนมาตามจับผิด
            “เอาไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้พลูจะทำงานแล้ว ถ้าอยากฟังเพลงก็ไปนั่งให้เรียบร้อยแล้วกรุณาอย่าส่งเสียงรบกวนค่ะ” แทนดาวบอกเสียงห้วนและยิ้มเหี้ยมๆให้หนึ่งครั้งก่อนจะเริ่มบรรเลงตามตัวโน้ตอย่างชำนาญ ปาลิดาจึงเดินสะบัดออกไป ลูกค้าบางส่วนนั่งดื่มกันเบาๆ บ้างก็อ่านหนังสือ บางกลุ่มมาเป็นครอบใหญ่ พอเสียงเพลงดังขึ้นพวกนั้นก็มองดูด้วยความสนใจ สายตาหลายคู่จับจ้องที่สาวน้อยในเดรสปาดไหล่ผ้าซาตินสีครีม ผมยาวดำขลับปล่อยสยายเกือบจรดเอวคาดทับด้วยที่คาดผมรูปโบว์สีเดียวกับชุด ใบหน้าออกชมพูน้อยๆบรรจงเล่นเพลงอย่างตั้งใจ ริมฝีปากบางยิ้มให้คนดูเป็นระยะๆ
            ไม่ไกลกันนัก บุรุษหนุ่มร่างสูงเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมระบายรอยยิ้มบางๆยืนมองสาวน้อยที่กำลังเล่นเพลงอย่างเพลิดเพลินใจ สิ่งที่สะกดให้ดวงตาสีเหล็กจับจ้องอยู่ก็คือใบหน้าสวยฉาบไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ชลธีพยายามฝืนใจอย่างยิ่งยวดที่จะไม่สาวเท้าเข้าไปชมใกล้ๆเพราะระลึกว่านี่คือเวลางานของหล่อนอันไม่ควรจะไปเดินโฉบให้เสียสมาธิ
            เสียงปรบมือดังเบาๆเมื่อเพลงสุดท้ายของเบรคแรกจบลง แทนดาวลุกขึ้นย่อตัวเป็นการขอบคุณ มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรไปเล่าการทำงานวันแรกให้พี่ชายฟังแต่ก็หยุดไว้ก่อนเมื่อร่างสูงคุ้นตาเดินมาหยุดยืนข้างๆ
            “เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ยครับ?” ใบหน้าที่ดูบึ้งตึงเคร่งขรึมอยู่เสมอแย้มยิ้มน้อยๆเมื่อพูดกับสาวน้อยตรงหน้า ในมือของเขามีน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง
            “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ นั่งเล่นจะไปเหนื่อยได้ไง” คนตัวเล็กตอบขณะรับน้ำส้มที่อีกฝ่ายยื่นให้แล้วดื่มไปอึกหนึ่ง รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมชื่นใจทำให้รู้สึกดีขึ้น
            “ปรกติเวลาเย็นๆแบบนี้ลูกค้ายังไม่มากแต่วันนี้เยอะเป็นพิเศษ สงสัยหลายคนคงติดใจเสียงเพลงของน้องพลูเสียแล้ว” ชลธีชม สายตาไม่ละจากใบหน้างามของสาววัยดรุณี พยายามอดใจไม่เอื้อมมือไปจับผมยาวที่ระเรี่ยทั่วแผ่นหลัง
            “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณชลเลิกงานแล้วหรือคะ?” สาวน้อยถามกลับเพราะเห็นว่าเขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตไม่ได้สวมเสื้อนอกและผูกไทอย่างเวลาทำงานปรกติ
            “งานของพี่ไม่มีวันหยุด ว่าแต่...เวลาอยู่ที่นี่ไม่ต้องเรียกพี่เต็มยศก็ได้ ที่นี่ไม่ใช่ทวีกิจไม่มีใครดุหรอก พูดกับพี่เหมือนเดิมนะครับ” เขาบอกเสียงนุ่ม แทนดาวพยักหน้ารับ
            “แล้ววันนี้ใครมารับ?” เขาถามต่อ
            “พี่ผึ้งค่ะ อ้อ...ว่าแต่วันนี้น้องพลูขอโทษที่มาสายไปห้านาทีค่ะ ให้บัญชีหักเงินก็ได้น้องพลูไม่มีปัญหาหรอกค่ะ” หล่อนบอกเสียงอ่อยกลัวว่าเขาจะตำหนิ
            “หืม...พี่ไม่คิดมากกับเรื่องแค่นี้หรอก อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ” เขาบอกเมื่อเห็นสีหน้าเปื้อนยิ้มของสาวน้อยเจื่อนลง
            “ก็...เห็นพี่ชลให้ลูกปลาตามมาจับผิด เอ๊ย...ดูแลพลูขนาดนั้น” ชลธีรู้สึกตะหงิดๆกับคำบอกเล่าของสาวน้อย
            “พี่ไม่เคยบอกให้ใครตามมาควบคุมดูแลน้องพลูนะ ลูกปลาเค้าบอกว่าอย่างนั้นหรือ?” ชลธีถามด้วยความสงสัย เขาไม่เคยสั่งพนักงานคนไหนให้ไปวุ่นวายกับแทนดาว แต่พอเห็นสีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่ายก็พอเข้าใจอะไรรางๆ
            “อย่าถือสาเรื่องที่ลูกปลาพูดเลย รายนั้นก็เป็นอย่างนี้แหละ บางทีก็พูดจาเหลวไหลไปบ้าง น้องพลูมาทำงานที่นี่อย่างอิสระและพี่ก็เชื่อว่าน้องพลูมีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว”
            “ก็...น้องพลูเองกลัวว่าจะดูไม่ดี เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าน้องพลูใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นในฐานะที่เป็น...” คนตัวเล็กกระดากที่จะบอกว่าถือเป็นคู่หมั้นแล้วจะทำตัวอย่างไรก็ได้
            “ทุกคนที่นี่รู้ว่าน้องพลูเป็นใครและมาทำอะไร เชื่อพี่เถอะว่าไม่มีใครคิดในทางลบแบบนั้นหรอก” เขายิ้มอย่างให้กำลังใจ
            “งั้นน้องพลูเล่นต่อนะคะ อีกชั่วโมงเดียวเอง ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจัง รู้สึกว่าเพิ่งมานั่งได้แป๊บเดียวเอง” หญิงสาวบอกอย่างกระตือรือร้นจนคนฟังอดเอ็นดูกับกิริยานั้นไม่ได้ หล่อนดูเหมือนเด็กที่เห่อของเล่นชิ้นใหม่และพอใจที่จะง่วนอยู่กับมันนานๆ
            “เวลาที่เราได้ทำอะไรที่ใจรักหรืออยู่กับสิ่งที่เราชอบก็มักจะเพลิดเพลินจนลืมเวลา ดูสิ...คุยกับน้องพลูแป๊บๆก็ต้องก็ต้องกลับขึ้นไปอีกแล้ว เวลาแห่งความสุขมักจะหมดเร็วแบบนี้” คนพูดก็พูดเรื่อยๆเหมือนไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังกลับหน้าซับสีแดงเรื่อขึ้นมาเฉยๆ
            สาวน้อยคนเดิมนั่งเล่นเพลงต่อในชั่วโมงสุดท้าย ถ้าใครที่นั่งดูอยู่แต่แรกคงจะสังเกตเห็นว่าใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นออกสีแดงกว่าเมื่อชั่วโมงก่อนแถมเพลงชุดหลังก็ล้วนเป็นแนวหวานๆซึ้งๆทั้งนั้น เวลาดำเนินไปเรื่อยๆตามจำนวนลูกค้าที่สับเปลี่ยนหน้ากันไปจนมาถึงเพลงสุดท้าย ปลายนิ้วเรียวกดคีย์ของโน้ตตัวสุดท้ายจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆ มีนักดนตรีที่จะเล่นต่อรอบดึกมานั่งรออยู่แล้วแต่ว่ายังไม่เห็นปลายเดือนมา แทนดาวรีบเก็บสมุดโน้ตแล้วหันไปยกแก้วน้ำส้มที่เหลือครึ่งหนึ่งดื่มจนหมด ความหวานอมเปรี้ยวทำให้ติดใจอยากดื่มอีกแต่ไม่รู้ว่าชลธีไปเอามาจากไหน คนตัวเล็กจึงเดินไปที่บาร์แล้วสั่ง ‘น้ำส้ม’ ที่คิดว่าเป็นชนิดเดียวกันมาดื่มแก้กระหาย
            ชลธีมัวแต่ติดสายกับลูกค้าจากต่างประเทศพอเหลือบดูนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเลยเวลาที่แทนดาวเลิกงานมาสี่สิบนาทีแล้ว ไม่แน่ใจว่าปลายเดือนมารับกลับบ้านไปหรือยัง พอวางสายได้ก็รีบลงไปดูแต่ก็เห็นเพียงนักดนตรีเจ้าประจำที่กำลังเล่นเพลงอยู่ รู้สึกเสียดายที่ลงมาส่งไม่ทันแต่พอจะกลับขึ้นไปสายตาก็สังเกตเห็นสตรีในชุดสีขาวครีมดูคลับคล้ายคลับคลานั่งซุกตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งใกล้ๆบาร์ พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นแต่เส้นผมยาวปิดหน้าปิดตา บนโต๊ะมีแก้วคอกเทลเปล่าๆอยู่ห้าหกใบและยังมีขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขวดเล็กที่หมดเกลี้ยงเช่นกันวางอยู่ ชลธีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้ ‘ไม่ใช่’
            “พี่ชลจ๋า...ทำไมบ้านมันหมุนได้คะ? พี่ผึ้งมาหรือยัง?” ร่างที่นั่งซบอยู่บนโซฟาพนักสูงพูดกับเขาเสียงอ้อแอ้ ชลธีรีบถลาเข้าไปหา
            “นี่! น้องพลูทำอะไรเนี่ย ทำไมเป็นแบบนี้?” มือหนาปัดเส้นผมที่ระหน้าตาออกจนมองเห็นพวงแก้มแดงปลั่งจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ วูบหนึ่งเขารู้สึกโมโห
            “น้ำส้มพี่ชลกินแล้วบ้านหมุนได้ด้วยค่ะ เอิ้ก...” ร่างปวกเปียกส่งเสียงยานคางคุยด้วย ชลธีสบถในลำคอเบาๆแล้วมอง ‘เศษซาก’ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้หล่อนเมามายอยู่ตอนนี้ เดาว่าแทนดาวคงอยากกินน้ำส้มคั้นแต่มาสั่งผิดที่ก็เลยได้คอกเทลสีส้มมาแทน พอติดใจก็คงสั่งมาเพิ่มเรื่อยๆแล้วพอกึ่มได้ที่ก็คงเพิ่มดีกรีสั่งแบบขวดมาดื่ม
            “คดีความคราวที่แล้วเพิ่งจะจบไปไม่นาน นี่มีคดีใหม่อีกแล้วรึไอ้ชล” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะพยักหน้าเรียกพนักงานคนหนึ่งให้มาหา
            “ทำไมถึงปล่อยให้คุณแทนดาวดื่มขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครโทรบอกผม?” เขาตำหนิพนักงานหนุ่มคนนั้นที่ทำท่ากล้าๆกลัว
            “เราให้ฟร้อนท์โทรขึ้นไปแล้วแต่คุณชลไม่รับสายครับผม” พนักงานหนุ่มตอบกลัวๆ
            “ไปเอาผ้าเย็นมา” เขาสั่งเสียงเข้ม พนักงานคนเดิมรีบลนลานออกไปอย่างเร็วจี๋และกลับมาพร้อมกับซองผ้าเย็นในนาทีถัดมา
            “เฮ้อ...น้องพลู พี่จะเปลี่ยนใจไม่ให้เรามาทำงานยังจะทันมั้ยเนี่ย ดูซิ...ไม่รู้หรือไงว่าไอ้พวกนั้นมันไม่ใช่น้ำส้ม!” เขาพูดกับร่างบางที่ดิ้นไปดิ้นมาพยายามหลบความเย็นจากผ้าที่อีกฝ่ายกำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้
            “อื้อ! ไม่เอา” คนตัวเล็กปัดมือที่กำลังซับหน้าให้อย่างรำคาญ ชลธีต้องยึดมือทั้งสองข้างไว้มั่น ตอนนี้เพิ่งสังเกตว่าไม่ได้แดงเฉพาะหน้าแต่ว่าแดงทั้งไปทั้งตัว
            “น่ารักจัง...น้องพลูแดงไปทั้งตัวเหมือนลูกหนูตัวแดงๆเลยนะ” เขากระซิบบอกขณะจัดผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง สายตาอบอุ่นมองร่างน้อยๆที่ยังพูดไม่รู้เรื่องด้วยความรู้สึกหลายอย่าง โกรธก็โกรธที่ช่างสรรหาเรื่องปวดหัวมาให้ ขำก็ขำกับความไม่รู้ของหล่อนที่แยกระหว่างน้ำผลไม้กับเหล้าไม่ออก       
“สีผึ้งละทิ้งหน้าที่อีกแล้วใช่มั้ยนี่? ขืนพาเรากลับบ้านตอนนี้คงไม่ดีแน่” เขาบอกคนตัวเล็กที่ยกมือไขว่คว้าหาอะไรสักอย่างจนฉวยได้แขนกำยำข้างหนึ่งก็เอามากอดไว้เสียแน่น
            “อืม...เจ้าเปื่อย…” เสียงเล็กพูดกับท่อนแขนที่จินตนาการว่าเป็นตุ๊กตาตัวโปรดขณะที่คนตัวใหญ่ประคับประคองคนเมาเข้าลิฟท์ ชลธีต้องใช้แขนข้างหนึ่งยึดร่างโงนเงนไม่ให้ล้มหัวคะมำแต่ก็ไม่ถนัดนักเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ยุกยิกอยู่ไม่สุขเลยต้องเปลี่ยนมากอดเอาไว้แนบตัวให้ร่างเล็กได้ซบพิงกายแกร่ง พอออกจากลิฟท์แม่คุณก็ทำท่าว่าจะลงไปนอนบนพื้นเสียให้ได้
            “เดินดีๆสิน้องพลู” เขาพยายามจะประคองร่างปวกเปียกให้เดินตรงๆแต่คนตัวเล็กสะบัดมือข้างหนึ่งมากุมขมับ
“เดินม่ายด้าย...บ้านหมุน” คนตัวเล็กพูดเสียงยาน
            “งั้นก็ขอโทษเถอะนะ...ฮึบ” ชลธีตัดสินใจอุ้มคนตัวเล็กเพราะถ้าขืนปล่อยให้เดินเองคืนนี้ก็คงไม่ต้องไปไหนกัน เขาใช้ไหล่ดันประตูห้องทำงานให้เปิดออกอย่างยากลำบากเพราะต้องโอบอุ้มคนที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ตลอดเวลาเอาไว้ด้วย แม่สาวน้อยยังพยายามจะดิ้นรนก็เลยทำให้เสียหลักล้มลงไปบนโซฟาจนศีรษะของเขากระแทกกับขอบพนักพิงอย่างแรง ส่วนคนตัวเล็กก็ดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักกว้างเรียบร้อย
            “โอ๊ย!” เขาอุทานเบาๆด้วยความเจ็บแต่มือก็ต้องรัดตัวคนบนตักไม่ให้ตกลงไปที่พื้น
            “ทำไมต้องรุนแรงกันด้วย น้องพลูทำผิดอาราย...” คนตัวเล็กส่งเสียงอ้อแอ้ประท้วง
            “คนที่เจ็บตัวน่ะ...พี่ต่างหาก” เขาเอ็ดคนบนตักเบาๆขณะมองร่างอรชรอย่างอ่อนใจ แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรดี ลูกมือย่างปาลิดาก็กลับบ้านไปนานแล้วด้วย วงแขนแข็งแกร่งที่รัดแน่นคลายออกเล็กน้อยเมื่อแม่จอมดื้อหยุดดิ้นแล้ว สักครู่หนึ่งเปลือกตาบอบบางทั้งสองข้างก็ปรือขึ้นมอง แพขนตายาวกระพริบไหวช้าๆขณะที่มือเล็กยกขึ้นสัมผัสใบหน้าคมคาย
            “พี่ชลหล่อจัง...เหมือน ‘อิมราน อับบาส’ เลย” เขาไม่รู้จักชื่อที่หล่อนบอกหรอก แต่เดาว่าไม่พระเอกละครก็คงเป็นนักร้องชายที่ชื่นชอบ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสัมผัสอุ่นจัดจากมือนุ่มที่ลากไล้ไปตามใบหน้าและสันกรามจนทำให้เกิดรู้สึกบางอย่างอยู่ขณะนี้ เขาต้องรีบยุดมือที่ยังปะป่ายไม่หยุดแล้วจับมันวางลงที่เดิม
            “อย่าซนให้มากนัก นี่ถ้าเป็นน้องนุ่งล่ะจะตีให้เนื้อแตกเชียว แต่ว่า...อยู่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน...พี่ชอบ” เขาเอ็ดคนตัวเล็กที่ทำหน้ายุ่งเมื่อถูกขัดใจ แต่พอก้มลงมองร่างบนตักอย่างพิจารณาอีกครั้งก็ต้องพบว่า ชุดกระโปรงยาวครึ่งน่องรูดสูงขึ้นมาจนเลยเข่าเผยให้เห็นปลีน่องเรียวขาวสล้างที่โผล่พ้นออกมา ตัวเสื้อท่อนบนทรงไหล่ปาดก็ร่นลงจนเปิดเปลือยไหล่เนียนทั้งสองข้าง ยิ่งผนวกด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เลยทำให้ผิวพรรณทั้งใบหน้าลามมาถึงลำคอและลาดไหล่อมสีแดงระเรื่อน่ามอง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากอีกครั้งขณะมองเนินอกน้อยๆที่โผล่พ้นขอบบราเซียกำลังสะท้อนสะท้านขึ้นลงตามจังหวะหายใจ
            “พี่ชลขา...” เสียงหวานกระซิบเรียกชื่ออย่างอย่างออดอ้อนทำให้คนฟังหวั่นไหว
            “ขา...” เจ้าของชื่อกระซิบเสียงขานตอบอย่างอ่อนหวานเช่นกันก่อนจะไล้ปลายนิ้วเรียวไปตามกลีบปากแดงฉ่ำเบาๆราวสายลมพัดแผ่วผ่านกลีบดอกไม้ กลิ่นคอกเทลอ่อนๆลอยจางๆมาปะทะจมูกโด่งที่ก้มลงไปจนแทบจะแนบชิดใบหน้าเรียวที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมนุ่มดุจไหม ตอนนี้จิตใต้สำนึกของเขาเตลิดไปไกลมากแล้วขณะมองใบหน้าแดงซ่านที่ห่างกันไม่ถึงเซนต์ สุดจะทัดทานตนเองไม่ให้จินตนาการเลยเถิดว่าริมฝีปากบางดุจปีกผีเสื้อนี้จะหวานฉ่ำสักเพียงใด ลำคอระหงนี้จะหอมรัญจวนใจปานใด ไหล่เนียนนั้นจะนุ่มละมุนกรุ่นกลิ่นกายสาวขนาดไหน ชลธีกำลังต่อสู้กับจิตใจด้านมืดของตนเองอย่างหนัก
            “ใบพลูขา...สวยเหลือเกิน พี่ใกล้จะหมดความอดทนแล้วนะ ได้สติซะทีสิคะ...ก่อนที่พี่เองจะขาดสติ”
ใบหน้าคมสันก้มลงไปอีกนิดจนสัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆจากปลายจมูกเล็ก ปลายนิ้วที่ไล้อยู่แถวริมฝีปากค่อยๆลากเลื่อนลงมาที่ไหล่เนียน เพียงวินาทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับไออุ่นผะผ่าวจากผิวบอบบาง สติที่พยายามควบคุมก็ขาดผึงราวกับถูกตัดด้วยกรรไกรแห่งไฟปรารถนาเพื่อปลดปล่อยความเรียกร้องต้องการที่กดเก็บไว้ใต้จิตใจด้านมืด ปลายนิ้วแข็งแรงค่อยๆสอดเกี่ยวแขนเสื้อที่เลื่อนลงมาคล้องที่ต้นแขนกลมกลึงให้รูดต่ำลงไปอีก เสื้อคอปาดที่คว้านกว้างอยู่แล้วก็ยิ่งร่นลงมากขึ้นจนมาหมิ่นเหม่ที่ขอบบราเซียไร้สายพอดี เนินออกน้อยๆที่เบียดชิดในกรวยผ้าลูกไม้โผล่พ้นขึ้นมาแม้จะไม่มากมายแต่ก็ยิ่งยั่วยุอารมณ์ดิบให้ตื่นตัวพร้อมๆเลือดในกายที่เริ่มเดือดปุดๆ ชลธีกลั้นใจอยู่วินาทีเดียวก่อนจะกดจมูกที่แก้มแดงๆแรงๆแล้วรีบพลิกตัวลุกขึ้นปล่อยให้ร่างบางนอนคุดคู้อยู่บนโซฟายาวส่วนตัวเองรีบเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา
            “เกือบไปแล้วนะแก” เขามองตัวเองในกระจกแล้ววักน้ำลูบหน้าอีกสองครั้งก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่และอ่างใส่น้ำเตรียมจะมาเช็ดหน้าตาคนเมา ฝ่ามืออุ่นจัดเสื้อผ้าคนที่นอนไม่รู้เรื่องให้เข้าที่เข้าทางแล้วคลี่ผ้าขนหนูคลุมตัวให้อย่างมิดชิด จากนั้นก็ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งใกล้ๆพลางพิศดูใบหน้าแดงเข้มที่ยังคงปรือตามองมาเป็นพักๆเหมือนอยากจะลุกแต่ลุกไม่ไหว
            “ถ้าพี่หักห้ามใจไม่ได้ขึ้นมาจริงๆมันจะเป็นยังไง น้องพลูจะเกลียดพี่ไปจนตายหรือเปล่า?” เขากระซิบถามร่างบางที่หลับๆตื่นๆแล้วลองทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่ดูอีกที มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนที่ตัวเองจะทำอะไรเลวๆแบบนั้นกับสตรีที่นอนหลับอยู่ตรงหน้าถึงแม้โอกาสจะอำนวยหรือบรรยากาศจะเป็นใจอย่างไรก็ตาม การข่มแหงรังแกผู้หญิงที่ไม่เต็มใจนั้นมันมิใช่วิถีของลูกผู้ชาย ชายหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอกที่ความยับยั้งชั่งใจของตนเองมีอำนาจเหนืออารมณ์ดำฤษณา
            “คุณผึ้งบอกพนักงานที่ฟร้อนท์ให้พาขึ้นมาบนออฟฟิศผมได้เลยครับ” เขาโทรหาปลายเดือนซึ่งเจ้าตัวมาถึงโรงแรมแล้วและกำลังตามหาน้องสาวอยู่พอดี ชลธียิ้มให้ร่างบางแล้วเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาเกะกะใบหน้าสร้างความรำคาญให้คนนอนหลับจนต้องดิ้นปัดป่ายไปมา
            “ผึ้งไม่คิดว่ารถจะติดขนาดนี้เลยค่ะ เนี่ย...กลับดึกแบบนี้พี่หมากบ่นกระจายแน่เลย” ปลายเดือนยกมือปิดปากกลั้นเสียงที่อาจจะเผลอตะโกนออกมาเมื่อเห็นน้องสาวตัวเองในสภาพมึนเมาหน้าตาแดงก่ำไปหมดนอนงอก่องอขิงอยู่บนโซฟาโดยมีเพียงผ้าขนหนูคลุมกาย
            “ใบพลูดื่มคอกเทลเข้าไปหลายแก้วก็เลยอยู่ในสภาพที่เห็น” เขาสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วยคิดว่าหล่อนคงจะดุน้องอีกตามเคย แต่ผิดคาด...เป็นเขาเองที่ถูกเล่นงาน
            “นี่หมายความว่ายังไงกันคะ? คุณมอมเหล้ายัยพลูจนเมาแล้วลากขึ้นห้องแบบนี้เหรอ? ทำไมคุณทำกับน้องสาวผึ้งแบบนี้!” ปลายเดือนกระชากเสียงถามด้วยสีหน้าและแววตาที่อัดแน่นด้วยโทสะ ถึงอย่างไรแทนดาวก็เป็นน้องและสัญชาติญาณการปกป้องสายเลือดเดียวกันย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ชลธีอึ้งไม่คิดว่าปลายเดือนที่พูดจาอ่อนหวานด้วยทุกครั้งทำท่าเหมือนจะฉีกอกเขา
            “คุณผึ้งกำลังเข้าใจผิดนะครับ น้องพลูไปแอบดื่มคนเดียวระหว่างรอคุณผึ้งมารับ ผมลงไปเจอเธอตอนเมาแล้วก็เลยพาขึ้นมาพัก คุณผึ้งมาแล้วก็ดี...ช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้เธอหน่อย” เขาอธิบายด้วยใบหน้านิ่งเฉย ปลายเดือนสงบสติอารมณ์ก่อนจะชุบผ้าขนหนูผืนเล็กลงในอ่างบิดหมาดๆแล้วค่อยๆเช็ดตามใบหน้าและเนื้อตัวของน้องสาว ชลธีมองภาพนั้นนิดหนึ่งแล้วเดินออกมารอข้างนอก ใจก็ครุ่นคิดว่าสองพี่น้องที่ตอนแรกรู้สึกว่าไม่ค่อยจะลงรอยกันนักแต่เอาเข้าจริงก็แอบมีความเป็นห่วงเป็นใยซ่อนอยู่อย่างที่ปลายเดือนกำลังปฏิบัติอยู่ตอนนี้
            “ทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลแบบนี้นะยัยพลู นี่ถ้าไม่ได้คุณชลเธอจะเป็นยังไง” แม้ปากจะพร่ำบ่นแต่มือก็ยังคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ พอผิวกายสัมผัสความเย็นทั่วถึงแล้วคนที่นอนหลับตาก็สะลึมสะลือลืมตาขึ้น
            “พี่ผึ้งเหรอ เวียนหัวจัง...อยากอ้วกอ่ะ” คนตัวเล็กพยายามยันกายลุกขึ้นแล้วทำท่าพะอืดพะอม ปลายเดือนเห็นท่าไม่ดีก็ตะโกนเรียกชลธีให้มาช่วย
            “อย่าเพิ่งนะยัยพลู กลั้นไว้ก่อน! คุณชลคะ...มาช่วยหน่อยค่ะ” ปลายเดือนหิ้วปีกน้องสาวขึ้นมาก่อนจะส่งต่อให้ชายหนุ่มที่แข็งแรงกว่าช่วยประคองไปเข้าห้องน้ำ แต่ไปได้ถึงแค่หน้าประตูเท่านั้นสิ่งที่แทนดาวพยายามอดกลั้นไว้ก็ถูกขย้อนออกมารดเลอะเสื้อคนพยุงนั่นเอง
            “โอ้ก...” แทนดาวรีบวิ่งไปปล่อยที่เหลือในห้องน้ำ ชลธีทำหน้าไม่ถูก ที่อกเสื้อเลอะของเหลวสีส้มเป็นดวงกว้างกลิ่นเหล้าหวานรสส้มคละคลุ้ง ปลายเดือนอย่างสะอิดสะเอียน
 
            สองสาวกลับถึงบ้านตอนสามทุ่มครึ่ง แน่นอนว่าพี่ใหญ่อย่างเทียมภพโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่ว่าปลายเดือนจะอธิบายว่ารถติดอย่างไรก็ไม่ฟัง หนำซ้ำพอเห็นสภาพน้องสาวคนเล็กที่ยังไม่สร่างดีก็ยิ่งฉุนกึก
            “ทำไมถึงปล่อยให้น้องดื่มจนเมาขนาดนี้ ดูสภาพซิยังกับถูกรุมโทรมมา” เทียมภพต่อว่าน้องสาวคนรองที่ไม่ยอมดูแลแทนดาวให้ดี
            “ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าแม่น้องสาวตัวดีจะไปแอบดื่มเหล้า ผึ้งไปถึงก็เห็นเป็นแบบนี้แล้ว นี่ดีนะที่คุณชลไปเจอเข้าก่อน ไม่งั้นจะถูกใครลากไปไหนก็ไม่รู้” ปลายเดือนว่า
            “แล้วเรานี่นะ...ที่ไม่อยากปล่อยไปก็เพราะอย่างนี้ไง แล้วไอ้ชลมันมัวทำอะไรอยู่? มันไม่คิดจะลงมาดูแลหรือไงวะ!” คนอารมณ์เสียพาลดะไม่เลือก
            “พี่หมากหยุดหาเรื่องคนอื่นซะทีเถอะค่ะ ที่นั่น...คุณชลเค้าเป็นนายจ้างนะ จะมีเวลามาดูแลอะไรกันนักหนา อย่าลืมสิคะว่ายัยพลูไปทำงานที่นั่นกินเงินค่าจ้างเค้า ใครกันแน่ที่ประพฤติตัวแย่” ปลายเดือนเถียงเสียงเครียด
            “อีกอย่าง...ผึ้งไม่เอาด้วยแล้วนะ พี่หมากจะไปรับเองหรือจะให้น้าตาลไปก็แล้วแต่ แต่ผึ้งไม่ไปแล้วเด็ดขาด บอกตรงๆว่าอายเค้า ตอนหิ้วแม่นี่ออกมาคนเค้าเห็นกันทั่ว โชคดีที่มีแต่ลูกค้าต่างชาติ ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันมีหวังวันรุ่งขึ้นต้องมีซักฉบับเขียนข่าวแซวผึ้งว่ามีน้องสาวเป็นนางเมรีขี้เมาแน่ค่ะ” ปลายเดือนบอกโกรธๆพลางมองน้องสาวที่ยังนั่งโอนไปเอนมาบนเก้าอี้
            “ที่สำคัญ...ผึ้งไม่กล้าไปสู้หน้าคุณชลเค้าหรอกค่ะ ก็น้องสาวเรานี่นะ...รู้มั้ยว่าไปอาเจียนใส่เค้า! เลอะเทอะเหม็นคลุ้งเชียวแหละ ยี๋...นึกภาพแล้วผึ้งอยากจะอาเจียนตามเลยล่ะ” คนเล่าทำท่าสยดสยองก่อนจะตะบึงตะบอนออกไป เทียมภพมองน้องสาวคนเล็กแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
            “พี่จะทำยังไงกับเราดี พอห้ามก็หาว่าไปบังคับใจ พอปล่อยก็เป็นซะแบบนี้” เขาช้อนร่างน้องสาวขึ้นอุ้ม คนในอ้อมแขนปรือตามองพี่ชาย
            “พี่หมากขา...วันนี้สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณพี่หมากจริงๆที่ให้น้องพลูไปทำงาน” แทนดาวที่เพิ่งเริ่มมีสติพูดกับพี่ชาย เทียมภพจะโกรธต่อก็โกรธไม่ลง แม้หน้าตายังแดงเยิ้มจากแอลกอฮอล์แต่ประกายตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่เจ้าตัวบอก
            “หึ...ซัดไปขนาดนี้ก็ต้องมีความสุขสิแม่ตัวดี” เขาบอกน้องสาวอย่างหมั่นเขี้ยว อยากจะตีให้เนื้อเขียวกับความซุกซนจนได้เรื่อง
 
            เช้าวันรุ่งขึ้นแทนดาวที่สร่างเมาดีแล้วและกลับสู่สภาวะปรกติกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม โดนทั้งคุณพี่ คุณแม่ ละคุณย่า บ่นจนหูชาไปหมดแล้ว คงจะมีแต่คุณพ่อเท่านั้นที่เห็นเป็นเรื่องขำขันที่ลูกสาวแอบไปทำอะไรเซี้ยวแบบนั้น
            “แล้วเป็นไงลูก ที่นี้รู้หรือยังว่าดื่มแล้วมันเป็นยังไง อยากจะลองอีกมั้ย?” บิดาถามลูกสาวคนเล็กที่นั่งหน้างอขณะตักไข่ดาวเข้าปาก
            “ถ้ามีครั้งที่สองนะยัยพลู พี่จะตามไปตีให้ตัวลายเลยคอยดู มีอย่างที่ไหน...เป็นผู้หญิงกล้าเดินไปสั่งเหล้ามากิน” เทียมภพยังไม่เลิกบ่น
            “น้องพลูไม่ได้สั่งเหล้านะ บอกเค้าแล้วว่าเอาน้ำส้ม” คนทำผิดเถียง
            “บาร์เหล้าที่ไหนจะมีน้ำส้มขาย ยัยบ๊องเอ๊ย!” พี่ชายว่าพลางจิบกาแฟดำอึกสุดท้าย
            “นั่นสิ...น่าตีจริงๆนะน้องพลู ไม่ได้การแล้วล่ะ ต่อไปจะต้องให้แป๋มไปนั่งเฝ้า แม่คงไม่กล้าให้หนูอยู่คนเดียว” คุณดวงทิพย์ดุลูกสาว
            “น้องพลูไม่ใช่นักโทษนะคะคุณแม่ ทำไมต้องมีคนเฝ้าด้วยล่ะ” คนที่หน้างออยู่แล้วยิ่งหน้าง้ำลงไปอีกที่ทุกคนทำเหมือนตนเองเป็นเด็กเล็กๆที่ต้องมีพี่เลี้ยงติดตามไปทุกหนทุกแห่ง
            “ขืนไม่เฝ้าให้ดีเดี๋ยวเราก็ไปเมามายอาเจียนเลอะใส่ชาวบ้านเค้าอีก” ปลายเดือนที่เพิ่งตามมาสมทบทิ้งตัวลงนั่งข้างๆน้องสาวพลางมองหน้าอย่างเอาเรื่องที่เมื่อวานทำให้ตนขายหน้า
            “ฮ่าๆ สมน้ำหน้ามัน!” เทียมภพหัวเราะร่วนเมื่อนึกภาพชลธีที่เนื้อตัวเลอะเทอะ
            “มันไม่ตลกนะพี่หมาก!” ปลายเดือนดุพี่ชายเสียงเขียว          
            “เอาน่า...ทีหลังห้ามริดื่มของพวกนั้นอีกนะยัยพลู      เดี๋ยววันนี้พี่ไปรับเราเอง” เทียมภพตัดบทเพราะรู้สึกสงสารน้องที่นั่งหน้าจ๋อย
            “อ้อ...เมื่อวานหมออชิโทรมาหาพ่อ จะมาขออนุญาตให้น้องพลูไปเล่นเปียโนงานแต่งเพื่อนเค้าน่ะ หมากว่าไง?” คุณเที่ยงธรรมถามความเห็นบุตรชาย
            “ไม่ได้ครับ!” บุตรชายตอบทันทีทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์
            “อือ...น้องพลูอยากไป” คนตัวเล็กรีบแย้งทันที
            “พี่ไม่ให้ไป ทำงานที่เดียวก็พอแล้วไม่ต้องไปรับจ๊อบที่อื่นหรอก” เทียมภพดุน้องสาวที่เริ่มออกอาการงอแง เขาเคยพลาดที่ไว้ใจให้อชิตะเข้ามาใกล้ชิดน้องสาวในตอนแรกเพราะอีกฝ่ายมาดีไม่มีวี่แววว่าจะมาเกี้ยวพาคนของตัวเอง ประกอบกับหมอหนุ่มยังมีทีท่าสนอกสนใจรมณ์นลินเสียอีกก็เลยไม่คิดว่ารายนั้นจะมีแผนซ้อนแผนตีท้ายครัวที่ตนเองยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
            “แล้วมันเสียหายตรงไหนหรือเจ้าหมาก” คุณลำเภาที่นั่งฟังอยู่นานถามหลานชายคนโต
            “ก็ไอ้หมอ เอ๊ย..หมออชิตะทำไมต้องมาใช้ยัยพลูของผม เรียนก็ต้องเรียน งานก็มีทำอยู่แล้ว นักดนตรีมีเยอะแยะหาเอาไม่ยากเลย”
            “งานตรงกับวันอาทิตย์นะหมาก ให้น้องไปเถอะนะ” คุณเที่ยงธรรมช่วยโน้มน้าวอีกแรง
            “ไม่ครับพ่อ บอกเจ้าแว่นนั่นไปเลยว่าผมไม่อนุญาต แล้วถ้าเห็นไอ้นั่นมาที่นี่อีกล่ะก็...ผมจะจัดการคิดบัญชีย้อนหลัง!” เทียมภพเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความอาฆาต
เทียมภพมาส่งน้องสาวที่ The Prestige Thara ในตอนเย็น เขายังนัดเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่มาบอกข่าวดีเรื่องแต่งงานและจะเอาการ์ดมาแจก ระหว่างที่นั่งรอน้องสาวกับเพื่อนคนนั้นก็ถือโอกาสพูดคุยกับเปรมยุตาตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน
            “คุณยังสวยเหมือนเดิมเลยนะปราง” เทียมภพชมจากใจจริงขณะมองใบหน้างามผุดผ่องที่ครั้งหนึ่งเคยหลงรักจนคิดทรยศแย่งหล่อนมาจากเพื่อนรัก
            “หมากเล่นชมต่อหน้าแบบนี้ปรางจะเขินดีมั้ยเนี่ย” เปรมยุตากระเซ้า
            “ทำงานที่นี่เป็นไงบ้างครับ ‘เจ้านาย’ คุณใช้งานหนักหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้นจนเกือบจะเป็นห้วนพอเอ่ยถึงศัตรู
            “งานของปรางไม่หนักหนาอะไรหรอกค่ะแต่จุกจิกซะมากกว่า ว่าแต่หมากเถอะ...เมื่อไหร่จะมีข่าวดีซะที ปรางรอไปแย่งช่อดอกไม้เจ้าสาวอยู่นะ” เปรมยุตาถามทีเล่นทีจริง
            “อันที่จริง...ผมก็อยากมีครอบครัวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆมั่ง แต่ผมกลัวเหลือเกินปราง...ผมกลัวเจ็บจนไม่กล้าที่จะเปิดใจกับใครอีก” เขาเลื่อนมือไปจับกุมมือบางเอาไว้กระชับ นัยน์ตาสีนิลเจือความหม่นหมองจางๆ เสี้ยวหนึ่งก็พาลนึกถึงวงหน้าเกลี้ยงเกลาที่มิได้สวยจัดเทียบเท่าสตรีตรงหน้าแต่ทำให้อบอุ่นและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอ เปรมยุตาเข้าใจในความกลัวของเพื่อนคนนี้ดีแต่ก็ทำได้เพียงบีบมือหนานั้นอย่างให้กำลังใจ
            แทนดาวเดินมาหาพี่ชายช่วงพักเบรกแรกแต่แล้วก็ต้องหลบอยู่หลังรูปปั้นเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังคุยอยู่กับเปรมยุตา หล่อนมองมือของพี่ชายที่กอบกุมมือของสตรีคนนั้นด้วยความสงสัยอย่างหนัก จะว่าพี่ชายกำลังทำเจ้าชู้ใส่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่เพราะดูเหมือนคนกำลังปรับทุกข์กันมากกว่า จากข้อมูลที่มีก็รู้เพียงแต่ว่าทั้งคู่รวมถึงชลธีเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน ถ้าเป็นชลธียังพอรู้ความเป็นมาว่าเคยคบหากันมาก่อน แต่ยังมีคำถามในใจที่ว่าทำไมพี่ชายถึงปฏิบัติกับเปรมยุตาพิเศษกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆที่หล่อนเคยรู้จัก
            “น้ำส้มเย็นๆครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังทำให้คนที่กำลังใช้ความคิดสะดุ้งตกใจจนเผลออุทาน
            “อุ๊ย! น้องพลูไปห้องน้ำก่อนนะคะ” พอหันไปมองต้นเสียงก็ปรากฏร่างสูงของบุรุษหน้าเข้มไร้รอยยิ้มยืนอยู่ ในมือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำส้มคั้นเย็นเฉียบจนมีไอน้ำเกาะพราว
            “ทำไมต้องหลบหน้าพี่ด้วย?” ชลธีถามเสียงเครียดพอเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่หลบเลี่ยงไม่ยอมคุยด้วย ไม่อ่านไลน์ ไม่รับโทรศัพท์ ขนาดเจอหน้ากันก็ยังหนี
            “ก็...น้องพลูกลัวพี่ชลโกรธเรื่องเมื่อวานแล้วก็อายด้วยที่...อาเจียนใส่พี่ชลค่ะ” แทนดาวสารภาพเสียงหงอยๆแล้วรีบหลบสายตาคาดคั้นที่ทอดมองมา ชลธีหัวเราะหึหึในลำคอ
            “โธ่เอ๊ย...นึกว่าเรื่องอะไร เฮ้อ...เมื่อคืนเด็กคนนึงอยากลองของ เป็นไงล่ะ? หายคอแห้งมั้ย?” เขาล้อเรื่องเมื่อคืนจนอีกฝ่ายก้มหน้างุดกว่าเดิม
            “ก็น้องพลูไม่รู้นี่คะ ตอนดื่มไม่ได้กลิ่นเหล้าเลยนี่นา” คนตัวเล็กแก้ตัวอุบอิบ ชลธีแตะข้อศอกคนที่ยืนคอตกให้นั่งลงด้วยกัน
            “นี่ต่างหาก...น้ำส้มต้องแบบนี้ ถ้าอยากดื่มก็บอกพนักงานที่ฟร้อนท์ก็ได้หรือจะเดินเข้าไปสั่งในคาเฟ่ก็ได้ ตรงนี้น่ะ...ขายแต่เหล้า” เขาเน้นย้ำประโยคสุดท้ายขณะยื่นแก้วน้ำส้มให้
            “ค่ะ” คนตัวเล็กดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว
            “อ้อ...วันนี้เสร็จแล้วอยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ” ชลธีบอกพลางมองสาวน้อยที่นั่งหมุนแก้วเปล่าเล่น วันนี้แทนดาวสวมชุดสีฟ้าฉลุลายลูกไม้เหมือนวันที่ไปออดิชั่น ผมยาวรวบครึ่งศีรษะปล่อยผมที่เหลือพาดไขว้บนบ่าข้างหนึ่ง พวงแก้มอมสีชมพูเรื่ออย่างปรกติ มันทำให้เขานึกถึงลูกหนูแทนดาวตัวแดงๆเมื่อคืนแล้วใจก็เริ่มเต้นตึกตัก
            “วันนี้พี่หมากมาด้วยค่ะ คงไม่ได้หรอก” คนตัวเล็กตอบ
            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? พี่ชายเราก็ต้องอยู่กินข้าวด้วยเหมือนกัน” เขาตอบตายิ้มแต่ก็ไม่ยอมอธิบายอะไรให้กระจ่างกว่านี้
พอเลิกงานแทนดาวก็ได้คำตอบว่าทำไมเทียมภพถึงอยู่ร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ถูกกันอย่างแรง วันนี้ทั้งคู่รวมถึงเปรมยุตาต่างก็มีนัดกับเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนมัธยมที่พาว่าที่เจ้าสาวมาเปิดตัวและแจกการ์ดงานแต่งในคราวเดียวกัน
            “ไม่เจอพวกแกเกือบยี่สิบปี แก่ไปบานเลยนะ” เพื่อนเก่าชื่ออิศทักทายอย่างเป็นกันเอง
            “ทั้งรุ่นก็เหลือแต่แกสองคนนั่นแหละที่ยังไม่ยอมสละคาน จะโสดกันไปอีกนานจนลูกฉันบวชเลยหรือเปล่า?” อิศคนเดิมยังคงแซวเพื่อนๆอย่างอารมณ์ดี
            “ถ้าฉันได้เจอคุณหมอแป้งก่อนนะ...แกไม่มีทางมานั่งเยาะเย้ยกันแบบนี้กรอก โธ่...” เทียมภพแซวกลับพร้อมทั้งขยิบตาให้ว่าที่เจ้าสาวของเพื่อน ทั้งหมดหัวเราะให้กัน
            “ก็เหมือนกัน...ถ้าฉันรู้ว่าน้องใบพลูโตขึ้นมาแล้วจะสวยขนาดนี้นะ ฉันขอหมั้นไว้ตั้งกะตอนสามขวบแล้ว” อิศแกล้งแซวกลับบ้าง เทียมภพรีบทำหน้าบึ้งส่งเสียงกระแอมกระไอ
            “อะแฮ่มๆ แกแต่งงานกับหมอแป้งน่ะเหมาะแล้ว เกิดไปทำอะไรนอกลู่นอกทางคุณหมอจะได้จับฉีดยาชา” เทียมภพว่าพลางโอบบ่าน้องสาวอย่างหวงแหน แทนดาวยิ้มกว้างที่โดนแซวขณะที่สองมือก็พยายามกดมีดตัดชิ้นสเต็กที่เหนียวหนึบแต่ก็ไม่สำเร็จง่ายๆจนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามต้องเอื้อมมือมาช่วยตัดให้ เทียมภพมองอย่างไม่พอใจแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรเพราะไม่อยากให้บุคคลที่สามอย่างอิศรับรู้เรื่องราวบาดหมางที่เกิดขึ้น
            “จะว่าไปนะ พวกเราคิดว่าจะได้ไปงานแต่งคู่ไอ้ชลกับปรางก่อนใคร เห็นรักกันมาหลายปีดีดัก เสียดายว่ะ...ไม่งั้นป่านนี้มีลูกเป็นโขยงแล้ว” อิศพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรแต่ทั้งโต๊ะก็เงียบกริบจนว่าที่เจ้าสาวต้องสะกิดเตือน
            “เอ้อ...ล้อเล่นนะ ยังไงเราก็เพื่อนกัน ว่าแต่พวกแกห้ามพลาดงานนี้นะโว้ย รวมรุ่นครั้งใหญ่เลยล่ะ” เพื่อนขี้เล่นแก้สถานการณ์อึดอัดได้ในที่สุด
            “น่าสนุกจัง ปรางอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆซะแล้ว คิดถึงเพื่อนๆ” เปรมยุตาพูดบ้าง สีหน้าและน้ำเสียงยิ้มแย้มแจ่มใสบดบังความอึดอัดในใจจนมิด
            “อ้อ...ดิฉันมีเรื่องจะถาม ไม่แน่ใจว่าคุณเทียมภพรู้จักกับคุณหมออชิตะมั้ยคะ? พอดีเราทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน หมออชิบอกว่าน้องสาวคุณเทียมภพเล่นเปียโนได้ ดิฉันเลยอยากขออนุญาตให้น้องไปเล่นในงานแต่งของเราจะได้มั้ยคะ?” ว่าที่เจ้าสาวเอ่ยปากขอเทียมภพที่ถือส้อมจิ้มชิ้นเนื้อค้าง ชลธีเองก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
            “คุณหมอแป้งเป็นเพื่อนหมออชิตะเหรอครับ?” เขาถามด้วยความงงสุดขีด อะไรจะโลกกลมขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นที่บิดาบอกเมื่อเช้าว่าอชิตะมาชวนแทนดาวไปเล่นเปียโนในงานแต่งเพื่อน เพื่อนคนนั้นคือหมอแป้งว่าที่เจ้าสาวของอิศน่ะหรือ
            “ค่ะ บังเอิญจังที่ทั้งหมออชิกับคุณอิศต่างก็รู้จักมักจี่คุณเทียมภพ” คุณหมอคนสวยพูดยิ้มๆ
            “เอ่อ...” เทียมภพอึกอัก ก็เมื่อเช้าประกาศลั่นว่าไม่ให้ไปแต่ว่าตอนนี้ว่าที่เจ้าสาวมาพูดเองเลยยากที่จะปฏิเสธ
            “น่า...แกก็ไปด้วย ช่วยเพื่อนหน่อยนะ ว่าไงจ๊ะใบพลู? พี่อิศจะให้ค่าขนมด้วยนะ” อิศถามน้องสาวเพื่อนที่พยักหน้ารัวๆด้วยความเต็มใจ
            “เป็นอันว่าตกลงนะคะคุณเทียมภพ” หมอแป้งถามย้ำอีกครั้ง
“ครับ” เขาจำยอมรับปาก ได้แต่อาฆาตในใจที่พลาดท่าหมอแว่นจอมวางแผนเป็นหนที่สอง
“ฮึ่ย...ไอ้หมอนั่นมันต้องเป็นแฟนพันแท้โคนันชัวร์ รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกะไอ้อิศ พอชวนไม่สำเร็จเลยให้หมอแป้งมาพูดแทน!”
           
            รมณ์นลินวิ่งซอยเท้าออกมาจากห้องน้ำมารับโทรศัพท์ที่ส่งเสียงกรีดร้องเป็นรอบที่สาม นึกตำหนิคนโทรอยู่ในใจว่าควรจะรู้มารยาทว่าไม่ควรโทรย้ำหลายครั้งถ้าไม่มีใครรับสาย เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเทียมภพนั่นเองที่โทรมาสามสี่รอบ
            “คุณหมากมีอะไรคะ?”
            “รับช้าจริงนะแม่คุณ ติดแชทอยู่กับใครไม่ทราบ!” เสียงปลายสายถามอย่างไม่สบอารมณ์
            “แฟงกำลังอาบน้ำอยู่ นี่ก็ต้องรีบออกมาเพราะคุณนี่แหละ” รมณ์นลินสวนโกรธๆ
            “อ๋อ...โป๊อยู่ล่ะสิ? นึกภาพหุ่นทรงไม้บรรทัดออกเลยล่ะ ตรง เรียบเสมอต้นเสมอปลายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง” เทียมภพแกล้งแหย่
            “ทะลึ่ง!เดี๋ยวนี้คิดแผนหาเรื่องอะไรไม่ออกแล้วเหรอถึงต้องทำตัวเป็นพวกโรคจิตโทรมาก่อกวนชาวบ้าน” รมณ์นลินว่าให้และได้ยินเสียงหัวเราะพรืดจากคนปลายสาย
            “เข้าเรื่องดีกว่า วันอาทิตย์นี้ว่างเปล่า?” เทียมภพที่หยอกจนพอใจแล้ววกเข้าประเด็น
            “มีสอนถึงบ่ายสามค่ะ มีอะไรเหรอคะ?”
            “เพื่อนผมมันจะแต่งงาน ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
            “อ้าว...เพื่อนคุณแต่งงานคุณก็ไปสิคะ เกี่ยวอะไรกับแฟงล่ะ” คนถูกชวนงงที่อยู่ดีๆก็มาชวน
            “เกี่ยวสิ...ก็ผมชวนคุณไปเป็นเพื่อนอยู่นี่ไง ยัยพลูก็ไปนะ แกต้องไปเล่นเปียโนที่งาน”
            “ไม่ดีกว่าค่ะ แฟงไม่รู้จักกับเพื่อนคุณหมากคนนี้ซะหน่อย”
            “โอเค...หกโมงเย็นวันอาทิตย์ผมจะไปรับคุณที่บ้าน”
            “เอ๊ะ!...เดี๋ยวก่อนสิคะ แฟงยังไม่ได้รับปากว่าจะไปเลยนะ” รมณ์นลินท้วงที่จู่ๆเขาก็ทึกทักว่าจะมารับทั้งที่ไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลย
            “ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณอยากหรือไม่อยากไป แต่เย็นวันอาทิตย์ผมไปรับที่บ้านแล้วต้องเจอคุณแต่งตัวสวยๆและไปกับผม” เทียมภพรวบรัดตัดความทิ้งให้คนปลายสายถือโทรศัพท์ค้าง
            พอถึงวันอาทิตย์เทียมภพก็จัดแจงไปรับรมณ์นลินที่บ้านอย่างที่บอก เขาให้น้องสาวโทรไปย้ำอีกครั้งจนแน่ใจว่าฝ่ายนั้นไม่ปฏิเสธ รมณ์นลินแต่งตัวสวยตามที่เขาสั่งไว้จนคนมองใจแกว่ง ส่วนกองเชียร์ที่นั่งมาด้วยมองพี่ชายอย่างรู้ทัน
            “วันนี้คุณครูของเราสวยสะเด็ดเลยนะเนี่ย” เขาชมร่างระหงในชุดสีชมพูอ่อนที่กำลังเดินมาแล้วรีบลงไปเปิดประตูรถรอ
            “น้องพลูชมว่าคุณสวยแน่ะ” เขากระซิบบอกนัยน์ตาพราวขณะมองคนตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ คนถูกชมอายนิดๆแต่ก็ไม่ว่าอะไรแล้วจู่ๆคนตัวเล็กก็เปิดประตูพรวดพราดลงมา
            “คือ...แต่งตัวเต็มยศแบบนี้นั่งข้างหน้าไม่ค่อยสบายตัวเลยค่ะ น้องพลูไปนั่งข้างหลังแทนก็แล้วกันนะคะ...กว้างดี” แทนดาวรีบแทรกตัวไปนั่งตรงเบาะหลังแล้วรีบปิดประตู เทียมภพมองน้องสาวอย่างคาดโทษที่รู้ทันไปเสียทุกอย่าง
            “ไอ้พี่คุณมันไปแล้วเหรอ?” เขาอดถามถึงเพื่อนเคยสนิทไม่ได้
            “พี่ชลไปช่วยแห่ขันหมากตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” รมณ์นลินตอบไม่เต็มเสียงนักเพราะเมื่อวานมีเรื่องทะเลาะกันนิดหน่อยเนื่องจากพี่ชายโกรธที่รู้ว่าตนจะไปงานกับเทียมภพ
            “พี่แฟงสวยมากเลยค่ะ พี่หมากยังชมเลยตอนอยู่บนรถเมื่อกี้” เทียมภพมองกระจกหลังทำตาดุใส่น้องสาวที่ยิ้มร่า ส่วนรมณ์นลินหน้าแดงแล้วแดงอีกด้วยความขวยอาย
            “เพ้อเจ้อน่ายัยพลู พี่พูดเล่น” คนพูดเล่นแก้เก้อด้วยการเปิดเพลงกลบเกลื่อน
           
            งานฉลองสมรสจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา เจ้าบ่าวเจ้าสาวสวยหล่อตามท้องเรื่องกำลังยืนต้อนรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จริงอย่างที่อิศบอกว่างานนี้เป็นการรวมรุ่นครั้งใหญ่ คนที่มางานส่วนหนึ่งก็รู้จักกันหมดเลยได้ยินเสียงพูดคุยอย่างเป็นกันเองตามประสาเพื่อนอยู่ทั่วไป เทียมภพจูงมือน้องสาวเข้างานมาได้แป๊บเดียวก็มีเพื่อนเจ้าสาวที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลแทนดาวพาตัวไปยังเวทีที่จัดไว้ตรงริมน้ำด้านหนึ่ง
            “มาสิ...เดินใกล้ๆผม แต่งตัวสวยมาทั้งทีก็ต้องมีหนุ่มๆควงด้วย” เขามองสตรีในชุดสีชมพูอ่อนที่ตามมาอยู่ห่างๆแล้วยื่นมือให้
            “คุณแค่พูดเล่นไม่ใช่เหรอคะ” รมณ์นลินประชด
            “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ วันนี้คุณสวยจริงๆ มาเถอะ...ผมจะพาคุณไปแนะนำให้เพื่อนๆรู้จัก” เทียมภพขยับเข้าไปใกล้อีกจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแล้วกระซิบให้ได้ยินกันสองคน รมณ์นลินที่ยังไม่เชื่อหูตัวเองยืนนิ่งจนมือหนานั้นเอื้อมมาจับมือเย็นชื้นของหล่อนไว้
            “คุณจะบอกกับเพื่อนว่าแฟงเป็นใครเหรอคะ?” อดถามไม่ได้ขณะที่ยอมให้เขาจูงมือเดินไป
            “ครูสอนเปียโนของน้องสาว” เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อกระซิบตอบคนช่างสงสัยแล้วพาเดินต่อทันทีจนไม่ทันเห็นสีหน้าบูดบึ้งของคนรอฟังคำตอบ
เทียมภพยังคงเฮฮากับเพื่อนฝูงตามประสาแต่ก็คอยชำเลืองมองน้องสาวอยู่เป็นระยะ มืออุ่นยังคงจับจูงมือบางของรมณ์นลินไม่ยอมปล่อย เพื่อนๆของเขาเยอะแยะจนจำไม่หมดว่าใครเป็นใคร แต่ไอ้ที่ทำให้หัวใจดวงน้อยลิงโลดแทบจะหลุดออกมาเต้นระบำก็คือเทียมภพมิได้บอกเพื่อนๆว่าหล่อนเป็น ‘ครูสอนเปียโนของน้องสาว’ อย่างที่พูดไว้ตอนแรก
            “พาแฟนมาเปิดตัวเหรอไอ้หมาก”
            “อืม...”
            “มีข่าวดีเมื่อไหร่บอกกันด้วยนะโว้ย”
            “ใจเย็นสิวะ รอลูกมึงคลอดก่อน”
            บทเพลงรักหวานซึ้งบรรเลงขับกล่อมแขกในงานที่กำลังนั่งพูดคุยกันและรับประทานอาหารก่อนพิธีการจะเริ่ม สายตาหลายคู่จับจ้องที่สตรีแรกรุ่นเจ้าของใบหน้างดงามที่กำลังกดคีย์เปียโนอย่างตั้งใจพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนหวานจับจิตที่โปรยปรายให้ผู้ชม หลายคนที่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของเจ้าบ่าวก็จะรู้ว่าสาวน้อยในเดรสเกาะอกสีชมพูหวานนี้เป็นน้องสาวของเทียมภพ พอจบเพลงที่สิบแทนดาวก็หยุดพัก อชิตะที่นั่งดูอยู่นานแล้วรีบเข้าไปช่วยประคองพาคนตัวเล็กก้าวลงจากเวทียกพื้นไม่สูงนัก
            “ขอบคุณค่ะ”
“หิวมั้ยครับ?” หมอนุ่มถามเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มละมุนตามแบบฉบับ แววตาหลังกรอบแว่นยังไม่ละไปจากใบหน้างามพิศุทธิ์
            “ไม่หรอกค่ะ มีเพื่อนคุณหมอแป้งเอาของว่างให้ทานก่อนขึ้นเวทีแล้วค่ะ เอ..เห็นพี่หมากมั้ยคะ?” คนตัวเล็กถามหาพี่ชาย
            “อยู่นั่นไง...อยากไปหามั้ย?” หมอหนุ่มชี้ไปยังเทียมภพที่เดินจูงมือครูสาวโฉบไปโฉบมาอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน
            “ไม่ต้องค่ะ พี่อชิอย่าเข้าไปขัดจังหวะเชียวนะ วันนี้พี่หมากพาพี่แฟงมาเอง บอกแล้วว่าอย่าจีบพี่แฟงแข่งกับพี่ชายน้องพลูเลย...จะเหนื่อยเปล่า” แทนดาวกระหยิ่มยิ้มย่อง
            “พี่ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ แล้วก็ไม่ได้จีบคุณแฟงแข่งกับพี่ชายน้องพลู บอกกี่ครั้งถึงจะเชื่อเนี่ย” เขาถามสาวน้อยอย่างเอ็นดูกับอาการ ‘กันท่า’ กลัวว่าตนจะไปแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกับพี่ชาย
            “วันนี้น้องพลูสวยจัง เล่นเพลงก็เพราะ ใครได้เป็นแฟนคงโชคดีมากๆแต่มีพี่ชายหวงขนาดนี้...จะจีบยังไงดี” เป็นครั้งแรกที่อชิตะพูดอะไรทำนองนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของชลธีขึ้นมาได้
“หมออชิไม่ได้ชอบยัยแฟง เค้าชอบน้องพลูต่างหาก”
“น้องพลูไปก่อนนะคะ อีกห้าเพลงก็เสร็จแล้ว” แทนดาวเพียงยิ้มรับแล้วกลับขึ้นเวทีไป
            ตรงมุมหนึ่งไม่ไกลกันนัก ชลธีที่ยืนถือแก้วบรรจุน้ำเมาสีอำพันกระดกแก้วดื่มรวดเดียวหมด มิใช่เพียงเทียมภพคนเดียวที่ต้องยอมรับในความเหนือชั้นของอชิตะที่วางแผนเข้าหาแทนดาวได้ดีมาก นัยน์ตาสีเหล็กดูแข็งกร้าวราวกับกำลังโกรธเกรี้ยวขณะจับจ้องไปที่หนุ่มแว่นคนนั้น เขาเพียงแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า หลังจากค่ำคืนนี้ไป...อชิตะจะไม่มีวันได้เข้าใกล้แทนดาวอีก ไม่ใช่แค่หมอแว่นคนเดียวหรอก...ผู้ชายทั้งโลกก็หมดสิทธ์!
 
            บทเพลงบรรเลงขับกล่อมผู้คนเรื่อยๆจนมาถึงเพลงสุดท้าย บริกรคนหนึ่งยื่นกระดาษโน้ตเล็กๆที่แนบมากับดอกทิวลิปสีชมพูน่ารักให้แทนดาว ข้อความในกระดาษระบุชื่อเพลงที่เคยโด่งดังเมื่อยี่สิบปีมาแล้วแต่ยังคงติดตรึงใจและมักจะได้ยินในงานมงคลสมรสแบบนี้ แทนดาวยิ้มให้กับกระดาษโน้ตขอเพลงที่เดาว่าคงเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวขอเพลงนี้ให้คู่สมรสหมาดๆ มือเล็กจิ้มแท็บเล็ตคู่ใจค้นหาคอร์ดเพลง ‘รักเธอผู้เดียว’ ของนักร้องที่ชื่อวิฑูร ศิลาอ่อน
 
เนิ่น..นาน ผ่านฟ้าและทะเล..กว้างใหญ่ ผ่านฤดูดินแดน..กว้างไกล แต่ความรักนั้น..มั่นคง
เธอ..กับฉัน ให้รักและให้ความ..ซื่อตรง พายุหรือฝนมา..ไม่หวั่น มีเธอและมีฉัน..นิรันดร์
ไม่คิดว่ารักจะดีอย่างนี้ ไม่คิดว่าฝันจะเป็นไปได้ วันนับวันฉันเฝ้าแต่รอ
เมื่อเห็นหน้าเธอฉันจึงเป็นสุข อยู่ในหัวใจ...รักเธอผู้เดียว จะนานเท่าไร...รักเธอผู้เดียว
 
            แทนดาวรู้สึกว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นี้ช่างไพเราะเหลือเกิน แม้จะเคยได้ยินผ่านหูบ่อยๆแต่ก็มิได้ซาบซึ้งถึงเนื้อหาและท่วงทำนองได้เท่าวันนี้ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศงานแต่งงานแสนหวานริมแม่น้ำยามค่ำคืนหรือจะเป็นเพราะบุรุษร่างสูงเจ้าของใบหน้านิ่งเฉยที่ยืนมองมาจากตรงนั้น หล่อนแอบเห็นเขาชูแก้วเครื่องดื่มขึ้นเมื่อเพลงจบลง
            เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับสาวน้อยที่ก้าวลงจากเวทีแทนที่ด้วยเจ้าบ่าวเจ้าสาวเมื่อช่วงพิธีการกำลังจะเริ่มขึ้น เทียมภพพาน้องสาวไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ได้ยินเสียงชมเปาะไม่ขาดจนเจ้าตัวยิ้มแก้มแทบปริด้วยความปลื้ม เพียงครึ่งชั่วโมงพิธีการก็เสร็จสิ้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน แขกบางส่วนยังนั่งฟังเพลงจากนักดนตรีที่เจ้าภาพจ้างมา เทียมภพที่ดื่มไปหลายแก้วตั้งแต่มาถึงเริ่มออกอาการเมาระยะที่หนึ่ง รมณ์นลินถูกพี่ชายมาลากตัวไปในที่สุด
            “ที่พี่ยอมแฟงวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าพี่เต็มใจให้มากับมันนะ” ชลธีพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
            “แฟงขอโทษค่ะ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายนี่คะ พี่ชลไม่ไว้ใจแฟงเหรอคะ?”
            “ไอ้นั่นต่างหากที่พี่ไม่ไว้ใจ” เขาบุ้ยใบ้ไปทาง ‘ไอ้นั่น’ ที่ส่งเสียงคุยเฮฮากับผองเพื่อน
“แต่ที่ยอมก็เพราะว่ามันเป็นความสุขของแฟง...พี่เข้าใจ อีกอย่างพี่ก็มางานนี้ด้วยก็เลยไม่ห่วง แต่ขากลับต้องกลับกับพี่นะ เมาขนาดนั้นพี่ไม่ไว้ใจให้มันไปส่งเราหรอก” เขาบอกน้องสาว
            “แล้วนี่พี่ชลจะกลับหรือยังคะ? คืนนี้นอนที่บ้านมั้ย?”
            “ยังหรอก...พี่ยังไม่เสร็จธุระ รอพี่สักพักนึงนะ” เขาไม่บอกน้องสาวว่ามีธุระอะไรได้แต่อมยิ้มก่อนจะเดินไปหาสาวน้อยแสนสวยผู้ซึ่งกำลังเพลินกับการถ่ายรูปเซลฟี่อย่างสนุกสนาน
            “พี่ถ่ายให้มั้ยครับ?” แทนดาวรีบหยุดกิจกรรมถ่ายรูปตัวเองเมื่อเขามาอยู่ตรงหน้า
            “ถ่ายไปเยอะแล้วล่ะค่ะ ที่นี่สวยจังเลย บรรยากาศริมน้ำแบบนี้โรแมนติกมากๆเลย” แทนดาวบอกอย่างประทับใจ
            “มีอีกที่นึงสวยกว่าตรงนี้อีก อยากไปดูมั้ย?” เขาชวน แทนดาวพยักหน้าอย่างสนใจแล้วตามเขาขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้
            “ร้านอาหารหรือคะ?” สาวน้อยถามเมื่อเขาพามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารกึ่งผับบนชั้นสูงสุด ชลธีแจ้งชื่อกับรีเซฟชั่นด้านหน้าแล้วเดินตามบริกรสาวไปยังเทอเรซด้านนอก พอก้าวผ่านประตูกระจกออกมาก็รู้สึกถึงสายลมเย็นเอื่อยๆพัดแผ่วปะทะใบหน้า ทิวทัศน์เบื้องล่างละลานตาไปด้วยแสงไฟนีออนตามตึกรามและถนนหนทางของกรุงเทพยามราตรี ประกายระยับจากแม่น้ำนิ่งสนิทยิ่งทำให้แทนดาวตื่นเต้น เขาแตะศอกพาเดินเลี้ยวไปตรงมุมที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้เป็นโซฟาทรงกลมดูน่านั่งสบาย บนโต๊ะตรงกลางมีเทียนหอมในโคมแก้วส่องแสงส้มสลัวชวนให้บรรยากาศโรแมนติกยิ่งขึ้น
            “เชิญครับ” เขาผายมือให้แทนดาวที่ยังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
            “สวยจังเลยค่ะ พี่ชลมาที่นี่บ่อยเหรอคะ?” สาวน้อยมองเขาผ่านแสงเทียนสลัวที่ขับให้ใบหน้าคมสันกับผิวสีทองแดงยิ่งโดดเด่นจนมองเพลิน
            “มาเมื่อสองวันก่อน มาเตรียมงานบางอย่าง” แทนดาวพยักหน้าเข้าใจว่าเขามากับลูกค้า บริการยกเครื่องดื่มมาให้ในไม่ช้า มีน้ำส้มสำหรับตนเองและไวน์แดงสำหรับเขา
            “สั่งอาหารสิคะ จ้องหน้าพี่อย่างเดียวคงไม่หายหิวหรอก” เขาแกล้งแซวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งมองหน้าตนเอง แทนดาวรีบละสายตาไปยังแม่น้ำเมื่อถูกจับได้
            “น้องพลูไม่หิวหรอกค่ะ ทานไปเยอะแล้ว”
            “งั้นหาอะไรมาทานเล่นกันดีกว่า” เขาสั่งของว่างบางอย่างกับบริกรแล้วหันมาคุยต่อ
            “พรุ่งต้องไปเรียนแต่เช้า พี่จะพยายามไม่ใช้เวลากับน้องพลูนานเกินไปเพราะฉะนั้นก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า” แทนดาวไม่เข้าใจที่เขาพูดจนกระทั่งบริกรคนเดิมกลับมาพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อหนึ่งและกล่องกระดาษสีเหลี่ยมผูกริบบิ้นสีทอง เขายื่นช่อดอกไม้ให้ก่อน
            “สวยจัง...ให้น้องพลูเนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ?” หญิงสาวมองช่อดอกไม้ในอ้อมแขนที่เป็นดอกทิวลิปสีชมพูหวานล้วนแซมด้วยดอกยิปโซจิ๋วสีขาวสลับชมพู
            “เอ๊ะ!...พี่ชลเป็นคนขอเพลง...รักเธอผู้เดียว!” สาวน้อยเงยหน้ามองเขาแล้วเบิกตากว้าง หล่อนจำดอกทิวลิปสีชมพูที่แนบไปกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กได้ มันมีลักษณะและสีเดียวกับในช่อที่ถืออยู่นี้
            “ดอกไม้นี่เป็นทิป...ที่น้องพลูเล่นเพลงนั้นให้พี่” เขายิ้มพราวจนเห็นฟันสีขาวสะอาดราวไข่มุก เป็นยิ้มกว้างที่สุดที่เคยได้เห็นตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หัวใจดวงเล็กเต้นแรงขนาดไหน แขนเรียวกอดกระชับช่อดอกทิวลิปสีชมพูแน่นขึ้นราวกับจะให้มันบดบังจังหวะเต้นของหัวใจ
            “ขอบคุณค่ะ สวยจัง...น้องพลูชอบสีชมพู” คนตัวเล็กกลบเกลื่อนความขวยเขินด้วยการชื่นชมช่อดอกไม้พร้อมกับแตะจมูกสูดดมที่กลีบดอกแผ่วเบา “หอมด้วย”
            “อยากรู้จังว่าดอกไม้นั่นกับแก้มน้องพลู...อะไรจะหอมกว่ากัน” เขากระซิบถามเสียงหวานเสียจนคนฟังหน้าแดงเรื่อ ชลธียิ้มบางๆแล้วเลื่อนกล่องสี่เหลี่ยมให้ตรงหน้า
            “เห็นบอกว่ายังไม่หิว พี่ก็เลยสั่งช็อคโกแลตมาให้” แทนดาววางช่อดอกไม้บนโต๊ะอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆแกะปมริบบิ้นสีทองที่ผูกกล่องไว้อย่างประณีต มือน้อยค่อยๆเปิดฝากล่องออก
            ภายในบรรจุไวท์ช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่ละชิ้นจะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษทำจากช็อคโกแลตสีน้ำตาลอยู่ด้านบน ทุกชิ้นอยู่ในถ้วยกระดาษจีบพอดีกับขนาดของมัน ดวงตาทรงอัลมอนด์ไล่อ่านตัวอักษรเหล่านั้นผ่านแสงเทียนสลัวจนได้ใจความเป็นประโยคคำถามภาษาอังกฤษสั้นๆ
WILL YOU BE MY GIRLFRIEND?
            พอมั่นใจว่าตนเองอ่านไม่ผิดก็เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งตรงข้าม ใบหน้าเคร่งขรึมประดับด้วยรอยยิ้มแสนหวานและนัยน์ตาสีเหล็กก็ทอประกายระยับพราวขณะรอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง
“เยอะขนาดนี้น้องพลูกินคนเดียวไม่หมดหรอกค่ะ พี่ชลต้องช่วยกินด้วยนะคะ” แทนดาวยิ้มแล้วหยิบช็อคโกแลตจากกล่องวางเรียงใส่จานเปล่าทีละชิ้น นาทีถัดมามือเล็กก็เลื่อนจานนั้นให้ชลธีที่ยังคงใจจดจ่อรอคำตอบแล้วหลุบตามองช็อคโกแลตชิ้นน้อยที่เจ้าของนัยน์ตาสวยบรรจงเลือกตัว อักษรวางเรียงกันอ่านได้ว่า
I WILL
ชลธียิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นดวงหน้าสวยหวานที่แดงจัดเกือบเท่าเมื่อคืน คนตัวเล็กเขินจัดจนไม่อาจทนมองหน้าเขาได้อีกแล้ว สายลมแรงวูบหนึ่งพัดผ่านปะทะผิวกายบอบบางทำให้รู้สึกเย็นเยือกจนต้องยกมือขึ้นกอดอก ชลธีเห็นกิริยานั้นก็รีบย้ายตัวเองไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน เขาถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็วแล้วคลุมลงบนไหล่เนียนที่โผล่พ้นเดรสเกาะอกตัวสวย
“หนาวเหรอคะ?” เขากระซิบถามพลางเชยคางมนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบเลี่ยงที่จะประสานสายตา
“เมื่อกี้ลุ้นแทบตาย นึกว่าจะถูกปฏิเสธ” เขาพูดอยู่ชิดหน้าผากแล้วแตะริมฝีปากอุ่นกับหน้าผากเกลี้ยงเกลา คนตัวเล็กมัวแต่เอียงอายจึงหลบไม่ทัน
“ห้ามรังแกน้องพลูนะคะ ถึงจะเป็นแฟนกันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ชลจะทำอะไรตามใจชอบได้ทุกอย่าง” คนตัวเล็กร้องห้ามจมูกโด่งที่ทำท่าจะกดลงตรงแก้ม ใจเต้นแรงรัวจนกลัวว่าเขาจะได้ยินเหลือเกิน
“หืม...แล้วอนุญาตให้พี่ชลทำอะไรได้บ้างล่ะคะ?” เขามองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย ปลายนิ้วม้วนพันปอยผมที่หลุดลุ่ยจากช่อผมที่เกล้าไว้อย่างสวยงาม
“ถามทำไมคะ ปรกติอยากทำอะไรก็ไม่เคยขออนุญาตอยู่แล้วนี่คะ” คนตัวเล็กตอบงอนๆ ชลธีขยับเข้าไปใกล้ แขนข้างหนึ่งโอบกระชับบ่าเพื่อถ่ายทอดไออุ่น มืออีกข้างจับมือนุ่มข้างที่สวมกำไลดอกลิลลี่ อฟฟ เดอะวัลเลย์ขึ้นมาจุมพิตเบาๆ ส่งสายตาสะกดให้เจ้าของมืออยู่นิ่ง ใบหน้าคมสันโน้มต่ำลงไปจนปลายจมูกสัมผัสกัน
 
            “งั้นคราวนี้พี่ชลขออนุญาตประทับจูบหวานๆให้น้องพลูนะคะ?”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา