ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) ตอนที่ 23 ยิ่งใกล้ยิ่งรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 23 ยิ่งใกล้ยิ่งรัก
           
ชลธีทิ้งตัวลงนั่งตรงห้องหนังสืออย่างใช้ความคิด มือหนึ่งกำลังอ่านข้อความในโทรศัพท์อย่างตั้งใจส่วนอีกมือยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ เสียงปาลิดาเล่าเรื่องที่ไปดูภาพยนตร์ให้มารดาฟังดังลอดประตูกระจกบานเลื่อนเข้ามา หล่อนอาจจะสนุกกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้แต่ว่าเขากลับดูไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ก็จะไปมีความสุขได้อย่างไร...หน้าหมอแว่นกับแม่สาวน้อยช่างฉอเลาะนั่นลอยเข้ามาให้ขุ่นใจตลอด
แต่ไอ้ที่ทั้งเจ็บใจทั้งแค้นเห็นจะเป็นข่าวใหม่ที่เพิ่งรู้ว่าอชิตะซื้อของกำนัลให้เจ้าหล่อนเสียด้วย ปกติแทนดาวมีของเล่นอะไรใหม่จะต้องเอามาอวดลงเฟสบุ๊คหรือบอกเขาตรงๆ ลองเข้าไปดูก็เห็นแต่รูปเปียโนตัวใหม่ที่พี่ชายเพิ่งจะสั่งซื้อให้ ส่วนของบรรณาการจากอชิตะแม่คุณเล่นเก็บเงียบ
 
ดูหนังสนุกมั้ยคะ กลับบ้านหรือยัง?
คุณอาชิมขนมแล้วว่าไงมั่งคะ?
 
ชลธีเพิ่งจะเปิดอ่านข้อความในไลน์เมื่อชั่วโมงก่อน ปลายนิ้วกำลังจะพิมพ์ตอบข้อความแต่ก็เปลี่ยนใจวางมันลงแล้วนั่งจิบเบียร์ต่อ อยากจะรู้นักว่าถ้าเขานิ่งเฉยต่อไปเรื่อยๆแบบนี้แม่จอมดื้อนั่นจะทำอย่างไร
แทนดาวรู้ว่าชลธีเคืองที่ไม่ได้บอกเรื่องของขวัญ ยังจำน้ำเสียงประชดประชันและสายตาพิฆาตที่เขามองหมออชิตะอย่างกับจะกินเลือด ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรหนักหนากับแค่ของขวัญกล่องเดียว นึกโกรธพี่สาวอีกคนที่ชอบชงเรื่องดีนัก ถ้าไม่พูดชลธีจะรู้หรือ? ป่านนี้เขาคงสนุกกับการดูภาพยนตร์กับปาลิดาที่คอยประจ๋อประแจ๋อยู่ไม่ห่าง หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ประชดแต่อยากไปดูหนังกับสาวหมวยคนนั้นจริงๆถึงไม่มีแก่จิตแก่ใจจะตอบข้อความ
            “น้องพลู...เปิดประตูหน่อยสิคะ พี่กลับมาแล้ว ซื้อขนมมาฝากด้วยล่ะ” เสียงพี่ชายเคาะประตูห้องร้องเรียกหา แทนดาวหยุดความคิดทั้งมวลรีบวิ่งไปเปิดประตูต้อนรับ พอเห็นหน้าก็โผเข้ากอดอย่างประจบ
            “ไปไหนมาคะ? คิดถึงจังเลย” เทียมภพกอดตอบน้องสาวก่อนจะโอบไหล่พาลงไปข้างล่าง
            “พี่ไปส่งสิตาที่สนามบินแล้วก็แวะไปดวดเบียร์กับเพื่อนแป๊บนึง ว่าแต่เราเถอะ...ตอนพี่ไม่อยู่ไอ้ชลมันมาทำมิดีมิร้ายเราหรือเปล่า? ได้ข่าวว่าวันนี้มันมาที่นี่” พี่ชายถามอย่างเอาเรื่อง
            “ไม่นี่คะ” น้องสาวส่ายหน้า
            “แล้วนี่อาบน้ำสระผมซะหอมเชียวจะไปไหนหรือเปล่าคะ?” เขาพยักหน้าอย่างพึงใจแล้วสูดดมผมหอมสุดหวงที่อยู่ชิดคาง
            “ก็...อาบน้ำรอพี่หมากกลับมาไงคะ” หญิงสาวตอบอย่างประจบ “พอดีวันนี้ช่วยคุณย่าทำเม็ดขนุน กลิ่นคาวไข่เป็ดคลุ้งไปหมดเลยต้องอาบน้ำแต่วัน”
            “จ้า...เดี๋ยวจะไปลองชิมดู แล้วค่ำนี้ว่าจะพาไปดินเนอร์ ชวนสีผึ้งไปด้วย” พี่ชายบอกอย่างอารมณ์ดี
            “น้องพลูมีเรื่องจะขอพี่หมาก” คนตัวเล็กขืนตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเงยหน้าคนเกิดก่อนเป็นเชิงขอร้อง เทียมภพตั้งใจฟังอย่ารู้ว่าคนตัวเล็กจะขออะไรอีก
            “เพิ่งจะสั่งซื้อเปียโนหลังใหม่ให้หยกๆ จะเอาอะไรอีกละ?”
            “ก็...เทอมนี้น้องพลูเหลือวิชาเรียนแค่ไม่กี่ตัว บางวันก็เรียนแค่วิชาเดียว น้องพลูเลยอยากใช้เวลาว่างไปทำงานค่ะ”
            “จริงอ่ะ? นี่เรายอมไปฝึกงานกับพี่แล้วเหรอ?” เทียมภพถามน้องสาวด้วยความดีใจ ไอ้ที่คอยตะล่อมให้เข้าไปช่วยงานที่บริษัทมาตลอดกำลังจะสำเร็จสมใจ
            “เปล่า...น้องพลูไม่ได้หมายความว่าจะไปทำงานที่ทวีกิจ” คนตัวเล็กบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ
            “อ้าว...แล้วจะไปทำอะไร?
            “คือ...น้องพลูอยากไปแสดงเปียโนที่ธาราค่ะ ที่นั่นรับนักเปียโนพาร์ทไทม์ น้องพลูขอไปแค่ตอนเย็นวันพฤหัสฯกับศุกร์ สองวันนี้มีเรียนถึงเที่ยงเอง นะคะ....ให้น้องพลูไปนะ” คนตัวเล็กเขย่าแขนพี่ชายอย่างมีความหวัง ส่วนคนพี่มองหน้าคนน้องด้วยความผิดหวัง
            “ไม่ได้ค่ะ คำเดียว...คำขอร้องใดๆจะไม่เป็นผลทั้งนั้น” เขายืนยันกับคนตัวเล็กอย่างแน่วแน่ แทนดาวเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าพี่ชายจะไม่มีวันยอม
            “ใจร้ายที่สุดเลย” คนตัวเล็กตัดพ้อ นัยน์ตาคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอ เทียมภพเมินไปเสียจากภาพนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องสาวคนเล็กไม่มีหัวด้านการบริหารมีแต่ใจที่เปี่ยมไปด้วยเสียงดนตรี ไม่ว่าจะพยายามโน้มน้าวหรือปะเหลาะอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าอยากเข้าไปทำงานในทวีกิจ
เขาเห็นความแตกต่างระหว่างน้องสาวทั้งสองคน ปลายเดือนนั้นเกิดมาเพื่อทวีกิจโดยแท้ รายนั้นตั้งจุดประสงค์ในชีวิตชัดเจนว่าเรียนจบแล้วต้องมาสานต่อกิจการของครอบครัว ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นก็มักจะชอบติดตามเขาหรือบิดาเข้าไปดูงาน ช่วงปิดเทอมก็ไปฝึกงานยิ่งพอเข้ามาทำงานเต็มตัวก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจได้ว่าจะฝากทวีกิจไว้กับน้องสาวคนรองนี้ได้
“ฮึ...งานที่บ้านมีไม่ยอมไปทำแต่ริอยากจะไปทำงานแลกเศษสตางค์เล็กๆน้อยๆ คิดอะไรอยู่ฮะ? ไอ้ชลมันเป็นคนต้นคิดเรื่องไม่เข้าท่านี่ใช่มั้ย?” เขาตำหนิน้องสาวเสียงดังและเริ่มพาลถึงบุคคลที่สาม
“เปล่านะคะ พี่ชลไม่ได้ชวนแต่น้องพลูขอไปทำเอง พี่หมากก็รู้ว่าน้องพลูไม่ถนัดงานออฟฟิศพวกนั้น น้องพลูชอบเปียโน ต่อให้ได้เงินน้อยหรือไม่ได้ค่าจ้างก็ยังเต็มใจที่จะแสดง...นะคะ” คนตัวเล็กอ้อนวอน น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
“ไม่! พี่ไม่อนุญาต อย่ามาทำหน้างอเชียวนะ คราวนี้จะไม่ใจอ่อนแน่ๆ” เขายื่นคำขาด
            “ทำไมล่ะคะ? น้องพลูขอทำในสิ่งที่รักไม่ได้เหรอ?” คนเกิดทีหลังเริ่มมีเสียงบีบน้ำตาปนสะอื้น
            “อยากร้องก็ร้องไปพี่ไม่สนใจแล้ว ตั้งแต่รู้จักไอ้หมอนั่นเราดื้อขึ้นมากนะใบพลู บอกอะไรไม่ค่อยจะฟัง จะไปยื่นอุธรกับคุณย่าก็เชิญแต่ขอบอกก่อนว่าอาจจะไม่ได้ผล” เขาเน้นย้ำคำตัดสินขั้นเด็ดขาดและนั่นก็เรียกเสียงกรี๊ดของคนตัวเล็กได้ดังลั่นสนั่นบ้าน
            “พี่หมากไม่รักพลูเลย! บังคับกันอยู่เรื่อยเลย” คนตัวเล็กคร่ำครวญดีดดิ้นไปมาเหมือนเด็กๆ
            “ก็รักน่ะสิถึงได้ห่วงเนี่ย ไปรับจ๊อบแบบนั้นรู้หรือเปล่าว่าจะต้องไปเจออะไรมั่ง? ถ้าเจอไอ้พวกคนดูหัวงูมันลวนลามจะทำยังไง? แล้วไหนจะมีไอ้ชลที่มันจ้องจะเขมือบเราอยู่ทุกลมหายใจ” เทียมภพพยายามแจงข้อเสียที่จะไปทำงานพาร์ทไทม์ให้ฟัง ใครจะยอมปล่อยให้น้องสาวตกอยู่ในอันตรายแบบนั้น
            “ที่นั่นเป็นโรงแรมห้าดาวนะคะ จะมีคนกักขฬะแบบนั้นอยู่ได้ยังไง แล้วพี่ชลเค้าก็ไม่ใช่งูเหลือมนะที่จะคอยเขมือบเหยื่อ” แทนดาวเถียงสุดใจส่วนพี่ชายก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ
“หยุดร้อง...แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้กันนะคะ ป่ะ...กินหนมกันดีกว่า พี่แวะซื้อขนมมาหลายอย่างเลย” เขาดึงมือน้องสาวแต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้ ไม่ยอมตามไปด้วย
            “ไม่เอ๊า...ไม่กิ๊น...ของๆคนใจร้าย!”
            “ว้า...งั้นชีสเค้กคงเสร็จไอ้ซู่โม่สิงานนี้” พอได้ยินชื่อขนมของโปรดก็หูผึ่งอาการดื้อแพ่งหายเป็นปลิดทิ้ง
            “กินก่อนก็ได้” พอพี่ชายบอกว่าจะเอาชีสเค้กไปให้เจ้าซูโม่สุนัขบ้านตรงข้ามกินก็รีบเปลี่ยนท่าทีราวกับกดปุ่ม เทียมภพมองอาการเห็นแก่กินของน้องสาวอย่างเอือมระอาที่ทำตัวอย่างกับเด็กสามขวบที่ต้องคอยหลอกล่อด้วยขนม
“เรานี่นะ ถ้าไม่ติดว่ารักมากล่ะก็...แอบเอาไปทิ้งขยะตั้งกะตัวแดงๆแล้ว” เขาหยิกจมูกน้องสาวบาๆอย่างเอ็นดูก่อน แทนดาวยอมสงบศึกชั่วคราวเพื่อจัดการของอร่อยตรงหน้า
 
 
Just back from dinner. What’re you doing?
Does auntie like the dessert?
อ่านแล้วไม่ตอบคือ? นี่ใช้ทั้งไทยทั้งอังกฤษแล้วนะ หรือว่าไม่เข้าใจสักภาษา
 
ชลธีหยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้งตอนสามทุ่ม มีไลน์จากสาวน้อยเดิม ตอนแรกตั้งใจจะไม่เข้าไปอ่าน อยากจะลองดูสิว่าคนรั้นแบบนั้นถ้าไม่มีใครตามเอาใจจะแก้ปัญหาอย่างไร ชายหนุ่มหัวเราะกับตัวเองเบาๆพอคิดว่าแม่คนรอการตอบกลับกำลังหงุดหงิดที่ตนไม่หือไม่อือด้วย ใจนึงก็อยากแกล้งแต่อีกใจก็ไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังแบบนี้ ปลายนิ้วแตะตัวอักษรอย่างคล่องแคล่ว
Chon: Send me the pic.
BaiPlu: what's pic?
Chon: Gift from HIM…
BaiPlu: oh... you still mad at me...
Chon: send it now!
 
ชลธีจ้องมองหน้าจอเครื่องมือสื่อสารไม่วางตาขณะรอให้อีกฝ่ายถ่ายรูปของขวัญที่หมอ แว่นหนาซื้อให้ นาทีถัดมาหล่อนก็ส่งภาพกล่องดนตรีเล็กๆประดับด้วยคริสตัล บนกล่องดนตรีเป็น รูปแกรนด์เปียโนเล็กๆทำจากโลหะสีทองประดับด้วยคริสตัลที่สะท้อนประกายเล่นกับแสงไฟ ชลธี ทำเสียงคล้ายไม่พอใจที่หมอนั่นกล้าให้ของมีค่ากับว่าที่คู่หมั้น
 
Chon: มิน่าล่ะถึงไม่ยอมเอามาโชว์ ชวารอฟกี้ซะด้วยนะ
BaiPlu: What!!! แล้วยังไงคะ?
Chon: ไหนบอกว่าจะไม่รับของมีค่าจากใครไง
BaiBlu: ก็....มันอยู่ในกล่องนี่นา น้องพลูจะไปรู้เหรอว่าข้างในเป็นอะไร
Chon: แล้วถ้าตอนแรกมันไม่ได้อยู่ในกล่อง ถามจริงเถอะว่าจะเอามั้ย?
BaiPlu: พี่ชลไม่มีเหตุผล ไม่คุยด้วยแล้ว
 
ชลธีถอนใจยาวเมื่ออ่านข้อความสุดท้าย เขาถอนสายตาจากภาพนั้นแล้วมองออกไปยัง
ความมืดด้านนอก เป็นครั้งแรกที่ทะเลาะกันผ่านเครื่องมือสื่อสาร ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องขุ่นเคืองกับเรื่องแค่นี้ ทั้งชีวิตเคยรับมือกับปัญหาใหญ่หลายครั้งแต่ทำไมถึงอ่อนไหว กับปัญหาจุกจิกแค่นี้ เจ้าของใบหน้าคมสันต์ส่ายหน้าให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง "ไอ้ชล อายุ ขนาดนี้แล้วยังจะมีอารมณ์หึงหวงเด็กเป็นหนุ่มๆ ไปได้"
 
เปรมยุตามองสาวหมวยที่กำลังบรรจงกรีดอายไลเลอร์ลงบนเปลือกตาชั้นเดียวด้วยอารมณ์เหนื่อยใจเต็มที ตั้งแต่ชลธียัดเยียดปาลิดาให้มาทำงานแทนที่จะช่วยเบาแรงแต่กลับทำให้ต้องเหนื่อย เพิ่มอีกสองเท่า ไม่ใช่ว่าปาลิดาจะเกียจคร้านหรืออะไร ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ว่าจะทำแบบขอไปที ทำให้งานผิดพลาดจุดเล็กจุดน้อยอยู่ประจำ ถึงจะเตือนจะบอกอย่างไรก็เหมือนกับว่าฝ่ายนั้นจะฟัง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ความผิดพลาดและความไม่เอาใจใส่ของหล่อนเป็นที่เอือมระอาของเพื่อน พนักงานด้วยกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าว่ากล่าวตักเตือนเพราะเกรงใจบอสใหญ่อย่างชลธี
“พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าก่อนจะส่งแพคเกจให้ลูกค้าต้องเชคกับรูมก่อนว่าชนกับงานอื่นหรือ เปล่า ดูสิ...คราวนี้งานมันชนกันเราก็ต้องปฏิเสธลูกค้าให้เค้าเสียความรู้สึก" เปรมยุตาตำหนิคน ที่กำลังกรีดอายไลเนอร์บนเปลือกตา
"ไม่ใช่ความผิดลูกปลานะ ก็ชื่อห้องมันคล้ายๆกันเลยฟังผิด แหม...ลูกค้ายังไม่จ่ายเงินซะ หน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย" ปาลิดาส่งกระจกดูความเรียบร้อยก่อนและดูเหมือนจะไม่เห็นว่าเรื่องนี้ มีความสำคัญมากนัก เปรมยุตาชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ
"ฟังนะลูกปลา ถึงลูกค้ายังไม่ได้จ่ายเงินแต่การปฏิเสธบ่อยๆมันจะทำให้พวกเค้าขาดความ เชื่อมั่นในตัวเรา ถ้าเค้าไปพูดปากต่อปากยังจะมีใครอยากใช้บริการของเรา อย่าลืมสิว่าคู่แข่งเรามี รอบทิศ" เปรมยุตาพูดเสียงเครียดปรกติหล่อนไม่เคยอารมณ์เสียในมี่ทำงานเลยแต่ว่าเหลืออดแล้ว กับญาติอดีตคนรักคนนี้
"งั้นลูกปลาไม่ทำแล้ว งานเอกสารจุกจิกที่สุด" ปาลิดาสะบัดเสียงตอบอย่างไม่พอใจเช่น กัน ด้วยความที่พ่อแม่เลี้ยงมาแบบตามใจสุดโต่งจึงไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง เปรมยุตาได้แต่ข่ม กลั้นโทสะไว้ในอก
"อ้อ...ปรางอยู่พอดี เดี๋ยวผมจะไปทวีกิจนะ แล้วก็คงไม่เข้ามาแล้ว" ชลธีถือกระเป๋าออก มากจากห้องพอดี ทั้งสองสาวเลยต้องรีบปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ
"ให้ลูกปลาไปด้วยนะพี่ชล เบื่อที่นี่แล้ว" สาวหมวยมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมความหวังแต่ เน้นหนักในประโยคสุดท้ายทำให้เปรมยุตาหน้าตึง
"ไปทำไม? เราไม่มีธุระอะไรที่นั่น" เขาถามเสียงดุก่อนจะหันมาพูดกับเปรมยุตาที่ยืน หน้าเครียด "ผมไปก่อนนะ ถ้าลูกปลาทำให้ให้ลำบากใจก็ว่ากล่าวตักเตือนตามความเหมาะสม ไม่ต้องเกรงใจผม" เขารีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นใจเปรมยุตาอยู่เหมือนกันที่ปล่อยให้รับมือ กับคนหัวรั้นอย่างเด็กสาวข้างบ้านคนนี้ แต่จะทำอย่างไรได้เพราะถ้าไม่ได้ปาลิดาก็เลี่ยงการเผชิญ หน้ากับเปรมยุตาได้ยากเช่นกัน
 
เทียมภพไม่อยากเข้าร่วมการประชุมวันนี้เท่าไหร่นักแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เขาถูกชลธีเรียกตัวให้ เข้าฟังเรื่องร่างแผนปรับแผนบริหารการตลาดใหม่ แม้แผนการนี้ทั้งคู่จะช่วยกันคิดขึ้นมาแต่ก็ยังรู้ สึกขัดหูขัดตาอยู่ดีที่ต้องมานั่งตั้งอกตั้งใจฟังบรรยายจากคู่อริ
"วันนี้คุณชลไม่มีธุระที่อื่นแล้วใช่มั้ยคะ? ผึ้งว่าจะชวนไปทานข้าวเย็นด้วย" ปลายเดือน ถามเมื่อประชุมจบแล้ว
"ไม่ได้นะสีผึ้ง บ่ายนี้ต้องไปดูบู๊ทที่เมืองทองกับพี่ไม่ใช่เหรอ?" เทียมภพที่กำลังจะ เดินออกจากห้องได้ยินเข้าเสียก่อนเลยต้องรีบขวาง
"วันนี้พี่หมากไปแล้วทำไมผึ้งต้องไปด้วยล่ะ" ปลายเดือนท้วง
"อย่าหาเรื่องโอ้เอ้นะ อีกชั่วโมงเจอกัน" เทียมภพสั่งเสียงดุปลายเดือนจึงขัดไม่ได้พอน้อง สาวคนรองเดินกระกระฟัดกระเฟียดออกไปก็หันมาหาเรื่องศัตรู
"เมื่อวานยัยพลูมาขอไปรับจ๊อบที่โรงแรม แกไปหลอกอะไรน้องสาวชั้นอีก?" เทียมภพ เปิดประเด็นไม่อ้อมค้อม ชลธีปิดแล็บท้อปก่อนจะหันมาตอบเสียงกระด้าง
"ใบพลูมาขอฉันเองเลยบอกเธอไปว่าไม่มีปัญหาถ้าได้รับอนุญาตจากพี่ชายบ้าเลือด" เมื่อ วานแทนดาวขอเขาไปทำงานด้วยแลกกับการช่วยให้ไม่ต้องไปดูภาพยนตร์กับปาลิดา แม้ท้ายสุด แล้วเขาต้องไปแต่ก็รับปากหล่อนไปแล้ว
 
“น้องพลูจะช่วยพี่ชลแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน"
“หืม...อะไรล่ะ?"
“พี่ชลบอกว่าจะมีคนไปเล่นเปียโนที่โรงแรมทุกวัน น้องพลูอยากไปเล่นบ้างได้มั้ยคะ?”
“อ้อ...นึกว่าเรื่องอะไร พี่ไม่มีปัญหาหรอกนะ จะติดอยู่ก็แค่พี่ชายเราคนเดียวนั่นแหละ”
“นั่นสิคะ แต่น้องพลูจะพยายามหาทางกล่อมให้ยอมให้ได้"
“พี่จะเอาใจช่วยนะ ดีเหมือนกัน…ไปอยู่ใกล้ๆพี่บ้างเพราะหาโอกาสไปเจอเรานี่ยากกว่า หาทางยื่นซองประมูลอีกนะ”
 
“ฮึ...ฉันไม่เชื่อหรอก ถ้าแกไม่ไปหลอกล่ออะไรยัยพลูไว้”
            “หมาก...ฉันถามจริงๆเถอะ แกรักน้องจริงๆหรือเปล่า? ทำไมถึงคอยขัดขวางห้ามไม่ให้เธอทำนั่นทำนี่ คนเราน่ะ...ถ้าถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบมันไม่มีวันที่จะทำได้ดีหรอกนะ” ชลธีเถียงกลับด้วยความเยือกเย็นจนอีกฝ่ายสัมผัสได้
            “นี่! แกหาว่าฉันเลี้ยงน้องไม่เป็นเหรอ? แกก็มีน้องสาว...น่าจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่อยากให้ยัยพลูไปทำงานที่นั่น”
            “ก็จริง...แต่ฉันไม่เคยไปบังคับหรือตีกรอบชีวิตใคร ไม่ว่าน้องฉันจะชอบอะไรหรือชอบ ‘ใคร’ ก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย หน้าที่ของฉันก็คือคอยสนับสนุนและช่วยเหลืออยู่ห่างๆ” ชลธีเน้นย้ำคำว่า ‘ใคร’ จนคนฟังต้องเงียบเพราะจี้ใจดำ
            “ถึงยังไง...ยัยพลูก็อ่อนแอเกินกว่าที่ฉันจะกล้าปล่อย” เทียมภพพูดเสียงแผ่ว รู้สึกผิดเล็กๆที่เลี้ยงน้องมาแบบที่ไม่เคยต้องให้ทำอะไรเองหรือตัดสินใจอะไรเอง รวมถึงไม่เคยต้องให้พบพานกับความผิดหวังหรือเสียใจจนกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสียจนเขาไม่กล้าที่จะปล่อยให้โบยบินในโลกใบนี้ที่นับวันจะอยู่ยากเข้าไปทุกที
            “จะประเมินแทนดาวต่ำไปหรือเปล่า? เธอเก่งและแกร่งกว่าที่แกคิดเยอะ ถ้าไม่ลองปล่อยให้เดินเองแล้วเมื่อไหร่จะแข็งแรง ที่ฉันพยายามโน้มน้าวแกอยู่นี่น่ะ...ไม่ใช่เพราะอยากจะอยู่ใกล้ชิดเธอจนต้องวางแผนหลอกล่อที่แกมโนไปเอง แต่เป็นเพราะว่าฉันอยากเห็นเธอทำในสิ่งที่รักก็เท่านั้น” ชลธีอธิบายอย่างใจเย็นที่สุด เทียมภพอึ้งไป
            “แต่ฉันไม่มีวันลืมเรื่องที่แกทำกับปราง”
            “ไม่ว่าแกจะจำเรื่องราวในอดีตได้แบบไหน แต่ฉันก็ไม่เคยลืมว่าเราเคยมีสุขที่ได้รักผู้หญิงคนเดียวกัน” ชลธีเม้มปากแน่นข่มความรู้สึกบางอย่าง “แม้กระทั่งตอนนี้...เราต่างก็มีความปรารถนาดีให้กับผู้หญิงคนเดียวกันเหมือนเดิม” เขาหันหลังให้อดีตเพื่อนเพื่อขับไล่ความขมขื่นเก่าๆออกไป “แกอยากปกป้องและดูแลแทนดาวให้ดีที่สุด ส่วนฉันก็อยากเห็นเธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอรัก”
           
            เทียมภพนั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ในบู๊ทจัดแสดงสินค้า วันนี้เขากับน้องสาวคนรองมาดูแลความเรียบร้อยและมีคิวนัดสัมภาษณ์กับคอลัมน์ของตกแต่งบ้านกับนิตยสาร Home & Heart ด้วยความที่อารมณ์ยังไม่ดีก็เลยยกหน้าที่นี้ให้ปลายเดือนผู้ซึ่งถนัดการออกสื่อจนช่ำชอง สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัวก็คือคำพูดของชลธี การยอมปล่อยให้น้องสาวคนเดียวออกไปทำงานหาค่าขนมมันอาจจะฟังดูอันตรายมากในมุมมองส่วนตัว แต่เชื่อว่าสำหรับแทนดาวนั้น...มันคือก้าวเล็กๆของความฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจำต้องยอมรับความจริงที่พยายามบ่ายเบี่ยงมานานว่าถึงจะห้ามน้องคนเล็กเล่นดนตรีได้แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้หล่อนมาทำงานกับเขาอยู่ดี ก็จริงอย่างที่ชลธีบอกไว้ว่า...ถ้าไม่ปล่อยให้หล่อนหัดเดินด้วยตัวเองแล้วเมื่อไหร่จะแข็งแรง
            “อ้าว...คุณหมออชิตะ! มาซื้อของเข้าบ้านหรือคะ?” เทียมภพสลัดความคิดทุกอย่างหันไปมองเจ้าของชื่อที่น้องสาวกำลังยิ้มแย้มให้
            “ว่าจะมาตั้งหลายวันก่อนแล้วครับแต่คุณแฟงเธอมาว่างเอาวันสุดท้ายพอดี คนก็เลยเยอะ ที่จอดรถแทบจะไม่มี” หมอหนุ่มแว่นหนามองเลยมาทางเทียมภพพร้อมกับก้มหัวให้นิดหนึ่งเป็นการทักทาย
            “ว่าไงนะ?รมณ์นลินมากับคุณหมอเหรอ?” จอมหาเรื่องหูผึ่งพอได้ชื่อคุณครูของน้องสาวแม้จะไม่พอใจแต่ก็พยายามเก็บอาการด้วยยังเกรงวัยวุฒิและคุณวุฒิของนายแพทย์คนนี้อยู่บ้าง
            “ครับ...เธอกำลังเดินมาโน่นไง” อชิตะตอบเสียงราบเรียบเต็มไปด้วยความสุภาพเช่นเคย เทียมภพมองถุงหลายใบในมืออีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม มาซื้อของด้วยกันแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
            “สวัสดีค่ะคุณสีผึ้ง” ไม่นานนักคนที่จะตอบข้อสงสัยของเขาได้ก็ตามมาสมทบ รมณ์นลินถือขวดน้ำผลไม้สดมาสองขวดคาดว่าคงซื้อเผื่อคนช่วยถือของ
            “ช้อปอะไรมาบ้างคะ? แหม...วันนี้เจอพี่ชลที่ออฟฟิศก็ไม่ยอมบอกกันว่าคุณแฟงจะมา” ปลายเดือนมองทั้งคู่อย่างตั้งคำถามเช่นกัน ถ้าอชิตะกำลังสานสัมพันธ์กับรมณ์นลินก็แสดงว่าตัวช่วยกันชลธีออกจากน้องสาวคนเล็กลดลงไปหนึ่ง
            “ก็พวกของกระจุกกระจิกค่ะ ความจริงเกือบจะไม่ได้มาแล้วค่ะแต่โชคดีที่เด็กยกเลิกคลาสช่วงบ่ายไป” รมณ์นลินตอบพลางมองไปทางคนอีกคนที่ยืนแผ่รังสีอำมหิต
            “ดีนะครับ...มีคุณหมอมาช่วยถือของ ช่างดูสวีทหวานกุ๊กกิ๊กอย่างกับคู่รักที่มาช่วยกันเลือกซื้อของตกแต่งเรือนหอ ดีเลย...ผมมีเตียงไม้บุหนังอย่างดีมานำเสนอ นอนสบายดีไซน์สวย ที่สำคัญแข็งแรงทนทานต่อกิจกรรมบนเตียงทุกกระบวนท่า!” เทียมภพประชดได้แสบสันและหมิ่นเหม่ที่สุดจนรมณ์นลินแทบจะปราดเข้าไปตบปากให้แตกเสียตรงนี้
“พี่หมาก!” ปลายเดือนหน้าซีดไม่คิดว่าพี่ชายจะพูดจาน่าเกลียดต่อหน้านายแพทย์อชิตะได้ขนาดนี้แต่ก็พยายามแก้ตัวให้ “คือ...พี่หมากชอบหยอกแรงๆแบบนี้แหละค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆผมเองก็เคยเจอคนไข้ที่มีอาการป่วยทางจิตแบบที่เห็นใครมีความสุขก็จะจิตตก ต้องหาทางทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไปด้วย คนแบบนี้...น่าสงสารเขานะครับ” คำตอบแบบสุภาพแต่เจ็บพอกันชนิดหมัดแลกหมัดให้เทียมภพถึงกับสะอึก
“อ้อ...เอ่อ งั้นเชิญคุณหมอกับคุณแฟงเข้ามานั่งพักก่อนมั้ยคะ จะได้ลองนั่งชุดโซฟาคอลเลคชั่นใหม่ที่เพิ่งออกโฆษณาทีวีไป ได้น้องเอลล่าดาราดาวรุ่งมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย” ขณะที่ปลายเดือนกำลังแก้สถานการณ์โดยการเชื้อเชิญให้เข้ามาเยี่ยมชมสินค้า เทียมภพก็ชิงลากแขนรมณ์นลินเดินลิ่วๆฝ่าผู้คนออกไปทางด้านหลัง
“คนบ้า! หยาบคาย! กักขฬะระ! กล้าพูดทุเรศๆแบบนั้นออกไปได้ยังไง ถึงคุณจะไม่เกรงใจแฟงแต่ก็ควรจะเกรงใจหมออชิเค้าบ้าง!” รมณ์นลินระเบิดอารมณ์ใส่คนชอบหาเรื่องทันทีที่อยู่กันสองคน
“เกรงใจเหรอ? ใครกันแน่ที่ต้องเกรงใจ ไม่เจอกันไม่กี่วันก็ไปกับเจ้าหมอนั่น ตกลงคุณเป็นคนยังไงกันแน่รมณ์นลิน? ปั่นหัวผมเสร็จก็ไปปั่นหัวไอ้แว่นนั่นต่อ จะให้เข้าใจว่ายังไงฮะ? เงียบ...แต่ฟาดเรียบน่ะเหรอ?” เทียมภพรู้สึกว่าหน้าชาไปซีกหนึ่งแต่พอหันกลับมาก็ถูกตบอีกทีแรงๆอย่างเท่าเทียมกัน
“ครั้งแรกสำหรับคำพูดหยาบคายที่พูดกับหมออชิ ส่วนนี่สำหรับคำพูดอุบาทว์ที่ใช้กับฉัน!” รมณ์นลินโต้ตอบด้วยเสียงสั่นเครือและฝ่ามือหนักหน่วง เขาจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าไอ้นิสัยพูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นมันทำร้ายจิตใจคนฟังได้ขนาดไหน
“คุณตบผมเพื่อเป็นการแก้แค้นให้นายอชิตะนั่น แคร์มันมากเหรอ? แล้วจะใส่ไว้ทำไอ้นี่น่ะ? ถอดออกสิ!” เทียมภพที่โดนตบเรียกสติสองทีซ้อนจับข้อมือเล็กที่สวมสร้อยมุกเส้นนั้นขึ้นมาดูพลางท้าทายให้ถอดออก
“ฉันไม่ได้แคร์ใครหรืออะไรทั้งนั้น ถ้าคนที่มีสมองไว้คิดไม่ได้แค่ไว้กั้นหูอย่างคุณก็จะคิดได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด” เทียมภพมองแววตาเศร้าโศกผสมตัดพ้อด้วยอารมณ์ที่อ่อนลง
“ก็ผมไม่ชอบ! ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณอยู่ใกล้ชิดไอ้หมอแว่น หลายครั้งแล้วนะแฟง...คุณไม่แคร์ความรู้สึกผมเลย” เขาจับไหล่บางเขย่าเบาๆ
“ไม่ชอบเพราะอะไรคะ? คุณบอกแฟงได้มั้ยว่าทำไม?” ขณะที่เทียมภพอึ้งกับถาม รมณ์นลินก็รอคอยคำตอบอย่างมีความหวัง อยากรู้เหลือเกินว่าระหว่างตนเองกับเขา...ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายเดือนนี้เรียกว่าอะไร
“เพราะยังงี้ไง” แทนคำตอบ เทียมภพดึงร่างเข้ามาจนแนบชิดแล้วจุมพิตริมฝีปากสั่นระริกอย่างดุดัน รมณ์นลินตกใจที่ถูกจู่โจมในที่สาธารณะแม้ว่าจะอยู่ในซอกลับตาคน สองมือเล็กพยายามดันร่างหน้าออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะจูบจนพอใจ
“คุณก็ดีแต่ใช้กำลัง” รมณ์นลินยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่ยังคงร้อนรุมขณะตัดพ้อคนกระทำด้วยความโกรธระคนอาย
“คุณก็ตบผมคืนสิ จะได้หายกัน” เขาลอยหน้าลอยตาพูดโดยมิได้สำนึกในการกระทำของตนเองเลย
“ฉันไม่นิยมโต้ตอบโดยการใช้กำลัง”
“เหรอครับคุณครู? แล้วไอ้ที่ฟาดหน้าผมไปสองทีนั่นล่ะ เค้าเรียกว่าเกาคางหรือครับ? คนตัวโตประชด
“ถ้าคุณพอใจแล้ว แฟงไปก่อนนะคะ” หญิงสาวคิดว่าป่วยการที่จะต่อความกับคนพาลเลยจะเดินหนีแต่คนชอบพาลก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
            “ยังคุยไม่เคลียร์เลย จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เทียมภพดันร่างบางเข้าไปในซอกตึกติดทางหนีไฟ รมณ์นลินทั้งอายทั้งกลัวแต่ก็ไม่อาจขัดขืน
            “คุณยังต้องการอะไรอีก?”
            “จูบผม” ตอบสั้นๆแต่ทำให้คนฟังเกือบลืมหายใจ
            “อะไรนะ!?” รมณ์นลินไม่เชื่อหูตัวเอง
            “ผมบอกว่าให้จูบผมเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” คนตัวโตย้ำชัดในสิ่งที่ต้องการ
            “ไม่เอาหรอก ไม่มีทาง ทำไมแฟงต้องทำแบบนั้นด้วย”
            “ก็เพราะเมื่อกี้ผมจูบคุณไปแล้ว ทีนี้ตาคุณมั่ง” เทียมภพบอกอย่างเอาแต่ใจแต่อีกฝ่ายยังส่ายหน้าปฏิเสธยืนยันว่าจะไม่ทำแน่ๆ
            “เร็ว...ไม่งั้นจะลากคุณขึ้นรถ ทีนี้นะ...ไม่ต้องนึกต่อเลยว่าผมจะทำอะไรคุณบ้าง” เขาขู่จริงจังจนคนมองต้องหลบสายตาแผดเผานั้นก่อนจะยื่นปากไปแตะกับริมฝีปากหนาเร็วๆแรงๆหนึ่งครั้งจนแทบไม่รู้สึก
            “เสร็จแล้ว”
            “เฮ้ย...นี่ไม่ใช่จูบ แค่เอาปากชนกันเฉยๆ เอาใหม่ ดีๆด้วย” เทียมภพบังคับทั้งน้ำเสียงทั้งสายตา รมณ์นลินมิอาจต่อต้านได้อีกเพราะถ้าไม่ยอมตามใจก็จะยิ่งเสียเวลา ดวงตาคู่สวยปิดลงขณะที่ค่อยๆแตะกลีบปากลงไปที่เดิมแต่คราวนี้เนิบช้าและนุ่มละมุน ตั้งใจว่าจะหยุดสัมผัสตรงนั้นเพียงอึดใจแล้วรีบผละออก แต่ทว่าเจ้าของปากหยักกลับไม่ยอมให้ปากบางหวานฉ่ำจากไปง่ายๆ เป็นเขาเองที่รัดเอวเล็กไว้แน่นหนาไม่ยอมให้ดีดดิ้นและตรึงริมฝีกปากนุ่มไว้ด้วยจุมพิตแสนอ่อน หวานรัญจวนจนคนที่ถูกบังคับมือไม้อ่อนปวกเปียกทิ้งถุงขวดน้ำผลไม้ตกพื้นมาโอบรอบเอวหนาอย่างเผลอไผล เป็นนานช้ากว่าที่รมณ์นลินจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร...
            “คำถามที่คุณถามเมื่อกี้ ผมจะให้คำตอบในไม่ช้า...” เทียมภพกระซิบบอกชิดริมฝีกปากเล็กก่อนจะแตะลงไปเร็วๆแล้วผละออก รมณ์นลินหน้าแดงซ่านจนต้องก้มหลบสายตาคมคาย
            “คิดว่าครั้งนี้คงพอใจแล้วนะคะ” หล่อนรีบปล่อยมือจากเอวหนาเพราะเพิ่งจะรู้ว่ากอดเขาไว้เสียแน่น เทียมภพยิ้มบางๆอย่างอบอุ่น
            “กับคุณเนี่ย...ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน” รมณ์นลินสบตาหวานเชื่อมแล้วก็อยากจะข่วนให้หน้าลายกับอารมณ์ที่เปลี่ยนโหมดอยู่ได้ตลอดเวลา เทียมภพก้มลงหยิบถุงที่ตกพื้นก่อนจะหยิบน้ำผลไม้ขวดหนึ่งมาดื่มอย่างสบายใจ
            “นี่! แฟงซื้อมาให้หมออชินะ ไม่ได้ให้คุณ” รมณ์นลินร้องห้ามเสียงหลงแต่ไม่ทันเสียแล้ว
            “ไม่ให้กิน! หมอนั่นอยากกินก็ไปซื้อเอง” เขาไม่สนใจดื่มต่อจนหมดขวด รมณ์นลินได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วรีบฉวยอีกขวดที่เหลือคืนมาก่อนจะรีบเดินจ้ำกลับเข้างาน พอพ้นประตูเข้ามาก็พบอชิตะยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ไม่ไกล
            “คุณอชิ...กลับกันเถอะค่ะ แฟงไม่อยากเดินต่อแล้ว” รมณ์นลินรีบเดินไปหาพร้อมกับบอกอีกฝ่ายว่าอยากกลับ อชิตะมองหญิงสาวกับเทียมภพที่เดินตามมาติดๆด้วยความแคลงใจ
            “คุณแฟงโอเคนะ? มีเรื่องอะไรกันมาหรือเปล่า?” หมอหนุ่มสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหล่อนแดงเรื่อไปหมด
            “ไม่หรอกค่ะ งั้น...แฟงขอไปเข้าห้องน้ำก่อนะ” รมณ์นลินรีบเดินหนีไปก่อนที่เทียมภพจะตามมาทัน อชิตะอยู่รอจนฝ่ายนั้นเดินมาหยุดใกล้ๆ
            “หวังว่าคุณหมากคงไม่ได้พูดหรือทำอะไรให้คุณแฟงไม่สบายใจนะ หน้าตาเธอดูไม่ค่อยดี” แม้น้ำเสียงที่ถามจะสุภาพแต่สีหน้าและแววตาหลังกรอบแว่นนั้นแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
            “เปล่านี่ครับ...เราต่างฝ่ายต่างสบายใจกันแล้วทั้งคู่ ไม่เชื่อ...คุณหมอก็ลองถามเธอตอนอยู่ในรถด้วยกันสิว่าผมทำอะไรเธอหรือเปล่า?” คำตอบยียวนนั้นทำให้คนฟังต้องชักสีหน้าแต่ก็ไม่อยากต่อความด้วย
            “เดี๋ยว...” เทียมภพเรียกอีกฝ่ายไว้ขณะกำลังจะหันหลังเดินไป อชิตะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“นี่หมอกำลังจีบรมณ์นลินเหรอ?” คนเจ้าปัญหายิงคำถามตรงๆ อชิตะหยุดนิดหนึ่งแล้วยิ้มเป็นนัยเหมือนเมื่อครั้งที่พบกันคราวนั้น
            “เปล่า...ผมจีบน้องสาวคุณต่างหาก!” หมอหนุ่มยิ้มที่มุมปากแล้วเดินจากไป ปล่อยให้คนขี้วีนยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นทั้งงงและงงหนักขึ้น
            “จีบน้องสาวเราก็แสดงว่าไม่ได้จีบครูแฟง เออ...ก็แล้วไป” เทียมภพที่สมองยังมึนตึ้บเพราะถูกตบไม่ทันได้ไตร่ตรองสิ่งที่อชิตะบอกให้ถ้วนถี่ แต่พอปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักพักก็เก็บคำตอบนั้นมานั่งคิดทบทวนอีกครั้งแล้วก็แทบเต้นผางก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดกับตัวเองเสียงดังจนคนข้างๆตกใจ
            “ไอ้หมอนั่นมันมาเหนือเมฆ บังอาจสับขาหลอกเนียนเข้ามาจีบยัยพลู!”
 
ชลธียังคงนั่งปล่อยความคิดอยู่ตรงระเบียงนอกห้องทำงานส่วนตัว บุหรี่ต่างประเทศถูกเผาหมดไปสามมวนแล้วแต่ก็รู้สึกว่าอารมณ์เครียดขึงยังมิได้ผ่อนลงนัก นัยน์ตาสีเหล็กทอดมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องล่างของกรุงเทพมหานครในยามบ่ายแก่ที่ไม่ว่าจะมองมาจากมุมสูงอย่างไรก็ยังคงดูแออัดและวุ่นวาย ทำให้เกิดความไม่เข้าตัวเองในบางคราวว่ามาอยู่บนนี้เพื่ออะไร เพื่อใคร ไม่ว่าจะย้ายตัวเองไปอยู่ตรงไหนของโลกใบนี้ ทำไมความทุกข์ก็ยังคงตามเจอได้ตลอดเวลา อยากจะวิ่งหนีไปจากอดีตอันแสนเจ็บปวดแต่มันก็ยิ่งตามมาเหมือนเป็นเงา จากการปะทะคารมหรืออาจจะเรียกว่าพูดคุยกับอดีตเพื่อนเมื่อชั่วโมก่อนยังคงก่อให้เกิดความรู้สึกหนักหน่วง อดีตอันร้าวช้ำที่เพื่อนคนนี้มีต่อตนเองนั้นส่งผลให้เทียมภพดื้อแพ่งไม่ยอมให้น้องสาวไปทำงานที่โรงแรม เขาแค่นหัวเราะเหมือนกำลังสมเพชตัวเอง เหตุใดหนอ...ถึงต้องมารับกรรมจากตราบาปนี้เพียงผู้เดียวไม่จบสิ้น
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะช่วยดึงสติของเขากลับคืนแล้วเดินกลับเข้ามา ปลายนิ้วเรียวดุจสตรีจิ้มปุ่มเปิดโฟนเพื่อคุยกับผู้ช่วยที่นั่งอยู่หน้าห้อง
            “คุณชลสะดวกคุยมั้ยคะตอนนี้? คุณแทนดาวอยู่ในสายค่ะ” เลขาฯสาวที่ดูแลทั้งตนเองและเทียมภพรายงาน
            “โอนมาเลยครับ” ชลธีรับปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งๆที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีรอยยิ้มจางๆปรากฏ
            “ว่าไงครับ?” เขากรอกเสียงทักทายที่ยังฟังดูมึนตึง
            “พี่ชลเหรอคะ เมื่อสักพักน้องพลูโทรเข้ามือแต่ไม่รับ คิดว่าประชุมอยู่เลยฝากพี่เกดต่อสาย” เสียงใสๆตอบกลับมาทำให้เขายิ้มมากขึ้นแต่ก็ยังทำเสียงดุให้อีกฝ่ายรู้ว่ายังไม่หายเคือง
            “โทษที พอดีพี่ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ มีอะไรกับพี่หรือเปล่า?” คำถามนั้นฟังดูเป็นการเป็นงานเป็นการและเย็นชาเสียจนคนโทรมาเริ่มใจฝ่อ แต่ก็ก็ยังทำเสียงเริงร่าเข้าสู้เต็มที่
            “ดิฉันต้องการเบิกเงินจำนวนสิบล้านบาทตอนนี้ ช่วงนี้ห้างข้างๆจัดโปรฯลดราคาต้องไปแย่งช้อปกะเค้าเดี๋ยวตกเทรนด์ คุณชลธีรบกวนพิจารณาเซ็นอนุมัติด้วยค่ะ” หล่อนเลียนเสียงเลขาฯของพี่ชาย คนฟังยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน
            “ต้องลิสต์รายการเสนอมาว่าจะซื้ออะไรบ้าง ซื้อมาแล้วได้ประโยชน์อะไร เกิดกำไรต่อบริษัทฯหรือไม่ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์พร้อม convert ออกมาเป็นกราฟให้ผมดู” เขาล้อกลับแต่เสียงยังเนิบๆอย่างเดิม
            “ยุ่งยากจัง น้องพลูสำรองจ่ายไปก่อนแล้วรอเงินปันผลปลายปีของตัวเองดีกว่า” หล่อนได้ยินเสียงหึ หึ ดังมากจากคู่สนทนา
            “ถ้าจะให้ง่ายก็ยืมของพี่ก่อน พี่ไม่คิดดอกเบี้ยหรอก”
            “ไม่เอาหรอกค่ะ เกิดใช้คืนไม่ไหวมิต้องเอาตัวไปขัดดอกให้หรือ” หล่อนหยิบยกประโยคจากนิยายวิทยุที่แป๋มชอบฟัง เรื่องราวก็วนๆเดิมๆซ้ำจนจำพล็อตได้หมด เช่นว่า พ่อแม่นางเอกไปกู้เงินพ่อแม่พระเอกแล้วชดใช้ไม่ไหวต้องเอาลูกสาวไปขัดดอกอะไรเทือกนั้น คนพูดก็ไม่ได้คิดอะไรแค่อยากคุยขำๆให้อีกคนอารมณ์ดี แต่ผู้ฟังหน้าตึงไปเหมือนกันเพราะมันออกจะฟังดูแก่แดดไปสักนิด นี่คงต้องหาเวลาสอนกันอีก ถ้าไปเผลอพูดแบบนี้กับใครมันจะดูไม่เหมาะนัก
            “ถ้าพี่ชลไม่มีงานสำคัญตลอดบ่ายนี้ น้องพลูว่าจะชวนไปกินขนมกัน รู้มั้ยคะว่าข้างๆออฟฟิศมีร้านกาแฟสดด้วยนะ อาจจะไม่ดังเหมือนยี่ห้อนางเงือกสยายผมแต่ว่าก็ดังสุดในย่านนี้แหละ เวลาน้องพลูต้องมารอพี่หมากนานๆก็ชอบแวะไปทุกทีเลย” เขาหัวเราะเบาๆกับคำเรียกกาแฟยี่ห้อดัง
            “แล้วพี่เราไม่ว่าเอาหรือ?” เขาถามถึงคู่อริโดยใช้สรรพนามว่า “พี่เรา” เลี่ยงการเรียกชื่อเต็ม
            “ถ้าไม่รู้ก็ไม่ว่าหรอกค่ะ นี่น้องพลูมารอคุณแม่เห็นว่ามาเอาเอกสารอะไรแทนคุณพ่อก็ไม่รู้” หล่อนอธิบายเจื้อยแจ้ว คนฟังเหลือบมองนาฬิกานิดหนึ่งก่อนตอบตกลง
            “งั้นเดี๋ยวพี่ขอตอบอีเมล์สักครู่นะครับ” เขาว่าพลางเปิดจอแล็บท้อปพลางกวาดตามองผ่านบรรดาจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ประมาณยี่สิบฉบับที่ยังไม่ได้อ่าน
            “น้องพลูไปรอที่โชว์รูมนะคะ” แทนดาวยิ้มกับตัวเองก่อนวางสาย ไหนๆมีโอกาสก็อยากจะเลี้ยงขนมเขาเป็น ‘ง้อ’ อีกทั้งเนื่องในวันนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ไม่มีมารอย่างเทียมภพมาขวาง
แทนดาวไปที่ห้องทำงานของพี่สาวเพื่อไปดูว่าปลายเดือนน่าจะทิ้งไว้พวกเครื่องสำอางไว้ที่ทำงานบ้าง ลองเปิดลิ้นชักดูทุกอันจนในที่สุดก็พบสิ่งที่ต้องการแม้จะอยู่ในลักษณะเป็นของเหลือใช้แล้วก็ตามที มีกระดาษซับมัน กระจก แป้งอัดแข็งที่เหลือติดก้นตลับนิดหน่อย อายชาโดว์สีม่วงกับน้ำตาล บลัชออนที่หลงเหลือเศษติดขอบตลับเช่นกัน และลิปสติกสีชมพูสดรวมอยู่ในกล่องใบเล็กๆ หญิงสาวมองหน้าตัวเองในกระจกเงาเล็งว่าจะเริ่มทาตรงไหนก่อน พยายามนึกถึงตอนที่คุณแม่กับพี่สาวเคยแต่งหน้าให้แล้วก็เริ่มลงมือแต่งแต้มใบหน้าของตัวเองอย่างมีความสุข
            แทนดาวมานั่งรออยู่ชั้นล่างที่เป็นโชว์รูมจัดแสดงสินค้าและยังใช้เป็นที่รับรองลูกค้า หล่อนเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตเมื่อเห็นว่าเขามาหยุดยืนอยู่ข้างๆแล้วรีบยันกายลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะไปแล้ว ชลธีจ้องมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยความรู้สึกกึ่งขำกึ่งเอ็นดูและคาดว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเล็กน้อยหล่อนคงไป ‘เสริมสวย’ มา เขาหลุบตามองริมฝีปากสีชมพูสดเหมือนสีกุหลาบซึ่งเขาลงความเห็นว่ามัน ‘สด’ เกินไป เปลือกตาสีม่วงปะหลับปะเหลือกและแก้มที่อมชมพูมากไปเช่นเดียวกับริมฝีปาก การแต่งหน้าลักษณะนี้มันเหมาะกับการไปนั่งดื่มตามสถานบันเทิงที่มีแสงไฟเพียงสลัวๆจนต้องแต่งหน้าให้จัดเข้าไว้
            “พี่ชอบแบบเดิมมากกว่านะ” น้ำเสียงนั้นติดจะดุอยู่กลายๆ
            “ทำไมล่ะคะ? ไม่สวยเหรอ” แทนดาวมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ อุตส่าห์แต่งมาเอาใจนะเนี่ย
            “น้องพลูมีสีสันในตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องไปแต่งเติมหรอก พี่ไม่ชอบให้เมคอัพพวกนี้มาบดบังสีสันตามธรรมชาติในตัวน้องพลูที่สวยเสียจน...จนบางทีพี่ก็อิจฉาไอ้หมากเหมือนกันที่มีน้องสาวน่ารักถูกสเป็กพี่เลย” ชลธีเผลอยกมือขึ้นเขี่ยปอยผมที่ปรกอยู่แถวขมับนวล แทนดาวหน้าร้อนผ่าวเมื่อปลายนิ้วอุ่นสัมผัสเบาๆบนใบหน้า ไหนจะประโยคสุดท้ายที่หยอดไว้อีก นี่เขากำลังจะบอกว่า ตนเองคือผู้หญิงในสเป็กหรือนี่
            “พี่ให้เวลาสิบนาที ไปเช็ดหน้าออกเสีย” ชลธีเก็บมือในกระเป๋ากางเกงทันทีเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรก่อนจะบอกอีกฝ่ายเสียงเรียบแต่เจือคำสั่งกลายๆ แทนดาวพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ก็จะไปรู้เหรอว่าเขาชอบหน้าสด
            มี่นานนักแทนดาวก็กลับออกมาด้วยหน้าตาที่เกือบจะเกลี้ยงเกลาเหมือนเดิม คนชอบหน้าสดมองอย่างพอใจก่อนจะตามหล่อนไปร้านกาแฟที่ว่า พอลูกค้าประจำก้าวเข้ามาในร้านติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำพนักงานก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างสนิทสนม เพียงแค่บอกว่า “เอาเหมือนแต่เพิ่มเป็นสองที่ อ้อ...แต่เครื่องดื่มเปลี่ยนเป็นชาเขียวร้อนนะคะ” เท่านั้น พนักงานคนนั้นก็รีบรับออเดอร์ส่วนอีกคนก็พาขึ้นไปบนชั้นสองของร้านซึ่งเป็นระเบียงเปิดโล่งลมพัดเย็นสบายและร่มรื่นด้วยเถาไม้เลื้อยที่ปลูกคลุมระเบียงทั้งหมดเอาไว้แทนหลังคา
            “ชอบบรรยากาศมั้ยคะพี่ชล? ตากแอร์มาทั้งวันแล้วลองรับลมธรรมชาติดูบ้างแล้วกัน” คนตัวเล็กพูดอย่างอารมณ์ดีพลางหยิบผ้าเช็ดปากที่พับเป็นรูปสัตว์มาพิจารณาดู
            “ไม่ยักรู้ว่าน้องพลูก็มีที่หลบร้อนดีๆแบบนี้ด้วย พี่ชายยอมให้มาคนเดียวด้วยหรือ?” เขาถามพลางพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเล็กน้อย รอยสักรูปตัว P ยังคงดึงความสนใจของคนนั่งตรงข้ามได้อย่างเคย
            “แหม...อยู่ใกล้แค่นี้พี่หมากไม่ว่าหรอกค่ะ พี่หมากเองยังชอบนัดสาวๆมาประชุมนอกรอบที่นี่เลย” ชลธีหัวเราะกับความช่างหยิบยกคำพูดมาเปรียบเปรยของหล่อน
            “ของโปรดน้องพลูมาแล้ว พี่ชลลองดูสิคะ” ไม่นานนักบริกรก็นำขนมมาเสิร์ฟ เป็นชีสเค้กแต่งหน้าด้วยเชอรี่ชุบช็อกโกแลตลูกโต หญิงสาวเชื้อเชิญก่อนจะจัดการของตัวเอง เขามองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ลองตักชิมอย่างที่หญิงสาวแนะนำ มันก็อร่อยดีอยู่หรอกแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเขาไม่ชอบทานขนมหวาน!
            “พี่ชลทานไม่หมดเหรอคะนั่น?” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาวางช้อนแต่ขนมยังเหลืออีกตั้งครึ่ง
            “พอดีว่าตอนก่อนออกมาพี่ดื่มกาแฟเข้าไปเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ อีกอย่าง...พี่ไม่ค่อยถูกโรคกับขนมพวกนี้” เขาว่าพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบเพื่อล้างความหวานเลี่ยนของขนมที่เพิ่งชิมเข้าไป
            “อ้าว...เหรอคะ” แทนดาวหน้าเจื่อนทันที มองเค้กอันโอชะในส่วนของเขาด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ทำอะไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด แต่งหน้าก็ไม่ชอบ ขนมก็ไม่ชอบ ความตั้งใจของหล่อนกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบหมดเลยหรือนี่
            “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ พี่ดีใจที่น้องพลูชวนมาแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย ก็น้องพลูไม่รู้นี่นา พี่ว่าเราคงต้องมาเริ่มเรียนรู้กันและกันแล้วล่ะ” ชลธีแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเอง ทำไมถึงได้อดหยิกแกมหยอกทุกครั้งเวลาที่เจอกันไม่ได้ซะทีนะ
“งั้นน้องพลูกินที่เหลือเองนะคะ” คนตัวเล็กกลบเกลื่อนความเอียงอายนั้นด้วยการเลื่อนจานขนมที่เหลือมาจัดการจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว
“น้องพลูทานเก่งจัง ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ”
“กินขนาดนี้แต่ไม่เคยอ้วนสักที พี่ชลเชื่อมั้ย?” แทนดาวส่ายหน้า ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ
“สงสัยว่าระบบเผาผลาญคงจะมีประสิทธิภาพมาก ไม่เหมือนยัยแฟง รายนั้นมัวแต่ไดเอท”
“เค้าเรียกว่ารู้จักกินหรอกค่ะ ส่วนน้องพลูน่ะกินทุกอย่าง” ชลธียิ้มและแทนดาวก็ยิ้มตอบ หล่อนจะรู้ไหม...รอยยิ้มเวลาเผลอมันทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น!
“แก้มน้องพลูมีช็อกโกแลตติดอยู่ด้วย” ชลธีมองภาพนั้นอย่างเอ็นดูและสังเกตเห็นเศษขนมติดอยู่ตรงแก้มข้างหนึ่ง แทนดาวรีบเอามือปาดรอบๆปากจึงทำให้ช็อกโกแลตยิ่งเลอะเข้าไปอีก เขาเลยใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดออกให้ แทนดาวนั่งนิ่งทั้งเขินทั้งอาย
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้วใช่มั้ย? คิดไว้หรือยังว่าอยากทำอะไร” เขาเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเริ่มเห็นใจอีกฝ่ายที่ถูกแกล้งให้เขินอยู่หลายครั้ง
“พี่หมากให้เรียนต่อค่ะ” แทนดาวตอบเสียงเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเอง ชลธีร้องอ๋อเบาๆ คนอย่างเทียมภพคงจะปูทางให้น้องสาวเดินไว้เรียบร้อยแล้ว ชนิดที่ว่าไม่อาจเลี้ยววกไปทางไหนได้
“แล้วน้องพลูอยากทำงานอะไรล่ะ?”
“น้องพลูชอบดนตรีค่ะ เคยฝันว่าอยากเป็นนักดนตรีชื่อดังก้องโลก แต่ว่า...พี่หมากอยากให้ทำงานที่บริษัท” ดวงตาประกายฝันเมื่อครู่สลดลง คงเล่นดนตรีได้เพียงแค่เป็นงานอดิเรกเพราะมีภาระอันหนักหน่วงรออยู่ข้างหน้าแล้ว
“พี่เห็นด้วยที่น้องพลูจะเป็นนักดนตรีเพราะมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่ ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกัน แฟงเคยเล่าให้ฟังว่าน้องพลูเป็นลูกศิษย์ที่สอนง่าย เรียนเร็วและมีความตั้งใจสูง แถมยัง...น่ารักมากด้วย” เขาหยุดนิดหนึ่งพลางมองหน้าอีกฝ่ายที่ตอนนี้หน้าเริ่มแดงอีกแล้ว
“พอได้เจอตัวจริง...พี่ก็ไม่ผิดหวังเลย...รู้มั้ย?” สายตาอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งที่มาจากเนื้อแท้แห่งจิตใจทำให้คนถูกชมรู้สึกวูบวาบล้ำลึก คนอื่นชมทำไมไม่เป็นอย่างนี้นะ แต่พอออกจากปากเขาล่ะก็ได้เรื่องทุกทีเลย
“ขอบคุณค่ะ น้องพลูก็...ดีอยู่เรื่องเดียวแหละค่ะ”
“จริงอยู่ว่าตอนนี้น้องพลูอาจจะต้องเชื่อฟังผู้ปกครอง แต่ถ้าต่อไปน้องพลู...แต่งงานกับพี่ น้องพลูจะได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากทำ” เขาพูดคล้ายเป็นสัญญากลายๆ แทนดาวมองหน้าเขาอย่างค้นคว้า ใช่สินะ...และนี่ก็คืออีกวิถีทางหนึ่งของที่ถูกกำหนดไว้ให้ตนเองแล้ว แล้วมันจะต่างอะไรกับสิ่งที่พี่ชายทำเล่า
“พี่ไม่ได้เร่งรัดอะไรนะครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของน้องพลูเอง ตอนนี้น้องพลูทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ” ชลธีพอจะอ่านความคิดของหล่อนออกและไม่อยากให้แทนดาวรู้สึกแบบนั้น เขาพร้อมที่จะยอมรับการตัดสินใจของหล่อนไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธก็ตามที
“น้องพลูก็...ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ” แทนดาวพูดเสียงเบา ยังมองไม่เห็นเลยว่าเรื่องระหว่าตนกับบุรุษหน้าคมจะเป็นอย่างไรต่อไป
“แล้วเป็นไง? พร้อมจะไปเริ่มงานเมื่อไหร่ครับ?” จู่เขาก็ถามคำถามที่คนฟังต้องถือแก้วค้าง
“คะ? งานอะไร?” ดวงตาทรงอัลมอนด์เบิกกว้างอย่างอยากรู้
“อ้าว...ก็ไหนว่าอยากไปเล่นเปียโนที่โรงแรม”
“เรื่องนี้เอง...น้องพลูคุยกับพี่หมากแล้วค่ะ ไม่ประสบความสำเร็จจริงๆด้วย” คนตัวเล็กตอบเสียงหงอยๆ แต่คนถามกลับยิ้มน้อยๆ
“พี่คุยแล้ว ไอ้พี่เรามันยอม ยินดีด้วยนะครับ” เขาบอกพลางยิ้มกว้าง ตอนแรกก็ไม่คิดหรอก ว่าคนหัวดื้อพรรค์นั้นจะยอม
 
“ฉันจะยอมให้ยัยพลูไปแต่แกต้องยอมรับข้อเสนอของฉัน”
“ว่ามาสิ”
“ยัยพลูไม่ได้อยู่ในฐานะพนักงานเพราะฉะนั้นห้ามมีใครไปออกคำสั่งกับเธอหรือใช้งานนอกเหนือหน้าที่”
“ได้อยู่แล้ว”
“ที่สำคัญ...ถ้ามีใครไปเกาะแกะหรือล่วงเกินเธอ ฉันจะถือว่าเป็นความผิดของแกและนั่นหมายถึงยัยพลูจะไม่ได้ไปที่นั่นอีกถาวร”
 
“พี่ชลไม่ได้ล้อน้องพลูเล่นนะคะ น้องพลูดีใจจริงๆ” ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้ยังทำให้แทนดาวอึ้งพูดไม่ออกจนไม่แน่ใจว่าถูกอำเล่นหรือเป็นเรื่องจริง
“พี่เคยล้อน้องพลูเล่นหรือครับ ทุกอย่าง...ทุกอย่างการกระทำและคำพูด ทั้งหมดมีแต่ความจริงใจ” แทนดาวไม่รู้หรอกว่าเขาหมายถึงอะไรบ้างแต่ก็ทำให้เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม คนสมหวังยิ้มด้วยความดีใจประกายตาวิบวับทำให้คนตรงข้ามมองเพลิน
“ขอบคุณนะคะพี่ชล น้องพลูจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” ด้วยอารามดีใจที่ยังมีอยู่มากทำให้เผลอไปจับมือข้างหนึ่งของเขาไว้อย่างลืมตัวแต่พอรู้สึกตัวจะชักมือเขากลับไม่ยอมปล่อยเสียเอง
“อีกเรื่องนึง...เมื่อวานนี้พี่ใช้อารมณ์กับน้องพลู ยังโกรธอยู่หรือเปล่าคะ?” เขาทอดเสียงถามก่อนจะยกมือนุ่มขึ้นจรดริมฝีปาก แทนดาวกระตุกมือเบาๆด้วยความตกใจแต่ก็ยังไม่หลุดจากมือแข็งแรงนั้นอยู่ดี
 
“น้องพลูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามพี่ชลว่าโอเคหรือยัง วันนี้น้องพลูง้อพี่ชลมาทั้งวันแล้วนะ” คนตัวเล็กทำท่ากระเง้ากระงอดน่ารักแต่ไร้จริตจนเขาอยากจะทำอะไรตามใจ
“ใครจะไปโกรธเราได้ข้ามวัน พี่ไม่ใจร้ายขนาดนั้น แต่ทีหลังห้ามมีเรื่องปิดบังกันอีกนะ...ทุกเรื่องเลย” เขาย้ำชัด
“น้องพลูไม่เห็นว่ามันจะสำคัญอะไรนี่คะ”
“สำคัญสิ ทุกเรื่องสำคัญหมดแหละถ้าเป็นเรื่องของน้องพลูคนสวย” ชลธีจ้องตาคูสวยนิ่งจนเจ้าของต้องเป็นฝ่ายหลบ
“พี่ชลคิดเยอะไปเอง พี่อชิเค้าไม่ได้คิดอะไรกับน้องพลูซักหน่อย แกจีบพี่แฟงอยู่ต่างหาก” แทนดาวบอกแล้วก็นึกพาลว่าหมออชิตะนี่แหละที่จะมาแย่งคุณครูไปจากพี่ชาย
“อชิตะไม่ได้ชอบยัยแฟง เค้าชอบน้องพลูต่างหาก” ชลธีบอกแต่คนฟังทำหน้าไม่เชื่อ
“พี่ชลรู้ได้ยังไงคะ? ตอนนี้หมออชิตะเทียวรับเทียวส่งพี่แฟง ที่ทำงานก็อยู่ใกล้ๆกันอีก เวลาพี่แฟงมาบ้านทีไรก็เห็นคุณหมอมาส่งประจำ” คนตัวเล็กอธิบาย ชลธีส่ายหน้ากับความรู้เท่าไม่ทันคนของคนตรงหน้า
“แล้วเวลาเค้าไปส่ง น้องพลูได้คุยด้วยมั้ย?” เขาถามกลับ
“ก็...ค่ะ” แทนดาวคิดทบทวนแล้วก็เห็นว่าจริง ก็ทุกทีเวลาไปส่งครูสาวที่บ้านหมออชิตะคนนี้ก็จะเข้ามาพูดคุยกับบิดาแล้วก็ตนเองอยู่เสมอ ยิ่งถ้าวันไหนไม่มีออกตรวจก็จะอยู่นานเป็นพิเศษ
“ซื้อขนมสารพัดไปฝาก?” เขาถามต่อ
“ค่ะ” แทนดาวตอบสั้นๆแต่นั่นก็ทำให้คนถามทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
“นี่ไง...พี่ถึงบอกว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องใช้เซ้นส์”
สายตาของพนักงานจับจ้องมายังคู่หนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันมา จะเป็นไรไปที่ว่าที่คู่หมั้นจะพากันออกไปข้างนอก แทนดาวไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกต่อไปเมื่อรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาเลยอาศัยช่วงที่ยิ้มทักทายพนักงานคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในลิฟท์ตัวแรกสุดที่เปิดพอดีก่อนจะรีบกดปิดรัวๆแต่ผลคือชลธีถูกประตูลิฟท์หนีบเบาๆ
“สนุกหรือไง ถึงได้ชอบแกล้งพี่นัก” ชลธีเขยิบเข้าไปใกล้คนตัวเล็กที่พยายามทำตัวให้ลีบติดผนัง หวั่นใจเหลือเกินเมื่อรู้ว่าตัวเองหมดทางหนีทีไล่เสียแล้วเพราะอยู่ในลิฟต์สองคน
“เปล่านะคะ พี่ชลแทรกเข้ามาทำไมล่ะ รู้มั้ยว่ามันอันตราย ดีนะว่ามีเซ็นเซอร์ไม่งั้นถูกหนีบเป็นจิ้งจกแน่เชียว” หล่อนเถียงข้างๆคูๆ คนตัวใหญ่ใช้สองแขนเท้าผนังคร่อมคนตัวเล็กเอาไว้ แทนดาวเริ่มวิตกจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้
“น้องพลูทำพี่เจ็บตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเอาโทษเลยสักครั้งเดียว คราวนี้คงต้องลงโทษกันบ้าง...ไม่งั้นจะเคยตัว” เขาก้มลงกระซิบข้างหูเล็กก่อนจะกดจมูกลงตรงข้างแก้มนวลเนียนที่เฝ้าแต่แอบมองมานานพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพอดีกับที่ลิฟท์หยุด
“หอมจัง” คนพูดจ้องมองคนถูกหอมนัยน์ตาพราวขณะที่คนถูขโมยยังอยู่ในอาการนิ่งเหมือนถูกสตั๊ฟไว้ พอแทนดาวได้สติแล้วก็ก้มหน้างุดอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“อ้ออีกอย่างนึง...นี่พูดในฐานะพี่ชายคนนึงนะ ห้ามพูดว่าจะเอาตัวไป ‘ขัดดอก’ อีกเชียวนะ คนฟังเค้าอาจจะตีความในทางลบได้...โอเคมั้ย?” เขาเว้นระยะนิดหนึ่งให้หล่อนได้ทบทวน
            “น้องพลูแค่พูดเล่นเอง เอามาจากนิยายที่แป๋มชอบฟัง” คนตัวเล็กตอบอุบอิบพยายามหลบสายตาแพรวพราวที่ทอดมองมาไม่หยุดหย่อน คนอะไร...ตอนหน้าดุก็ดูน่าเกรงขาม ตอนทำตาเชื่อมนี่หวานซะจนดื่มกาแฟดำไม่ต้องเติมน้ำตาลยังแสบคอ
            “แล้วรู้ความหมายหรือ..ฮึ?” เขาถามถามเสียงนุ่มขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าจ๋อย คนถูกถามส่ายหัวดิก
            “เพราะอย่างนี้ไงถึงต้องบอก…ต้องสอน ถ้าแม่หรือพี่ชายเราได้ยินรับรองได้ว่าต้องถูกเอ็ดหรือดุมากกว่านี้แน่” ใบหน้านิ่งเฉยหากแต่นัยน์ตาสีเหล็กส่อประกายวับวามยังคงมองสำรวจไปทั่ววงหน้าหวาน พวงแก้มยังคงเจือสีชมพูจากความขวยอายที่ถูกลักขโมยหอมแก้มเมื่อครู่
 
“กลิ่นชีสเค้กกับสตรอเบอรี่ บางทีพี่คงต้องหัดกินขนมพวกนี้ให้มากขึ้น เพิ่งรู้...ว่ามันหอมหวานอย่างนี้นี่เอง”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา