รอยอธิษฐาน
10.0
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
13 ตอน
17 วิจารณ์
16.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทั้งสองคนลุกขึ้นยืน ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ปาระมีเบิ่งตากว้าง หมุนมองไปรอบตัว เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบพานอะไรเช่นนี้ในชีวิต บริเวณลานวัดแก้วกนกดูโล่งกว้างกว่าที่หล่อนเคยเห็น มันสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างจากบนวิหารได้อย่างชัดเจน วิหารปูนทรงโบราณ ประดับด้วยลายฉลุไม้สวยงามหายไปราวกับมีใครมาทุบทิ้ง ทว่ามือทุบคงเป็นมือยักษ์ตัวใหญ่มหึมา ที่สามารถทุบทำลายวิหารหลวงทั้งหลัง ให้หายไปในชั่วพริบตาเดียว ภาพที่เห็นตรงหน้า เป็นซากเศษปรักหักพัง มีควันไฟลอยกรุ่นดูราวกับภาพในความฝัน หากแต่มีทั้งเสียง กลิ่นฝุ่นควัน ที่แสบตาและเคืองจมูกเสมือนจริง ยังก็เพียงแต่องค์พระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่เท่านั้น ที่ทำให้ทั้งปาระมีและเจนนิษารู้ว่า พวกหล่อนยังคงอยู่ที่วิหารแก้วกนก หาใช่ที่อื่นไม่ พระพุทธรูปที่ชาวบ้านขนานนามท่านว่าหลวงพ่อแก้วกนก ยังคงเป็นองค์พระปฏิมาที่งดงามหมดจด ไร้ร่องรอยการเผาไหม้ใด ๆ
ปาระมีกวาดสายตาเลยลงมายังเบื้องล่าง ที่ลานกว้างนั้น หล่อนมองเห็นผู้คนมากมายกำลังช่วยกันเก็บกวาดสิ่งของโดยรอบ บ้างกวาดเถ้าถ่าน บ้างกำลังขนเศษไม้สีดำเป็นตอตะโกที่เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณไปทิ้ง วิหารหลวงกลายเป็นเพียงแค่ซากวิหาร...ไปเสียแล้ว
แต่ว่า มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ในเมื่อก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที พัดลมเพดานยังหมุน.. ไฟหน้าองค์พระประธานยังสว่างไสว ก่อนหน้านี้เอง ที่ตาถา มัคทายกบอกให้พวกหล่อนรอ และเขาก็เพิ่งก้าวพ้นบันไดข้างวิหารลงไปนี้เอง และบัดนี้ ที่บันไดข้างวิหาร ก็กลายเป็นสีดำสนิทด้วยอานุภาพแห่งกองเพลิง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ปาน”
เจนนิษาเสียงสั่น มือที่บีบเพื่อนสาวเย็นเยียบ ปาระมีได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“อ้าว! เฮ้ย! อีนางน้อยสองคนนั่นไปทำอะไรบนวิหาร ลงมา ๆ”
เสียงร้องเอะอะดังจากฝูงคนเบื้องล่าง ปาระมีมองเห็นชายวัยกลางยืนกวักมือเรียกที่เชิงบันไดวิหาร มือของเขาเปื้อนดำด้วยเศษเถ้าถ่าน เสื้อผ้าของเขาก็ด้วย เจนนิษาและปาระมียืนเก้กัง ผู้คนเริ่มหันมามองพวกหล่อนเป็นตาเดียว
“ลงมา ๆ ไฟไหม้วิหารจนจะหมดหลังแล้วบ่เห็นกันหรือไง เกิดวิหารพังลงมาจะได้เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันล่ะคราวนี้ ลูกเต้าเหล่าใครกันนี่นุ่งผ้านุ่งผ่อนพิลึกนัก”
ชายคนเดิมว่าพลางคว้าผ้าขาวม้าที่พุงมาเช็ดเหงื่อ เจนนิษาและปาระมีรีบหาทางลงจากวิหาร ประตูไม้แกะสลักด้านทิศเหนือมีรอยไหม้ตรงขอบด้านล่างเพียงเล็กน้อย ลวดลายแกะสลักที่บานประตูยังสวยเหมือนที่หญิงสาวเคยเห็นเงาสะท้อนของเด็กหญิง ทว่าในเวลานี้ ไม่มีกระจกสีชาบานนั้น
สองสาวก้าวลงทางบันไดทิศเหนือ ผู้คนพากันจ้องมองดูทั้งสองอย่างประหลาดใจ
“เฮ้ย ฝรั่งนี่นา มายังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ พูดไทยได้หรือเปล่า”
ชายอีกคนหนึ่งว่า เจนนิษารีบพยักหน้า
“หนูเป็นคนไทยค่ะ พูดไทยได้”
เสียงผู้คนฮือฮา หลายคนวางไม้กวาด วางเศษไม้เดินมามุงดูหญิงสาวทั้งสอง พวกผู้หญิงพากันมองดูและซุบซิบกันอย่างไม่เกรงใจ
“ทำไมนุ่งผ้ากันอย่างนั้นนะ จะว่ามาจากเมืองฝรั่งก็ไม่ใช่ ไม่กลัวผิดผีปู่ผีย่าหรืออย่างไรกัน นุ่งผ้าอะไรก็ไม่รู้แม่ญิงก็บ่ใช่ป้อจายก็บ่เชิง”
ปาระมีก้มมองตัวเองสลับกับมองเสื้อผ้าของเจนนิษาด้วย เมื่อเปรียบเทียบชุดเสื้อผ้าของหล่อน กับของผู้คนมากมายในลานวัดนั้น ก็นับว่าทั้งคู่แต่งกาย ‘พิลึก’ อยู่ ผู้คนเหล่านั้นไว้ผมเกล้ามวยสูง บางคนเสียบดอกเอื้องไว้ที่มวยผม เป็นสีเหลืองอร่าม ดอกเอื้องกระเพื่อมไหวไปมาตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเป็นดอกไม้มีชีวิต สวยแปลกตา ผู้หญิงส่วนใหญ่สวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นลายขวาง ในปากทุกคนมีอะไรบางอย่างเคี้ยวอมอยู่ พูดจาจึงฟังไม่ค่อยถนัด
“มาวัดไม่ดูผีดูสาง ไฟไหม้จนวิหารโล่งโจ้งอย่างนั้น ยังขึ้นไปได้”
พวกเขาพากันมองทั้งคู่ราวกับเป็นของประหลาด
“ท่าจะเป็นผีบ้านะ บ่เหมือนคนบ้านเราเลย”
“ดูคนนั้นสิ ฟันท่าจะหักตั้งแต่ยังสาวเลย ถึงได้ใส่ฟันปลอมแล้วเอาลวดมามัด”
เจนนิษาพยายามเม้มริมฝีปากไว้แล้วปากก้มหน้านิ่ง ๆ ปาระมีมองชาวบ้านที่รุมล้อมอย่างพินิจ หญิงชายทั้งวันหนุ่มวัยแก่เริ่มแห่กันมารุมล้อมรอบลานวิหาร พวกผู้ชายสวมเสื้อคอกลมเนื้อบางผ่าหน้าอก สวมกางเกงสะดอสีกรมท่าตุ่น ๆ ทุกคนล้วนมีผ้าขาวม้า บ้างก็คาดที่พุง บ้างก็เอาโพกที่ศีรษะ
“แกว่า....”
ปาระมีกระซิบเพื่อนสาว เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากขาวเนียน
“เราอยู่ที่ไหนกันแน่ตอนนี้...”
เจนนิษาค่อย ๆ หันมาสบตาเพื่อนรักด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย
“ไม่รู้สิ แต่ฉันอยากกลับบ้าน”
ตะวันยามเที่ยงสาดแสงร้อนแรง ชาวบ้านบางส่วนเริ่มทยอยกลับบ้านเรือนของตน หลายคนยังมองมาหญิงสาวทั้งคู่ด้วยความสนใจ และบางคนยังคงพูดถึงพวกหล่อนอย่างไม่รู้จบสิ้น สองสาวนั่งหลบร้อนที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก ปาระมีนึกขอบคุณเจนนิษาที่การเริ่มต้นร้องไห้ของหล่อนเมื่อครู่นี้ ช่วยสลายการชุมนุมลงไปได้มากเลยทีเดียว
“กินข้าวกินปลากันได้หรือยัง อีนางน้อย”
เสียงของลุงคาดผ้าขาวม้าคนเดิมดังขึ้นพร้อมข้าวในจานสังกะสีสองใบ สองสาวจ้องมองจานอย่างเลื่อนลอยแม้จะยกมือไหว้ขอบคุณแต่ก็ทำได้เพียงถือจานข้าวไว้ในมือเท่านั้น ทั้งสองกินอะไรไม่ลงเลยจริง ๆ ชายผู้นั้นมองอย่างสงสาร
“มาจากไหนก็อู้บ่ฮู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้น ไปแอ่วบ้านลุงก่อนดีไหม ลุงก็อยู่กับป้า มีลูกตัวน้อย ๆ อยู่สองคนคงพออยู่กันได้ล่ะ”
ปาระมียิ้มรับจาง ๆ เป็นไมตรีที่หล่อนไม่อาจปฏิเสธได้เลย หล่อนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองอีก เมื่อการกราบพระบนวิหารกับเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงหลังกระจกสีชานั้น ส่งผลต่อการมาปรากฏตัวยังที่แห่งนี้ ที่วัดแก้วกนกที่ไฟไหม้หมดเหลือแต่ซาก กับผู้คนที่หล่อนไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก และเวลากว่าสองชั่วโมงที่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกไปจากวัด ด้วยไม่รู้ว่า เบื้องหน้า จะมีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้รอคอยอยู่อีก
ทั้งสองเดินออกจากวัดพร้อมกับลุงทอง ชายวัยกลางคนผู้มีน้ำใจ มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของวัด ปาระมีมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างประหลาดใจ เส้นทางเหล่านี้ดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านแก้วกนกที่หล่อนคุ้นเคย เพียงแต่สายน้ำปิงตรงหน้านี้ดูกว้างขวาง ขอบตลิ่งเป็นไม้ไผ่เสียบเป็นระแนงกั้นดินไว้ ร้านรวงต่าง ๆ ริมแม่น้ำดูบางตา บ้านอาโกเฮงที่เป็นร้านกาแฟสไตล์โบราณก็ดูหลังเล็กลงและใหม่กว่าที่จำได้ ปาระมีมองดูตามเส้นทางเดินที่ลุงทองเดินนำมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มันดูแปลกตาไปหมดสิ่งปลูกสร้างล้วนเป็นหลังเล็กเป็นหย่อม ๆ เรียงรายหนาแน่นกระจุกกันอยู่แถวริมน้ำ สายน้ำปิงหรือก็ดูแปลกไปมาก มันดูโล่งสุดหูสุดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ปาระมีนึกถึงรูปภาพของเมืองเชียงใหม่ในอดีตที่เคยเห็นตามร้านอาหารย่านเมืองเก่า ดูคล้ายกันเหลือเกินกับภาพตรงหน้าหล่อนในเวลานี้ ไหนล่ะ...สะพานนครพิงค์ สะพานคอนกรีตที่มีเสาไฟสูงตระหง่านเรียงราย เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของใจเมืองเชียงใหม่ กลับหายไปเสียอย่างนั้น แล้วตกลงที่นี่มันเป็นที่ไหนกันแน่
“อ้า . . . ถึงแล้ว ป้าคำ ป้าคำ เอ๊ย ดูสิ พ่อพาไผมา”
ปาระมีเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงเรือนไม้ยกพื้นสูงหลังขนาด 10 เสา บริเวณบ้านกว้างขวางร่มรื่น หน้าบ้านมีซุ้มวางหม้อดินใส่น้ำ 2 หม้อ ตะไคร่สีเขียวจับรอบขอบหม้อดินดูเย็นชื่นใจน่าดื่ม
“ว้าว! สวยเหมือนพิพิธภัณฑ์บ้านกลางเวียงที่เราเคยไปเลยนะ”
เจนนิษาทำน้ำเสียงชื่นชม แต่ปาระมีสังเกตเห็นอาการหวาดหวั่นในสายตาของเพื่อนสาวได้ไม่ยากนัก เจนนิษากำลังกลัวในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพบเจอ
“มา นี่อีนางน้อยมารู้จักเมียลุงกันก่อน นี่ป้าคำ”
สองสาวยกมือไหว้ แต่เมื่อเงยหน้าพบกับป้าคำทั้งสองก็สะดุ้งโหยง เจนนิษาถึงกับกรี๊ดออกมาเบา ๆ ปาระมีก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ
“เป็นอะไรกันไปล่ะอีนางน้อย”
ลุงทองถามอย่างแปลกใจ เจนนิษาชี้มือสั่น ๆไปที่ป้าคำ
“ป้าคำ เอ่อ! ลืม ใส่เสื้อน่ะค่ะ”
ลุงทองมองไปที่เมียรักผู้สวมแต่ผ้าถุงท่อนล่างและเปลือยหน้าอกโทงเทงด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วหันกลับมามองที่สองสาวอย่างไม่เข้าใจ
“บ่ได้ลืมดอก อีหล้า มันร้อนก็นุ่งแค่นี้ อีหล้าเขาก็เถอะ ไม่ร้อนรึไงนุ่งอะไรมากมายนั่นน่ะ”
ป้าคำตอบเรียบ ๆ พยักเพยิดมาทางเครื่องนุ่งห่มของทั้งคู่ สองสาวสะดุ้งโหยง รีบตอบพัลวัน
“โอ ไม่ร้อนเลยค่ะ ป้า บ้านป้าเย้น...เย็น จะหนาวอยู่แล้วเนี่ย”
เจนนิษาว่าพลางจับเสื้อตัวเองไว้มั่น ปาระมีรีบยัดชายเสื้อเชิ้ตเข้าไว้ในกางเกงยีนส์เหมือนกลัวว่าจะมีคนช่วยถอด
“เออ… นุ่งผ้ากันแปลก ๆ เน้อ มา ขึ้นเรือนกินน้ำกินท่ากันก่อนสิ”
ลุงทองตักน้ำจากโอ่งที่เชิงบันไดล้างเท้าก่อนจะก้าวขึ้นเรือน ปาระมีทำตามพลางสะกิดเจนนิษาให้ทำด้วย สาวลูกครึ่งทำท่าอิดออด
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเท้าเปียก ไม่ชอบ”
“เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามนะแก”
บ้านลุงทองหลังไม่ใหญ่มากนัก แต่บนเรือนดูกว้างขวางและสะอาด ไม้พื้นเรือนถูกขัดจนมันวับ เครื่องเรือนน้อยชิ้น จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ป้าคำยกน้ำใส่ขันอลูมิเนียมมาวางให้แขกผู้มาเยือน สองสาวยังไม่กล้ามองป้าคำมากนักจึงก้มหน้ารับน้ำมาดื่มเขิน ๆ
“อยู่กันกี่คนคะ บ้านน่าอยู่มากเลย”
ปาระมีชวนคุย มองป้าคำที่คว้าผ้าแถบสีขาวมาพาดบ่าบังหน้าอกแล้วรู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้น
“อยู่กันสี่คน เดี๋ยวไอ้อินกับอีเอื้องลูกป้าก็มากันแล้ว มันไปช่วยสล่าเมืองเต่าไม้ที่บ้านเหนือนี่เอง”
“เต่าไม้...”
เจนนิษาทวนคำหน้าฉงน
“ก็ไสไม้ไง เหมือนแถวบ้านเราที่เขาสร้างบ้านกันน่ะ”
ปาระมีช่วยอธิบาย หล่อนนึกถึงเครื่องไสไม้ไฟฟ้าที่มีเสียงดังแหลมกังวานขณะใช้งาน ที่ช่างใช้เมื่อต้องการขัดให้หน้าไม้มีความเรียบเสมอกัน เจนนิษาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลุงทองเดินกลับขึ้นมาบนเรือนพร้อมปลาช่อนตัวใหญ่ เขาหยิบขึ้นชูให้สาว ๆบนเรือนดูอย่างดีอกดีใจ
“ดูสิ พ่อไปยกไซมา โชคดีขนาด ได้ปลาหลิมตัวหลวง วันนี้มีแกงส้มปลาเลี้ยงสู่อีนางน้อยทั้งสองแล้ว”
ตกเย็นอากาศเริ่มเย็นลงอย่างรู้สึกได้ ปาระมียืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน มองขึ้นบนท้องฟ้าที่มีดาวกระจ่างฟ้าอย่างครุ่นคิด เมื่อตอนบ่าย ลุงทองบอกกับหล่อนที่นี่ก็คือหมู่บ้านแก้วกนก แต่เมื่อหล่อนถามถึงบ้านของพ่อหล่อน แกกลับไม่รู้จัก ปาระมีลองถามถึงบ้านตาของหล่อน ลุงทองก็บอกว่าไม่รู้จัก หากที่นี่เป็นหมู่บ้านแก้วกนกของหล่อนจริง แล้วเหตุใดหนอ ทุกอย่างมันจึงดูผิดเพี้ยนจากสิ่งที่หล่อนรู้จักไปมากมายนัก ทั้งสถานที่ ผู้คน ตลอดจนบรรยากาศรอบข้าง มันดูแปลกหูแปลกตา เหมือนว่าตนเองได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยที่หมู่บ้านเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมากระนั้น
“หนาวก่อ”
เสียงป้าคำร้องถามมาจากครัวไฟ นางสวมเสื้อก้อมสีขาวตัวสั้นปิดหน้าอกไว้แล้วพันผ้าขาวม้าไว้รอบคอ กำลังสาละวนทำกับข้าวอยู่ในครัว กลิ่นข้าวเหนียวนึ่งใหม่ ๆ หอมฟุ้งจนหญิงสาวรู้สึกหิว
“ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนไป ที่น้ำบ่อหลังบ้านโน่น เดี๋ยวป้าเอาผ้าซิ่นให้”
ป้าคำหายเข้าห้องพร้อมกับผ้าซิ่นสองผืน ยื่นให้สองสาวก่อนจะทำท่าคิดอะไรออกแล้วกลับเข้าห้องไปอีกรอบ
“เอ้อ ป้ามีของใหม่เอาไว้อาบน้ำ สาว ๆเขาใช้กัน เดี๋ยวก่อนนา”
แกกลับออกมาพร้อมกับสบู่ก้อนสีเหลืองในมือ
“นี่ เอาไปใช้ เขาว่าดีนักดีหนา สาว ๆว่าใช้แล้วมันขาวดี”
เจนนิษารับมาดม ก่อนจะกระพริบตาปริบ ๆ
“สบู่ซันไลต์”
หญิงสาวว่า ป้าคำตบมือฉาด
“เอ๊อ! แม่นแล้ว รู้จักเหมือนกันเหรอ แอ่นและ...ทันสมัยเหมือนกันน่อ”
แกยิ้มชอบอกชอบใจแล้วกลับเข้าไปในครัวทำกับข้าวต่ออย่างมีความสุข เจนนิษาทำหน้ากระอักกระอ่วน ยื่นสบู่ในมือให้เพื่อนสาว
“แกหน้าเหมือนจานมากกว่าเรานะ อ่ะ เรายกให้”
ที่บ่อน้ำหลังบ้านมีคนกำลังอาบน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน คนหนึ่งเป็นหญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ย ๆ มองดูเด็กหญิงเด็กชายสองคนสาดน้ำใส่กันแล้วผลัดกันมาถูตัวให้แกบางคราว
“ตาอินถูขี้ไคลให้อุ๊ยหม่อนแล้ว เฮาจะเล่นน้ำ”
เด็กหญิงผมจุกว่า เด็กชายวิ่งกลับมาถูหลังให้หญิงชราสองสามทีก็กลับไปสาดน้ำน้องสาวต่อ
“เฮ้ย! ฝรั่ง ดูนั่น ๆ อีเอื้อง ฝรั่งจะมาอาบน้ำบ่อบ้านเฮา”
เด็กชายร้องตะโกนโหวกเหวกชี้มือชี้ไม้มาที่เจนนิษาราวกับหญิงสาวเป็นของแปลก เจนนิษามองตาขุ่น
“เป็นฝรั่งแล้วไงฮะ คำก็ฝรั่ง สองคำก็ฝรั่ง มันแปลกอะไรนักหนาเล่า”
สาวลูกครึ่งตะโกนสวนเด็กชาย อินทำตาโต
“พูดภาษาไทยได้ด้วย ไหนดูซิ โห! หน้างามขนาดเหมือนตุ๊กตาแขกเลย”
“สีผมเหมือนขนไอ้แดงเลยเนาะ แดง ๆ เหลือง ๆคือกัน”
เอื้องว่า ปาระมีพ่นลมหายใจทางจมูกพรืดใหญ่ เจนนิษาดูเกรี้ยวกราดกว่าเดิม
“มาเทียบสีผมจากฝรั่งเศสของฉันกับขนหมาได้ไง เจ้าเด็กบ้านี่ เดี๋ยวจับหักคอซะเลย”
“โทะ ดุแท้น้อ พี่ไอ้แดงนี่”
เด็กทั้งสองวิ่งแจ้นขึ้นเรือนหัวเราะเอิ้กอ้าก เจนนิษามองตามตาขวาง อุ๊ยหม่อนของทั้งสองหัวเราะน้อย ๆ มองเหลนทั้งสองอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเรือนหลังถัดไป
ปาระมีกับเจนนิษายืนมองบ่อน้ำอย่างชั่งใจ
“มันใช้ยังไงกันล่ะเนี่ย”
หญิงสาวเอื้อมดึงตะกร้าที่เคยเห็นที่บ้านเก่าของยาย เรียกว่า ‘ทุ้งน้ำ’ มาพิจารณาดู ตะกร้านั้นทำจากไม้ไผ่สาน ชันยาผูกติดกับเชือกไนล่อนเส้นใหญ่ที่ยึดไม้ไผ่ปล้องผอมยาวไว้ ปลายไม้ไผ่ถูกถ่วงน้ำหนักไว้ด้วยหินก้อนโตเพื่อช่วยให้สาวดึงน้ำขึ้นจากน้ำบ่อง่ายขึ้น
“ใช้ไม่ยากหรอก แต่กว่าจะอาบเสร็จนี่ มีหวังกล้ามขึ้น ปากเขียวแน่แก”
ปาระมีว่ามองเพื่อนสาวในชุดผ้าถุงเกล้าผมมวยอย่างนึกขัน เจนนิษาทำหน้าเลื่อนลอย
“ตักมาราดเราสองทีก็พอ เพราะเราไม่ถูสบู่”
ปาระมีกวาดสายตาเลยลงมายังเบื้องล่าง ที่ลานกว้างนั้น หล่อนมองเห็นผู้คนมากมายกำลังช่วยกันเก็บกวาดสิ่งของโดยรอบ บ้างกวาดเถ้าถ่าน บ้างกำลังขนเศษไม้สีดำเป็นตอตะโกที่เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณไปทิ้ง วิหารหลวงกลายเป็นเพียงแค่ซากวิหาร...ไปเสียแล้ว
แต่ว่า มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ในเมื่อก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที พัดลมเพดานยังหมุน.. ไฟหน้าองค์พระประธานยังสว่างไสว ก่อนหน้านี้เอง ที่ตาถา มัคทายกบอกให้พวกหล่อนรอ และเขาก็เพิ่งก้าวพ้นบันไดข้างวิหารลงไปนี้เอง และบัดนี้ ที่บันไดข้างวิหาร ก็กลายเป็นสีดำสนิทด้วยอานุภาพแห่งกองเพลิง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ปาน”
เจนนิษาเสียงสั่น มือที่บีบเพื่อนสาวเย็นเยียบ ปาระมีได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“อ้าว! เฮ้ย! อีนางน้อยสองคนนั่นไปทำอะไรบนวิหาร ลงมา ๆ”
เสียงร้องเอะอะดังจากฝูงคนเบื้องล่าง ปาระมีมองเห็นชายวัยกลางยืนกวักมือเรียกที่เชิงบันไดวิหาร มือของเขาเปื้อนดำด้วยเศษเถ้าถ่าน เสื้อผ้าของเขาก็ด้วย เจนนิษาและปาระมียืนเก้กัง ผู้คนเริ่มหันมามองพวกหล่อนเป็นตาเดียว
“ลงมา ๆ ไฟไหม้วิหารจนจะหมดหลังแล้วบ่เห็นกันหรือไง เกิดวิหารพังลงมาจะได้เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันล่ะคราวนี้ ลูกเต้าเหล่าใครกันนี่นุ่งผ้านุ่งผ่อนพิลึกนัก”
ชายคนเดิมว่าพลางคว้าผ้าขาวม้าที่พุงมาเช็ดเหงื่อ เจนนิษาและปาระมีรีบหาทางลงจากวิหาร ประตูไม้แกะสลักด้านทิศเหนือมีรอยไหม้ตรงขอบด้านล่างเพียงเล็กน้อย ลวดลายแกะสลักที่บานประตูยังสวยเหมือนที่หญิงสาวเคยเห็นเงาสะท้อนของเด็กหญิง ทว่าในเวลานี้ ไม่มีกระจกสีชาบานนั้น
สองสาวก้าวลงทางบันไดทิศเหนือ ผู้คนพากันจ้องมองดูทั้งสองอย่างประหลาดใจ
“เฮ้ย ฝรั่งนี่นา มายังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ พูดไทยได้หรือเปล่า”
ชายอีกคนหนึ่งว่า เจนนิษารีบพยักหน้า
“หนูเป็นคนไทยค่ะ พูดไทยได้”
เสียงผู้คนฮือฮา หลายคนวางไม้กวาด วางเศษไม้เดินมามุงดูหญิงสาวทั้งสอง พวกผู้หญิงพากันมองดูและซุบซิบกันอย่างไม่เกรงใจ
“ทำไมนุ่งผ้ากันอย่างนั้นนะ จะว่ามาจากเมืองฝรั่งก็ไม่ใช่ ไม่กลัวผิดผีปู่ผีย่าหรืออย่างไรกัน นุ่งผ้าอะไรก็ไม่รู้แม่ญิงก็บ่ใช่ป้อจายก็บ่เชิง”
ปาระมีก้มมองตัวเองสลับกับมองเสื้อผ้าของเจนนิษาด้วย เมื่อเปรียบเทียบชุดเสื้อผ้าของหล่อน กับของผู้คนมากมายในลานวัดนั้น ก็นับว่าทั้งคู่แต่งกาย ‘พิลึก’ อยู่ ผู้คนเหล่านั้นไว้ผมเกล้ามวยสูง บางคนเสียบดอกเอื้องไว้ที่มวยผม เป็นสีเหลืองอร่าม ดอกเอื้องกระเพื่อมไหวไปมาตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเป็นดอกไม้มีชีวิต สวยแปลกตา ผู้หญิงส่วนใหญ่สวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นลายขวาง ในปากทุกคนมีอะไรบางอย่างเคี้ยวอมอยู่ พูดจาจึงฟังไม่ค่อยถนัด
“มาวัดไม่ดูผีดูสาง ไฟไหม้จนวิหารโล่งโจ้งอย่างนั้น ยังขึ้นไปได้”
พวกเขาพากันมองทั้งคู่ราวกับเป็นของประหลาด
“ท่าจะเป็นผีบ้านะ บ่เหมือนคนบ้านเราเลย”
“ดูคนนั้นสิ ฟันท่าจะหักตั้งแต่ยังสาวเลย ถึงได้ใส่ฟันปลอมแล้วเอาลวดมามัด”
เจนนิษาพยายามเม้มริมฝีปากไว้แล้วปากก้มหน้านิ่ง ๆ ปาระมีมองชาวบ้านที่รุมล้อมอย่างพินิจ หญิงชายทั้งวันหนุ่มวัยแก่เริ่มแห่กันมารุมล้อมรอบลานวิหาร พวกผู้ชายสวมเสื้อคอกลมเนื้อบางผ่าหน้าอก สวมกางเกงสะดอสีกรมท่าตุ่น ๆ ทุกคนล้วนมีผ้าขาวม้า บ้างก็คาดที่พุง บ้างก็เอาโพกที่ศีรษะ
“แกว่า....”
ปาระมีกระซิบเพื่อนสาว เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากขาวเนียน
“เราอยู่ที่ไหนกันแน่ตอนนี้...”
เจนนิษาค่อย ๆ หันมาสบตาเพื่อนรักด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย
“ไม่รู้สิ แต่ฉันอยากกลับบ้าน”
ตะวันยามเที่ยงสาดแสงร้อนแรง ชาวบ้านบางส่วนเริ่มทยอยกลับบ้านเรือนของตน หลายคนยังมองมาหญิงสาวทั้งคู่ด้วยความสนใจ และบางคนยังคงพูดถึงพวกหล่อนอย่างไม่รู้จบสิ้น สองสาวนั่งหลบร้อนที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก ปาระมีนึกขอบคุณเจนนิษาที่การเริ่มต้นร้องไห้ของหล่อนเมื่อครู่นี้ ช่วยสลายการชุมนุมลงไปได้มากเลยทีเดียว
“กินข้าวกินปลากันได้หรือยัง อีนางน้อย”
เสียงของลุงคาดผ้าขาวม้าคนเดิมดังขึ้นพร้อมข้าวในจานสังกะสีสองใบ สองสาวจ้องมองจานอย่างเลื่อนลอยแม้จะยกมือไหว้ขอบคุณแต่ก็ทำได้เพียงถือจานข้าวไว้ในมือเท่านั้น ทั้งสองกินอะไรไม่ลงเลยจริง ๆ ชายผู้นั้นมองอย่างสงสาร
“มาจากไหนก็อู้บ่ฮู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้น ไปแอ่วบ้านลุงก่อนดีไหม ลุงก็อยู่กับป้า มีลูกตัวน้อย ๆ อยู่สองคนคงพออยู่กันได้ล่ะ”
ปาระมียิ้มรับจาง ๆ เป็นไมตรีที่หล่อนไม่อาจปฏิเสธได้เลย หล่อนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองอีก เมื่อการกราบพระบนวิหารกับเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงหลังกระจกสีชานั้น ส่งผลต่อการมาปรากฏตัวยังที่แห่งนี้ ที่วัดแก้วกนกที่ไฟไหม้หมดเหลือแต่ซาก กับผู้คนที่หล่อนไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก และเวลากว่าสองชั่วโมงที่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกไปจากวัด ด้วยไม่รู้ว่า เบื้องหน้า จะมีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้รอคอยอยู่อีก
ทั้งสองเดินออกจากวัดพร้อมกับลุงทอง ชายวัยกลางคนผู้มีน้ำใจ มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของวัด ปาระมีมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างประหลาดใจ เส้นทางเหล่านี้ดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านแก้วกนกที่หล่อนคุ้นเคย เพียงแต่สายน้ำปิงตรงหน้านี้ดูกว้างขวาง ขอบตลิ่งเป็นไม้ไผ่เสียบเป็นระแนงกั้นดินไว้ ร้านรวงต่าง ๆ ริมแม่น้ำดูบางตา บ้านอาโกเฮงที่เป็นร้านกาแฟสไตล์โบราณก็ดูหลังเล็กลงและใหม่กว่าที่จำได้ ปาระมีมองดูตามเส้นทางเดินที่ลุงทองเดินนำมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มันดูแปลกตาไปหมดสิ่งปลูกสร้างล้วนเป็นหลังเล็กเป็นหย่อม ๆ เรียงรายหนาแน่นกระจุกกันอยู่แถวริมน้ำ สายน้ำปิงหรือก็ดูแปลกไปมาก มันดูโล่งสุดหูสุดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ปาระมีนึกถึงรูปภาพของเมืองเชียงใหม่ในอดีตที่เคยเห็นตามร้านอาหารย่านเมืองเก่า ดูคล้ายกันเหลือเกินกับภาพตรงหน้าหล่อนในเวลานี้ ไหนล่ะ...สะพานนครพิงค์ สะพานคอนกรีตที่มีเสาไฟสูงตระหง่านเรียงราย เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของใจเมืองเชียงใหม่ กลับหายไปเสียอย่างนั้น แล้วตกลงที่นี่มันเป็นที่ไหนกันแน่
“อ้า . . . ถึงแล้ว ป้าคำ ป้าคำ เอ๊ย ดูสิ พ่อพาไผมา”
ปาระมีเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงเรือนไม้ยกพื้นสูงหลังขนาด 10 เสา บริเวณบ้านกว้างขวางร่มรื่น หน้าบ้านมีซุ้มวางหม้อดินใส่น้ำ 2 หม้อ ตะไคร่สีเขียวจับรอบขอบหม้อดินดูเย็นชื่นใจน่าดื่ม
“ว้าว! สวยเหมือนพิพิธภัณฑ์บ้านกลางเวียงที่เราเคยไปเลยนะ”
เจนนิษาทำน้ำเสียงชื่นชม แต่ปาระมีสังเกตเห็นอาการหวาดหวั่นในสายตาของเพื่อนสาวได้ไม่ยากนัก เจนนิษากำลังกลัวในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพบเจอ
“มา นี่อีนางน้อยมารู้จักเมียลุงกันก่อน นี่ป้าคำ”
สองสาวยกมือไหว้ แต่เมื่อเงยหน้าพบกับป้าคำทั้งสองก็สะดุ้งโหยง เจนนิษาถึงกับกรี๊ดออกมาเบา ๆ ปาระมีก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ
“เป็นอะไรกันไปล่ะอีนางน้อย”
ลุงทองถามอย่างแปลกใจ เจนนิษาชี้มือสั่น ๆไปที่ป้าคำ
“ป้าคำ เอ่อ! ลืม ใส่เสื้อน่ะค่ะ”
ลุงทองมองไปที่เมียรักผู้สวมแต่ผ้าถุงท่อนล่างและเปลือยหน้าอกโทงเทงด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วหันกลับมามองที่สองสาวอย่างไม่เข้าใจ
“บ่ได้ลืมดอก อีหล้า มันร้อนก็นุ่งแค่นี้ อีหล้าเขาก็เถอะ ไม่ร้อนรึไงนุ่งอะไรมากมายนั่นน่ะ”
ป้าคำตอบเรียบ ๆ พยักเพยิดมาทางเครื่องนุ่งห่มของทั้งคู่ สองสาวสะดุ้งโหยง รีบตอบพัลวัน
“โอ ไม่ร้อนเลยค่ะ ป้า บ้านป้าเย้น...เย็น จะหนาวอยู่แล้วเนี่ย”
เจนนิษาว่าพลางจับเสื้อตัวเองไว้มั่น ปาระมีรีบยัดชายเสื้อเชิ้ตเข้าไว้ในกางเกงยีนส์เหมือนกลัวว่าจะมีคนช่วยถอด
“เออ… นุ่งผ้ากันแปลก ๆ เน้อ มา ขึ้นเรือนกินน้ำกินท่ากันก่อนสิ”
ลุงทองตักน้ำจากโอ่งที่เชิงบันไดล้างเท้าก่อนจะก้าวขึ้นเรือน ปาระมีทำตามพลางสะกิดเจนนิษาให้ทำด้วย สาวลูกครึ่งทำท่าอิดออด
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเท้าเปียก ไม่ชอบ”
“เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามนะแก”
บ้านลุงทองหลังไม่ใหญ่มากนัก แต่บนเรือนดูกว้างขวางและสะอาด ไม้พื้นเรือนถูกขัดจนมันวับ เครื่องเรือนน้อยชิ้น จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ป้าคำยกน้ำใส่ขันอลูมิเนียมมาวางให้แขกผู้มาเยือน สองสาวยังไม่กล้ามองป้าคำมากนักจึงก้มหน้ารับน้ำมาดื่มเขิน ๆ
“อยู่กันกี่คนคะ บ้านน่าอยู่มากเลย”
ปาระมีชวนคุย มองป้าคำที่คว้าผ้าแถบสีขาวมาพาดบ่าบังหน้าอกแล้วรู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้น
“อยู่กันสี่คน เดี๋ยวไอ้อินกับอีเอื้องลูกป้าก็มากันแล้ว มันไปช่วยสล่าเมืองเต่าไม้ที่บ้านเหนือนี่เอง”
“เต่าไม้...”
เจนนิษาทวนคำหน้าฉงน
“ก็ไสไม้ไง เหมือนแถวบ้านเราที่เขาสร้างบ้านกันน่ะ”
ปาระมีช่วยอธิบาย หล่อนนึกถึงเครื่องไสไม้ไฟฟ้าที่มีเสียงดังแหลมกังวานขณะใช้งาน ที่ช่างใช้เมื่อต้องการขัดให้หน้าไม้มีความเรียบเสมอกัน เจนนิษาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลุงทองเดินกลับขึ้นมาบนเรือนพร้อมปลาช่อนตัวใหญ่ เขาหยิบขึ้นชูให้สาว ๆบนเรือนดูอย่างดีอกดีใจ
“ดูสิ พ่อไปยกไซมา โชคดีขนาด ได้ปลาหลิมตัวหลวง วันนี้มีแกงส้มปลาเลี้ยงสู่อีนางน้อยทั้งสองแล้ว”
ตกเย็นอากาศเริ่มเย็นลงอย่างรู้สึกได้ ปาระมียืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน มองขึ้นบนท้องฟ้าที่มีดาวกระจ่างฟ้าอย่างครุ่นคิด เมื่อตอนบ่าย ลุงทองบอกกับหล่อนที่นี่ก็คือหมู่บ้านแก้วกนก แต่เมื่อหล่อนถามถึงบ้านของพ่อหล่อน แกกลับไม่รู้จัก ปาระมีลองถามถึงบ้านตาของหล่อน ลุงทองก็บอกว่าไม่รู้จัก หากที่นี่เป็นหมู่บ้านแก้วกนกของหล่อนจริง แล้วเหตุใดหนอ ทุกอย่างมันจึงดูผิดเพี้ยนจากสิ่งที่หล่อนรู้จักไปมากมายนัก ทั้งสถานที่ ผู้คน ตลอดจนบรรยากาศรอบข้าง มันดูแปลกหูแปลกตา เหมือนว่าตนเองได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยที่หมู่บ้านเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมากระนั้น
“หนาวก่อ”
เสียงป้าคำร้องถามมาจากครัวไฟ นางสวมเสื้อก้อมสีขาวตัวสั้นปิดหน้าอกไว้แล้วพันผ้าขาวม้าไว้รอบคอ กำลังสาละวนทำกับข้าวอยู่ในครัว กลิ่นข้าวเหนียวนึ่งใหม่ ๆ หอมฟุ้งจนหญิงสาวรู้สึกหิว
“ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนไป ที่น้ำบ่อหลังบ้านโน่น เดี๋ยวป้าเอาผ้าซิ่นให้”
ป้าคำหายเข้าห้องพร้อมกับผ้าซิ่นสองผืน ยื่นให้สองสาวก่อนจะทำท่าคิดอะไรออกแล้วกลับเข้าห้องไปอีกรอบ
“เอ้อ ป้ามีของใหม่เอาไว้อาบน้ำ สาว ๆเขาใช้กัน เดี๋ยวก่อนนา”
แกกลับออกมาพร้อมกับสบู่ก้อนสีเหลืองในมือ
“นี่ เอาไปใช้ เขาว่าดีนักดีหนา สาว ๆว่าใช้แล้วมันขาวดี”
เจนนิษารับมาดม ก่อนจะกระพริบตาปริบ ๆ
“สบู่ซันไลต์”
หญิงสาวว่า ป้าคำตบมือฉาด
“เอ๊อ! แม่นแล้ว รู้จักเหมือนกันเหรอ แอ่นและ...ทันสมัยเหมือนกันน่อ”
แกยิ้มชอบอกชอบใจแล้วกลับเข้าไปในครัวทำกับข้าวต่ออย่างมีความสุข เจนนิษาทำหน้ากระอักกระอ่วน ยื่นสบู่ในมือให้เพื่อนสาว
“แกหน้าเหมือนจานมากกว่าเรานะ อ่ะ เรายกให้”
ที่บ่อน้ำหลังบ้านมีคนกำลังอาบน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน คนหนึ่งเป็นหญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ย ๆ มองดูเด็กหญิงเด็กชายสองคนสาดน้ำใส่กันแล้วผลัดกันมาถูตัวให้แกบางคราว
“ตาอินถูขี้ไคลให้อุ๊ยหม่อนแล้ว เฮาจะเล่นน้ำ”
เด็กหญิงผมจุกว่า เด็กชายวิ่งกลับมาถูหลังให้หญิงชราสองสามทีก็กลับไปสาดน้ำน้องสาวต่อ
“เฮ้ย! ฝรั่ง ดูนั่น ๆ อีเอื้อง ฝรั่งจะมาอาบน้ำบ่อบ้านเฮา”
เด็กชายร้องตะโกนโหวกเหวกชี้มือชี้ไม้มาที่เจนนิษาราวกับหญิงสาวเป็นของแปลก เจนนิษามองตาขุ่น
“เป็นฝรั่งแล้วไงฮะ คำก็ฝรั่ง สองคำก็ฝรั่ง มันแปลกอะไรนักหนาเล่า”
สาวลูกครึ่งตะโกนสวนเด็กชาย อินทำตาโต
“พูดภาษาไทยได้ด้วย ไหนดูซิ โห! หน้างามขนาดเหมือนตุ๊กตาแขกเลย”
“สีผมเหมือนขนไอ้แดงเลยเนาะ แดง ๆ เหลือง ๆคือกัน”
เอื้องว่า ปาระมีพ่นลมหายใจทางจมูกพรืดใหญ่ เจนนิษาดูเกรี้ยวกราดกว่าเดิม
“มาเทียบสีผมจากฝรั่งเศสของฉันกับขนหมาได้ไง เจ้าเด็กบ้านี่ เดี๋ยวจับหักคอซะเลย”
“โทะ ดุแท้น้อ พี่ไอ้แดงนี่”
เด็กทั้งสองวิ่งแจ้นขึ้นเรือนหัวเราะเอิ้กอ้าก เจนนิษามองตามตาขวาง อุ๊ยหม่อนของทั้งสองหัวเราะน้อย ๆ มองเหลนทั้งสองอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเรือนหลังถัดไป
ปาระมีกับเจนนิษายืนมองบ่อน้ำอย่างชั่งใจ
“มันใช้ยังไงกันล่ะเนี่ย”
หญิงสาวเอื้อมดึงตะกร้าที่เคยเห็นที่บ้านเก่าของยาย เรียกว่า ‘ทุ้งน้ำ’ มาพิจารณาดู ตะกร้านั้นทำจากไม้ไผ่สาน ชันยาผูกติดกับเชือกไนล่อนเส้นใหญ่ที่ยึดไม้ไผ่ปล้องผอมยาวไว้ ปลายไม้ไผ่ถูกถ่วงน้ำหนักไว้ด้วยหินก้อนโตเพื่อช่วยให้สาวดึงน้ำขึ้นจากน้ำบ่อง่ายขึ้น
“ใช้ไม่ยากหรอก แต่กว่าจะอาบเสร็จนี่ มีหวังกล้ามขึ้น ปากเขียวแน่แก”
ปาระมีว่ามองเพื่อนสาวในชุดผ้าถุงเกล้าผมมวยอย่างนึกขัน เจนนิษาทำหน้าเลื่อนลอย
“ตักมาราดเราสองทีก็พอ เพราะเราไม่ถูสบู่”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ