รอยอธิษฐาน
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เยือนคุ้ม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อ้าว! เป็นอย่างใดอินทร กินข้าวเช้ามาหรือยังล่ะ”
เสียงทุ้มนุ่มทักขึ้นเบา ๆ อินทรหยุดยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ปาระมีรีบประนมมือไหว้ตาม เจ้าคำสิงห์ยิ้มใจดี
“เรียบร้อยแล้วขอรับ เอ่อ เรื่องเมื่อวานกระผมต้องกราบขอบพระคุณเจ้าอย่างยิ่งเลยขอรับ หากไม่มีเจ้า ปาระมีคงแย่แน่ ๆ”
เจ้าคำสิงห์พยักหน้า แววตายังคงจับจ้องที่ปาระมีอย่างสนอกสนใจ หญิงสาวยิ้มเจื่อนพยายามอาศัยหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อย่างอินทรเป็นเครื่องกำบัง
“ไม่เป็นไรหรอก พานางมาเที่ยวด้วยหรือวันนี้”
“มิได้ขอรับ กระผมพานางมาช่วยสอนหนังสือ”
ชายหนุ่มตอบเมื่อเห็นเจ้าคำสิงห์มีสีหน้าฉงนจึงรีบอธิบายต่อ
“นางอ่านหนังสือออก เขียนก็เป็นขอรับ กระผมเห็นเด็กเรามีมากอยู่จึงขอร้องให้นางช่วยสอน”
เจ้าคำสิงห์พยักหน้าอย่างสนใจ แววตาเปื้อนรอยยิ้มจ้องมองมาที่หญิงสาวหลายต่อหลายครั้งจนอินทรรู้สึกผิดสังเกต เขาจึงรีบขอตัวพาปาระมีมาที่ศาลากลางสนามหน้าคุ้ม
“บ่าย ๆ ถ้าไม่มีกิจอื่นใด เราจะเข้าไปแวะดู”
เจ้ากล่าวทิ้งท้าย ทำเอาสองอาจารย์จำเป็นต้องเหลือบมองตากันอย่างไม่สบายใจ
“นางเคยเห็นเจ้าดาวเรืองหรือเปล่า”
อินทรเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความชุลมุนของเด็ก ๆ ที่เริ่มทยอยกันเข้ามาในบริเวณศาลาหลังน้อย ปาระมีพยักหน้า
“เคยเห็นสิ ที่วิหารวัดแก้วกนก ในหนังสือ ที่บ้านฉันก็มี รูปเก่า ๆ แต่ก็พอดูได้ ถามทำไม”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับคำตอบขอ งหญิงสาว
“นางหน้าเหมือนเจ้าดาวเรืองขนาด โดยเฉพาะตอนสาว ๆ เพียงแต่นางงามกว่า”
ชายหนุ่มชะงักริมฝีปาก เมื่อเห็นว่าคู่สนทนามีแก้มสีชมพูระเรื่อขึ้นจาง ๆ
“เอ้อ...เฮาหมายถึง”
เ ขาเกาปลายคางแก้เก้อ เป็นภาพที่ดูหลุดจากบุคลิกภาพของครูอินทรไปถนัดตา ปาระมีแอบหัวเราะ
“เจ้าดาวเรืองเพิ่นร่างท้วมตัวเล็ก แต่นาง เอ้อ...ผอม...สูง”
อินทรพูดตะกุกตะกักเรื่องที่ต้องการจะพูดถึงเลือนหายไปจากความคิดอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวร่างบางตรงหน้าไม่ตอบว่าอะไร เสหันไปทางหนังสือด้านหลังเสีย
“เป็นใดหูครูอินแด๊ง แดง”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัย 9 ขวบดังขึ้นข้างตัวจนชายหนุ่มสะดุ้ง ใบหูทั้งสองข้างจึงมีสีเข้มขึ้นกว่าเดิมจนลามมาถึงใบหน้าคมสันนั้นด้วย เขากระแอมกระไอก่อนจะพูดเสียงดัง
“เอ้า! ได้เวลาเรียนแล้ว มานั่งที่ให้เรียบร้อย เอาการบ้านขึ้นมาวางบนโต๊ะด้วย ใครลืมทำมาล่ะก็ น่าดู”
เด็กชายเด็กหญิงราว 20 คน รีบนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ย ๆ โดยมีแคร่ยาวยกพื้นทำเป็นโต๊ะเรียน กระดานไม้สีดำเบื้องหน้าถูกเขียนด้วยลายมือหวัดสวยงาม ระบุวันเดือนปีของวันนั้น
“วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2480”
ปาระมีมองกระดาน ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เลขวันที่บนหน้าปัดบอกวัน เดือน เดียวกัน
“ต่างกันแค่ปีเท่านั้นเอง...”
หญิงสาวนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้มา มันเป็นวันบุญออกพรรษาวันเดียวกันกับวันที่วัดถูกไฟไหม้ และในวันนี้ก็ราว 2 สัปดาห์ผ่านมา ที่นี่ก็ 21 ปีผ่านไปแล้ว หากแต่วันและเดือนยังคงเป็นเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่บ้านของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง... ปาระมีนึกถึงตอนที่หล่อนพลัดกับเจนนี้ช่วงเวลาเพียงแค่อึดใจนั้น ที่นี่ล่วงเลยไปถึง 3 วัน หญิงสาวเรียกความมั่นใจให้ตนเอง หล่อนควรจะอยู่ที่นี่ เพราะหากหล่อนกลับไปแม้เพียงวันเดียว เวลาที่นี่จะล่วงไปอีกกี่เดือนกี่ปีไม่รู้
“สวัสดีครับ”
เสียงทักขึ้นใกล้ตัว ปาระมีเงยหน้าขึ้นก็พบกับบุรุษผู้มาใหม่ ใบหน้าค่อนข้างกลมใหญ่ผิวขาวอย่างคนเชื้อสายจีน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนครูอินทรในมือหอบตำราสองสามเล่ม เขายิ้มให้ปาระมีอย่างเป็นมิตร อินทรวางมือจากชอล์กเขียนกระดานเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่
“มาขวายแหมแล้ว[1]”
อินทรทัก ชายหนุ่มหน้าขาวยิ้มตอบ
“สุมาเต๊อะครับ ผมเมาเซาะหนังสือมาหื้อครูอิน”
เขายื่นตำราในมือให้ อินทรรับมาดูก่อนจะวางไว้ที่โต๊ะ เขาหันมาทางปาระมีพยักหน้าให้หล่อนรู้ตัวว่ากำลังจะเอ่ยถึงหล่อนกับผู้มาใหม่อย่างไร
“นี่คุณปาระมี หรือน้องปาน”
เขาหยุดอมยิ้ม ส่งแววตาขบขันมายังหญิงสาว ปาระมียิ้มเฝื่อนก็เพิ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้เองที่เขาเป็นเด็กน้อยตกต้นไม้เรียกหล่อนว่า ‘พี่สาวคนงาม’ …แล้วมาวันนี้ หล่อนต้องกลายมาเป็น ‘น้องปาน’
“สวัสดีค่ะ”
ปาระมีจำต้องยกมือไหว้ ชายหนุ่มยิ้มให้สายตาเปล่งประกายระยิบระยับจ้องหล่อนอย่างไม่สำรวม อินทรกระแอมเบา ๆ ให้เขารู้สึกตัว
“น้องปานครับ นี่ ‘หนานคำตา’ เป็นครูที่สอนที่คุ้มนี้เหมือนกัน หนานคำตาบวชเรียน ไปจบที่กรุงเทพ รุ่นเดียวกับอ้าย[2]”
ปาระมีกลอกตา พร้อม ๆ กับที่อินทรกลั้นยิ้ม เรียกกันเป็นอ้ายเป็นน้อง ... กันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หนานคำตามองทั้งคู่อย่างสงสัย
“น้องปานเป็นญาติครูอินกาครับ เป็นใดผมบ่าเกยเห็นหน้ามาก่อน”
ครูอินทรกำลังจะอ้าปากตอบ ครู...ก็พูดต่อ
“นึกว่าเป็นหลานเจ้า หน้าตาดูเหมือนเจ้าดาวเรืองเลย”
ปาระมีสะอึกอีกรอบ หลาย ๆ รอบแล้วกับคำพูดทำนองนี้ นับตั้งแต่เจ้าแฝดแสบที่บ้านมาจนถึงผู้คนในคุ้มนี้
“ญาติผมครับ ญาติห่าง ๆ”
อินทรรับสมอ้างไปเช่นเคย ชายหนุ่มฝากฝังให้หนานคำตาช่วยแนะนำปาระมีเกี่ยวกับการสอน ก่อนจะปลีกตัวออกไปที่หน้าชั้นเรียนเพื่อสอนเด็ก ๆ ตามเดิม ปาระมีมองเอกสารบนหน้ากระดาษเหลือง หนังสือตำราเรียนโบราณทั้งหลายอย่างสนใจ
“เด็กแถวบ้านเราตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนโรงเรียนใหญ่กันหมดแล้ว เหลือไม่เยอะที่อยากจะเรียนในคุ้ม ส่วนทากก้เด็กบ้านใกล้ ๆ ”
หนานคำตาอธิบาย
“โรงเรียนใหญ่ ๆ ...”
ปาระมีทวนคำ หน้าตาฉงนสงสัย ครูหนุ่มจึงขยับเข้ามาใกล้ ทำท่านับนิ้วชี้แจง...
“แถว ๆ นี้ก็จะมีโรงเรียนสตรีพระราชชายา...ไม่สิ เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นชื่อโรงเรียนดาราวิทยาลัยแล้ว น้องเคยได้ยินก่อ”
โรงเรียนดังในตัวเมือง ปาระมีรู้จักดี แม่ละมุนของหล่อนก็ศิษย์เก่าที่นี่ด้วย
“ใกล้ ๆ กันก็โรงเรียนชายล้วน โรงเรียนปรินสรอยแยลวิทยาลัย โรงเรียนชายวังสิงห์คำเก่าไง”
ปาระมีพยักหน้าหล่อนรู้จักแค่ชื่อใหม่ ชื่อเก่า ๆ ที่หนานคำตาพูดถือเป็นความรู้ใหม่ ตอนนี้ปี 2480 แม่ของหล่อนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ การศึกษาของล้านนาเจริญขึ้นเร็วมาก แต่โรงเรียนในคุ้มวังพิทักษ์ยังมีความหมาย ทั้งต่อตัวผู้เรียน พ่อแม่เด็กที่ติดขัดเรื่องรับส่งบุตรหลาน ต่อตัวครุผู้สอนที่มีงานทำและที่สำคัญที่สุด ต่อตัวเจ้าของคุ้มเอง
เสียงเด็กนักเรียนจากศาลาหน้าคุ้มส่งเสียงเจื้อยแจ้วเคล้าเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ปาระมีมองเลยกลุ่มเด็กนักเรียนเรื่อยขึ้นไปจนถึงบนระเบียงคุ้ม ที่ระเบียงห้องชั้นบนปรากฏร่างผอมบางของสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่ง รูปร่างซูบผอม เกล้าผมมวยต่ำ ๆ แต่งกายด้วยชุดล้านนาโบราณ นางสวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว ผ้าซิ่นตีนจกยกทองสะท้อนประกายแดดอยู่วาววับ นางห่มผ้าคลุมไหล่ผืนหนาสีเลือดหมู อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น มือข้างหนึ่งถือถ้วยชาร้อนยกจิบเป็นระยะ ข้างตัวมีนางข้าคอยรับใช้อยู่ ปาระมีมองเห็นแต่ไกลแต่ก็จำได้แม่นยำว่านางข้าคนนั้นหาใช่ใครอื่นไม่ หากแต่เป็นหญิงหน้าตาสวยน่ากลัวคนนั้น นางแสงคำ
เจ้านางขยับตัวพูดอะไรบางอย่างกับแสงคำ ปาระมีเห็นนางข้าพยักหน้าอย่างนอบน้อมแล้วลุกขึ้นเดินอ้อมมาทางด้านหลังซึ่งปาระมีเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเป็นรถเข็น แสงคำเข็นรถพาเจ้านางกลับเข้าห้องไป จังหวะหนึ่งที่ปาระมีมองเห็นและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองคือแสงคำเงื้อมืออยู่เหนือศีรษะเจ้านาง หน้าตาสวยงามกำลังจ้องมองหญิงสูงศักดิ์บนรถเข็นด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง
แสงคำทำอย่างนั้นไปทำไม…
ปาระมีมองตามหลังสตรีทั้งสองไปจนทั้งคู่หายลับไปหลังผ้าม่านห้องนอนนั้น ขณะในใจครุ่นคิด หูที่ได้ยินแต่เสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็กนักเรียนก็พลันได้ยินเสียงรำพึงรำพันของใครคนหนึ่งแทรกขึ้นมาราวกับผู้พูดมายืนกระซิบอยู่ใกล้ ๆ ... ‘ลูกรักของแม่ ลูกของแม่ทั้งสองคน ซาวเอ็ดปี...ซาวเอ็ดปีมาแล้ว ลูกไปอยู่เสียที่ใด ลูกแม่คงไม่ตายดอก ไม่มีผู้ใดเคยเห็นศพเจ้า คงมีไผสักคนเอาเจ้าไป อายุของแม่สั้นนักแล้ว ความปรารถนาสุดท้ายของชีวิตที่เหลืออยู่ แม่เพียงแค่ใคร่อยากเห็นหน้าเจ้าสักครั้ง...’
ปาระมีหันซ้ายหันขวา รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไม่เกี่ยวอะไรกับอากาศยามเช้าในฤดูฝนพุ่งเข้าใส่จนรู้สึกเย็นยะเยือกถึงขั้วหัวใจ หล่อนมั่นใจแม้จะไม่เคยได้พบพูดคุยต่อหน้า แต่เสียงแหบพร่าอ่อนหวานนี้ต้องเป็นเสียงของเจ้าดาวเรืองอย่างแน่นอน นางคร่ำครวญร่ำไห้ นางคิดถึงลูกของนาง แต่เสียงของนางกลับมาดังอยู่ใกล้ ๆ นี้เอง ใกล้กับหล่อนนี่เอง
บนเรือนคุ้มหลังใหญ่ เจ้าดาวเรืองกำลังเอนหลังลงบนเก้าอี้หวายมุมห้อง แดดอ่อน ๆ ทอแสงผ่านผ้าม่านกรองแสงสีขาวที่ขึงกลางกรอบไม้ นางแสงคำกำลังออกไปเตรียมผ้าขนหนูมาให้นางเช็ดมือ เจ้านางอยากจะล้างมือแต่แสงคำไม่อยากให้เจ้านางลำบากไปที่ห้องน้ำจึงเสนอให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดมือแทน นางออกไปได้ครู่หนึ่ง เสียงหัวเราะครึกครื้นสนุกสนานจากโรงเรียนข้างล่างก็กระตุ้นให้คนอ่อนแรงในห้องใหญ่เกิดความฉงนสงสัยขึ้นมาอีกว่า ข้างล่างมีอะไรน่าสนุกหนอ วันนี้เด็ก ๆ จึงได้คึกคักนัก เจ้าดาวเรืองควานหยิบแว่นตาที่โต๊ะข้างตัวขึ้นสวม สายตาพร่าเลือนก็พลันแจ่มชัดขึ้น นางชะเง้อคอมองผ่านหน้าต่าง ก็เห็นกลุ่มคนเล็ก ๆ กำลังวิ่งกรูกันเข้ามาใกล้ลานหน้าคุ้ม กลุ่มเด็กนักเรียนนั่นเอง มีครูอินทร ครูหนุ่มคนโปรดของเจ้าสามีนำพวกเขามา หนานอินตา เพื่อนสนิทของเขา และนั่น... หญิงสาวผมยาว เจ้านางไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน นางจ้องมองหญิงผู้มาใหม่ด้วยความสนใจ
“แสงคำ แสงคำ”
ริมฝีปากซีดเซียวกระตุกเรียกคนสนิท แสงคำรีบคลานเข่าเข้ามาใกล้อย่างนอบน้อม
“เจ้า...เจ้านางต้องการอะหยังเจ้า”
เจ้าดาวเรืองยังคงไม่ละสายตาจากหญิงสาว นางชี้มือสั่นเทาไปที่ร่างนั้น
“นั่นไผ...”
แสงคำเพ่งมองตาม ก่อนจะเหยียดริมฝีปาก
“เห็นว่าเป็นญาติครูอินทรเจ้า แต่ข้าเจ้าบ่ใคร่อยากเชื่อเท่าใดนัก อยู่ดี ๆก็โผล่ขึ้นมากลางคุ้ม แต่เจ้าหลวงก็ยังเชื่อปล่อยมันไปได้ ข้าเจ้าว่า...”
“ไปบอกให้มาหากูหน่อย กูใคร่อยากเห็นหน้าใกล้ ๆ”
เจ้าดาวเรืองแทรกด้วยสีหน้าเรียบเฉย แสงคำเม้มริมฝีปาก ก่อนจะจีบปากถาม
“เจ้าจะทำอะหยังกับมันเจ้า ข้าเจ้าจะไปสั่งหื้อก็ได้ เจ้าจะได้บ่ต้องเหนื่อย ข้าเจ้าว่าเอาไปขังคุกมืด...”
“ไปพานางมาหากู มึงบ่ต้องอู้นัก แสงคำ”
เจ้าดาวเรืองตวัดเสียงเข้ม นางหายใจหอบเหนื่อยแต่แววตายังคงมีประกายเมื่อทอดมองไปยังกลางลานคุ้ม นางยังอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน อีแสงคำช่างยืดยาดนักกว่าจะก้าวออกจากเรือนได้ ดูอิดออดเต็มที เจ้าดาวเรืองเร่งร้อนสาวใช้อยู่ในใจ พักหลังมานี้นางรู้สึกอ่อนล้าลงไปมาก แม้ว่าความคิดถึงลูกที่มีอยู่ในใจจะลดความเจ็บปวดลงไปโข แต่เหตุอันใดไม่รู้ที่ทำให้นาง ไม่อยากอาหารและอ่อนเพลียอยู่ร่ำไป คงเป็นเพราะบาปกรรม ที่นางเคยทำไว้ มันมาเกาะมากัดกร่อนชีวิตจิตใจของนาง ไม่ให้มีความสุข บาป…ที่นางไม่ได้ใส่ใจดูแลลูกแท้ ๆของนางเอง
[1] มาสายอีกแล้ว
[2] พี่ชาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ