รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ชายในฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปาระมีรีบหลบไปด้านหลังประตูเมื่อเห็นหญิงสาวเกล้าผมมวย แต่งกายโบราณ ถือถาดขนมเดินผ่านมา ลมโชยหวีดหวิวรดต้นคอทำให้รู้สึกสะดุ้งเฮือกเมื่อนึกขึ้นได้ว่านอกประตูบานนี้มีวิญญาณแสงคำคอยท่าอยู่ ปาระมีผลุบกลับเข้ามาด้านใน หญิงสาวปิดประตูเหล็กเก็บลูกกุญแจสีทองไว้ที่คอคู่กับสร้อยพระที่แม่ให้ไว้สอดไว้อย่างดีในอกเสื้อ

“มึงเป็นไผ”

เสียงของผู้หญิงดังขึ้นข้างตัว ปาระมีรีบหันกลับไปมอง หล่อนพบกับผู้หญิงโบราณสองคนในชุดเสื้อแขนกระบอกสีขาวซิ่นลายน้ำไหลสีหม่น ๆ

ทั้งสองนางเบิกตากว้างขณะจ้องมองใบหน้าของปาระมีราวกับเห็นอะไรที่น่าประหลาดใจที่สุด ปาระมีใจเต้นรัว หรือหล่อนควรจะหันกลับไปเผชิญกับผีแสงคำที่คุ้มร้างดีกว่าที่จะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรไม่รู้ที่อาจจะเกิดขึ้นกับหล่อนที่นี่อีก

“กูถามว่ามึงเป็นไผ เป็นใดมึงบ่ตอบ”

หนึ่งในสองนางนั้น ตวาดเสียงเข้มแววตาคู่นั้นลุกวาว ปาระมีเริ่มรู้สึกคุ้นกับแววตาคู่นั้น แววตาที่ดูตื่นกลัวหวาดระแวง

“คือ...ฉัน”

ปาระมีกลั้นใจ ในใจกำลังคิดหาถ้อยคำที่จะช่วยให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้าอย่างร้อนรน เสียงหญิงอีกนางหนึ่งก็กระซิบให้ได้ยินเบา ๆ

“หน้าเหมือนเจ้านางขนาดเลย แสงคำ...”

                  แสงคำ…

ปาระมีรีบเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาแข็งกร้าวของใบหน้าสวยงามก็สะท้อนเงาของรูปภาพในห้องแกลลอรี่ของพ่อกลอยขึ้นมา หญิงคางเหลี่ยมผิวขาวที่นั่งถัดลงมาจากเจ้าดาวเรืองในรูป คือนางนั่นเอง นางแสงคำ…

แสงคำตวัดสายสายตามองเพื่อนอย่างขุ่นเคือง ดวงตารียาวคู่นั้นที่ยังคงฉายแววเคียดแค้นอยู่ไม่คลาย นางเป็นคนเดียงกับผีแสงคำ ผีเฝ้าคุ้มดุร้ายตนนั้นขณะมีชีวิตอยู่ ปาระมีรู้สึกเข่าอ่อน หล่อนเพิ่งวิ่งหนีผีแสงคำเข้าในนี้ ในยุคที่คุ้มวังพิทักษ์ยังคงมีแสงสว่างเจิดจ้าอบอุ่น แต่กลับยังต้องมาพบเจอแสงคำขณะยังเป็นอยู่อีก และดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นผีหรือคน นางคนนี้ก็ไม่น่าคบน่าอยู่ใกล้ด้วยเลย แสงคำมองหน้าหล่อนอย่างเกลียดชัง ก่อนจะหันไปทางสนามหญ้าหน้าคุ้มแล้วตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

“ไผก่อได้มาทางนี้เร็ว ๆ มีคนบุกรุกคุ้ม! ทางนี้เน้อ ทางนี้!”

ปาระมีตัดสินใจพุ่งตัวกลับไปที่ประตูเหล็กทันทีเมื่อเห็นว่าชายร่ายกายกำยำสองคนกำลังพุ่งตรงมาที่หล่อน แต่แสงคำและหญิงอีกคนนั้นก็ไวไม่แพ้กันทั้งสองจับตัวปาระมีไว้ แสงคำนั้นไม่คว้าเปล่ายังจิกเล็บเข้าที่เนื้อแขนจนหญิงสาวต้องร้องครางออกมาเบา ๆ

“จับตัวมันไว้ มันต้องเป็นคนของไอ้พวกฝรั่งแน่ ๆ ดูมันนุ่งผ้าสิ บ่แม่นคนในคุ้มนี้ดอก”

แสงคำผลักปาระมีอย่างแรงให้ชายร่างใหญ่รับไว้ ทั้งที่เจ็บแต่ปาระมีก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงร่างเล็กและผอมบางอย่างแสงคำคนนี้ เหตุใดจึงมีเรี่ยวแรงมากมายนัก ทั้งกิริยาท่าทางที่แสดงออกก็ดูจงเกลียดจงชังหล่อนอย่างออกนอกหน้า จะว่าไปแล้ว ปาระมียังไม่ได้ทำอะไรเลย หล่อนไม่รู้จักแสงคำเป็นการส่วนตัว และมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดนอกเสียจากเข้ามาในคุ้มโดยไม่ได้รับอนุญาต

“เอามันไปขังในคุกมืดเลย”

แสงคำสั่งอย่างวางอำนาจ ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง เหมือนกับเมื่อเป็นผีร้ายไม่มีผิด ปาระมีขืนตัวไว้ไม่ยอมไปตามแรงของชายทั้งสองโดยง่าย

“ไม่นะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ จะมาจับฉันไม่ได้”

ปาระมีดิ้นรนขัดขืน ชายคนหนึ่งมองหน้าปาระมีอย่างลังเล

“เฮาลองพาไปหาเจ้าก่อนดีก่อครับแม่นายแสงคำ”

“บ่ต้อง! เอามันไปขังอย่างที่กูบอก หรือมึงจะลองดีกับกู”

แสงคำตวาดจนตัวสั่น ชายร่างใหญ่สองคนรีบก้มหน้า ฉุดกระชากปาระมีออกไปจากหน้านางแสงคำทันที ปาระมีหันรีหันขวางอย่างตกใจ นี่หล่อนจะต้องถูกขังที่คุกมืดจริง ๆหรือ ไม่นะ หล่อนมาที่นี่เพราะปรารถนาดีแท้ ๆ ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องรับรู้สิว่าหล่อนมาดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องช่วย...ใช่แล้ว...หญิงสาวนึกถึงเด็กผมจุก   เวลานี้เจ้าไปอยู่เสียที่ไหนกันนะ...

“เสียงดังเอะอะ อะไรกัน”

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นใกล้ตัว ปาระมีรีบหันกลับมามอง ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาคมสันยืนอยู่ตรงนั้น ผู้ชายคิ้วเข้มดวงตาโศก รูปร่างสูงใหญ่ดูสง่างาม งาม...กว่าที่ปาระมีเคยเห็นในความฝันเมื่อคืนนั้นเสียอีก หญิงสาวยืนตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะความรูปงามของเขา แต่เป็นเพราะดวงหน้าคมสันนี้หล่อนจำเขาได้จากรูปภาพใบเดียวกันกับที่นึกหน้าแสงคำออกเมื่อครู่นี้ต่างหาก

ชายร่างกำยำปล่อยมือจากการจับหล่อนออกเสียข้างหนึ่ง เพื่อจะวางมือลงอย่างสุภาพก่อนจะพูดคุยกับชายหนุ่มเบื้องหน้า  เขา ...ผู้ซึ่งกำลังจ้องมองปาระมีอย่างประหลาดใจ

“ครูอินทรครับ คือ แม่ญิงคนนี้บุกรุกเข้ามาในคุ้มครับ แม่นายแสงคำบอกให้เอาไปขังในคุกมืด กลัวจะเป็นคนของฝรั่งใช้มา”

ชายคนหนึ่งพูดกับเขา ครูอินทรคิ้วขมวดอย่างไม่เชื่อ

“ถึงกับขังคุกมืดเชียวหรือ เป็นใดบ่ถามนางดูก่อนล่ะ ว่านางเป็นไผมาจากไหน”

เขาพูดขณะมองหล่อนไม่วางตา ชายสองคนทำท่าอึดอัด แขนที่จับหญิงสาวเสียแน่นเมื่อครู่คลายลงมาก ปาระมีสบตากับชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง

“เป็นใดยังบ่เอาอีคนนี้ไปอีก หา! ไอ้สี มึงนี่พูดบ่ฮู้เรื่อง หรือมึงอยากจะเข้าไปอยู่ในคุกแทนมัน”

เสียงแผดดังที่คุ้นหูลอยมาใกล้อีกครั้ง นางแสงคำกำลังเดินกลับมาจ้องตาพองอย่างโกรธเกรี้ยว

“รีบเอามันไปเดี๋ยวนี้!”

ไอ้สีรีบฉุดหญิงสาวไปทันที โดยไม่สนใจครูอินทรอีก ปาระมีสะบัดแขนอย่างร้อนรน

“ไม่นะ ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย ปล่อย!”

“เสียงดังเอะอะอะไรกัน ดังไปถึงชั้นบน เจ้าดาวเรืองกำลังพักผ่อน พวกมึงวอนโดนหวายกันทั้งหมู่เลยรึ”

เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังขึ้นเบื้องหลัง ทุกคนพากันทรุดตัวลงนั่งก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับบุรุษผู้มาใหม่ ชายเลยวัยกลางคนผู้มีดวงหน้าคมเข้ม คิ้วดกใหญ่ดูรับกันดีกับหนวดงอนงามที่ดูเหมือนจะกระดิกได้คู่นั้น เจ้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ ตัวเป็น ๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ปาระมีกำลังยืนมองอย่างตกตะลึง หล่อนเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงยืนทื่ออยู่ ตรงหน้าท่าน ในขณะที่คนอื่น ๆ นั่งลงกับพื้น เจ้าคำสิงห์เดินหน้าเครียดเข้ามาใกล้ มองปาระมีอย่างพินิจ

“อีนางนี่เป็นไผ”

“อีนางนี่ลักเข้ามาในคุ้ม ข้าเจ้าสงสัยว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่งเขาใช้มา เลยจะให้ไอ้สีเอาไปขังไว้ในคุกมืดเจ้า”

แสงคำรีบรายงาน มือเกาะอยู่ที่ขาเจ้าคำสิงห์อย่างประจบ เจ้าคำสิงห์ขยับขาหนีนาง จ้องมองปาระมีอย่างเคร่งเครียด

“มึงเป็นไผ”

เจ้าถามเสียงดัง

“นั่งลง! ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่ได้ อีพวกฝรั่งบ่มีมารยาท”

แสงคำเอ็ด ก่อนจะอ้อมหลังเจ้าคำสิงห์มากระชากตัวหญิงสาวให้ทรุดตัวลงนั่ง ปาระมีล้มลงข้างครูอินทร ชายหนุ่มประคองหญิงสาวไว้ สบตาหล่อนอย่างเป็นกังวล

“ฉันไม่ใช่ฝรั่ง”

ปาระมีกัดฟันตอบแสงคำ ใช่สิ หน้าตาหล่อนหมวยขนาดนี้ ยังจะมากล่าวหาว่าเป็นฝรั่งอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ได้ เออ ถ้าหน้าตาแบบเจนนิษาก็ว่าไปอย่าง

“ถ้าอย่างนั้นมึงก็บอกมาสิว่ามึงเป็นไผ”

แสงคำว่าเสียงดัง ปาระมีนิ่งเงียบรู้สึกปวดท้องคลื่นไส้เวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก หล่อนควรจะตอบว่าอย่างไร เพื่อให้รอดจากคุกมืด จากโทษทัณฑ์ที่หล่อนยังไม่ทันจะได้ก่อ

“มึงชื่ออะไร”

เจ้าคำสิงห์ถามเสียงเรียบ จ้องมองหล่อนด้วยแววตาราวกับแทงทะลุเข้าไปในใจได้

“ดิฉันชื่อปาระมีค่ะ”

หญิงสาวตอบเสียงสั่น เจ้าคำสิงห์ขมวดคิ้ว ในขณะที่ครูอินทรขยับตัวนั่งตรง จ้องมองหล่อนราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ริมฝีปากของเขาขยับน้อย ๆ เหมือนจะพึมพำออกมาว่าไม่จริง...

“อีนางนี่พูดจาแปลก ไม่เหมือนคนบ้านเรา มึงมาจากที่ใด”

เจ้าคำสิงห์ว่า พินิจใบหน้าหญิงสาวด้วยท่าทีคลางแคลงใจ

“เอ่อ...เจ้าขอรับ”

เสียงทุ้มเบาแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

“อะไรรึครูอินทร”

เสียงของเจ้าคำสิงห์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาละสายตาจากหญิงสาวหันมาฟังชายหนุ่มอย่างตั้งใจ

“นางเป็นญาติของกระผมเองขอรับ”

ปาระมีรีบหันมามองหน้าชายหนุ่มอย่างตกใจ เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบข้าง โดยเฉพาะนางแสงคำถึงกับผุดลุกขึ้นยืนทันที

“ครูอินทร! จะไปว่าไปเรื่อย ตะกี้ครูยังบ่ว่ารู้จักเลย เป็นใดมาแต่งความขึ้นอย่างนี้ เป็นถึงครูบาอาจารย์คิดจะพูดอะไรก่อพูด อย่างนี้บ่ได้เน้อ”

“กระผมจำนางบ่ได้ จนกระทั่งนางบอกชื่อ นางเป็นหลานพ่อทองพ่อกระผม บ่เชื่อก็ลองถามนางดู”

ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันมามองหน้าหญิงสาว จ้องมองนางนิ่ง พยายามสื่อกับหญิงสาวทางสายตา ไม่ยากนักหรอก... หญิงสาวคิด เขาพูดชื่อใครมาหล่อนก็ว่าจะรู้จักหมดแหละ ขอให้ช่วยหล่อนได้จริง ๆเถอะ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะ ทำบุญถวายสังฆทานให้ไม่อั้นเลยล่ะ

“นางเป็นหลานของพ่อทอง ป้าคำที่อยู่บ้านสวน หัวบ้านโน่นใช่มั้ย”

ครูอินทรถามหล่อนด้วยสีหน้าจริงจัง ปาระมีนิ่งงันไปครู่หนึ่ง หล่อนนึกถึงเมื่อตอนที่ข้ามภพมาครั้งก่อน ได้พบและพึ่งพาลุงทองชายวัยกลางคนผู้มีน้ำใจ บ้านอยู่ทางหัวหมู่บ้าน มีภรรยาผู้ไม่ชอบนุ่งเสื้อ ชื่อป้าคำ ใช่หล่อนรู้จักทั้งสองคนจริง ๆ เมื่อหล่อนสบตาชายหนุ่มนิ่งนาน แววตาขี้เล่น ซุกซนก็ฉายออกมา

“จำอินกับเอื้องได้มั้ย”

เขาชี้ตัวเอง ปาระมีแทบหงายหลัง อิน เอื้อง สองพี่น้องลูกของลุงทอง ชายหนุ่มเผยยิ้มละไม เขาคือ อิน! ที่ตอนนี้ เป็นครูอินทร ชายหนุ่มที่น่าจะอยู่ในวัยที่แก่กว่าหล่อนเสียอีก

“บ่ได้เจอกัน 21 ปีมาแล้ว ลืมกันแล้วกา”

ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มหวาน เหมือนรอยยิ้มที่ปาระมีได้รับในความฝันคืนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

 

                  ปาระมีถูกปล่อยตัวออกมาโดยง่าย แม้ว่านางแสงคำจะทักท้วงเรื่องความไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งรูปร่างหน้าตา วาจา และการแต่งกาย แต่เจ้าคำสิงห์ก็เชื่อครูอินทรอย่างไม่มีข้อติดใจใด ๆ ครูอินทรจึงพาหล่อนกลับไปที่บ้านลุงทอง บ้านไม้หลังเก่าที่หล่อนมาเยี่ยมเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนั้นหายไปแล้ว ขณะนี้มันกลายเป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนหลังใหญ่บนอาณาบริเวณที่กว้างขวางอุดมด้วยพืชพรรณไม้ที่ดูหนาตามากกว่าแต่ก่อน ปาระมีจำได้ทันทีว่าบ้านหลังนี้ ปัจจุบันก็คือบ้านของพ่อเลี้ยงทองสุขผู้กว้างขวางในหมู่บ้านแก้วกนกนั่นเอง

“เป็นใดจึงหายไปนานนัก พ่อกับแม่ยังบ่นบ่อย ๆว่าบ่ฮู้ว่าเป็นใดบ่มาหากันอีกเลย เป็นซาวปีมาแล้ว...แล้วเป็นใดถึง...”

อินทรเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาเหลือบมองดู สายตาคลางแคลงสงสัยเจือปนความปลื้มปิติที่ยากจะเดาความรู้สึกสับสนในแววตานั้นออก ปาระมีรู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรกับชายหนุ่ม ระหว่างการทำตัวเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่งเหมือนเมื่อครั้งที่เจอกันคราวก่อน .... เมื่อกว่าสัปดาห์ที่แล้ว..แต่ในเมื่อเวลานี้ อินทรอายุมากกว่าหล่อนไปถึง 10 ปี

“ฉันกลับไปได้แค่ 2 อาทิตย์เอง ยังไม่ทันพ้นเดือนเลย”

หญิงสาวพูดตอบอ้อมแอ้ม ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ชะลอฝีเท้าลงให้หญิงสาวเดินใกล้เขามากขึ้น

“พ่อเคยบอกว่าตอนไปส่งนางกลับ นางกับนางฝรั่งผมแดงหายไปทางประตูไม้วิหารเก่า ที่โดนไฟไหม้เมื่อ 21 ปีก่อน หาอย่างใดก็บ่เจอ นางหายไปไหน”

“ฉันกลับบ้านน่ะ  มันพูดยาก ปีนี้พ.ศ.อะไรแล้ว”

ปาระมีอยากจะอธิบายให้ยาวกว่านี้แต่หล่อนไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ชายหนุ่มเข้าใจ ในเมื่อมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อแม้แต่ตัวหล่อนเองยังหลงนึกว่าตัวเองฝันไปอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ

“พ.ศ.2480 เฮาบอกไปตะกี้ ว่าเฮาบ่เห็นกันมา 21 ปีแล้ว ปีนี้นางอายุเท่าใดแล้ว”

เขาพูดมองหญิงสาวขัน ๆ ปาระมีค้อนตากลับ นี่เขาคงคิดว่าหล่อนแก่หงำเหงือกแล้วล่ะสิ ที่นี่เวลาผ่านไปถึง 21 ปี แต่ที่ ๆ ของหล่อน เวลายังผ่านไปไม่พ้นเดือนเลย ดูสิ หล่อนเลยกลายเป็นเด็กสาวไปเลยเมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่สง่างามอย่างเขา

“ถ้าบอกว่ายังเท่าเมื่อ 21 ปีที่แล้ว คุณจะเชื่อรึเปล่าล่ะ”

เขาพิศดูใบหน้าเนียนสวยของหญิงสาวร่างผอมบางตรงหน้า แล้วหลบตา ยิ้มเก้อ ๆ

“นางยังดูเหมือนแต่ก่อน บ่เปลี่ยนไปเลย”

ลุงทองลุกขึ้นจากแคร่ใต้ถุนบ้าน ออกมาดูว่าใครเข้ามาในบ้าน ชายวัยกลางคนที่ปาระมีเคยรู้จักกลับกลายเป็นชายชราไปในชั่วเวลาไม่นาน ป้าคำเองก็เช่นเดียวกัน นางสวมเสื้อก้อมสีขาว นุ่งผ้าซิ่น ผมที่เกล้ามวยอยู่นั้นเป็นสีดอกเลาแทบทั้งศีรษะ หญิงชรากำลังโขลกอะไรบางอย่างในครกหินนั้นอย่างตั้งใจ

“วันนี้เป็นใดกลับมาไวนัก ฮึ ไอ้อิน”

แกทักลูกชายคนโต ก่อนจะเขม้นมองหญิงสาวที่มาด้วย

“เอ็งพาใครมาตวย งามผี้ลี้อย่างนี้ ระวังแม่สีนวลฮู้ นางจะโขดเอาเน้อ”

ชายชราสัพยอกลูกชายยิ้ม ๆ แต่เมื่อพิศมองหญิงสาวร่างผอมสูงถนัดถนี่ ชายชราถึงกับตะลึงตาค้าง

“อีนางหน้อย แม่นก่อนี่ เหมือนขนาด แม่นอีนางหน้อยปานก่อ”

เขาร้องเรียกมือสั่นเทาจับแขนหญิงสาวเบา ๆ ราวกลับจะให้ตัวเองมั่นใจว่ามีหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าจริง ๆ

ปาระมียิ้มตาหยี หญิงสาวรีบยกมือขึ้นไหว้

“หนูเองค่ะ คุณลุง เราไม่เจอกัน เอ่อ... นานทีเดียวเลยนะคะ”

หล่อนว่าพลางเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้าง เขามองหล่อนขัน ๆ ก่อนจะเข้าไปดันหลังพ่อให้กลับขึ้นเรือน เสียงเด็กทารกร้องไห้อ้อแอ้บนเรือนไม้ทรงยุโรปหลังใหญ่ ป้าคำรีบวางมือจากงานอดิเรก ผลุนผลันขึ้นเรือน

“เอ้อ ๆ แม่อุ๊ยมาแล้ว ๆ”

ปาระมีหันขวับมาที่ชายหนุ่ม มีเด็กทารกที่เป็นหลานของป้าคำอยู่บนเรือน และลุงทองก็เพิ่งพูดถึงหญิงที่ชื่อ   สีนวลไปเมื่อครู่ หล่อนรู้สึกขัดเคืองใจขึ้นมาทันทีที่ชายหนุ่มยังคงส่งยิ้มละไมมาไม่ขาด

ทารกร่างอ้วนป้อมนอนดิ้นขลุกขลักอยู่บนเบาะเล็ก ๆ ป้าคำรีบไปอุ้มไว้ในอ้อมแขน เขย่าเด็กน้อยเบา ๆ

“เอ้อ...จะไปไห้ อื่อ อือ..........ฮื้อ แม่มันก่อบ่อยู่ ไปไหนก่อบ่ฮู้”

“ท่าจะอยากนมแล้ว”

เสียงชายชราว่าเสริม หญิงสาวมองเด็กน้อยวัยไม่น่าจะเกิน 5 เดือนในอ้อมแขนหญิงชรา เจ้าหนูมีดวงตาละม้ายชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างหล่อนในวัยเด็ก ปาระมีรู้สึกผิดหวัง ทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังตั้งความหวังอะไรอยู่ เสียงหญิงสาวตะโกนแว่วมาจากหน้าบ้าน ใบหน้าขาวนวลโผล่ขึ้นมาจากบันไดมีสีชมพูระเรื่อ หล่อนยิ้มกว้างแสดงสีหน้ายอมรับผิดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรับทารกไปไว้ในอ้อมแขน

“แม่มาแล้ว อยากนมละกา โอ๋....จะไปไห้ ๆ”

ผู้เป็นแม่ยังดูสาวและสวย ปาระมีเดินเลี่ยงออกมา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหญิงสาวและลูกน้อยเข้าไปในห้อง สีหน้าหล่อนดูเจื่อนลง พอ ๆกับใจคอที่ห่อเหี่ยว ตลกดีนะ หญิงสาวคิด ไม่เจอกันแค่อาทิตย์เดียว จากเด็กน้อยซุกซนในวันนั้นก็มีลูกมีเมียไปเสียแล้ว

 

 

ปาระมีนั่งอยู่ที่ระเบียง ลุงทองตามออกมาติด ๆ ชายชราดูมีสีหน้าแช่มชื่น เขามองหน้าหญิงสาวด้วยความรู้สึกดีใจและประหลาดใจระคนกัน ราวกับความมหัศจรรย์ได้กลับมาเยือนครอบครัวของเขาอีกครั้ง

“อีนางหน้อย ยังเหมือนเก่าเลย เหมือนเมื่อวันนั้น... ที่ลุงไปส่งที่ซากวิหาร เมินนานเหลือขนาด บ่นึกบ่ฝันว่าอีนางหน้อยจะปิ๊กมา”

ชายชราว่าพลางยิ้มกว้าง แววตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี จริงสิ นานเหลือเกินแล้วที่หล่อนไม่ได้กลับมาที่นี่ นาน...จนอะไร ๆเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น หญิงสาวคิดพลางเบือนสายตาไปยังประตูห้องไม้ในเรือน

“ตอนนี้ลุงทองก็กลายเป็นพ่ออุ๊ยไปแล้ว”

ปาระมีว่าพลางยิ้มจาง ๆ ลุงทองหัวเราะชอบใจ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูทอดไปทางเดียวกับหญิงสาว

“เอ้อ...หลานคนแรก ก่อชื่นใจดีแต๊ อีนางหน้อยล่ะ มีผัวหรือยัง”

ลุงทองถามซื่อ ๆ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง รีบโบกมือพัลวัน

“โอ๊ย ยังหรอกจ้ะ ลุง หนูยัง 21 อยู่เลย คงจะอีกนานเลยจ้ะ”

ชายชราขมวดคิ้ว จ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา

“เป็นไปได้อย่างใด ไอ้อินอายุ 31 แล้ว อีนางหน้อยยังใดว่าบ่แก่”

ปาระมีถอนใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบาย ขนาดตัวหล่อนเอง ยังยากที่จะเข้าใจได้

“หนูกลับไปที่ ๆของหนูได้ 2 อาทิตย์เองลุง พอกลับมาก็เจอเข้ากับ กับ....ครูอินทรเนี่ย”

ปาระมีว่าตะกุกตะกัก ตาเหลือบมองชายชรานิดหนึ่งก่อนจะเห็นเขาหัวเราะร่วน

“แต๊กา.... แปลกขนาด เออๆ.... ถึงว่าวันนั้น.... ลุงเซาะหาอีนางหน้อยกับนางฝรั่ง ทั่ววัดเลย แต่ก่อบ่เจอ ลุงปิ๊กบ้าน มาคิด ๆ แล้วก่อชวนป้ากับลูกไปหาอีกหลายรอบก่อยังบ่เจอ ล่วงมาหลายปีเต็มแก่ เฮาก่อได้มาเจอกันก่อนลุงจะตายเนี่ยแล้ว”

ลุงทองว่าแล้วถอนใจ แกทำท่ารำลึกความหลังราวกับได้ผจญภัยมาอย่างแสนสุข ปาระมียิ้มน้อย ๆ รู้สึกดีกับคำพูดที่แสดงถึงเมตตาจิตเหล่านั้น หญิงสาวนึกถึงเจนนิษา เจ้าหล่อนคงดีใจไม่น้อยที่สองผัวเมียเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วมีความปรารถนาดีต่อสองสาวแปลกหน้าอย่างพวกหล่อนเพียงไร

 

                  เจนนิษาตื่นขึ้นมาก็ตอนใกล้เที่ยงแล้ว ที่บ้านเงียบเชียบเหมือนไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน สาวผมแดงงัวเงียเปิดดูโทรศัพท์ก็แทบช็อกเมื่อเห็นข้อความที่เพื่อนสนิททิ้งไว้

“แก… ไปที่คุ้มร้างด้วยกันมั้ย”

ปาระมียังโทรหาหล่อนอีกสองสาย เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนแท้ ๆ ที่ทำให้หล่อนหลับเป็นตายไม่ได้ยินสรรพเสียงใด ๆ สักอย่าง แล้วนี่ปาระมีไปไหนแล้ว …หรือจะเข้าไปที่คุ้มแล้วจริง ๆ

ตุ๊ง!

ข้อความดีดขึ้นมาที่หน้าจอ เจนนิษาต้องเพ่งมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาพร่าเห็นว่าผู้ที่ส่งข้อความมาคือ กานต์

“น้องปานอยู่ด้วยหรือเปล่า”

เจนนิษากลอกตา นึกเบื่อแทนเพื่อนสาวเหมือนกัน เช้าสายบ่ายเย็นเป็นตามหา...ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย

“ไม่”

หล่อนตอบเป็นสติ๊กเกอร์กลับไป

ตรู๊ด...

ชายหนุ่มโทรกลับมาเสียอย่างนั้น ลูกครึ่งสาวกดรับอย่างเสียไม่ได้

“ไม่เจอค่ะ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ตามให้ด้วยนะคะ”

หล่อนรัวตอบ

“แม่ละมุนเป็นลมที่วัด เพิ่งกลับมาบ้าน น้องปานหายไปไหน”

ถ้าได้มองเห็นหน้ากันในตอนนี้ พูดได้เลยว่ากานต์เป็นฝ่ายได้แต้มไป เจนนิษาชะงักหน้าเสียอยู่ปลายสาย แม่ละมุนไม่สบาย ปาระมีอยู่ที่คุ้มร้าง เอายังไงดี หรือหล่อนจำต้องไปตามแม่เพื่อนตัวดีที่นั่น

ไปคนเดียว ... ก้ไม่น่าเสี่ยงนะ

“งั้น...พี่กานต์มารับเจนนี่ที่บ้านตอนนี้เลยนะคะ”

หล่อนนึกเดาหน้าคู่สนทนาได้ไม่ยากหรอก เขาคงทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ไม่เบา แต่นาทีนี้ หล่อนเรียกได้ว่า เป็นนาทีจำเป็น... ไม่รู้ว่าปาระมีอยู่ที่คุ้มร้างหรือตอนนี้หล่อนหาวิธีย้อนอดีตไปอีกแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ใครจะช่วยตามหาหล่อนเจอ...

 

เสียงไอโขลก ๆ ของป้าคำดังออกมาจากในครัว พร้อมกับสำรับอาหารในมือ ปาระมีรีบลุกไปช่วย นางนำหญิงสาวมาที่ชานเรือนที่เปลี่ยนจากการนั่งทานขันโตกกับพื้นเป็นโต๊ะอาหารแบบฝรั่ง สองชรานั่งลงบนเก้าอี้อย่างคุ้นชิน วัฒนธรรมฝรั่งกลืนกินความเป็นล้านนาได้อย่างไม่ยากเย็นอย่างนี้นี่เอง ปัจจุบันนี้คนในยุคของหล่อนจึงได้ฟุ้งเฟ้อกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

“บ่ได้ปะกันเสียนาน พี่ปานยังงามเหมือนอย่างเก่า”

คุณแม่ยังสาวเอ่ยขึ้นกลางวงข้าว ปาระมีเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน ใบหน้านวลมองตอบกลับด้วยแววตาเป็นประกาย รอยยิ้มกว้างอย่างเด็กดีใจ ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักลอยเด่นอยู่กลางผิวหน้าขาวนวลนั้น

“.....เอื้อง....”

หญิงสาวเอ่ยอย่างเลื่อนลอย รอยยิ้มปรากฏเลือนรางอยู่บนใบหน้าฉงนฉงาย เอื้องยังอยู่ในชุดที่กลับมาจากข้างนอก หล่อนเปิดผมประบ่านั้นออกเอียงข้างแก้มให้หญิงสาวมอง สิ่งเล็ก ๆ ที่สั่นไหวไปมาที่ติ่งหู

“เอื้องซื้อมาอีกหลายคู่ แต่คู่นี้เอื้องใส่บ่อยที่สุด พี่ปานยังจำได้ก่อ”

ต่างหูเงินร้อยหินทรายทองที่หล่อนถอดให้เด็กหญิงไปในวันนั้น ดูเก่าคร่ำคร่าไปถนัดตา แม้จะพอมองออกว่ามันถูกเก็บรักษาและดูแลอย่างดีก็ตาม แต่ความหม่นหมองในเนื้อเครื่องเงินก็ดูจะตอกย้ำกาลเวลาที่หมุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของที่นี่ หญิงสาวรู้สึกเหมือนโล่งอก กับข้าวบนโต๊ะดูน่าทานขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ น้องสาวตัวน้อยในวันนั้นมีครอบครัวแล้ว หล่อนเป็นแม่คนแล้ว หล่อนเป็นน้องสาว....ปาระมีเหลือบมองไปที่ห้องไม้ นึกถึงเครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่ง ที่หล่อนเคยฝากไว้ที่นี่ ไม่รู้ว่ามันจะถูกเก็บรักษาและหยิบขึ้นมาดูต่างหน้าเหมือนอย่างต่างหูคู่นี้บ้างหรือเปล่า

                  อินทรออกจากห้องนอนมานั่งร่วมวงข้าวเป็นคนสุดท้าย ป้าคำจึงคดข้าวเหนียวออกมาใส่จาน ช่างเป็นมื้อเย็นที่แสนวิเศษ ที่หญิงสาวรู้สึกว่าการกลับมาครั้งนี้ ดูมีความหมายมากกว่าการมาเพื่อมนุษยธรรมเหมือนเมื่อตอนที่ตั้งใจมาแต่แรก ชายหนุ่มรูปงามเบื้องหน้าคอยสบตาอมยิ้ม ให้หัวใจสั่นไหวทุกครั้งที่ดวงตาได้บังเอิญมาสบกัน หัวใจสาวเต้นแรง และพองโต แม้จะรู้สึกคล้ายหายใจติดขัดบ้างก็เถอะ

 

เช้าตรู่ของวันใหม่ ปาระมีสาวเท้ายาว ๆ ตามหลังบุรุษร่างสูงเพื่อมุ่งหน้าไปยังคุ้มวังพิทักษ์ มื้อเช้ายังอุ่น ๆ อยู่ในท้อง ตะวันยังขึ้นไม่เต็มฟ้า ไม่ใช่เวลาปกติที่หล่อนจะลุกออกมาหอบตำราเดินแบบนี้เลย ‘เขา’ บอกหล่อนเมื่อคืนนี้ ว่าต้องออกไปสอนหนังสือที่คุ้มวังพิทักษ์ทุกวัน เป็นงานที่เขาทำนับตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ เพื่อตอบแทนพระคุณของเจ้าคำสิงห์ที่ช่วยให้เขาได้มีการศึกษา และได้เป็นครูอย่างสมเกียรติในวันนี้ได้ ปาระมีนึกถึงถ้อยคำของลุงทองที่ทอดถอนใจพูดอย่างหดหู่ถึง การที่เจ้าคำสิงห์รับอุปการะเด็ก ๆ มากมายไว้ที่คุ้มเพื่อให้เด็กเหล่านั้นได้เรียนหนังสือมีความรู้ติดตัว เหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อสิบปีก่อนกับกลุ่มเด็กรุ่นเดียวกับอินทร แม้ว่าเชียงใหม่ในวันนี้จะมีโรงเรียนเกิดขึ้นแล้วมากมาย ทั้งโรงเรียนคริสต์ โรงเรียนจีน รวมถึงโรงเรียนประชาบาลหลายแห่งในหมู่บ้าน แต่ที่คุ้มวังพิทักษ์ก็ยังเปิดสอนเด็กวัยประถมเพื่อให้ความรู้กับเด็กน้อยละแวกใกล้บ้าน ลุงทองเล่าต่ออีกด้วยว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านแก้วกนกต่างก็รู้ดีว่า ความเมตตานี้ขอเจ้าคำสิงห์ก็แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกสงสารภรรยาผู้สูญเสียลูกไปตั้งแต่ยังแบเบาะ เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกและอาศัยความน่ารักสดใสของเด็ก ๆ ที่โรงเรียนในคุ้มช่วยผ่อนคลายความคิดถึงลูกของเจ้านาง

“ซาวเอ็ดปีมาแล้ว อีหล้าเอ๋ย ซาวเอ็ดปีที่บ่มีผู้ใดตามหาลูกนางพบ นางผ่ายผอมลงทุกวัน ๆ เด็กน้อยเหล่านั้นช่วยให้คุ้มมีชีวิตชีวา แต่บ่ฮู้ว่าจะช่วยต่อชีวิตให้เจ้านางอีกนานเท่าใด”

เสียงของลุงทองสะท้อนอยู่ในห้วงสำนึก ใบหน้าของฝาแฝดก็วูบไหวอยู่ในห้วงคำนึง ปาระมีอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมาอีกคน

“เป็นใด บ่ต้องคิดมากดอก เด็กน้อยมีมากแต่ก็บ่ดื้อ บ่ซน”

อินทรแปลเจตนาจากสีหน้าเคร่งเครียดของหญิงสาว แล้วเผยยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อคืนนี้หล่อนรีบขันอาสาช่วยสอนหนังสือทันทีที่รู้ว่าเขาเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะช่วยให้หล่อนเข้าไปในคุ้มได้ หากไม่เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง หล่อนเห็นว่าเขาเองก็ดูดีใจอยู่ไม่น้อย ปาระมียังสงสัยอยู่ในใจลึก ๆ เหมือนกันว่าจะเป็นอะไรไหมถ้าผู้หญิงจะถามผู้ชายสักเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่อยากรู้ ... ผู้ชายล้านนาสมัยโบราณอย่างเขาจะตะขิดตะขวงใจกับคำถามในใจของหล่อนไหม แค่อยากรู้นิดเดียวเอง ว่าสาวที่ชื่อสีนวลนั้น เป็นใครกัน....

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา