ปรารถนาร้อนจอมวายร้าย

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.47 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,730 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 13.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ปรารถนาร้อนจอมวายร้าย ตอนที่ 2 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สิริภัทราวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งโดยไม่คิดจะเอ่ยถามคนที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าเพียงครึ่งก้าวและปล่อยให้เขากำข้อมือเอาไว้แน่น ตอนแรกคิดว่าจะรอดพ้นจากสายตาของพวกมันแล้วแต่สุดท้ายก็ยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน พูดได้เต็มปากว่าไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ระทึกใจเช่นนี้มาก่อน

        “เร็วกว่านี้ได้ไหม รถผมจอดอยู่ถัดจากนี้ไปอีกสองบล็อก” บอกพลางเร่งฝีเท้าจนระยะห่างระหว่างกันมากขึ้น จึงกลายเป็นว่าเขากำลังลากดึงคนที่ช่วงขาสั้นกว่าอยู่หลายนิ้ว

        ตอนแรกก็เหมือนว่าจะวิ่งไหวอยู่หรอกถ้าไม่ต้องก้าวฉับๆ คิดว่าเร็วแล้วแต่ยังต้องเร็วกว่านี้อีกถึงจะวิ่งตามเขาทัน เพียงแค่สุดความยาวของบล็อกแรก สิริภัทราก็แทบหายใจไม่ทัน

        “ไม่ไหวแล้วนะ หาที่หลบก่อน ได้ไหม” กระทั่งพูดยังแทบไม่เป็นประโยค แต่จะหยุดพักสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดยังทำไม่ได้เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือเธอเลยแถมยังตวาดดุเสียอีก

        “ไม่ไหวก็ต้องไหว ใครใช้ให้หาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้ วิ่ง หลับหูหลับตาวิ่งเดี๋ยวก็ถึงรถผมแล้ว” เขาบอกและไม่สนใจเสียงโอดครวญที่ดังลอดออกจากริมฝีปากอิ่มพอๆกับไม่สนใจหันกลับไปมองว่าพวกมันจะตามเข้ามาใกล้แค่ไหน ตอนนี้เขาต้องวิ่งไปให้ถึงรถยนต์ของตนเสียก่อน

        สิริภัทราดีใจสุดขีดเมื่อเห็นเขาควานหากุญแจรถและไฟเลี้ยวทั้งสองข้างกะพริบติดๆกันเป็นสัญญาณบอกให้เธอรู้ว่าการวิ่งไม่คิดชีวิตนี้กำลังจะสิ้นสุดลง

        “เร็ว ไปขึ้นรถเร็วๆเข้า” เมิร์ธสั่งพร้อมปล่อยข้อมือของเธอให้วิ่งไปเปิดประตูอีกด้าน เสียงปิดประตูดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกับเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ การเร่งเครื่องและการเคลื่อนที่ของรถยนต์นั้นเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันมาก มันกระชั้นชิดและบีบหัวใจของสิริภัทรายิ่งนัก

        เธอยังขยับตัวขึ้นมองพวกมันสามคนวิ่งไล่กวดเข้ามาแต่ต้องหยุดและหัวเสียเมื่อไม่สามารถวิ่งตามรถยนต์ที่เร่งเครื่องเต็มกำลังเช่นนี้

        เมิร์ธยิ้มที่มุมปาก เหลือบสายตามองผู้หญิงที่นั่งหอบหายใจฮักๆ ไม่รู้ว่าเธอเหนื่อยหรือตื่นเต้นมากกว่ากันแต่ที่รู้แน่ๆคือ การพบหน้าเธอต้องนำมาซึ่งความตื่นเต้น บีบคั้นหัวใจอย่างถึงที่สุด อะดรีนาลีนในร่างกายหลั่งไหลจนต้องร้องออกมาอย่างระบายอารมณ์

        “วู้ว... สนุกใช่ไหมShawty”

        สิริภัทราทิ้งศีรษะพิงพนักด้านหลัง เอียงหน้าหันไปมองคนที่ตั้งคำถามไม่เข้าท่า “ฉันไม่บ้าพอถ้าจะฝืนใจตอบคุณว่าสนุก”

        “แต่บ้าพอจะไปแอบฟังพวกมันคุยกันสินะ” เขาต่อคำพูดให้ อดใจประชดเสียไม่ได้ “เหลือเชื่อเลย แม่คุณเอ๊ย คราวนี้บอกผมหน่อยเถอะ ทำอย่างนั้นทำไม”

        สิริภัทราชะงักไปชั่วครู่กับคำถามเพราะไม่อาจบอกเหตุผลที่แท้จริงได้ และดูเหมือนว่าเขาจะเดาทางเธอออกจึงพูดดักคอขึ้นอีก

        “แล้วก็ไม่ต้องโยกโย้เล่นท่าให้มากความ เพราะผมชักสงสัยแล้วว่าผู้หญิงประเภทไหนที่ชอบเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้ เห็นอย่างนี้แล้วผมน่าจะรู้ว่าครั้งก่อนคุณคงไม่ได้เดินบนถนนแล้วจู่ๆถูกลากไปข่มขืนหรอกนะ”

        แหม... หล่อร้าย ฉลาดเป็นกรดแถมเข้ามาช่วยเธอให้รอดพ้นจากวิกฤตไม่ต่างอัศวินขี้ม้าขาวแบบนี้จะให้แก้ตัวอะไรได้อีก นอกเสียจากยิ้มหวาน ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

        หากคนได้รับรอยยิ้มหวานจนเกินกว่าเหตุกลับกลอกสายตาอย่างระอาใจ นั่นมันไม่ใช่รอยยิ้มธรรมชาติแต่มันคือยิ้มที่จงใจโปรยเสน่ห์ใส่เขาต่างหาก “ลูกไม้ตื้นๆ ไม่ได้ผลหรอก ตอบมาดีกว่าว่าคุณเข้าไปทำอะไรในผับนั่น เป็นนักสืบเอกชนหรือไง”

        เปรยถามเท่านั้นและต้องส่ายหน้าเสียเองเมื่อบุคลิกเธอแตกต่างกับอาชีพที่หลุดออกมาเมื่อครู่ แต่ถึงจะประทับใจในตัวเขาอย่างไรมีหรือที่เธอจะหลุดปากออกไปตรงๆ

        “คือ... ฉันนัดกับเพื่อนไว้ที่ผับน่ะค่ะ แต่คนมันเยอะแล้วอีกอย่างฉันก็ดื่มไปไม่น้อย พอเดิน...” พูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ต่อให้อย่างรู้อกรู้ใจ

        “พอเดินไปเข้าห้องน้ำกลับออกมาอีกทีกลับจำทางไม่ได้ เดินหลง อ่อ... ไม่สิ บังเอิญเดินไปแอบฟังคนคุยเรื่องลับๆกันตั้งนาน” เมิร์ธเบะปากมองเธอไม่ต่างจากเด็กตัวน้อย สมองก็น้อยตามไปด้วย “งั้นสิ?”

        คำถามสุดท้ายทำให้สิริภัทราหน้าบึ้ง นึกในใจว่าบางทีผู้ชายที่ฉลาดเกินไปก็มีข้อเสียตรงที่ จัดการลำบากถ้าไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือมากองไว้ตรงหน้า

        “แล้วคุณล่ะคะไปที่นั่นทำไม คงไม่ได้เมาแล้วเดินหลงไปจับผิดฉันอยู่นานสองนานหรอกนะ” เมื่อตอบคำถามเขาไม่ได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงอื่น แล้วก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าถามเรื่องเกี่ยวกับเขาบ้าง เพราะความจริงก็ออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอเขาในสถานการณ์คับขันสองครั้งสองครา

        “เปล๊า...” ตอบเสียงสูงพลางยกหัวไหล่ทั้งสองข้างขึ้น ปรายตามองเธออย่างรู้ทันความคิดไม่แพ้คำพูด “เราต่างก็รู้กันดีว่าไม่มีใครเมาหรือมีแอลกอฮอล์เจือจางในเลือดสักมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้เหรอว่าคุณฉีด...ไว้ตรงร่องอก”

        กลิ่นหอมที่สูดได้จากเนื้อตัวของเธอในครั้งแรกที่เจอกัน มันทำให้เขานอนกระสับกระส่ายอยู่หลายคืนจนสุดท้ายต้องเดินไปเคาน์เตอร์น้ำหอม บอกความรู้สึกที่ได้รับให้กับพนักงานขายช่วยหาอยู่ร่วมชั่วโมง แต่น้ำหอม...กลับถูกเขาทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำเพราะมันช่างไร้แรงดึงดูด แตกต่างจากการสูดดมบนผิวเนื้อเธอราวฟ้ากับเหว

        “คะ...คุณ” สิริภัทรากำมือแน่นเมื่อเขาเอ่ยชื่อน้ำหอมที่เธอใช้และยังสู่รู้ด้วยว่าฉีดพรมตรงส่วนไหนของร่างกายบ้าง “ดูพอใจมากนะคะที่เอาเปรียบฉันได้”

        จบคำพูดเขาก็ตีไฟเลี้ยวจอดรถเข้าข้างทางอย่างกะทันหันจนเธอต้องหันมามองด้วยความงุนงง ใบหน้าเขาดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อถอดหมวกแก๊ปออกจากศีรษะแล้วโยนมันทิ้งไปข้างหลังอย่างไม่สนใจทิศทาง

        “ปีสองพันสิบห้าแล้วShawty เราไม่นิยามความพึงใจต่อเพศตรงข้ามน่ากลัวแบบนั้น ผมว่ามันออกจะรุนแรงไปสักหน่อยถ้าจะบอกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แล้วอีกอย่างนั่นมันคือภาวะฉุกเฉินที่สมองผมคิดออกว่ามันคือทางรอดเดียว”

        หน็อย! ถ้าไม่ติดว่าช่วยชีวิตเธอเอาไว้ถึงสองครั้ง แถมครั้งที่แล้วเธอยังเสียมารยาทด้วยการคิดอกุศลกับเขาแล้วล่ะก็จะตอกกลับให้หน้าหงาย หากนี่เป็นครั้งแรกกระมังที่มีโอกาสได้เพ่งพิศใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

        เครื่องหน้าแต่ละชิ้นประกอบรวมกันแล้วดูเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ แน่นอนว่ามันรับกับผมอันเดอร์คัทซึ่งไถทั้งสองข้างของศีรษะสั้นเกรียน บากเป็นแนวยาวคั่นระหว่างความสั้นกับความยาวของผมด้านบนซึ่งเซ็ตไว้อย่างไม่ตั้งใจนัก แสงแวววาวจากต่างหูเพชรทรงกลมน้ำหนักสักข้างละครึ่งกะรัตทำให้ดวงตาเธอพร่าเลือน เขาอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นฮิปสเตอร์และแบดบอย

        หากอาการนิ่งงัน จ้องมองใบหน้าเขาไม่กะพริบตาก็ทำให้คนถูกมองยิ้มกริ่ม แม้ว่าจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดกันแล้วเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัว

        เมิร์ธเดาะลิ้นปลุกเธอจากอาการนิ่งงันและอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ได้เห็นแก้มเนียนกลายเป็นสีชมพูเข้มอย่างฉับพลัน เธอกำลังอายและอายมากขึ้นด้วยคำพูดโอหังอย่างคนหลงตัวเอง “ผมหล่อ และรู้ว่าคุณกำลังหวั่นไหวจนถึงขั้นอยากจะกินผม”

        “บ้าน่ะสิ ฉะ...ฉัน ไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย” สิริภัทราละล่ำละลักปฏิเสธเสียงเขียว นึกตำหนิตัวเองไม่น้อยที่แสดงท่าทีให้เขาจับพิรุธได้ง่ายๆ กระแอมพร้อมขยับตัวกดเสียงต่ำถามเป็นการเป็นงาน “เอาล่ะ เอ่อ... เรากำลังคุยกันถึง”

        “คุณเข้าไปทำอะไรในผับ” เขายังย้ำคำถามเดิม

        “อืม แล้วคุณมาแอบอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” หลีกเลี่ยงที่จะตอบและถามกลับเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

        “ถ้าไม่คิดจะตอบ ก็ลืมไอ้ที่ตั้งคำถามขึ้นมาทีหลังผมไปได้เลย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่กลับไม่อาจละสายตาจากริมฝีปากอิ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปกลอสวาวฉ่ำ “ผู้หญิงประเภทไหนกันนะที่ผมต้องพาเธอวิ่งหนีจากอันตรายถึงสองครั้งสองครา จะให้เชื่อได้ยังไงว่าคุณเข้าไปเที่ยวในผับเหมือนคนที่เข้าไปหาความสนุกตามปกติ”

        “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไงว่าคุณบังเอิญมาช่วยฉันไว้อีกครั้ง คุณอาจจะกำลังสะกดรอยตามฉันไปก็ได้” สิริภัทราตอบโต้ รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับจะจับไข้เมื่อมองตามสายตาคู่คมแล้วเห็นว่าเขากำลังจ้องที่ริมฝีปากของตน “มันน่าคิดนะคะ”

        “ผมอยากกินคุณ แต่... ยังไม่อยากจัดจนต้องทำอย่างที่คุณพูด อย่าลืมว่าวันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้มันสามเดือนกว่าเข้าไปแล้ว” บอกพลางไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้ารูปหัวใจ “ไม่มีใครอดทนได้นานขนาดนั้นหรอกนะพิตต้า”

        โอ... ผู้ชายบ้าคนนี้หว่านเสน่ห์ใส่เธอทุกวินาที ไม่เว้นแม้แต่การลากเสียงยาวเรียกชื่อเธอ แล้วใครจะเชื่อคำพูดของเขากันเล่าในเมื่อเธอคนหนึ่งนี่ไงที่อดทนมาได้ทั้งชีวิต

        แต่... ใครจะกล้าพูดออกไปตรงๆเพราะความบริสุทธิ์ที่เก็บรักษาไว้มันคือเรื่องภาคภูมิใจสำหรับตนแต่กลับเป็นเรื่องน่าขบขัน อับอายสำหรับผู้หญิงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกใบนี้

        “ถ้าจะเก็บทิปเป็นจูบอีกล่ะก็ คุณจูบฉันไปแล้วตอนที่อยู่ในผับ” ดักคออย่างรู้ทันความคิด

        เมิร์ธหัวเราะร่วนเพราะถูกใจกับอารมณ์อันหลากหลายของเธอยิ่งนัก เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอมีความปรารถนาอันเร่าร้อนต่อเขา แต่อีกนาทีต่อมาเธอกลับไว้เชิง เล่นตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ ดูไม่แยแสในสิ่งที่เขากำลังเปิดทางให้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงไม่ต้องเสียเวลาต่อรองเช่นนี้ บางทีอาจจะคลุกเคล้ากันอยู่ตรงเบาะคนขับนี่ด้วยซ้ำ

        “งั้นก็... ค่าไปส่งถึงบ้าน”

        บอกด้วยน้ำเสียงพร่าและก้มหน้าลงมาใกล้มากยิ่งขึ้นจนเธอต้องถอยตัวเองออกมาเพื่อเว้นระยะห่างให้เท่าเดิม “ฉันลงตรงนี้ก็ได้นะคะ อีกอย่างคุณควรต้องรู้ว่ามันไม่จีรังยั่งยืนหรือสวยงามนักหรอกกับความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในยามคับขัน”

        “ผมไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะยาวนานแค่ไหน เรื่องแบบนี้มันต้องดูกันไปเรื่อยๆ บางทีความรู้สึกกับทฤษฎีที่คุณว่ามามันอาจจะใช้กับคนบางจำพวกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณจะเขี่ยผู้ชายที่ถูกใจสุดๆไปแบบนี้ผมก็โอเค้ ไม่บังคับใจกันอยู่แล้ว” บอกพร้อมถอยห่างจากเธอ “ตกลงจะให้ผมไปส่งที่ไหน”

        อ่อยที่สุดแล้วนะ ถ้ายังไม่ยอมอีกเดี๋ยวป๋าคงต้องกลับไปโยกกับอีหนูที่โทร. สั่งไปพลางๆ แล้วค่อยวนมาจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย ผู้ชายเต็มตัวอย่างเขามีวิธีจัดการกับตัวเองได้เป็นอย่างดี แค่การปลดปล่อยความใคร่ในร่างกาย หลั่งความตึงเครียดเท่านี้ผู้หญิงที่ไหนก็ใช้ได้ แต่มันคงจะวิเศษถ้าได้ใช้เธอ

        ต่างคนต่างคิดในใจ แต่เชื่อเถอะว่าความคิดของผู้ชายเจนจัดกับผู้หญิงที่ยังรักษาพรหมจรรย์ไว้จนกระทั่งอายุยี่สิบสี่ปีเต็มคงจะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง

        นี่ล่ะนิสัยของผู้ชายที่พ่อเธอเคยพร่ำสอนตลอดมา พอไม่ยอมมอบกายให้เชยชม มนุษย์เพศผู้ก็มักเบือนหน้าหนีไปหาที่ระบายความอารมณ์ใหม่

        “ฉันลงตรงนี้ดีกว่าค่ะ ดูท่าว่าคุณคงอารมณ์ไม่ดี” บอกพลางเอื้อมมือไปดึงประตูแต่กลับทำไม่ได้เพราะมันถูกล็อกไว้อัตโนมัติ

        “ไม่เอาน่า... ถึงผมจะยอมรับว่าผมอยากกินคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหน้ามืดตามัวไม่ต่างจากไอ้ชั่วที่ทิ้งคุณลงข้างทางเพียงเพราะไม่ได้ไปจบที่เตียง ถ้าผมคิดสั้นๆแค่นั้นคงไม่แส่เข้าไปช่วยคุณหรอกนะ” บอกพลางเอื้อมมือไปปลดล็อกเบรกมือ “ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าจะให้ไปส่งที่ไหน”

        “อัปเปอร์อีสไซด์ เฟิร์สอเวนิวตัดกับเซเว่นตี้ไนน์ สตรีท”

        “ก็แค่นั้น”

        จบคำพูดของเขา รถยนต์ก็เคลื่อนตัวออกไปตามถนน แมนฮัตตันเมืองที่ไม่เคยหลับใหลและเป็นหนึ่งในเมืองที่ผู้คนกว่าค่อนโลกอยากมีโอกาสมาสัมผัสกับแสงสีและตึกสูงเสียดฟ้าซึ่งอาจทำให้ใครหลายคนแหงนมองจนคอเคล็ด มันคือวิถีชีวิตอันศิวิไลซ์ที่เจ้าถิ่นเรียกตัวเองได้อย่างภูมิใจว่า ‘นิวยอร์กเกอร์’ แต่ตอนนี้นิวยอร์กเกอร์ทั้งสองยังนั่งเงียบ ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

        “ขอโทษนะคะ” สิริภัทราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ จนเกิดบรรยากาศน่าอึดอัดใจ “ความจริงแล้วฉันติดค้างคำขอบคุณคุณด้วยซ้ำแต่ไม่รู้เพราะอะไรฉันถึง”

        “อดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผมไม่ได้” เขาต่อให้และเหล่มองคนสวยที่กำลังพยักหน้ารับเร็วๆ “เพราะคุณหลงเสน่ห์ผมเข้าแล้วล่ะสิ”

        สิริภัทราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมั่นใจในตัวเองของผู้ชายคนนี้ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เธอเผอเรอและปฏิบัติตัวต่อเขาราวกับรู้จักมักคุ้นกันมานานจนลืมถึงมารยาทอันดี

        “อย่าเริ่มสิคะ ฉันกำลังจะตั้งใจขอบคุณคุณจริงๆนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ต้องขอบคุณที่คุณเสี่ยงอันตรายช่วยฉันเอาไว้” บอกพลางเอียงหน้าไปมองเขา ซึ่งเป็นท่าทางที่ชอบทำเมื่ออยากงอนง้อใครสักคน “แล้วก็ขอโทษที่คิดไม่ดีกับคุณแบบนั้น”

        “คิดไม่ดีนี่หมายถึงเรื่องอย่างว่ารึเปล่า ถ้าใช่ผมไม่รับคำขอโทษนะ เพราะกระสันอยากให้คุณคิดเชียวล่ะ” บอกพลางบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวไปตามจุดตัดของถนนที่เธอบอก “ตึกไหนล่ะ”

        “ข้างหน้าค่ะ ขวามือหน้าตึกที่มีน้ำพุ” ชี้นิ้วไปยังจุดสังเกตหลักของอพาร์ตเมนต์และหันมาส่งยิ้มเมื่อรถยนต์จอดสนิท “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับทุกอย่าง”

        เมิร์ธโคลงศีรษะรับคำขอบคุณ ความจริงแล้วอยากดึงเธอเข้ามาจูบแต่... ฝันไปซะเถอะแม่ตัวร้าย เขารู้ดีพอๆกับเธอนั่นแหละว่านี่อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน แน่นอนว่ายิ่งยื้อให้ต้องการมากเท่าไหร่ต่างคนก็ต้องกระวนกระวายใจมากเท่านั้น ดูจากท่าทางละล้าละลังของเธอหน่อยเป็นไร ถ้าไม่สนใจเขาจริงๆคงสะบัดก้นหนีไปนานแล้ว

        จริงอยู่ว่าผู้หญิงที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตคอยจะวิ่งตามติด หากเขาไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน แต่กับผู้หญิงตรงหน้าคงจะเป็นกรณีศึกษาพิเศษที่ต้องใช้ชั้นเชิงสักหน่อย ปล่อยเธอให้เดินห่างออกไปสักนิดแล้วกระชากเข้ามาไว้ใต้ร่างในยามที่เธอยอมศิโรราบทั้งตัว

        “ถ้าไม่อยากจะคิสกู๊ดบายก็ย้ายก้นงอนๆลงไปจากรถเถอะพิตต้า ปล่อยผมไปดีกว่า” บอกอย่างระอาใจจนเธอหน้าม้านและยอมเปิดประตูลงไปแต่โดยดี

        “ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะ” เธอลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะก้มตัวลงมาบอกคนที่ลดกระจกลงอย่างรู้อกรู้ใจ

        เมิร์ธหัวเราะร่วน พลางคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้จะเอายังไงกับเขากันนะ ก็บอกอยู่หยกๆว่าไม่ได้เธอก็มีผู้หญิงคนอื่นแล้วเขาจะขับรถกลับบ้านเพื่อไปนอนอารมณ์ค้างทั้งคืนอย่างนั้นหรือ!?

        “อย่ามาริอ่านสั่งเสีย หวงผมเหมือนเมียหน่อยเลยถ้ายังไม่ได้ลองเป็นดูสักครั้ง” จบคำพูดก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจและเร่งเครื่องขับรถห่างเธอออกไปในทันที ปล่อยให้คนที่เสี่ยงลองโยนหินถามทางได้แต่อ้าปากค้างมองตามด้วยความอัศจรรย์ใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในตึก

        “คุณมีเวทมนตร์อ่านใจคนได้หรือยังไงนะเมิร์ธ ถึงได้รู้ทันฉันไปซะทุกอย่างแบบนี้” คิดพร้อมอมยิ้มเพราะเธอเพิ่งทำในสิ่งที่เขาไม่มีทางล่วงรู้ได้อย่างแน่นอน

        ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ในลิฟต์สิริภัทราก็บอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรเสียหาย หากเธอจะลองทำตามเสียงที่หัวใจเรียกร้องอีกสักครั้ง จำได้ว่าแฟนคนสุดท้ายเป็นฝ่ายออกปากขอเลิกกับเธอด้วยเหตุผลงี่เง่าเพียงเพราะเกิดความอับอายที่ต้องมีแฟนสาวเป็นผู้หญิงขี้งก รับจ้างทำรายงานเพื่อแลกกับเงินจนไม่มีเวลาสำหรับการออกเดตดีๆสักครั้ง

        อันที่จริงแล้วน่าจะพูดให้ถูกว่าอดีตแฟนหนุ่มสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายของเธอ หงุดหงิดงุ่นง่านทุกครั้งที่ไม่อาจอวดตัวกับเพื่อนได้ว่าเคยพาเธอขึ้นเตียงแล้วสักครั้ง แล้วมีหรือที่เธอต้องใส่ใจกับมนุษย์ผู้ชายประเภทนั้น ตอนเฮิร์ตก็เหมือนจะตายให้ได้แต่ก็ไม่เห็นจะตาย กลับมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงวินาทีนี้

        แต่เมื่อเทียบความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ชายสองคนนี้ช่างห่างกันลิบลับ ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถเธอขบคิดอย่างหนักในคำพูดของเขา

       ‘ผมไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะยาวนานแค่ไหน เรื่องแบบนี้มันต้องดูกันไปเรื่อยๆ บางทีความรู้สึกกับทฤษฎีที่คุณว่ามามันอาจจะใช้กับคนบางจำพวกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณจะเขี่ยผู้ชายที่ถูกใจสุดๆไปแบบนี้ผมก็โอเค้ ไม่บังคับใจกันอยู่แล้ว’

        เขาไม่บังคับใจ ไม่เซ้าซี้และไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองเมื่อเธอปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์ทางกาย แต่กลับดูมั่นใจว่าจะทำให้เธอยอมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเสียเอง และเมื่อลองชั่งใจกับคำสอนของผู้เป็นพ่อแล้วเธอก็คิดว่าสามารถควบคุมตัวเองได้

        เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมๆกับประตูที่เปิดออก สิริภัทราก้าวออกจากลิฟต์ไปหยุดที่หน้าประตูห้องพร้อมแตะคีย์การ์ดลงบนเครื่องสแกนแต่กลับเปิดประตูไม่ได้เพราะถูกล็อกจากข้างใน หากไม่ทันได้กรอกเสียงเรียกลงไปประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยร่างใหญ่โตของเจ.ที. ซึ่งเปิดประตูห้องออกกว้างแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปเสียก่อน

        “กลับมาเสียดึกเชียว ไอ้เราก็นึกว่าจะมากินมื้อเย็นด้วยกัน” พูดไม่ทันจบก็เห็นแม่ตัวดีกำลังยกกระเป๋าสะพายข้ามศีรษะแล้วทิ้งมันลงบนพื้นเสียดื้อๆ อ้าปากค้างพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆห้อง

        “ฉันเข้าห้องผิดรึเปล่าเจ.ที. มันใช่ห้องเดียวกันกับที่ฉันเดินออกไปเมื่อเช้าจริงๆน่ะเหรอ!?” พูดพลางสาวเท้าเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง ซึ่งตอนนี้เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งแห่งหนของมัน ข้าวของจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเช่นครั้งที่เธอเคยทำเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “โอ... ฉันเข้าห้องผิดแน่ๆ เพราะถ้าเป็นห้องของเจ.ที. ซิลเวอร์ ฉันต้องเจอถังมันฝรั่งทอดวางไว้บนโซฟา”

        “ให้มันน้อยๆหน่อยพิตต้า คนทำดีควรได้รับคำชมและกำลังใจ ใครใช้ให้เธอพูดจาล้อเลียนฉันแบบนี้” ปรามอย่างไม่จริงจังนักเพราะรู้ว่านั่นคือการหยอกล้อเสียมากกว่า “เออ... ทำให้ทุกห้องยกเว้นห้องเธอ ฉันหมดแรงพอดิบพอดี”

        เพียงเท่านั้นคนที่ยิ้มร่าเริงก็หน้าบึ้งราวกับมีสวิตช์เปลี่ยนโหมดอารมณ์ “แปลว่าต่อไปนี้ไม่ต้องกินอาหารฝีมือฉันแล้วใช่ไหม”

        เจ.ที. หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจพลางยกสองมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ “หมดแรงจริงๆ ฉันเข้ายิมไปสี่สิบนาทีแล้วกลับมาทำความสะอาดรังหนูเนี่ยเกือบทั้งวัน เธอก็น่าจะรู้ว่าการทำงานบ้านเนี่ยมันจุกจิกเอาการ เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับจากจ็อกกิ้งแล้วจะกลับมาทำให้”

        “แล้วไป” รับคำพลางเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างคนหมดแรง ในขณะที่ชี้นิ้วไปยังกระเป๋าสะพายที่กองอยู่หน้าประตู

        เจ.ที. ส่ายหน้าอ่อนใจพลางเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมายื่นให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอน สภาพดูเหนื่อยอ่อนจริงๆ “ไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้เหมือนคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงแบบนี้”

        “ก็ทำงานน่ะสิ เป็นนักข่าวสายอาชญากรรมนี่ไม่ได้นั่งสบายเขียนข่าวอยู่ในออฟฟิศหรอกนะ” ชันตัวขึ้นบอกด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นมาอีกระดับเพราะไม่อยากให้พี่ชายซักไซ้ไปมากกว่านี้

        “รู้ว่าไม่ได้ทำงานสบาย แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอไม่ได้ลงพื้นที่สืบข่าวเองจนเกือบพลาดท่าเสียทีเหมือนหลายเดือนก่อนหรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะได้ให้แม่มาจัดการ อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับแม่เชียว”

        สิริภัทรามองพี่ชายตาโต เรื่องที่เธอเกือบถูกรุมโทรมเมื่อสามเดือนก่อนยังเป็นข้อโต้แย้งใหญ่โตทุกครั้งที่เอ่ยขึ้นมา เมื่อไดแอนและเจ.ที. ยืนยันว่าจะให้เธอลาออกจากการเป็นนักข่าว มันโหดร้ายต่อความรู้สึกเกินไปหากต้องได้ยินว่าสมาชิกคนหนึ่งคนใดในบ้านต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้น

        “รู้แล้วน่า... รับปากแม่ไปแล้วไม่ลืมหรอก เธอนั่นแหละรีบกลับเข้าห้องไปนั่งสมาธิเลย จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้ว” บอกพลางชันตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกลบเกลื่อนความผิด

        เจ.ที. รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าน้องสาวต้องมีเรื่องปิดบังแต่ห้ามไปก็ใช่ว่าคนหัวรั้นอย่างสิริภัทราจะยอมเชื่อฟัง จึงทำได้แค่เตือนให้ฉุกคิดถึงวินาทีเป็นวินาทีตายที่เคยผ่านมาแล้วและคงจะมีแต่สัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่เท่านั้นล่ะจะทำให้เธอทบทวนให้หนักก่อนลงมือทำเรื่องเสี่ยงอันตราย

        สิริภัทราถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเจ.ที. จอมจุ้นเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัว ทว่าภาพสะท้อนของตัวเองจากสแตนเลสของเตาอบที่วางอยู่ติดกับตู้เย็นนั้นก็ทำให้ต้องตกใจกับสภาพของตัวเอง มันไม่ใช่คิสมาร์กที่ติดอยู่บนเนินอกเช่นครั้งที่แล้วแต่... รอยแดงราวกับเป็นผื่นแพ้อากาศนั้นร้ายกาจยิ่งกว่า

        ดวงตากลมโตและปลายนิ้วกำลังลากผ่านอย่างสำรวจตรวจตราร่องรอยที่เกิดขึ้นตรงซอกคอไล่ต่ำลงไปจนถึงเนินทรวง เหตุจากเคราเส้นสั้นที่ผุดขึ้นตามแนวสันกรามของเขาถูไถกับผิวเนื้อของเธอ

        แน่ล่ะว่าร่องรอยดังกล่าวไม่ได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดให้สักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับหงุดหงิดใจที่ต้องใส่เสื้อคอเต่าไปอีกหลายวัน แม้มันจะเป็นฤดูหนาวที่อุณหภูมิเหลือแค่เลขตัวเดียว แต่เชื่อเถอะว่าในออฟฟิศเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น จนหลายต่อหลายคนต้องมองเธอด้วยความสงสัยเชียวล่ะ

        หากเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นอย่างกะทันหันจนเธอต้องดึงสาบแจ็กเก็ตตัวนอกให้มาบรรจบกันแล้วหันไปมองคนที่ควรจะทำสมาธิในห้องด้วยสายตาตำหนิ

        “อะไรอีกล่ะเจ.ที. ฉันคิดว่า...” แสร้งทำเสียงรำคาญใจยังไม่ทันจบคำพูดก็ต้องเงียบเสียง เมื่อพี่ชายชี้นิ้วแล้วเดินถือโทรศัพท์มาหยุดตรงหน้า

        “เงียบ และตอบฉันมาว่าโทรศัพท์เธออยู่ไหน ทำไมสาวหลุยเซียน่าน่ารำคาญคนนี้ถึงต้องโทร. หาเธอที่เบอร์ฉันด้วย” เจ.ที. ถามพลางยื่นโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเมื่อน้องสาวเอื้อมมือมารับเอาไว้

        “อะ...เอ่อ ลืมไว้ในรถล่ะมั้ง” อ้ำอึ้งและตอบแบบตะกุกตะกักจนคนฟังต้องขมวดคิ้วแทบเป็นเส้นตรง

        “พิลึกคน รู้ว่าลืมไว้ในรถแล้วทำไมไม่กลับไปเอาขึ้นมา”

        “เอาเถอะน่า... รีบปล่อยมือได้แล้วเห็นไหมว่ามิเกลล่าถือสายรออยู่” อีกครั้งที่ต้องทำเป็นรำคาญกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายที่เพิ่งตัดสินใจทำเป็นครั้งแรกในชีวิต ให้ตายสิ! การทอดสะพานให้ผู้ชายที่ถูกใจว่าทำยากแล้ว การปกปิดให้แนบเนียนไม่ให้คนอื่นล่วงรู้มันยากยิ่งกว่า

        “วันนี้เธอดูยุ่งเหยิงพิกลนะพิตต้า” เจ.ที. บอกพลางส่ายหน้า แม้จะปล่อยโทรศัพท์ให้น้องสาวแล้วแต่ก็ยังหงุดหงิดใจกับเสียงแว้ดๆที่ดังมาตามสายเมื่อครู่ “อีกอย่างนะพิตต้า ก่อนจะให้เบอร์โทรศัพท์ฉันกับคนอื่นเนี่ย กรุณาขอฉันสักนิด”    สิริภัทราเบิกตากว้างในขณะที่รีบแนบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางเข้ากับต้นขา กลัวว่าปลายสายจะได้ยินคำพูดนั้น “ขอโทษน้า... ก็จะให้นายเป็นพี่ชายของฉันนี่นา ไม่ให้เบอร์นายเผื่อฉุกเฉินแล้วจะให้เบอร์ใครที่ไหน อีกอย่างมิเกลล่าก็เป็นคู่หูของฉัน เป็นคนอื่นที่ไหนกันเล่า”

        เมื่อจนต่อเหตุผลคนที่สมาธิกระเจิดกระเจิงเพราะเสียงแหลมปรี๊ดของมิเกลล่าก็เดินกลับห้องอย่างหัวเสีย ก่อนจะปิดประตูล็อกห้องอย่างหนาแน่นยังสั่งน้องสาวเสียงแข็ง “ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งมันไว้ตรงหน้าทีวีนั่นแหละ อย่าให้ฉันได้ยินเสียงแม่นักข่าวเพื่อนเธออีกแล้วกัน”

        “หน็อย... ไอ้ยักษ์อ้วนตัวเท่าตึก ถ้าฉันติดต่อพิตต้าได้ก็คงไม่ต้องโทร. เข้าเครื่องนี้หรอก นึกว่าตัวเองหล่อตายหรือไง...” มิเกลล่าต่อว่าต่อขานกลับ แม้รู้ว่าเขาจะไม่ได้ยินแต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่จะให้เงียบฟังเขาตำหนิโดยไม่ตอบโต้

        สิริภัทรายกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นแนบหูได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องดึงออกแล้วปล่อยให้คู่หูต่อว่าเสียจนพอใจจากนั้นจึงเริ่มกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง “โอเคแล้วนะมิเกลล่า”

        “โอเคบ้าบอน่ะสิ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอแค่ไหน โทร. หาเป็นร้อยสายก็ไม่รับ พอมีคนรับสายก็เป็นผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ พูดจายียวนกวนประสาท ฉันก็นึกว่าเป็นสเต็ปบราเทอร์ของเธอ” มิเกลล่าร่ายยาวจนคนฟังเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ.ที. และมิเกลล่าถึงได้ดูหงุดหงิดใส่กันนัก

        สิริภัทราอมยิ้มเมื่อรู้ว่าคนที่รับสายเป็นใคร ไม่ต้องห่วงเรื่องยั่วโมโหคนอื่น เขาทำมันได้ดีจนเธอหลวมตัวตัดสินใจทำเรื่องน่าอับอาย อ่อยผู้ชายตามทริคที่เคยอ่านในหนังสือฮาวทูเชียวล่ะ แน่นอนว่าเธอไม่ได้จับใจความคำต่อว่ายืดยาวที่ดังมาตามสาย หากใจกลับคิดถึงผู้ชายซึ่งเขาต้องรู้แล้วว่าเธอลืมโทรศัพท์เอาไว้ในรถ

        “นี่! พิตต้า ฟังฉันอยู่รึเปล่า” มิเกลล่าถามขึ้นเมื่อปลายสายเงียบไปอย่างผิดปกติ

        “ฟะ...ฟัง เรื่องผู้ชายคนนั้นเอาไว้เจอกันแล้วจะเล่าให้ฟังแต่ไม่มีอะไรมาก เขาแค่เข้ามาช่วยฉันไว้พอดี เล่าเรื่องของเธอดีกว่า ที่สะกดรอยตามกลุ่มวัยรุ่นนั่นไปถูกจับได้หรือไงถึงได้แจ้งตำรวจ” สิริภัทราถามเข้าเรื่อง

        “บ้าน่ะสิ ฉันตามวัยรุ่นกลุ่มนั้นไปก็จริงแต่พอไปถึงโรงแรมนั่น เอ็นวายพีดีเต็มโรงแรมไปหมด วัยรุ่นสามคนนั่นเห็นท่าไม่ดีก็เผ่นแน่บ ส่วนฉันนี่ยังไม่มีโอกาสเข้าไปเฉียดกรายโรงแรมเลยด้วยซ้ำ” มิเกลล่าบอกอย่างหัวเสีย

        “อ้าว! ฉันก็นึกว่าเธอเสียอีก ก็ตอนที่ตามพวกมาเก็บส่วนแบ่งจากทรัคฟู้ดไปถึงผับแถว... ฉันแอบได้ยินพวกมันคุยกับผู้ชายอีกคน น่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงกว่านะบอกว่ามีนักข่าวเข้ามาสืบ แล้วตำรวจก็เข้าเคลียร์พื้นที่ ฉันก็นึกว่าเธอเจอสถานการณ์เลยต้องเรียกตำรวจซะอีก” สิริภัทราบอกตามที่ตนได้ยิน

        “ม่าย...” มิเกลล่าปฏิเสธและแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินคู่หูพูดเช่นนั้น “หรือจะมีนักข่าวสำนักอื่นกำลังตามข่าวนี้อยู่เหมือนกัน”

        “ก็อาจจะเป็นไปได้แต่มาคิดดูอีกที ถ้าถึงขั้นแจ้งความให้เอ็นวายพีดีเข้ามาจัดการก็แปลว่าต้องได้ข่าวหรือข้อมูลมากพอสมควร แต่เท่าที่รู้ก็ไม่เห็นว่าจะมีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเล่นข่าวนี้นี่นา”

        สองนักข่าวสาวแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่พักใหญ่ก็ไม่อาจสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ เพราะมิเกลล่าเองก็พยายามสอบถามถึงสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าควบคุมพื้นที่ก็ไม่มีใครทราบ เธอได้คำตอบที่เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น สรุปว่าเลยต้องกลับบ้านมือเปล่า

        “ว่าแต่เธอเถอะ ไม่เป็นอะไรแน่นะ ปลอดภัยดีใช่ไหม”

        “อื้อ ก็แค่เกือบๆ แต่ไม่มีอะไร นี่ก็ถึงอพาร์ตเมนต์เกือบชั่วโมงแล้ว” สิริภัทราตอบอย่างหนักแน่นให้ความมั่นใจกับเพื่อนร่วมงาน

        “งั้นพรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าผับที่เธอไปมันคือถิ่นของพวกมัน” มิเกลล่าสรุปออกมาก่อนจะวางสายยังอดฝากต่อว่าถึงพี่ชายนอกไส้ของสิริภัทราอีกครั้ง “อ้อ ฝากบอกไอ้ยักษ์อ้วนด้วยนะ ขอให้สมาธิแตกกระเจิง กลับไปลงสนามอีกทีมีแต่คนโห่หรือถ้าไม่มี ฉันนี่แหละจะลงทุนซื้อตั๋วเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเพื่อเข้าไปโห่ไล่คนแรกเลย”

        “ยังไงกันนะสองคนนี้ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีเรื่องกันทุกที ระวังเถ้อะ...”

        “หยุดความคิดเธอไว้ตรงนั้นเลย” มิเกลล่าสั่งเสียงแข็ง แม้ครั้งแรกที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดจะรู้สึกดีใจแต่เมื่อครู่ที่เขาทำเสียงหงุดหงิดใส่ แถมยังต่อว่าเธอราวกับคนไม่รู้จักมารยาททางสังคมก็เล่นเอาเสียความรู้สึกไปจนสิ้น

        แม้สิริภัทราจะยอมหยุดแล้วเอ่ยคำลาก่อนวางสาย เธอก็ต้องอมยิ้มเพราะรู้ว่ามิเกลล่านั้นให้ความสนใจต่อเจ.ที. ไม่น้อย ขนาดข่าวซุบซิบที่ว่าเขาไม่อยู่ในแผนการทำทีม มิเกลล่าก็เป็นคนไปสืบมาจากเพื่อนนักข่าวสายกีฬาแล้วเอามาบอกเธออีกทอดหนึ่ง แต่พูดไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์เพราะมิเกลล่าเป็นสาวประเภทโกรธง่ายหายเร็ว ถ้าพรุ่งนี้ไปบอกว่าเจ.ที. กำลังฟิตร่างกายกลับลงสนาม ขี้คร้านมิเกลล่าจะเป็นคนสรรหาอาหารตามที่โภชนากรสั่งมาให้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา