ปรารถนาร้อนจอมวายร้าย

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.47 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,728 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 13.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ปรารถนาร้อนจอมวายร้าย ตอนที่ 1 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้าของวันต่อมาสิริภัทราเดินแกมวิ่งออกมาจากอพาร์ตเมนต์ นึกโมโหให้คนที่ปฏิญาณตนว่าจะตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อฟิตซ้อมร่างกาย ทำกิจวัตรดังเดิม ตอนแรกก็หวังว่าจะได้เห็นอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมสายตาของเจ.ที. ที่มองมาอย่างตำหนิเช่นทุกครั้งที่เธอมักจะขุดตัวเองออกจากเตียงอย่างยากลำบากและเป็นอันต้องรีบร้อนเพื่อจัดการตัวเองทุกครั้งไป

        แต่จนแล้วจนรอดกลับเป็นเธอที่ต้องไปขุดเขาให้ลุกขึ้นมาจากเตียงในตอนเจ็ดโมง และไม่มีเวลาบ่นว่ายืดยาวเพราะไม่อยากไปทำงานสายในวันแรกของสัปดาห์ซึ่งมีหัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่มาทำงานเป็นวันแรก

        เพียงแค่อากาศหนาวเหน็บสัมผัสกับใบหน้า สิริภัทราก็แทบจะหน้ามืดอยากหมุนตัวกลับเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มพลางคิดในใจว่าอากาศหนาวช่างเป็นศัตรูตัวฉกาจของเธอเหลือเกินเพราะต่อให้คนรอบข้างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอขยันรับจ้างทำงานทุกอย่างเพื่อแลกกับเงินจนเข้าขั้นงกสักแค่ไหน แต่ก็เหมือนทำท่าว่าต้องพ่ายแพ้ให้กับการตื่นนอนในทุกวัน มันช่างยากเย็นและกินเวลาในการแต่งตัวเหมือนสาวๆทั่วไปนัก ยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นทั้งคืนเช่นนี้ยิ่งอยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อต้องสั่งตัวเองให้ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน!

        โชคดีที่ช่วงนี้มีมินิคูเปอร์ของเจ.ที. ขับไปทำงาน เธอถึงไม่ต้องวิ่งแข่งกับเวลาเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินซึ่งอาจจะทำเวลาได้ดีกว่าการขับรถแต่สุดท้ายพอถึงสถานีไทม์สแควร์ เธอต้องวิ่งแข่งกับฝูงชนออกจากรถไฟ แน่นอนว่าลูกครึ่งเอเชียอย่างเธอ ช่วงขาสั้นและเดินช้ากว่านิวยอร์กเกอร์พันธุ์แท้นัก คิดมาถึงตรงนี้เธอก็ต้องหัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดของพ่อ

        ‘ถ้าหนูเริ่มแต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากรันเวย์ เริ่มเดินแซงคนอื่น ใช้มือดันประตูรถไฟใต้ดินและอัดตัวเข้าไปในโบกี้ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนด้วยเหตุผลที่ว่า เร่งรีบ! นั่นบ่งบอกแล้วล่ะว่าหนูเป็นนิวยอร์กเกอร์ตัวจริง’

        สิริภัทรายิ้มเมื่อบังคับรถให้เลี้ยวเข้าไปในตึกสูงตระหง่านของย่านไทม์สแควร์ซึ่งเมื่อครั้นยังเด็กเคยใฝ่ฝันว่าอยากเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นแมนฮัตตันนี้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาขับไล่ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่เข้ามาเกาะกุมทุกครั้งเมื่อคิดถึงผู้เป็นพ่อซึ่งจากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ ช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับไดแอนและเจ.ที. ไม่ได้โหดร้ายเหมือนในนิทานกล่อมเด็กนัก แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะยากลำบากสักเพียงไหน ก็อยากบอกกับพ่อเหลือเกินว่าขอบคุณที่สร้างชีวิตจนเธอมีโอกาสเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตของตัวเองเช่นนี้

 

        ตึกสูงเสียดฟ้าแต่กลับดูธรรมดาสามัญเมื่อก่อสร้างขึ้นในใจกลางมหานครที่ได้ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า ซิตี้ทูเดย์อาจเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์เล็กๆที่ไม่ได้มีตึกสูงเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของตัวเอง แต่เวลาห้าปีนับจากก่อตั้งสามารถเช่าพื้นที่จำนวนสิบชั้นของตึกในย่านไทม์สแควร์ได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

        “โอ้โห... วันนี้มาก่อนเวลาปกติตั้งนาทีครึ่ง”

        สิริภัทราเหลือบสายตามองเพื่อนร่วมงานสาวซึ่งนั่งอยู่โต๊ะติดกัน ไม่สนใจกับคำเย้าแหย่นั้นสักเท่าไหร่จนเมื่อเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของตนและได้ยินประโยคต่อไปของเพื่อนร่วมงาน

        “แต่ก็ยังช้ากว่าเฮดบก. คนใหม่ มาถึงก่อนหน้านี้สักสิบห้านาทีแล้ว” มิเกลล่า นักข่าวสาวผู้มีผิวสีแทน ผมดกหยิกเป็นลอน หุ่นอวบอัด มีหน้าอก เอว สะโพกอย่างชัดเจน สาวคลีโอลจากหลุยเซียน่าเลือดผสมแอฟริกันและสเปน

        “จริงเหรอ?” สิริภัทราเบิกตากว้างพลางเอนตัวเข้าไปหาคู่หูที่แม้ว่าเพิ่งจะทำงานร่วมกันไม่นาน แต่กลับมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน รู้อกรู้ใจอย่างไม่น่าเชื่อ

        “อาฮะ ไม่เชื่อก็ไปดูในห้องประชุมสิ”

        “นี่อย่าบอกนะว่ามาวันแรกก็เรียกประชุมเลย” สิริภัทราถามเพราะมีข่าวแว่วมาตลอดเวลาครึ่งเดือนที่หัวหน้าบรรณาธิการข่าวอาชญากรรมคนที่แล้วถูกปลดกลางอากาศเพราะห้ามไม่ให้เธอและมิเกลล่าสืบค้นเรื่องมาเฟียที่เรียกเก็บค่าคุ้มครองในไชน่าทาวน์

        “ใช่สิ แถมยังเดินมาบอกด้วยตัวเองอีกว่าหลังประชุมขอคุยกับเราเป็นการส่วนตัว” มิเกลล่าบอกพลางยื่นแฟ้มที่รวบรวมข้อมูลการเก็บค่าคุ้มครองในไชน่าทาวน์ซึ่งพับเก็บมาครึ่งเดือนให้คู่หู “ยิ้มหน่อยน่าที่รัก ฉันมีลางสังหรณ์ว่าเราจะได้ตามเรื่องนี้ต่อ”

        หากยังไม่ได้ตอบรับว่าอย่างไรทั้งสองสาวก็ต้องหันไปยังต้นกำเนิดเสียงที่ดังขัดจังหวะขึ้น

        “สวัสดีเช้าวันทำงานแรกของเดือน ถ้าทุกคนมาพร้อมกันแล้วก็เชิญที่ห้องประชุม คงจะรู้กันคร่าวๆแล้วว่าวันนี้พวกคุณมีเฮดบก. คนใหม่ และผมกำลังจะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ” หัวหน้าบรรณาธิการร่างท้วมบอกด้วยรอยยิ้มเบิกบานก่อนจะเดินตรงไปยังห้องประชุมซึ่งอยู่อีกฝั่งของห้องข่าวอาชญากรรม ไม่กี่นาทีต่อมานักข่าวสายอาชญากรรมทั้งแปดคนก็เดินเข้าห้องประชุมเพื่อทำความรู้จักกับเจ้านายคนใหม่

        นักข่าวสายอาชญากรรมได้มีโอกาสรู้จักกับมอรีส สปาร์ก เจ้านายคนใหม่อายุ 50 ปีแต่กลับดูหนุ่มกว่าอายุจริง รูปร่างหน้าตาตลอดจนคำพูดช่างร้ายกาจไม่เกรงกลัวใคร ตรงตามเจตนารมณ์ของซิตี้ทูเดย์ยิ่งนัก ราวสองชั่วโมงกับการพูดคุยทำความรู้จักทุกคน มอรีสก็เริ่มเข้าประเด็นบอกถึงวัตถุประสงค์หลักในการทำงานของเขาจนทุกคนนิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยิน

        “อย่าลืมว่า ทำข่าวต้องไม่บิดเบือนความจริง แม่นยำ ฉับไวแล้วผมจะเพิ่มคำว่าต้องขายได้เข้าไปอีก” มอรีสยิ้มที่มุมปากเมื่อได้เห็นสีหน้าของนักข่าวในปกครองมองตนด้วยความประหลาดใจ

        มีเพียงสิริภัทราที่ยังจ้องเจ้านายคนใหม่ด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดและท่าทีนั้นอยู่ในสายตาของมอรีสตลอดเวลา

        “ผมให้คุณเขียนข่าวที่มันต้องขายได้ แน่นอนว่าอาจจะเกินจริงไปบ้าง คุณโอเคมั้ย พิตต้า” มอรีสถามคนที่จ้องตนไม่กะพริบตาก่อนเป็นอันดับแรก

        คนถูกถามถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชัดถ้อยชัดคำ “ยังไม่เคยเขียนข่าวที่เกินความจริงค่ะ เพราะทุกวันนี้ฉันเขียนข่าวที่เป็นความจริงและใช้สำนวนที่เรียกความสนใจของคนอ่านได้อยู่แล้ว ก็เลยยังไม่เคยคิดสักทีว่าจะทิ้งจรรยาบรรณของนักข่าวข้อที่สำคัญที่สุดไป”

        คำตอบที่ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานทำให้ในห้องประชุมเกิดความเงียบไปชั่วขณะ เพื่อนร่วมงานหันมาสบสายตากันเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กที่สุดในทีมจะกล้าหาญตอบคำถามที่ไม่ต่างจากการสะบัดฝ่ามือตบหน้าเจ้านายคนใหม่

        ภาวะสุญญากาศเกิดขึ้นในห้องประชุมชั่วครู่แต่กลับเป็นเวลาน้อยนิดที่บีบหัวใจเหลือเกิน ทว่าเพื่อนร่วมงานของสิริภัทราอีกเจ็ดคนรู้สึกกลัวแทนเพื่อนในคำตอบและต้องเบิกตากว้าง หันมาสบตากันอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นมอรีส แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะราวกับพบเจอเรื่องขบขันที่สุดในชีวิต

        “ฮ่า... เยี่ยม ฮ่า...” มอรีสยังหัวเราะต่อไปสักพักในขณะที่ชี้นิ้วไปยังลูกครึ่งสาวสวยซึ่งจ้องมองตนด้วยสายตาและสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม แตกต่างกับเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ไม่รู้จะปั้นหน้าเช่นไรกับอารมณ์ขันของเขา

        “ฉันคิดว่าอารมณ์และคำพูดหลังจากเสียงหัวเราะนี้คงเป็นสิ่งดีๆสำหรับเธอนะพิตต้า เตรียมหางานใหม่เอาไว้มั่งล่ะ” มิเกลล่าซึ่งนั่งถัดจากสิริภัทรา เอนตัวไปกระซิบให้พอได้ยินกันสองคน

        “เธอใช่ไหมที่เข้าไปสืบเรื่องมาเฟียในไชน่าทาวน์จนเกือบเอาตัวไม่รอด” มอรีสถามหลังจากที่นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเกือบนาที

        “ค่ะ ฉันกับคู่หู มิเกลล่าแต่วันที่เกิดเรื่องฉันเหมือนจะรนหาที่เอง มิเกลล่าไม่สบายขอลาหยุดสองวัน ฉันไม่อยากจะรอ” สิริภัทราตอบสั้นๆเพราะไม่สามารถอ่านใจของคู่สนทนาได้เลย

        “พิตต้ากับมิเกลล่าอยู่คุยกับผมก่อน นอกนั้นเชิญไปทำงานของตัวเองได้ ขอบคุณและอย่าลืมพันธกิจที่เรามีร่วมกัน” มอรีสสั่งเร็วๆ จนนักข่าวที่เหลือปั้นหน้าไม่ถูก เพราะจู่ๆเขาก็จบการประชุมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

        แอรอน นักข่าวที่มีอายุสูงสุดในสายข่าวอาชญากรรมและทำงานมาตั้งแต่ครั้งที่ซิตี้ทูเดย์เริ่มเปิดตัว เตือนสิริภัทราด้วยการแบมือขนานกับแนวพื้นแล้วขยับขึ้นลงช้าๆเป็นเชิงบอกให้รุ่นน้องพูดคุยด้วยความใจเย็นซึ่งสิริภัทราก็ได้แต่ยิ้มเนือยๆและพยักหน้ารับ

        “ผมชอบความคิดของคุณนะพิตต้า และถึงแม้ว่าคุณจะตอบคำถามแบบเอาใจผมว่าโอเคค่ะ บอสให้ทำอะไรฉันก็ยินดี นั่นต่างหากที่ผมไม่แฮปปี้” มอรีสบอกเมื่อในห้องประชุมมีเพียงคนที่ตนอยากพูดคุยด้วยเท่านั้น

        หากมันทำให้นักข่าวทั้งสองหันมาจ้องตากันอย่างไม่อยากเชื่อ สิริภัทราเองก็ใจแป้วไม่น้อยที่จู่ๆเห็นเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นนั้น ใจหนึ่งนึกเอาไว้แล้วเชียวว่าคงจะต้องหาสมัครงานกันให้วุ่นแต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง

        “เรื่องมาเฟียเรียกเก็บค่าคุ้มครองในไชน่าทาวน์รีบจัดการต่อได้เลย ก่อนผมจะรับปากมานั่งตำแหน่งนี้ก็พอจะรู้เรื่องมาบ้างแล้ว มันคงจะยากหน่อยหากจะสืบเรื่องนี้ต่อเพราะหัวหน้าคนก่อนคงจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยู่พอสมควร” มอรีสพูดพลางหยิบภาพถ่ายสองสามแผ่นเลื่อนไปไว้ตรงหน้าสองนักข่าว

        สิริภัทราหยิบเอาภาพถ่ายนั้นขึ้นมาไว้ในมือและส่งให้คู่หู หากต้องหันไปสบสายตากับมิเกลล่าเมื่อภาพของหัวหน้าคนเดิมยืนอยู่กับชายสามคนซึ่งจำได้ว่าเคยเห็นพวกมันเรียกค่าคุ้มครองจากร้านรถเข็นเล็กๆ ทรักฟู้ดไปจนกระทั่งถึงร้านใหญ่ในไชน่าทาวน์

        “แต่ดูท่าว่าเรื่องนี้คงจะไม่ง่ายแล้ว พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่ามีนักข่าวแฝงตัวเข้าไป พยายามสืบเรื่องเก็บค่าคุ้มครอง” มันเป็นสิ่งที่คาดเดาได้อย่างง่ายดาย

        “แต่เท่าที่ฉันสืบรู้มา พวกมันจะใช้วิธีเปลี่ยนคนมาเก็บเงินไปเรื่อยๆ เคยมีพ่อค้าคนหนึ่งบอกกับฉันว่าสักสามเดือนที่แล้วมีเจ้าของร้านรถเข็นคนหนึ่งหลุดปากเรื่องเก็บค่าคุ้มครองกับลูกค้าของตัวเอง หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นเจ้าของร้านรถเข็นนั้นอีกเลย แต่พอสามวันต่อมาก็เห็นลูกค้าคนที่ยืนฟังเรื่องค่าคุ้มครองนั้นเป็นคนมาเก็บเงินเสียเอง พ่อค้าในละแวกนั้นจึงได้แต่ซุบซิบกันว่าเจ้าของร้านรถเข็นคนนั้นคงถูกเก็บเป็นการสั่งสอนการปากโป้งไปแล้ว” มิเกลล่ายังจำเรื่องราวที่ตนได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นหัวหน้าคนเดิมก็ออกคำสั่งให้พับเก็บการตามเรื่องเรียกค่าคุ้มครองเข้ากรุไปเสียก่อน

        มอรีสพยักหน้ารับพลางเปรยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง “เฮ้อ... แน่นอนว่าเรื่องคงเงียบไปเองเพราะตำรวจคงมีทั้งดีและไม่ดี”

        “แน่สิคะ เจ้าหน้าที่เอ็นวายพีดีก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกันนี่” สิริภัทราอดที่จะประชดไม่ได้

        “ถึงผมจะไฟเขียวให้พวกคุณตามเรื่องนี้ต่อได้ อยากขายข่าวที่หามาได้มากแค่ไหนแต่ก็ต้องคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรก จำเอาไว้ว่าผมจะไม่สรรเสริญนักข่าวที่ไม่ยอมมาพรีเซ้นต์ความจริงที่ตัวเองหามาได้ ยิ่งเป็นลูกทีมของตัวเองด้วยแล้วยิ่งไม่แฮปปี้ถ้าจะให้ผมกล่าวคำยกย่องต่อจากบาทหลวง”

        มันคือการกล่าวคำไว้อาลัยในพิธีฝังศพ ซึ่งคำพูดของมอรีสทำให้ทั้งสามมีเสียงหัวเราะครื้นเครง ก่อนจะตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองเป็นอันดับแรก สิริภัทราและมิเกลล่าก็มีทัศนคติที่ดีเยี่ยมต่อหัวหน้าคนใหม่ ทั้งยังใช้เวลาปรึกษาหารือถึงขอบเขตการทำงานและรายละเอียดต่างๆจนกินเวลาในช่วงเช้าของวันทำงานไปจนถึงเวลาพักกลางวัน

 

        ห้าโมงเย็นของวันเดียวกันคู่หูสาวสวยสุดแสบแห่งซิตี้ทูเดย์ก็เดินทางมาถึงไชน่าทาวน์ ย่านคนจีนซึ่งบางครั้งแทบจะไม่ได้ยินใครพูดภาษาอื่นนอกเสียจากภาษาจีน แหล่งวัตถุดิบของอาหารสไตล์เอเชียที่พ่อของสิริภัทราต้องพามาซื้อสารพัดเครื่องปรุงแบบไทยราวเดือนละหนึ่งครั้ง

        หากการมาเดินย่ำในถิ่นนี้ของสิริภัทราและมิเกลล่านั้นจุดประสงค์อาจจะแตกต่างออกไปกับเมื่อครั้นยังเด็กแต่สิริภัทราก็ยังใช้ประโยชน์จากการเป็นลูกครึ่งเอเชียที่มีอยู่ในตัวได้เป็นอย่างดี เมนูอาหารจีนง่ายๆที่ตนชื่นชอบยังเป็นคำพูดติดปากที่ต้องสั่งกับร้านรถเข็นทุกครั้งที่ได้มาเยือน

        แน่นอนว่ามิเกลล่าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ยืนข้างๆ ปล่อยให้สิริภัทราสั่งอาการกับพ่อค้ารถเข็นซึ่งแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นราคาค่าอาหารง่ายๆเท่านั้น

        “หัมสุยโก๋ แอนด์ เตร่งตัว” สิริภัทราสั่งพลางชี้ไปยังข้าวเหนียวหมูทอดและฮะเก๋า ซึ่งอยู่ในเครื่องสตรีมพอเปิดฝาออกก็มีไอร้อนระเหยขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมของอาหารจีนรสเลิศ

        แม้ว่าสำเนียงที่เปล่งออกมานั้นจะไม่ได้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษาแต่เจ้าของร้านก็สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี พ่อค้าวัยกลางคนกุลีกุจอหยิบข้าวเหนียวหมูทอดและฮะเก๋าใส่กล่องพร้อมวางส้อมให้เรียบร้อยพร้อมรับประทาน บอกราคาทั้งหมดก่อนจะยื่นอาหารให้ลูกค้า

        สิริภัทราจ่ายค่าอาหารแล้วรับเอากล่องโฟมพลางยื่นอีกชุดให้มิเกลล่า ทั้งคู่จึงถอยออกจากหน้าร้านแล้วมาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆรถเข็น มันเป็นวัฒนธรรมเดิมๆที่เห็นได้จนชินตาในย่านไชน่าทาวน์ การรับประทานอาหารที่รีบเร่ง บางคนรีบขนาดว่าต้องเดินไปรับประทานไป

        ยี่สิบนาทีผ่านไปสองนักข่าวสาวจัดการอาหารในกล่องโฟมราบคาบก็ยังไม่มีวี่แววของพวกเรียกเก็บค่าคุ้มครอง สิริภัทราจึงลุกขึ้นไปสั่งพอร์กบัน (ซาลาเปา) อีกสองชิ้น จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิมพร้อมส่งซาลาเปาให้คู่หู

        “ดูที่เก้านาฬิกา ฉันว่ามีอะไรแปลกๆ” มิเกลล่าบอก ตั้งใจจะขยับปากให้น้อยที่สุดพลางเหลือบสายตาเป็นการส่งสัญญาณให้คู่หูมองไปยังทรักฟู้ดขายอาหารจีนที่อยู่ด้านซ้ายมือของตน

        เมื่อได้รับสารดังนั้น สิริภัทราจึงขยับตัวนั่งไขว่ห้าง หันหน้าไปยังทรักฟู้ดขายอาหารจีนซึ่งมีลูกค้าหลายคนมียืนเข้าแถวรอสั่งอาหาร เมนูยังทำขึ้นมาเป็นชุดเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสั่ง ดวงตาคู่สวยสังเกตการณ์อยู่ไม่นานก็พบถึงความผิดปกติบางอย่าง

        “แปลกจัง ทั้งร้านมีเชฟอยู่คนเดียวทำไมถึงได้ทำอาหารเร็วนัก” สิริภัทรายกซาลาเปาค้างไว้บริเวณริมฝีปาก เมื่อพูดจบประโยคจึงรับประทานเข้าไป

        “จริง ฉันก็ว่างั้น” มิเกลล่าบอกพลางยืดตัวทำทีเปลี่ยนอิริยาบถ

        ผู้ชายจีนอายุไม่เกินสามสิบห้าปีคนนี้ไม่เพียงแต่รับออร์เดอร์ลูกค้า เขายังเป็นคนทำอาหารอีกด้วย ความรวดเร็วคล่องแคล่วที่เกิดขึ้นทำให้สองนักข่าวสาวประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าคนหนึ่งสั่งอาหารและเดินถือกล่องโฟมออกมาอย่างไม่ต้องเสียเวลารอนาน หากกล่องโฟมนั้นกลับดูเบาราวไม่มีอาหารอยู่ข้างใน

        “ชุดสี่เอาแบบพิเศษ” เสียงของวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของสองนักข่าวสาวให้หันไปยังต้นกำเนิดของเสียง

        สิริภัทราและมิเกลล่าหันมาสบสายตากันในทันทีเพราะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที วัยรุ่นสามคนที่สั่งเมนูชุดสี่แบบพิเศษก็ได้รับกล่องโฟมที่ดูเหมือนไร้ซึ่งน้ำหนักออกมาจากทรักฟู้ดเช่นกัน สามวัยรุ่นยังหัวเราะครื้นเครงเดินผ่านหน้าตนพร้อมกับเปิดกล่องโฟมออก

        “ได้เวลาสนุกแล้ว” หนึ่งในสามวัยรุ่นบอกกับเพื่อนหลังจากที่อ่านข้อความบางอย่างในกล่องโฟมและปล่อยมันทิ้งลงพื้นโดยที่ไม่มีใครใส่ใจกล่องอาหารซึ่งมิเกลล่าหยิบมันขึ้นมาอ่านในเวลาต่อมา

        “ดูท่าว่าไชน่าทาวน์นี่จะมีอะไรลึกลับซับซ้อนมากกว่าการเรียกเก็บค่าคุ้มครองซะล่ะมั้ง” มิเกลล่าบอกพลางยื่นกล่องโฟมที่เขียนที่อยู่เอาไว้อย่างชัดเจน “แยกกันตรงนี้พิตต้า ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าในห้องนี้มันมีอะไรเกี่ยวกับชุดสี่แบบพิเศษเนี่ย”

        “อือ... ระวังตัวด้วยล่ะ”

        “บอกตัวเองเถอะ ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่” มิเกลล่าบอกพลางสบสายตาเพื่อนอย่างรู้ทันความคิด แน่นอนว่าอีกไม่นานสิริภัทราคงจะได้เห็นคนที่มาเก็บส่วนแบ่งจากการขายอาหารชุดพิเศษนี้เป็นแน่

        คนที่ตั้งใจจะจับงานที่มีความเสี่ยงมากกว่าพยักหน้ารับ “รีบไปเถอะ จำที่อยู่ในนี้ได้แล้วใช่ไหม”

        เมื่อมิเกลล่าเดินแยกออกไปแล้ว สิริภัทราก็รีบบีบกล่องโฟมให้แบนแล้วยัดใส่ในกระเป๋าสะพายของตนก่อนจะลุกขึ้นเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเฝ้าสังเกตทรักฟู้ดคันนี้ต่อไป จากการประเมินด้วยสายตาร้านขายอาหารชุดแบบพิเศษนี้จะมีลูกค้ามาต่อคิวสั่งอาหารมากกว่าทุกร้าน ถ้าคนไหนที่สั่งอาหารมารับประทานจริงๆก็จะยืนรอนานกว่าแบบพิเศษ

        ยิ่งดึกผู้คนที่เข้ามาเดินในย่านไชน่าทาวน์ก็ยิ่งพลุกพล่านขึ้นเรื่อยๆ แทบจะไม่มีใครสนใจกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทรักฟู้ดที่เธอจับตามองอยู่นี้ ซึ่งเธอมั่นใจว่าต้องมีร้านแอบแฝงเช่นนี้ตั้งอยู่อย่างกลาดเกลื่อน

        สิริภัทราส่ายหน้าให้กับเด็กวัยรุ่นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เข้ามาสั่งอาหารชุดแบบพิเศษนี้ มั่นใจได้ว่ามันต้องเป็นเรื่องผิดกฎหมาย อาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้าประเวณีหรือไม่ก็ต้องเป็นการพนันบางประเภท ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ต้องเกี่ยวพันกับการเรียกค่าคุ้มครอง

        หัวใจที่มีบาดแผลลึกกับวงจรโสมมเหล่านี้ยิ่งเกิดความมุ่งมั่น การตายของพ่อเป็นแรงผลักดันให้เธอกลายเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม เพราะดูเหมือนว่ามันสายงานที่ไม่มีเส้นสายของผู้ทรงอิทธิพลหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องบอกว่าสื่อมวลชนในประเทศที่มีเสรีภาพอันดับหนึ่งของโลกนี้ มีอิสระ ปราศจากอำนาจรัฐและผู้ทรงอิทธิพลแทรกแซงได้น้อยที่สุด แม้จะรู้ดีว่าตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวอันน้อยนิด ไม่อาจเปลี่ยนโลกทั้งใบให้งดงามเฉกเช่นโลกในอุดมคติได้แต่ก็จะทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา