Air Walker: เหินฟ้าคว้าฝัน

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 19.58 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,687 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 14.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) รอยยิ้มที่ริมน้ำ/การตัดสินใจของแซนเดอร์..

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แม้จะชนะ แต่ลีสต์รายการข้อผิดพลาดของทีมก็ยาวเหยียดจนแอร์รู้สึกทึ่งที่โค้ชละเอียดละออได้ขนาดนี้

หนุ่มๆเลยต้องนั่งฟังการบรรยายของการุณย์จนจบ จนหิวข้าวไปตามๆกัน

แต่เดฟกับอัศวะรออยู่หน้าห้องประชุมทีม พอเด็กออกมาก็แจ้งข่าวดี เพราะเขาสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงพวกเขาและวางรออยู่แล้ว..

 

"เด็กๆเป็นยังไงบ้าง" การุณย์ถาม

"ต้อง ถือว่าดีมากครับ เพราะเขายังเด็กกันอยู่ แต่สู้กับเราที่รุณ ไอ้อู๊ด ที่เป็นทีมชาติได้อย่างสนุกเลย.. โดยเฉพาะถ้าคิดว่าเขารวมทีมกันได้แค่เดือนเดียว" เดฟตอบ แล้วมองน้องๆแบ่งกันกินพิซซ่าที่เดฟสั่งมาจนเพียงพอ

"นายแอร์นี่ใช้ท่าแอร์วอร์กได้ด้วยเหรอครับ.. ผมเห็นแล้วอย่างได้เห็นจอร์แดนมาเอง.."

"เขาเป็นหลานของอัสดง พอยท์การ์ดรุ่นเดียวกับฉัน จำได้ไหม" การุณย์ตอบแล้วมองแอร์ที่กำลังแบ่งพิซซ่าให้เพื่อนๆอย่างเท่าเทียม

"ของแบบนี้มันผสมกันสองอย่างคือความสามารถทางร่างกาย กับการฝึกฝน"

เดฟมองแอร์กับกริชคุยกันในเรื่องอะไรบ้างอย่าง แล้วกริชก็หัวเราะร่วน โดยมีแอร์มองการหัวเราะนั้นด้วยรอยยิ้มอิ่มๆ

พอย์การ์ดกับชู้ตติ้งการ์ดเหรอ.. ทำไมเขานึกไปถึง ผู้รักษาประตูกับกองหน้าคู่นั้นได้ก็ไม่รู้...

 

“แอร์” เสียงเรียกพร้อมเคาะประตู

แอร์ลุกพรวดขึ้นนั่งตามลักษณะของคนความรู้สึกไว

เขาเดินไปเปิดประตูห้อง

“แอร์มาช่วยพี่เปลี่ยนหลอดไฟหน่อยสิ ไฟห้องพี่มันดับ” อายชูกล่องหลอดไฟให้ดู

นี่ คงเป็นเวลาเดียวที่พี่สาวจะพูดดีๆกับเขา ปกติแอร์กับเธอแทบจะไม่มีอะไรต้องคุยกันเพราะไลฟ์สไตร์ที่ขัดแย้งกันมากของ เขากับพี่สาว คุยกันก็เหมือนมาจากดาวคนละดวง

แค่เก้าอี้ตัวเล็กๆ แอร์ก็เอื้อมไปถึงหลอดไฟที่อยู่บนเพดานแล้ว เขาหมุนหลอดเก่าออก เอาใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเอาหลอดใหม่ที่อยู่อีกกระเป๋ามาใส่

ลงจากเก้าอี้ก็ยังเห็นพี่สาวคุยโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่.. แววตามันบอกว่าปลายสายไม่ใช่เพื่อนแน่นอน

“เสร็จแล้วนะครับ”

เธอหันมาพยักหน้า

แอร์ก็ยกเก้าอี้ออกไปพร้อมปิดประตูให้

 

กริชจับ ลูกบาสไว้ด้วยสองมือหมุนตัวโดยใช้เท้าซ้ายข้างถนนเป็นแกนหมุนไปแล้วก็หัน กลับมาหาแป้นทำท่าชู้ต แล้วก็หมุนไปอีกด้านอย่างรวดเร็วแล้วหันมาตั้งมือ แล้วก็หมุนไปอีกด้าน ทำอย่างนี้ซ้ำๆเพื่อฝึกการเคลื่อนที่เมื่อจับบอลซึ่งจะเดินหรือวิ่งไม่ได้ แต่หมุนตัวโดยใช้ขาข้างหนึ่งข้างใดเป็นหลักได้

แต่ครั้งนี้คิดจะชู้ตไปแต่พอหันกลับมาก็เจอแอร์เอาชูแขนกันการชู้ต

“ตื่นแต่เช้าเลยนะ” กริชทัก

“มึงเช้ากว่ามั้ง” แล้วแอร์ก็ถอยหลังไปหลายก้าวยกมือขึ้นมาเตรียมรับ

กริชก็เลยส่งลูกไปให้แล้วสไลด์ตัวข้างๆ แอร์ส่งกลับมาด้วยลูกกระดอนพื้นแล้วสไลด์ตัวไปข้างๆ

กริชก็รับแล้วหมุนตัวส่งลอดขา แอร์ก็รับแล้วหมุนตัวรอบหนึ่งก่อนส่งมือเดียวกลับ

 

“ไปไหว้พระ” แอร์ทำหน้าประหลาดใจ มือที่กำลังตัดแบ่งขาหมูก้อนโตออกเป็นส่วนๆ

“ก็ได้.. แต่ไม่ยักรู้นะว่านายธัมมะธัมโมกับเขาด้วย”

กริชยิ้ม.. ดวงหน้าเข้มของกริชสว่าง

“เฮ้ย.. กูเคยบวชด้วยนะ..บวชตั้งแต่เด็กนั้นหละ พอสึกออกมาไม่นานก็ย้ายมาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”

แอร์แปลกใจ

“กูอยู่สังคมสงเคราะห์มาตลอด แล้วก็อยู่มาจนได้เจอกับโค้ชนั้นหละ” กริชอธิบาย

แอร์พยักหน้า

“ไปสิ ไปวัดไหนดีหละ”

“ไม่รู้สิ..กูเด็กบ้านนอก.. มึงต่างหากต้องแนะนำกูแอร์” กริชตอบ

แอร์ทำหน้าคิดก่อนจะตักข้าวขาหมูเคี้ยวหยับๆ

 

กริช ในชุดแต่งตัวแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ชุดนักกีฬาหรือนักเรียนแปลกตาแอร์ เขากับแอร์นัดเจอกันตรงป้ายรถเมล์หน้าสวนเพราะบ้านเขากับแอร์พอถึงหน้าสวน แล้วก็แยกกันไปคนละทาง

“มองอะไร” กริชมองหน้าแอร์ที่ยืนพินิจเขา

“มึงนี่มันก็เท่เหมือนกันนะ” แอร์ตอบ

กริช มองตัวเอง เขาใส่กางเกงยีนสีดำที่ซื้อจากตลาดนัดตั้งแต่สองปีก่อนหลังจากได้เงินจาก ตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าของรายการแข่งขันม.ต้น และเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินที่มีสกรีนคำว่าNBAตัวโตที่ได้จากการุณย์

แอร์เองก็อยู่ในชุดหล่อ กางเกงลูกฟูกสีน้ำตาลเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนสีขาว

“มึงก็เท่นี่” แล้วกริชก็หัวเราะ

“สูงขาว.. สาวๆกรี๊ดกันสลบแน่แบบนี้”

แล้วกริชก็ตบบ่าแอร์

พอดีรถสายที่รอเทียบเข้ามา

“ไป.. สายนี้หละ” แอร์บอกแล้วเดินนำไปขึ้นรถ

 

องค์ ประแก้วมรกตประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีสูงภายใต้เรือนแก้วทรงปราสาท หยกเขียวส่องประกายระยับกับแสงไฟที่สะท้อน องค์พระทรงเครื่องทรงฤดูร้อน พระเศียรประดับชฎาทรงสูงเลื่อมพรายด้วยอัญมณีอันหลายหลาก วรกายคาดสังวารทองสองเส้นทาบทับด้วยทับทรวงประดับรัตนงดงาม มีกรองพระศอทองคำต่อกับอินทธนูทองประดับดอกไม้ไหว คาดพาหุรัดที่ต้นพระกร และกำไรทองคำ  เข็มขัดและปั้นเหน่งทองสีสุกประดับด้วยรัตนชาติงาดงาม

หน้า ฐานพระมีพระพุทธรูปยืนสององค์นามพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศล้านภาลัย ซึ่งภายหลังถูกใช้เป็นพระนามแทนองค์พระปฐมกษัตริย์แห่งจักรวงศ์ และพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง ทดแทนพระราชทินนามในพระสุบรรณบัตรซึ่งเป็นพระนามตามประเพณีสืบต่อจาก กษัตริย์แห่งอโยธยา

“สวยจัง” กริชกล่าวแล้วพนมมือกราบลงอย่างสวยงามด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์ที่สมบูรณ์สมกับที่บวชเรียนมาแต่วัยเยาว์

แอร์กราบแล้วก็มองไปรอบๆเพื่อชื่นชมจิตรกรรมฝาพนังที่เขียนลงพื้นดำตามแบบจิตรกรรมฝาผนังสมัยต้นกรุง

ออก จากพระอุโบสถแล้วสองคนก็เดินไปตามระเบียงคตเพื่อชมงานจิตรกรรมฝาผนังลือชื่อ เรื่องรามเกียรติ แอร์หยุดเท้าตรงหน้ารูปหนุมานแผลงกายเป็นสะพานให้พระรามข้ามกลับกรุงอโยธยา หลังจากปราบทศกัณฑ์แล้ว..

“หนุมานนี่เก่งจังนะ” กริชกล่าว..

“ทั้งเก่งและฉลาดเลย”

“จริงๆแล้ว เราเข้าใจกันว่าหนุมานเป็นบุตรพระพายใช่ไหม.. จริงๆแล้วหนุมานน่ะไม่ได้เป็นบุตรพระพายรู้รึเปล่า” แอร์กล่าว

“อาจารย์ เคยบอกว่า หนุมานเกิดจากการที่พระอิศวรฝากตรีศูลไปซัดเข้าปากนางสวาหะที่ยืนขาเดียว เหนี่ยวกินลมใช่ไหม.. พระพายก็เลยเป็นแค่สื่อ ลองคิดดูสิ เกิดจากตรีศูลของพระอิศวรนะไม่ได้เกิดจากอะไรของพระพายเลย แค่พระพายเอาไปซัดให้อย่างเดียว.. ดังนั้นจริงๆต้องบอกว่าหนุมานเป็นลูกพระอิศวรหรือจะเรียกว่าเป็นพระอิศวร อวตารก็ได้.. ดังนั้นหนุมานก็เลยเก่งมาก”

กริชหันมองหน้าแอร์ แอร์มองภาพนั้นอย่างชื่นชม

“แต่ เพราะทศกัณฑ์คือนนทก ที่พระวิษณุอวตารเป็นนางอัปสรปราบใช่ไหมหละ และพระวิษณุก็บอกกับนนทกที่กล่าวหาว่าขี้โกงเพราะพระวิษณุมีสี่กร แต่ตนมีแค่สองกรก็เลยต้องแพ้  ก็เลยบอกนนทุกว่า ชาติหน้าจะให้ไปเกิดเป็นมีสิบเศียรยี่สิบกร พระองค์จะเป็นมนุษย์สองกรไปปราบ” แอร์เล่าต่อ

“หนุมานที่มีฤทธิ์ มหาศาล จะปราบทัศกัณฑ์เสียเองก็ได้ แต่เพราะนี่คือสัญญาระหว่างพระวิษณุกับนนทก ดังนั้นหนุมานจึงไม่สามารถปราบทศกัณฑ์ได้ด้วยตนเอง แต่ช่วยด้วยการไปลักกล่องดวงใจมาทำลาย”

กริชรู้สึกทึ่ง

“จริงๆมึงนี่ก็เก่งนะ สมแล้วเคยเรียนโรงเรียนดัง”

แอร์ยิ้ม

แล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปตาม ระเบียงคดที่มีแสงแดดยามบ่ายทาบทา

“ทำไมเขาเรียกระเบียงคดหล่ะ” กริชถาม

“ก็มันตรงที่ไหน คดงอตรงมุมไง เขาเลยเรียกระเบียงคด” แอร์ตอบ

“แล้วทำไมไม่เรียกระเบียงฉาก.. ก็มันเป็นมุมฉาก”

“กวนตีนแล้วมึง..”

“กวนที่ไหน.. ก็มันไม่ได้คดไปคดมานี่ มันหักมุมฉาก”

           

            แล้วจากนั้นก็ไหว้พระนอนที่วัดโพธิ์แล้วก็พากันมานั่งเล่นที่สวนริมแม่น้ำที่มองไปเห็นพระปรางค์วัดอรุณ

            แอร์บิถุงปลาหมึกยางให้กว้างแล้วก็วางมันฝรั่งทอดลงข้างๆ

            “เมื่อก่อนอาจะชอบมาพากูมาไหว้พระ แล้วก็เดินเล่นกันบ่อยๆ พอมาอย่างนี้ก็เลยคิดถึงอา” แอร์กล่าว

            กริชมองหน้าแอร์อยู่พักหนึ่ง มองเขาหยิบมันฝรั่งใส่ปากเคี้ยวแล้วมองไปที่แม่น้ำ

            “มึงพูดถึงพ่อ ถึงอา ถึงพี่ ถึงย่า.. แต่ทำไมมึงไม่ค่อยพูดถึงแม่เลยวะ” กริชถาม

            แอร์หันมานิดเดียวแล้วก็หันกลับไป

            “ขอโทษนะ.. กูไม่น่าถามเลย” กริชออกปากเพราะพึ่งคิดได้ว่าแอร์อาจไม่อยากพูดถึง

            “กูก็ไม่รู้เรื่องของแม่นักหรอก.. แต่ย่าบอกว่าพอแม่คลอดกูได้ไม่นาน แม่ก็หย่ากับพ่อแล้วไปแต่งงานใหม่กับสามีฝรั่งแล้วย้ายไปอยู่อเมริกา ที่บ้านกูจะไม่ค่อยพูดถึงแม่มากนัก แม้แต่พี่อาร์มก็ไม่ค่อยพูด ส่วนพี่อายก็ไม่เคยพูดถึง  ก็ไม่รู้ว่าทำไม” แอร์กล่าว

            “กูเคยเจอแม่แค่ครั้งเดียว เมื่อหกเจ็ดปีก่อน เขามากับสามีฝรั่ง ซื้อของมาให้ คุยกันสองสามคำแล้วก็ไป”

            “ในความทรงจำของกูเลยไม่มีเขาอยู่เลย มองเขาเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นเป็นแม่ที่ให้กำเนิดกูก็แค่นั้น”

            กริชเอาหยิบมันฝรั่งมากำใหญ่แล้วก็กิน

            “กูไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร เพราะกูอยู่สถานสงเคราะห์ตั้งแต่จำความได้ แต่เชื่อว่ากูคงจะเป็นลูกครอบครัวชาวประมงในระนองนั่นหละ แต่ครวบครัวกูคงตายหมดเพราะสึนามิ” กริชเล่าแล้วถอนหายใจ

            “แต่ตอนนั้นกูเด็กมาก ความทรงจำอะไรเกี่ยวกับสึนามิไม่มีเลยสักอย่าง กูยังงงๆ ตอนที่มีคนมาถามเรื่องเหตุการณ์นั้น เพราะกูจำไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมกูถึงมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ได้ แล้วที่ชื่อกริช.. เพราะไอ้เจ้านี่” กริชหยิบเอาสิ่งที่เขาห้อยคออยู่ตลอด แต่จะถอดออกแค่ตอนลงสนามเล่นบาส

            “กริชเล็กๆนี่.. กลายเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมกูกับอดีต คนที่ช่วยกูเป็นอาสาผู้หญิงชื่อน้ามณีบอกว่ากูห้อยมันไว้ตั้งแต่ตอนที่เขาไป เจอกูในป่าโกงกาง”

            แอร์มองกริชเล็กนั้น

            “มันสวยดีนะ” แอร์เข้ามาดูใกล้ๆ

            ตอนนี้หน้าของแอร์เข้ามาใกล้ๆ พอแอร์เงยขึ้นมา จึงประสานตากับกริชตรงๆ

            ในชั่วครู่นั้นทั้งสองเงียบไป ก่อนแอร์จะถอยออกมานั่งตรง

            “เดี่ยวเราไปข้ามเรือไปฝั่งศิริราชกันไหม.. เดี่ยวจะพาไปกินข้าวหมูแดงเจ้าอร่อย”

            กริชมองแอร์ที่ลูกขึ้นยืนไกวแขนเหมือนออกกำลังกาย

            “อืม.. เอาสิ.. มึงพาไปไหนกูก็ไปด้วยหมดนั้นหละ” กริชกล่าว

            แอร์หันมามองหน้า แล้วก็รีบหันไป..

            บ้าน่า.. นี่เขาหัวใจเต้นแรงอย่างนั้นเหรอ.. แอร์สูดลมหายใจลึกๆ.. มองออกไปที่สายแม่น้ำที่ทอประกายระยิบระยับกับแสงยามบ่าย..

            กริชจิ้มปลาหมึกกินแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

       แซนเดอร์ทอดสายตาออกไปไกลมองสายน้ำที่อยู่ข้างหน้า เขามานั่งอยู่ที่ริมน้ำในสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งแต่บ่ายจนกระทั้งเย็น

            ทุกอย่างที่การุณย์คุยกับเขายังคงติดค้างอยู่ในหัวไม่ห่างหาย..

            ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาไม่เคยถามเลยว่าจริงๆแล้วใครผิดกันแน่ในเรื่องนี้.. คำตอบมันคือเขาอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ทำเรื่องที่ทำให้ต้องทะเลาะกัน.. ก็คงไม่โต้เถียงกันหนักจนเขาต้องไล่ลีกลับบ้านไป.. ลีคงจะรอเขาซ้อมแล้วกลับบ้านพร้อมกัน..

            ลีก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสารแบบนั้น..

            “ว่าแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” เสียงหนึ่งดังขึ้น

            พอเงยขึ้นไปก็เห็นเดฟญาติผู้พี่ ยืนอยู่

            เดฟนั่งลงข้างๆ

            “คิดอะไรอยู่ เห็นลุงแดนบอกว่าแกพักนี้แกเหมือนมีอะไรในใจ เขาเลยโทรตามฉันมา”

            แซนเดอร์มองหน้าเดฟ.. เดฟมีดวงหน้าที่คมคายกว่าเขา

            จะว่าไป.. เดฟคือญาติเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่ ที่อายุใกล้เคียงกันที่สุด..

            ดังนั้นแม้จะอยู่คนละที่ เขาก็ยังวางใจจะปรึกษาเรื่องราวต่างๆเสมอมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเดฟเป็นคนที่เข้าใจเขามากกว่าใคร

       “ฉันเข้าใจนายนะ แซนเดอร์.. นายน่ะคงโทษตัวเอง แล้วคงโกรธบาสเกตบอลไปด้วย.. แต่แซนเดอร์ นายจะจมชีวิตตัวเองเพราะการตายของเธอไม่ได้นะ.. นายอาจบอกว่านายทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะ.. แต่..” เดฟวรรค

            “นายจะทิ้งสิ่งที่นายรักที่สุดและทำได้ดีที่สุดไป จริงเหรอแซนเดอร์..”

            แซนเดอร์ถอนหายใจยาว

            “เดฟ ฉันก็อยากจะทำใจให้ได้นะ.. แต่มันไม่ง่ายจริงๆ ฉันยังเฝ้าฝันซ้ำซากอยู่เลย”

            เดฟมองไปในสายน้ำ

            “แซนเดอร์.. มีใครคนหนึ่งบอกฉันเอาไว้นะ.. เขาบอกว่า คนเรา.. เกิดมาความสูญเสียยังไงก็ต้องเกิด แต่เราจะให้ความสูญเสียมาครอบครองชีวิตเราไม่ได้ เพราะเรายังมีชีวิต เพราะต้องก้าวไปข้างหน้า.. เพราะเราคือคนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ แต่คนที่ตายไปแล้ว เรื่องราวของเขาหยุดแค่นั้น.. ถ้าเราพลอยหยุดไปด้วย เราก็คือคนตายที่มีลมหายใจ”

            แซนเดอร์มองหน้าญาติผู้พี่

            เขาเอามือวางบนบ่าของเดฟ

            “คนคนนั้นคือคนที่เป่าแซกโซโฟนเก่งๆนั่นใช่ไหม”

            เดฟหันมายิ้ม

            “อืม.. ไอ้จุ๊ยนั้นหละ” เดฟตอบ

            "มันอาจกวนตีน ปากไว แล้วก็ตลก แต่ถ้ามันพูดจริงๆจังๆ เอาการเอางาน มันก็พูดได้ดีเลยหละ เถียงมันยากมากๆ"

            “แต่นายก็ทิ้งบาสเกตบอลเพื่อเขาใช่ไหม.. นายไม่ยอมย้ายไปเรียนที่อื่น เพราะต้องการอยู่กับเขา.. แต่ที่สุดนายก็ไม่ได้ใจเขา.. นายไม่เสียดายบ้างเหรอ” แซนเดอร์ถาม

            “ก็เสียดายนะสิ.. ยิ่งได้เห็นพวกเด็กทีมบาสรุ่นนี้ ฉันยิ่งเสียดาย ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรไปหลายอย่าง.. แต่ไม่เสียใจนะ.. เพราะตลอดเวลาที่ฉันได้อยู่กับเขา.. ถึงเขาจะไม่ได้ดีกับฉันมากเท่าไหร่.. แต่ก็ฉันก็มีความสุขนะ แต่มันก็รู้สึกเสียดายอยู่ดีนั้นหละ..” เดฟตอบแล้วหันมามองหน้า

            “ฉันยังดีกว่านายแซนด์.. ฉันมีความสุขกับการทำเพื่อคนที่ฉันรัก แต่นายหละมีหรือเปล่า ที่ฉันเห็นคือนายกำลังทรมานตัวเองด้วยการจมกับความเสียใจ.. และต้องเสียดายกับความสามารถของตัวเอง.. นายเก่งกว่าฉันแซนเดอร์.. ฉันเสียดายความเก่งกาจของนาย.. ฉันไม่อยากให้นายทำผิดพลาด.. เพราะถ้านายพลาดไปแล้วนายจะไม่มีวันได้โอกาสนั้นอีก”

            "ฉันเชื่อว่านายเหมือนฉัน เราสองคนติดกับดักของกีฬาบ้านี่..  หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น..  นายต้องคิดให้ดี ว่านายจะให้ความผิดพลาดในอดีต มาทำให้นายพลาดอะไรไปอีกหลายอย่างในชีวิตหรือเปล่า.. พลาดโอกาสที่จะได้สนุกกับสิ่งที่อยากทำหรือเปล่า หรือนายจะปล่อยให้มันผ่านไปในฐานะอดีต แล้วเดินหน้าไปกับสิ่งที่นายรัก.."

            " ปีนี้นายม.ห้า..  เวลาสนุกของนายน้อยกว่าสี่คนนั้น นายอยากจะสนุกกับพวกเขาไหม..  หรือจมความทุกข์ในอดีต.. หาคำตอบให้ตัวเองซะนะ.. แต่อย่านานนัก..  เพราะทีมนี้ต้องการกัปตันด่วนมาก"

           

            แซนเดอร์วางกระเป๋าลงที่นั่งหน้าห้องเรียนที่จะเป็นห้องเรียนในวิชาแรก เพื่อนร่วมห้องเงยหน้ามองร่างสูงของแซนเดอร์

            “นี่อะไร.. ทำไมวันนี้แบกของมาเยอะแยะ”

            แซนเดอร์ยิ้มแล้วนั่งลง

           

            พอวิ่งรอบสนามครบจำนวนการุณย์ก็เรียกพวกเขาเด็กๆมาชุมนุมกันก่อนการซ้อม

            ข้างๆโค้ชมีเด็กหนุ่มร่างสูงยืนเอามือไขว้หลังอยู่

            “เอาหละ.. วันนี้ผมมีสมาชิกใหม่มา.. แนะนำตัวเองสิ”

            แอร์กับกริชหันมาสบตากัน

            “สมานันท์ วูลดิ้งเบิร์ก เรียกว่าแซนเดอร์ก็ได้ครับ ตำแหน่งถนัด เซนเตอร์ กับพาวเวอร์ฟอร์เวิร์ด ยินดีได้ร่วมทีมครับ” แซนเดอร์กล่าวแนะนำตัว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา