7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Lightning
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 4 Lightning
ตกยามเย็นค่ายชั่วคราวของเซอร์คาร์ลดีเซนต่างพลุกพล่านไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังหุงหาอาหาร อากาศที่หนาวเย็นดูจะไม่มีผลกับพวกเขาเลย ทหารบางคนกำลังดูแลม้า ทั้งเช็ดตัวให้แห้งแปรงขนทั้งป้อนหญ้าและบรั่นดี กองไฟหลายสิบเต็มไปด้วยทหารที่นั่งล้อมอยู่กำลังกินซุปอุ่นๆ กองไฟกองหนึ่ง มีขี้เมานอนกรนอยู่ และลูกชายของเขาที่ยืนกระชับเสื้อคลุมยืนมองไปยังทิศใต้ ในขณะที่แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆมอดลง
“กองสอดแนมกลับมาแล้ว!!” ทหารยามตะโกนร้อง เอเคเซธที่เห็นนานแล้วก็เดินกลับมาพร้อมกับเอาซุปตั้งอุ่นไฟไว้ ไม่นานทหารสอดแนมก็ผูกม้าไว้กับฝูงและเดินเข้ามาที่กองไฟที่เอริกนอนอยู่ ต่างคนต่างหนาวจนสั่น เอเคลเซธเอียงคอมองพวกเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ตักซุปใส่จานส่งให้ทีละคน
เมื่อได้กินซุปร้อนๆทุกคนก็ต่างมีอาการที่ดีขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง? แม่ทัพโคล์ดี้” เอเคลเซธถามโคล์ดี้ที่นำทหารสอดแนมไปเพื่อลอบดูว่า พวกเขาถูกซุ่มโจมตีจริงหรือไม่
“ตามที่คาดไว้เลย -- เรารอจนใกล้เย็น พวกมันพอไม่เห็นทัพเราเดินมาก็ตั้งค่ายขึ้นแทน เรารีบเผ่นกลับมาที่นี่.....”
“พวกมันมีประมาณเท่าไหร่” เอเคลเซธถามพลางตักซุปเติมให้
“สองพัน”
“ธงล่ะ?”
“ไม่มี -- ”
“......แน่ล่ะ” เอเคลเซธพูดพลางใช้ความคิด “กองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ไม่มีธงบอกว่าเป็นทัพของใคร.... หรือต่อให้เป็นพวกโจร ที่ไหนจะรวมตัวได้ถึงสองพันแล้วดักรอเราแบบนี้.....” ชายหนุ่มปัดผมสีดำให้พ้นตา ก่อนจะมองทหารสอดแนมแต่ละคนที่ยังคงหนาวสั่นกันอยู่ “มีอะไรแปลกๆอยู่อีกหรือเปล่า”
ทหารแต่ละคนต่างส่ายหน้ารวมทั้งแม่ทัพ ยกเว้นทหารสอดแนมคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน
“ที่นั่นหนาวแปลกๆขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน......”
เอเคลเซธจ้องมองทหารตัวเล็กนั่นอยู่ประมาณอึดใจหนึ่งก่อนจะหลับตาพลางใช้มือนวดขมับ “ถอดหมวกออกซิ ทหาร......”
ทหารคนนั้นมีท่าทีตกใจ เขาลังเลนิดหนึ่ง แต่เมื่อทุกคนหันมามองเขา จึงค่อยๆถอดหมวกออกมา
“ลีโอไนดัส!!” แม่ทัพโคล์ดี้ร้องเสียงหลงหลังจากสำลักซุปออกมา “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
“เปล่าเลย.... คำถามคือ ลอร์ดเบโอวูล์ฟรู้เรื่องหรือเปล่าต่างหาก” เอเคลเซธมองเด็กหนุ่มผมหยิกสีดำที่ใบหน้ายียวนและแสดงความท้าทาย
“ก็ข้าอยากมานี่ -- ”
“หรือก็แปลว่า พ่อของเจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามาที่นี่” เอเคลเซธเอ่ยพลางมองเด็กหนุ่มอย่างตำหนิ “เราจะส่งเจ้ากลับ”
“ไม่เอา!!” เด็กหนุ่มประท้วง “ท่านพ่ออายุสิบหกปีก็ออกรบครั้งแรกแล้ว แล้วตอนนี้ข้าก็อายุเท่ากันกับท่านพ่อสมัยหนุ่มแล้ว!!” ลีโอไนดัสบอกอย่างดื้อดึง “ยังไงๆข้าก็ไม่กลับ”
“เจ้าไม่ต้องกลับหรอก” เสียงดังมาจากพื้นที่เอริคนอนอยู่ ลีโอไนดัสมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที
“แต่ท่านพ่อ -- ” เอเคลเซธท้วง “ที่ไวท์ฟอร์ทจะยุ่งแค่ไหนถ้าพวกเขาไม่รู้ว่า ว่าที่ลอร์ดเบโอวูล์ฟที่สองหายไป?”
“แค่ส่งเรเวนไปก็พอนี่” เอริคขยี้ตาก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ติดพุง เขาต้องตะแคงตัวถึงจะลุกขึ้นนั่งได้ “อย่างไรก็ดี ตอนนี้ขืนส่งเขากลับก็อาจอันตรายได้... เราไม่รู้ว่าจะมีทัพซุ่มอยู่หรือเปล่า ให้เขาเกาะติดกับเรานี่แหละดีแล้ว”
“ขอบคุณครับ ท่านลุง!!” เด็กหนุ่มบอกอย่างร่าเริง
“แต่ท่านพ่อ -- ” เอเคลเซธยังไม่ยอมแพ้ “เขาเพิ่งจะอายุสิบหก -- เขายังเด็ก!!”
ก่อนที่ ลีโอไนอัสจะทันอ้าปากเถียง เอริคก็ขัดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าจะดูแลเขาไปอีกนานแค่ไหน?” เอเคลเซธนิ่งและคิดตาม เขาต่อสู้กับตัวเองอยู่อึดใจและก็พยักหน้าเงียบๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า ท่านพี่เอเคล..... ข้าดูแลตัวเองได้ -- ”
“ลีโอไนดัส เบโอวูล์ฟ” เอริคมองเด็กหนุ่มแบบจริงจังซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก จนลีโอไนดัสต้องหันมามองแบบกระดากใจตัวเองอยู่บ้าง “เจ้าติดมาที่นี่ ถือว่าดี..... เจ้าจะได้สัมผัสสนามรบกับตาเจ้า -- แต่ที่นั่น เจ้าไม่ใช่ลีโอไนดัส เบโอวูล์ฟว่าที่ลอร์ดของไวท์ฟอร์ท -- เจ้าเป็นเพียงพลทหารของไวท์ฟอร์ท จะต้องอยู่ในระเบียบวินัย เชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพ และทหารชั้นยศที่สูงกว่า ห้ามฝ่าฝืนคำสั่ง เข้าใจไหม?”
ใบหน้ายียวนของเด็กหนุ่มลีโอไนดัสหายไป ตามมาด้วยความเคร่งขรึมที่เกินวัย “ขอรับ ท่านเสนาธิการ”
“อย่าละสายตาจะศัตรู” เอเคลเซธเสริม “เปิดตาให้กว้าง.... อย่ามัวแต่มองคนตาย หากเผลอแม้แต่วินาทีเดียว เจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนซากศพที่นอนอยู่ในสนามรบนั้น” ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ขณะเตือนน้องชาย
“ขอรับ ท่านรองเสนาธิการ” เด็กหนุ่มรับ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้” เอริคพูดพลางคลำมือไปมาเพื่อหาแก้วเหล้า “ไปขุดหลุมถ่ายหนักแล้วรีบกลับมานอน.... เราจะกรีฑาทัพตอนเที่ยงคืนและบุกโจมตีพวกมันตอนเช้ามืด”
แม่ทัพโคล์ดี้เดินไปถ่ายทอดคำสั่ง ขณะที่ลีโอไนดัสเดินห่อไหล่ไปพร้อมกับเสียมเพื่อขุดหลุมอุจจาระ เอริคมองตามเอเคลเซธที่ยังคงขมวดคิ้ว
“มือของเขายังไม่พร้อมจะเปื้อนเลือด” ผู้เป็นพ่อพูดพลางยกเหล้าขึ้นซด “แต่นั่นจะส่งผลดีต่อเขา.... มากกว่าตอนที่เขาพร้อมจะฆ่าอย่างเมามัน”
เอเคลเซธพยักหน้า เขาเดินตามลีโอไนดัสไป
“เอ้า” เขายื่นปากกาขนนกและกระดาษให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินไปยังกรง นกเรเวนที่มัดติดกับหลังม้าของทหารสอดแนม “เจ้าต้องเป็นคนเขียนไปหาพ่อของเจ้าเอง”
“พี่เอเคล.....” เด็กหนุ่มถาม มือของเขาสั่นเทา “ท่านเคยฆ่าคนไหม?” สีหน้าของเขาสับสนหน่อยๆ เอเคลเซธถอนใจก่อนจะตบบ่าของเขาเบาๆ
*“You don’t have to do it, except you need to.” ลีโอไนดัสสบตากับเอเคลเซธและพยักหน้า เขาก้มลงมองกระดาษ มือของเขาหยุดสั่นแล้ว
“ท่านพ่อต้องตกใจแน่” รอยยิ้มยียวนกลับมาประดับบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าอะไรควรกลัว ไม่ควรกลัวล่ะนะ” ชายหนุ่มมองเด็กชายที่เขียนหวัดๆ ก่อนจะส่งนกเรเวนให้
เลยถึงยามเที่ยงคืน ทหารทั้งสองร้อยของไวท์ฟอร์ท ก็เตรียมพร้อมสำหรับเดินทาง แต่เอเคลเซธบอกให้ทหารไม่ต้องดับกองไฟ เผื่อทัพสอดแนมจะแอบสังเกตการณ์จากที่ไกลๆ เขาอยากให้ศัตรูเข้าใจไปว่า พวกเขายังอยู่ในค่าย
แล้วพวกเขาก็ขี่ม้าไปอย่างเงียบๆ อยู่หลายชั่วโมงในความเย็นท่ามกลางความง่วงงุน
“ความหนาวกับความเย็นแตกต่างกันตรงไหนเหรอพี่เอเคล” ลีโอไนดัสที่ขี่ม้าข้างๆเอเคลเซธถามพลางกระชับเสื้อคลุม
“คงจะเป็นตรงที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันล่ะมั้ง” ชายหนุ่มตอบ พลางมองไปยังบริเวณรอบๆที่เริ่มมีสีเขียวแล้ว แสดงว่าใกล้ถึงสนามรบเช่นกัน
“น่าแปลกนะ” เด็กหนุ่มบอก “ถึงที่บ้านเราจะหนาวกว่าที่นี่ตั้งเยอะ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าที่บ้านเรามันเย็น แต่ที่นี่มันหนาว.....”
ขณะที่เอเคลเซธพยายามทำความเข้าใจคำพูดของลีโอไนดัส แม่ทัพโคล์ดี้ก็ยกกำปั้นชูขึ้น เหล่าทหารต่างเงียบกริบทันที เขายกแขนขวาทำมุมตั้งฉากและยืดชี้ออกไปข้างๆ เอริค เอเคลเซธและลีโอไนดัสรวมทั้งทหารอีกเจ็ดคน เดินม้าอย่างเงียบกริบไปที่ทางแยก เอเคลเซธพยักหน้าให้กับแม่ทัพโคล์ดี้ ซึ่งแยกทหารที่เหลือยกเข้าเลียบแนวป่าพวกเขาเดินม้าช้ามากและเงียบมากเช่นกัน
“หมอก.....” เอเคลเซธพูดเบาๆอย่างดีใจ พวกเขาเลียบไปทางแม่น้ำที่ลึกประมาณครึ่งตัว ก่อนจะตั้งเสาไม้ และคบเพลิงไว้หลายสิบอัน “ได้เวลาทำเสียงดังแล้วสินะ” เขาพูดขณะมองพ่อของเขาที่ลงจากม้าและจุดไฟให้ตัวเอง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นซด เขาสั่งให้ทหารทั้งเจ็ดจุดคบเพลิงที่เสาพวกนั้นและส่งคบเพลิงอันหนึ่งให้กับ ลีโอไนดัส “รอจนกว่าจะเห็นแม่ทัพโคล์ดี้ แล้ววิ่งกลับมาที่นี่ เข้าใจไหม?”
ลีโอไนดัสพยักหน้ารับคำ เขาถือคบเพลิงที่ไฟลุกโชน ก่อนจะเดินม้าไปที่สะพาน เขาเหลียวซ้ายแลขวา หมอกลงจัดแบบนี้ทำให้ทัศนะวิสัยแย่ลงมาก เขาเห็นแสงไฟและรูปร่างคนเรือนลางจากที่ที่เขาเพิ่งจะจากกับเอเคลเซธมา
ลีโอไนดัสเพิ่งตระหนักว่า เขาห่างไกลจากกองทัพและคนอื่นๆ เขาอยู่ตัวคนเดียวแล้วในตอนนี้ จู่ๆเขาก็รู้สึกตื่นตระหนก หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบบนใบหน้า
“ข้าคือเบโอวูล์ฟ.....” ลีโอไนดัสพูดอย่างหนักแน่น บังคับให้ตัวเองหยุดสั่น เมื่อถึงบริเวณสะพานก็หยุดม้าไว้กับที่ มันสั่นหัวไปมาเหมือนไม่ชอบอยู่ตรงนี้ เด็กหนุ่มตบแผงคอมันเบาๆ เขาเหลียวไปรอบๆ อีกด้านของสะพานแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เขาเหลียวกลับไปยังเสาเพลิงก็เห็นเพียงแสงลิบๆ
บรรยากาศที่แม้นจะใกล้เช้า และเงียบสงัดแบบนี้ ทำให้ใจของเด็กหนุ่มรู้สึกไม่ดี ความตื่นกลัวที่เขาไม่รู้จักจู่โจมทุกรูขุมขน อากาศหนาวจับขั้วหัวใจ แม้หิมะจะไม่ตก ลีโอไนดัสมองคบเพลิงที่สั่นสะท้านในมือเขา “ข้าคือเบโอวูล์ฟ!!” เขาปลุกใจตัวเองก่อนจะทุบแขนของเขาให้หยุดสั่น
แล้วทันใดนั้น เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่ม เสียงร้องเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น ลีโอไนดัสสะดุ้งผวา เขาปล่อยเชือกบังคับม้ามือพุ่งไปจับดาบ สายตามองผ่านหมอกไปยังที่ไกลๆ เขายังคงมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เสียงที่ดังระงมนั้นทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้อง
เสียงเหล็กปะทะกันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับแสงไฟที่ค่อยๆสว่างขึ้นจากค่ายของข้าศึก ลีโอไนดัสหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกอยากอาเจียนเป็นกำลัง มือของเขาค่อยๆชักดาบออกมาทีละน้อย
ไม่!! พี่เอเคลบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ!! ลีโอไนดัสคิดในใจเขาไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะได้ยินว่าเสียงของเขาสั่นแค่ไหน แค่ถือคบเพลิง เชือกบังคับม้า และ....รอ
ลีโอไนดัสบังคับให้มือซ้ายปล่อยดาบอย่างยากเย็น และขยับมือกระตุกๆ ไปยังเชือกบังคับและรออย่างกระวนกระวาย ต่อเสียงเอะอะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ใจของลีโอไนดัสแทบหยุดเต้นเมื่อเขาได้ยินเสียงย่ำรัวของกีบเท้าม้าที่มุ่งหน้ามาทางนี้ เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นมือข้างที่ถือคบเพลิงของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้แล้ว แต่เขาก็แข็งใจชูมันขึ้นและพร้อมจะบังคับม้าให้วิ่งในทุกวินาที
เงาดำๆตัดกับหมอกจากที่ไกลๆพุ่งเข้ามาหาลีโอไนดัส เด็กหนุ่มเบิกตาให้กว้าง อย่างลืมหายใจ เงาพวกนั้นค่อยๆชัดขึ้น....... ชัดขึ้น..... พร้อมๆกับลีโอไนดัสที่ชาไปทั้งร่างแล้วตอนนี้ ม้าของเขาเริ่มถอยหลังเอง --
วินาทีต่อมา หัวใจของลีโอไนดัสก็แทบจะพุ่งออกมาจากปาก เมื่อเขาเห็นกองทหารม้าที่ขี่เข้ามาในระยะประชิด และเมื่อเห็นว่าเป็นทหารของพวกไวท์ฟอร์ท อะไรบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มก็พุ่งทะยานอย่างลิงโลด เขารู้สึกเต็มที่ในตอนนั้นเองว่าเขาหายใจถี่มาก พวกทหารข้ามสะพานมาและเลี้ยวไปตามแสงไฟไกลๆเพื่อเข้าไปสมทบกับพวกเอเคลเซธ
“แม่ทัพโคล์ดี้ล่ะ!!” ลีโอไนดัสร้องถามเหล่าทหารที่ขี่ม้าวิ่งเลี่ยวผ่านเขาไปอย่างรวดเร็วจนรู้สึกลายตา “ท่านโคล์ดี้!!”
“ข้าอยู่นี่!!” เสียงห้าวร้องตอบกลับมา แม่ทัพโคล์ดี้เป็นคนขี่ม้ารั้งท้ายขบวน เขาข้ามสะพานและหมุนม้าอยู่อยู่กับที่กับทหารอีกราวกับกว่าคน “ดีมาก!! เบโอวูล์ฟน้อย!! ขี่ม้าตามทหารไปหาท่านเซอร์ได้เลย!!”
โคล์ดี้ร้องสั่ง เด็กหนุ่มไม่รอให้พูดซ้ำสองเขา ควบม้าทะยานตามเหล่าทหารไปทันที ก่อนจะหันหลังมามองพวกที่เหลือซึ่งกำลังทำลายสะพานข้ามแม่น้ำ
เมื่อลีโอไนดัสไปถึงก็เห็นพวกทหารที่ลงจากม้าและกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่ ลีโอไนดัสกระโดดลงจากม้าและลงไปช่วยดึงด้วย
ไม่ช้า พวกทหารที่ติดอวนก็ถูกลากข้ามแม่น้ำมา พวกนั้นทั้งร้องและตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ทหารของไวท์ฟอร์ททุบบางคนให้หมดสติก่อนจะลงมือจับพวกเขามัด บางคนที่ยอมรับชะตากรรมก็ยอมให้มัดเสียแต่โดยดี
“อย่ามาทางนี้!!”
“อย่าเข้ามา มันเป็นกับดัก!!”
“อย่าไปเชื่อมัน!! ตามไปเร็วเข้า!!” พวกทหารร้องตอบกลับไป ลีโอไนดัสก็ตะโกนเรียกให้ทัพฝ่ายศัตรูรีบตามมาอย่างมันปาก ก่อนจะให้เชือกมัดปากพวกเชลยไม่ให้ตะโกนอีก
“ว่าไง ลีโอ!!” เอเคลเซธร้องทักเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องใช้ดาบเลย จริงมั้ย!?”
เวลาผ่านไปจนตะวันขึ้นแล้วและหมอกจางลง พวกทหารข้าศึกก็โดนจับจนหมด อีกด้านของแม่น้ำมีทหารสองสามคนที่มองพวกเขาหน้าซีดก่อนจะรีบขี่ม้ากลับไป เอเคลเซธเสยผมสีดำของเขาที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะหันมาทางแม่ทัพโคล์ดี้ที่กำลังนับจำนวนเชลย
“ประมาณ พันห้าร้อยคนครับ เซอร์คาร์ลดีเซน” เขาเข้ามารายงาน เอริคที่ขี่ม้ามองเหล่าเชลยที่สิ้นสภาพ ไม่อาจต่อต้านทั้งพันกว่าคน “ตัดกับตอนที่เราบุกโจมตีในค่ายและไล่เผากระโจมกับจมน้ำตายก็น่าจะสองพันพอดี”
“โอ้วววว ห้ายตายเถิด ตายๆๆๆ” เอริคพูดเสียงดัง เขาจงใจใช้เสียงที่เมากว่าปกติ “บอกไปใครจะเชื่อจริงมั้ย? ว่าทหารแค่สองร้อยคน ฆ่าคนตายไปเกือบสองร้อย แล้วจับคนได้เป็นพัน” เขาหัวเราะลงคอ
“ใช่แล้ว!! บอกไปใครจะเชื่อว่า จู่ๆใกล้จะเช้าก็โดนการโจมตีสายฟ้าแลบ เผาค่ายก่อนจะหนีไป พอเห็นชัดๆตอนทหารม้าหนีว่ามีไม่เยอะก็ไล่ตามแสงไฟมาเพราะคิดว่าศัตรูอยู่ตรงนี้ อย่างกับแมงเม่า” เอเคลเซธรับต่อเขาเองก็ขี่ม้ามองไปยังเชลยทั้งหลาย “แต่พอตามมาก็ดันเจอแม่น้ำลึกขวางอยู่พอจะกลับก็โดนทัพจากข้างหลังหนุนมา แล้วโดนทอดแหจับมาอย่างนี้” ทหารของไวท์ฟอร์ทต่างโห่ฮาอย่างชอบใจ ลีโอไนดัสก็พลอยหัวเราะไปด้วย ในใจรู้สึกยอมรับและนับถือสองจิ้งจอกพ่อลูกแห่งไวท์ฟอร์ทอย่างสุดใจ
“เอาไปทำอะไรดีหนอกองกำลังไร้สังกัดนี่?” เอริคเอ่ยพลางแสยะยิ้มด้วยใบหน้าอ้วนๆ ที่แลดุเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างประหลาด “จะเอากลับเป็นเชลยที่ไวท์ฟอร์ทก็คงไม่ไหว บ้านเราออกจะคับแคบ -- ”
“คงต้องเอาไปเปลี่ยนเป็นทุน” โคล์ดี้เอ่ยบ้าง “ข้าพอรู้จักพ่อค้าทาสที่ให้ราคาดีๆอยู่” มาถึงตอนนี้เหล่าเชลยต่างส่งเสียงอื้ออึงบ้างสั่นหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เอ.... เหมือนมีใครอยากพูดอะไรนะท่านพ่อ?” เอเคลเซธแสร้งขมวดคิ้วฟังทำเป็นฟังเสียงอื้ออึงนั้น
“เอ้า ก็ได้ๆ” เอริคเอ่ยอย่างรำคาญใจ “ถ้าใครให้ข้อมูลที่น่าพอใจ ข้าจะปล่อยมันไป”
ชายคนหนึ่งที่โดนมัด เข้าพยายามขยับตัวทั้งแบบนั้นก่อนจะล้มกลิ้งออกมา พวกไวท์ฟอร์ทต่างหัวเราะ
“เอ้า -- โชคเป็นของเจ้า” เอริคบอกและพยักหน้าให้ทหารแก้มัดเชือกจากปาก
จู่ๆฟ้าก็ส่งเสียงคำราม เอเคลเซธมองฟ้าที่เมฆก่อตัวอย่างรวดเร็ว เขามองก้อนเมฆที่หมุนวนตาถลน ยังไม่ทันที่จะร้องตะโกน ฟ้าก็ผ่าลงมาใจกลางบรรดาเชลยดังสนั่นราวกับฟ้าจะถล่ม
เปรี้ยง!! -- ตูม!!
แสงสว่างวาบมาพร้อมกับเสียงดังสนั่น เมื่อควันและสายตาเริ่มเข้าที่เข้าทาง คนที่ตะโกนให้ทหารหนีก็คือเอริค“ถอยยยยยย!!!” เอเคลเซธหยีตามองไปยังจุดที่มอดไหม้สีดำนั้น เขาทั้งตกใจและแปลกใจ ก่อนจะคว้าลีโอไนดัสขึ้นมาตัวเดียวกันและรวมกันกับพวกไวท์ฟอร์ทที่กำลังควบม้าหนีไปตั้งหลักกัน
พวกเขาเหลียวมาและเห็นอัศวินในชุดเกราะสีดำ ณ จุดที่ฟ้าผ่าลงมานั้น -- พวกไวท์ฟอร์ทมองกันตาถลน จู่ๆอัศวินเกราะดำนั้นก็ยกดาบรูปร่างแปลกๆและดูงดงามขึ้นมา สายฟ้าแล่นผ่านดาบนั้นดังเปรี๊ยะๆ
“หนี!!!!!!” เอริคตะโกนเมื่อเห็นอย่างนั้น ไม่มีใครรอให้สั่งซ้ำ ทุกคนควบม้าวิ่งหนีกันหน้าตั้ง
ลีโอไนดัสเหลียวกลับมาและเห็นอัศวินคนนั้นแทงดาบลงกับพื้น สายฟ้าก็วิ่งกระจายออกเป็นวงกว้าง ช็อตพวกเชลยที่ดิ้นพราดๆ สายฟ้าวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ไปๆๆๆๆๆ!!!!” ลีโอไนดัสกระตุก เขาตบบั้นท้ายม้าด้วยมือเปล่า กระตุ้นให้มันวิ่งสุดชีวิต
สายฟ้าที่เลื้อยตามมาทิ้งรอยไหม้เป็นทางก่อนจะแผ่วลงและหายไป พร้อมๆกับสายฟ้าที่พุ่งจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้า พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเมฆหมุนที่ฟ้าผ่ากลับเข้าไปก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“นั่นมันตัวบ้าอะไรกันวะ!!?” พวกเขากลับมาที่จุดรวมเชลย และพบว่าทั้งหมดไหม้เกรียมไปหมดแล้ว
ไม่มีใครรอด.......
*“You don’t have to do it, except you need to.” Akelzeth Quote: “นายไม่ต้องทำมันหรอก ยกเว้นว่ามันจำเป็น”
เอเคลเซธปลอบใจลีโอไนดัส เพราะแม้ว่า ลีโอไนดัสจะแอบตามมาเพราะอยากพิสูจน์ตัวเอง แต่เขายังไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้แบบเอาชีวิต เอเคลเซธจึงปลอบใจว่า เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าใคร ยกเว้นแต่ว่าถ้ามันอันตรายถึงชีวิต
ตกยามเย็นค่ายชั่วคราวของเซอร์คาร์ลดีเซนต่างพลุกพล่านไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังหุงหาอาหาร อากาศที่หนาวเย็นดูจะไม่มีผลกับพวกเขาเลย ทหารบางคนกำลังดูแลม้า ทั้งเช็ดตัวให้แห้งแปรงขนทั้งป้อนหญ้าและบรั่นดี กองไฟหลายสิบเต็มไปด้วยทหารที่นั่งล้อมอยู่กำลังกินซุปอุ่นๆ กองไฟกองหนึ่ง มีขี้เมานอนกรนอยู่ และลูกชายของเขาที่ยืนกระชับเสื้อคลุมยืนมองไปยังทิศใต้ ในขณะที่แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆมอดลง
“กองสอดแนมกลับมาแล้ว!!” ทหารยามตะโกนร้อง เอเคเซธที่เห็นนานแล้วก็เดินกลับมาพร้อมกับเอาซุปตั้งอุ่นไฟไว้ ไม่นานทหารสอดแนมก็ผูกม้าไว้กับฝูงและเดินเข้ามาที่กองไฟที่เอริกนอนอยู่ ต่างคนต่างหนาวจนสั่น เอเคลเซธเอียงคอมองพวกเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ตักซุปใส่จานส่งให้ทีละคน
เมื่อได้กินซุปร้อนๆทุกคนก็ต่างมีอาการที่ดีขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง? แม่ทัพโคล์ดี้” เอเคลเซธถามโคล์ดี้ที่นำทหารสอดแนมไปเพื่อลอบดูว่า พวกเขาถูกซุ่มโจมตีจริงหรือไม่
“ตามที่คาดไว้เลย -- เรารอจนใกล้เย็น พวกมันพอไม่เห็นทัพเราเดินมาก็ตั้งค่ายขึ้นแทน เรารีบเผ่นกลับมาที่นี่.....”
“พวกมันมีประมาณเท่าไหร่” เอเคลเซธถามพลางตักซุปเติมให้
“สองพัน”
“ธงล่ะ?”
“ไม่มี -- ”
“......แน่ล่ะ” เอเคลเซธพูดพลางใช้ความคิด “กองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ไม่มีธงบอกว่าเป็นทัพของใคร.... หรือต่อให้เป็นพวกโจร ที่ไหนจะรวมตัวได้ถึงสองพันแล้วดักรอเราแบบนี้.....” ชายหนุ่มปัดผมสีดำให้พ้นตา ก่อนจะมองทหารสอดแนมแต่ละคนที่ยังคงหนาวสั่นกันอยู่ “มีอะไรแปลกๆอยู่อีกหรือเปล่า”
ทหารแต่ละคนต่างส่ายหน้ารวมทั้งแม่ทัพ ยกเว้นทหารสอดแนมคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน
“ที่นั่นหนาวแปลกๆขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน......”
เอเคลเซธจ้องมองทหารตัวเล็กนั่นอยู่ประมาณอึดใจหนึ่งก่อนจะหลับตาพลางใช้มือนวดขมับ “ถอดหมวกออกซิ ทหาร......”
ทหารคนนั้นมีท่าทีตกใจ เขาลังเลนิดหนึ่ง แต่เมื่อทุกคนหันมามองเขา จึงค่อยๆถอดหมวกออกมา
“ลีโอไนดัส!!” แม่ทัพโคล์ดี้ร้องเสียงหลงหลังจากสำลักซุปออกมา “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
“เปล่าเลย.... คำถามคือ ลอร์ดเบโอวูล์ฟรู้เรื่องหรือเปล่าต่างหาก” เอเคลเซธมองเด็กหนุ่มผมหยิกสีดำที่ใบหน้ายียวนและแสดงความท้าทาย
“ก็ข้าอยากมานี่ -- ”
“หรือก็แปลว่า พ่อของเจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามาที่นี่” เอเคลเซธเอ่ยพลางมองเด็กหนุ่มอย่างตำหนิ “เราจะส่งเจ้ากลับ”
“ไม่เอา!!” เด็กหนุ่มประท้วง “ท่านพ่ออายุสิบหกปีก็ออกรบครั้งแรกแล้ว แล้วตอนนี้ข้าก็อายุเท่ากันกับท่านพ่อสมัยหนุ่มแล้ว!!” ลีโอไนดัสบอกอย่างดื้อดึง “ยังไงๆข้าก็ไม่กลับ”
“เจ้าไม่ต้องกลับหรอก” เสียงดังมาจากพื้นที่เอริคนอนอยู่ ลีโอไนดัสมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที
“แต่ท่านพ่อ -- ” เอเคลเซธท้วง “ที่ไวท์ฟอร์ทจะยุ่งแค่ไหนถ้าพวกเขาไม่รู้ว่า ว่าที่ลอร์ดเบโอวูล์ฟที่สองหายไป?”
“แค่ส่งเรเวนไปก็พอนี่” เอริคขยี้ตาก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ติดพุง เขาต้องตะแคงตัวถึงจะลุกขึ้นนั่งได้ “อย่างไรก็ดี ตอนนี้ขืนส่งเขากลับก็อาจอันตรายได้... เราไม่รู้ว่าจะมีทัพซุ่มอยู่หรือเปล่า ให้เขาเกาะติดกับเรานี่แหละดีแล้ว”
“ขอบคุณครับ ท่านลุง!!” เด็กหนุ่มบอกอย่างร่าเริง
“แต่ท่านพ่อ -- ” เอเคลเซธยังไม่ยอมแพ้ “เขาเพิ่งจะอายุสิบหก -- เขายังเด็ก!!”
ก่อนที่ ลีโอไนอัสจะทันอ้าปากเถียง เอริคก็ขัดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าจะดูแลเขาไปอีกนานแค่ไหน?” เอเคลเซธนิ่งและคิดตาม เขาต่อสู้กับตัวเองอยู่อึดใจและก็พยักหน้าเงียบๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า ท่านพี่เอเคล..... ข้าดูแลตัวเองได้ -- ”
“ลีโอไนดัส เบโอวูล์ฟ” เอริคมองเด็กหนุ่มแบบจริงจังซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก จนลีโอไนดัสต้องหันมามองแบบกระดากใจตัวเองอยู่บ้าง “เจ้าติดมาที่นี่ ถือว่าดี..... เจ้าจะได้สัมผัสสนามรบกับตาเจ้า -- แต่ที่นั่น เจ้าไม่ใช่ลีโอไนดัส เบโอวูล์ฟว่าที่ลอร์ดของไวท์ฟอร์ท -- เจ้าเป็นเพียงพลทหารของไวท์ฟอร์ท จะต้องอยู่ในระเบียบวินัย เชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพ และทหารชั้นยศที่สูงกว่า ห้ามฝ่าฝืนคำสั่ง เข้าใจไหม?”
ใบหน้ายียวนของเด็กหนุ่มลีโอไนดัสหายไป ตามมาด้วยความเคร่งขรึมที่เกินวัย “ขอรับ ท่านเสนาธิการ”
“อย่าละสายตาจะศัตรู” เอเคลเซธเสริม “เปิดตาให้กว้าง.... อย่ามัวแต่มองคนตาย หากเผลอแม้แต่วินาทีเดียว เจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนซากศพที่นอนอยู่ในสนามรบนั้น” ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ขณะเตือนน้องชาย
“ขอรับ ท่านรองเสนาธิการ” เด็กหนุ่มรับ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้” เอริคพูดพลางคลำมือไปมาเพื่อหาแก้วเหล้า “ไปขุดหลุมถ่ายหนักแล้วรีบกลับมานอน.... เราจะกรีฑาทัพตอนเที่ยงคืนและบุกโจมตีพวกมันตอนเช้ามืด”
แม่ทัพโคล์ดี้เดินไปถ่ายทอดคำสั่ง ขณะที่ลีโอไนดัสเดินห่อไหล่ไปพร้อมกับเสียมเพื่อขุดหลุมอุจจาระ เอริคมองตามเอเคลเซธที่ยังคงขมวดคิ้ว
“มือของเขายังไม่พร้อมจะเปื้อนเลือด” ผู้เป็นพ่อพูดพลางยกเหล้าขึ้นซด “แต่นั่นจะส่งผลดีต่อเขา.... มากกว่าตอนที่เขาพร้อมจะฆ่าอย่างเมามัน”
เอเคลเซธพยักหน้า เขาเดินตามลีโอไนดัสไป
“เอ้า” เขายื่นปากกาขนนกและกระดาษให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินไปยังกรง นกเรเวนที่มัดติดกับหลังม้าของทหารสอดแนม “เจ้าต้องเป็นคนเขียนไปหาพ่อของเจ้าเอง”
“พี่เอเคล.....” เด็กหนุ่มถาม มือของเขาสั่นเทา “ท่านเคยฆ่าคนไหม?” สีหน้าของเขาสับสนหน่อยๆ เอเคลเซธถอนใจก่อนจะตบบ่าของเขาเบาๆ
*“You don’t have to do it, except you need to.” ลีโอไนดัสสบตากับเอเคลเซธและพยักหน้า เขาก้มลงมองกระดาษ มือของเขาหยุดสั่นแล้ว
“ท่านพ่อต้องตกใจแน่” รอยยิ้มยียวนกลับมาประดับบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าอะไรควรกลัว ไม่ควรกลัวล่ะนะ” ชายหนุ่มมองเด็กชายที่เขียนหวัดๆ ก่อนจะส่งนกเรเวนให้
เลยถึงยามเที่ยงคืน ทหารทั้งสองร้อยของไวท์ฟอร์ท ก็เตรียมพร้อมสำหรับเดินทาง แต่เอเคลเซธบอกให้ทหารไม่ต้องดับกองไฟ เผื่อทัพสอดแนมจะแอบสังเกตการณ์จากที่ไกลๆ เขาอยากให้ศัตรูเข้าใจไปว่า พวกเขายังอยู่ในค่าย
แล้วพวกเขาก็ขี่ม้าไปอย่างเงียบๆ อยู่หลายชั่วโมงในความเย็นท่ามกลางความง่วงงุน
“ความหนาวกับความเย็นแตกต่างกันตรงไหนเหรอพี่เอเคล” ลีโอไนดัสที่ขี่ม้าข้างๆเอเคลเซธถามพลางกระชับเสื้อคลุม
“คงจะเป็นตรงที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันล่ะมั้ง” ชายหนุ่มตอบ พลางมองไปยังบริเวณรอบๆที่เริ่มมีสีเขียวแล้ว แสดงว่าใกล้ถึงสนามรบเช่นกัน
“น่าแปลกนะ” เด็กหนุ่มบอก “ถึงที่บ้านเราจะหนาวกว่าที่นี่ตั้งเยอะ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าที่บ้านเรามันเย็น แต่ที่นี่มันหนาว.....”
ขณะที่เอเคลเซธพยายามทำความเข้าใจคำพูดของลีโอไนดัส แม่ทัพโคล์ดี้ก็ยกกำปั้นชูขึ้น เหล่าทหารต่างเงียบกริบทันที เขายกแขนขวาทำมุมตั้งฉากและยืดชี้ออกไปข้างๆ เอริค เอเคลเซธและลีโอไนดัสรวมทั้งทหารอีกเจ็ดคน เดินม้าอย่างเงียบกริบไปที่ทางแยก เอเคลเซธพยักหน้าให้กับแม่ทัพโคล์ดี้ ซึ่งแยกทหารที่เหลือยกเข้าเลียบแนวป่าพวกเขาเดินม้าช้ามากและเงียบมากเช่นกัน
“หมอก.....” เอเคลเซธพูดเบาๆอย่างดีใจ พวกเขาเลียบไปทางแม่น้ำที่ลึกประมาณครึ่งตัว ก่อนจะตั้งเสาไม้ และคบเพลิงไว้หลายสิบอัน “ได้เวลาทำเสียงดังแล้วสินะ” เขาพูดขณะมองพ่อของเขาที่ลงจากม้าและจุดไฟให้ตัวเอง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นซด เขาสั่งให้ทหารทั้งเจ็ดจุดคบเพลิงที่เสาพวกนั้นและส่งคบเพลิงอันหนึ่งให้กับ ลีโอไนดัส “รอจนกว่าจะเห็นแม่ทัพโคล์ดี้ แล้ววิ่งกลับมาที่นี่ เข้าใจไหม?”
ลีโอไนดัสพยักหน้ารับคำ เขาถือคบเพลิงที่ไฟลุกโชน ก่อนจะเดินม้าไปที่สะพาน เขาเหลียวซ้ายแลขวา หมอกลงจัดแบบนี้ทำให้ทัศนะวิสัยแย่ลงมาก เขาเห็นแสงไฟและรูปร่างคนเรือนลางจากที่ที่เขาเพิ่งจะจากกับเอเคลเซธมา
ลีโอไนดัสเพิ่งตระหนักว่า เขาห่างไกลจากกองทัพและคนอื่นๆ เขาอยู่ตัวคนเดียวแล้วในตอนนี้ จู่ๆเขาก็รู้สึกตื่นตระหนก หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบบนใบหน้า
“ข้าคือเบโอวูล์ฟ.....” ลีโอไนดัสพูดอย่างหนักแน่น บังคับให้ตัวเองหยุดสั่น เมื่อถึงบริเวณสะพานก็หยุดม้าไว้กับที่ มันสั่นหัวไปมาเหมือนไม่ชอบอยู่ตรงนี้ เด็กหนุ่มตบแผงคอมันเบาๆ เขาเหลียวไปรอบๆ อีกด้านของสะพานแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เขาเหลียวกลับไปยังเสาเพลิงก็เห็นเพียงแสงลิบๆ
บรรยากาศที่แม้นจะใกล้เช้า และเงียบสงัดแบบนี้ ทำให้ใจของเด็กหนุ่มรู้สึกไม่ดี ความตื่นกลัวที่เขาไม่รู้จักจู่โจมทุกรูขุมขน อากาศหนาวจับขั้วหัวใจ แม้หิมะจะไม่ตก ลีโอไนดัสมองคบเพลิงที่สั่นสะท้านในมือเขา “ข้าคือเบโอวูล์ฟ!!” เขาปลุกใจตัวเองก่อนจะทุบแขนของเขาให้หยุดสั่น
แล้วทันใดนั้น เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่ม เสียงร้องเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น ลีโอไนดัสสะดุ้งผวา เขาปล่อยเชือกบังคับม้ามือพุ่งไปจับดาบ สายตามองผ่านหมอกไปยังที่ไกลๆ เขายังคงมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เสียงที่ดังระงมนั้นทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้อง
เสียงเหล็กปะทะกันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับแสงไฟที่ค่อยๆสว่างขึ้นจากค่ายของข้าศึก ลีโอไนดัสหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกอยากอาเจียนเป็นกำลัง มือของเขาค่อยๆชักดาบออกมาทีละน้อย
ไม่!! พี่เอเคลบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ!! ลีโอไนดัสคิดในใจเขาไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะได้ยินว่าเสียงของเขาสั่นแค่ไหน แค่ถือคบเพลิง เชือกบังคับม้า และ....รอ
ลีโอไนดัสบังคับให้มือซ้ายปล่อยดาบอย่างยากเย็น และขยับมือกระตุกๆ ไปยังเชือกบังคับและรออย่างกระวนกระวาย ต่อเสียงเอะอะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ใจของลีโอไนดัสแทบหยุดเต้นเมื่อเขาได้ยินเสียงย่ำรัวของกีบเท้าม้าที่มุ่งหน้ามาทางนี้ เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นมือข้างที่ถือคบเพลิงของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้แล้ว แต่เขาก็แข็งใจชูมันขึ้นและพร้อมจะบังคับม้าให้วิ่งในทุกวินาที
เงาดำๆตัดกับหมอกจากที่ไกลๆพุ่งเข้ามาหาลีโอไนดัส เด็กหนุ่มเบิกตาให้กว้าง อย่างลืมหายใจ เงาพวกนั้นค่อยๆชัดขึ้น....... ชัดขึ้น..... พร้อมๆกับลีโอไนดัสที่ชาไปทั้งร่างแล้วตอนนี้ ม้าของเขาเริ่มถอยหลังเอง --
วินาทีต่อมา หัวใจของลีโอไนดัสก็แทบจะพุ่งออกมาจากปาก เมื่อเขาเห็นกองทหารม้าที่ขี่เข้ามาในระยะประชิด และเมื่อเห็นว่าเป็นทหารของพวกไวท์ฟอร์ท อะไรบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มก็พุ่งทะยานอย่างลิงโลด เขารู้สึกเต็มที่ในตอนนั้นเองว่าเขาหายใจถี่มาก พวกทหารข้ามสะพานมาและเลี้ยวไปตามแสงไฟไกลๆเพื่อเข้าไปสมทบกับพวกเอเคลเซธ
“แม่ทัพโคล์ดี้ล่ะ!!” ลีโอไนดัสร้องถามเหล่าทหารที่ขี่ม้าวิ่งเลี่ยวผ่านเขาไปอย่างรวดเร็วจนรู้สึกลายตา “ท่านโคล์ดี้!!”
“ข้าอยู่นี่!!” เสียงห้าวร้องตอบกลับมา แม่ทัพโคล์ดี้เป็นคนขี่ม้ารั้งท้ายขบวน เขาข้ามสะพานและหมุนม้าอยู่อยู่กับที่กับทหารอีกราวกับกว่าคน “ดีมาก!! เบโอวูล์ฟน้อย!! ขี่ม้าตามทหารไปหาท่านเซอร์ได้เลย!!”
โคล์ดี้ร้องสั่ง เด็กหนุ่มไม่รอให้พูดซ้ำสองเขา ควบม้าทะยานตามเหล่าทหารไปทันที ก่อนจะหันหลังมามองพวกที่เหลือซึ่งกำลังทำลายสะพานข้ามแม่น้ำ
เมื่อลีโอไนดัสไปถึงก็เห็นพวกทหารที่ลงจากม้าและกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่ ลีโอไนดัสกระโดดลงจากม้าและลงไปช่วยดึงด้วย
ไม่ช้า พวกทหารที่ติดอวนก็ถูกลากข้ามแม่น้ำมา พวกนั้นทั้งร้องและตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ทหารของไวท์ฟอร์ททุบบางคนให้หมดสติก่อนจะลงมือจับพวกเขามัด บางคนที่ยอมรับชะตากรรมก็ยอมให้มัดเสียแต่โดยดี
“อย่ามาทางนี้!!”
“อย่าเข้ามา มันเป็นกับดัก!!”
“อย่าไปเชื่อมัน!! ตามไปเร็วเข้า!!” พวกทหารร้องตอบกลับไป ลีโอไนดัสก็ตะโกนเรียกให้ทัพฝ่ายศัตรูรีบตามมาอย่างมันปาก ก่อนจะให้เชือกมัดปากพวกเชลยไม่ให้ตะโกนอีก
“ว่าไง ลีโอ!!” เอเคลเซธร้องทักเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องใช้ดาบเลย จริงมั้ย!?”
เวลาผ่านไปจนตะวันขึ้นแล้วและหมอกจางลง พวกทหารข้าศึกก็โดนจับจนหมด อีกด้านของแม่น้ำมีทหารสองสามคนที่มองพวกเขาหน้าซีดก่อนจะรีบขี่ม้ากลับไป เอเคลเซธเสยผมสีดำของเขาที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะหันมาทางแม่ทัพโคล์ดี้ที่กำลังนับจำนวนเชลย
“ประมาณ พันห้าร้อยคนครับ เซอร์คาร์ลดีเซน” เขาเข้ามารายงาน เอริคที่ขี่ม้ามองเหล่าเชลยที่สิ้นสภาพ ไม่อาจต่อต้านทั้งพันกว่าคน “ตัดกับตอนที่เราบุกโจมตีในค่ายและไล่เผากระโจมกับจมน้ำตายก็น่าจะสองพันพอดี”
“โอ้วววว ห้ายตายเถิด ตายๆๆๆ” เอริคพูดเสียงดัง เขาจงใจใช้เสียงที่เมากว่าปกติ “บอกไปใครจะเชื่อจริงมั้ย? ว่าทหารแค่สองร้อยคน ฆ่าคนตายไปเกือบสองร้อย แล้วจับคนได้เป็นพัน” เขาหัวเราะลงคอ
“ใช่แล้ว!! บอกไปใครจะเชื่อว่า จู่ๆใกล้จะเช้าก็โดนการโจมตีสายฟ้าแลบ เผาค่ายก่อนจะหนีไป พอเห็นชัดๆตอนทหารม้าหนีว่ามีไม่เยอะก็ไล่ตามแสงไฟมาเพราะคิดว่าศัตรูอยู่ตรงนี้ อย่างกับแมงเม่า” เอเคลเซธรับต่อเขาเองก็ขี่ม้ามองไปยังเชลยทั้งหลาย “แต่พอตามมาก็ดันเจอแม่น้ำลึกขวางอยู่พอจะกลับก็โดนทัพจากข้างหลังหนุนมา แล้วโดนทอดแหจับมาอย่างนี้” ทหารของไวท์ฟอร์ทต่างโห่ฮาอย่างชอบใจ ลีโอไนดัสก็พลอยหัวเราะไปด้วย ในใจรู้สึกยอมรับและนับถือสองจิ้งจอกพ่อลูกแห่งไวท์ฟอร์ทอย่างสุดใจ
“เอาไปทำอะไรดีหนอกองกำลังไร้สังกัดนี่?” เอริคเอ่ยพลางแสยะยิ้มด้วยใบหน้าอ้วนๆ ที่แลดุเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างประหลาด “จะเอากลับเป็นเชลยที่ไวท์ฟอร์ทก็คงไม่ไหว บ้านเราออกจะคับแคบ -- ”
“คงต้องเอาไปเปลี่ยนเป็นทุน” โคล์ดี้เอ่ยบ้าง “ข้าพอรู้จักพ่อค้าทาสที่ให้ราคาดีๆอยู่” มาถึงตอนนี้เหล่าเชลยต่างส่งเสียงอื้ออึงบ้างสั่นหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เอ.... เหมือนมีใครอยากพูดอะไรนะท่านพ่อ?” เอเคลเซธแสร้งขมวดคิ้วฟังทำเป็นฟังเสียงอื้ออึงนั้น
“เอ้า ก็ได้ๆ” เอริคเอ่ยอย่างรำคาญใจ “ถ้าใครให้ข้อมูลที่น่าพอใจ ข้าจะปล่อยมันไป”
ชายคนหนึ่งที่โดนมัด เข้าพยายามขยับตัวทั้งแบบนั้นก่อนจะล้มกลิ้งออกมา พวกไวท์ฟอร์ทต่างหัวเราะ
“เอ้า -- โชคเป็นของเจ้า” เอริคบอกและพยักหน้าให้ทหารแก้มัดเชือกจากปาก
จู่ๆฟ้าก็ส่งเสียงคำราม เอเคลเซธมองฟ้าที่เมฆก่อตัวอย่างรวดเร็ว เขามองก้อนเมฆที่หมุนวนตาถลน ยังไม่ทันที่จะร้องตะโกน ฟ้าก็ผ่าลงมาใจกลางบรรดาเชลยดังสนั่นราวกับฟ้าจะถล่ม
เปรี้ยง!! -- ตูม!!
แสงสว่างวาบมาพร้อมกับเสียงดังสนั่น เมื่อควันและสายตาเริ่มเข้าที่เข้าทาง คนที่ตะโกนให้ทหารหนีก็คือเอริค“ถอยยยยยย!!!” เอเคลเซธหยีตามองไปยังจุดที่มอดไหม้สีดำนั้น เขาทั้งตกใจและแปลกใจ ก่อนจะคว้าลีโอไนดัสขึ้นมาตัวเดียวกันและรวมกันกับพวกไวท์ฟอร์ทที่กำลังควบม้าหนีไปตั้งหลักกัน
พวกเขาเหลียวมาและเห็นอัศวินในชุดเกราะสีดำ ณ จุดที่ฟ้าผ่าลงมานั้น -- พวกไวท์ฟอร์ทมองกันตาถลน จู่ๆอัศวินเกราะดำนั้นก็ยกดาบรูปร่างแปลกๆและดูงดงามขึ้นมา สายฟ้าแล่นผ่านดาบนั้นดังเปรี๊ยะๆ
“หนี!!!!!!” เอริคตะโกนเมื่อเห็นอย่างนั้น ไม่มีใครรอให้สั่งซ้ำ ทุกคนควบม้าวิ่งหนีกันหน้าตั้ง
ลีโอไนดัสเหลียวกลับมาและเห็นอัศวินคนนั้นแทงดาบลงกับพื้น สายฟ้าก็วิ่งกระจายออกเป็นวงกว้าง ช็อตพวกเชลยที่ดิ้นพราดๆ สายฟ้าวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ไปๆๆๆๆๆ!!!!” ลีโอไนดัสกระตุก เขาตบบั้นท้ายม้าด้วยมือเปล่า กระตุ้นให้มันวิ่งสุดชีวิต
สายฟ้าที่เลื้อยตามมาทิ้งรอยไหม้เป็นทางก่อนจะแผ่วลงและหายไป พร้อมๆกับสายฟ้าที่พุ่งจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้า พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเมฆหมุนที่ฟ้าผ่ากลับเข้าไปก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“นั่นมันตัวบ้าอะไรกันวะ!!?” พวกเขากลับมาที่จุดรวมเชลย และพบว่าทั้งหมดไหม้เกรียมไปหมดแล้ว
ไม่มีใครรอด.......
*“You don’t have to do it, except you need to.” Akelzeth Quote: “นายไม่ต้องทำมันหรอก ยกเว้นว่ามันจำเป็น”
เอเคลเซธปลอบใจลีโอไนดัส เพราะแม้ว่า ลีโอไนดัสจะแอบตามมาเพราะอยากพิสูจน์ตัวเอง แต่เขายังไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้แบบเอาชีวิต เอเคลเซธจึงปลอบใจว่า เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าใคร ยกเว้นแต่ว่าถ้ามันอันตรายถึงชีวิต
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ