7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
29.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Foxes
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3 Foxes
บนหอคอยเฝ้าระวังน่านน้ำของพ็อตเทอร์รี่นั้นมีกองฟืนกองใหญ่ สายลมริมทะเลที่เย็นยะเยือกยังคงพัดโกรก อย่างใจร้ายใส่ทหารยามสองคนที่นั่งหนาวสั่นงั่กๆ พวกเขาพูดกันด้วยเสียงฟันกระทบกัน สายตาสอดส่องอย่างระแวดระวังไปยังกองเรือของโจรสลัดที่จอดนิ่งๆมาวันเต็มๆแล้ว สายตาของพวกเขามองอย่างโหยหาไปยังกองฟืนที่พร้อมจะจุดไฟขึ้นได้ทุกเมื่อ เพียงแต่พวกเขาไม่อาจจุดมันได้ เพียงแต่ทนนั่งหนาวกันอยู่แบบนี้
“ให้ตายเถอะ ก้นข้าเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้วมั้งนี่” ยามคนหนึ่งบ่นให้เพื่อนฟัง
“ข้าก็หนาวจนแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว” เพื่อนยามพูดพลางหลิ่วตาให้นิดๆ แต่เพื่อนของเขาหันไปมองกองฟืนราวกับมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน
“ข้าว่า เราแอบก่อกองไฟเล็กๆคงไม่เป็นไรมั้ง ไม่งั้นเราคงได้หนาวตายก่อนเย็นนี้แน่”
“อย่า!!” ยามอีกคนร้องเตือนด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ขืนมีควันหรือแสงหลุดออกไปแม้แต่นิดเดียว พวกในปราสาทได้บุกออกมาแน่ๆ”
“คิดถูกแล้ว” เรคัสโผล่จากบันไดที่พาดลงจากหอคอย “ลอร์ดคราเวนกำชับว่าห้ามบุกก่อนเด็ดขาด” แล้วเขาก็ปลดถุงใส่บรั่นดีอุ่นๆส่งให้กับยามที่ร้องครางอย่างพอใจ “แค่เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้น... เซอร์โรแลนด์ เราเปลี่ยนกะทหารยามทุกๆหกชั่วโมงได้มั้ยขอรับ?” ยามคนหนึ่งถามหลังจากซดบรั่นดีอุ่นๆอึกใหญ่ “ข้าทนหนาวแถมลมโกรกจนแทบแข็งแบบนี้อีกวันไม่ไหวแน่ๆ”
“รู้อะไรไหม? ที่ไวท์ฟอร์ทน่ะหิมะตกทั้งปี” เรคัสกล่าว “พวกเขาคงหัวเราะเยาะเราแทบบ้าแน่ถ้าไปบ่นเรื่องหนาวให้พวกเขาฟัง”
“เหอะ -- รอมาเจอหน้าร้อนของพวกเราก่อนเถอะ” ยามอีกคนพูดด้วยสีหน้าดูถูก เรคัสไม่พูดอะไรต่อ เขาหยีตามองผ่านสายลมไปยังกองเรือโจรสลัดไกลๆ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนไหวเลย
“ข้าไม่เข้าใจเลย เซอร์โรแลนด์ พวกโจรสลัดที่ข้ารู้จักนี่ ไวอย่างกับอะไรดี โผล่มาแวบๆอย่างกับสายฟ้า บางทีบางเมืองไม่ทันรู้ตัวว่าถูกปล้นพวกมันก็จากไปแล้ว..... แต่นี่ดันยกโขยงมาปิดอ่าวแบบนี้ -- มันแปลกๆนะขอรับ”
“ใช่” เรคัสเอ่ยลอดไรฟัน “แปลกมากจริงๆ”
“แล้ว ลอร์ดคราเวนล่ะขอรับ?” ยามอีกคนถาม “ท่านสั่งให้รอกำลังจากไวท์ฟอร์ทอย่างเดียวน่ะหรือ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่กัน?”
“ต้อนรับแขกอยู่......” เรคัสเอ่ยเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
ลอร์ดคราเวนยืนอยู่หน้าปราสาทใส่ชุดขุนนางเต็มยศ เขาประสานมือไขว้หลังพลางเชิดอกแบบทหาร หากไม่ติดที่พุงยื่นออกไปจนกระดุมปริ ท่าทีของเขาก็ดูทะมัดทะแมนดีทีเดียว กระนั้นสายตาของเขาก็เพ่งมองไปยังรถม้าที่ขับเข้ามาใกล้ปราสาทด้วยท่าทีราวกับนกเหยี่ยว
รถม้าสีน้ำตาลที่หรูหราหยุดกึก ประตูเล็กด้านข้างเปิดออก พร้อมกับร่างบางแต่สูงโปร่งของสตรีผู้หนึ่งที่มีผ้าคลุมศีรษะสีแดงดูหรูหราเช่นเดียวกับชุดของเธอ เธอเห็นลอร์ดคราเวนก็ถอดผ้าคลุมศรีษะออก ปรากฏใบหน้าที่งดงามและสวยสง่า ผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอรับกับผิวที่ขาวราวกับขนห่าน เธอยิ้มให้กับลอร์ดคราเวนได้สวยงาม ราวกับสามารถโปรยมนต์เสน่ห์ผ่านรอยยิ้มนั้น
“เลดี้โรส” ลอร์ดคาเวนโค้งให้กับสตรีผู้นั้นก่อนจะจุมพิตเบาๆที่หลังมือของนาง “เชิญด้านใน”
“ว่าอย่างไรครับ? คุณชายน้อย แรนเดลล์ คราเวน?” ชายหนุ่มที่อยู่เหนือบานหน้าต่างถามเด็กน้อยที่จ้องมองเลดี้โรสอย่างตกตะลึงราวกับต้องมนต์สะกด
“นั่นคือเลดี้โรสเหรอครับ ครูเรคอมป์” เด็กชายจ้องเธอไม่วางตา “ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อนเลย.... ราวกับเธอเป็นนางฟ้าเลยครับ”
“.....เห็นอย่างนั้น เธออายุพอๆกับลอร์ดเบโอวูล์ฟนะครับ -- เลดี้โรสน่ะ” เรคอมป์เอ่ยเรียบๆ
“อดีตแม่ทัพใหญ่ของพระราชา -- ไลโอซ่าร์ เบโอวูล์ฟ น่ะเหรอครับ?” แรนเดลล์มีสีหน้าทั้งตกใจและไม่เชื่อ เขานับอายุด้วยนิ้วมือเพราะเขาจำได้ว่าเขาเคยเรียนอัตชีวประวัติของลอร์ดทั้งเจ็ด กับเรคอมป์มาแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็.... สี่สิบสี่ -- ”
“สี่สิบห้าปี” เรคอมป์แก้ “ครบรอบของเลดี้โรสเมื่อเดือนที่แล้วครับ”
“ครูต้องล้อผมเล่นแน่ๆ” เด็กชายมองเธอจนเดินลับสายตา “ไม่มีผู้หญิงอายุสี่สิบห้าคนไหนสวยได้อย่างนั้นหรอก”
“ก็มีข่าวลือมาว่า เธอได้รับพรจากพระนักเทศน์แห่งแซงจัวรี่แต่ยังเด็กนะครับ”
“พรที่จะทำให้สวยตลอดกาลน่ะเหรอครับคุณครู?” เด็กน้อยถามอย่างกระตือรือร้นจนชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วมองเขา “พรวิเศษอะไรพวกนั้นมันมีจริงๆหรือครับ ครูเรคอมป์”
“หากพรวิเศษนั้นเป็นจริง ท่านแรนเดลล์ยินดีจะรับเลดี้โรสเป็นภรรยาหรือไม่?” เรคอมป์ถามด้วยมุมปากกระตุก
“ถึงเลดี้โรสจะอายุเยอะก็ไม่เกี่ยวนี่จริงมั้ยครับ?” เด็กชายเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่สายลมเย็นยะเยือกยังคงพัดผ่าน “ได้มีภรรยาสวยตลอดกาลคงเป็นอะไรที่วิเศษไปเลย”
เรคอมป์เลิกคิ้วแต่ก็พยักหน้า และคิดในใจว่า เด็กก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ.....
“แค่นี้พอแล้วหรือ” ลอร์ดคราเวนเอ่ยถาม
“แค่นี้เท่านั้นแหละ” เลดี้โรสกล่าว
“อย่าบอกนะว่าพวกนี้......” ลอร์ดคราเวนเบนใบหน้าไปยังนอกหน้าต่างแต่สายตาไม่ได้ละไปจากสตรีตรงหน้าเลย “ -- ก็เป็นฝีมือของเจ้า?”
เลดี้โรสไม่ตอบ เธอก้มลงมองเรียวแขนที่นวลเนียนของเธออย่างพินิจพิจารณา
“ในห้องท่านมีน้ำร้อนหรือเปล่า?” เธอถาม
“ข้าเตรียมไว้แล้ว” ลอร์ดคราเวนตอบ “ลมหนาวปีนี้มาแปลกจริงๆว่าไหม มาเอาตอนปลายๆฤดูแบบนี้”
เลดี้โรสถอดรองเท้าและเดินเข้าไปใกล้สระน้ำเล็กก่อนจะเทน้ำร้อนเติมลงไป *“Whenever…… -- the cold always does its job.”
“พระราชามีรับสั่งอะไรไหม?” ลอร์ดคราเวนเอ่ยถามขณะมองเลดี้โรสเด็ดกลีบกุหลาบโปรยลงในน้ำช้าๆ
เป็นครั้งแรกที่เธอเงยหน้าขึ้นมามองลอร์ดคราเวน “เปล่า.... ข้ามาที่นี่ด้วยธุระส่วนตัว.....” เธอกล่าว และลุกขึ้นยืน
“และธุระที่ว่า คงไม่ทำให้พระราชาเพ่งเล็งที่พ็อตเทอร์รี่นี่สินะ?” ลอร์ดคราเวนเอ่ยเบาๆและมองตาม ก็เห็นเลดี้โรสถอดผ้าคลุมสีแดงออก
“ไม่เลย.....” เธอส่งผ้าคลุมให้กับ ลอร์ดคราเวน “เว้นแต่ท่านพยายามจะขัดขวางข้า.....”
ลอร์ดคราเวนไม่ตอบ คำตอบนั้นทั้งสองต่างรู้ดี เขามองเรือนร่างสวยสง่าค่อยๆจุ่มตัวลงในสระน้ำอุ่นเล็กๆนั้น ที่มีกลีบกุหลาบลอยละล่อง
“มาสิ......” เธอกล่าวเบาๆ “ทำให้ข้าพอใจหน่อย......”
ห่างออกมาจากไวท์ฟอร์ท จนมองเห็นภูเขาไรท์ฮิลล์ที่ตั้งตระหง่านด้านหลังเมืองไวท์ฟอร์ทอยู่ลิบๆ กองทหารม้าเดินเรียงแถวฝ่ากองหิมะ ทั้งคนและม้าต่างพ่นลมหายใจสีขาวออกมา ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ ทหารทั้งสองร้อยนาย รวมทั้งสองพ่อลูกคาร์ลดีเซนตั้งค่ายพักกันที่ริมป่าเล็กๆ ก่อนจะสั่งทหารให้หาฟืนและก่อกองไฟเพื่อทำอาหารกินกัน
“ด้วยความเร็วนี้ เราคงไปถึงพ็อตเทอร์รี่ในสามวันนี้แหละ” เอเคลเซธเอ่ยกับแม่ทัพที่ขี่ม้าอยู่ข้างเขา “ท่านโคล์ดี้ ไปต่อทางนี้จะมีป่าอีก เราไปถึงที่นั่นก่อนเย็นได้ และจะใช้ที่นั่นเป็นค่าย”
“ไม่ ไม่ ม่ายยย -- เอิ๊ก....” เสียงสะอื้นตามมาด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง “เราจะอ้อมไป และจะถึงพ็อตเทอร์รี่ในอีกสัปดาห์ให้หลัง” เอริคเอ่ยพร้อมกับกระดกเหล้าบนหลังม้า
“ทำไมล่ะขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน” แม่ทัพโคล์ดี้ถามพลางหันไปมองเอริคกับ เอเคลเซธสลับกัน
“ใช่..... เป็นความคิดที่ดี” ชายหนุ่มลงจากหลังม้า และจูงม้าของเขาไปมัดกับต้นไม้ใกล้ๆนั้น ก่อนจะช่วยพ่อของเขาที่เตี้ยกว่าลงจากม้า “เราจะตั้งค่ายที่นี่ พักก่อนคืนหนึ่ง”
“ทำไมล่ะขอรับ?” แม่ทัพเอ่ยถามอย่างงุนงง
“คือแบบนี้ครับ” เอเคลเซธเอ่ยหลังจากมองพ่อของเขาที่ไม่ยอมบอกเหตุผลเพราะมัวยุ่งอยู่กับการร่ำสุรา “เราจำเป็นต้องส่งกองทัพออกมาตามแรงบีบ... จะด้วยของใครก็แล้วแต่ -- และหากจะรุมฆ่ากองทัพของเราที่รีบมุ่งหน้าไปยัง พ็อตเทอร์รี่ จุดซุ่มที่ดีที่สุดก็คือป่าด้านหน้าโน้น” ชายหนุ่มเฉลยให้กับแม่ทัพที่ถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นผมยาวรุงรังสีบลอนด์ “ถ้าการลอบสังหารกองทัพที่ออกมาสำเร็จ การพุ่งเป้าโจมตีไปที่ไวท์ฟอร์ทก็ย่อมง่ายขึ้น”
“แบบนี้เราก็แน่ใจได้แล้วสิว่า พ็อตเทอร์รี่ไม่เป็นมิตรกับเราแล้ว” แม่ทัพเอ่ย
“หรือพระราชา......” เอเคลเซธเอ่ยพลางจ้องลงไปในเปลวไฟ “....จะเป็นใครก็แล้วแต่ เราจะลงมือทำอะไรก่อนเองไม่ได้เด็ดขาด.....” ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของแม่ทัพโคล์ดี้ก่อนจะหันไปมองพ่อของเขาที่เอาถังเหล้านอนต่างหมอนและกรนเสียงดังลั่น **“A head needs more than a leg”
เลดี้โรส เดินกลับมาที่รถม้า โดยมีลอร์ดคราเวนเดินมาส่งถึงที่ เหนือขึ้นไปที่หน้าต่าง เด็กน้อยแรนเดลล์จ้องมองความสวยของสตรีผู้งดงามอย่างไม่วางตา เธอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเด็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้และขึ้นรถม้าไป
แรนเดลล์เกาะขอบหน้าต่างอยู่นานหลายชั่วโมงโดยที่เรคอมป์ไม่ได้ปลุกเขาจากภวังค์
“ไปที่ใดต่อหรือขอรับ เลดี้?” หัวหน้ากองอารักขาเอ่ยถามจากที่นั่งข้างคนขับรถม้า
“To the White Fort….” (ไปไวท์ฟอร์ท......)
*“Whenever…… -- the cold always does its job.” Lady Rose Quote: “ไม่ว่าเมื่อใด........ ความหนาวเย็นก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น”
เลดี้โรสตอบลอร์ดคราเวนที่พูดเรื่องสภาพอากาศ ให้เขาเข้าใจว่า ความหนาวเย็นก็เพียงแต่ทำหน้าที่ของมัน แต่ที่จริงแล้ว นางกำลังคิดถึงบางสิ่งในใจ -- เช่นเปรียบเปรยกับ คนที่เลือดเย็นก็ยังคงทำเรื่องเลวร้ายได้เป็นปกติของเขา
**“A head needs more than a leg” Akelzeth Quote: “หัวต้องการมากกว่าหนึ่งขา”
เอเคลเซธเอ่ยถึงกองกำลังของไวท์ฟอร์ทที่น้อยมาก จนไม่อาจจะเปิดสงครามกับใครซึ่งๆหน้าได้ แม้จะมีคนฉลาดอยู่ด้วยเหมือนมีหัวมีมันสมอง แต่ขาเพียงข้างเดียวหรือกองทัพแค่น้อยนิดคงไม่อาจทำอะไรได้
บนหอคอยเฝ้าระวังน่านน้ำของพ็อตเทอร์รี่นั้นมีกองฟืนกองใหญ่ สายลมริมทะเลที่เย็นยะเยือกยังคงพัดโกรก อย่างใจร้ายใส่ทหารยามสองคนที่นั่งหนาวสั่นงั่กๆ พวกเขาพูดกันด้วยเสียงฟันกระทบกัน สายตาสอดส่องอย่างระแวดระวังไปยังกองเรือของโจรสลัดที่จอดนิ่งๆมาวันเต็มๆแล้ว สายตาของพวกเขามองอย่างโหยหาไปยังกองฟืนที่พร้อมจะจุดไฟขึ้นได้ทุกเมื่อ เพียงแต่พวกเขาไม่อาจจุดมันได้ เพียงแต่ทนนั่งหนาวกันอยู่แบบนี้
“ให้ตายเถอะ ก้นข้าเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้วมั้งนี่” ยามคนหนึ่งบ่นให้เพื่อนฟัง
“ข้าก็หนาวจนแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว” เพื่อนยามพูดพลางหลิ่วตาให้นิดๆ แต่เพื่อนของเขาหันไปมองกองฟืนราวกับมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน
“ข้าว่า เราแอบก่อกองไฟเล็กๆคงไม่เป็นไรมั้ง ไม่งั้นเราคงได้หนาวตายก่อนเย็นนี้แน่”
“อย่า!!” ยามอีกคนร้องเตือนด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ขืนมีควันหรือแสงหลุดออกไปแม้แต่นิดเดียว พวกในปราสาทได้บุกออกมาแน่ๆ”
“คิดถูกแล้ว” เรคัสโผล่จากบันไดที่พาดลงจากหอคอย “ลอร์ดคราเวนกำชับว่าห้ามบุกก่อนเด็ดขาด” แล้วเขาก็ปลดถุงใส่บรั่นดีอุ่นๆส่งให้กับยามที่ร้องครางอย่างพอใจ “แค่เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้น... เซอร์โรแลนด์ เราเปลี่ยนกะทหารยามทุกๆหกชั่วโมงได้มั้ยขอรับ?” ยามคนหนึ่งถามหลังจากซดบรั่นดีอุ่นๆอึกใหญ่ “ข้าทนหนาวแถมลมโกรกจนแทบแข็งแบบนี้อีกวันไม่ไหวแน่ๆ”
“รู้อะไรไหม? ที่ไวท์ฟอร์ทน่ะหิมะตกทั้งปี” เรคัสกล่าว “พวกเขาคงหัวเราะเยาะเราแทบบ้าแน่ถ้าไปบ่นเรื่องหนาวให้พวกเขาฟัง”
“เหอะ -- รอมาเจอหน้าร้อนของพวกเราก่อนเถอะ” ยามอีกคนพูดด้วยสีหน้าดูถูก เรคัสไม่พูดอะไรต่อ เขาหยีตามองผ่านสายลมไปยังกองเรือโจรสลัดไกลๆ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนไหวเลย
“ข้าไม่เข้าใจเลย เซอร์โรแลนด์ พวกโจรสลัดที่ข้ารู้จักนี่ ไวอย่างกับอะไรดี โผล่มาแวบๆอย่างกับสายฟ้า บางทีบางเมืองไม่ทันรู้ตัวว่าถูกปล้นพวกมันก็จากไปแล้ว..... แต่นี่ดันยกโขยงมาปิดอ่าวแบบนี้ -- มันแปลกๆนะขอรับ”
“ใช่” เรคัสเอ่ยลอดไรฟัน “แปลกมากจริงๆ”
“แล้ว ลอร์ดคราเวนล่ะขอรับ?” ยามอีกคนถาม “ท่านสั่งให้รอกำลังจากไวท์ฟอร์ทอย่างเดียวน่ะหรือ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่กัน?”
“ต้อนรับแขกอยู่......” เรคัสเอ่ยเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
ลอร์ดคราเวนยืนอยู่หน้าปราสาทใส่ชุดขุนนางเต็มยศ เขาประสานมือไขว้หลังพลางเชิดอกแบบทหาร หากไม่ติดที่พุงยื่นออกไปจนกระดุมปริ ท่าทีของเขาก็ดูทะมัดทะแมนดีทีเดียว กระนั้นสายตาของเขาก็เพ่งมองไปยังรถม้าที่ขับเข้ามาใกล้ปราสาทด้วยท่าทีราวกับนกเหยี่ยว
รถม้าสีน้ำตาลที่หรูหราหยุดกึก ประตูเล็กด้านข้างเปิดออก พร้อมกับร่างบางแต่สูงโปร่งของสตรีผู้หนึ่งที่มีผ้าคลุมศีรษะสีแดงดูหรูหราเช่นเดียวกับชุดของเธอ เธอเห็นลอร์ดคราเวนก็ถอดผ้าคลุมศรีษะออก ปรากฏใบหน้าที่งดงามและสวยสง่า ผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอรับกับผิวที่ขาวราวกับขนห่าน เธอยิ้มให้กับลอร์ดคราเวนได้สวยงาม ราวกับสามารถโปรยมนต์เสน่ห์ผ่านรอยยิ้มนั้น
“เลดี้โรส” ลอร์ดคาเวนโค้งให้กับสตรีผู้นั้นก่อนจะจุมพิตเบาๆที่หลังมือของนาง “เชิญด้านใน”
“ว่าอย่างไรครับ? คุณชายน้อย แรนเดลล์ คราเวน?” ชายหนุ่มที่อยู่เหนือบานหน้าต่างถามเด็กน้อยที่จ้องมองเลดี้โรสอย่างตกตะลึงราวกับต้องมนต์สะกด
“นั่นคือเลดี้โรสเหรอครับ ครูเรคอมป์” เด็กชายจ้องเธอไม่วางตา “ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อนเลย.... ราวกับเธอเป็นนางฟ้าเลยครับ”
“.....เห็นอย่างนั้น เธออายุพอๆกับลอร์ดเบโอวูล์ฟนะครับ -- เลดี้โรสน่ะ” เรคอมป์เอ่ยเรียบๆ
“อดีตแม่ทัพใหญ่ของพระราชา -- ไลโอซ่าร์ เบโอวูล์ฟ น่ะเหรอครับ?” แรนเดลล์มีสีหน้าทั้งตกใจและไม่เชื่อ เขานับอายุด้วยนิ้วมือเพราะเขาจำได้ว่าเขาเคยเรียนอัตชีวประวัติของลอร์ดทั้งเจ็ด กับเรคอมป์มาแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็.... สี่สิบสี่ -- ”
“สี่สิบห้าปี” เรคอมป์แก้ “ครบรอบของเลดี้โรสเมื่อเดือนที่แล้วครับ”
“ครูต้องล้อผมเล่นแน่ๆ” เด็กชายมองเธอจนเดินลับสายตา “ไม่มีผู้หญิงอายุสี่สิบห้าคนไหนสวยได้อย่างนั้นหรอก”
“ก็มีข่าวลือมาว่า เธอได้รับพรจากพระนักเทศน์แห่งแซงจัวรี่แต่ยังเด็กนะครับ”
“พรที่จะทำให้สวยตลอดกาลน่ะเหรอครับคุณครู?” เด็กน้อยถามอย่างกระตือรือร้นจนชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วมองเขา “พรวิเศษอะไรพวกนั้นมันมีจริงๆหรือครับ ครูเรคอมป์”
“หากพรวิเศษนั้นเป็นจริง ท่านแรนเดลล์ยินดีจะรับเลดี้โรสเป็นภรรยาหรือไม่?” เรคอมป์ถามด้วยมุมปากกระตุก
“ถึงเลดี้โรสจะอายุเยอะก็ไม่เกี่ยวนี่จริงมั้ยครับ?” เด็กชายเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่สายลมเย็นยะเยือกยังคงพัดผ่าน “ได้มีภรรยาสวยตลอดกาลคงเป็นอะไรที่วิเศษไปเลย”
เรคอมป์เลิกคิ้วแต่ก็พยักหน้า และคิดในใจว่า เด็กก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ.....
“แค่นี้พอแล้วหรือ” ลอร์ดคราเวนเอ่ยถาม
“แค่นี้เท่านั้นแหละ” เลดี้โรสกล่าว
“อย่าบอกนะว่าพวกนี้......” ลอร์ดคราเวนเบนใบหน้าไปยังนอกหน้าต่างแต่สายตาไม่ได้ละไปจากสตรีตรงหน้าเลย “ -- ก็เป็นฝีมือของเจ้า?”
เลดี้โรสไม่ตอบ เธอก้มลงมองเรียวแขนที่นวลเนียนของเธออย่างพินิจพิจารณา
“ในห้องท่านมีน้ำร้อนหรือเปล่า?” เธอถาม
“ข้าเตรียมไว้แล้ว” ลอร์ดคราเวนตอบ “ลมหนาวปีนี้มาแปลกจริงๆว่าไหม มาเอาตอนปลายๆฤดูแบบนี้”
เลดี้โรสถอดรองเท้าและเดินเข้าไปใกล้สระน้ำเล็กก่อนจะเทน้ำร้อนเติมลงไป *“Whenever…… -- the cold always does its job.”
“พระราชามีรับสั่งอะไรไหม?” ลอร์ดคราเวนเอ่ยถามขณะมองเลดี้โรสเด็ดกลีบกุหลาบโปรยลงในน้ำช้าๆ
เป็นครั้งแรกที่เธอเงยหน้าขึ้นมามองลอร์ดคราเวน “เปล่า.... ข้ามาที่นี่ด้วยธุระส่วนตัว.....” เธอกล่าว และลุกขึ้นยืน
“และธุระที่ว่า คงไม่ทำให้พระราชาเพ่งเล็งที่พ็อตเทอร์รี่นี่สินะ?” ลอร์ดคราเวนเอ่ยเบาๆและมองตาม ก็เห็นเลดี้โรสถอดผ้าคลุมสีแดงออก
“ไม่เลย.....” เธอส่งผ้าคลุมให้กับ ลอร์ดคราเวน “เว้นแต่ท่านพยายามจะขัดขวางข้า.....”
ลอร์ดคราเวนไม่ตอบ คำตอบนั้นทั้งสองต่างรู้ดี เขามองเรือนร่างสวยสง่าค่อยๆจุ่มตัวลงในสระน้ำอุ่นเล็กๆนั้น ที่มีกลีบกุหลาบลอยละล่อง
“มาสิ......” เธอกล่าวเบาๆ “ทำให้ข้าพอใจหน่อย......”
ห่างออกมาจากไวท์ฟอร์ท จนมองเห็นภูเขาไรท์ฮิลล์ที่ตั้งตระหง่านด้านหลังเมืองไวท์ฟอร์ทอยู่ลิบๆ กองทหารม้าเดินเรียงแถวฝ่ากองหิมะ ทั้งคนและม้าต่างพ่นลมหายใจสีขาวออกมา ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ ทหารทั้งสองร้อยนาย รวมทั้งสองพ่อลูกคาร์ลดีเซนตั้งค่ายพักกันที่ริมป่าเล็กๆ ก่อนจะสั่งทหารให้หาฟืนและก่อกองไฟเพื่อทำอาหารกินกัน
“ด้วยความเร็วนี้ เราคงไปถึงพ็อตเทอร์รี่ในสามวันนี้แหละ” เอเคลเซธเอ่ยกับแม่ทัพที่ขี่ม้าอยู่ข้างเขา “ท่านโคล์ดี้ ไปต่อทางนี้จะมีป่าอีก เราไปถึงที่นั่นก่อนเย็นได้ และจะใช้ที่นั่นเป็นค่าย”
“ไม่ ไม่ ม่ายยย -- เอิ๊ก....” เสียงสะอื้นตามมาด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง “เราจะอ้อมไป และจะถึงพ็อตเทอร์รี่ในอีกสัปดาห์ให้หลัง” เอริคเอ่ยพร้อมกับกระดกเหล้าบนหลังม้า
“ทำไมล่ะขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน” แม่ทัพโคล์ดี้ถามพลางหันไปมองเอริคกับ เอเคลเซธสลับกัน
“ใช่..... เป็นความคิดที่ดี” ชายหนุ่มลงจากหลังม้า และจูงม้าของเขาไปมัดกับต้นไม้ใกล้ๆนั้น ก่อนจะช่วยพ่อของเขาที่เตี้ยกว่าลงจากม้า “เราจะตั้งค่ายที่นี่ พักก่อนคืนหนึ่ง”
“ทำไมล่ะขอรับ?” แม่ทัพเอ่ยถามอย่างงุนงง
“คือแบบนี้ครับ” เอเคลเซธเอ่ยหลังจากมองพ่อของเขาที่ไม่ยอมบอกเหตุผลเพราะมัวยุ่งอยู่กับการร่ำสุรา “เราจำเป็นต้องส่งกองทัพออกมาตามแรงบีบ... จะด้วยของใครก็แล้วแต่ -- และหากจะรุมฆ่ากองทัพของเราที่รีบมุ่งหน้าไปยัง พ็อตเทอร์รี่ จุดซุ่มที่ดีที่สุดก็คือป่าด้านหน้าโน้น” ชายหนุ่มเฉลยให้กับแม่ทัพที่ถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นผมยาวรุงรังสีบลอนด์ “ถ้าการลอบสังหารกองทัพที่ออกมาสำเร็จ การพุ่งเป้าโจมตีไปที่ไวท์ฟอร์ทก็ย่อมง่ายขึ้น”
“แบบนี้เราก็แน่ใจได้แล้วสิว่า พ็อตเทอร์รี่ไม่เป็นมิตรกับเราแล้ว” แม่ทัพเอ่ย
“หรือพระราชา......” เอเคลเซธเอ่ยพลางจ้องลงไปในเปลวไฟ “....จะเป็นใครก็แล้วแต่ เราจะลงมือทำอะไรก่อนเองไม่ได้เด็ดขาด.....” ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของแม่ทัพโคล์ดี้ก่อนจะหันไปมองพ่อของเขาที่เอาถังเหล้านอนต่างหมอนและกรนเสียงดังลั่น **“A head needs more than a leg”
เลดี้โรส เดินกลับมาที่รถม้า โดยมีลอร์ดคราเวนเดินมาส่งถึงที่ เหนือขึ้นไปที่หน้าต่าง เด็กน้อยแรนเดลล์จ้องมองความสวยของสตรีผู้งดงามอย่างไม่วางตา เธอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเด็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้และขึ้นรถม้าไป
แรนเดลล์เกาะขอบหน้าต่างอยู่นานหลายชั่วโมงโดยที่เรคอมป์ไม่ได้ปลุกเขาจากภวังค์
“ไปที่ใดต่อหรือขอรับ เลดี้?” หัวหน้ากองอารักขาเอ่ยถามจากที่นั่งข้างคนขับรถม้า
“To the White Fort….” (ไปไวท์ฟอร์ท......)
*“Whenever…… -- the cold always does its job.” Lady Rose Quote: “ไม่ว่าเมื่อใด........ ความหนาวเย็นก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น”
เลดี้โรสตอบลอร์ดคราเวนที่พูดเรื่องสภาพอากาศ ให้เขาเข้าใจว่า ความหนาวเย็นก็เพียงแต่ทำหน้าที่ของมัน แต่ที่จริงแล้ว นางกำลังคิดถึงบางสิ่งในใจ -- เช่นเปรียบเปรยกับ คนที่เลือดเย็นก็ยังคงทำเรื่องเลวร้ายได้เป็นปกติของเขา
**“A head needs more than a leg” Akelzeth Quote: “หัวต้องการมากกว่าหนึ่งขา”
เอเคลเซธเอ่ยถึงกองกำลังของไวท์ฟอร์ทที่น้อยมาก จนไม่อาจจะเปิดสงครามกับใครซึ่งๆหน้าได้ แม้จะมีคนฉลาดอยู่ด้วยเหมือนมีหัวมีมันสมอง แต่ขาเพียงข้างเดียวหรือกองทัพแค่น้อยนิดคงไม่อาจทำอะไรได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ