The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  52.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

52) การต่อสู้ของความรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
         
ฮ้อยนึกเฮี้ยนขึ้นมาก็เลยอยากจะไปวิ่งตอนเช้ากับเขาบ้าง  แต่แค่วิ่งไปรอบๆอาคารที่พักอาศัยหอบแล้ว  เลยเลิกล้มความตั้งใจแล้วเดินมานั่งพักหน้าตึกซึ่งมีสวนขนาดเล็ก
มองไปเห็นปติมาเดินออกมาในชุดสวย   จะว่าไปปติมาแม้จะเป็นสาวข้ามเพศ  แต่เพราะจริตจะก้านที่พอดีไม่มากเกินไป  ทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงจริงๆ  เหลือแต่ก็ส่วนสูงที่สูงกว่าผุ้หญิงธรรมดาก็เลยอาจจะขัดตานิดๆ
“พี่ปัติครับ” หนุ่มน้อยลุกขึ้นแล้วเดินไปหา
“อ้าวฮ้อย  วิ่งออกกำลังเหรอ” เธอยิ้มละไม
“ครับ  แต่ไม่ไหววิ่งรอบตึกก็เหนื่อยแล้วพี่ ไม่เหมือนไอ้จุ๊ย  รายนั้นวิ่งได้เป็นกิโลๆ กะจะวิ่งแบบมันเผื่อจะได้เล่นแซกเก่งแบบมัน” ฮ้อยกล่าวตามตรง
“จุ๊ยเขาฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ  ม.หนึ่ง พี่ก็เห็นเขาวิ่งรอบสนามทุกวันก่อนไปซ้อมดนตรีอยู่แล้ว  เราน่ะต้องใช้เวลา” เธอกล่าวบนรอยยิ้ม
“พี่จะไปไหนครับ” ฮ้อยถาม
“ไปซื้อของที่สนามหลวงสองมาแต่งบ้านน่ะ” เธอตอบ
“แล้วจะไปยังไงครับ” ฮ้อยถามต่อ
“ก็คงแท็กซี่ “ เธอยิ้ม
ฮ้อยหันมองนาฬิกาภายใoตัวอาคาร
“รีบไหมครับ  เดี่ยวผมขับรถไป  เผื่อพี่ซื้อของเยอะจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ผมจะได้ช่วยพี่ถือด้วย” ฮ้อยเสนอตัว
 
จุ๊ยกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับชั้นวางของไม้สัก  แต่พอเห็นราคาก็ถอยออกมา
“ทำไม” อาราอิถาม
“แพงเหรอ”
จุ๊ยทำปาแบะ ยักคิ้ว
“กะจะซื้อไปแทนตัวที่ป๊าใช้ในห้องมันหักลงมาแล้ว”
อาราอิก็เดินไปดูราคา
“อยากได้ไหมล่ะ เดี่ยวฉันซื้อให้ก็ได้นะ” อาราอิกล่าว
“เฮ้ย ไม่เอา  ไปดูที่เป็นไม้ยางก็ได้  ถูกกว่า” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าจะเดินไป
“พี่ครับมีของใหม่ไหมครับ” อาราอิถามเข้าไปในร้าน
“เฮ้ยอาราอิ” จุ๊ยร้อง
“มีคะ” คนขายตอบ
“ส่งให้ด้วยไหม  ตัวใหญ่อย่างนี้ผมขนไปไม่ได้” อาราอิถามต่อไปโดยไม่ได้สนใจการทักท้วงของจุ๊ย
 
“น่ารักดีจัง” ปติมาย่อตัวลงมองปลาหมอสีครอสบริสตัวประมาณสองนิ้วว่ายไปว่ายมา  เธอหยอกมันด้วยการเอานิ้วลากมันก็ว่ายตามอย่างเชื่อง
ฮ้อยเห็นกิริยาที่เหมือนเด็กของปาติมาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้  เขาขยับเข้าใกล้ๆ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูก  มองไปก็เห็นใบหน้าจากด้านข้าง  โครงหน้าของปติมาเป็นโครงหน้าที่สวยงามเหมือนกับอัศวะ ทว่าอ่อนโยนกว่า ทำให้เมื่อกลายเป็นใบหน้าผู้หญิงแล้วเธอก็ดูชวนมอง  ยิ่งตอนนี้แสงแดดผ่านลงมาอ่อนๆ  ยิ่งขับใบหน้าของเธอให้แจ่มใส 
“น่ารักเนอะ” เธอหันมากล่าว
“ผมซื้อให้เอาไหมครับ” ฮ้อยถาม
เธอยิ้มแล้วยืดตัว
“พี่เลี้ยงปลาไม่เป็นหรอก” เธอบอก
“เอาไปก็ตาย”
“ปลาเลี้ยงไม่ยากหรอกครับ  พี่เลือกเอาเลยอยากได้ตัวไหน  ผมช่วยเลี้ยง” ฮ้อยบอก
 
เดินไปเสียงหนึ่งที่ทำให้จุ๊ยหยุด  นั้นคือสิ่งที่อาราอิคาดหมายได้ไม่ยากเลย  เขาเดินตรงไปอย่างที่อาราอิคิดไม่ผิด
เขาเลยไปยืนข้างๆ
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนคนหนึ่ง ยืนเป่าแซกโซโฟนอย่างขมันขมี  เสียงดนตรีของเขาก็เรียกว่าพอใช้ได้  อย่างน้อยก็ทำให้จุ๊ยยิ้มจางๆ
พอจบเพลงเขาก็ปรบมือ  แล้วก็ล้วงเงินไปใส่กล่องบริจาค
“เล่นผิดไปหลายโน้ตเลยนะ” เขาบอกกับนักดนตรี
“พี่เล่นให้ฟังไหม  เพลงนี้มันมีวิธีเป่าอีกแบบ ไม่ต้องใช้ลมเยอะ”
เด็กหนุ่มมองหน้าจุ๊ยแบบพินิจ  เขาอาจเคยเห็นจุ๊ย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เขาก็ส่งแซกโซโฟนให้
จุ๊ยถอดเม้าท์พีชออกมาเช็ดความสะอาด ก่อนจะประกอบกลับอย่างรวดเร็วรวดเร็ว
“ดูนะ แล้วจำไว้  หากินได้หลายหลายเพลงเลยล่ะ ถ้าเล่นCover Pop”
แล้วจุ๊ยก็บรรเลงเพลงเดียวกับเด็กหนุ่ม Careless Whisper แต่ แตกต่างกับเสียงของเพลงของเด็กหนุ่ม  มันหวานแว่วและกังวานกระจ่างในบรรยากาศยามสายของตลาดสนามหลวงสอง  ยิ่งตอนเสียงสูงยิ่งสะท้านไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอยู่ 
เขากำลังเผชิญหน้ากับเสียงของแซกโซโฟนตัวเดียวกันกับที่เขาเป่า  ทว่ามันราวกับดังมาจากแซกโซโฟนคนละตัว  พลังที่แตกต่างนั้นแปลสภาพแซกโซโฟนแบรนด์จีนของเขาให้กลายเป็นของวิเศษไป เสียแล้ว
ไม่ห่างกันมีชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง กับชายชาวไทยคนหนึ่งยืนฟังอยุ่ตั้งแต่ต้นเพลง 
“What?” ขายชาวไทยถามเพื่อนต่างชาติ เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว
“Disappointed? Or what?”(ไม่ถูกใจหรืออะไร)
“Not at all but, curious that how he make that sound... The Vibration... It is so impressive, I have never seen something like this” ชายชาวต่างประเทศกล่าว
(ไม่เลย แต่แค่สงสัย เสียงนั้น การสะเทือนไหว นั้นมันน่าประทับใจมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มากก่อน)
“You come ahead your team for searching, Rigth.. I think he migth be the one you looking for” หนุ่มไทยกล่าว
ชายชาวต่างประเทศยังทำหน้าขมวดคิ้ว
(คุณมาล่วงหน้าเพื่อค้นหาใช่ไหม  ผมว่านี่ล่ะ คนที่คุณค้นหา)
“No… If I am correct, he is the one who the academy come for, we never travel this far, but after one of our team had seen his performance in Japan and made a footage, the committee decided to come to Thailand”
(ถ้า ผมจำไม่ผิดนะ  นี่หละคนที่ทำให้อเคเดมีมา เราไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ แต่หลังจากคนหนึ่งในทีมได้เห็นเขาแสดงในญี่ปุ่น แล้วถ่ายวิดีโอมา คณะกรรมการก็มาประเทศไทย)
แล้วเขาก็ยกโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ถ่ายรูป
“I will send to the team for confirmation”
(ผมจะส่งให้พวกเขาเพื่อยืนยัน)
จุ๊ยจบเพลงด้วยเสียงไพเราะแล้วก็ ส่งแซกโซโฟนคืนให้
เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองหน้าเขาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“พี่ชื่อนทีธารรึเปล่าครับ” เขาถาม
จุ๊ยพยักหน้า
“รู้จักกันด้วยเหรอ” จุ๊ยถามงงๆ
“จริงๆด้วย ผมว่าแล้ว” เด็กหนุ่มแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า
“พี่เป็นแรงบันดาลใจของผมเลยนะครับ”
 
“ตายๆ “ ฮ้อยที่โดนเสียงแซกโซโฟนดึงดูดมากล่าว
“ถ้าเล่นอย่างนี้ผมเอามันไม่อยู่แน่ๆ ยังดีเวลาเล่นเป็นวงมันจะไม่ปล่อยออกมาขนาดนี้“
เสียงฮ้อยเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจ
“อย่าคิดมากน่า” ปติมาจับน้ำเสียงนั้นได้  เขาวางมือบนไหล่ของรุ่นน้องอย่างแผ่วเบาแล้วยิ้มจางๆเป็นกำลังใจ
“จุ๊ย เขาเก่งแต่ไหนแต่ไร  ตอนที่เข้าม.หนึ่ง ได้ยินเขาเล่นครั้งแรก พี่เคยคิดว่าไตรเล่นได้ดีมากแล้ว  จุ๊ยยังเล่นดีกว่าอีก ทั้งที่อายุน้อยกว่า”
ฮ้อยถอนหายใจ
“พ่อถึงว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนานี่แข่งไม่ได้ แข่งพรสวรรค์ก็คงไม่ได้เหมือนกัน”
 
จุ๊ยให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มอีกสองสามอย่างเรื่องการกดคีย์  และการระบายลม  จากนั้นก็บอกลาก่อนจะเดินมาหาอาราอิ 
ปรากฏว่าเห็นอาราอิยืนคุยกับฮ้อยอยู่  แล้วก็มีหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆยืนอยู่ข้างๆเขา
“แฟนไอ้ฮ้อยเหรอ... เอ.. หรือว่าไม่ใช่... นั้นมันพี่ปัตินี่หน่า”
“อ้าวจุ๊ย” ปติมาหันมาเพราะจุ๊ยบอกสวัสดี  เธอรับไหว้
“โอ้โห โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเหมือนกันนะเรา ตัวสูงกว่าเดิมตั้งเยอะ”
“พี่ไม่ได้เห็นผมตั้งกี่ปีแล้วครับ  ผมก็ต้องโตขึ้นเป็นธรรมดา  ไม่ได้เด็กดองในห้องวิทย์นี่พี่จะได้ตัวเท่าเดิม” จุ๊ยตอบบนรอยยิ้มทะเล้น
“ปากนะ ปาก... เหมือนเดิมเปี๊ยบ” ปติมาหัวเราะ
“แล้วนี่สองคนมาด้วยกันได้ไง” จุ๊ยถามแล้วมองหน้าฮ้อย
ฮ้อยทำหน้าเหรอหรา
“ทำไมกูกับพี่เขาอยู่คอนโดเดียวกัน  ทำไมจะมาด้วยกันไม่ได้”
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“ไอ้อ๊อดนอนห้องเดียวกับมึงพาทำไมไม่มาด้วย  แล้วคนทั้งคอนโดมีเป็นพัน มึงไม่ชวนเขามาด้วยเล่า  พาพี่เขามาเดทก็บอกมาเหอะ”
“ไอ้เลว” ฮ้อยหน้าแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ชกไหล่จุ๊ยดังอึก แล้วหันหน้าหนีซ่อนความอาย
ปติมาก็เขินจนหันไปทางอื่นเหมือนกัน
อาราอิหันมาสบตาจุ๊ยอย่างรู้ใจกัน
 
ไม่ห่างไปโดยสินธุไม่รู้ตัวมีสายตาหนึ่งลอบมองมาอย่างไม่เป็นมิตร  ตั้งแต่เห็นสินธุตอนที่เดินออกมาจากลานจอดรถเข้ามาภายในห้าง
 
เขาเป็นอดีตช่างเครื่องเสียงที่ถูกสินธุไล่ออก  เขาพึ่งจะเผชิญความทุกข์อย่างแสนสาหัจ  สามวันก่อนภรรยาที่ท้องแก่  ต้องเสียชีวิตไปเพราะการคลอดอย่างตามีตามเกิดในคลีนิกหมอเถื่อน  เขาเสียทั้งลูกและเมียไปพร้อมๆกัน
 
วันนี้แม้จะยังโศกเศร้าแต่เขาก็ต้องออกมาทำงานใหม่ที่เป็นพนักงานส่งเอกสาร และก็พอดีต้องมาที่ห้างนี้เพื่อส่งเอกสารให้ลูกค้า
 
เขารู้จักอัศวะดี  อัศวะเป็นคนหนึ่งที่มีน้ำใจแก่เขา และมักจะถามถึงอาการของภรรยาของเขาที่เคยเป็นพนักงานทำความสะอาดในบริษัทของ สินธุ 
 
พอเห็นสินธุดุด่าอัศวะ ความโกรธก็ทบทวี
 
“อายเขานักก็อย่าอยู่เลยโลกนี้  ตายไปเถอะจะได้หายอาย”
 
 
 
อีกด้านปติมาโกรธจนมือสั่น
 
แต่ก่อนเธอจะได้โต้ตอบ
 
“ไอ้ธุมึงดูถูกลูกกูเหรอวะ” เสียงพร้อมกับตัวที่เดินเข้ามา
 
ก้อนทองยืนกอดอกข้างลูกชาย
 
“ไอ้เด็กนี่มันลูกชายกู  มันไม่ได้เป็นเด็กบาร์ไหน  มันเป็นเพื่อนลูกชายเอ็งด้วยซ้ำไป  หัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะมึง”
 
สินธุประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเพื่อนเก่า  แต่เขายังไม่อยู่ในอารมณ์จะดีด้วย  ความที่เป็นคนที่ไม่ชอบถูกขัดใจจึงตอบโต้ไปด้วยโทสะ
 
“อ้อลูกมึง... มึงต่างหากเลี้ยงลูกยังไง  ปล่อยให้มันมาติดกระเทย  เสียชาติเกิดแท้ๆ “
 
ปติมาจะตอบแต่ฮ้อยดึงมือไว้
 
“ไอ้ธุ  นี่กูนึกว่าตอนที่ไอ้มิตร  อีตุ๊ดที่มึงเคยดูถูกมึงเอาไว้ เอาชีวิตตัวเองไปแลกให้มึงในวันนั้น  มึงจะมีโลกกว้างขึ้น  แต่มึงเนี่ยยังเหมือนเดิมไม่ผิด  ไม่อายใจหรือไงวะ  เกลียดตุ๊ด แต่ชีวิตมึงเนี่ย  ตุ๊ดอย่างมิตรช่วยเอาไว้” ก้อนทองโต้ออกไปด้วยการขุดความหลัง
 
สินธุสะอึก
 
“หรือว่ามึงอัลไซเมอร์ มากูจะลำดับความให้  มึงไปเที่ยวเขื่อนกับพวกกู  แล้วมึงตกแพ  มิตร อีตุ๊ดที่ชอบมึง ทั้งที่มึงด่ามึงเตะมันตลอด แต่มันกระโดดลงไปช่วยมึงก่อนใคร  คว้าตัวมึงได้ก่อนจมหายไป  พวกกูถึงได้ตามไปเอาตัวมึงมาได้  แต่มิตร...อีตุ๊ดที่มึงเกลียดหมดแรง เป็นตะคริวจมหายไปแทน  มึงบอกกูสิว่ามึงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” ก้อนทองเค้นเสียงถาม
 
สินธุกัดฟันจนเป็นสันนูน
 
“ไอ้ก้อนมึงอย่ามาเสือก เรื่องมิตรก็เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ก็อีกเรื่อง"
 
“อีกเรื่องอะไร เรื่องเดียวกัน  ลูกมึงสองคนเป็นเกย์ไป  ก็อาจเพราะบาปที่มึงไม่เคยสำนึกบุญคุณคนที่ช่วยชีวิตมึงก็ได้นะ  กูแนะนำอะไรให้อย่างไอ้ธุมึงวางทิฐิซะบ้าง  แล้วโลกจะมีความสุข  ไอ้ห่านี่มึงจะมองโลกในมุมมึงอย่างเดียวแล้วก็เกลียดตุ๊ด เกลียดคนไปทั่ว  มึงนี่ไม่บ้าก็เพี้ยนแล้ววะกูว่า” ก้อนทองกอดอก
 
สินธุมือสั่นตอนที่ชี้หน้าก้อนทอง
 
“ฝากไว้ก่อนนะไอ้ก้อน  อัสกลับบ้าน  ไปคุยกันที่บ้าน”
 
อัศวะมองหน้าเดฟ  แล้วกำลังจะเดินไปตามบิตาไป
 
แต่ตอนนั้นนั่นเองเขาก็เห็นคนหน้าตาคุ้นเดินปรี่เข้ามา  มือถือมีดเล่มหนึ่งอย่างเปิดเผย
 
“ไอ้ชั่ว” หนุ่มร่างสูงแต่ผอมตะโกนแล้ววิ่งเข้ามา
 
สินธุตกใจผงะถอย  แต่ไม่อาจหลบหนีได้ทัน
 
คมมีดชำแรกเนื้อผ่านเข้าไปในช่องท้อง  แต่ไม่ใช่ของสินธุ   ร่างของอัศวะทรุดลง 
 
เดฟตกใจทว่าก็ถลันเขารับร่างนั้นไว้ได้
 
เขารีบถอดเสื้อตัวเองออกแล้วหุ้มรอบบาดแผลไว้โดยไม่ได้ดีงมีดออก
 
“อัส อัส” เขาเรียกไปด้วยตอนที่พยายามห้ามเลือด
 
ก้อนทองได้สติก่อนใคร รีบเข้ามาสมทบ
 
“เรียกรถพยาบาลสิ  ยืนงงอะไรอยู่ไอ้ฮ้อย”
 
 
 
บัวแก้วร้องห่มร้องไห้มาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลพอเห็นหน้าลูกคนโตก็ผวาเขากอด
 
“เป็นยังไงบ้าง อัสเป็นยังไงบ้าง”
 
ปติมากอดปลอบโยนมารดา
 
“หมอกำลังช่วยอยู่ค่ะ แม่ใจเย็นนะคะ”
 
แล้วเขาก็หันไปหาสินธุที่ก่อนหน้านั่งก้มหน้าอยู่ เงยมามองภรรยา
 
บัวแก้วเหมือนจะรู้จึง ผละจากลูกคนโต
 
“ถ้า ลูกฉันเป็นอะไร ฉันจะเล่นงานคุณ  คุณมันใจร้าย  เห็นไหมลูกมันรักคุณแค่ไหน  คุณน่ะคิดแต่ตัวเอง  ไม่เคยคิดถึงลูก  พอกันทีฉันจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายลูกอีกแล้ว คอยดู  ถ้าลูกเป็นอะไร ฉันจะหย่ากับคุณ”
 
ฮ้อยหันมองหน้ากันกับพ่อ 
 
ก้อนทองเลยออกหน้า
 
“ใจเย็นน่าคุณนาย  อย่าพึ่งใจร้อน  หมอกำลังพยายามช่วยอยู่”
 
บัวแก้วสงบลงนิดหนึ่ง  เพราะจำก้อนทองได้
 
เห็นมีเลือดอยู่ที่เสื้อผ้าของก้อนทองด้วยก็เดาได้ว่าก้อนทองคงเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยปฐมพยาบาลลูก
 
เดฟนี่นั่งทรุดพิงเสาอยู่กับพื้นโดยสวมเสื้อของคอกลมสีขาวที่นางพยาบาลเอามาให้มองไปแล้วก็ก้มหน้ากลับมองพื้นหน้าสลดเหมือนเดิม
 
แต่ประเดี่ยวห้องก็เปิดออก เดฟอยู่ใกล้ที่สุดจึงถึงตัวหมอก่อน
 
“หมอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
 
ตอนนี้ทุกคนกรูกันเข้ามามุง 
 
หมอมองไปรอบๆ
 
“ตอนนี้หมอช่วยไว้ได้ แต่ต้องดูด้วยว่าจะติดเชื้อไหม เพราะโดนอวัยวะสำคัญ”
 
 
 
จุ๊ยพึ่งจะเสร็จจากงานใหญ่เดินออกมาจากอาคารที่จัดงานมาก็เห็นอาราอิยืนรอเขาอยู่
 
“เป็นไงบ้าง” อาราอิถาม
 
“ก็ดีมั๊ง คนดูก็ปรบมือกันนี่” จุ๊ยตอบ  พอส่งกล่องแซกโซโฟนให้อาราอิแล้วก็เอามือเย็นๆจับที่แขนเขา
 
“ดูสิมือยังเย็นอยู่เลย  ตอนทอดพระเนตรมา หัวใจไปอยู่ตาตุ่มเลยหล่ะ”
 
ปกรณ์ทีเดินตามออกมาได้ยิน
 
“แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของเธอนั้นล่ะ  ทรงมีรับสั่งชมเชยด้วยไม่ใช่เหรอ นี่ก็ทรงให้เลยเอาเงินพิเศษมาฝากให้ด้วยนะ”
 
แล้วก็ส่งซองสีขาวให้
 
จุ๊ยหันไปยกมือไหว้เข้าไปในงานที่ยังดำเนินต่อไป
 
 
 
พออาราอิขับรถออกมา  และฟังเรื่องของจุ๊ยจบแล้ว
 
เขาจึงเริ่มต้นเรื่องสำคัญ
 
“เดี่ยวเราไปโรงพยาบาลกัน  อัสเขาถูกแทง”
 
จุ๊ยตกใจ
 
“เฮ้ย ทำไมหล่ะ  โดนแทงได้ไง แล้วเป็นไงบ้าง”
 
อาราอิไม่ได้หันมา แต่ตอบ
 
“ก็ เท่าที่ฟังจากฮ้อยเห็นว่าคนแทงเขาจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสเข้าไปรับมีดแทน  ก็เลยเจ็บ  ตอนนี้ยังโคม่าอยู่เลย เห็นว่าเสียเลือดมากแล้วก็โดนจุดสำคัญ”
 
 
 
อัศวะที่มีสายระโยงรยางค์นอนสลบในภาวะวิกฤติ  จุ๊ยอดไม่ได้ที่จะใจหายตอนที่ได้เห็นหน้าเพื่อน
 
“หมอบอกว่า โดนตับ กับกระเพาะอาหาร เลือดตกใน” ปติมาอธิบายอาการของน้องชาย
 
“รถ มันติดกว่าจะถึงโรงพยาบาลก็เสียเลือดไปมาก  แต่ยังดีที่มาทัน  ก็เลยกู้อาการได้ทัน ตอนนี้ก็ต้องดูอาการก่อน ถ้าผ่านคืนนี้ได้ก็ปลอดภัย”
 
จุ๊ยถอนหายใจเฮือก
 
หันไปมองเดฟที่นั่งเงียบแต่ตามมองที่หน้าของอัศวะตลอด
 
“นี่ก็ไม่ยอมกินอะไรเลย  แต่ยังดียอมกินน้ำบ้าง แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ” ปติมาบอก
 
อาราอิจึงเดินไปที่ส่วนของชุดพักพ่อน  แล้วนั่งลงข้างๆ  เอามือจับที่บ่าของเดฟเพื่อปลอบโยน
 
“เมื่อกี้ก็มีนักข่าวมา  เพราะนายอัสก็ดังพอสมควร พรุ่งนี้คงขึ้นหน้าหนึ่งแน่ๆ” ปติมาถอนหายใจบ้าง
 
 
 
เพราะโดนจุ๊ยกล่อมแกมบังคับ  เดฟก็ยอมตามออกมาที่ห้องอาหารเพื่อกินข้าวเย็น
 
ตอนที่เดฟกินเขากินอย่างซังกะตาย  จนอาราอิกับจุ๊ยต้องมองหน้ากัน
 
“เฮ้ยมึงอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิวะ  หมอก็บอกแล้วไงว่ามีโอกาสสูงมากๆ” จุ๊ยกล่าวแล้วจับที่แขนของเดฟ
 
เดฟมองหน้าจุ๊ยแล้วถอนหายใจออกมา
 
“ผมยอมแพ้จริงๆแล้ว  พูดไปผมก็มีส่วนรึเปล่า ที่ทำให้ครอบครัวเขาทะเลาะกัน”
 
อาราอิก็เอามือจับหัวไล่ของเดฟ
 
“แต่คราวนี้ไม่เกี่ยวกับนายนี่  คนแทงเขาตั้งใจจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสมันมารับแทนพ่อ  มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”
 
 
 
เดฟเดินกลับมาที่ส่วนไอซียู พยาบาลก็บอกว่ามีคนเอากระเป๋ามาฝากไว้ คงเป็นคนรับใช้ที่บ้านซึ่งเดฟโทรศัพท์ไปบอกให้เอาเสื้อผ้ากับของใช้มาส่งให้
 
แต่พอเข้าไปภายในห้อง ปรากฏว่าพบกับสินธุที่นั่งคุยอยู่กับปติมา
 
“นายเดฟ  ฉันขอคุยด้วยสักหน่อย” สินธุกล่าวแล้วลุกขึ้น
 
 
 
เดฟตามสินธุออกมาที่ส่วนพักพ่อนของโรงพยาบาล
 
“ขอบใจมากที่ช่วยปฐมพยาบาล  เพราะถ้าไม่มีใครมีสติตอนนั้น คงแย่” สินธุกล่าว
 
“แต่ยังไง ฉันก็ต้องบอกตามตรงว่าฉันยังทำใจเรื่องของเธอกับอัสไม่ได้”
 
เดฟถอนหายใจเบาก่อนจะตอบ
 
“ไม่ต้องห่วงครับ  ผมจะไปจากเขามันทีที่เขาพ้นขีดอันตราย  แล้วคุณลุงจะไม่ได้เห็นผมอีก”
 
สินธุเงียบไป
 
“แล้วอัสจะยอมเหรอ  ถ้าเธอทำอย่างนั้น เกิดนายอัสไม่ยอมขึ้นมา ทำอะไรโง่ๆ ฉันไม่ต้องเสียลูกไปตลอดกาลเหรอ” สินธุกล่าวออกมา
 
“ฉันยังไม่ได้ยอมรับพวกเธอ  แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ก็เพราะเพศเดียวกับพวกเธอกระโดดน้ำลงไปช่วยเอาไว้  จนเขาตายไปเสียเอง  แล้ววันนี้นายอัสก็ยังมาช่วยฉันไว้ทั้งที่ฉันขัดขวางเธอกับเขาซะขนาดนั้น  ฉันคงไม่สามารถอ้างความชอบธรรมอะไรมาบังคับลูกไปตามใจตัวเองได้อีก”
 
เขาสูดลมหายใจก่อนจะกล่าวต่อไปโดยมีความงุนงงจากแววตาของเดฟจับอยู่
 
“เธอ กับอัสจะคบกันหรือเลิกกัน  ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีก  แต่อย่าหวังว่าฉันจะยอมจนถึงขั้นแต่งการแต่งงาน เอกเริก  ฉันยอมไม่ได้หรอกนะแบบนั้น  ถ้าพวกเธอจะทำอย่างนั้น ฉันจะค้านจนตายกันไปข้างเลย  คอยดูสิ”
 
แล้วก็เงียบไปนาน  ก่อนเขามองหน้าเดฟอีกครั้งแล้วกล่าวออกมา
 
“ไปสิ.. จะนอนเฝ้าไข้ไม่ใช่เหรอ  ฉันมีเรื่องจะคุยกับปัติอีกเยอะ  ไปเปลี่ยนกับเขา เขาจะได้กลับบ้าน”
 
เดฟยังงง เขาก็เลยยกมือไหว้สินธุก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น โดยยังไม่สามารถประติดประต่ออะไรได้  แต่ก็รู้ว่าสินธุจะไม่ขัดขวางเขากับอัศวะอีก...  แต่ตอนนี้เดฟสับสนจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่
 
สินธุถอนหายใจยาวแล้วก็เดินออกไปบ้าง
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา