The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  51.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

33) ไตร.. เงาของอดีต อาราอิ.. ตัวตนแห่งปัจจุบัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      

ไม่ใช่สองเพลงแต่เป็นสี่  ดังนั้นพอลงจากเวทีก็รู้สึกว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะต้องเล่นติดต่อกันนานมาก  มองไปอีกทีก็เห็นรุ่นพี่ทุกคนอยู่ในอาการที่เหนื่อยกว่าเขาเสียอีก

แต่เสียงวุ่นวายจากส่วนที่เต้นผ้าฝาทึบขนาดใหญ่ใช้สำหรับเป็นห้องแต่งตัวของดารา  ก็เรียกความสนใจจากพวกเขาทั้งหมด

 

อาราอิแม้จะร้างราจากคาราเต้มาแรมปี  แต่เขาก็ยังมีทักษะ ดังนั้นแม้มีร่างกายกำยำแค่ไหน เทียนก็โดนเล่นงานจนลงไปนอน  อาราอิก้าวเข้าไปจะซ้ำให้หน่ำใจ  แม้นมารดาจะวิ่งเข้ามาร้องห้าม เขาก็ไม่สนใจ

อาราอิกระชากคอเสื้อแล้วกระแทกหมัดลงไป  และกำลังจะกระแทกซ้ำ

“พอแล้ว อาราอิ อย่า” เสียงที่คุ้นหูและสัมผัสที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นจากด้านหลัง

แม้จะใช้แรงไม่มาก  จุ๊ยก็สามารถลากตัวอาราอิที่กำลังชะงักไปเฉยๆออกมาได้

“นายทำบ้าอะไร  บ้าไปแล้วหรือไงจะฆ่ากันเลยเหรอ” จุ๊ยตำหนิ

“มันจะมากไปแล้วนะอาราอิ  ป่าเถือนเกินไปแล้วนะ” สไบทองเอ็ดตะโรตอนที่เข้าประคองให้เทียนลุกขึ้น

อาราอิหันมามองก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

จุ๊ยมองหน้าสไบทองทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามออกไป

 

เพราะความโมโหทำให้อาราอิออกมาโดยไม่ได้เอากุญแจรถออกมาด้วย  มีแค่กระเป๋าสตางค์  พอจุ๊ยจะเข้าไปเอาให้  เขาก็ห้ามไว้  แล้วก็โบกแท็กซี่ที่วนเข้ามาส่งผู้โดยสาร ในสนามกีฬาที่เป็นพื้นที่จัดงาน

“ไปไหนครับ” คนขับถามตอนที่ทั้งอาราอิกับจุ๊ยเข้าไปภายในรถแล้ว

“แถวบ้านของนาย เรียกว่าอะไร” อาราอิหันมาถามจุ๊ย

“หือ...” จุ๊ยแปลกใจ

 

อาราอินั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้หนุนของชุดโต๊ะเขียนหนังสือในห้องของจุ๊ย ให้จุ๊ยเอากล่องยาสามัญมาทำแผลที่โดนหมัดสวนของเทียนที่หางคิ้ว

จุ๊ยไม่ต้องถามเรื่องราวทั้งหมดเลย  เขาคาดเดาได้เพราะรู้เรื่องดี

เมื่อ สี่ปีก่อนตอนเจอกันครั้งแรก แม้จะสื่อสารกันค่อยไม่รู้เรื่อง แต่จุ๊ยก็เข้าใจได้ว่า อาราอิขอให้เขาพาไปที่โรงแรมห้าดาวในพัทยา ที่อาราอิบอกว่ามารดาของอาราอิพักอยู่ในตอนนี้

ทั้งคู่ก็เลยลงรถที่พัทยา

ตอน นั้นพอไปถึงจุ๊ยก็สอบถามกับพนักงาน แต่พนักงานปฏิเสธจะให้ข้อมูล แม้อาราอิจะแสดงพาสปอร์ตให้ดู ก็เหมือนจะไร้ผล เพราะเขาใช้นามสกุลพ่อ ดูยังไงก็หาความเกี่ยวข้องกับดาราสาวใหญ่อย่างสไบทองไม่เจอ

ครั้งพอจะกลับออกมา กลับได้พบกับสไบทองกับเทียน เดินตัวติดกันกลับเข้ามาโรงแรม 

ตอนนั้นอาราอิปรี่เข้าไปสนทนากับสไบทองด้วยภาษาญี่ปุ่น  ซึ่งจุ๊ยจับความไม่ได้  แต่ก็เดาได้ว่าเป็นการโต้เถียงอย่างรุนแรง  แล้วเขาก็วิ่งออกมาจากโรงแรม 

จุ๊ยก็ตามมาไปจนเจอเขานั่งอยู่ริมทะเล แล้วร้องไห้

จุ๊ยตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจเล่นแซกโซโฟนให้ฟัง  อาราอิได้ฟังก็หยุดร้องไห้และนั่งมองเขาเล่นเพลงต่อเพลงจนกระทั้งอาราอิยิ้ม ออกมา

 

พอทำแผลให้เสร็จ  เขาก็เอากล่องแซกโซโฟนที่พี่ฐาเอาขึ้นแท็กซี่มาส่งให้มาตรวจสอบแล้วจะเก็บใส่ตู้

อาราอิก็รู้ว่าจุ๊ยรู้เรื่องราวดี  จึงไม่ได้พยายามเล่าอะไร  มองตามจุ๊ยจนกระทั้งเขาเดินไปเปิดตู้ออก

เขาก็มองเห็นหมวกแก็ปใบหนึ่ง

“โตเกียว โยมิอูริ ไจแอ้นท์” เขากล่าวแล้วเดินมา

“นายเป็นแฟนทีมไจแอ้นท์ด้วยเหรฮ”

จุ๊ยหันมามองหน้าอาราอิ  เห็นสีหน้าของเขาดีขึ้นมากแล้ว  เขามองหมวกก่อนจะหยิบมันออกมา

“เปล่า หรอก  เป็นของรุ่นพี่ของเราเอง  เขาชอบทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่น  เคยฝันว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่น  แต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที” จุ๊ยกล่าวแล้วส่งหมวกให้อาราอิ

อาราอิรับหมวกมาพลิกดู 

“แล้วนี่ได้มาจากไหน”

“ก็ได้จากญาติของพี่เขาที่ไปเรียนอยู่ที่นั้น  กลับมาแล้วซื้อมาเป็นของฝาก”  เขาว่าแล้วก็หยิบแซกโซโฟนโซบราโน่ออกมาด้วย

“สองอย่างนี้เป็นของพี่ไตร”

 

อาราอิมองหน้าของจุ๊ยที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

“เขาเสียชีวิตแล้วใช่ไหม”

จุ๊ยนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าช้า  ถือแซกโซโฟนเดินมานั้งลงบนเตียง

“เขาเป็นเพื่อน เป็นพี่  และเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดในโลกคนหนึ่งถ้าไม่นับแม่"

เพราะเตียงของจุ๊ยตั้งชิดผนัง  ดังนั้นเขาและอาราอิจึงขึ้นมานั่งพิงพนังเคียงกัน

“ก็เหมือนที่เล่าให้ฟัง  แม่อยากให้เราฉันเล่นดนตรีท่านก็เลยพาฉันไปฝึกกับอาจารย์ถนอมตั้งแต่ห้าขวบ  ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ถนอมมีลูกศิษย์อยู่แล้วสองคน  คนหนึ่งคือพี่ไตร”

จุ๊ยนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน  พี่ไตรเป็นเด็กชายอายุมากกว่าเขาสองปี  ผิวสองสีค่อนข้างเข้มและค่อนข้างเงียบขรึม  เกือบไม่พูดกับจุ๊ยเลยทั้งวัน  จนกระทั้งตอนเย็นเพราะทนความช่างพูดของจุ๊ยไม่ได้เลยหัวเราะออกมาตอนที่จุ๊ย ถามอะไรตลกๆกับอาจารย์ถนอม

“แล้วอีกคนหล่ะ” อาราอิถาม

“พี่ปลา เธอกับพี่ไตรบ้านใกล้กัน  และชอบคนตรีเหมือนกัน ก็เลยมาเรียนกับอาจารย์ถนอมด้วยกัน  ฉันต้องเจอพี่ไตรกับพี่ปลาทุกอาทิตย์ เราก็เลยเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ตอนหลังพี่ปลา พบตัวเองว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ดนตรีเธอก็เลยเลิกเรียนไป"

"แต่ก็ยังมาหาพวกเราที่ร้านบ่อยๆตอนเราเลิกเรียน  พี่ไตรกับพี่ปลา อายุมากกว่าฉันสองปี  พอพวกพี่เริ่มเข้าวัยรุ่น  ฉันก็เริ่มสังเกตุว่าพี่เขาเริ่มมองกันแปลกๆ  แต่ก็ยังให้เราไปไหนมาไหนด้วยตามปกติ ฉันมันก็เด็กเนอะประถมหกได้เองมั๊ง  แอบเห็นพี่เขาจูบกัน จับมือกัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร” จุ๊ยเล่า

“เขาเป็นแฟนกัน  แถมไม่ได้เป็นแฟนกันเฉยๆด้วยนะ  คือพี่ปลาเป็นเด็กกำพร้าที่ฝรั่งชาวเยอรมันเอามาเลี้ยง  พอสามีภรรยาชาวเยอรมันจะกลับประเทศ  เขาสองคนก็นัดไปเจอกันที่บ้านของพี่ไตรที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ เพราะแม่กับพ่อของพี่ไตรทำงานสายการบินทั้งคู่  ฉันตอนนั้นสิบสองขวบยังไม่ประสีประสาอะไร  ก็ยังต้องหน้าที่ดูต้นทางให้เขา ตอนที่...” จุ๊ยหน้าแดงขึ้นมา

“มีอะไรกัน” อาราอิกล่าวเอง

“อืม...” จุ๊ยพยักหน้า 

“แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ก็ยังเด็กนี่น่า”

เขาหัวเราะ

“ก็ซื่อเนอะ... นึกแล้วขำวะ”

อาราอิพลอยยิ้มไปกับรอยยิ้มของจุ๊ยด้วย

“พอสองคนจะจากกันเขายังให้ฉันเป็นพยาน สาบานรักเลยนะ” 

แล้วจุ๊ยก็หยิบหมวกมาพลิกดูอีกรอบ

“ต่อมาฉันก็เข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ไตร ก็คือโรงเรียนที่พวกเราเจอกันนั้นล่ะ   แถมฉันยังอยู่วงโยธวาทิตเหมือนกันด้วย  เราสองคนเลยยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่  เรียกว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”

จุ๊ยเล่า

“พี่ไตรชอบแซกเหมือนๆกับฉัน  พวกเราเล่นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน ซ้อมด้วยกัน  แล้วตอนนั้นพอดีมีวันหนึ่งเครื่องเสียงเสีย  ครูอติก็เลยให้เราสองคนไปเป่าแซกโซโฟนบรรเลงเพลงชาติ  แล้วก็กลายเป็นธรรมเนียมไปเลยว่าจะต้องเล่นเพลงขาติสดๆ”

“ฉันกับพี่ไตรตัวติดกัน แม้จะเรียนห่างกันสองชั้นปี  ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะฉันคิดว่าพี่ไตรก็มีแฟนอยู่แล้วคือพี่ปลา เพราะสองคนถึงอยู่กันคนละประเทศก็ยังโทรคุยกันตลอด  ส่งอีเมล ติดต่อกันไม่ได้ขาด  ฉันก็มองพี่ไตรเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง  เพราะพี่ไตรอายุน้อยว่าเฮียตี้” จุ๊ยยิ้มกับช่วงเวลาที่น่าจดจำ

“จนฉันโตขึ้นเรื่อยๆ  พี่ไตรก็เหมือนกัน  แล้วฉันก็เริ่มสังเกตอย่างหนึ่ง  คือสายตาของพี่ไตรมองฉันลึกซึ้งมากขึ้นทุกที  จนแทบจะเหมือนกับเวลาพี่เขามองพี่ปลา จนกระทั้งราวๆปลายม.สอง  มีใครคนหนึ่งมาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป  นั้นคือไอ้เดฟ”

จุ๊ยก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อพูดชื่อนี่  และยังก็นึกถึงหน้าอัศวะตอนที่แสดงความเป็นเจ้าของเดฟ

“อยู่ดีๆมันก็ยอมรับว่าเป็นเกย์  แล้วไม่นานหลังจากนั้นมันก็บอกรักฉันต่อหน้าเพื่อนวงโย  ตอนแรกก็นึกว่ามันพูดเล่น  แต่มันกลับบอกว่าจริงจัง  แล้วพอขึ้นม.สาม มันก็ยิ่งรุกเข้าหาฉัน  ตอนนั้นพี่ไตรเริ่มมองมันอย่างไม่เป็นมิตร  แต่ไอ้เดฟมันเป็นประเภทไม่กลัวใครแต่ไหนแต่ไร  ก็ชนกับพี่ไตรตลอด ขนาดเกือบจะต่อยกันในโรงอาหาร ไอ้เดฟน่ะ สมัยก่อนมันเป็นทั้งนักบาสของโรงเรียน แล้วก็เป็นดรัมเมเยอร์ของวงด้วย  ก็เลยตัวโตพอๆกับพี่ไตร เกือบจะต่อยกันหลายครั้งในโรงอาหาร" 

"แต่ฉันก็นึกว่าพี่ไตรแค่อยากจะปกป้องฉัน เพราะไอ้เดฟเวลามันเข้าหาฉันทีไรก็กลายเป็นลวนลามทุกครั้งไป”

จุ๊ยถอนหายใจ  แล้วอยู่เขาลุกขึ้นนั่งตรง

“พอเถอะอาราอิ  ถ้าเราเล่าต่อนายอาจ...” แล้วเขาก็ทำท่าจะลุกไปจากเตียง

ทว่าอาราอิกลับรั้งเขาไว้ 

“เล่าสิฉันอยากฟังต่อ”

จุ๊ยหันไปมองหน้า  แว่บหนึ่งเขาคล้ายจะเห็นเงาของพี่ไตรซ้อนเข้ามา

“ตอน นั้นฉันสองคนเป็นตัวหลักในการแสดงประกวดของวง  ฉันกับพี่ไตรเลยต้องซัอมหนักว่าใคร  จนมีอยู่วันหนึ่ง  ก็ซ้อมกันจนค่ำ  เลยเหลือแค่เราสองคน  แล้วระหว่างพักพี่ไตรก็พูดเรื่องเดฟขึ้นมา”

 

“พี่ไม่ชอบให้จุ๊ย ยุ่งกับเดฟเลย”  พี่ไตรกล่าวแล้วก็ยกขวดน้ำดื่มจากปากขวด

“เดฟมันไม่ได้ล้อเล่นนะจุ๊ย มันเอาจริง จุ๊ยก็ยังไปอยู่เป็นเพื่อนมันซ้อมโยนคฑากับมันทุกวันเสาร์อาทิตย์  ถ้าพี่ไม่ติดต้องกลับบ้านเร็ววันอาทิตย์  พี่จะอยู่ด้วย  เกิดมันปล้ำจุ๊ยขึ้นมาทำไง”

จุ๊ยหัวเราะเสียงใส

“ก็ลองดู  ผมก็เอาคฑายัดตูดมันแม่งเลย อยากเงี่ยนดีนัก” จุ๊ยตอบพลางขยับหมุนเมาท์พีชให้เข้าที่

“พี่ไตรไม่ต้องกลัว ถึงมันจะตัวใหญ่กว่า  ผมก็สู้มันไหวน่า  รับรองผมปกป้องตูดตัวเองได้แน่นอน”

ไตรส่ายหัวกับอาการตบตูดประกอบของจุ๊ย

แล้วทั้งสองคนก็เงียบกันอยู่พักหนึ่ง

“จุ๊ย”

“หือ” จุ๊ยขานแล้วหันหน้ามา

ตกใจนิดหน่อยที่หน้าของพี่ไตรเข้ามาใกล้จนชิด

“ขอพี่จูบจุ๊ยได้ไหม”  ไตรถาม

แต่ไม่ได้รอคำตอบ  เขาประกบปากกับจุ๊ย

 

“ตอนนั้นฉันทั้งงง ทั้งตกใจ ที่อยู่ดีๆพี่เขาก็จูบฉันแบบนั้น” จุ๊ยที่เอาแซกโซบราโน่มาถือไว้ เขาลูบเบาตรงเม้าท์พิช

“แล้วจุ๊ยทำยังไงหล่ะ” อาราอิถาม

“ลองทายดูสิ  ว่าคนอย่างฉันทำยังไง” จุ๊ยยิ้มท้าทาย

“ก็...  จากบุคลิก  ฉันว่าจุ๊ยต้องต่อยสวนไปแน่นอน  หรือไม่ก็ผลักล้มไปเลย” อาราอิตอบ

จุ๊ยหัวเราะ

“พี่ไตรตัวสูงกว่าฉันตั้งเยอะ  ฉันจะเอาแรงที่ไหนมาต่อยพี่เขา”

 

“ฉัน..” จุ๊ยลากเสียง

 

นั่นทำให้เกิดช่วงเวลาที่นานในความรู้สึกของอาราอิ

 

“ฉันจูบตอบเขาไปเฉยเลย”จุ๊ยเฉลยออกมา

 

แล้วก็เงียบไปทั้งคู่  ก่อนจุ๊ยจะขยับตัวก่อน

 

เขาหันมองหน้าอาราอิ  หาร่องรอยความแปลกใจ หลากใจ และแม้แต่ความรังเกียจ  แต่กลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย 

 

“อืมเหรอ” อาราอิกล่าวออกมาหลังความเงียบ แล้วถาม

 

“ทำไมล่ะ”

 

จุ๊ยนิ่งไปกับคำถาม เขามองเพดานก่อนจะตอบ

 

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม  แต่ฉันก็จูบตอบพี่ไตรไป ไม่รู้เพราะอะไร" เขาตอบ แล้วหันมองหน้าอาราอิ

 

ตอนนี้อาราอิมองหน้าเขาอย่างจริงจัง จุ๊ยจึงเล่าต่อ

 

"จนมีเสียงเหมือนคนอยู่นอกห้องซ้อม  ก็เลยผละออกจากกัน  แต่พอเก็บของจะกลับบ้าน  จู่ๆพี่ไตรก็ชวน”

 

 

 

“จุ๊ยไปค้างบ้านพี่ไหม” ไตรกล่าวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

 

จุ๊ยหันมา  ตอนนี้เรือนร่างที่สูงกว่าเขาเกือบสองฝ่ามือยืนต่อหน้าเขา

 

“เฮ้ยพี่  เดี่ยวจุ๊ยต้องกลับบ้าน  มีการบ้านด้วย”

 

“ก็ให้พี่สอนไง” ไตรบอกแล้วขยับมาจับมือจุ๊ย

 

“ไปค้างบ้านพี่นะ เดี๋ยวพี่ทำการบ้านให้แทนเลยก็ยังได้”

 

“แล้วแม่พี่ไตรไม่ว่าเหรอ อยู่ดีๆจุ๊ยก็ไปค้าง” จุ๊ยมองตารุ่นพี่  ตอนนี้แววตาของไตรมองอย่างลึกซึ้ง

 

“ไม่หรอก  แม่พี่รักจุ๊ยมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ  ท่านเคยบอกบ่อยว่าให้พาจุ๊ยมานอนที่บ้านจะได้เป็นเพื่อนฉันด้วย”

 

จุ๊ยมองหน้าไตรอยู่ครู่ก่อนจะถอนหายใจ

 

“เอาเถอะไหนๆพรุ่งนี้ก็จะไปซื้อReed ใหม่กับพี่อยู่แล้วนี่  จะได้ออกจากบ้านพร้อมๆกัน  แต่พี่ไตรต้องขี่รถไปส่งจุ๊ยที่บ้านด้วยนะ”

 

ไตรยิ้มอย่างยินดี  กอดคอจุ๊ยพาเดินไปปิดไฟและลงกลอนประตูห้องดนตรี

 

 

 

จุ๊ยเคยมานอนที่บ้านพี่ไตรหลายครั้งแล้ว  โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปแข่งวงโยธวาทิตที่ต่างจังหวัด เพราะแม่พี่ไตรมีรถ ท่านสามารถขับพาไตรกับจุ๊ยไปส่งที่โรงเรียนได้ในตอนเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลานัดหมายขึ้นรถ

 

ดังนั้นเมื่อจุ๊ยอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขาก็มาหาหนังสือการ์ตูนอ่านจากตู้เก็บของพี่ไตรที่ใหญ่กว่าตู้เสื้อผ้าของจุ๊ยเสียอีก

 

แต่ระหว่างเลือกการ์ตูนอยุ่นั้น  เขาสังเกตเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในของชั้นหนังสือ  พอดึงออกมาดู  จังได้รู้ว่าเป็นดีวีดี ที่เขียนว่า

 

Coat West Japan บ้าง  Ko Eros บ้างเขาสงสัยก็เลยดึงออกมาดู  แต่พอได้ยินเสียงเหมือนคนขึ้นบันไดมาก็เลยยัดมันกลับไปที่เดิม  แล้วเอาหนังสือการ์ตูนออกมาอ่านแทน

 

“จุ๊ยนี่ผ้าห่มของหนูนะ” น้าเก๋แม่ของพี่ไตรกล่าวเมื่อเปิดประตูเข้ามา จุ๊ยก็รีบวิ่งไปรับเอาผ้าห่มมาโดยไม่ลืมจะไหว้ขอบคุณ

 

“แล้วก็อย่านอนกันดึกนะ วันนี้น้ามีตารางทำงานตอนดึก น้าทัดก็ไปอังกฤษ  อยู่กันสองคนอย่าซนนะ ถ้าออกไปซื้อขนมก็อย่าให้ดึกมาก ล๊อกบ้านให้ดีด้วย ”

 

น้าเก๋สั่งเหมือนกับจุ๊ยเป็นลูกอีกคน

 

”ครับ” แล้วเขาก็ยกมือไหว้อีกที

 

พอน้าเก๋ไปแล้วจุ๊ยก็มาอ่านหนังสือการ์ตูนต่อไป  จนกระทั้งพี่ไตรอาบน้ำเสร็จกลับมา พร้อมกลิ่นสบู่หอมฉุย

 

“แม่ไปแล้วเหรอจุ๊ย”

 

“อืมไปแล้วล่ะ” จุ๊ยตอบ

 

แล้วก็พลิกหน้าอ่านต่อไป

 

พี่ไตรทำอะไรอยู่หน้ากระจกสักครู่  แล้วก็เดินมานั่งข้างจุ๊ย

 

จุ๊ยเหลือบมองเห็นเขาไม่ได้สวมเสื้อใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว

 

“อ่านอะไรอยู่” ไตรถาม

 

“ก็เรื่อง” แล้วจุ๊ยก็ตอบชื่อการ์ตูนออกไป

 

แล้วไตรก็ขยับมากอดจุ๊ยหลวมๆจากด้านหลัง  เขาดมที่ข้างๆกกหูจุ๊ย

 

“จุ๊ยนี่กลิ่นหอมจัง”

 

จุ๊ยหัวเราะ

 

“พี่พูดเหมือนไอ้เดฟเลย”

 

แล้วก่อนจุ๊ยจะตั้งตัวไตรก็รวบร่างของจุ๊ยแน่น  แล้วซุกไซร้ลงบนคอของจุ๊ย  ร่างของจุ๊ยก็ระทวยลงในอ้อมกอดของเขา

 

ไตรกระซิบของหูจุ๊ย

 

“พี่รักจุ๊ยนะ  รักมากเลย  พี่ไม่เคยรู้สึกกับใครมากอย่างนี้มาก่อนเลยจุ๊ย”

 

มือที่กอดเขาไว้ค่อยเลือนมาเป้ากางเกง  แล้วก็สอดมือเข้าไปในกางเกง

 

จุ๊ยต้องหลับตาลงเพราะความรู้สึกที่ทวีขึ้นฉับพลันเพราะการสัมผัสนั้น

 

“พี่รักจุ๊ย”  เขากระซิบอีกครั้งแล้วก็พลิกจุ๊ยให้หันนอนหงายลง  จูบที่ริมผีปากก่อนจะไล้โลมต่ำลงเรื่อยๆ

 

จุ๊ยสะท้านไปหมดด้วยสัมผัสนั้น  เสียงหายใจของจุ๊ยหอบถี่แต่ประสานเข้ากับเสียงหายใจของไตรอย่างลงตัว

 

บท เพลงคราสซิค อันคุ้นเคยดังในหู  จุ๊ยปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้างคามาตั้งแต่ตอนจูบกันในโรงเรียนไปในการบรรเลงบท เพลงอันนุ่มนวลทว่าเต็มไปด้วยความต้องการของไตร

 

“พี่ไตร...” เขาเรียกชื่อนั้นออกมา

 

“แปลว่านายกับเขาก็ไม่ใช่แค่พี่น้อง” อาราอิถามตรงๆ

 

จุ๊ยก็พยักหน้าช้าๆ

 

“เราคบกันอย่างนั้น  ประมาณเกือบครึ่งปี  เรื่องของเราเริ่มมีคนรู้  แล้วในวงก็เริ่มระแคะระคาย ฉันก็เริ่มกดดันเพราะถูกคนรอบตัวตั้งคำถาม  แถมมียังพี่ไตรยังมาบอกอีกว่าพี่ปลากำลังจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยในช่วงฤดู ร้อนของที่นั้น  ตอนที่พี่เขาบอกฉัน ตอนนั้นเราไปแข่งวงโยที่บุรีรัมภ์ ฉันก็เลยตัดสินใจ บอกเลิกกับพี่ไตร"

 

 

 

ไตรนั่งอยู่ปลายเตียงมองหน้าจุ๊ยที่ยืนอยุ่ตรงหน้า  แวดตาบอกได้ว่าทั้งตกใจและเจ็บปวด

 

“หมายความว่ายังไง พอแล้ว...” ไตรถาม

 

“จุ๊ยกำลังจะบอกเลิกกับพี่ใช่ไหม”

 

จุ๊ยที่แม้จะตั้งใจมาแน่วแน่แล้ว  แต่กลับใจอ่อนลงเพราะอาการของพี่ไตร “พี่ไตร  ผมรู้สึกดีกับเรื่องของเรา  ผมมีความสุขกับมัน  แต่ปัญหาคือ... พี่ไตร  เราต่างคนต่างเป็นผู้ชาย  มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบหากันไปตลอดแบบนี้  พี่ปลาก็กำลังจะกลับมา  ผมไม่อยากให้พี่ไตรมีปัญหากับพี่ปลา”

 

“มันเป็นปัญหาของพี่ จุ๊ย  ไม่ใช่ปัญหาของจุ๊ย  พี่จะเคลียร์กับพี่ปลาเอง  จุ๊ยไม่ต้องห่วง” ไตรจับแขนจุ๊ย

 

“จุ๊ยไม่เข้าใจหรือไง  ว่าพี่รักจุ๊ย  พี่รักจุ๊ยมาก  ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของพี่กับปลาเป็นเพราะพี่ยังไม่รู้ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วพี่รักจุ๊ย”

 

จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ

 

“พี่ครับ  เราเป็นผู้ชาย  พี่กับพี่ปลาคบกันมาตั้งนาน  แล้วอยู่ดีๆพี่จะไปบอกพี่ปลาว่าเลิกเพราะคบกับจุ๊ย  พี่ว่ามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ  ที่ผู้ชายสองคนรังแกผู้หญิงคนเดียว”

 

“ตอนนี้เรื่องของเราไม่ได้เป็นความลับ  ทุกคนเริ่มสงสัย  หลิวเองก็ถามผม  พี่ครับผมไม่รู้จะอธิบายยังไงกับพวกเขา  พี่จะให้ผมทำยังไง  แล้วยังพี่ปลาอีก  อย่างน้อยผมกับพี่ปลาก็รู้จัก  สนิทกัน  มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ถ้าเราสองคนทำอย่างนี้  แล้วยังมีพ่อแม่ของพี่อีก  พี่จะบอกท่านยังไง  ท่านคาดหวังกับพี่ไว้มากนะครับพี่”

 

“พอจุ๊ย” พี่ไตรลุกขึ้น

 

“ก็บอกมาเลยว่าจุ๊ยอายที่ต้องบอกคนอื่นว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย  ชอบผู้ชายด้วยกัน”

 

จุ๊ยอึ้ง...

 

“มันไม่ใช่แค่นั้นนะครับพี่  ชีวิตของเรายังมีคนอื่นด้วย  เรามีครอบครัว  ผมมีป๊ามีเฮีย มีซัว มีฮัว... ส่วนพี่ก็มีพ่อมีแม่  แล้วยังมีพี่ปลา เราอาจบอกว่าไม่แคร์พวกเขาก็ได้  แต่ถ้าทำแบบนั้นมันเห็นแก่ตัว  ต่อให้ผมเดินจูงมือพี่ไปบอกทุกคนว่าเรารักกันแล้วยังไง  พวกเขาจะดีใจ หรือพวกเขาจะเสียใจ  พี่เองก็รู้ว่าคำตอบคืออย่างหลัง”

 

ไตรจ้องตาจุ๊ยสายตาของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน

 

“ปัญหาของจุ๊ยคือตัวจุ๊ยเอง  จุ๊ยคิดถึงแต่คนอื่น  จุ๊ยกลัวคนอื่นจะเสียใจ”

 

แล้วน้ำตาพี่ไตรก็ร่วงลงมา

 

“พี่ไม่สนใจพวกเขา  พี่รู้แต่พี่รักจุ๊ย  ถ้าจุ๊ยรักพี่  เราไปด้วยกัน  พี่จะบอกเลิกกับปลา  แล้วออกจากบ้าน  เราไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้  จุ๊ยจะทำอย่างนั้นได้ไหมหล่ะ”

 

จุ๊ยไม่สามารถสู้สายตาของไตรได้

 

“ผมพูดได้แค่นี้  ผมอยากจะให้พี่ทบทวน  เรายังพอที่จะถอยกลับไปได้  เรากลับไปในที่เราเคยอยู่ได้นะครับพี่  ผมสามารถกลับไปเป็นน้องของพี่ได้เหมือนเดิม  พี่ไม่ได้สูญเสียจุ๊ยไป  จุ๊ยจะอยู่ตรงนี้ให้พี่เหมือนเดิม” เขากล่าว แล้วเดินออกจะออกจากห้องไป

 

“ผมรักพี่ผมบอกได้  แต่ผมไม่สามารถให้ใครมาเจ็บปวดเพราะผมได้ โดยเฉพาะคนที่รักผม”

 

“แล้วพี่หล่ะจุ๊ย  พี่ก็คือคนที่รักจุ๊ย  จุ๊ยไม่แคร์ไม่ห่วงบ้างหรือว่าพี่จะเป็นยังไง  นี่คือความรักในแบบของจุ๊ยอย่างนั้นเหรอ  จุ๊ยยินดีจะเสียสละตนเอง บูชายัญคนที่รักจุ๊ยเพื่อคนอื่น  ถ้าจุ๊ยถามว่าที่พี่ทำมันเห็นแก่ตัวไหม  นี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว  เพราะจุ๊ยกำลังจะฆ่าพี่ด้วยมือของจุ๊ยเอง” ไตรกล่าวออกมา

 

จุ๊ยหันมามอง  แต่เขาก็หักใจให้แข็งแล้วเดินออกมา

 

“ไปเถอะครับสายแล้ว เอาไว้เราค่อยคุยกัน”

 

 

 

พอลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม ก็เห็นเพื่อนกินกันล่วงหน้าไปแล้ว  จุ๊ยก็ตักอาหารสำหรับตัวเองและเผื่อสำหรับพี่ไตรด้วย  แต่พอยกไปวางที่โต๊ะซึ่งมีเพื่อนอยู่สี่ห้าคนนั่งอยู่

 

“มองเหี้ยอะไร” จุ๊ยถาม 

 

“แน่ะ แน่ะ  ทำเป็นหงุดหงิดเมื่อคืนพี่ไตรไม่ปล้ำหรือไง ถึงได้หงุดหงิด” ไก่ตอบโต้

 

เพื่อนก็หัวเราะกันครื้น

 

จุ๊ยส่ายหัว

 

แล้วหยิบเอาซอสมาราดลงบนไส้กรอก

 

“เฮ้ยเอาน่า แจ่มใสหน่อย  หรือว่าหนักไป  โถๆ  มาๆกูไปทำไข่ลวกให้” ไก่ลุกไปแล้วกลับมาพร้อมไข่ลวกจริงๆ

 

“เอ้านี่จุ๊ยกูปรุงให้พิเศษสำหรับมึงเลย”

 

จุ๊ยมองหน้าไอ้ไก่  เขารู้ดีว่าเพื่อนเป็นคนกวนตีน  แต่ปกติเขาจะโต้ได้สนุก  แต่วันนี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์นั้น

 

“ไปเลย กูจะกิน” แล้วจุ๊ยก็สะบัดแขนที่เกาะกุมโดยไก่ออก

 

“โถๆ  เดี่ยวพี่ไตรลงมาน้องจุ๊ยก็คงอารมณ์ดีสินะ” ไก่ตบบ่า

 

แล้วกำลังจะเดินกลับไปนั่ง  ทันใดเขาเซล้มลงไปด้วยแรงหมัด

 

“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้ไก่” แล้วก็จะเดินเข้าใส่อีก

 

ทว่าจุ๊ยถลันเข้าขวาง  จ้องตาไตร

 

“อะไรวะพี่ ก็พูดเล่นกัน  ทำไมต้องรุนแรง”

 

“แต่มันว่าจุ๊ย” ไตรว่าแล้วจะเข้าไปอีก  แต่ฐากับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสองคนเข้ามารั้ง

 

“นี่มันอะไรกัน” ครูอติคงได้ยินเสียงเอะอะ เลยรีบเข้ามาภายในห้องอาหาร

 

“ชกต่อยกันในสถานที่ของคนอื่น แบบนี้ได้ยังไง”

 

 

 

“พี่ไตรเลยโดนสั่งให้ไปนั่งกับรถขนเครื่องดนตรี  ภาพสุดท้ายทีจุ๊ยเห็นพี่ไตร ตอนยังปกติคือ เขาเอาแซกตัวนี้มายืนเป่าอยู่ข้างรถ..เพลง Summertime Sadness” จุ๊ยน้ำตาเริ่มเกาะที่ขอบตา

 

 

 

จุ๊ยไปนั่งอยู่บนรถแล้ว  เขาหมดอารมณ์จะหยอกกับใคร  มองไปด้านหนึ่งไก่ที่นั่งปากเจ่ออยู่ ก็หันมามองหน้าเขาแล้วหันกลับไป 

 

ฮ้อยนั่งลงข้างๆ

 

“โอเคไหมวะ” ฮ้อยถาม

 

จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ

 

“จุ๊ย” เสียงเรียกจากข้างรถ พอเขาหันมองลงไป 

 

พี่ไตรยืนถือโซบราโน่ของเขา เขาหมุนปีกหมวกแก็ปไปข้างหลัง

 

“พี่ให้เพลงนี้กับจุ๊ย”  แล้วไตรก็จรดปาก

 

Summertime Sadness …

 

เสียงแซกโซโฟนของพี่ไตร  แม้จะโดนวิจารณ์ว่าเป็นรองจุ๊ยอยู่  แต่เป็นเสียงแซกโซโฟนเดียวที่จุ๊ยอยากฟัง...

 

ภาพพี่ไตรสบตาเขาตอนที่เป่าแซกโฟโฟนตัวโปรดในแสงอ่อนๆยามสายนั้น  สร้างความรู้สึกระคนกันในใจของจุ๊ย 

 

เสียงแซกโซโฟนนั้นคร่ำครวญ  มันบอกเล่าความรู้สึกของการเว้าวอน..

 

 

 

และเมื่อเพลงจบ  เขาก็เดินเข้ามา ถอดหมวกแก็ปแล้วส่งมา

 

“พี่ให้”

 

จุ๊ยรู้ดีว่าพี่ไตรชอบหมวกใบนี้มาก

 

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจุ๊ยถึงรับมันมา

 

รถออกเดินทางตามกำหนด  จุ๊ยไม่มองกลับไปอีก  แต่เอาหมวกใบนั้นแนบอกไว้

 

 

 

“แต่รถขนเครื่องดนตรีชนกับรถบรรทุก  พี่ไตรบาดเจ็บสาหัส  เขาทนจนฉันไปถึงโรงพยาบาล เพื่อจะพูดกับฉันแค่คำเดียวว่า”

 

อาราอิมองหน้าจุ๊ยที่เหมือนดำดิ่งในห้วงแห่งอดีต

 

 

 

ใบหน้าที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผลไปครึ่งหน้า  เหลือแค่ดวงตาข้างเดียวมองมา  ริมผีปากขาวซีด

 

จุ๊ยจับมือเขาไว้  เห็นริมผีปากนั้นขยับ  เขาจึงเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้ได้ยิน

 

“พี่รักจุ๊ยนะ”

 

นั้นคือเสียงสุดท้ายที่จุ๊ยได้ยินจากผู้ชายที่เขารัก... พี่ไตร

 

 

 

"ตอนนั้นเพราะรถบัสมันเต็ม  ฉันก็เลยต้องเอาแซกของฉันใส่ไปกับรถขนเครื่องดนตรี  เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเล่าว่าตอนที่หน่วยกู้ภัยไปช่วยพี่ไตรออกจากรถ  พี่ไตรกอดกล่องแซกโซโฟนของฉันไว้แน่นไม่ปล่อย แม้จะสลบ  จนพวกเขาต้องแกะมันออกมาอย่างลำบาก  พี่เขาพยายามปกป้องสิ่งที่ฉันรักไว้จนถึงที่สุด"

 

แล้วจุ๊ยก็กลั่นไม่อยู่  น้ำตาหยดลงบนแซกโซโฟนโซบราโน่ 

 

อาราอิจึงกอดจุ๊ยไว้เอาหน้าจุ๊ยซบกับไหล่

 

“เขารักฉันมาก  แต่ฉันกลับคิดจะทิ้งเขาไว้เพียงเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ความสัมพันธ์ของเรา.. ฉันมันเลวใช่ไหม”

 

อาราอิลูบหัวจุ๊ยเบาๆ  แต่ก็หาคำใดมาปลอบใจไม่ได้เลย...

 

อาราอิใส่เสื้อของจุ๊ยได้  แต่กางเกงแม้จะเป็นตัวใหญ่ที่สุดก็ยังดูสั้นเตอะ อวดขาขาวๆ

ตอนที่จุ๊ยหันมาเห็นอาราอิซึ่งกำลังยืนเฝ้ากระทะทอดปลา จึงแกล้งด้วยการตีที่น่องดังเปียะด้วยความหมั่นเขี้ยว

“อะไรเล่า..” อาราอิว่า

“ประเดี่ยวก็จิ้มด้วยตะหลิว”

 

“ตกลง เราชื่ออาราอิหรือโยชิ  เพราะเห็นจุ๊ยเรียกเราว่าอาราอิ” ป๊าถามขึ้นมาในขณะร่วมโต๊ะอาหารค่ำที่มีกันแค่สามคน เพราะวันนี้เฮียค้างที่มหาวิทยาลัย ส่วนซัวก็บอกว่าทำงานกะบ่ายจะกลับดึก

“ผมชื่ออาราอิ  แต่นามสกุลโยชิฮิสะ ครับ  แต่ตอนแนะนำตัวชอบติดแนะนำแบบญี่ปุ่น  เป็นโยชิฮิสะ  อาราอิ  ใครๆในประเทศนี้ก็เลยเรียกผมว่าโยชิ” อาราอิตอบ  แล้วคีบกุนเชียงส่งให้บิดาของจุ๊ย

บิดาก็รับมาแต่โดยดี แถมกินด้วย

“งั้นอั๊วก็เรียกลื้อว่า อาราอิแล้วกัน”

 

พอเก็บล้างทำความสะอาดเสร็จ  ทั้งสองก็ขึ้นมาที่ห้องของจุ๊ย

ตอนที่จุ๊ยกำลังหยิบแซกโซโฟนออกมา  อาราอิก็เริ่มกวาดตามองรอบๆห้อง

แล้วก็ลุกไปที่ตู้ที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลและโล่ประกาศเกียรติคุณ 

"นี่นายชนะมาแล้วกี่เวที"

"ก็เยอะน่ะ จำไม่ได้หรอก  เพราะโรงเรียนก็ส่งฉันไปประกวดอยู่เรื่อยๆ ตามแต่อาจารย์อติท่านจะหาเวทีให้ฉันได้  ประกวดไปเรื่อยๆ เอาประสบการณ์"

"นายไม่คิดจะเรียนต่อต่างประเทศบ้างเหรอจุ๊ย  คือฉันว่าประเทศนี้ดนตรีแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่  ถ้านายไปต่างประเทศนายน่าจะไปได้ไกลกว่านี้" อาราอิถาม

จุ๊ยหยุดมือที่กำลังทำความสะอาดชิ้นส่วนแซกโซโฟนอัลโต้แสนรัก

"ถ้าฉันไป  ป๊าจะทำยังไงล่ะ  นายก็เห็นครวบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร  เฮียก็ไปเรียนทุกวันแถมเรียนหนักด้วย  ส่วนไอ้ซัวมันก็ไม่ค่อยลงรอยกับป๊า  บ้านช่องไม่ค่อยอยู่ ถ้าฉ้นไป ป๊าจะทำยังไง  จะให้ท่านมาทำงานหนักๆเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้แล้วนะ"

อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย

จุ๊ยกลับมายิ้มแล้วเริ่มต้นประกอบแซกโซโฟน

พอประกอบเสร็จก็หันมาถาม

“อยากฟังเพลงอะไรหล่ะครับน้อง” จุ๊ยดัดเสียงหล่อถาม

อาราอิมองจุ๊ยประกอบแซกโซโฟนอย่างคล่องแคล่ว

“อะไรก็ได้ครับคุณพี่”

จุ๊ยแย้มริมผีปากส่งเสียงหึๆ

“ประเดี่ยวเล่น Concerto ให้ฟังเสียเลยนี่”

“โอ้ยไม่ไหวอะ  ไอ้เพลงที่มันเก่าๆใช่ไหม ไม่ไหวไม่ไหว”

“งั้นนี่” จุ๊ยว่าแล้วหันไปหยิบแฟ้มชีทเพลงจากบนโต๊ะส่งให้

“ให้โอกาสนายเลือก”

“เพลงอะไรก็ได้เหรอ” อาราอิถาม เพราะเป็นแฟ้มขนาดใหญ่

“ก็ฉันจำได้เกินครึ่ง  ทีเหลือต้องดูชีท ไม่งั้นจำไม่ได้”

"เกินครึ่ง" อาราอิทำตาโตเท่า

"นี่มันกี่เพลงนี่  เท่าที่ดูเกินร้อยแล้วมั๊งนี่ จำเข้าไปได้ยังไง"

จุ๊ยทำหน้าคิด

"ที่จริงฉันก็สงสัยนะ  คือตอนเด็กๆฉันก็งงเหมือนกัน  เพราะเวลาฉันฟังเพลงอะไร  จำโน้ต จำทำนองมันได้เลย  พอเขียนชาร์ทเป็นก็เริ่มบันทึกโน้ตที่จำได้จากเพลง  อาจารย์ถนอมเห็นก็เลยเอาไปอ่าน  ท่านก็เลยถามว่าฉันทำได้ยังไง ฉันก็บอกไม่รู้  ฟังแล้วก็แยกโน้ตได้  แยกได้ก็จำได้  จำได้ก็เขียนได้ ตอนแรกฉันก็นึกว่าทุกคนต้องทำได้เหมือนฉันนะ  แต่อาจารย์หัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่ใช่นะ ลองถามไตรดูสิว่าทำได้ไหม พอฉันไปถามพี่ไตร พี่ไตรก็งง  ท่านก็เลยบอกว่าฉันมีระบบประสาทหูดีกว่าคนอื่นที่เรียกว่า Absolute Pitch แล้วก็มีระบบจำทำนองเพลงที่ดีกว่าคนอื่น อันนี้เขาเรียก Relative Pitch แถมหูก็ได้ยินเสียงมากกว่าคนอื่นด้วย พอได้ยินมันจำได้ พอจำได้ มันก็เขียนได้ พอเขียนได้ก็เล่นได้"

อาราอิยังคงมองหน้าจุ๊ย

"ถ้าฉันจำอะไรได้อย่างโน้ตก็ดีนะ  เพราะเรื่องเรียนนี่ไม่ไหวเอาเลย  อ่านหนังสือทีไรก็ได้เฝ้าพระอิศวรทุกที  จำอะไรไม่ได้สักกะอย่าง"

"เอ้าตกลงจะเอาเพลงอะไร  เลือกเอาเลย" จุ๊ยถามอีกรอบ

"หลับตาสุ่มเอาเลยก็ได้"

อาราอิก็เลยหลับตา แล้วพลักเปิดแฟ้มไปแบบสุ่มๆ แต่พอมองลงไป เห็นชื่อเพลงเขาก็ชะงัก 

อีกด้านแม้จะอยู่ห่างออกมา แต่จุ๊ยก็เห็นมองเห็นชื่อเพลง

“ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ” อาราอิบอก

แต่จุ๊ยยิ้มออกมา

แล้วก็จรดปาก

Summertime Sadness ดัง อีกวาระ  จากอัลโต แซกโซโฟนไม่ใช่โซบราโน่  เสียงของมันทั้งเลื่อนไหล และต่อเนื่อง  หางเสียงฟุ้งอบอวลในอากาศ ยิ่งในห้องที่แคบขนาดนี้ มันยิ่งทำให้รู้สึกถูกล้อมเอาไว้ด้วยเสียงเพลง

อาราอินั่งมองจุ๊ย  หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเฉกเดียวกับที่เคยเป็นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของแซกโซโฟนของจุ๊ย 

แล้วเขาก็ไม่อาจจะยั้งใจตัวเอง  เขาลุกขึ้นมายืนตรงหน้าจุ๊ย

จุ๊ยมองตามอาราอิที่ก้าวมายืนตรงหน้า ระยะห่างของคนทั้งคู่ตอนนี้แค่แซกโซโฟนกั่น

ทว่าเขาเป่าต่อไปจนโน้ตสุดท้าย  ลดแซกโซโฟนลงข้างตัว

อาราอิขยับเข้ามาจนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงครึ่งฝามือ ห้องของจุ๊ยเก็บเสียง ในทางกลับกันมันก็กันเสียงจากภายนอก

ใน ความเงียบ ทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน  จุ๊ยกลายเป็นฝ่ายที่ขยับเข้าหา  แล้วเขาโอบเอวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างเกาะที่หัวไหล่

อาราอิก็รวบเขาไว้ด้วยสองแขน  ก้มหน้าลงมาประสานริมผีปาก  ครั้งแรกแตะกัน  ครั้งที่สองบดลงมาแรงขึ้น  และครั้งที่สามก็บดแรงขึ้นและดูดดื่ม

จุ๊ยดันอาราอิให้ถอยไปจนถึงเตียง  เขาก็นั่งลงโดยริมฝีปากยังไม่แยกจากกัน

แล้วจุ๊ยก็ถอนการจูบ สบดวงตากับดวงตาที่มองมา  ลมหายใจทั้งคู่รดกันในอาการหอบถี่

จุ๊ยจูบที่ข้างหูแล้วซุกไซร้ไปบนคอยาวได้รูป อาราอิก็ปล่อยอารมณ์ตอบสนองต่อการสัมผัสอันนุ่มนวลทว่าเปี่ยมไปด้วยความปรารถาของจุ๊ย

ไม่ชอบดนตรีคลาสซิค  แต่อาราอิกลับได้ยินบทเพลงอันอ่อนหวานของบทโอเปร่าก้องในความรู้สึก "Come Again, sweet love doth now invite” ประพันธ์โดย John Dowland

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา