The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  53.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) ตนตรีคืออะไร คำตอบของนายสายน้ำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

อาจารย์ปกรณ์คือหนึ่งในบุคลากรทางดนตรีชั้นยอดของมหาวิทยาลัยและประเทศ  เขาผลิดลูกศิษย์ไปแล้วเป็นหมื่น เวียนว่ายในวงการดนตรีบ้าง  หลุดวงโครจรไปบ้าง  บางคนประสบความสำเร็จในระดับประเทศก็มี

แต่เด็กคนที่นั้งมองหน้าเขาอยู่นี้แตกต่างออกไป  เขาเหมือนจะโดดเด่นออกมาจากหมู่เพื่อนที่นั่งอยู่ในห้อง  ไม่สิ  โดดเด่นมาจากคนอื่นๆโดยทั่วไป

เมื่อปีที่แล้วเขาได้รับเชิญให้ไปเป็นกรรมการตัดสินการประกวดดนตรี  ซึ่งแน่นอนเขาต้องเป็นตัววางหลักในการตัดสินประเภทเครื่องเป่า

เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวในชุดนักเรียนมัธยม  กับแซกโซโฟนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับแน่นอน

แต่ให้ใช้แซกโซโฟนเทพเจ้า  แต่ถ้าเล่นไปไม่ได้สติก็ไร้ค่า

“นายนทีธาร แซ่จาง  กับบทเพลง My One and Only Love

นทีธารโค้งแล้วยืนนิ่ง  เขาสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกอย่างช้าๆยาวๆ

การหายใจแบบนี้คล้ายใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก 

รุ่นพี่ของเขา ถนอม

“หรือจะเป็นลูกศิษย์ของพี่ถนอม”

แล้ว เขาก็เริ่มต้นเป่า  เสียงที่เปล่งออกมาจากฮอนสีเงินรมดำเป็นเสียงต่ำในช่วงแรกจะที่สร้างกระแส อากาศที่สั่นไหว  จากนั้นก็ค่อยๆสูงไปตามโน๊ตของบทเพลง  ปลายเสียงสูงแผ่ซ่านและมีการไหวระรัวอย่างอ่อนโยน

ตอนนั้นไม่มีใครสักคนที่ขยับ  หลายคนคงเหมือนกับปกรณ์ที่รู้สึกว่าเสียงนั้นโอบล้อมเอาไว้เหมือนความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ 

และเสียงนั้นก็เลื่อนไหลไปตามตัวโน๊ตอย่างกลมกลึง...

จน แม้เพลงจบแล้วไปชั่วขณะ  ก็ยังไม่มีเสียงปรบมือ  กระทั้งต้นเสียงคือปกรณ์เอง  เขาลุกขึ้นยืนและปรบมือโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีกว่านั้น

จากนั้นก็เป็นเสียงปรบมือจนกึกก้องสถานที่ประกวด

 

“นายนทีธาร  ดนตรีคืออะไรสำหรับคุณ” ปกรณ์ถาม

นทีธารหันไปมองหน้าสหายสนิทที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาลุกขึ้นตอบ 

เพื่อนๆหัวเราะกันคิกคักเบาๆ  เพราะเกรงใจอาจารย์

“แล้วทำไมเธอถึงเล่นดนตรี” ปกรณ์กอดอกอย่างใจเย็น

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาตอบด้วยเสียงอ่อยๆ  แต่ประโยคต่อมานั้น

“ผม ก็แค่อยากจะเล่น  คือผมก็ไม่รู้ว่าทำไม  เพราะเวลาเล่นแล้วมันจะมีความสุข  ผมว่าทุกคนที่มาเรียนที่นี่ก็คงไม่รู้ว่าทำไม  แต่เรามาเรียนเพราะเรามีความสุขในการเรียน ในการฝึก”

ปกรณ์หันมองหน้าลูกศิษย์คนอื่น ที่เปลี่ยนท่าทีไปจากความขบขัน

“แล้วถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีความสุขกับมัน  เธอจะเลิกเล่นดนตรีไหม” ปกรณ์ถามต่อ

เด็กหนุ่มยิ้ม

“ก็เล่นครับ  เพราะถ้าผมไม่มีความสุขดนตรีก็จะทำให้ผมมีความสุขอยู่ดีนี่ครับ”

ปกรณ์เงียบไป

เพื่อนๆก็เหมือนกัน

“โอเค... ถ้าอย่างนั้นก็จำคำพูดนี้เอาไว้  ผมจะคอยดูคุณว่าคุณจะเล่นสนุกไปจนถึงระดับไหน”

 

ใน โรงอาหารที่ใกล้กับตึกเรียนของคณะที่สุด  จุ๊ยกำลังจะหยอดพริกลงไปในชามก๋วยเตี๋ยวของฮ้อย  เขาต้องคอยมองเพราะตอนนี้ฮ้อยอยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่ 

“ไอ้จุ๊ย”

จุ๊ยสะดุ้งพริกที่อยู่ในช้อนเลยสาดไปทั่ว

“ไอ้เหี้ยอัส” จุ๊ยลุกขึ้นปัดพริกออกจากตัว

“มึงสิเหี้ยไอ้จุ๊ย  นี่มึงจะแกล้งคนเอาโล่หรือไงวะ” อัศวะนั่งลง

จุ๊ยนั่งลงทำท่าจุ๊ปาก

“กูจะเอาพริกให้มันแดก” ว่าแล้วก็หันไปตักพริกที่อุตส่าห์ตักใส่ชามเล็กมาอีกช้อน

แต่ฮ้อยมายืนอยู่ข้างหลังแล้วจึงแย่งเอาช้อน แล้วเทใส่จานจุ๊ย  ท่ามกลางเสียร้องของจุ๊ย

“ไอ้เพื่อนสารเลว” ฮ้อยด่าใส่หน้าในระยะใกล้

จุ๊ยหันไปทำหน้าค้อนอัศวะที่ทำให้เสียแผน แล้วก็ค้อนฮ้อยที่เทพริกใส่จานเขา

ฮ้อยนั่งลง

“มึงหายหัวไปไหนมาตั้งเกือบเดือนกว่าๆ  กูไปหามึงอยู่ไม่เคยเจอ   ไอ้เดฟเรียนคณะเดียวกับมึงกูยังเจอบ่อยกว่า”

อัศวะยิ้ม

“พอดีกูไปเรียนร้องเพลงทุกวัน”

“ร้องเพลง” จุ๊ยทำเสียงสูง แต่ไม่ได้พูดต่อเพราะกำลังตักพริกออกจากข้าวมันไก่ของตัวเอง

“เรียนทำไม  จะออกเทปเหรอวะ” ฮ้อยถาม

อัศวะเลิกคิ้วก่อนจะตอบว่า

“เออ”

สองสหายมองหน้ากัน 

ถึงแม้อัศวะจะเล่นดนตรีไม่เก่งกาจอย่างเขาทั้งสอง  แต่เสียงของอัศวะก็นับได้ว่าเข้าขั้นดีพอตัว

“โถๆๆ โถ่อนิจจา” จุ๊ยทำส่ายหัว หน้าเพลีย ถอนหายใจ

“วงการเพลงเมืองไทยตกต่ำกันถึงขนาดเอาลิงมาร้องเพลงแล้วเหรอวะเนี่ย”

ดังป๊าบ

อัศวะตบหัวจุ๊ยไปทีจนเกือบหน้าทิ่มใส่ข้าวมันไก่

“แดรกไก่ของมึงไปไอ้ตัวกินไก่” อัศวะว่าแล้วกดหัวจุ๊ยซ้ำอีกสักที

“มิ น่า” ฮ้อยพิจารณาจากความเปลี่ยนแปลง  ตอนนี้อัศวะดูดีขึ้นมากกว่าตอนเรียนมัธยม  นอกจาผมที่ยาวขึ้นตัดเป็นทรงเซริฟคัททำสีนิดหน่อยแล้ว ก็มีผิวหน้าที่ดูจะเนียนใสขึ้น

“แม่งหล่อขึ้น”

“จริงไหมจุ๊ย”

จุ๊ยหันมามองหน้าอัศวะมองไปมองมา

แล้วขยับหน้าไปใกล้ๆ

“ลิง” เขาตอกใส่หน้าเต็มๆ

อัศวะเลยจับจุ๊ยล๊อกคอแล้วลากลงมาตีหัว

“มึงสิไอ้ลิง  ปากนี่มีหมาอยู่กี่ตัววะ  ขอกูตบตามจำนวนหมาหน่อยสิ”

พอจุ๊ยดิ้นหลุดออกไปได้

อัศวะก็ถาม

“ไอ้อ๊อดมันไปทำอะไรหน้าคณะวิทย์  กูเห็นมันยืนอยู่  แต่เรียกไปไม่ทัน มันเดินเข้าไปก่อน” 

ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะถามกลับ

“แล้วทำไม่ตามเข้าไป”

อัศวะแปลกใจ

“กู น่ะชักแปลกๆใจกับมัน  เดี่ยวนี้มันแปลกๆ  วันก่อนอยู่ซ้อมร้องเพลงเชียวร์กลับดึก วันนั้นกูเอารถมา กูกะจะไปส่งที่หอก็ไม่เอา นั่งแท็กซี่กลับเอง” ฮ้อยว่า

“กูสงสัยว่ามันจะแอบสุ่มคบใครอยู่”

จุ๊ยเผยอปากข้างหนึ่ง

“มึงอะคิดมาก” จุ๊ยแย้ง “มันอาจปวดขี้  ก็เลยไปขี้ตึกนั้นก็ได้”

“เหม่แล้วตึกเราไม่มีส้วมรีไง” ฮ้อยย้อน

“อ้าวก็อาจขี้ที่นั้นสบายตูดกว่า  แบบเห็นหน้ามึงแล้วขี้ไม่ออกอะไรอย่างนี้” จุ๊ยตอบ

อัศวะถอนหายใจ  ตัดบท

“พอเหอะคนรอบตัวเขามองกันหมดแล้ว  แม่งคุยกันเรื่องขี้ในโรงอาหาร”

“เออ  จุ๊ยมึงเห็นแฟนไอ้โยชิรึยัง”

จุ๊ยทำหน้าสงสัย

“เห็นว่าชื่อนามิจัง  เป็นญี่ปุ่น  ตอนนี้เขามาเรียนที่นี่ตามโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นน่ะ”

“ไม่รู้สิ” จุ๊ยตอบ

“กูก็ไม่ได้เจอมันมาเป็นเดือนแล้วเหมือนกัน คุยกันในเฟสในไลน์มันก็ไม่เห็นบอก”

“สวยนะมึง  น่ารักมากเลย” อัศวะว่า

“วันก่อนกูเห็นมันนั่งกระหนุงกระหนิงกันหน้าตึก  โอ้ยอย่างกับพระเอกนางเอกจากซีรี่ญี่ปุ่น”

“ซีรี่หรือ เอวี” จุ๊ยเชิดหน้ามองหมิ่น

“ซีรี่” อัศวะย้ำ

“หน้าอย่างมึงดูซีรี่... กูว่าดูเอวีมากกว่ามั้ง  ดูหน้าแฟนอาราอิแล้วก็เอาไปชักว่าว... เดี่ยวกูจะฟ้องมัน” จุ๊ยทำท่าชี้นิ้ว

“ไอ้ลามก” อัศวะไสหัวมันสักที

แต่ฮ้อยแปลกหู

“มึงเรียกโยชิว่าอะไรนะ”

“อาราอิ” จุ๊ยตอบ

“ทำไม” อัศวะงง

“ก็มันบอกให้กูเรียก  มันบอกมันชื่อ โยชิฮิสะ อาราอิ  โยชิฮิสะ เป็นนามสกุล  อาราอิเป็นชื่อ  มันเลยให้กูเรียกอาราอิ”

“อ้าว...” อัศวะเกาหัว

“นี่กูก็เห็นพวกรุ่นพี่เรียกมันว่า โยชิๆ กันหมดคณะ  ไม่เห็นใครเรียกว่าอาราอิสักคน”

ฝน ที่โปรยมาตั้งแต่บ่ายเริ่มจางไป  กระนั้นมันก็ยังจับเกล็ดอยุ่บนบานกระจก เมื่ออาราอิมองออกไป ในภาพของกรุงเทพยามหัวค่ำ  จึงเป็นภาพที่บิดเบี้ยวละพร่ามัว

เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือเรียกเขาให้หันไปโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้มือมากดดู

เป็นจุ๊ยนั้นเองส่งรูปหน้าบึ่งงอนมา

“พาแฟนมาทำไมไม่พาให้เพื่อนดูหน้า อาราอิ”

“กลัวเพื่อนจะแย่งแฟนเหรอวะ”

อาราอินิ่งไป  แล้วเขาก็หันไปมองหญิงสาวที่นอนหลับใหล  ซุกร่างเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่ม

เขากดลมหายใจตัวเองแล้วจึงหันกลับมากดตอบ

“ก็ยังไม่ว่าง เอาไว้จะนัดออกมาเจอกันเอง”

รอสักครู่จุ๊ยก็ส่งข้อความมา

“อยู่ด้วยกันรึเปล่า  ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ”

“ถ้าไม่ถ่ายแปลว่า กำลัง XXX กันอยู่”

อาราอิยิ้มออกมา

“ไอ้ลามก” เขาพิมพ์ตอบไป

“แสดงว่าใช่ เฮ้ยๆเฮ้ย เสียวเว้ย” จุ๊ยตอบกลับมา  แล้วเหมือนหน้าทะเล้นทะเล้นก็เหมือนจะปรากฏในคำพูดนั้น

“ไอ้ลามก มากๆๆๆๆ” เขาพิมพ์ตอบกลับไป

“อาราอิ” มือกอดจากด้านหลัง  สัมผัสถึงร่างกายนุ่มนิ่มบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา

“ใครน่ะ”

อาราอินิ่งก่อนจะตอบ “เพื่อนคนนี้หล่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”

“ที่บอกว่าเล่นแซคโซโฟนได้อย่างกับมืออาชีพน่ะเหรอ” นามิจังเอื้อมมาเลื่อนหน้าจอแล้วขยายภาพของจุ๊ยออกมา

“หน้าตาตลกจัง ไม่เห็นเหมือนกับจะเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจอย่างที่อาราอิบอกเลย”

“แต่นี่ก็คือคนที่อาราอิฝึกภาษาไทย เพื่อจะทิ้งญี่ปุ่นมาไม่ใช่เหรอ... นามิจังอยากจะเจอกับเขาซักครั้ง”

อาราอิไม่ตอบแต่หันมองออกไปอย่างไร้ทิศทาง

“ฉันมีงานโชว์ตัวตอนสองทุ่ม  ไปอาบน้ำก่อนนะ”

แล้วอาราอิก็กดปุ่มเพื่อปิดหน้าจอ  เอาโทรศัพท์วางไว้กับโต๊ะข้างตัวเดินไป

นามิจังมองโทรศัพท์นั้นแล้ว เธอหยิบมาแล้วกดจากนั้นก็ใส่รหัสปลดล๊อก

ถ่ายภาพตัวเอง แล้วก็ส่งไปยังห้องสนทนานั้น

เธอรออยู่ครู่หนึ่ง นานพอจะให้ภาพนั้นส่งไปที่โทรศัพท์ของคู่สนทนา  แล้วเธอก็ลบภาพนั้นเสีย

 

อีกด้านของการสนทนา 

จุ๊ยได้รับภาพนั้นมา.. เขานั่งนิ่ง  แล้วเริ่มต้นใช้ความคิด

 

“เฮ้ย..มึงอยู่ไหน” ฐากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ดังพอสมควร

ฝ่ายโน้นตอบมา

ฐาแม้จะโกรธ ฐาก็ต้องใจเย็นลง

“เออๆนอนไปเหอะ กินยาด้วยเดี่ยวตาย  กูขี้เกียจไปงานศพ”

ปอนกับโย่งที่จับตามองเพื่อนตั้งแต่เมื่อสักครู่ รีบถาม

“เป็นไง ไอ้พีชมันถึงไหนแล้ว”

“แม่งขี้แตก” ฐาตอบ

“อ้าว แล้วเอาไง.. นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะมึง  งานนี้ยังไงก็เป็นงานใหญ่ เขาเชิญแขกระดับวีไอพีมาทั้งนั้น  แล้วมึงจะให้กูไปบอกพี่สรรค์ยังไงว่านักดนตรีขาดไปคนหนึ่ง” ปอนเสยผมแรงๆ

“แม่งซ้อมแทบตาย  กูอุตส่าห์  ซ้อมมาเนี่ยอาทิตย์เต็มๆ” โย่งส่ายหัว

ฐาคิด  คนที่ไม่ต้องซ้อม คนที่เห็นฟังครั้งเดียวก็เล่นได้... ก็มีแต่..

“รอเดี่ยวนะกูจะถามดู”

“เฮ้ยเดี่ยว  ใคร  มึงจะโทรหาใคร” ปอนรั้งไว้ก่อน

“อย่าบอกนะวะไอ้น้องจุ๊ย  ไม่ไหวนะเว้ย... กูเล่นกับมันไม่ได้หรอก  ไม่เคยซ้อมกับมันเลย  แถมแม่งเก่งกว่ากูอีกต่างหาก”

“เออไม่ไหวนะเว้ย  วันก่อนมันเล่น กูเห็นมันเป่า Glazunov Saxophone Concerto แม่ง... มืออาชีพชัดๆ  ไม่ไหวไม่ไหว  กูเล่นตามมันไม่ได้จริงๆ”

“พวก มึงยังไม่รู้จักมันดี  มันเด็กวงโยนะเฟ้ย  มันถูกฝึกให้เล่นกับวง  มันอาจจะเก่งแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะประเภทโชว์ออฟตลอด เวลามันต้องเล่นประคอง หรือเล่นหนุนคนอื่น  มันก็รู้จักยั้ง... กูเคยเล่นกับมันมาก่อน  กูรู้ดี” ฐาชี้แจง

“อีกอย่างนี่พวกมึงอะไรกันมากมาย  มันจะมาแทนไอ้พีช ดังนั้นมันจะเล่นแทนไอ้พีช  ก็คือฟลุ๊ท  แล้วก็ไม่ได้เล่น concerto สักเพลง  เล่นเพลง cover pop ธรรมดานี่  มึงยังกลัวมันก็ไม่รู้จะพูดไงแล้ว”

ฐาพูดไปก็กดโทรศัพท์

“กู รู้ว่าพวกมึงน่ะมองมันแปลกๆ  เพราะมันเก่งมาก  แต่จริงๆแล้วพวกมึงต้องลองได้รู้จักมันจริงๆ  มึงจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เป็นหัวหน้าวงโดยเอกฉันท์  ไม่ใช่เพราะมันเก่ง  แต่เพราะมันประคองวงได้ สนับสนุนคนอื่นเป็น”

 

อาราอิหันมามองนามิจังที่รบเร้าจะตามเขามาด้วย

“งั้นนามิจังก็ไปรอฉันในงานก่อน  ถ้าใครถามก็บอกว่ามากับโยชิ อย่าบอกว่าอาราอินะ  คนที่นี่เขาไม่รู้จักอาราอิ”

นามิจังพยักหน้า

อาราอิจึงพลักประตูเข้าไป

ตรงทางเดินเข้าไปหลังเวทีนั้นเอง  มีวงดนตรีซ้อมอยู่  แล้วคนที่ถือฟรุ๊ตฟังชายอีกสามคนพูดอย่างตั้งใจคือจุ๊ย

นาทีนั้น  อาราอิรู้สึกลังเลกับก้าวต่อไปของตัวเอง  อยากหันกลับเดินหนีเสียให้ได้

“อ้าวอาราอิ” จุ๊ยหันมาเห็น

อาราอิจึงเดินเข้าไป

จริงๆเขาอยากจะปั้นหน้าเสแสร้งกับจุ๊ย  แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถเล่นละครกับจุ๊ยได้สักที

“มาด้วยเหรอ” อาราอิถาม แล้วมองหน้านักดนตรีอีกสามคน

“พี่ฐาเขารับงานนี้มา แต่วงขาดไปคนหนึ่งก็เลยเรียกเรามาเสียบ” พูดแล้วยกฟรุ๊ตให้ดู

“เห็นไหมเสียบแรงด้วย ยาวด้วย”

อาราอิยิ้มออกมาจนได้

“เออ ที่บอกอยากเจอนามิจัง  วันนี้เขามาด้วย”

จุ๊ยที่หันไปดูกระดาษชาร์ตโน้ตแล้วก็หันกลับมา

“อ้อเห็นแล้วล่ะ” แล้วเขาก็วางมือบนบ่า อาราอี  แล้วขยับเข้ามากระซิบ

“แต่วันหลังถ่ายมาตอนใส่เสื้อผ้าครบก็ดีนะ  เห็นแล้วเสียวหัวใจ”

อาราอิขมวดคิ้ว กำลังจะถามกลับ  แต่ผุ้จัดการก้องก็ออกมาเสียก่อน

“โยชิครับ เร็วๆสายแล้ว”

 

แม้ จะไม่ค่อยได้เล่น  แต่จุ๊ยก็เคยเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้มาจนคล่อง  ดังนั้นแค่การเล่นเพลงป๊อบง่ายๆ เขาจึงเล่นมันได้อย่างไม่เค้อเขิน

แต่ ระหว่างเล่นๆ ไปจุ๊ยก็ได้ยินเสียงเคาะเปียโนที่ผิดปกติ  เหลือบไปก็เห็นว่าโย่งมีปัญหาอยู่กับการปลิวของกระดาษชาร์ต  เขาเหลือบตามองฐาเล่นไวโอลีนที่ก็คงรู้เหมือนกัน เพราะส่งสัญญาณสายตาให้จุ๊ยช่วยแก้ไข

จุ๊ยก็เลยเริ่มต้นใช้เทคนิคแพรวพราวของเขาเพื่อดึงความสนใจและกลบเกลื่อนความผิดพลาด  เพื่อให้โย่งจัดการกับกระดาษโน๊ตได้สำเร็จ

เสียงเปียโนกลับมาเข้าแนวทางเขาก็ค่อยๆผ่อนให้กลับมาอยู่โหมดเล่นวง  เหลือบไปมองปานซึ่งกำลังเป่าทรัมเปต ปานก็ผงกหัวให้เชิงว่าขอบใจ

 

จุ๊ยแยกส่วนฟรุ๊ตทำความสะอาดแล้วเก็บลงกล่อง

โย่งที่ไปห้องน้ำกลับมาก็ตบบ่า

“ขอบใจมากน้องจุ๊ย  ไม่งั้นล่มแน่ๆ”

ปานตบหัวเพื่อนไปที

“นี่แนะ ไหนว่าซ้อมดี”

“ก็ชีทมันปลิว  ไอ้ห่าใครแม่งเอาเปียโนไปไว้ใต้ช่องแอร์” โย่งแก้ตัว

แต่ปานก็หันมาจุ๊ย

“มึงอยากเล่นกับพวกพี่ไหมวะ พี่มีงานเรื่อยๆ  เพราะพี่เป็นเพื่อนกับบริษัทออร์แกนไนส์”

ฐาเข้ามาได้ยินพอดี

“เออ ดี  มึงจะได้มีรายได้เสริมด้วย”

“แล้วก็เขี่ยไอ้พีทพ้นไป เย้” โย่งเข้ามาหนุน 

“โหๆได้โอกาส ไอ้พีชมันหล่อละสิ  มึงอิจฉาที่มันได้พริตตี้บ่อยๆ”  ปานว่าด้วยรู้เท่าทันใจเพื่อน

ฐาหัวเราะหึๆ แล้วก็หันมาหาจุ๊ย

“แล้วว่าไง อยากเล่นไหม”

“ก็อยากนะพี่  แต่พี่พีทจะไม่ว่าเอาเหรอ”

“โอ้ยมันเบี้ยวโคตรบ่อย  กูสามคนต้องนั่งลุ้นว่ามันจะมาไหมแทบทุกงาน” ปานตอบแล้วส่ายหัว

จุ๊ยมองหน้าฐาก่อนจะพยักหน้า

“โอเคได้พี่  แต่ผมไม่แบ่งพริตตี้ให้นะพี่ ถ้าผมได้”

“เย็ด... ไอ้จุ๊ยนี่มึงยังไม่ทันไรก็งกกับพี่ แล้วเหรอวะ” โย่งชี้หน้า

“อ้าวพี่หล่อใครหล่อมัน... ได้ก็ได้ของผม  พี่จะแบ่ง  ไม่กลายเป็นหมู่เหรอพี่  ไม่ไหวนะ หมู่เนี่ยผมไม่ถนัด”

“ชะช่า  ไอ้นี่ต่อปากต่อคำ  มานี่เลย..มาลงนามสัญญาก่อน  ได้พริตตี้ถ้าได้สองแบ่ง  ถ้าได้หนึ่งเป่ายิงฉุบ”

“เฮ้ย โกงนี่หว่าเล่นทำสัญญากันล่วงหน้า  แบ่งกันสองคน ไม่เผื่อกูบ้าง”

ฐาส่ายหัวดุกดิก

แล้วในตอนนั้น ทำไมหนอเขานึกถึงไตรเพื่อนรักขึ้นมาทันที

ที่จริงทุกครั้งที่เห็นจุ๊ยนั้นหล่ะ  เขาเหมือนจะเห็นเงาของไตรซ้อนมาทุกครั้งไป

เขายังไม่สามารถลบเงาไตรจากจุ๊ยได้  แล้วใจของจุ๊ยเองหล่ะ  จะสามารถปล่อยไตรอยู่แต่ในอดีตได้จริงๆหรือไม่

 

นามิจังรู้สึกอึดอัดกับการที่อาราอิไม่พูดกับเธอมาตั้งแต่ขับรถออกมาจากสถานที่จัดงาน

“อาราอิ เป็นอะไรอีกหล่ะ  โกธรใครมาอีกหล่ะ”

อาราอิไม่ตอบในครั้งแรก แต่รอจนติดไฟแดงจึงได้กล่าว

“เธอส่งภาพอะไรให้จุ๊ย”

นามิจังอึ้ง ก่อนจะตอบด้วยคำถาม

“นี่เขาบอกเธอแล้วเหรอ  ไปเจอกันตอนไหน”

“ก็ในงาน  จุ๊ยเขามาเล่นดนตรี  วันนี้เขาเล่นฟรุ๊ท”

นามิจังร้องอ๋อ

“คนนั้นน่ะเหรอ  ก็ดูน่ารักดี เรียบๆแต่ตาสวยดี”

“นามิจังตอบไม่ตรงคำถาม” อาราอิชักหงุดหงิด

นามิจังทำหน้าอ้อนๆ

“ก็แค่ล้อเล่น นามิจังก็ถ่ายรูปตอนที่อาราอิไปห้องน้ำแล้วส่งไป”

อาราอิเอามือกระแทกพวงมาลัย

“นามิทำอย่างนี้ได้ยังไง  ที่นี่เมืองไทย  เขาถือสากับเรื่องพวกนี้  ต่อให้เป็นญี่ปุ่นเราก็ไม่ทำกันไม่ใช่เหรอ... นามิต้องการอะไร”

แต่พอเห็นนามิจังทำหน้าหงอ  อาราอิก็ถอนหายใจ

“อย่าเล่นโทรศัพท์ฉันอีกนะ  แล้วก็อย่าไปรบกวนจุ๊ยด้วย”

 

จุ๊ย มักจะออกมาวิ่งในสวนสาธารณะใกล้บ้านบ่อยๆ  ระหว่างวิ่งก็จะฝึกการหายใจที่อาจารย์ถนอมของเขาสอน  ร่างกายของจุ๊ยไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โต  แต่ทว่ากลับแข็งแรงคงเพราะการที่เขาต้องยกเครื่องเหล็กในร้านมาตั้งแต่ เด็กๆ  และยังต้องทำการบริหารร่างกายตามคำแนะนำของอาจารย์ถนอมด้วย 

วิ่ง ไปได้ห้ารอบ  จุ๊ยก็ชะลอความเร็วแล้วก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการหยุดวิ่ง  เขากางแขนแล้วดึงเข้าเพื่อให้ปอดขยาย  แล้วค่อยๆหยุดเท้า ยืนก้มแตะปลายเท้าสลับอีกนิดหน่อยแล้วจึงนั่งลงมองไปในแนวต้นไม้ที่ตกแต่ง อย่างสวยงาม

แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนการลั่นไกชัตเตอร์

พอหันไปเห็นใครคนหนึ่งถ่ายภาพของเขา  ลดกล้องลงก็จึงได้เห็นหน้า

“อ้าวไอ้สิณ จุ๊ยทัก”

กสิณเดินมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ

เขา เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของจุ๊ย  และยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  แต่เขาอยู่คณะศิลปกรรม กสิณมีนิสัยพูดน้อย  และมักจะโลว์โฟร์ไฟล์เสียจนแทบไม่มีใครสังเกตุการมีตัวตนของกสิณ

“มาวิ่งเหรอ”

“อืม... เรียกพลังปอด” จุ๊ยตอบ  แล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า

กสิณส่งน้ำดื่มที่ตัวเองพกไว้ในกระเป๋าให้

“ขอบใจ  มึงมาทำอะไร”

“ถ่ายรูป ทำPortfolio “ กสิณโชว์กล้อง

“แล้วรูปกูจะไปอยู่ในพอร์ตด้วยไหม” จุ๊ยถามแล้วหัวเราะ  แสงที่ตกลงพอดิบพอดีทำให้ดวงหน้าสว่างอย่างน่ามอง

“เมื่อกี้ตกใจเลย  พักนี้ยิ่งมีสโตรกเกอร์ตามอยู่ด้วย  นึกว่าใช่แล้ว”

“สโตรกเกอร์” กสิณทวนคำ

“อืม... มีเพจหนึ่งชื่อแซกเสียงหวาน เอารูปกูไปลง  มีคนไลก์ประมาณสองหมื่นแล้วมั๊งตอนที่เข้าไปดูล่าสุด”

“แล้วไม่ดีหรอ” กสิณถาม

“มึงเป็นคนน่ารัก สาวๆก็อยากจะติดตาม”

จุ๊ยก็หัวเราะอีก

“หึๆ  ไม่รู้ติดตามไปทำอะไร... ถ้าอยากเจอ ก็มาหาเลยดีกว่า   กูก็อยู่ของกู  แถมไม่รู้มีใครเอารูปกูไปจินตนาการทำร้ายตัวเองไหม  แค่ไอ้เดฟคนเดียวก็จะบ้าตายแล้ว”

กสิณยิ้มจางๆ

“ไม่หรอกมั้ง  คนบางคนเขาก็แค่ชมชอบความงดงาม  แต่ไม่ได้อยากครอบครอง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างว่า”

“ขอให้จริงเหอะ” จุ๊ยลุกขึ้น

“ไปหาอะไรกินกันไหม”

ทั้งสองไปนั่งกินเต้าฮวยที่ร้านข้างทาง ซึ่งเป็นรถเข็น แต่มีเก้าอี้ประมาณสิบกว่าตัวให้ลูกค้านั่ง

“แล้วเป็นไง เรียน” จุ๊ยถามก่อน เพราะถ้าไม่พูดอะไรออกมา มีหวังได้จมความเงียบตาย  เพราะกสิณพูดน้อยมาก

“ก็ดีนะ  แล้วมึงหละ” เขาตอบ  สมกับฉายาที่เพื่อนเรียกว่า ดอกพิกุลอินวิสเบิ้ล

“ก็ดีเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เรียนวิชาทั่วไปอยู่  เรียนเกี่ยวกับดนตรีจริงๆมีนิดเดียวเอง” จุ๊ยตอบ 

“กูเลยว่าเทอมนี้กูตายแน่  สงสัยต้องฝึกกำลังปากเอาไว้ดีๆ เอาไว้คาบเส้น ”

กสิณ ยิ้มอีก  จะว่าไปเวลากสิณยิ้มหน้าตาเฉยๆของเขาก็ชวนมอง  ดวงหน้าที่ประกอบไปด้วยดวงตาที่แวววาว  จมูกโด่งสัน  นั้นก็เรียกว่าหล่อตามสไตล์เด็กจากภาคเดียวกับตั้ม คือภาคใต้แต่คนละจังหวัด

“ไม่เป็นไรนี่  ก็เอาหมาในปากมาช่วยกันคาบสิ  จุ๊ยเลี้ยงไว้เยอะนี่”

จุ๊ยแหล่มองเขม้น

“เหม่ไอ้ห่า... พูดน้อยต่อยหนักนะมึง ปะเดี่ยวก็ได้กินเต้าฮวยทางหูแทนปากหรอก” ว่าแล้วก็ยกชามเต้าฮวยมาเสมอหูของกสิณ

กสิณหัวเราะน้อยๆ เอี่ยวตัวหลบ

พอ กินเสร็จ ก็จะแยกกัน  กสิณนึกอะไรได้เอากล้องมาแล้วกดเลื่อนภาพไปภาพหนึ่งที่บันทึกไว้หลายวันแล้ว จากนั้นก็ส่งให้จุ๊ยดูภาพจากจอหลังกล้อง

“นี่มันเมืองฟ้ารึเปล่า” กสิณถาม

“เด็กห้องวิทย์ ที่ตัวเคยอยู่ชมรมดนตรีไทย ที่เล่นขลุ่ย”

“เออ... ใช่เลย..” จุ๊ยตอบ  แต่กสิณกดภาพต่อมาให้ดู

“กูเจอมันอยู่ด้วยกันหลายครั้งแล้ว  แต่ครั้งนี้มีกล้องไปด้วยเลยถ่ายมา” เขากล่าว

จุ๊ยขมวดคิ้ว  แต่ก็ตอบออกไป“เฮ้ยคงไม่มีอะไรมั้ง” 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา