The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  53.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) Freshman

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        

ทั้งป๊า เฮียตี้ และซัวก็มาพร้อมหน้ากันหมดในวันรุ่งขึ้น  พวกเขาตัดสินใจว่าจะเผาร่างของฮัวในทันที่ได้ร่างของเธอกลับจากการชันสูติพลิกศพ 

จุ๊ยเป่าเพลง Autumn Leaves อีกครั้งเพื่อส่งวิญญาณของเธอ  เขาเป่าเพลงนั้นจนกระทั้งควันไฟพลุ่งขึ้นจากปล่องเมรุ

เมือจบอีกรอบหนึ่งเขาก็หยุดเป่าและมองส่งควันเหล่านั้นเสมือนด้วยการส่งดวงวิญญาณของเธอ

“จุ๊ย.. แปลว่าน้ำ  ดังนั้นแม่อยากให้จุ๊ยเป็นน้ำที่ประคองเรือ ให้แล่นไปได้อย่างสงบ  และคอยหล่อเลี้ยงแผ่นดินให้เกิดผล  คอยประสานทรายให้ควบแน่น  และทำให้ดอกไม่ผลิบาน  จุ๊ยทำได้ใช่ไหมครับ” เสียงของอาม๊าดังมาจากอดีต

จุ๊ยหลับตาลง  แล้วพูดออกไป

“ผมพยายามแล้วครับม๊า แต่ผมทำไม่สำเร็จ”

“ใครว่าหล่ะ” เฮียตี้ก้าวมายืนข้างๆกอดคอจุ๊ย  ซัวก็เช่นกัน

“อย่างน้อยที่สุดก็มีตอนที่จุ๊ยทำให้ฮัวแย้มยิ้มได้อย่างงดงาม แม้จะต้องจากกันไปไกล  แต่อย่างที่จุ๊ยเคยบอก  บางที่เราก็ทำใจ กับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้  นี่คือการติดสินใจของตัวเธอเอง  เราคงไปทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ระลึกถึงเธอ”

ไฮ้จุ๊งผู้บิดามองสามพี่น้องกอดคอกันด้วยแววตาที่อยากจะคาดเดา  แล้วเขาก็หันไปหลังกลับเดินไปอย่างเงียบๆ

อาราอิมองภาพทั้งหมดแล้วก็หันไปอีกทางที่มีชายหนุ่มที่นั้งอยู่คนเดียวมองไปที่เมรุจับนิ่งอยู่อย่างนั้น กายผู้สูญเสียดวงใจของเขาไป

 

บิดาและซัวกลับรถของเฮียตี้  และออกรถไปแล้ว

พัฒน์วางมือบนไหล่ของจุ๊ย

“ก็รักษาตัวให้ดีนะ  คอยดูเตี๋ยวด้วย  ถึงจะดูไม่ค่อยออกอาการแต่ก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อยหล่ะ” เฮียพัฒน์กล่าว

จุ๊ยถอนหายใจแล้วตอบไปว่าครับ

“ส่วนเฮียคงต้องอยู่เป็นเพื่อนม๊าสักระยะ  เพราะนี่ก็ร้องไห้ตลอด  ร้องๆหยุดๆไม่เลิกสักที  อย่างว่าหล่ะ  ท่านก็รักของท่าน  อยู่ดีๆมาจากไปกะทันหันก็ต้องเสียใจมากอยู่แล้ว”

จุ๊ยมองไปในตัวบ้าน

พูดถึงความเสียใจ  แม้เขาจะเสียใจมาก  แต่พอได้เห็นว่ามีคนที่ร้องไห้ฟูมฟายยิ่งกว่าเขาก็ระงับความเสียใจและตั้งสติได้  อายี่อี้ก็คนหนึ่ง  เพื่อนๆของฮัวที่มางานก็เหมือนกัน  แต่ไม่มีใครเทียบได้กับกายที่เหมือนดวงใจจะขาดตามไปด้วย  นี่ก็ได้ยินว่าเมื่อคืนก็นั่งอยู่ทีวัดจนถึงเวลาเก็บกระดูก ตอนไปลอยอังคารก็มองส่งเธอจนเรือพ้นระยะจะมองเห็น

“ผมฝากเฮียไปดูพี่กายด้วยนะครับ” จุ๊ยกล่าว

พัฒน์พยักหน้า แต่ก็แสดงสีหน้าลำบากใจ

“ไม่รู้พ่อของเขายอมให้เฮียไปดูไหมนะ  นี่งานแต่งก็ล้มไปเลย เพราะเจ้าบ่าวหนีออกจากงานมาแบบนี้”

กลาย เป็นว่าพัฒน์รับรู้เรื่องของกายมาโดยตลอด เพราะเขาเองเป็นคนติดต่อให้กายมาเป็นคนติวพิเศษให้ฮัวเพราะกายเป็นลูกศิษย์ คนหนึ่งของพัฒน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก

ที่จริงจุ๊ยก็เคยได้ยินชื่อกายบ่อยๆจากปากของฮัว  แต่คิดว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งจนเกินเลยไปขนาดนี้   กายบอกกับจุ๊ยเองว่าเขาเป็นพ่อของเด็กที่ฮัวทำแท้งตัวเองไป  และขอโทษกับจุ๊ย  ทว่าจุ๊ยกลับไม่สามารถโทษเขาเรื่องนี้ได้เลย  ถ้าดูจากความเสียอกเสียใจของเขา  ภาพที่กายในชุดเจ้าบ่าวสีขาวซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดของฮัวนั้นคงติดตาของจุ๊ยไปอีกหลายปีแน่นอน  ภาพนั้นบรรยายอื่นใดได้นอกดวงใจที่แหลกรานจากความเจ็บปวดอย่างที่สุด และความเสียใจที่ท่วมท้นออกมา

 

จุ๊ยนั่งมองหน้าอาราอิมานานตั้งแค่ออกจากระยอง

“ขอโทษนะ  แทนที่นายจะได้สนุกกับการมาเที่ยว  ที่ไหนได้กลายเป็นแบบนี้”

อาราอิเหลือบมามอง

“แต่เรากลับดีใจนะ”

จุ๊ยทำหน้าบอกได้ว่าแปลกหูกับคำพูดของเขา

“เฮ้ยไม่ใช่ หมายถึงฉันดีใจที่ได้ร่วมทุกข์กับจุ๊ยนะ  ก็อย่างที่บอกจุ๊ยเคยร่วมทุกข์กับฉันมาแล้วไง  ตอนนี้ฉันก็ร่วมทุกข์กับจุ๊ยบ้าง  แถมยังได้รู้จักกับครอบครัวจุ๊ยด้วย”

จุ๊ยก็ยังมองหน้าเขาอยู่

“ทำไมอะ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”

“เปล่า” จุ๊ยยักไหล่ในที่สุด

“ก็... แค่คิดว่านายนี่แปลกดี”

“แปลกยังไง” อาราอิถาม

“ก็แปลกแล้วกันน่า” จุ๊ยไม่ตอบแล้วก็มองออกไปข้างหน้า

“แต่ก็ดีนะ  ขอบใจนายด้วย  ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็แย่เหมือนกัน”

 

เวลาที่ผ่านไปทุกวันเป็นไปอย่างเร็วบ้างช้าบ้างในความรู้สึกของแต่ละคน  แต่สำหรับจุ๊ยมันผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ

เพราะเขานอกจากงานบ้านในแต่ละวัน  เขา ยังต้องไปช่วยครูอติคุมการซ้อมของน้องวงโยธวาทิต ซึ่งแม้จะได้หัวหน้าวงคนใหม่แล้ว แต่อู๊ดก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่ไม่ได้ดีพอ  แล้วเขายังไปรับงานเล่นดนตรีตามงานอีเว้นท์ที่เดฟและอาราอิผลัดกันหามาให้เขาตลอด

ต่อมาก็นั่งลุ้นผลวงโยธวาทิต ปรากฏว่าได้รางวัลกลับมา  นั้นทำให้เขารู้สึกภูมิใจกับน้องๆของเขามาก ฉลองกันไปหลายยกเลยที่เดียว

รู้ ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับจากงานอีเว้นท์แล้วได้ยินเด็กรุ่นเดียวกันสองคนคุยกัน อย่างออกรสเรื่องที่พวกเขาเข้าสถาบันที่ใฝ่ฝันได้ในรถไฟฟ้า

จุ๊ยมองกล่องแซกโซโฟน แม้จะบอกว่าไม่ได้คิดจะเรียนต่อ  แต่นึกเสียดายเหมือนกันที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น  แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า มหาวิทยาลัยเปิดก็น่าจะเหมือนกัน  ว่าแล้วพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

 วันรุ่งขึ้นจุ๊ยก็เลยแต่งตัวด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนต์สีเข้มสวมรองเท้าผ้าใบ

“จะไปไหน” อาป๊าถาม

“ไปสมัครเรียนรามครับ” จุ๊ยตอบ

“รู้สึกเฮียแกก็จะพาแกไปเหมือนกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ เขาไม่ต้องใช้ผู้ปกครอง” จุ๊ยตอบ

แต่เฮียตี้เดินลงมาพร้อมจากชั้นสองพร้อมถุงใบหนึ่ง

“เอานี่ไปเปลี่ยนซะ”

จุ๊ยเปิดถุงแล้วเห็นเป็นเสื้อนักศึกษาสีขาว กางเกงผ้าสีดำ เนคไท และเข็มขัดของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง

“อะไรครับนี่” จุ๊ยมองหน้า

“ก็ชุดนักศึกษาของแกไง  ฉันจัดการแทนแกไปแล้วภายใต้การยินยอมของอาป๊า  วันนี้แกต้องไปรายงานตัวกับตรวจสุขภาพกับฉัน”

“แต่” จุ๊ยจะปฏิเสธ

“แต่อะไร” ป๊าเสียงเข้ม

“ไปแต่งตัวเดี่ยวก็สายหรอก”

พอเลิกจากกิจกรรมสามหนุ่มก็พอกันกลับบ้าน โดยเดินมาตามทางอันร่มรื่นด้วยเงาไม้ของมหาวิทยาลัย แทนจะขึ้นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยเพราะเห็นว่ามันค่อนข้างแน่น

“คนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างวะ  กูไม่ได้ข่าวใครเลย”

ฮ้อยถาม

“อ้อมึงมัวแต่กลับไปเลี้ยงควายนี่หว่า  ใครจะไปส่งข่าวให้มึง” จุ๊ยเค้นเสียงตรงว่าควาย

“กูไม่ได้เลี้ยงควายเว้ย  เลี้ยงวัว  โคเนื้อขุนอย่างดีด้วย  ไม่ใช่ควายบ้านๆอย่างมึง” ฮ้อยตอบโต้

“อ้าวไอ้เด็กเลี้ยงควาย.. กูไม่ใช่ควาย  ควายที่ไหนจะหล่ออย่างกู” ว่าแล้วก็เสยผม

ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่เด็กนักเรียนหัวเกรียนอีกต่อไปแล้ว  ฮ้อ ยไว้ผมด้านบนแต่ไถเตียนที่ขอบหูไปทั้งสองข้าง โกรกเป็นสีทองอ่อนๆ ส่วนอ๊อดไว้ทรงบ๊อบปัดไปข้างหนึ่งทำไฮไลท์เป็นสีออกแดง ส่วนจุ๊ยตัดทรงรองทรงมาตราฐานแต่ค่อนข้างสั้นและเสยขึ้นไปให้พอดูเท่ห์  ซึ่งทรงนี้อาราอิเป็นคนแนะนำ

“ไอ้ก้องติดที่มศว. ส่วนไอ้ปอก็ได้โควตาของที่ของแก่น  ไอ้ตั้มได้ที่ม.อ. ภูเก็ต  ส่วนไอ้อัศ เขาเรียนหลักสูตรนานาชาติที่นี่  แต่ก็ยังไม่เห็นมันเลย” อ๊อดตอบ เพราะเขากำลังเห่อเล่นมือถือใหม่ของเขาก็เลยคุยกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียแทบทุกวัน

“แตกกระสานซานเซนไปหมด  ก็มีแต่เรานั่นหละยังเกาะกันอยู่อย่างเหนียวแน่น” ฮ้อยพูดแล้วถอนหายใจ

“ใครอยากเกาะกับมึง  กูเนี่ยนะ  มึงปร้า... กูไม่อยากจะเจอมึงเลยยย ให้ตายชัก” จุ๊ยตอบเสียงยียวน

ฮ้อยเลยหมั่นไส้ขยี้หัวจนผมยุ่ง แต่จุ๊ยก็แค่เสยๆปัดๆ ก็เข้าทรง

“แล้วมีใครเข้าที่นี่อีกวะ  กูจะได้ไปเยี่ยม” ฮ้อยถาม

“ก็มี... ก็เยอะอยู่นะราวสี่สิบห้าสิบคนเลยหล่ะ  ที่สนิทๆก็ไอ้สังดัง ประธานชมรมวิทย์” จุ๊ยตอบ

“มันชื่อสังข์เฉยๆ” ฮ้อยแย้ง

“ทำไมคันหล่ะสิ  พูดถึงไม่ได้เลยนะมึง” จุ๊ยย้อนกลับ

ฮัอยเลยจับมันล็อกคอแล้วลากเดิน  จุ๊ยก็ดิ้นหนีออกมาได้

“มีใครอีก”

“ก็อีเหมียวเข้าคหกรรม  ไอ้ประธานชมรมบาสเข้าวิทยาศาสตร์  ไอ้โม่งที่เล่นกลอง ก็เข้าที่นี่แต่ไปเรียนอักษร” อ๊อดไล่เรียง  แล้วเขาก็วรรค

“ส่วนเมียไอ้จุ๊ย... ก็โน่นไงมาแล้ว... อยู่อินเตอร์”

จุ๊ยลอบถอนหายใจดังเฮือก

“จุ๊ยคร๊าบ คิดถึงจังเลย”  แล้วเดฟก็โผเข้ากอดจุ๊ยแนบแน่นแถมซบลงมาบนหัวของจุ๊ยด้วยความสูงที่เหนือกว่า

เป็นจังหวะพอดีกับรถรับส่งของมหาวิทยาลัยวิ่งผ่านมาพอดี  คนในรถก็เลยหันมามองกันหมด จุ๊ยได้แต่ส่งยิ้มจืดๆให้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น

“เฮ้ยมึง... อะไรวะเนี่ย  อายคนมั่งไม่ได้อยู่เหมือนกันเมื่อก่อนมีแต่ผู้ชาย  เดี่ยวนี้ผู้หญิงก็มี ไม่รักษาภาพพจน์กูก็รักษาของตัวเองบ้าง  มึงเป็นดารา” จุ๊ยติงเมื่อปลดจากการกอดมาได้  แต่เดฟก็ยังเอาแขนจุ๊ยมาควงแล้วเดิน

“จุ๊ยแคร์เหรอครับ  ผมไม่แคร์”

“หนังสดก็ยังตามมาให้ดูถึงรั้วมหาลัย...” อ็อดบอกกับฮ้อย

แล้วก็เดินตามทั้งคู่ไป

“แล้วเราจะไปไหนกันดีครับ  กินข้าวไหม  ผมไม่ได้กินข้าวกับจุ๊ยนานแล้ว”

“ไม่ต้องซบ”

“หน่อยน่าคิดถึง”

“บอกว่าไม่ต้องงง เว้ย... นี่มึงไซร้หูกูเลยเหรอ”

“ก็จุ๊ยหอมน่าไซร้”

“ไอ้เหี้ยเดฟ”

“โอยอย่าทำผัวสิครับ ผัวเจ็บ”

“ใครเมียมึงงง”

“งั้นเอาใหม่  อย่าทำเมียสิครับที่รัก  เมียเจ็บ”

ห่างออกไปพอสมควร  อาราอิเดินลงมาจากตึกเห็นพวกของจุ๊ยผ่านไปแต่ไกล คิดจะวิ่งตามไปเรียก  แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน

เลขหมายที่แสดงเป็นเลขหมายของประเทศญี่ปุ่น

นามิจัง..

“ไฮ นามิจัง” เขาตอบสายเป็นภาษาญี่ปุ่น

 

“เออใช่กว่าจะถามจุ๊ย” เดฟกล่าวตอนที่อยู่ในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสถาบัน

“เพจแซกเสียงหวานนี่ ตกลงรู้ไหมใครเป็นแอตมิน”

“หือ...” จุ๊ยขมวดคิ้ว

“อ้าวกูก็นึกว่ามึง  ก็กูเห็นมึงออกอยากจะได้กูทำผัว นี่ไม่ใช่เหรอ”

“เฮ้ย แล้วผมจะทำไปทำไม  ผมมีรูปจุ๊ยเยอะแยะในเครื่องก็จริง  แต่ผมเก็บไว้ส่วนตัว”

“เก็บทำไม” จุ๊ยจ้องตา

“อย่าบอกนะว่ามึงเก็บรูปกูไว้ว่าว”

เดฟทำลอยหน้าลอยตา

“เอาโทรศัพท์มาเลย” จุ๊ยทำท่าจะล้วงโทรศัพท์จากกางเกง

“ไม่ให้ จุ๊ยจะเอาไปทำอะไร”

“ก็เอามาลบรูปกูน่ะสิ  อุบาทว์มากเลยไอ้เดฟ” จุ๊ยว่าแล้วก็ยังพยายามจะล้วงแต่เดฟหมุนไปหมุนมา

“อย่าครับ เดี่ยวโดนเดฟน้อย” เดฟร้องออกมาค่อนข้างดัง  คนในศูนย์อาหารก็เลยหันมามองกันหลายคน

จุ๊ยจึงรีบผละออกมา

“ผัดไทสองจานได้แล้วจ้า” แม่ค้าสาวบอก 

“ครับ” จุ๊ยขานแล้วก็เดินมารับ เดฟก็ตามเข้ามา

แม่ค้ามองหน้าจุ๊ย แล้วก็มองหน้าเดฟ ก่อนจะยิ้มกรุ่มกริม

“หยอกกันน่ารักจัง” เธอว่า

เดฟยิ้มหวาน แต่จุ๊ยคว้าจานแล้วรีบเดินไป

“คือเพจมันอัพเมื่อเช้าน่ะ  เป็นรูปจุ๊ยใส่ชุดนักศึกษา” เดฟเปิดFacebook ในโทรศัพท์ให้ดู

“ตอน แรกเดฟสงสัยว่าจะเป็นนังเมียน้อย ก็เลยไม่คิดว่าเพจมันอัพอีก เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกเรา แล้วภาพมันก็หยุดอัพไปตั้งแต่ปิดเทอม”

“ใครวะนังเมียน้อย” ฮ้อยสะดุดหู

“ก็น้องวาไง” อ๊อดตอบ

“อ้อเหรอ” ฮ้อยพยักหน้า

“นี่มันพฤติกรรมสโตกเกอร์ไหมเนี่ย  น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย” อ๊อดเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ

“โอ้โห้พยายามถ่ายมากเลยนะเนี่ย  มีกระทั้งไอ้จุ๊ยตอนเป่าแซกให้พวกพี่ปีสองปีสามฟัง”

จุ๊ยมีอาการเครียดเล็กน้อย

“แล้วจะทำยังไงหล่ะ  เกิดเป็นพวกโรคจิตอะไรอย่างนี้มิแย่เหรอ” เดฟเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  หน้าตากังวลกว่าจุ๊ย

“มึงจะทำหน้าอย่างนั้นทำไม” จุ๊ยว่าแล้วเอื้อมมาตบบ่าเดฟ

“กูยังไม่เครียดเลย  กูเจอไอ้โรคจิตอยู่บ่อยๆอยู่แล้วนี่หว่า จะมีสโตรกเกอร์เพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่มีปัญหา”

“ใคร โรคจิตไหน  นี่จุ๊ยมีโรคจิตอื่นรบกวนด้วยเหรอ” เดฟสปริงตัวมานั่งตรง

สามหนุ่มนักดนตรีมองหน้ากัน ก่อนจะรุมกันเข้ามา

“ก็มึงไง”

เดฟมองหน้าที่ละคน

“ผมไม่โรคจิตนะ” เขากล่าวเสียงอ่อยๆ

ก่อนจะหันไปคว้าคอจุ๊ยมากอด

“ผมแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”

“ปล่อย เดี่ยวกูจิ้มด้วยซ้อม”

“ไม่เอาอะ จิ้มด้วยอย่างอื่นได้ไหม”

“ไอ้โรคจิต”

“ไม่นะแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”

“ปล่อยนะไอ้เดฟ”

ฮ้อยถอนหายใจแล้วสบตาอ๊อดที่มองกลับมาด้วยสีหน้าเดียวกัน

 

เพราะฮ้อยย้ายมาอยู่คอนโดมิเนี่ยมริมแม่น้ำใกล้กับบ้านจุ๊ย ก็เลยได้ร่วมทางกลับบ้านด้วยกัน ตอนแรกก็มีอ๊อดมาด้วยกัน

แต่อยู่ๆอ๊อดที่แม้จะย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ก็ยังอยู่ใกล้ของเดิม จึงยังต้องร่วมทางกับจุ๊ยเหมือนเดิม  แต่พอเดินทางไปไม่ถึงไหนอยู่ๆอ๊อดก็บอกว่าจะลงก่อนเพราะมีธุระจะไปทำ

สองคนเลยคุยกันเรื่องต่างๆ จุ๊ยก็เลยเล่าถึงเรื่องความตายของน้องสาวด้วย  ฮ้อยได้ฟังถึงกับสลด

“นี่เขาคงรักกันมากจริงๆนั้นหล่ะ  ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเนอะ” ฮ้อยถอนหายใจ 

“ดีนะกูลูกเมียน้อย  พ่อกูคงไม่มายุ่งกับกู”

จุ๊ยเผยรอยยิ้มมุมปาก แต่ตายังเศร้าอยู่

ฮ้อยจะพูดอะไรต่อ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นก่อน

“เออ” เขาขานไปเลยแบบนั้นเพราะหมายเลขที่แสดงเป็นของอ๊อด

“เออได้ๆ  เอากี่อัน”

“เออๆ”

แล้วฮ้อยทำท่าจะวางหู แต่เห็นอ๊อดยังไม่วางก็เลยเอามาฟังอีกทีเผื่อเพื่อนจะมีอะไรพูด  แต่ฟังแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว

“เฮ้ยจุ๊ย”

จุ๊ยเงยหน้า จากการสนทนากับหลิวทางไลน์

“อะไร” เขาถามเพราะอยู่ๆฮ้อยก็เอาโทรศัพท์มาแนบหู

“มึงช่วยเอาเพอร์เฟคพีชของมึงฟังสิ”

จุ๊ยฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว

“เสียงไอ้อ๊อด กับใครวะ เหมือนคุยอะไรกัน “

“ได้ยินไหมคุยอะไร”

“กินข้าว.. ไอ้อ๊อดบอกว่ากินแล้ว  ฝ่ายโน้นบอกไม่เป็นไร  เดี่ยวไปช่วยเลือกกางเกงหน่อย อยากได้กางเกงเพิ่ม” จุ๊ยตอบ แต่แล้วเขาก็ทำท่าจุ๊ปาก

ฮ้อยที่กำลังจะถามก็เลยเงียบ

“มันวางสายแล้ว” จุ๊ยกล่าว ฮ้อยก็เลยเอาโทรศัพท์เก็บ

“เสียงใครวะ สาวที่ไหน”

“ไม่ใช่สาว  ก็บอกอยู่ว่าไปซื้อกางเกง  ผู้ชายเว้ย” จุ๊ยตอบ  กดพิมพ์ต่อไปเพราะหลิวยิงข้อความมารัวยิบ

“เสียงใครหล่ะ” ฮ้อยอยากรู้

“มึงว่ามันมีใครที่ไม่อยากให้เรารู้อยู่ด้วยรีเปล่าวะ”

จุ๊ยนิ่งไป  แต่ไม่นานเพราะถ้านานกว่านี้ฮ้อยจะจับอาการเขาได้

“ก็ไม่รู้หรอก  ช่างมันเหอะ เดี่ยวมันอยากจะบอก มันก็บอกเอง”

 

อ๊อดยังมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แม้จะไม่มีภาพใดๆแสดงแล้วเพราะหน้าจอดับไปอัตโนมัติ

เขาลืมกดโทรศัพท์ทิ้ง  ซึ่งที่จริงปกติก็ไม่น่ากังวลอะไรเพราะเขาหยอดมันใส่กระเป๋าสะพาย ก็ไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไร

แต่ถ้ามีไอ้จุ๊ยอยู่ด้วย   ด้วยหูที่มีความสามารถ Absolute Pitch หรือ Perfect Pitch ที่เป็นความสามารถหายากของมนุษย์ในด้านการได้ยิน  ก็อาจได้ยินสิ่งที่เขาสนทนาเมื่อกี้

เขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังเลือกกางเกงจากราว  เด็กหนุ่มผิวค่อนข้างขาว ดวงหน้าเนียนตามแบบคนที่มาจากภาคเหนือเหมือนกับเขา

“ไม่เอาเหรอ  เมืองออกให้นะ  อ๊อดมีแค่สองตัว สลับใส่เดี่ยวก็สังคังกินพอดี”

อ๊อดส่ายหัว

“ไม่กินหรอก  เพราะเมืองก็ซักให้อ๊อดก่อนจะกางเกงจะเน่าอยู่แล้ว”

เมืองฟ้าเผยอมุมปากนิดหนึ่ง แล้วออกปากว่า

“สกปรก”

อ๊อดถอนหายใจแล้วก็ตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน  ถ้าหากโดนคาดคั้น  เขาก็คงยอมรับไปโดยดี ว่าเขากับเมืองฟ้าคบหากันมาได้เกินหนึ่งปีแล้ว...

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา