The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  52.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ร้านเครื่องดนตรี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

จุ๊ยปีนขึ้นไปหลังตู้เพื่อทำความสะอาด  โดยมีป๊ายืนดูอยู่

“ตรงนั้นด้วยจุ๊ย”

“ครับ”จุ๊ยขานแล้วก็ทำตาม

“ผมไปข้างนอกนะครับ” ซัวบอกกล่าว แล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอให้บิดาตอบ  เพราะบิดาไม่เคยตอบเขาอยุ่แล้ว

“เฮ้ยไปไหนวะ”  กลายเป็นจุ๊ยที่เรียกรั้ง

ซัวหันมา

“ไปกับเพื่อน  เดี่ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”

“เออๆ” จุ๊ยตอบออกไป เพราะไม่อยากจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้

 

จุ๊ยก็ไปทำโน่นทำนี่ต่อจากนั้นอีกหลายอย่างจนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วก็ไปอาบน้ำ  แต่พอเดินกลับเข้าห้องมาก็เห็นว่าโทรศัพท์มีทั้งแจ้งเตือนจากFacebook และสายไม่ได้รับ

เปิดFacebook ก่อนเป็นรูปของหลิวในชุดแต่งกายของฤดูใบไม้พลิในอิริยาบถต่างๆภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา  เขาอมยิ้ม  จะว่าไปหลิวในชุดแบบนี้ก็ดูเหมือนนางเอกในซีรี่เกาหลีอยู่มากเหมือนกัน  จุ๊ยยิ้มตอนเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ

พอดูเสร็จครบอัลบัม  เขาก็เรียกดูสายไม่ได้รับ

“โยชิ”

 

โยชิลบหน้าเสร็จแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเขากลับบ้าน  แต่เขาเหลือบไปเห็นเดฟเดินเข้ามายกมือไหว้ช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นอย่างไม่นอบน้อม 

เขาก็เลยเดินเข้าไปทัก

“เฮ้ยได้เจอกันอีกแล้วนะเรื่องนี้”

เดฟนั่งลงให้เพื่อให้ช่างแต่งหน้า

“เออดิ... เค้าคงติดภาพซีรี่เรื่องเก่าที่เราเล่นด้วยกันมั้ง ผมเลยได้งานนี้”

โยชิพยักหน้า

“เออ.. ได้เจอจุ๊ยบ้างไหม”

เดฟมองจะมองหน้าโยชิแต่จังหวะนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามา เขาเลยได้แต่ตอบไม่ได้เห็นหน้ากัน

“ไม่เลย ทำไมเหรอ”

“ก็ฉันโทรไปตั้งหลายครั้งเขาไม่รับ  กะจะชวนไปเที่ยวกันหน่อย มีคิวว่างหลายวัน  แถมไม่ได้เจอกันนานแล้ว”

เดฟไม่ได้ตอบในทันที  แต่พอช่างแต่งหน้าหลบพ้นไป  โยชิก็ได้เห็นหน้าเขาจากกระจก

“มันคงไม่ว่างมั้ง  จุ๊ยมันชอบปิดเสียง  พอโทรศัพท์ดังก็เลยไม่ค่อยรู้” เดฟตอบ

โยชิกำลังจะพูดอะไร  แต่เพราะโทรศัพท์สั่นก็เลยยกมารับก่อน

“ครับจุ๊ย” โยชิตอบสาย ก่อนหันมายกมือบอกโยชิในเชิงขอตัว

เดฟมองโยชิเดินออกไปผ่านกระจก

พักนี้เป็นอะไรหนอ... นึกอยากจะปิดระบบโทรศัพท์ทั้งโลกไปเลยทีเดียว

 

วันนี้จุ๊ยคิดจะไปซื้อReed ของแซกโฟโฟนของใหม่เนื่องจากของเก่าของเขาพังไปหมดแล้ว  แต่พอโยชิโทรมาก็เลยชวนไปด้วย

โยชิต้องใส่แว่นดำพลางแถมใส่หมวก เพราะตอนนี้กำลังมีงานหลายงานจน เป็นที่สนใจของสังคมตอนนี้

เขาเดินตามจุ๊ยลัดเลาะย่านวรจักร จนมาถึงร้านเล็กๆพอเขาพลักประตูเข้าไป ชายผิวขาววัยประมาณยี่สิบกว่าก็เงยหน้า

“เฮียอาร์ท สวัสดีครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้

“อ้าวไม่ได้มานานเลยจะจุ๊ย  นี่โตขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” พูดแล้วก็ออกมาโอบบ่าเขย่าด้วยความเมตตา

แล้วก็หันไปมองโยชิ

“นี่เพื่อนของผม  โยชิ” จุ๊ยแนะนำ

อาร์ทถอยหลังนิดหนึ่งตอนที่โยชิถอดแว่นตาดำออก

“เฮ้ยดารานี่หว่า” อาร์กร้องแล้วหันมองหน้าจุ๊ย

โยชิทำท่าจะยกมือไหว้  แต่เขาห้ามเสียก่อน

“ไม่ต้องๆ เราอายุใกล้ๆกัน  ผมพึ่งจบจากที่เดียวกับคุณ ก่อนคุณแค่ห้าหกปี”

 

โยชิเดินดูอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอย่างสนใจ ระหว่างที่รออาร์ทขึ้นไปหยิบของที่สต็อกชั้นสอง

“พวกนี้มือสองหมดเลยเหรอ”

“อืม.. ร้านนี้เขารับซื้อรับแลกเปลี่ยน แล้วก็ขายมือสอง  จุ๊ยเองก็ได้แซกจากร้านนี้  แล้วก็ได้วิชาจากที่นี่ด้วย”

“ได้วิชา” โยชิทวนคำ

จุ๊ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่แขวนอยู่บนผนัง

“อาจารย์ถนอม  เขาเป็นเพื่อนแม่ของเรา แล้วก็เป็นอาจารย์ของฉันด้วย เราก็มาร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่อยากให้ฉันเรียนดนตรี  ฉันก็เลยเรียนทุกอย่างอย่างจากที่นี่”  แล้วก็เดินมาที่เปียโนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดชิดข้างฝา

เขาเปิดฝาครอบคีย์แล้วนั่งลงบรรเลงเป็นเพลง Old Time Rock and Roll ของ Bob Seger

อาร์ทเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องReed ที่จุ๊ยต้องการ

ภาพของบิดาซ้อนเข้ามา  บิดากำลังสอนเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณ ห้าขวบให้เล่นเปียโนตัวนี้

จุ๊ยเป็นเด็กหัวไวมาก  เขาเรียนเปียโนอยู่แค่ครึ่งวันก็เล่นได้หนึ่งเพลงแล้ว  ด้วยความหัวไว ทำให้บิดาของเขาชอบใจมาก  จนกระทั้งสอนวิชาเอกของท่านให้คือเครื่องเป่า

ถนอม จิตรวรรณาพงษ์ นักดนตรีไทยคนหนึ่งที่เคยเล่นร่วมวงกับวงดนตรีชื่อดังของโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน  คือบิดาของเขา

พอจบเพลง  โยชิก็ปรบมือ

“ยังๆๆ นี่มันวิชาที่ไอ้จุ๊ยไม่ค่อยถนัด  ต้องแซกสิของจริง เคยฟังหรือยังหล่ะ” อาร์ทกล่าวกับโยชิ  แล้วเดินผ่านไปหาจุ๊ย

“นี่... ของดีสุดเลย ”

จุ๊ยลังเล

“ผมมีเงินไม่เยอะนะพี่” จุ๊ยบอก

“เฮ้ยเอาไว้ค่อยมาให้วันหลังก็ได้  วันนี้เอาของไปก่อน” อาร์ทตอบ

จุ๊ยทำหน้าบอกชัดว่าเกรงใจมาก

แต่อาร์ทเอาใส่ถุงให้

“เอาไปสิ... เธอกับไตรเป็นศิษย์แค่สองคนของพ่อ  ตอนนี้ไตรก็ไม่อยู่แล้ว  เธอก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะศิษย์  อย่าทำให้ชื่อของพ่อหายไปนะจุ๊ย  แม้คนไทยจะลืมท่านไปแล้ว  แต่นายต้องทำให้ท่านกลับมา  โดยการกลับมาในตัวจุ๊ยเข้าใจไหม”

จุ๊ยมองหน้าอาร์ท  ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซึ้งใจ

โยชิถึงกับต้องอมยิ้มเพราะภาพนั้น

 

สองหนุ่มออกไปแล้วแต่อาร์ทก็มองส่งออกไปก่อนจะหันมามองรูปของบิดา

บิดาเคยบอกเขาว่า ความสุขใจของครูไม่ใช่การสอนให้ลูกศิษย์เหมือนตน  แต่การทำให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปกว่าตนเอง

“พ่อเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกล  อาจไกลกว่าพ่อมาก ถ้าเขายังเดินบนเส้นทางดนตรีไม่ทิ้งลงกลางคัน”

 

โยชิยังไม่เคยมาเดินเที่ยวเยาวราชมาก่อนเลย  พอจุ๊ยเดินพาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย  แม้จะร้อนเหงื่อไหลย้อยจนเสื้อเปียก  ยังดีที่เขาใส่เสื้อยืดตัวบางๆเท่านั้น

“หอยทอดเจ้านี้อร่อยมาก” จุ๊ยบอก

“กินได้ไหม”

โยชิมองหน้าจุ๊ย

“ทำไมคิดว่าเรากินไม่ได้”

“อ้าวก็โยชิเป็นคุณหนูนี่  ก็กลัวว่าจะกินไม่ได้”

“เฮ้ยตอนเราอยู่ญี่ปุ่นเราก็กินอย่างนี้ล่ะ” โยชิตอบแล้วกอดคอจุ๊ยเดินเข้าร้าน

พอสั่งเสร็จจุ๊ยก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามนิสัย

ตอนกินก็กินไปเงียบๆ นอกจากจะถามว่าอร่อยไหม แล้วก็กินกันต่อไป

แต่สักครู่

“ขออ่อส่วนนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

โยชิที่นั่งหันหลังให้หน้าร้านก็เลยหันกลับไปมอง

“ไปไหนมาค่ะคุณสไบทอง”

“ไปร้านทองหัวมุมมาค่ะ เอาสร้อยมาให้ต่อให้มันขาดตอนไปถ่ายรายการ”

พอได้ยินชื่อว่าสไบทองจุ๊ยก็หันไปบ้าง

“แม่ของนายนี่”

โยชิหันกลับ

“อย่ามอง  หันไปแกล้งทำไปเป็นไม่เห็น”

แต่จุ๊ยยิ้มแหย่ๆ

“ไม่ทันแล้วล่ะ”

“ไม่ คิดว่าจะเจอที่นี่นะ อาราอิ” หญิงสาวดวงหน้าสวยงามแม้จะสูงวัยพอสมควรกล่าว แล้ววิสาสะนั่งลง เพราะรู้ว่ายังไงลูกชายก็ไม่เชิญแน่นอน

จุ๊ยจึงยกมือไหว้เธอ

สไบทองรับไหว้ แล้วก็ทำท่านึก

“อ้อนี่น้องที่ไปเล่นดนตรีที่งานของฉัตรอัครใช่ไหม  ฉันก็ไปนะ  ไปตอนที่เธอแสดงพอดี”

จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่โยชิเมินไปอีกทาง

จุ๊ยเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที

“ดีแล้วล่ะที่มีหนูเป็นเพื่อนแบบนี้  อาราอิ เอ้ย โยชิสินะ  เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนะ  ว่างก็มาเที่ยวที่บ้านบ้างก็ได้” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย

“ว่าแต่หนูเก่งมากเลย  แล้วนี่จบม.หกแล้วสินะ  จะเรียนต่อที่ไหนล่ะ คะแนน.. อืมเรียกว่าAdmission ใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”

“ผมไม่ได้สอบครับ” จุ๊ยตอบ

“อ้าว” สไบทองทำท่าแปลกใจ

แม้แต่โยชิยังหันมา

“ก็ผมคิดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดครับ  ของรามคำแหงเขาก็มีวิชาเกี่ยวกับคนตรี” จุ๊ยอธิบาย

“อืม.. ถ้าติดขัดเรื่องทุนฉันช่วยได้นะ” สไบทองกล่าวทั้งเสนอตัว

จุ๊ยเคยได้ยินว่าพวกดาราจะเสแสร้งได้เก่งมาก  จุ๊ยเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสไบทองกำลังเล่นละครเป็นคุณแม่ของเพื่อนที่แสนดีหรือว่าเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างนั้นจริงๆ

“คงไม่ต้องลำบากแม่หรอกครับ  เพราะลุงเนมเสนอให้จุ๊ยไปแล้ว แต่จุ๊ยเขาปฏิเสธ”  โยชิกล่าวตามที่รู้มาจากเพลงพิณ

“ผมขอตัวนะครับ”

แล้วโยชิก็ลุกขึ้นโค้งอย่างเป็นทางการมาก ก่อนจะหันหลัง

“อ้อก่อนฉันจะลืม” สไบทองกล่าวขึ้น

“ถ้ามีคิวว่างๆ ไปญี่ปุ่นไปจัดการเรื่องบ้านกับทรัพย์สินด้วยนะ  เพราะสินสมรสของพ่อแกกับฉันน่ะ ฉันไม่ได้อยากได้  ยกให้แกทั้งหมด”

โยชิยืนนิ่ง  จุ๊ยเห็นเขาขบกรามจนเป็นสัน

“ครับคุณนาย” เขาหันมาโค้งให้อีกทีแล้วเดินออกไป

 

จุ๊ยเดินตามโยชิอยู่นานพอสมควรโดยไม่ได้พูดอะไร

กระทั้งโยชิกล่าวขึ้นขณะทั้งคู่เดินมาหยุดตรงบริเวณใกล้กับสถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน

“ขอโทษนะเลยทำให้นายหมดอารมณ์เลย”

จุ๊ยมองรอบตัวแล้วก็ตอบ

“ไม่เป็นไร  ฉันก็ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรนี่ ว่าแต่..”

“ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก  แม่น่ะเล่นละครเก่ง  เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น  แต่ฉันกับแม่แทบไม่ได้คุยกัน”

“อืมเข้าใจหรอก  ว่าแต่..”จุ๊ยกล่าวอีก

“แม่กับพ่อฉันแยกกันอยู่น่ะ  ฉันก็เลยตามพ่อกลับญี่ปุ่นไปแต่เล็ก  แต่พ่อกับแม่พึ่งจะหย่าขาดจากกันก็เมื่อปลายเดือนก่อนนี่เอง”

จุ๊ยเดินมาตบบ่าเพื่อน

“เราเข้าใจนาย  อย่าคิดมาก ว่าแต่...”

“เราก็อยากทำดีกับแม่นะ  แต่มันทำไม่ได้จริงๆ  นายยังจำเรื่องที่พัทยาได้ใช่ไหมหล่ะ”

จุ๊ยคิด  ตอนนั้น อ้อ.. ตอนที่พวกเขาสองคนลงรถทีพัทยาก็เพื่อจะไปตามหาแม่ของโยชิที่เข้าพักที่โรงแรมในพัทยา

“อื่ม... ฉันก็เข้าใจ  แต่ที่สุดเราก็ต้องยอมรับนะ  ในเมื่อเขาสองคนเดินทางไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องแยกกันเป็นธรรมดา” จุ๊ยกล่าว

“ว่าแต่”

ฉันไม่น่าเล่าเรื่องพวกนี้เลยเน้อ ทำให้นายไม่สบายใจไปด้วย” โยชิหันมามองหน้าจุ๊ย

ตอนนี้ใบหน้าของโยชิมีมันเคลือบจางๆ  ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปุถุชนของเขามากขึ้นกว่าก่อน

“ขอบใจนะที่อุตส่าห์เข้าใจเราโดยตลอด”

จุ๊ยเงียบเพราะตอนนี้โยชิมองตาจุ๊ยอย่างลึกซึ้งเหมือนจะจ้องเข้าไปภายใน

“เอออ ไม่เป็นไร” เชาหลบตาก่อน

โยชิก็เหมือนจะเขิน หันไปอีกทาง

“แล้วนี่เราอยู่ไหนกัน” เขาเริ่มสังเกตว่ารอบตัวไม่คุ้นเคย

“ก็นี่หล่ะที่จะถาม” จุ๊ยกล่าวแล้วกอดอก

“นายจะไปไหนเดินเอา เดินเอาอย่างกับรู้ทาง”

“อ้าว.. เหรอ” โยชิยิ้มเขินๆ หัวเราะออกมาแก้เก้อ

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

 ระหว่างเดินกลับไปที่จุดซึ่งโยชินำรถไปฝากจอดไว้  โทรศัพท์ของจุ๊ยก็ดังขึ้น

“จุ๊ยเหรอ  เฮียพัฒน์นะ” ฝ่ายโน่นตอบมา

“ครับ” จุ๊ยตอบ

โยชิหันมามองแล้วก็เดินคู่กันต่อไป

 

ในรถที่ค่อนข้างติดขัด

จุ๊ยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด 

โยชิก็เลยถาม

“เป็นอะไรเหรอ  มีอะไรรึเปล่า”

จุ๊ยที่เอาแขนท้าวกับขอบประตูมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันมา

“อ้อ.. คิดอะไรเพลินๆน่ะโทษที”

โยชิกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผ่นซีดี

“พรุ่งนี้ฉันก็ว่างนะ  อยากจะไปเที่ยวไหนกันไหม  ฉันว่างตั้งสามวัน”

จุ๊ยนิ่งอยู่นิดหนึ่ง

“ไประยองไหม” จุ๊ยถามออกไป

โยชิหันมามองหน้า

จุ๊ยก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชวนออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ชวนไปแล้ว

“เรามีน้องสาวอีกคนอยู่ระยอง  เราไปเยี่ยมทุกปี ปีนี้ยังไม่ได้ไปเลย  ไปด้วยกันไหมล่ะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา