The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย

10.0

เขียนโดย ชลันธรี

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.

  9 chapter
  0 วิจารณ์
  11.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) การแทรกแซง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วิเวียนคุกเข่าสวดภาวนาต่อลอมานัมอยู่ภายในวิหารแห่งโลหิต นางรู้สึกว่าจิตใจของนางสงบลงทุกครั้งที่ได้สวดอ้อนวอนถึงเทพบิดรองค์ที่ตนและคนในตระกูลฟาลาโมทุกคนนับถือ เสียงของมารดาแห่งโลหิตนักบวชหญิงประจำวิหารศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นเบื้องหลังของนาง

               “มีค้างคาวปีศาจมาเกาะรอท่านอยู่ฝ่าบาท”

          วิเวียนค่อยๆลืมตาขึ้น นางทรงตัวลุกขึ้นยืนพร้อมผิวปากเบาๆครั้งหนึ่ง ค้างคาวตาสีแดงตัวใหญ่ก็บินโฉบลงมาเกาะบนแขนของนางก่อนจะไต่ตรงขึ้นไปยังไหล่ และฝังเขี้ยวของมันลงกับลำคอซีดขาวและดื่มเลือดของนางอย่างกระหาย

          ภาพต่างๆที่ค้างคาวปีศาจพบเห็นถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของนางประดุจหนังเรื่องหนึ่งที่ฉายภาพของคณะเดินทาง และเสียงของนูริลที่รายงานถึงความเป็นไปต่างๆของภารกิจ จนเมื่อค้างคาวปีศาจถอนเขี้ยวของมันออกจากลำคอของนางและบินจากไป รอยเขี้ยวที่คอของวิเวียนก็สมานกันสนิทอย่างรวดเร็ว

               “ขอบพระทัยเทพบิดรที่ทรงอำนวยพรให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่ข้าได้วางไว้” นางทรุดตัวลงหน้าแท่นบูชาพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความยินดี...

          ในคืนสุดท้ายของการเดินทางนอกเขตผนึกทุกๆคนในคณะเดินทางของเฟเรย์ต่างพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงในการเดินทางอันต่อเนื่องโดยที่จะไม่ได้หยุดพักอีกซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันรุ่ง พวกเขาทั้งหมดหลับพักผ่อนกันแต่หัวค่ำพร้อมกับสลับผลัดเปลี่ยนเวนยามกันรักษาความปลอดภัย มีเพียงเบลเท่านั้นที่ทุกคนปล่อยให้เขานอนพักอย่างเต็มที่เนื่องจากเห็นสภาพการอดนอนของเขามาหลายวัน

               “เด็กน้อย… เจ้าช่างน่าสนใจ” เสียงอันนุ่มนวลของชายคนหนึ่งดังขึ้นในความฝันของเบล

               “ท่าน…ท่านเป็นใคร…ท่านคือเจ้าของเงานั่นหรือ? ท่านเป็นใครกันแน่?” เบลถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงของเงาดำประหลาดที่เขาฝันเห็นมันทุกครั้งที่หลับตลอดหลายคืนมานี้เป็นครั้งแรก

               “ไม่ต้องกลัวเด็กน้อย… ข้าเป็นสหายของเจ้า…พรุ่งนี้พวกเจ้าจะมีภัยมาถึงจงระวังตัว แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเพราะข้าจะคุ้มครองเจ้า”

          เสียงของมารอนดังขึ้นปลุกเบลจากความฝัน เขาตื่นขึ้นพร้อมกวาดสายตามองทุกคนที่เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกันอยู่ก่อนสักพักแล้ว แต่เหมือนตั้งใจจะปลุกเขาเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องการให้เขาพักผ่อน เขารู้สึกละอายใจที่ตนเองกลายมาเป็นเสมือนภาระของคณะเดินทางในครั้งนี้ เขาจับหีบเพลงปากซึ่งเฟเรย์มอบให้ที่เหน็บอยู่ที่เอวพร้อมกับพูดกับตัวเองว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง

               “ท่านเฟเรย์ ข้า….เอิ่มมม ข้า”

               “มีอะไรหรือเบล” เสียงของเฟเรย์ตอบกลับอย่างรีบๆ

          เบลเหมือนพยายามจะเตือนเฟเรย์ถึงเสียงจากเงาดำนั่นที่เตือนว่าวันนี้จะมีภัยมาถึงพวกเขา แต่แล้วก็ยั้งไว้เมื่อคิดได้ว่าการนำฝันร้ายมาบอกก่อนจะออกเดินทางในช่วงคับขันเช่นนี้น่าจะเป็นอะไรที่ไม่ควรนัก อีกอย่างมันก็แค่ความฝันหากเขาเล่ามันออกมาเฟเรย์และทุกคนอาจจะมองเขาเป็นตัวตลกกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

               “ไม่มีอะไรขอรับข้าแค่จะขอบคุณสำหรับเรื่องหีบเพลงที่ท่านให้อีกครั้งมันทำให้ข้านอนหลับสนิทขึ้น”

               “โถ่… นึกว่าเรื่องอะไรเด็กน้อยข้าว่าเจ้ารีบลุกขึ้นเก็บของและเตรียมตัวเดินทางเถอะ พวกเราจะต้องไปกันอีกไกลรอบนี้ไม่มีการพักแล้วนะ” เฟเรย์กล่าวตอบเบลพร้อมกับเตรียมสัมภาระต่างๆขึ้นหลังของเจ้ารูนม้าเพื่อนยากของเขาไปพลาง

          เมื่อทุกอย่างพร้อมคณะเดินทางก็ได้เริ่มต้นการเดินทางกันอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาเหมือนจะเร่งฝีเท้ากันมากเป็นพิเศษหลังจากทั้งคนและม้าได้พักกันอย่างเต็มที่แล้วในคืนที่ผ่านมา เฟเรย์และทหารผู้ติดตามต่างเฝ้าระวังสิ่งต่างๆรอบข้างเมื่อเดินทางอยู่ในเขตชายป่าของป่าดามิริล ป่าต้องห้ามที่มีตำนานมากมายเกิดขึ้นและส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนักสำหรับคนเดินทาง

          เฟเรย์และคณะ เดินทางกันอย่างต่อเนื่อง หลายสิบชั่วโมงผ่านไปทุกคนแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างแต่เมื่อทราบว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเข้าสู่เขตผนึก และเส้นทางหลักเพื่อมุ่งสู่อาณาจักรเดอบริลจุดหมายปลายทาง ความเหน็ดเหนื่อยก็เหมือนจะทุเลาลงไป

          มีเพียงเบลเท่านั้นที่ยังคงคิดทบทวนความฝันและเสียงจากเงาดำที่กล่าวเตือนเขาเมื่อคืนอยู่เนืองๆแต่เมื่อตลอดการเดินทางที่ผ่านมายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำให้เขาเบาใจลงจนเกือบจะคิดว่ามันอาจจะเป็นเพียงความฝันของเขาเองซึ่งไม่ได้มีความสำคัญอะไร เขาเริ่มยิ้มให้กับความคิดบ้าๆของเขาตอนตื่นนอนที่เกือบจะพูดเตือนเรื่องนี้ออกไปกับเพื่อนร่วมทางทั้งหมด

               “ท่าน ท่านเฟเรย์ข้าว่าข้าเห็นพวกแวมไพด์!!” มารอนกล่าวขึ้นเมื่อเห็นเงาดำสายหนึ่งหลังต้นไม้ในป่าดามิริล

               “เจ้าแน่ใจหรือมารอน”

          เฟเรย์ถามกลับเพื่อตอกย้ำสิ่งที่มารอนเห็น เพราะเส้นทางข้างหน้าที่พวกเขากำลังจะผ่านไปถึงจะเป็นช่วงสุดท้ายของชายป่าดามิริลแห่งนี้ ก่อนจะเข้าสู่ทางหลักในเขตผนึก 

               “ฮ่า ฮ่า จะรีบไปไหนเฟเรย์” เสียงหัวเราะดังก้องขึ้น  นูริลพร้อมกับแวมไพด์ร่วมร้อยตนค่อยๆเผยตัวขึ้นล้อมรอบคณะเดินทางของเฟเรย์

               “นี่มันบ้าจริงๆ เป็นเรื่องจนได้” ทหารผู้ติดตามเฟเรย์หัวเสียก่อนที่จะลงจากม้าพร้อมกับชักดาบมาไว้ในมือเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์

               “นูริล คราวก่อนเจ้ายังไม่เข็ดอีกหรือ ช่างตื๊อพวกข้าจริงๆ” เสียงเฟเรย์กล่าวพร้อมกับชักดาบเล่มเดิมที่เคยเปล่งแสงแผดเผามือของนูริลมาแล้ว

               “จับพวกมันให้หมด เหลือเฟเรย์ไว้ให้ข้า” นูริลกล่าวเสียงเข้มเหมือนยังเสียหน้าจากการต่อสู้ครั้งก่อน เขาชักมีดคู่สีดำที่เป็นอาวุธคู่ใจออกจากเอวพร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

               “พวกมันมากันเยอะมาก เราคงจะรอดยากข้าว่า ท่านพาเด็กหนุ่มสองคนนั้นหนีออกไปก่อน”

               ใช่ท่านเฟเรย์ เหลือน้อยดีกว่าไม่เหลือนะท่าน"

               “เมื่อมีโอกาสอย่าลืมแก้แค้นให้กับพวกข้าด้วย หากพวกข้าแพ้พวกข้าจะฆ่าตัวตายไม่ยอมตกเป็นทาสเลือดพวกมันแน่นอน ฮ่า ฮ่า”

          เหล่าทหารคนสนิทที่ร่วมเดินทางมากับเฟเรย์ใช้ตัวของพวกเขากำบังเฟเรย์ และเด็กหนุ่มทั้งสองไว้พร้อมกับต้านรับการโจมตีจากเหล่าแวมไพด์ที่เหมือนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

               “ข้าเข้าใจสถานการณ์ดีแต่ในสนามรบข้าเป็นหัวหน้าไม่ใช่พวกท่าน มารอนพาเพื่อนของเจ้ารีบเดินทางเข้าไปในอาณาเขตผนึก เอาสิ่งนี้ไปด้วย หากว่ารอดไปได้รีบไปหาท่านมาลาไคด์ สานต่อภารกิจของพวกเราให้สำเร็จ”

          เฟเรย์กวัดแกว่งดาบในมือที่เริ่มเปล่งแสงขึ้นอย่างช้าๆ เขาโยนกระสอบใส่หีบภารกิจให้กับมารอนรับไว้ ก่อนจะบอกให้เด็กทั้งสองพยายามเอาตัวรอดจากการต่อสู้นี้ไปเพื่อทำภารกิจต่อให้สำเร็จให้ได้

               “ไม่ท่านอา ข้าจะอยู่สู้กับพวกท่าน ข้าไม่อยากหนี!! มารอนปฏิเสธคำสั่งของเฟเรย์ ก่อนจะถลันตัวเองขึ้นไปด้านหน้า

               “นี่เป็นคำสั่งทหาร!!! เฟเรย์ตะโกนพร้อมใช้มือตบหน้ามารอนอย่างแรง

          มารอนหันหน้ากับมาจ้องหน้าเฟเรย์ใบหน้าเขายังร้อนผ่าวด้วยแรงตบเมื่อครู่ เขาไม่ได้โกรธเฟเรย์เลยแม้แต่น้อยเพราะถึงเขาจะไม่ฉลาดนักก็ทราบดีว่าเฟเรย์ต้องการให้พวกเขารอด แม้ว่าเฟเรย์จะไม่ค่อยได้พูดอะไรกับเขาซึ่งเป็นหลานแท้ๆมากนักในช่วงที่ผ่านมาแต่นั่นก็เป็นเพราะเฟเรย์ไม่อยากให้เหล่าทหารคนสนิทคนอื่นๆคิดว่าเขาสปอยหลานของตนเองหรือทำตัวสองมาตรฐานกับคนในครอบครัว

               “ขอรับท่านเฟเรย์!!!

          มารอนกล่าวรับคำสั่งอย่างเข้มแข็ง ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนระเบียบวินัยจะยิ่งสำคัญกว่าความห่วงใยฉันท์ญาติมิตร เขารีบเดินออกไปหลังเฟเรย์พร้อมกับกระชากตัวของเบลซึ่งกำลังตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวขึ้นอย่างกะทันหัน

               “เจ้าไปกับข้าเบล รีบไป!!"

               “แต่... ท่านเฟเรย์ล่ะ ท่านอาของเจ้าล่ะมารอน”

               “นี่เป็นคำสั่งจากท่านอา เจ้าจะต้องหนีไปกับข้า”

               “แต่ข้า...” 

          ยังไม่ทันที่เบลจะโต้เถียงอะไร มารอนก็ต่อยเขาหนักๆเข้าที่ท้องน้อยครั้งหนึ่งจากนั้นก็เหวี่ยงร่างซึ่งสลบไปของเขาขึ้นม้าไปด้วยความรวดเร็ว

               “ขอโทษนะเพื่อนรัก แต่ข้าจำเป็น...” มารอนกล่าวก่อนที่จะพยายามควบม้าพร้อมประคองร่างของเบลและหีบภารกิจเพื่อออกจากสถานการณ์ตรงหน้า

          นูริลสังเกตเห็นสิ่งที่มารอนทำ เขาตะโกนสั่งให้พวกทหารแวมไพด์ส่วนหนึ่งเข้าขวางทางม้าของเด็กทั้งคู่เอาไว้อย่างทันท่วงที พวกแวมไพด์ไม่รอช้าพวกมันใช้กรงเล็บสังหารม้าที่มารอนขี่อยู่อย่างรวดเร็ว

               “บัดซบจริงๆ ไอ้พวกแวมไพด์บัดซบ” 

          มารอนสบถพร้อมกับม้าที่ทรุดตัวลงกับพื้นตายคาที่มารอนประคองกระสอบซึ่งใส่หีบไว้กับตัวพร้อมกับแบกเบลซึ่งสลบอยู่ขึ้นพาดบนไหล่ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะผ่านกำแพงของแวมไพด์นับสิบตนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร

                “ท่านเฟเรย์ ท่านรีบไปช่วยเด็กทั้งคู่ก่อนเถอะพวกข้ายันเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว” เสียงทหารคนสนิทคนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนที่จะล้มลงกับพื้นตามเพื่อนอีกสองคนซึ่งสลบล้มลงไปก่อนหน้าแล้ว

               “ช่วยตัวเองให้รอดก่อนดีไหมท่านแม่ทัพเฟเรย์”

          เสียงนูริลกล่าวเยาะเย้ยเฟเรย์พร้อมกับการโจมตีอันพลิ้วไหวต่อเนื่อง ครั้งนี้นูริลใช้วิธีการโจมตีเฟเรย์ด้วยความรวดเร็วแล้วถอยออกพยายามให้เฟเรย์ปัดป้องจนกว่าจะหมดแรงไปเอง เขาหลีกเลี่ยงที่จะปะทะหรือยันกำลังกับดาบที่เปล่งแสงของเฟเรย์ซึ่งเคยแผดเผามือของเขาอย่างเจ็บแสบในคราวก่อน

          เฟเรย์แม้ว่าจะเป็นห่วงเด็กทั้งสองแต่เขาก็รู้สถานการณ์ดีว่าการต่อสู้กับคนระดับนูริลนั้นไม่สามารถที่จะประมาทได้แม้เพียงชั่วพริบตา เขากระโดดถอยห่างไปทางมารอน พร้อมกับปักดาบของเขาลงกับพื้น

               “มารอน นี่เป็นโอกาสเดียวจงหนีไปให้พ้นให้ได้”

          เฟเรย์เริ่มหลับตาลงตรงหน้าดาบของเขาที่ปักอยู่บนพื้น ไม่นานพื้นดินรอบๆดาบของเขาก็ค่อยๆเปล่งแสงสีขาวนวลและขยายวงขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกแวมไพด์ที่อยู่โดยรอบต่างกระโดดหนีออกห่างจากแสงนั้น พวกที่หนีไม่ทันก็ถูกแสงจากพื้นนั้นแผดเผาลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น

               “โอ.. ยังมีของดีเหลืออยู่อีกสินะเฟเรย์....แต่เจ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์มนต์จะสร้างเขตอาคมนั่นได้นานแค่ไหนกันเชียวนี่ก็แค่ประวิงเวลาไปอีกหน่อย” นูริลซึ่งอยู่ห่างออกไปใช้มือป้องตาจากแสงที่ส่องขึ้นจากพื้นก่อนยิ้มและพูดขึ้นอย่างเย้ยๆ

               “ไปมารอน ไป!!!

          เสียงเฟเรย์กล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกักเหมือนพยายามเพ่งสมาธิเต็มที่กับเขตอาคมที่เขาสร้างขึ้น เขารู้ดีว่าสิ่งที่นูริลกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง เขาไม่ใช่จอมเวทย์แม้ว่าจะมีดาบวิเศษ “อิลิเอล” ซึ่งตกทอดกันมาในหมู่ผู้นำกองกำลังฟินิกซ์ติดตัวอยู่ก็ตามแต่ด้วยอายุและประสบการณ์ของเขาทำให้ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแม้ว่าจะเฝ้าฝึกฝนมาหลายปีแล้วก็ตาม มารอนรับคำก่อนที่จะถลันตัวออกไปทางด้านหลังของเฟเรย์มุ่งตรงเข้าไปในป่าดามิริลซึ่งเป็นทางเดียวที่เขาพอจะเห็นทางรอด

               “เจ้าเด็กนั่นโง่กว่าที่ข้าคิด...พวกเจ้าจงติดตามไปเอาตัวพวกมันมาจำไว้อย่าทำร้ายพวกมันไม่เช่นนั้นพวกเจ้าตาย”

               “ยอมแพ้เสียเถอะ เฟเรย์น้ำน้อยไม่อาจเอาชนะไฟที่โหมแรงได้หรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          นูริลกล่าวสั่งทหารแวมไพด์จำนวนหนึ่งให้ไปตามล่าเด็กทั้งสองและหีบกลับมาให้กับตนเอง เหล่าแวมไพด์รับคำอย่างไม่อิดออดพวกมันประมาณสิบตนวิ่งออกติดตามมารอนและเบลไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าพลังของเขตอาคมที่เฟเรย์สร้างขึ้นค่อยๆอ่อนแรงลงพร้อมกับตัวของเฟเรย์เองที่ค่อยๆสั่นเทิ้มเหมือนไม่สามารถทนต่อไปได้อีก และอีกไม่นานเฟเรย์ก็คงจะหมดแรงล้มลงเช่นเดียวกันกับเหล่าทหารคนสนิทของเขาอีกห้าคนที่ล้วนถูกจับตัวไว้ทั้งหมดแล้วในเวลานี้

               “ข้าจะปกป้องเจ้าเองเด็กน้อย ไม่ต้องกลัว...”

          เบลตื่นขึ้นด้วยเสียงของเงาดำที่คุ้นเคยบนไหล่ของมารอน ก่อนที่เขาจะบอกให้มารอนวางเขาลงในขณะที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของพวกแวมไพด์ เบลยืนขึ้นใช้หลังพิงเข้ากับร่างของมารอน ตัวเขาสั่นอย่างยากที่จะควบคุมไว้ได้ด้วยความกลัว พลันนึกถึงเสียงของเงาดำนั้นที่เตือนเขาเมื่อคืนและนึกอะไรบ้าๆบางอย่างขึ้นมาได้

               “ช่วยข้าสิ!!! ไหนท่านบอกว่าจะช่วยข้าไง!!

               “ตอนนี้ล่ะที่ข้าต้องการให้ท่านช่วย... ช่วยให้พวกเรารอดสิ!!! เบลตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า

               “เจ้ากลัวจนเสียสติไปแล้วหรือไงเบล”  มารอนกล่าวขึ้นเรียกสติของเบลเพราะคิดว่าเขาคงจะกลัวจนบ้าไปแล้ว

แต่ทันใดนั้นเองแวมไพด์ตนหนึ่งก็เหมือนสลบลงกับพื้น เขาทั้งสองรวมถึงแวมไพด์ตนอื่นๆต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงครู่เดียวเท่านั้นแวมไพด์ตนนั้นก็ลืมตาขึ้นแต่ดวงตาของมันกลับเหมือนถูกย้อมด้วยสีดำสนิท มันหันซ้ายหันขวามองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะวิ่งเข้าใส่มารอนอย่างรวดเร็วและชิงกระสอบหีบหน้ากากมาไว้ในมือ

               “บ้าจริง...ท่านอาเฟรย์ต้องฆ่าข้าแน่ๆ” มารอนสบถเสียงดัง

แวมไพด์ตนนั้นโยนกระสอบใส่หีบให้เพื่อนของมันอีกคนพร้อมกับทำมือชี้โบ๊ชี้เบ๊เหมือนต้องการให้นำกลับไปให้แก่นูริล

               “ข้าเข้าใจแล้ว..ข้าจะรีบนำกลับมันไปให้กับท่านนูริล” แวมไพด์ที่ได้รับกระสอบหีบกล่าวพร้อมกับวิ่งตรงจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่แวมไพด์ตนนั้นวิ่งลับสายตาไปแล้ว มันยืนนิ่งๆจ้องหน้าเบลอยู่ครู่หนึ่ง เบลทั้งโกรธและกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

               “ช่วยบ้าอะไรของท่าน ข้าจำสายตานี้ได้ นี่เป็นท่าน ท่านช่วยพวกมัน!!!

               “ไม่เด็กน้อย.... ข้าจะช่วยเจ้า” เสียงแหบพร่าของแวมไพด์ตนนั้นกล่าวตอบเบล

ทันใดนั้นเองแวมไพด์ตนนั้นก็ลงมืออย่างรวดเร็ว มันใช้กรงเล็บของมันแทงทะลุเข้าสู่หัวใจของเพื่อนแวมไพด์ตนอื่นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเท่านั้นแวมไพด์ที่เหมือนถูกควบคุมตนนั้นก็สังหารเพื่อนแวมไพด์ของตนไปเกือบครึ่ง

               “นี่...นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า...เจ้าฆ่าพวกเดียวกันทำไม!!! 

เสียงตกใจสุดขีดของแวมไพด์ที่เหลืออยู่อีกห้าหกตนกล่าวพร้อมกับเดินถอยหลังออกห่างจากแวมไพด์ที่ดวงตากลายเป็นสีดำตนนั้น แวมไพด์ที่ถูกสะกดตนนั้นยิ้มน้อยๆแต่ไม่ตอบว่าอะไร มันยังคงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วลงมือสังหารพวกพ้องของมันที่เหลือลงทีละตนทีละตน

               “ล๊อกซาแรม เจ้าช่างบังอาจนักที่กล้าแทรกแซงประสงค์ของพระบิดา หรือเจ้ายังไม่เข็ดหลาบกับโทษที่เคยได้รับจากการสอดรู้สอดเห็นเยี่ยงนี้!!!”  เสียงแหบพร่าชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้นในอีกห้วงมิติ มิติของเทพเจ้า!!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา