The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย

10.0

เขียนโดย ชลันธรี

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.

  9 chapter
  0 วิจารณ์
  11.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เงามืดในความฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     อีกวันที่เป็นวันอากาศดีในลาซ่าและเป็นใจแก่การเดินทาง แสงแดดรำไรลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ตกต้องลงบนต้นหญ้าในพื้นที่ป่าโปร่งแห่งนี้ เสียงร้องรำทำเพลงเหมือนประหนึ่งมีงานเลี้ยงลอยล่องมาตามกระแสลม พวกฟอนกลุ่มใหญ่ล้อมวงเต้นเพื่อเป็นการอำลาแขกของพวกเขาซึ่งก็คือคณะเดินทางของเฟเรย์นั่นเอง

     เฟเรย์และคณะเดินทางพักอยู่ในลาซ่าได้สองวันซึ่งเป็นเวลาหยุดพักที่นานที่สุดในการเดินทางที่ผ่านมาครั้งนี้ เพราะเขาเห็นว่าเพื่อนร่วมทางของเขาควรจะได้พักมากขึ้นอีกหน่อย  ซึ่งระหว่างนี้ทั้งหมดก็ได้หารือเรื่องการเดินทางที่ผิดแผนการไปเนื่องจากสมอลบริดจ์ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่เขาคาดว่าจะใช้ผ่านไปนั้นขาดลงจนไม่สามารถผ่านไปได้แล้ว

          “แหหหหะ พวกข้าหวังว่าพวกท่านจะเดินทางอย่างปลอดภัย ขอบาลาและลอเนียคุ้มครองพวกท่าน แหหหะ”

เสียงของอัสกล่าวอำลาคณะเดินทางของเฟเรย์ก่อนที่จะนำพวงมาลัยที่ทำจากดอกไม้นานาพันธุ์มาคล้องให้แก่เฟเรย์ รวมถึงคณะเดินทางคนอื่นด้วย

          “ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น ท่านยายมิสตี้ไม่ได้มาด้วยเหรออัส” เสียงเฟเรย์กล่าวถามอัสด้วยความอาลัย

          “ท่านยายติดภารกิจไม่ได้มาส่งด้วยแต่ท่านได้มอบของสิ่งหนึ่งมาให้แก่ท่าน หีบเพลงปากนี่ไงล่ะ ท่านยายบอกให้ท่านรับมันไปเป็นของที่ระลึก แหหหะ”

          “ฝากขอบคุณท่านยายมิสตี้แทนพวกเราด้วย สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในลาซ่านี่”

          “ถ้าข้าลืมคำฝากขอบคุณของท่าน ท่านยายคงจะบ่นข้าไปอีกนาน แหหหะ ข้าไม่ลืมแน่นอน แหหะ”

          “ฮ่า ฮ่า ถ้าอย่างนั้นพวกข้าคงจะต้องออกเดินทางเสียทีข้าอยากจะไปให้ถึงที่พักม้าของพวกพ่อค้าเครื่องเทศ ก่อนค่ำวันนี้ งั้นก็ลากันเลยนะ”

     เฟเรย์รับหีบเพลงปากซึ่งเป็นของขวัญการจากลาครั้งนี้จากมิสตี้มาไว้ในมือและใช้สายของมันห้อยไว้ที่ข้างตัวของเขาพร้อมทั้งกล่าวคำอำลาอย่างอาลัยต่อเพื่อนเก่า

     พวกเขาได้หารือกันว่าพวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะเดินทางอ้อมหุบเหวของสมอลบริดจ์ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกแรมเดือนถึงจะเดินทางอ้อมสถานที่แห่งนั้นเพื่อเข้าไปสู่อาณาเขตของเมืองเดอบริลซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาจะสามารถรอพบกับมาลาไคด์ได้

     โดยแผนการเดินทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาสรุปออกมาได้คือการใช้เส้นทางนอกเขตผนึกที่พวกพ่อค้าขนเครื่องเทศใช้ในการเดินทางในรอบหลายปีมานี้ ซึ่งแม้ว่าจะอ้อมกว่าการใช้สะพานหินที่ขาดลงไปแล้วของสมอลบริดจ์ข้ามหุบเหวไปโดยตรง แต่ก็สามารถประหยัดเวลาได้มากกว่าอีกเส้นทางหลายสัปดาห์

     โดยเส้นทางนี้จะเลียบชายป่าดามิริลเข้าสู่เมืองเดอบริล และจากการที่เป็นเส้นทางที่พวกพ่อค้าเครื่องเทศนิยมใช้กันจึงไม่ได้ลำบากยากเข็ญเท่าใดนักเพราะหลายปีมานี้มีการตั้งจุดพักม้าและโรงเตี๊ยมเล็กๆขึ้นมากมายที่แม้ว่าจะมีการโจมตีจากพวกแวมไพด์อยู่บ้างแต่ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำการค้านั้นก็ดึงดูดผู้คนที่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อทองไปตั้งรกรากอยู่พอสมควร

           “ข้าว่านี่เป็นทางเลือกที่ดี หากเทพเจ้าไม่มาสนใจเรา ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

           “พวกทวยเทพเลิกสนใจพวกเรา และคงไปนอนกอดเมียของพวกมันอยู่บ้านสบายๆไปนานแล้วตั้งแต่โดนผนึกของหอคอยทำให้พวกมันกลายเป็นลูกแมว ฮ่า ฮ่า”

     ทหารอาวุโสในคณะเดินทางกล่าวขึ้นเป็นเชิงติดตลกสอดรับกับเพื่อนทหารอีกคน เพื่อเป็นการลดความตึงเครียดในขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวข้ามหลักเขตที่ทำด้วยไม้ทาสีแดงสดที่ปักเอาไว้เตือนผู้ผ่านไปมาในลาซ่าถึงการสิ้นสุดอาณาเขตของผนึกของพื้นที่แห่งนี้

     ในที่สุดเฟเรย์ มารอน เบลรวมถึงทหารมือดีในคณะเดินทางก็เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ขึ้นหลังจากได้พักอย่างเต็มอิ่มมาสองวัน  ในระหว่างที่พวกเขาเดินทางอยู่นอกเขตผนึกนั้นพวกเขาก็ได้ค่อยๆทำความคุ้นเคยกับเส้นทางใหม่ที่ปรกติพวกเขาไม่เคยใช้มาก่อนจากการที่ไม่ได้มาเยือนแถวนี้นานหลายปี เส้นทางสายนี้ในช่วงกลางวันค่อนข้างคึกคักจากการเดินทางของเหล่าพ่อค้าเครื่องเทศ และนักเดินทางคณะต่างๆที่ต้องการร่นระยะเวลาการไปสู่อาณาจักรอื่นๆ

             “เส้นทางนี้ไม่เลวเลยนะว่าไหม”

             “ใช่ข้าว่าเผลอๆจะปลอดภัยจากพวกแวมไพด์มากกว่าเส้นทางหลักก่อนที่เราจะไปถึงลาซ่าเสียอีก”

             “ข้าว่ากลิ่นของพวกฟอนคงจะกลบกลิ่นพวกเราหมด พวกมันเลยหาเส้นทางนี้ไม่เจอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า พักที่ลาซ่าก็ดีอยู่หรอกแต่คืนนี้ข้าจะได้นอนโดยไม่มีกลิ่นสาปฟอนคอยเตะจมูกให้ตื่นแล้ว พระเจ้า นี่มันสวรรค์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

     เฟเรย์และเพื่อนทหารอีกสองสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสบายๆขณะนั่งพักในสถานีพักม้าหลังจากเดินทางออกจากลาซ่ามาได้หลายชั่วโมงและเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว ซึ่งการไปถึงจุดพักม้าจุดถัดไปจากการสอบถามเหล่าพ่อค้าอย่างน้อยต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันในวันรุ่งขึ้น พวกเขานั่งทอดหุ่ยสบายๆบางคนก็กินอาหารที่เอาติดมาด้วยจากลาซ่าส่วนทหารบางคนก็เดินไปตักน้ำมาเลี้ยงม้าเนื่องจากถึงรอบเวรของตนเอง

             “ว่าไงเบล เจ้ากังวลอะไรอยู่หรือเปล่าสีหน้าไม่ค่อยจะดี กลัวพวกแวมไพด์หรือไง?”

             “ก็กลัวนิดหน่อยครับ...เอ่อจริงๆข้ากลัวมาก”

             “ฮ่า ฮ่า ไม่แปลกหรอกตอนข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไหร่ และได้เจอกับพวกมันครั้งแรกข้าก็กลัวเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นก็ชิน”

             “หลังจากอะไรเหรอครับ”

             “หลังจากที่นูริลฝากรอยแผลเป็นบนหลังของข้าไว้ นี่ไงดูสิ ฮ่า ฮ่า” เฟเรย์กล่าวพร้อมเลิกชายเสื้อของเขาให้เห็นแผลเป็นยาวเป็นทางที่แผ่นหลังด้านซ้ายอันเกิดจากมีดสั้นของนูริลเมื่อสงครามคราวก่อน

             “มันสวยไหมล่ะเด็กน้อย นี่ทำให้ข้าเลิกกลัวและในที่สุดข้าก็เอาชนะพวกมันได้ตนแล้วตนเล่า”

             “มันดูน่าเกลียด แต่ข้าก็ทราบดีว่ามันคงเป็นเสมือนบทเรียน”

             “ใช่เด็กน้อย มันเหมือนบทเรียนหากเจ้าไม่รู้จักเติบโต ไม่รู้จักศัตรูในสนามรบเจ้าจะต้องตาย ก็แค่นั้น แต่ก็เพราะแค่นั้นเราจึงต้องดิ้นรนให้มากที่สุด”  เฟเรย์กล่าวพร้อมกับยิ้มอ่อนๆบนใบหน้าเพื่อให้บทสนทนาดูผ่อนคลายขึ้น

             “แต่เจ้ารู้ไหมเด็กน้อยท่านเฟเรย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่เคยมีคู่รักเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า เคยกอดสาวหรือยังก็ไม่รู้อายุปูนนี้แล้ว” เสียงทหารคนเดียวกับที่เกลียดกลิ่นสาปของฟอนกล่าวเป็นเชิงแหย่เฟเรย์

             “ดีนะที่เราอยู่กันคนละหน่วย หากท่านอยู่กองกำลังอัศวินฟินิกซ์ของข้า ข้าจะถือว่าท่านหมิ่นเกียตรข้านะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

             “โอ ข้ากลัวแล้วท่านเฟเรย์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอโดนลงโทษโดยการถูกริบเมียแก่ๆที่บ้านของข้าให้ไปเป็นของท่านได้หรือไม่ ข้าจะได้หาใหม่อีกสักคน” ถึงตรงนี้เสียงหัวเราะของมารอน และเพื่อนทหารที่ร่วมเดินทางกันมาของเฟเรย์ก็ดังระงมขึ้น มีคนหนึ่งหงายหลังลงจากลังไม้ที่นั่งอยู่ด้วยอาการหยุดขำไม่ได้

             “ท่านไม่เคยมีคนรักหรือท่านเฟเรย์” เบลถามด้วยสีหน้าจริงจังต่ออัศวินที่เป็นขวัญใจของเขาคนนี้

             “ไม่เคย....เอ่อ ก็ไม่เชิงนางคงไม่ได้คิดกับข้าแบบนั้น นางไม่เหมือนคนอื่นและคงจะคิดกับข้าแบบนั้นไม่ได้”

             “ข้าขอโทษข้าไม่ควรถามเรื่องนี้กับท่าน”

             “ไม่เป็นไรหรอก ถามมาเถอะ พวกอาๆของเจ้าที่นี่จะได้รู้สักทีว่าข้าเคยกอดผู้หญิงเหมือนกัน ฮ่า ฮ่า” เฟเรย์พูดเสียงดังเป็นเชิงติดตลกพร้อมกับมองกวาดไปยังมารอนหลานของเขา และทหารเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆที่พยายามกลั้นขำแต่ก็นั่งหูผึ่งใจจดใจจ่อด้วยความอยากรู้

             “ทำไมนางถึงไม่เหมือนคนอื่นล่ะครับ” เบลเอ่ยปากแบบเบาๆ

              “ข้าว่านางคงจะมีหน้าอก 4 ข้างแน่ๆใช่ไหมท่านเฟเรย์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทหารคนเดิมยังคงพูดจาหยอกล้อเฟเรย์อย่างสนิทสนม ทหารคนอื่นๆเหลือจะกลั้นอารมณ์ขันอันร้ายกาจของเขาจนต้องโพร่งหัวเราะออกมาเสียงดัง

              “เสร็จงานนี้เมื่อไหร่ กลับไปข้าจะบอกท่านลุงโคเธียรให้ย้ายท่านมาอยู่กองกำลังข้าแทน ข้าจะบอกเขาว่าเพราะท่านเป็นเพื่อนร่วมรบกับข้าสมัยสงครามกับดาร์คพาลาดินและข้าคิดถึงท่านมาก” เฟเรย์หยอกกลับพร้อมกับรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า

              “นางชื่อนาเดียร์ นามสกุลของนางข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน จริงๆข้าเจอนางในระหว่างสงครามคราวก่อนกับพวกดาร์คพาลาดินข้าไม่รู้ว่านางอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ตอนนั้นนางน่าจะอายุจะ 14 ได้มั้ง” เฟเรย์กลับมามองหน้าเบลและยิ้มน้อยๆเหมือนรำลึกถึงหน้าของบุคคลที่เอ่ยถึง

              “นางคงจะเป็นคนสวยมาก” เบลกล่าวขึ้นอย่างสนใจ

               “ใช่นางสวยมากและไม่เหมือนใครอีกด้วย ผมของนางครึ่งหนึ่งเป็นสีเงิน อีกครึ่งเป็นสีดำแต่ก็ยาวสลวย ผิวนางขาวเนียน โดยเฉพาะดวงตา และริมฝีปากของนางมันทำให้ข้าแทบจะละลาย” เฟเรย์หน้าแดงก่ำขึ้นจนเห็นได้ชัดขณะที่บรรยายความงามแบบไม่เหมือนใครของหญิงสาวที่ตนเองเคยหลงรักให้กับเด็กน้อยเพื่อนร่วมทางฟัง

               “แล้วนางไม่เหมือนคนอื่นยังไงล่ะครับท่านอาเฟเรย์แค่ผมสองสีไม่เห็นจะแปลก ท่านยายข้าตอนสาวๆผมสีดำตอนแก่ก็ขาวเหมือนกัน ” มารอนกล่าวแทรกขึ้นตามสไตล์ของเขาที่ไม่ชอบเก็บคำถามอะไรไว้ในใจ

                “เอ่อ เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่เหมือนกันแต่เหมือนางจะเป็นพวกผู้ใช้เวทย์มนต์ เป็นแม่มดอะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง แต่ที่แน่ๆนางไม่ได้มีหน้าอก 4 ข้างแล้วกัน ฮ่า ฮ่า”

     เฟเรย์เอื้อมมือไปหยิบถุงหนังที่บรรจุน้ำเอาไว้และดื่มมันผ่านลำคอด้วยความกระหายก่อนที่จะเอ่ยปากให้ทุกคนจุดไฟเพราะเริ่มที่จะค่ำและอากาศก็เย็นลงแล้ว เมื่อทหารคนที่ชอบหยอกล้อมุกตลกได้ยินว่าหญิงที่เฟเรย์เคยหลงรักเป็นพวกผู้ใช้เวทย์มนต์เขาก็เดินเข้าไปแตะบ่ามารอนแล้วส่งสายตาเป็นเชิงไม่ให้ถามต่อ ซึ่งทหารคนอื่นๆก็เหมือนจะเข้าใจว่าไม่ควรถามต่อเช่นกันพวกเขาทำทีแยกย้ายไปรวบรวมฟืนเพื่อนำมาก่อไฟตามคำสั่ง

     ความมืดค่อยๆโรยตัวลงมาสู่สถานีพักม้าซึ่งแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีโรงเตี๊ยมเล็กๆอยู่แต่พวกเขาก็ตกลงใจกันว่าจะนอนกันในเพิงกลางแจ้งและผลัดกันเฝ้าเวนยามแทน เนื่องจากไม่อยากจะอยู่แยกกันในขณะที่มีวัตถุภารกิจอันสำคัญติดตัวมาด้วย และอยู่นอกเขตของผนึก

     หลายวันต่อมาคณะเดินทางก็เดินทางอย่างราบรื่น พวกเขาใช้วิธีเดินทางตอนกลางวันและพักกลางแจ้งแบบเดียวกันกับวันแรกในตอนกลางคืนมาตลอดการเดินทางนอกเขตผนึกในครั้งนี้ ทุกคนดูเหมือนจะคลายความกังวลยกเว้นเบลที่สีหน้าหม่นหมอง เหมือนมีอะไรเก็บไว้ในใจตั้งแต่สองสามคืนให้หลังตั้งแต่ออกนอกลาซ่ามา

               “ท่านเป็นใคร....นี่ข้าฝันอยู่หรือ?...”

               “นี่ข้าน่าจะฝันอยู่นี่นา ท่านมาทำอะไรในฝันของข้า...?”

     ตั้งแต่คืนแรกที่เบลออกมานอกเขตของผนึกเขาฝันเห็นเงาประหลาดของชายคนหนึ่งมาตลอดทุกคืน ในความฝันนั้นเหมือนเงานี้จ้องมองเขาอย่างเงียบๆในขณะที่ความฝันของเขากำลังดำเนินไป ในช่วงคืนแรกๆเขาก็ไม่ค่อยเอะใจอะไรเท่าไหร่ต่อเมื่อเห็นเงาร่างเดียวกันนี้ติดทุกคืนตั้งงแต่ออกมานอกเขตผนึก และในฝันเขาจะตะโกนถามกับเงาดำนั้นเป็นคำถามเดียวกันทุกคืนแต่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมาเลย

     เบลเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียวไม่บอกใครเลยแม้แต่เพื่อนสนิทของเขาอย่างมารอนเขาเริ่มดูแย่ลงเรื่อยๆจากการพยายามอดนอนในตอนกลางคืนเพราะกลัวว่าเงาร่างนั้นจะปรากฏในความฝันอีกจนบางครั้งเขาสัปปะหงกจนแทบจะตกจากม้าทำให้มารอนต้องคอยประคองอยู่หลายครั้ง

             “เจ้าเป็นอะไรไปน่ะเบล กลางคืนเจ้าไม่ได้นอนหรือไง” มารอนถามเบลด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

             “ข้า...ข้านอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

             “เจ้าดูแย่มากเลยนะ ระวังจะไม่สบาย การเดินทางยังคงต้องอีกสักพักกว่าจะถึงเดอบริลหากเจ้าป่วยขึ้นมาตอนนี้คงจะแย่” มารอนกล่าวด้วยความเป็นห่วงเบลซึ่งเบลก็ทราบเรื่องนี้ดีจึงพยายามไม่อยากให้เรื่องหยุมหยิมพวกนี้เป็นภาระกับคณะเดินทาง

             “ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าดูแลตัวเองได้”

             “สัปปะหงกเกือบจะตกม้าแบบนี้นี่นะดูแลตัวเองได้”

                มารอนกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เบลก็เพลียเกินกว่าจะโต้เถียงกับมารอนต่อไป เขาพิงศีรษะของเขากับไหล่ของมารอนและเหมือนหลับไปชั่วเวลาหนึ่งด้วยความง่วงงุนที่ไม่อาจทน

                เงาร่างเดิมปรากฏขึ้นในความฝันของเขาทั้งที่มันเป็นตอนกลางวันแสกเบลแม้จะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายแต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขาจากเงานั้น

               “เจ้าเป็นใครกันแน่ ออกไปจากหัวสมองของข้าเสียที”

               “เบล เบลตื่นได้แล้วถึงที่พักแล้ว”

เบลตะโกนไล่เงาดำนั้นสุดเสียง ก่อนที่เสียงของมารอนจะปลุกเขาตื่นขึ้นพร้อมกับการเขย่าตัวเบาๆ

               “พรุ่งนี้เราจะเข้าเขตของป่าต้องห้ามกันแล้ว ถ้าเราเรียบตามชายป่าและเดินทางตลอดเวลาภายในหนึ่งวันเราจะเข้าสู่อาณาเขตของผนึกอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เราก็จะถึงที่หมายทางนี้รวดเร็วกว่าที่ข้าคิด คืนนี้เราพักที่นี่ครั้งสุดท้ายนอนกันให้เต็มที่พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันอย่างไม่มีการพักจนกว่าจะเข้าอาณาเขตผนึกอีกครั้ง”เฟเรย์กล่าวถึงแผนการสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น

               ”ทำไมเราไม่มุ่งเข้าไปในป่าดามิริลเลยล่ะครับท่านอา ข้าว่าเราน่าจะถึงหอคอยแห่งความพินาศที่ท่านมาลาไคด์อยู่ได้ภายในสองวัน ทำไมเราต้องไปที่รอเขาที่เดอบริล” มารอนกล่าวถามขึ้นด้วยท่าทีอึดอัดเมื่อได้เห็นหลทางที่น่าจะไปได้รวดเร็วและตรงเป้าหมายกว่า

               “บ่ะ เจ้าเด็กโง่ ขืนเข้าไปในป่าต้องห้ามพวกเราไม่ต้องรอถึงสองวันหรอก แค่คืนแรกหรือเผลอๆแค่ครึ่งวันแรกเท่านั้นพวกเราก็กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์ร้ายในนั้นแล้ว แม้แต่คนที่โง่ที่สุดยังไม่เหยียบเข้าไปเลย เจ้านี่จะเรียกว่าอะไรดีนะ” ทหารผู้อาวุโสที่สุดตอบกลับมารอนพร้อมทำท่าทีรำคาญในความไม่ฉลาดเอาเสียเลยของหลานท่านเจ้าเมืองคนนี้

               “เจ้าควรฟังเขาไว้นะมารอน สิ่งที่เขาพูดล้วนไม่เกินความจริง เจ้าจำได้ไหมว่าท่านปู่ของเจ้าเคยบอกว่าห้ามเหยียบเข้าไปในเขตป่าของป่าต้องห้ามเด็ดขาด แค่เพียงเราเข้าเขตของชายป่าเท่านั้นเรายังจะต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นกว่านี้นับสิบเท่า”

     เฟเรย์กล่าวย้ำถึงความสำคัญของสิ่งที่ทหารอาวุโสผู้นั้นที่เตือนมารอน เพราะเขารู้ดีว่าความเลือดร้อนแต่โง่เขลานั้นทำให้ทหารหนุ่มหลายคนต้องตายโดยไม่จำเป็นมานักต่อนักแล้ว เขาสังเกตเห็นอาการที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของเบล และในช่วงเย็นวันนั้นที่สถานีพักม้าแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่เขตชายป่าดามิริล เฟเรย์ก็นำขนมปังก้อนหนึ่งเดินไปทรุดนั่งลงข้างๆเบล

             “นี่เจ้าหนูกินซะแล้วคืนนี้เจ้าต้องนอนไม่เช่นนั้นถ้าร่างกายเจ้าอ่อนแอเกินไปอาจจะเป็นไข้ป่าและอาจไม่รอด ข้ายังอยากจะรู้ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าในหีบสีดำนั่นคือหน้ากากตอนข้าอยู่ที่คริสเทนมอ หากเจ้าตายซะก่อนเราอาจจะไม่ได้คุยกันมากกว่านี้” เฟเรย์ยื่นขนมปังก้อนนั้นให้แก่เบลพร้อมกับพูดคุยกับเขาถึงเรื่องในคริสเทนมอ เผื่อว่าเบลจะดูสดใสขึ้นบ้าง

             “ท่านเคยเห็นเทพเจ้าไหมครับ ท่านเฟเรย์” เบลก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อยๆผมสีทองของเขากระเซอะกระเซิงและยิ่งทำให้หน้าตาที่อดนอนของเขาดูซีดลงอย่างถนัดตา

             “ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาหรอกเด็กน้อย ในนิทานเล่าว่าพวกเขาอยู่คนละแห่งกับเรา เราไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ยกเว้นแต่พวกเขาอยากจะให้เราเห็น”

             “ถ้าเช่นนั้นท่านก็อาจจะเคยเห็นพวกเขาแต่ท่านไม่รู้” เบลกล่าวต่อ

             “ก็อาจจะใช่ แล้วเจ้าล่ะเคยเห็นพวกเขาหรือไม่” เฟเรย์เริ่มสนใจในประเด็นที่เบลกล่าวถาม เขาคิดว่าเด็กชายร่างผอมแห้งคนนี้จะต้องมีอะไรพิเศษ เช่น ญาณนิมิต หรือเวทย์มนต์ติดตัวอะไรทำนองนั้น เขายังไม่อยากเชื่อว่าการที่เบลรู้ว่าของในหีบสีดำนั่นคืออะไรเป็นเรื่องบังเอิญ

             “เอ้านี่ข้าให้เจ้าเด็กน้อย นี่คือหีบเพลงปากที่มิสตี้ให้ข้ามาข้าว่าเจ้าน่าจะมีทักษะทางดนตรีดีกว่าข้า ขืนข้าเป่ามันมีหวังสัตว์ร้ายทั้งป่าดามิริลคงจะมารุมกินข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เฟเรย์กล่าวพร้อมกับปลดสายรัดของหีบเพลงปากจากเอวที่มิสตี้ให้เป็นของขวัญก่อนออกจากลาซ่า

             “ท่านให้ข้าจริงๆหรือ แต่นี่ท่านยายมิสตี้ให้ท่านไว้ ข้าไม่อาจรับได้...” เบลมองหน้าเฟเรย์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจแต่ปากยังคงตอบปฏิเสธสิ่งที่เฟเรย์ยื่นให้

             “แหม่ ช่างเป็นคำปฏิเสธที่ข้าเชื่อจริงๆ จำไว้หนูน้อยเจ้าควรซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง อยากได้ ก็บอกว่าอยากได้เข้าใจไหม” เฟเรย์ยิ้มให้เด็กหนุ่มก่อนจะยื่นมันเข้าใกล้หน้าของเบลมากขึ้น

             “ขอบคุณครับ ข้าอยากได้มาก สิ่งนี้ข้าจะเก็บไว้กับตัวตลอด ท่านเป็นอัศวินในดวงใจของข้าจริงๆวันหนึ่งข้าจะเป็นแบบท่านให้ได้ ข้าจะต้องยิ่งใหญ่ ข้าจะเก็บสิ่งนี้ไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนถึงเป้าหมายของข้า...ข้า”

             “เอาล่ะๆพอแล้วเด็กน้อยเจ้าทะเยอทะยานก็ดี คนหนุ่มควรจะมีเป้าหมาย ควรจะทะเยอทะยานนั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ตอนนี้เจ้าควรจะพักผ่อนให้มากๆ นอนซะพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า”

             “ครับท่านเฟเรย์” เบลยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าสดชื่นขึ้นมากก่อนจะล้มตัวลงนอนคลุกกับเสื่อที่เขาใช้รองนั่งอยู่และใช้มือลูบคลำหีบเพลงปากที่ได้จากเฟเรย์ด้วยความพินิจพิเคราะห์

     ค้างคาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลนักจากที่เฟเรย์และคณะเดินทางพักผ่อนอยู่ มันเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยดวงตาสีแดงฉานก่อนที่จะขยับปีกสองสามครั้งแล้วบินจากไป...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา