The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย
เขียนโดย ชลันธรี
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) คณะเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเป็นเวลาได้สามวันแล้วที่เฟเรย์และกลุ่มทหารมือดีจากเมืองคริสเทนมอร์ ได้ออกเดินทางเพื่อทำภารกิจนำหน้ากากต้องสงสัยทั้งสองชิ้นเพื่อไปมอบให้กับจอมขมังเวทย์ผู้เก่งกล้าที่สุดแห่งยุค มาลาไคด์ โมเฟน พวกเขาทั้งหกคนเลือกใช้เส้นทางหลักภายในเขตของผนึกเพื่อเดินทางให้ถึงเป้าหมายเร็วที่สุด นอกจากหลทางจะสะดวกเพราะเป็นทางสัญจรโดยปรกติแล้วการอยู่ในอาณาเขตของผนึกยังนับว่าเป็นการฉลาดกว่าการเสี่ยงเอาหน้ากากประหลาดทั้งสองชิ้นที่มีพลังอำนาจมหาศาลของลอมานัมออกไปนอกเขตผนึกอีกด้วย
“ข้างหน้านั่นมีหมู่บ้านเล็กๆอยู่นะเบล ข้าคิดว่าท่านอาเฟเรย์น่าจะหยุดพักที่นั่น”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน ข้าเคยออกมานอกคริสเทนมอซะที่ไหนกันล่ะ ข้ารู้แต่ว่าข้าเบื่อขนมปังแล้วถ้าท่านเฟเรย์หยุดพักที่หมู่บ้านนี้เราก็ควรจะเผยตัวได้แล้วล่ะ”
“เจ้านี่นะไม่อดทนเอาเสียเลย แบบนี้จะไปเป็นทหารกล้าได้ยังไงกัน”
จากคำพูดเหน็บเล็กน้อยของมารอนเรื่องการเป็นทหาร มันเหมือนเข้าไปสะกิดแผลใจของเบลที่อยากจะเป็นหนึ่งในกองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอสมาตลอด ตอนนั้นเองที่เขาเหมือนสูญเสียสติไปชั่วครู่ความอิจฉาพรุ่งพร่านขึ้นมามากกว่าที่เคยเป็น แต่แล้วสติของเบลก็เหมือนจะกลับสู่ห้วงสำนึกเขาได้แต่พูดตัดพ้อกับตัวเองว่า “ก็เจ้ามันไม่ได้เรื่องเอง” เพื่อพยายามบ่ายเบี่ยงจากความรู้สึกอิจฉาเพื่อนรักที่สุดของเขา
“งั้นเราเผยตัวกันที่นี่ล่ะเบล สามวันมาแล้วข้าว่าท่านอาคงไม่จับพวกเราโยนส่งกลับไปคริสเทนมอร์หรอก”
มารอนพูดย้ำเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดของเบลที่เสนอว่าให้เผยตัวกับคณะเดินทางของเฟเรย์ เพื่อที่จะเดินทางได้สะดวกปลอดภัยมากขึ้นไม่ต้องทำตัวลับๆล่อๆอีก
เฟเรย์และเพื่อนร่วมทางมือดีอีกห้าคนได้หยุดพักที่หมู่บ้านเล็กๆตามที่มารอนและเบลได้คาดการณ์ไว้จริงๆ การพักครั้งนี้นับเป็นการพักครั้งที่สบายที่สุดในช่วงตลอดสามวันที่ผ่านมา เพราะว่าทั้งหมดเข้าใจดีว่าภารกิจของตนเองนั้นเร่งด่วนและสำคัญเพียงไรพวกเขาจึงใช้วิธีเร่งเดินทางและหยุดพักเพียงเพื่อให้ม้าได้พักฝีเท้าเท่านั้น โดยทางฝ่ายของมารอนและเบลเองตลอดสามวันมานี้พวกเขาจ้างคนขับเกวียนคนหนึ่งและแฝงตัวเป็นลูกพ่อค้าเดินทางติดตามคณะเดินทางมาโดยเว้นระยะห่างพอสมควร ทั้งนี้มารอนซึ่งเป็นคนของตระกูลเอียร่าเองรู้ซึ้งถึงสภาพภูมิประเทศรวมถึงที่ค้างอ้างแรมต่างๆรอบบริเวณเมืองคริสเทนมอร์เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมเขาทั้งคู่ถึงยังคงติดตามคณะเดินทางของเฟเรย์ได้อย่างไม่ผิดพลาดทั้งที่เว้นระยะห่างกับคณะเดินทาง
เฟเรย์รู้สึกได้ว่าทุกอย่างตลอดทางที่ผ่านมานั้นราบรื่นดี อาจจะเป็นเพราะพวกเขายังอยู่ในเขตของเมืองคริสเทนมอร์ซึ่งนับได้ว่าเป็นเมืองปราการอันแข็งแกร่งและแม้ว่าจะห่างจากตัวเมืองออกมาได้ถึงสามวันแล้วก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย เขายังนึกชมเชยความสามารถในการบริหารจัดการเมืองคริสเทนมอร์ของท่านลุงโคเธียรของเขา เฟเรย์และคณะนั่งดื่มกินอยู่ในบาร์เหล้าซอมซ่อประจำเมือง ภายในบาร์เต็มไปด้วยเหล่าทหารลาดตระเวนของคริสเทนมอร์ ที่ทุกคนรู้จักเฟเรย์และคนในคณะเดินทางของพวกเขาเป็นอย่างดี แน่นอนภารกิจครั้งนี้เป็นความลับทำให้การที่พวกเขาถูกทักทายกันอย่างเป็นกันเองและบ้างถูกถามถึงเป้าหมายในการเดินทางนั้น ทำให้พวกเขาสามารถโกหกเพื่อปกปิดภารกิจได้เนียนขึ้นที่สำคัญเฟเรย์คอยควบคุมทหารทุกคนอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเวลาเมื่อพวกเขาต้องดื่มเหล้า
“พวกเจ้าอย่าดื่มมากเกินไปนะสหาย เรายังมีงานใหญ่ต้องทำ” เสียงเฟเรย์กล่าวกระซิบกระซาบกับเหล่าทหารของตนเป็นเชิงเตือนพวกเขาไม่ให้เมาจนเสียงาน แต่ทันใดนั้นเองทหารคนหนึ่งก็อุทานขึ้นมาเหมือนเห็นสิ่งประหลาดใจอยู่ตรงหน้า
“ท่านเฟเรย์ ท่านดูเด็กหนุ่มสองคนนั้นสิเราไม่วิ่งเข้าหาปัญหาแต่ดูเหมือนความยุ่งยากจะวิ่งตามเรามาแล้วล่ะท่าน ฮ่า ฮ่า”
ทหารของเขายักคิ้วหลิ่วตาไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่ดูเหมือนพยายามปิดบังหน้าตาเอาไว้และเดินตรงมาหาเฟเรย์ที่โต๊ะ เมื่อเฟเรย์เห็นเด็กทั้งสองสีหน้าของเขาซีดลงทันทีพร้อมกับสบถว่าไอ้พวกเด็กบ้าก่อนจะเอามือลูบหน้าของตนเองเพื่อพยายามอดกลั้นไม่ให้สั่งสอนเด็กทั้งคู่เสียงดังเกินความจำเป็น
“พวกเจ้าทั้งสองคนมาทำอะไรที่นี่ ว่าไงมารอน”
เมื่อเฟเรย์ตั้งสติได้ภาวะผู้นำก็กลับมาสู่ชายผู้เป็นหัวหน้ากองกำลังอัศวินฟีนิคอีกครั้งเขาเริ่มสอบสวนเด็กทั้งสองด้วยท่าทีสงบอย่างคนควบคุมสถานการณ์ได้ ในขณะที่สมองของเขาก็คิดถึงวิธีการแก้ไขปัญหานี้ต่างๆนาๆ
“พวกข้าอยากร่วมเดินทางกับท่านอาด้วย พวกเราจึงแอบตามท่านมา”
มารอนกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงเหมือนต้องการแสดงให้เฟเรย์เห็นถึงความตั้งใจของเขาและเบลที่จะร่วมเดินทางไปหามาลาไคด์ในครั้งนี้ด้วย เฟเรย์มองหน้าเด็กทั้งสองสลับไปมาสูดหายใจลึกก่อนตรึกตรองหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เขาคิดแล้วคิดอีกคำนวนระยะเวลาเดินทางไปกลับของการทำภารกิจทั้งในแบบที่ทุกอย่างราบรื่น และในแบบที่ต้องเผชิญปัญหาหนักหน่วงที่สุด ในที่สุดเฟเรย์ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกจากบาร์เหล้าซอมซ่อนั้นเขาหยุดที่ประตูบาร์เหล้าพร้อมกันเบี่ยงศีรษะพยักพะเยิบให้พวกที่เหลือพาเด็กๆทั้งคู่ตามออกมาด้วย
“แน่นอนพวกเจ้ารู้ดีว่าพวกเรากำลังเผชิญกับอะไรและพวกเรากำลังจะเดินทางไปที่ไหนกัน แต่เจ้ายังไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายแค่ไหน เด็กหนุ่มๆอย่างพวกเจ้ามันเลือดร้อนเกินไป”
“เหมือนท่านตอนอายุเท่านี้ไงเฟเรย์ ฮ่า ฮ่า”
เสียงทหารที่ร่วมคณะเดินทางมาด้วยกันที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม และเป็นคนสนิทของโคเธียรพูดแทรกขึ้นอย่างคนชาญโลกมองผู้ที่เยาว์กว่า
“แน่นอนข้าเข้าใจดี และพวกเขาก็คงจะไม่ใช่เหมือนแค่ข้าแต่เหมือนพวกเราทุกคนก่อนจะมีแผลเป็นติดตัวหนักๆกันใช่ไหมล่ะ”
คำพูดของเฟเรย์และทหารคนสนิททำให้บรรยากาศในการสนทนาดูคลี่คลายลงบ้าง
“แต่อย่างไรก็ตาม ข้าอยากให้พวกเขาใช้ความเลือดร้อนนี้ไปเสี่ยงตายหรืออย่างน้อยได้แผลเป็นจากสงครามมากกว่า ไม่ใช่งานส่งของแบบนี้ “
เฟเรย์กล่าวเหมือนทีเล่นทีจริง แต่ทุกคนในคณะเดินทางทราบดีว่าภารกิจนี้มันยิ่งกว่าสงคราม ถึงตอนนี้ทุกคนนอกเหนือจากเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มทราบแล้วว่าเฟเรย์จะทำอย่างไรกับปัญหาหยุมหยิมนี้
“งั้นข้าเองเฟเรย์ ข้าจะอาสาพาเด็กทั้งสองนี้เดินทางกลับไปคริสเทนมอเอง แล้วข้าจะตามไปสมทบกับพวกท่านไปทีหลังยังไงข้าก็แก่ที่สุดงานเลี้ยงเด็กแบบนี้ข้าถนัดนัก ฮ่า ฮ่า”
ทหารนายที่อาวุโสที่สุดซึ่งเป็นคนสนิทของโคเธียรกล่าวอาสาขึ้นเพื่อให้ปัญหาทั้งหมดคลี่คลาย รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟเรย์ค่อยปรากฏขึ้นเหมือนพบสหายรู้ใจ แต่ก่อนที่เฟเรย์จะเอ่ยอะไรต่อสิ่งที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้น
“แวมไพด์ พวกฟาลาโม!!!”
เฟเรย์ตะโกนเสียงหลงเพื่อให้ทุกคนได้ยินและเตรียมรับมือ เมื่อเขาสังเกตเห็นเงาสีดำวูบไหวและประกายจากดวงตาที่สะท้อนแสงไฟของบาร์เหล้าที่พวกเขากำลังนั่งถกปัญหากันอยู่ พวกมันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนดวงตาของคนปรกติแทบจะมองตามไม่ทัน เฟเรย์ใช้มือหนึ่งจับดาบเล่มเขื่องที่คาดไว้กับเอวและใช้อีกมือหนึ่งผลักเด็กหนุ่มทั้งสองให้หลังพิงไว้กับผนังไม้ผุๆของบาร์เหล้า ทหารผู้ร่วมมาในคณะเดินทางที่เหลือก็ล้อมวงเข้าปกป้องเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างรู้หน้าที่
“พวกมันคงมาเอาหีบ พวกมันรู้ได้ยังไงว่าเราเดินทางกันออกมาหรือจะไปที่ไหน”
“ไม่ใช่จากพวกข้าแน่ๆท่านอาเพราะพวกข้าไม่ได้บอกใครเลยในคริสเทนมอร์ว่าเดินทางติดตามพวกท่านมา”
เสียงของมารอนกล่าวแก้ตัวกับเฟเรย์อย่างเร่งร้อน ทั้งเบลและมารอนทั้งตื่นเต้นและกลัวเพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เผชิญแวมไพด์ ของตระกูลฟาลาโมจากเมืองราเรียมแบบจริงๆจังๆก็วันนี้เอง มารอนแม้ว่าจะตื่นเต้นแต่ไม่นานนักความกลัวของเขาก็หายไปเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและห้าวหาญเข้ามาแทนที่ผิดกับเบลที่ดูจะตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขาของเขาสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ตากระพริบถี่เหมือนกล้าๆกลัวๆกับสิ่งที่จะมองอยู่ตรงหน้า เขาเผลอกอดเอวของมารอนไว้แน่นอย่างคนกลัวสุดขีดและพยายามจะหาอะไรสักอย่างพึ่งพิง
“ไม่เป็นไรเบลอยู่กับข้าถ้าพวกมันเข้ามาข้าจะฟันมันให้ขาดสองท่อนเลยคอยดู”
มารอนพูดอย่างฮึกเหิมถึงการปกป้องเพื่อนรักทั้งที่ในมือของตนมีแค่ไม้หน้าสามผุๆอันหนึ่งที่งัดได้จากผนังของบาร์เหล้า
พวกแวมไพด์ดูเหมือนจะโฉบผ่านพวกเขาไป พวกมันมีกันประมาณห้าหกตนเงาร่างวูบไหวและดวงตาสว่างวาบนั้นเหมือนกระจายกันออกไปเบื้องหลังของคณะเดินทาง เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังขึ้นเป็นระยะๆ เฟเรย์ตัดสินใจออกคำสั่งให้คนในคณะเดินทางที่เหลือกระจายกันออกไปช่วยเหลือชาวบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเมื่อถึงเวลาสำคัญก็ไม่มีทหารกล้าคนใดเลยอิดออดต่อคำสั่งของผู้นำอย่างเฟเรย์ พวกเขากระจายตัวกันออกไปตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
“พวกเจ้าทั้งสองคนตามข้ามานี่อย่าให้ห่าง”
เฟเรย์พูดกับมารอนและเบลก่อนที่เขาจะหยิบคบไฟที่จุดให้แสงสว่างไว้ตรงหน้าบาร์เหล้าหนีบดาบในมือไว้กับรักแร้และวิ่งถลันตัวไปข้างหน้าเขาจากนั้นโยนคบไฟนั้นใส่กองฟางขนาดสูงเท่าเอวเพื่อให้เกิดแสงสว่างโชติช่วงขึ้น
“พวกมันไม่ชอบไฟ ไฟจะทำให้อุณหภูมิในร่างของพวกมันสูงขึ้นเลือดของพวกมันจะเสียเร็วขึ้นแต่ถ้าจำเป็นพวกมันก็พร้อมที่จะแลกเลือดเสียกับเลือดสดๆของเหยื่อที่จะได้กลับมาหลังการล่า”
เฟเรย์พูดพร้อมกับยืนใกล้กองไฟพร้อมกับกำดาบในมือแน่นขึ้น อีกมือของเขากระชับถุงกระสอบใบเขื่องเปลี่ยนจากการสะพายหิ้วเป็นอุ้มสิ่งของในกระสอบซึ่งคือหีบใบสำคัญไว้แนบชิดร่างของตัวเองแทน
“พวกมันไปหมดแล้วท่าน น่าแปลกพวกมันเหมือนไม่ได้จงใจมาเอาหีบแต่คงจะเป็นการล่าเพื่อเลือดมากกว่า”
ทหารนายหนึ่งจากคณะเดินทางกลับมารายงานพร้อมกับการกลับมาของทหารคนสนิทที่เหลือ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรหนักหนาจากการโจมตีครั้งนี้ของพวกแวมไพด์
“นี่ไม่ใช่การล่าปรกติแน่ยกเว้นว่าพวกมันจะกระหายมากจนไม่มีทางเลือกจึงต้องล้ำเข้ามาในเขตผนึกลึกได้ถึงขนาดนี้”
เฟเรย์ตั้งข้อสงสัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะโดยปรกติแล้วหมู่บ้านตามตะเข็บชายแดนที่อยู่ห่างไกลกว่านี้มากจะตกเป็นเป้าของการล่าเหยื่อของพวกฟาลาโม แต่หมู่บ้านเล็กๆที่พวกเขาพักกันอยู่นั้นอยู่บนเส้นทางหลักที่มีผู้คนและทหารพรุกพล่าน อีกทั้งยังอยู่อยู่ในเขตผนึกลึกเข้ามามากถึงแม้ว่าพวกแวมไพด์จะไม่ได้รับผลกระทบจากผนึกแต่พวกมันก็เลือกที่จะไม่เสี่ยงตายออกล่าลึกเข้ามาในเขตผนึกถึงเพียงนี้
“พวกท่านไปนำม้าของตนเองมา พร้อมกับหาม้าให้เด็กทั้งสองคนนี้ด้วยเราคงจะเสี่ยงปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งพาเด็กหนุ่มโง่ๆสองคนนี้กลับไปที่คริสเทนมอร์ไม่ได้แล้ว”
“นับว่าสมใจพวกเจ้านะไอ้เด็กน้อย”
สิ้นคำสั่งของเฟเรย์ทหารสามนายรีบออกไปนำม้าของพวกเขามาทันที พร้อมกับคำพูดกระทบกระเทียบอย่างขี้เล่นจากทหารคนสนิทที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม
“เราจะค้างกันรอบกองไฟนี่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าพวกมันคงจะยังไม่กลับมา พวกเราผลัดกันเฝ้ายามตะวันขึ้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน” เฟเรย์พูดพร้อมกับเหน็บดาบในมือเก็บไว้ข้างเอว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ